ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    พายุเดนนิส ปะทะสหราชอาณาจักร ด้วยลมแรงและมีฝนตกชุก # 16 ก.พ.
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    การบุกรุกของกบในพืชผลของจีน # 16 ก.พ.
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    ตั๊กแตนมาถึงในซินเจียงประเทศจีน วันที่ 16 ก.พ. 2020

    ในที่สุดตั๊กแตนแอฟริกาก็บุกเข้ามาในประเทศจีนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

    อัปเดต ตั๊กแตนทะเลทราย วันที่ 10 ก.พ. 2020



    The locusts have arrived in Xinjiang, China Feb16 2020

    Now the African locust finally broke through China for the first time in history.

    Desert Locus Update Feb10 2020



     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    ตั๊กแตนมาถึงในซินเจียงประเทศจีน วันที่ 16 ก.พ. 2020

    ในที่สุดตั๊กแตนแอฟริกาก็บุกเข้ามาในประเทศจีนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

    อัปเดต ตั๊กแตนทะเลทราย วันที่ 10 ก.พ. 2020



    The locusts have arrived in Xinjiang, China Feb16 2020

    Now the African locust finally broke through China for the first time in history.

    Desert Locus Update Feb10 2020



     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "เตรียมพิจารณา หยุดสงกรานต์ 9 วัน"
    .
    รอผลพิจารณาครับ
    โดยเตรียมเสนอให้วันที่ 16 และ 17 เมษายน เป็นวันหยุดเพิ่ม ซึ่งจะทำให้มีวันหยุดในช่วงสงกรานต์ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 11 เมษายน - วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563 รวม 9 วัน
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ตามที่หอเตือนภัยบริเวณบ้านบางเนียง ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา มีเสียงสัญญาณดังขึ้นเมื่อวันที่ 160263 เวลาประมาณ 11.00 น. นั้น
    #ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ขอเรียนว่า
    1.ไม่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวในทะเลที่จะก่อให้เกิดเป็นธรณีพิบัติภัย
    2.ไม่มีการส่งสัญญาณหรือทดสอบสัญญาณการแจ้งเตือนภัย ในห้วงเวลาดังกล่าว
    จากการตรวจสอบเบื้องต้น (คลิปที่เครือข่ายฯส่ง) พบลักษณะเสียงที่ดัง อาจเกิดจากการช๊อตของวงจร จึงได้ทำการส่งสัญญาณการตรวจสอบอุปกรณ์ของหอเตือนภัยดังกล่าว เป็นผลให้เสียงสัญญาณช๊อตที่ได้ยินเงียบลง
    อย่างไรก็ดี ทางศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ต้องกราบขออภัยที่อุปกรณ์บนหอเตือนภัยดังกล่าวได้ขัดข้องขึ้นมาและทำให้ประชาชน นักท่องเที่ยวเกิดการตระหนกตกใจ โดยจะมอบหมายช่างเข้าไปตรวจสอบและทำการแก้ไขโดยเร็วต่อไปครับ
    จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอให้ใช้ชีวิตตามปกติ และขออภัยยิ่งมา ณ โอกาสนี้
    ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ
    16 ก.พ.63 : 12.00 น.
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ คิม จองอึน ปรากฎตัวครั้งแรกต่อสาธารณะภายใน 22 วันท่ามกลางการระบาดโรคโควิด-19 เพื่อเยือนอนุสรณ์สถานแห่งชาติและรำลึกครบรอบคล้ายวันเกิดอดีตผู้นำคิม จ็อง-อิล ขณะเดียวกันปากีสถานเพิ่งจัดสายด่วนสำหรับพลเมืองปากีสถานรวมนักศึกษา 800 คนในเมืองอู่ฮั่นจากก่อนหน้าที่รัฐบาลอิมรอน ข่านไม่ยอมอพยพพลเมืองกลับประเทศ
    #MGROnline
    อ้างอิงจากสื่อเนชันของปากีสถาน โฆษกกระทรวงต่างประเทศปากีสถานออกแถลงเมื่อวานนี้(15)ว่า ทางอิสลามาบัดได้จัดสายด่วนให้กับพลเมืองปากีสถานที่อยู่ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย เพื่อให้สามารถมีการติดต่อได้โดยตรง
    เกิดขึ้นหลังศาลสูงปากีสถานได้ออกคำสั่งให้ทางเจ้าหน้าที่รัฐบาลต้องจัดการแก้ไขอย่างเร่งด่วนให้สมาชิกครอบครัวของพลเมืองชาวปาปีฯที่ติดอยู่ในเมืองศูนย์กลางการระบาดโรคโคโรนาไวรัสสามารถติดต่อสื่อสารได้
    โพสต์กวมสื่อเกาะกวมของสหรัฐฯรายงานเพิ่มเติมว่า ในขณะที่กว่า 20 ชาติจากทั่วโลกเร่งอพยพพลเมืองของตนออกมาจากเมืองอู่ฮั่น แต่ทว่าสำหรับนายกรัฐมนตรีอิมรอน ข่านของปากีสถานเป็นการตัดสินใจที่ขึ้นกับด้านการแพทย์และการเมือง
    โดยทางเจ้าหน้าที่ปากีฯอ้างถึงการไม่อพยพพลเมืองออกจากเมืองอู่ฮั่นที่มีนักศึกษาปากีฯไม่ต่ำกว่า 800 คนติดอยู่ในนั้นว่า เป็นเพราะปากีสถานขาดความสามารถในการรับมือโรคระบาดหากว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากเดินทางกลับเข้ามา
    แต่ทว่าจีนเป็นพันธมิตรและผู้อุปถัมป์ทางการเงินรายใหญ่ของอิสรามาบัดเช่นกัน โดยนักวิเคราะห์ต่างกล่าวว่า ข่ายพยายามเอาใจจีนด้วยการแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ด้วยการยืนยันว่านักศึกษาปากีสถานในเมืองอู่อั่นมีความปลอดภัยและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
    อย่างไรก็ตามในวันพฤหัสบดี(13)ล่าสุด นักศึกษาปากีสถานที่อยู่ในเมือง อ้างอิงจากเดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ ได้ออกมาร้องขอต่อรัฐบาลปากีสถานอีกครั้งให้ช่วยเหลือคนเหล่านี้กลับประเทศอย่างปลอดภัย
    โดยตลอดเวลาร่วม 3 สัปดาห์ของการระบาดพบว่าต้องอยู่แต่ภายในโรงแรมในสภาพจิตใจที่เกิดความเครียดเป็นอย่างสูง
    เรฮาน ราจีด (Rehan Rasheed) นักศึกษาแพทย์ในเมืองอู่ฮั่นมาตั้งแต่ปี 2015 ได้ออกมาวิจารณ์ปากีสถานและข่านที่ไม่ยอมอพยพนักศึกษาที่มีไม่ต่ำกว่า 800 ชีวิตกลับประเทศ โดยคนเหล่านี้ติดอยู่ในเมืองหลังทางการจีนได้ทำการปิดตายทั้งเมืองไว้เพื่อควบบคุมการระบาด
    ราจีดกล่าวว่า มีนักศึกษาปากีฯจำนวน 5 คนที่ศึกษาอยู่ที่มหวิทยาลัยอู่ฮั่นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นติดเชื้อไวรัส
    “พวกเราไม่ได้กำลังถูกอพยพและพวกเราไม่ได้รับการสนับสนุน” ราจีดแสดงความเห็นจากการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จากเมืองอู่ฮั่น และเสริมว่า “พวกเราทุคนต่างกลัว และนี่เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก พวกเราถูกกักให้อยู่แต่ในโรงแรมเป็นเวลานานกว่า 20 วันมาแล้ว และเป็นเวลา 3 วันล่าสุด พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนเลย แม้กระทั่งเพื่อไปซื้ออาหารและต้องตกอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว” ราจีดกล่าว
    และเสริมว่า เขาได้พูคุยกับเจ้าหน้าที่เมืองอู่ฮั่นและได้บอกกับเขาว่าทางเมืองไม่มีปัญหาในการอนุญาตให้ทางปากีสถานอพยพพลเมืองกลับประเทศไป โดยราจีดชี้ว่า “นี่เป็นการเห็นได้ชัดว่าทางรัฐบาลของเราไม่ต้องการนำเราออกไปจากสถานการณ์นี้”
    สื่อกวมโพสต์รายงานว่า ในวันพุธ(13) อิมรอน ข่านได้กล่าวผ่านทางทวิตเตอร์ว่า “ปากีสถานขอยืนอยู่เคียงข้างประชาชนและรัฐบาลจีนในช่วงเวลาและความยากลำบากและจะยืนอยู่เคียงข้างพวกเขาเสมอ” และชี้ว่าจะให้ความช่วยเหลือทางด้านเครื่องมือและการให้กำลังใจต่อจีนจากการที่จีนยืนอยู่เคียงข้างปากีสถานเสมอ
    และข่านได้กล่าวว่า ได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศปากีสถานทำทุกอย่างเพื่อนักศึกษาที่ติดอยู่ในเมืองอู่ฮั่น แต่ทางเจ้าหน้าที่ปากีฯเปิดเผยว่า ไม่ได้รวมไปถึงการนำคนเหล่านี้กลับบ้าน ซึ่งเที่ยวบินระหว่างปากีสถานและจีนยังคงเปิดให้บริการตามปกติ แต่นักศึกษาปากีฯเหล่านี้ไม่สามารถกลับประเทศได้หากว่าทางรัฐบาลไม่อนุญาต
    ทั้งนี้พบว่ามีนักศึกษาปากีฯราว 1,300 คนเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย 25 แห่งในเมืองอู่ฮั่นที่มีรประชากร 11 ล้านคน ซึ่งมีนักศึกษาราว 500 คนได้เดินทางออกจากจีนเนื่องมาจากวันหยุดก่อนการระบาด
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ห้องปฏิบัติการโรคระบบทางเดินหายใจแห่งรัฐจีน พัฒนาชุดตรวจจับการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 แบบใหม่สามารถให้ผลลัพธ์ได้ภายใน 15 นาที ด้วยการทดสอบจากเลือดเพียงหยดเดียวของผู้ป่วย
    #MGROnline
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    น้ำแข็งละลายที่ทวีปแอนตาร์กติกา ละลานตากับเส้นทางสู่ 'ธารน้ำแข็งแห่งวันสิ้นโลก'
    จัสติน ราวแลตต์หัวหน้าผู้สื่อข่าวสิ่งแวดล้อม
    _110661246_1920_dsc0750.jpg
    ภาพที่ปรากฏแต่แรกดูขมุกขมัว

    ตะกอนลอยผ่านหน้ากล้อง ขณะที่ ไอซ์ฟิน (Icefin) ยานใต้น้ำสีเหลืองสดไร้คนขับที่ควบคุมจากระยะไกล ค่อย ๆ เคลื่อนไปข้างหน้าใต้แผ่นน้ำแข็ง

    จากนั้น น้ำก็เริ่มใส

    ไอซ์ฟิน อยู่ลึกใต้แผ่นน้ำแข็งเกือบ 600 เมตร ที่บริเวณแนวหน้าของธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

    _110663321_1920_dsc0712.jpg
    ทันใดนั้น ก็มีเงาปรากฏขึ้นด้านบน เป็นเงาจากหน้าผาน้ำแข็งที่ยื่นออกมาและถูกปกคลุมไปด้วยดิน

    ภาพดูไม่ค่อยเหมือนนัก แต่นี่เป็นภาพที่พิเศษ เพราะเป็นภาพแรกที่ได้มาจากเขตแดนที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกของเรา

    ไอซ์ฟิน เคลื่อนไปถึงจุดที่น้ำอุ่นในมหาสมุทรพบกับผนังน้ำแข็งที่อยู่แนวหน้าธารน้ำแข็งทเวตส์ขนาดมหึมา ซึ่งเป็นจุดที่ธารน้ำแข็งนี้เริ่มละลาย

    _110661248_meltholethroughthwaitesneargroundinglinehotwateronicedrilling_bas.jpg Image copyrightBRITISH ANTARCTIC SURVEY
    ธารน้ำแข็งแห่ง 'วันสิ้นโลก'
    นักวิทยาธารน้ำแข็ง เรียกธารน้ำแข็งทเวตส์ว่า ธารน้ำแข็ง "ที่สำคัญที่สุด" ในโลก ธารน้ำแข็งที่ "สุ่มเสี่ยงที่สุด" หรือแม้กระทั่งเรียกว่า ธารน้ำแข็งแห่ง "วันสิ้นโลก"

    มันมีขนาดมโหฬาร พื้นที่ประมาณสหราชอาณาจักร

    น้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีมาจากธารน้ำแข็งแห่งนี้ราว 4% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากสำหรับธารน้ำแข็งเพียงแห่งเดียว ข้อมูลจากดาวเทียมเผยให้เห็นว่า มันกำลังละลายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ธารน้ำแข็งแห่งนี้ มีน้ำมากพอที่จะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นได้กว่าครึ่งเมตร

    _110751116_antarctica_01_ice_thickness_map_976-nc.png
    [​IMG]
    ทเวตส์ตั้งอยู่ในจุดสำคัญ ตรงศูนย์กลางของแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกาตะวันตก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีน้ำแข็งอยู่ในจำนวนที่มากพอจะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นสูงกว่า 3 เมตรได้

    แต่กระนั้นก็ไม่เคยมีความพยายามทำการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่ที่ธารน้ำแข็งแห่งนี้มาก่อน จนกระทั่งปีนี้

    ทีมงานไอซ์ฟิน พร้อมกับนักวิทยาศาสตร์อีกราว 40 คน เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานระหว่างประเทศที่สำรวจธารน้ำแข็งทเวตส์ ซึ่งเป็นโครงการร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ระยะเวลา 5 ปี มูลค่าโครงการ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1,500 ล้านบาท เพื่อทำความเข้าใจว่า ทำไมธารน้ำแข็งแห่งนี้จึงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    โครงการนี้นับเป็นโครงการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดและใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แอนตาร์กติก

    _110751117_antarctica_02_map_v2_976-nc.png
    [​IMG]
    คุณอาจแปลกใจว่า ทำไมแทบไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับธารน้ำแข็งที่มีความสำคัญมากขนาดนี้มาก่อน ผมก็รู้สึกเช่นนั้น ตอนที่ผมได้รับเชิญให้มาติดตามดูการทำงานของนักวิทยาศาสตร์

    แล้วผมก็ได้ทราบคำตอบ ตอนที่ผมพยายามจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง

    หิมะบนทางขึ้นลงเครื่องบินทำให้เที่ยวบินจากนิวซีแลนด์มายังแม็กเมอร์โด (McMurdo) ล่าช้า ที่นั่นคือสถานีวิจัยของสหรัฐฯ ในแอนตาร์กติกา

    นั่นคือความล่าช้าครั้งแรก ก่อนจะเกิดความล่าช้าและความวุ่นวายต่าง ๆ ตามมาอีกหลายครั้ง

    ทำให้คณะนักวิทยาศาสตร์ใช้เวลาหลายสัปดาห์เพียงเพื่อเดินทางไปยังที่พักของพวกเขา

    มีอยู่ช่วงหนึ่ง งานวิจัยของทั้งฤดูกาลนั้นเกือบจะไปถึงจุดที่ถูกยกเลิก เพราะว่าพายุทำให้เที่ยวบินไม่สามารถเดินทางจากแม็กเมอร์โดไปยังแอนตาร์กติกาตะวันตกได้นาน 17 วันติดต่อกัน

    _110661249_1920_dsc0318.jpg
    ทำไมธารน้ำแข็งทเวตส์จึงมีความสำคัญ
    แอนตาร์กติกาตะวันตกเป็นพื้นที่ที่มีพายุเกิดขึ้นมากที่สุดในทวีปแอนตาร์กติกา ซึ่งเป็นทวีปที่มีพายุเกิดขึ้นมากที่สุดในโลก

    ธารน้ำแข็งทเวตส์ตั้งอยู่ห่างไกลมาก อยู่ห่างจากสถานีวิจัยที่ใกล้ที่สุดมากกว่า 1,600 กม.

    มีเพียง 4 คนที่เคยไปถึงบริเวณขอบด้านหน้าสุดของธารน้ำแข็ง พวกเขาก็คือคนที่เดินทางมาสำรวจล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัวสำหรับโครงการปีนี้นั่นเอง

    แต่การทำความเข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นที่นี่ เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับนักวิทยาศาสตร์ ในการคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลในอนาคตได้อย่างแม่นยำ

    น้ำแข็งในแอนตาร์กติกากักเก็บน้ำจืดของทั้งโลกอยู่ราว 90% และ 80% ของน้ำแข็งนั้นอยู่ทางตะวันออกของทวีป

    _110667848_ice_above_1920.jpg
    น้ำแข็งในแอนตาร์กติกาตะวันออกหนามาก โดยเฉลี่ยหนากว่า 1.6 กิโลเมตร แต่มันตั้งอยู่บนที่สูง และค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงทะเล

    น้ำแข็งบางส่วนมีอายุเก่าแก่หลายล้านปี

    ต่างจากแอนตาร์กติกาตะวันตก ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า แต่ว่าก็ยังคงมีขนาดใหญ่ และมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ง่ายกว่ามาก

    น้ำแข็งในแอนตาร์กติกาตะวันตกไม่ได้ตั้งอยู่บนที่สูง แต่จริง ๆ แล้ว อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ถ้าพื้นที่แถวนั้นไม่เป็นน้ำแข็ง มันก็คงเป็นมหาสมุทรลึกที่มีเกาะอยู่จำนวนหนึ่ง

    _110751119_antarctica_03_sea_level_big_976-nc.png
    ผมอยู่ในแอนตาร์กติกา 5 สัปดาห์ ก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินสำรวจแอนตาร์กติกาทวินอ็อตเทอร์ของอังกฤษ ไปยังริมสุดของธารน้ำแข็ง

    ผมจะไปค้างแรมที่นั่นกับทีมงาน ในบริเวณที่เรียกกันว่า เขตน้ำแข็งหลุดจากการยึดเกาะกับพื้นดิน (grounding zone)

    พวกเขาตั้งค่ายอยู่บนน้ำแข็งเหนือจุดที่ธารน้ำแข็งเจอกับน้ำในมหาสมุทร และต้องทำงานที่ท้าทายที่สุด

    พวกเขาต้องการเจาะน้ำแข็งลึกลงไปประมาณครึ่งไมล์ (ราว 800 เมตร) ไปถึงจุดที่ธารน้ำแข็งลอยอยู่

    ไม่มีใครเคยทำเช่นนี้บนธารน้ำแข็งที่ใหญ่และซับซ้อนขนาดนี้มาก่อน

    พวกเขาจะใช้รูนี้ในการลงไปให้ถึงจุดที่น้ำทะเลทำให้ธารน้ำแข็งละลายเพื่อหาคำตอบว่า มันมาจากไหน และทำไมจึงทำให้น้ำแข็งละลายได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้

    _110751118_antarctica_04_sea_level_cross_section_976-nc.png
    [​IMG]
    พวกเขาไม่มีเวลามากนัก

    ความล่าช้าต่าง ๆ หมายความว่า มีเวลาเหลือเพียง 2-3 สัปดาห์ในช่วงหน้าร้อนของแอนตาร์กติกา ก่อนที่สภาพอากาศจะเริ่มเลวร้าย

    ในช่วงที่สมาชิกทีมขุดเจาะติดตั้งอุปกรณ์ ผมช่วยสำรวจแรงสั่นสะเทือนของก้นทะเลใต้ธารน้ำแข็ง

    ดร.คียา ริเวอร์แมน นักวิทยาธารน้ำแข็ง ที่มหาวิทยาลัยโอเรกอน ใช้สว่านน้ำแข็งในการขุดเจาะลงไป สว่านนี้ทำจากเหล็กสแตนเลสเกลียวขนาดใหญ่ และมีการจุดระเบิดขนาดเล็ก

    คนที่เหลือช่วยกันขุดรูในน้ำแข็งเพื่อติด "จีโอร็อดส์" (georods) และ "จีโอโฟนส์" (geophones) หูฟังไฟฟ้าที่ใช้ฟังเสียงสะท้อนของรอยแยกที่สะท้อนจากชั้นหินด้านล่างสุดขึ้นมาผ่านชั้นของน้ำและน้ำแข็ง

    _110668980_front_of_thwaites_-1920.jpg Image copyrightDAVID VAUGHAN
    ทเวตส์ตั้งอยู่ที่ก้นทะเล
    เหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์กังวลเกี่ยวกับธารน้ำแข็งทเวตส์คือ การที่ก้นทะเลมีความลาดลง นั่นหมายความว่า ธารน้ำแข็งจะมีความหนามากขึ้นเมื่อเข้าใกล้ชายฝั่ง

    ที่จุดที่ลึกที่สุด ฐานของธารน้ำแข็งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 1 ไมล์ (ประมาณ 1.6 กม.) และมีน้ำแข็งหนาอีก 1 ไมล์ (ประมาณ 1.6 กม.) เหนือจุดนั้น

    สิ่งที่เหมือนกำลังเกิดขึ้นในตอนนี้คือ กระแสน้ำอุ่นที่อยู่ในระดับลึกกำลังไหลไปทางชายฝั่ง และลงไปใต้แผ่นน้ำแข็งที่อยู่แนวหน้า ทำให้ธารน้ำแข็งละลาย

    เมื่อธารน้ำแข็งถอยร่นลง ก็จะเผยพื้นผิวน้ำแข็งให้สัมผัสกับกระแสน้ำอุ่นมากขึ้น

    _110751120_antarctica_05_3d_glacier_v2_976.jpg
    [​IMG]
    คล้ายกับการค่อย ๆ เฉือนก้อนชีสจากด้านที่เป็นลิ่มแหลมออกไปเรื่อย ๆ

    เมื่อพื้นผิวของน้ำแข็งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ น้ำแข็งก็ละลายมากขึ้น แต่นั่นไม่ใช่ผลกระทบเพียงอย่างเดียว

    เมื่อบริเวณแนวหน้าของธารน้ำแข็งละลาย น้ำหนักของธารน้ำแข็งที่อยู่ด้านหลังจะผลักดันมันไปข้างหน้าตามแรงดึงดูดของโลก

    ดร. ริเวอร์แมน อธิบายว่า มันอยากจะ "ไถลออกมา" เธอบอกว่า หน้าผาน้ำแข็งยิ่งสูง ก็จะยิ่งทำให้ธารน้ำแข็ง "ไถล" ออกมาได้มากขึ้น

    ดังนั้น เมื่อธารน้ำแข็งละลายมากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้น้ำแข็งในธารน้ำแข็งมีโอกาสลอยมากขึ้น

    "ความน่ากลัวก็คือ กระบวนการเหล่านี้จะเร่งตัวขึ้น" เธอกล่าว "มันเป็นวงรอบที่เกิดขึ้นจากผลกระทบของมัน เป็นวงจรเลวร้าย"

    _110677091_img_1056.jpg
    การสำรวจทางวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ขนาดนี้ ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ ไม่ใช่แค่การส่งนักวิทยาศาสตร์ 2-3 คน ไปยังพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลนั้น

    แต่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะทางจำนวนมาก และเชื้อเพลิงอีกหลายหมื่นลิตร รวมถึง เต็นท์ และอุปกรณ์ในการพักค้างแรมอื่น ๆ รวมถึงอาหารการกิน

    ผมพักค้างแรมอยู่บนธารน้ำแข็งนาน 1 เดือน นักวิทยาศาสตร์บางคนอยู่นานกว่านั้นอีก อาจจะ 2 เดือนหรือนานกว่านั้น

    เครื่องบินขนส่งสินค้า C-130 ที่ติดตั้งสกีขนาดใหญ่ ของโครงการแอนตาร์กติกาสหรัฐฯ ต้องขนส่งนักวิทยาศาสตร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ไปยังสถานีหลักที่ตั้งอยู่กลางแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกาตะวันตก โดยใช้เที่ยวบินทั้งหมดมากกว่า 12 เที่ยวบิน

    จากนั้น เครื่องบินที่ขนาดเล็กลงมา คือ เครื่องบินดาโกตา และเครื่องบินทวินอ็อตเทอร์ จะขนส่งคนและสิ่งของไปยังค่ายพักค้างแรม ที่อยู่ห่างไกลหลายร้อยไมล์บนธารน้ำแข็งในทางที่มุ่งหน้าสู่ทะเล

    _110751121_antarctica_06_comparison_v2_976-nc.png
    [​IMG]
    ระยะทางยาวไกลมากจนทำให้ต้องมีการตั้งค่ายพักแรมกลางทางเพื่อให้เครื่องบินลงจอดแวะเติมน้ำมันได้

    การสำรวจแอนตาร์กติกาของอังกฤษได้มีส่วนช่วยในการเดินทางอันแสนยาวนานนี้ ด้วยการขนเชื้อเพลิงและสิ่งของจำนวนหลายร้อยตันเข้ามาให้

    เรือตัดน้ำแข็ง 2 ลำจอดอยู่ที่ด้านข้างหน้าผาน้ำแข็งที่บริเวณปลายคาบสมุทรแอนตาร์กติกาในช่วงฤดูร้อนปีที่แล้วของแอนตาร์กติกา

    จากนั้นทีมคนขับรถหิมะพิเศษได้ลากสิ่งของข้ามแผ่นน้ำแข็งเป็นระยะทางกว่า 1 พันไมล์ โดยต้องผ่านพื้นที่ที่ยากลำบากและสภาพอากาศเลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

    การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก และใช้ความเร็วสูงสุดได้เพียง 10 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 16 กม. ต่อชั่วโมง)

    _110663319_ships_in_ice.jpg
    ขุดเจาะน้ำแข็ง
    นักวิทยาศาสตร์ที่พักแรมอยู่บริเวณเขตน้ำแข็งหลุดจากการยึดเกาะกับพื้นดิน (grounding zone) มีแผนที่จะใช้น้ำร้อนในการขุดเจาะน้ำแข็ง โดยต้องใช้น้ำ 10,000 ลิตร นั่นหมายถึงต้องละลายหิมะหนัก 10 ตัน

    ทุกคนใช้พลั่วตักหิมะขึ้นมาใส่ "ฟลับเบอร์" (flubber) ซึ่งทำจากยางมีขนาดเท่ากับสระว่ายน้ำขนาดเล็ก

    "มันจะเป็นอ่างน้ำวนที่อยู่ใต้สุดของโลก" พอล อังเคอร์ วิศวกรขุดเจาะของโครงการสำรวจแอนตาร์กติกาของอังกฤษ หยอดมุก

    หลักการง่ายมาก คุณใช้เครื่องต้มน้ำทำให้น้ำร้อน ต่ำกว่าจุดเดือด จากนั้นก็ฉีดมันใส่น้ำแข็ง เพื่อละลายน้ำแข็งลงไปข้างล่าง

    _110661251_1920_dsc0695.jpg
    แต่การขุดเจาะรูขนาด 30 ซม. ลึกลงไปเกือบครึ่งไมล์ (ประมาณ 800 เมตร) ในน้ำแข็งบริเวณแนวหน้าของธารน้ำแข็งที่อยู่ห่างไกลที่สุดในโลกไม่ใช่เรื่องง่าย

    น้ำแข็งมีความเย็นประมาณ -25 องศาเซลเซียส ดังนั้นรูที่เจาะจึงกลับมาแข็งตัวได้ไว กระบวนการทั้งหมดขึ้นอยู่กับสภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้

    ช่วงต้นเดือนมกราคม ฟลับเบอร์เต็ม และอุปกรณ์ทุกอย่างพร้อม แต่เราได้รับคำเตือนว่า พายุอีกลูกกำลังเข้ามา

    พายุในแอนตาร์กติกาอาจมีความรุนแรงอย่างมาก มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจอลมความรุนแรงเท่ากับเฮอร์ริเคน และอุณหภูมิที่ต่ำมาก ๆ

    พายุลูกนี้ถือว่าค่อนข้างเบาสำหรับแอนตาร์กติกา แต่นั่นก็ยังทำให้มีลมกระโชกแรงถึง 80 กม./ชั่วโมง นาน 3 วัน มันพัดพาหิมะมาตกใส่ที่พักแรม ทับถมอุปกรณ์ ต้องหยุดการทำงานทุกอย่าง

    _110663316_x1920_dsc0377.jpg
    เรานั่งอยู่ในเต็นท์เล่นไพ่แล้วก็ดื่มชากัน บรรดานักวิทยาศาสตร์คุยกันว่า ทำไมธารน้ำแข็งถึงร่นลงเร็วมากอย่างนี้

    พวกเขาบอกว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เป็นผลมาจากผลกระทบที่ซับซ้อนของภูมิอากาศ สภาพอากาศ และกระแสน้ำในมหาสมุทร

    กุญแจสำคัญคือ น้ำทะเลที่อุ่น ซึ่งไหลมาจากอีกฝั่งหนึ่งของโลก

    ขณะที่กระแสน้ำกัลฟ์สตรีม (Gulf Stream) เย็นลงระหว่างกรีนแลนด์และไอซ์แลนด์ น้ำจะจมลง

    น้ำนี้มีความเค็ม ทำให้มันค่อนข้างหนัก แต่ก็ยังมีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเยือกแข็งอยู่ราว 1-2 องศาเซลเซียส

    กระแสน้ำลึกในมหาสมุทรที่เรียกว่า แอตแลนติกคอนเวเยอร์ (Atlantic conveyor) ได้พัดน้ำเค็มที่หนักลงไปทางใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติก

    _110667847_hole_1920.jpg
    กระแสลมเปลี่ยน
    ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้ (Antarctic Circumpolar Current) ที่พัดอยู่ที่ระดับความลึกราว 530 เมตร อยู่ต่ำกว่าชั้นน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำกว่านั้นมาก

    ผิวน้ำของมหาสมุทรแอนตาร์กติกมีความเย็นมาก อยู่ที่ประมาณ -2 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นจุดเยือกแข็งของน้ำเค็ม

    กระแสน้ำอุ่นรอบขั้วโลกที่อยู่ในระดับลึก พัดพาไปทั่วภูมิภาค แต่ได้รุกล้ำเข้ามาบริเวณริมแอนตาร์กติกาตะวันตกที่เป็นน้ำแข็งเพิ่มมากขึ้น

    จุดนี้เองที่ทำให้ภูมิอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลง

    นักวิทยาศาสตร์บอกว่า มหาสมุทรแปซิฟิกกำลังร้อนขึ้น และได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบกระแสลมนอกชายฝั่งแอนตาร์กติกาตะวันตก ทำให้กระแสน้ำอุ่นที่อยู่ในระดับลึกพัดขึ้นมาท่วมบริเวณทวีปที่จมอยู่ในทะเล

    "กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้ที่อยู่ในระดับลึก มีอุณหภูมิอุ่นกว่าน้ำที่อยู่ด้านบนเพียงเล็กน้อย อาจจะอยู่ที่ 1 ถึง 2 องศาเซลเซียส แต่นั่นก็อุ่นพอที่จะทำให้ธารน้ำแข็งละลายได้" เดวิด ฮอลแลนด์ นักสมุทรศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กล่าว โดยเดวิด เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ผู้นำการสำรวจที่พักแรมอยู่บริเวณเขตน้ำแข็งหลุดจากการยึดเกาะกับพื้นดิน (grounding zone) ด้วย

    _110661255_1920_dsc0761.jpg
    ผมควรจะเดินทางออกจากแอนตาร์กติกาช่วงปลายเดือนธันวาคม แต่ความล่าช้าต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้เพิ่งเริ่มการขุดเจาะได้ในวันที่ 7 มกราคม

    วันนั้นเองเราได้รับโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมจากสำนักงานใหญ่โครงการแอนตาร์กติกาของสหรัฐฯ ที่สถานีแม็กเมอร์โด

    พวกเขาบอกว่า เราไม่สามารถเลื่อนการเดินทางของเราออกจากแอนตาร์กติกาได้อีกต่อไปแล้ว เราจะต้องโดยสารเครื่องบินขนส่งเสบียงที่กำลังจะเดินทางมาถึงที่ค่ายพักแรมในอีกประมาณ 1 ชั่วโมง กลับออกไป

    มันน่าหงุดหงิดที่จะต้องออกจากที่นั่นก่อนที่จะขุดเจาะรูเสร็จ และอุปกรณ์ทุกอย่างก็ถูกส่งมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางถึงที่นั่น

    _110663317_x1920_dsc0381.jpg
    เรากล่าวคำลา แล้วก็ขึ้นเครื่องบินลำนั้นไป

    ผมมองไปข้างหลังและเห็นวงล้อด้านบนอุปกรณ์ขุดเจาะกำลังหมุน ม้วนสายยางสีดำกำลังหมุนออกอย่างต่อเนื่อง

    พวกเขาคงขุดเจาะน้ำแข็งไปได้เกือบครึ่งทางแล้ว

    เครื่องบินบินขึ้นเหนือค่ายที่พักแรม และมุ่งหน้าไปทางเหนือ ออกไปทางมหาสมุทร

    นักวิทยาศาสตร์บอกผมว่า เราตั้งค่ายพักแรมบนอ่าวน้ำแข็งเล็ก ๆ ที่ล้อมรอบด้วยพื้นที่ยกตัวขึ้นเป็นรูปเกือบม้า

    ตอนที่เราบินออกไปที่บริเวณแนวหน้าของธารน้ำแข็ง ผมถึงได้รู้ว่า พื้นที่ตรงนั้นมีความเปราะบางมากจนน่าตกตะลึง

    _110661254_1920_dsc0843.jpg
    แรงมหาศาลที่เกิดจากการทำงานในพื้นที่นี้ จะทำให้น้ำแข็งค่อย ๆ แตกแยกออก

    ในบางพื้นที่ แผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ได้แตกออก และถล่มลงเป็นภูเขาน้ำแข็งจำนวนมาก แล้วก็ลอยออกไปอย่างสะเปะสะปะ

    ในพื้นที่อื่น ที่มีหน้าผาน้ำแข็ง บางแห่งอาจสูงเกือบ 1 ไมล์ (ประมาณ 1.6 กม.) จากก้นทะเล

    บริเวณแนวหน้าของธารน้ำแข็งมีความกว้างเกือบ 100 ไมล์ (ประมาณ 160 กม.) และกำลังถล่มลงในทะเลในอัตรา 2 ไมล์ (ประมาณ 3 กม.) ต่อปี

    เป็นอัตราที่น่าตกใจ และนั่นคือเหตุผลว่า ทำไมธารน้ำแข็งทเวตส์จึงมีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ที่ทำให้ผมตกใจก็คือ การรู้ว่า มีอีกกระบวนการหนึ่งที่อาจเร่งให้ธารน้ำแข็งทเวตส์ร่นลงเร็วมากขึ้นไปอีก

    p058l4hx.jpg

    ภูเขาน้ำแข็ง
    อัตราการละลายเพิ่มขึ้น
    ธารน้ำแข็งส่วนใหญ่ที่ไหลลงสู่ทะเล มีสิ่งที่เรียกว่า "ปั๊มน้ำแข็ง"

    น้ำทะเลมีความเค็มและหนาแน่น ทำให้มันหนัก ส่วนน้ำแข็งที่ละลาย เป็นน้ำจืด จึงมีน้ำหนักเบากว่า

    เมื่อธารน้ำแข็งละลาย น้ำจืดจะไหลขึ้นข้างบน ดูดเอาน้ำทะเลที่อุ่นกว่าและหนักกว่าด้านล้างขึ้นมา

    ตอนที่น้ำทะเลเย็น กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นช้ามาก ปั๊มน้ำแข็งจะละลายเพียงไม่กี่สิบเซนติเมตรต่อปี และหิมะที่ตกลงมาก็จะช่วยสร้างน้ำแข็งใหม่ขึ้นมาทดแทนกันได้ไม่ยาก

    แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนบอกว่า กระแสน้ำอุ่นทำให้กระบวนการนี้เปลี่ยนแปลงไป

    หลักฐานจากธารน้ำแข็งแห่งอื่น ๆ เผยให้เห็นว่า ถ้าคุณเพิ่มปริมาณน้ำอุ่นที่ไหลไปถึงธารน้ำแข็ง ปั๊มน้ำแข็งจะทำงานเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก

    "มันอาจทำให้ธารน้ำแข็งลุกเป็นไฟ" ศ.ฮอลแลนด์ กล่าวว่า "เพิ่มอัตราการละลายได้มากขึ้น 100 เท่าตัว"

    เครื่องบินขนาดเล็กพาเราไปยังค่ายพักแรมกลางแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกา แต่สภาพอากาศที่เลวร้ายทำให้การเดินทางต้องล่าช้าออกไปอีก กว่าที่เครื่องบิน C-130 จะมารับเรากลับไปที่แม็กเมอร์โดได้ ต้องรอถึง 9 วัน

    _110668976_hercules_bbc_1920.jpg
    ระหว่างนั้นมีนักวิทยาศาสตร์บางส่วนเดินทางมาสมทบ

    ฤดูกาลนี้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก พวกเขายืนยันว่า กระแสน้ำอุ่นรอบขั้วโลกใต้ที่ระดับลึกได้ไหลเข้ามาใต้ธารน้ำแข็งและพวกเขาเก็บข้อมูลได้จำนวนมหาศาล

    ไอซ์ฟิน ยานใต้น้ำไร้คนขับ สามารถปฏิบัติภารกิจได้ถึง 5 ครั้ง ทำการวัดจำนวนมากในน้ำบริเวณใต้ธารน้ำแข็ง และบันทึกภาพน่าพิศวงได้จำนวนหนึ่ง คงต้องใช้เวลาหลายปีในการประมวลผลข้อมูลทั้งหมดที่ทีมงานเก็บมาได้ และรวบรวมการค้นพบให้เป็นแบบจำลองที่ใช้ในการทำนายการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลได้ในอนาคต

    ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
    ธารน้ำแข็งทเวตส์จะไม่หายไปในชั่วข้ามคืน นักวิทยาศาสตร์บอกว่าจะต้องใช้เวลานานหลายสิบปี หรืออาจจะนานกว่า 100 ปี

    แต่นั่นก็ไม่ควรทำให้เรานิ่งนอนใจ

    ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น 1 เมตร อาจจะดูไม่มาก เมื่อพิจารณาจากปัจจุบันก็มีน้ำขึ้นน้ำลง 3-4 เมตรอยู่แล้วในแต่ละวันในบางพื้นที่

    แต่ ศ.เดวิด วอห์น ผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์ของโครงการสำรวจแอนตาร์กติกาของอังกฤษ กล่าวว่า ระดับน้ำทะเลส่งผลกระทบอย่างมากต่อความรุนแรงของคลื่นพายุซัดฝั่ง (storm surge)

    ลองดูกรุงลอนดอนเป็นตัวอย่าง

    _110751122_antarctica_07_london_floods_976-nc.png
    [​IMG]
    การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล 50 ซม. ทำให้คลื่นพายุซัดฝั่งที่ปกติเกิดขึ้นทุก ๆ 1 พันปี จะเกิดถี่ขึ้นเป็นทุก ๆ 100 ปี

    ถ้าคุณเพิ่มระดับน้ำทะเลเป็น 1 เมตร คลื่นพายุซัดฝั่งอาจจะเกิดขึ้นทุก ๆ 10 ปีก็ได้

    "เมื่อคุณลองคิดดู เรื่องพวกนี้ไม่ได้น่าแปลกใจเลย" ศ.วอห์น กล่าว ขณะที่เรากำลังเตรียมขึ้นเครื่องบินที่จะพาเรากลับไปที่นิวซีแลนด์และเดินทางต่อกลับบ้าน

    ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กำลังทำให้เกิดความร้อนในชั้นบรรยากาศและมหาสมุทรมากขึ้น

    ความร้อนคือพลังงาน และพลังงานก็ส่งผลต่อสภาพอากาศและกระแสน้ำในมหาสมุทร

    เขากล่าวว่า ปริมาณพลังงานที่เพิ่มขึ้นในระบบ ทำให้การเปลี่ยนแปลงในระดับโลกก็จะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    "มันเกิดขึ้นแล้วในอาร์กติก" ศ. วอห์น กล่าว พร้อมกับถอนหายใจ "สิ่งที่เรากำลังพบเจอในแอนตาร์กติกา เป็นเพียงระบบขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่กำลังแสดงปฏิกิริยาในแบบของมันเท่านั้น"

    _110661253_1920_dsc0804.jpg
    ค้นคว้าและทำกราฟิก โดย อลิสัน ทราวส์เดล, เบ็กกี เดล, ลิลลี ฮวีนห์, ไอริน เด ลา ตอร์เร ถ่ายภาพโดย เจ็มมา ค็อกส์ และ เดวิด วอห์น

    ค้นคว้าเพิ่มเติมโดย ศาสตราจารย์แอนดรูว์ เชปเพิร์ด มหาวิทยาลัยลีดส์

    https://www.bbc.com/thai/international-51285703?at_custom1=[post+type]&at_custom2=facebook_page&at_campaign=64&at_custom4=AD5DB5EA-507C-11EA-8503-D98FC28169F1&at_medium=custom7&at_custom3=BBC+Thai
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จีนฆ่าเชื้อธนบัตรแล้วแยกเก็บไว้สูงสุด 14 วัน
    : ทางการจีนฆ่าเชื้อธนบัตรแล้วแยกเก็บไว้สูงสุด 14 วันก่อนนำออกมาใช้หมุนเวียนในระบบ เพื่อยับยั้งโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ระบาดที่ขณะนี้คร่าชีวิตคนในจีนแผ่นดินใหญ่ไปแล้วกว่า 1,500 คน
    ธนาคารกลางจีนแถลงข่าววันนี้ว่า ธนาคารต่าง ๆ ได้ใช้แสงอัลตราไวโอเล็ตหรือยูวี และความร้อนสูงฆ่าเชื้อธนบัตรเงินหยวนแล้วนำไปแยกเก็บไว้ 7-14 วันขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการระบาดในพื้นที่นั้น ๆ ก่อนนำออกมาใช้หมุนเวียนในระบบ นายฟ่าน อีเฟย รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีนกล่าวว่า ได้ขอให้ธนาคารต่าง ๆ ให้ธนบัตรใหม่แก่ลูกค้าหากเป็นไปได้ ขณะที่ธนาคารกลางเองได้เร่งออกธนบัตรใหม่จำนวน 4,000 ล้านฉบับให้แก่มณฑลหูเป่ย ศูนย์กลางการระบาดตั้งแต่ก่อนเข้าสู่เทศกาลตรุษจีน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าประชาชนจะปลอดภัยและไม่ติดเชื้อจากการใช้ธนบัตร อย่างไรก็ดี เอเอฟพีตั้งข้อสังเกตว่า ปัจจุบันชาวจีนใช้เงินสดกันน้อยเพราะหันมาจ่ายเงินทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ผลสำรวจตั้งแต่ปี 2560 พบว่า ผู้ตอบชาวจีนเกือบสามในสี่เผยว่า มีชีวิตอยู่ได้ทั้งเดือนแม้มีเงินสดติดตัวไม่ถึง 100 หยวน
    ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกระบุว่า โรคโควิด-19 สามารถแพร่ผ่านวัตถุปนเปื้อนเชื้อ นอกเหนือไปจากละอองน้ำมูกน้ำลายของผู้ป่วยและการสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง ทางการจีนเร่งฆ่าเชื้อสถานที่สาธารณะและลดการติดต่อโดยตรงระหว่างผู้คนหลังจากโรคเริ่มระบาดจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ทางตอนกลางของประเทศ จนต้องประกาศปิดเมืองตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม
    Source: สำนักข่าวไทย
    https://www.mcot.net/viewtna/5e479c5ae3f8e40af84193ff
    เพิ่มเติม
    www.theguardian.com
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ข่าวภัยพิบัติ
    #ทฤษฎีTheDayAfterTomorrow
    // เกาะแห่งหนึ่ง ใน “แอนตาร์กติก” อุณหภูมิสูงถึง 20 องศาเซลเซียส เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทำให้เกิดความวิตก ต่อแหล่งกักเก็บน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งร้อนกว่าอุณหภูมิตอนเช้าในเชียงราย //
    15/02/20
    เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2020ที่ผ่านมานี้ Carlos Schaefer นักวิทยาศาสตร์ชาวบราซิลที่ศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิภายในทวีป Antarctic ที่ส่งผลต่อชีววิทยาและ Permafrost (ชั้นดินเยือกแข็ง) โดยเขาได้เก็บข้อมูลอุณหภูมินี้ที่ Seymour Island 1 ใน 16 เกาะของหมู่เกาะ Graham Land ที่ตั้งอยู่ในบริเวณคาบสมุทร แอนตาร์กติก และพบว่า มีอุณหภูมิสูงถึง 20.75ºC (69.35ºF) มีอุณหภูมิสูงจนทำลายสถิติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เรียกได้ว่าร้อนกว่าจังหวัดเชียงรายในเช้าวันเดียวกันที่มีอุณหภูมิ 18°C ทั้งที่อยู่ในประเทศเขตร้อนอย่างไทย
    ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า " อุณหภูมิซึ่งวัดได้เกาะซีมัวร์ (Seymour Island). ที่ระดับ 20.75 องศาเซลเซียสนั้นเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อและผิดปกติ "
    ทำให้เกิดความวิตกต่อสภาพความไม่แน่นอนของแหล่งกักเก็บน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    ก่อนหน้านี้เคยวัดอุณหภูมิได้ 19.8 องศาเซลเซียส ที่เกาะ Signy เมื่อเดือนมกราคมปี 1982 ซึ่งครั้งล่าสุดนี้ก็ได้ทำลายสถิติไปแล้ว
    การทำลายสถิติครั้งนี้ต้องรอการยืนยันจาก องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของสภาพวะโลกร้อน
    ก่อนหน้านี้ 3 วันคือในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกได้ออกมาเปิดเผยว่าที่สถานีเอสเพอเรนซา ( Esperanza) ในคาบสมุทรทางตอนเหนือ ของทวีป แอนตาร์กติกาก็ร้อนทำลายสถิติ 18.3°C
    เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2020 อุณหภูมิในทวีปนี้กลับแตกต่างไปจากที่เคยเป็น โดยอุณหภูมิของมันนั้นพุ่งสูงถึง 18.3 องศาเซลเซียส ซึ่งก็ร้อนกว่าเชียงรายในเช้าวันเดียวกัน วึ่งมีอุณหภูมิเพียง 14°C (ข้อมูล: mrvob)
    ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ นักวิทยาศาสตร์ที่คอยสังเกตการณ์ธารน้ำแข็ง A68 ได้มีการออกมาเปิดเผยว่า ตัวธารน้ำแข็งแผ่นนี้ในปัจจุบันกำลังมุ่งหน้าออกสู่ทะเลใหญ่
    ธารน้ำแข็งดังกล่าวมีขนาดมากกว่า 6,000 ตารางกิโลเมตร (ใหญ่พอๆ กับชลบุรี) และหนักมากกว่าล้านล้านตัน
    อุณหภูมิที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์จากการวัดทั้งสองครั้งนี้ แม้ว่าจะต้องผ่านการรับรองจากกรมอุตุนิยมวิทยาโลก แต่ก็สอดคล้องกับสถานการณ์ส่วนใหญ่ในบริเวณคาบสมุทรแอนตาร์กติกและเกาะที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งอุ่นขึ้นเกือบ 3 องศาเซลเซียส นับตั้งแต่ยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม และเป็นอุณหภูมิที่มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแห่งหนึ่งของโลก
    เราเคยเห็นแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิจากหลายสถานีที่เราเฝ้าติดตาม แต่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน” คาร์ลอส เชฟเฟอร์ ซึ่งทำงานในโครงการเทอร์รานทาร์ (Terrantar) โครงการของรัฐบาลบราซิลที่มุ่งไปที่การประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ climate change ต่อชั้นดินเยือกแข็งคงตัว หรือ permafrost (permafrost หมายถึง พื้นดินที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียสติดต่อกันเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่พบพื้นดินแบบนี้ในบริเวณขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ และพื้นที่สูงที่มีอากาศหนาวเย็น ซึ่งบนผิวดินอาจไม่จำเป็นต้องมีน้ำแข็งปกคลุมก็ได้) และด้านชีววิทยาจาก 23 สถานีที่คาบสมุทรแอนตาร์ติก
    เชฟเฟอร์กล่าวว่า อุณหภูมิในคาบสมุทรแอนตาร์ติก บริเวณเกาะเชตแลนด์ใต้ (South Shetland Island) และหมู่เกาะเจมส์ รอสส์ (James Ross archipelago) ซึ่งครอบคลุมเกาะซีมัวร์ มีความไม่แน่นอนในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา และหลังจากที่เย็นลงในช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษนี้ ก็กลับมาอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว
    นักวิทยาศาสตร์ชาวบราซิลซึ่งอยู่ในโครงการแอนตาร์กติกให้ความเห็นว่า การที่อุณหภูมิสูงขึ้นเกิดจากอิทธิพลของการยกตัวของกระแสน้ำในมหาสมุทรและปรากฎการณ์เอลนีโญ
    “เราพบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในชั้นบรรยากาศ ซึ่งเกี่ยวข้องกันมากกับการเปลี่ยนแปลงของชั้นดินเยือกแข็งคงตัวและมหาสมุทร ทั้งหมดนี้สัมพันธ์กันมาก”
    ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีความแตกต่างกันทั่วทั้งคาบสมุทร ที่ประกอบด้วยผืนดิน เกาะ และมหาสมุทรซึ่งอยู่บริเวณเส้นขนานหรือละติจูดที่ 60 องศาใต้ ภูมิภาคนี้เป็นแหล่งกักเก็บน้ำ 70% ของโลกในรูปของหิมะและน้ำแข็ง ซึ่งหากละลายทั้งหมดจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 50-60 เมตร
    แต่ นักวิทยาศาสตร์สหประชาชาติพยากรณ์ว่า ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นราว 30-110 เซนติเมตรภายในสิ้นศตวรรษนี้ แต่ขึ้นอยู่กับความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและความเปราะบางของแผ่นน้ำแข็ง
    ขณะที่อุณหภูมิทางตะวันออกและตอนกลางของแอนตาร์กติกยังคงทรงตัว แต่ก็มีความวิตกมากขึ้นต่อทางตะวันตกของแอนตาร์กติก ซึ่งมหาสมุทรที่อุ่นขึ้นมีผลต่อธารน้ำแข็งที่เกาะไพน์และเกาะทะวาอิทส์ (Thwaites and Pine Island) และก็ยังมีผลน้อยต่อการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล แต่ก็อาจจะเพิ่มขึ้นรวดเร็วได้หากอุณหภูมิสูงขึ้นต่อเนื่อง
    คาบสมุทรแอนตาร์ติกที่มีความยาวทอดไปยังอาร์เจนตินาได้รับผลกระทบมากที่สุด จากการที่เดอะการ์เดียนร่วมเดินทางไปกับกลุ่มกรีนพีซพบว่า ธารน้ำแข็งลดลงมากกว่า 100 เมตรในอ่าวดิสคัฟเวอรี (Discovery Bay) และพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะคิง จอร์จ (King George Island) ซึ่งหิมะค่อยๆ ละลายมากว่าสัปดาห์ จนเห็นก้อนหินสีดำ ขณะที่การละลายของน้ำแข็งเกิดขึ้นทุกๆ หน้าร้อน นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมาเห็นได้ชัดขึ้นว่า อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเร็วกว่าการเพิ่มขึ้นในหน้าหนาว สิ่งเหล่านี้เชื่อว่าเป็นสาเหตุของสัญญานอันตรายของการลดลงมากกว่า 50% ของกลุ่มนกเพนกวินสายพันธ์ชินสแตรป (chinstrap penguin) ซึ่งต้องพึ่งพาทะเลน้ำแข็ง
    เชฟเฟอร์กล่าวว่า การติดตามการเก็บบันทึกข้อมูลในบริเวณนี้ อาจจะบ่งชี้ได้ถึงสถานการณ์ในส่วนอื่นของภูมิภาค “เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีพื้นที่เฝ้าระวังอย่างเกาะเชตแลนด์ใต้ และคาบสมุทรแอนตาร์กติกเพราะจะบ่งชี้ถึงสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นอนาคตอันใกล้นี้”
    ซึ่งหากอุณหภูมิยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็น่าจะทำให้ น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกใต้ละลาย
    นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้มีการคาดการณ์ว่าหาก น้ำแข็งในทวีป Antarctic ละลายลงทั้งหมด ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้นถึง200 ฟุต (ไม่รวมปริมาณน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือ) และน่าจะทำให้แผ่นดินหลายแห่งถูกกลืนหายไป
    จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความพยายามของมนุษย์ในการลดการปล่อยมลพิษและลดความเป็นไปของสภาพโลกร้อน
    ที่มา ecowatch, bbc,unilad,stem.in.th
    อุณหภูมิที่แถบแอนตาร์กติกได้เพิ่มขึ้นสูงกว่า 20 องศาเซลเซียส
    https://www.theguardian.com/world/2...temperature-rises-above-20c-first-time-record
    #Watchers
    -------------------------------
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ดาบชินกุนโต

    532642topicix9.jpg

    ดาบ ชินกุนโต
    ชินกุนโต หรือ ที่เราๆเรียกกันว่า ดาบ ทหารญี่ปุ่น บ้างก็ เรียกว่า ดาบ ซามูไร ไปนู่นเลย ไม่ว่าจะอย่างไร ก่อนที่เราจะลงลึกถึงเรื่องราวของ ดาบ ชินกุนโต ที่ว่านี้ เรามาทำความเข้าใจพื้นฐานของดาบ ญี่ปุ่นกันก่อนนะครับ โดยจะใช้คำที่เข้าใจง่าย และ หลีกเลี่ยงการใช้ ศัพทย์เฉพาะ ที่เข้าใจยาก และ ไม่จำเป็น นะครับ เริ่มกันเลยก็แล้วกัน
    ดาบญี่ปุ่นนั้น มียุคสมัยของตัวเอง โดย แบ่ง ยุคใหญ่ๆได้ดังนี้
    1. โกโต คือ ดาบยุคแรกๆของญี่ปุ่น ตรงกับยุค เฮอัน ก็ราวๆ ปี คศ. 794-1185 เป็นช่วงที่นำวิธีตีดาบมาจากจีน และ อยู่ในช่วงลองผิดลองถูก เรื่อยมาจนถึง ยุคคามคุระ(คศ.1333-1392) ที่ดาบญี่ปุ่นมีคุณภาพสูง มาจนถึง ยุค มูโรมาจิ (คศ.1392-1568)จริงๆมีรายละเอียดปลีปย่อยมากกว่านี้ครับ แต่ ขออนุญาตข้ามไปนะครับเพราะจะยืดยาวเกินกว่าเรื่องที่เราจะโฟกัส ในที่นี้
    2. ชินโต คือ ดาบยุคที่ สอง ตรงกับ ยุคสมัย โมโมยามะ (คศ.1568-1603) ยุคสมัยนี้ญี่ปุ่นอยู่ในภาวะสงครามที่เรียกว่า เซนโกกุจิได (ก็ช่วงที่มีขุณศึกชื่อดังมากมายอย่าง โอดะโนบุนากะ ทาเคดะชินเง็น และ คนอื่นๆทำสงครามกันนั่นแหละครับ) ดาบญี่ปุ่นในช่วงนี้มีทั้งเรื่องดีๆและเรื่องไม่ดีเข้ามาในวงการช่างตีดาบ กล่าวคือมีเรื่องดีๆอย่าง เทคโนโลยีใหม่จากต่างชาติเข้ามาพัฒนาวิธีตีดาบ และ ด้วยความที่อยู่ในภาวะสงคราม จึงพิถีพิถันมากไม่ได้ จำเป็นต้องตีดาบออกมาทีละมากๆคุณภาพดาบของช่วงนี้จึงไม่แน่นอน คือ ที่ดีก็ดีไปเลย แต่ ที่แย่ก็ไร้คุณภาพมากๆ แต่ เมื่อพ้นสมัย เซ็นโกกุฯ มาถึงช่วงเอโดะ นั้นยุคของดาบก็ยังอยู่ในยุคของ ชินโต อยู่ และ เริ่มมีดาบคุณภาพออกมามากขึ้นเนื่องจากยุคแห่งสงครามได้จบลงแล้ว และ เป็นยุคแห่งความสงบสุข เวลาจึงมีมากขึ้นความพิถีพิถันจึงมีมากขึ้นเช่นกัน ช่างตีดาบมีชื่อต่างๆก็เกิดขึ้นมากมาย ทั้งสายดั่งเดิม และ สายที่เกิดใหม่
    3. เก็งไดโต คือ ดาบยุคที่ตรงกับสมัย ปฏิวัติ เมจิ ถึงปัจจุบัน (ขออภัยผมจำปีคศ.ที่แน่นอนไม่ได้ ถ้าจำไม่ผิดก็สักประมาณแถวๆ ช่วงปี คศ.1868 นี้) อาจเรียกแบบฝรั่งได้ว่า โมเดิลซอร์ด หรือ ดาบยุคใหม่ ดาบยุคนี้ คือดาบที่เราจะพูดถึงกัน และ มันก็แบ่งออกได้ 3 ยุคย่อยๆ คือ ดาบในช่วง ปฏิวัติเมจิ ถึง สงครามโลกครั้งที่ 1 และ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ถึง สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 มาจนถึง ดาบที่ตีใหม่ในปัจจุบัน ซึ่งในปัจจุบันนั้น หากจะซื้อ และ มีดาบ(จริง)ในญี่ปุ่น จะต้องจดทะเบียนกับรัฐบาล
    เราทำความรู้จักกับยุคของดาบกันไปแล้ว ต่อไปจะเป็นอีกพื้นฐานของการเรียนรู้เรื่องดาบญี่ปุ่นก็คือ ประเภทของดาบ ประเภทของดาบญี่ปุ่นนั้นแบ่งออกใหญ่ๆได้ 5 ประเภทคือ
    1. คาตานะ คือดาบยาว ปกติ จะยาวประมาณ 3 ฟุต ครึ่ง + -
    2. วากิซาชิ คือดาบขนาดกลาง ยาวประมาณ 2 ฟุต เศษๆ
    3. ทันโต คือ ดาบสั้นที่สุด ยาวประมาณ 1 ฟุต +
    4. ตาชิ จะยาวประมาณ คาตานะ แต่ จะมีหูหิ้ว และ มีวิธีการพกพาที่ต่างออกไป(จริงๆแล้ว ชินกุนโตของเราก็จะอยู่ในดาบประเภทนี้)
    5. ดาบโนดาจิ คือ ดาบที่ยาวกว่า คาตานะมากๆ(ข้าม ดาบโอคาตะนะ ไปอีกขั้นหนึ่ง) ขนาดความยาวไม่แน่นอน บางเล่มอาจยาวได้ถึง 3 เมตร
    พื้นฐานต่อมา ก็จะเป็น ประเภทของ วิธีการตีดาบ ตรงนี้เราจะลงลึกกันเสียหน่อย เพราะจะเป็นประโยชน์ในเรื่องที่เราจะเจอะลึกต่อไป ขั้นตอนการตีดาบนั้นจริงๆแล้วมีการใช้ศัพทย์เฉพาะมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ ง่ายต่อความสับสน แต่ ไม่ต้องกังวลไปครับ ผมจะใช้คำที่มีความหมายแบบไทยๆให้เข้าใจได้ง่ายๆนะครับ การตีดาบแบบญี่ปุ่นมีหลายขั้นตอนครับ อาจ เป็นวิธีตีดาบที่มีขั้นตอนมากที่สุดในโลกเลยก็ได้ มันพัฒนามาจาก วิธีการสร้างดาบของจีน ที่คนญี่ปุ่นยุคแรก นำติดตัวมา และ พัฒนาต่อๆมาโดยการลองผิดลองถูก และ ความช่างสังเกตุของช่างตีดาบในแต่ละยุค จนได้วิธต่างๆเหล่านี้
    1. แบบที่ 1 การขึ้นรูปดาบจากเหล็กแท่งเดียว มันเป็นวิธีแรกในการตีดาบ คือ การนำเอาชิ้นเหล็กที่เตรียมไว้มาหลอมให้เป็นแท่ง จากนั้นก็ทำการตีขึ้นรูปที่ต้องการด้วยการเผาให้เหล็กนิ่ม และ ตีจนกว่าจะได้รูปทรงที่ต้องการ แล้วทำการชุบแข็งด้วยการเผาให้ได้อุณหภูมิที่ต้องการ(รักษาให้ได้ตามสูตรไม่ร้อนมาก เกินไป) แล้วจุ่มลงน้ำที่เตรียมไว้เพื่อสร้างความแข็งแรง (ด้วยการเรียงตัวของผลึกเหล็ก ที่มีคาร์บอนมาเป็นปัจจัยตามสูตรทางเคมี ซึ่งตอนนั้นไม่รู้กันหรอกว่ามีอะไรที่เรียกว่าคาร์บอนนี้อยู่ด้วย) ดาบแบบนี้จะได้ความแข็ง หรือ ไม่ก็นิ่ม เกินไป กล่าวคือ ถ้าแข็ง ก็จะเปราะ เมื่อโดนแรงสูงๆ ดาบจะ คมแตก หรือหักไป หรือ ไม่ก็ นิ่มจนดาบงอตัวได้ง่าย และ ไม่รักษาความคม และ เมื่อโดนแรงสูงๆ แม้ไม่หัก แต่ คมจะบิ่น และ ยู่ไป
    2. แบบที่ 2 ทุกอย่างเหมือนวิธีแรก แต่ จะเพิ่มการทำ ฮามอน เข้าไป ฮามอน คือลายคลื่นที่เรามักเห็นบริเวณคมดาบ มันเกิดจากการเรียงตัวของผลึกเหล็กที่ต่างกัน โดยมีปัจจัยที่เกียวกับอุณหภูมิที่ต่างกันของเหล็ก ในขั้นตอนของการเผาครั้งสุดท้าย และ การเย็นตัวที่ไม่เท่ากันของเหล็กเมื่อทำการชุบแข็ง โดยช่างฯจะนำ โคลนที่สีส่วนผสมอื่นๆ(มีสูตรผสมของช่างแต่ละคน) มาพอกตัวดาบ เมื่อขึ้นรูปได้ที่ต้องการแล้ว จะพอก (ผสมน้ำให้เหลวๆข้นๆแล้ว ทาเหมือนปาดสีโป๊ว์รถนะครับไม่ใช่ปั้นดินพอกเอา) ในส่วนของใบดาบโดยให้หนาในส่วนของทางสันดาบ และ บางลง จนถึงไม่มีการพอกเลยในส่วนของคมดาบ (อาจมีการเล่นลวดลายโดยช่างแต่ละคนซึ่งจะมีวิธีที่แตกย่อยมากมายจนจะเกินไปสำหรับพื้นฐานที่เราจะทำความเข้าใจ) จากนั้นก็นำไปเผาจนได้ที่(สมัยก่อนไม่มีการวัดอุณหภูมิ แต่ จะวัดกันโดยดูที่สีของเหล็ก โดยใช้สีของดวงจันทร์สีแดงเป็นเครื่องมือวัด) เมื่อได้ที่แล้วจึงนำมาชุปกับน้ำเหมือนกับวิธีแรก
    3. แบบที่ 3 ผมเรียกง่ายๆว่า แบบ ตีพับ การตีดาบแบบนี้ ไม่มีอะไรมากครับ โดยก่อนที่จะทำทุกอย่างเหมือนขั้นตอนที่ 2 ช่างจะทำการตีขึ้นรูปเหล็กให้เป็นแท่งตรงๆยาวประมาณ เกือบๆ 1 ฟุต แล้วทำการตีบากเป็นระยะๆแบ่งเป็น 3 ท่อน แล้ว พับรวมเข้าเป็นก้อนสั้นๆ อีกทีจะซ้ำกี่ทบก็แล้วแต่ ความต้องการ บางครั้งอาจถึง หมื่นๆชั้นเลยทีเดียว (อย่าเพิ่งตกใจครับลองคิดดูดีๆครับ ทบทีละ3 ชั้นมันก็ยกกำลังไปเรื่อยๆไง ครับทบไปไม่เท่าไหร่ก็ เป็นพันชั้นแล้ว) จากนั้นก็ตีขึ้นรูป และ ทำ ฮามอน เหมือน แบบที่ 2 ตรงนี้จะมีการแยกไปครับ บางครั้งจะจบที่ชุบแข็งเลย ไม่ทำ ฮามอน อันนี้แล้วแต่ความเร่งรีบในการผลิต หากช่วงสงคราม บางครั้งจะไม่ทำ ฮามอน เราจะเห็นได้ในดาบที่อยู่ในช่วงสงคราม ไม่ว่าจะเป็น สงครามโลก หรือ สงคราม เซ็นโกกุฯ หรือ พบได้ในดาบที่จ่ายให้ทหารในยุคต่างๆ ที่ต้องผลิตเป็นจำนวนมาก และ ไม่ต้องการความสวยงาม และ แข็งแรงอะไรมากนักหากเทียบกับวิธีตีดาบแบบอื่นๆของญี่ปุ่น แต่ ก็สามารถใช้งานได้ดี และ เทียบชั้นได้กับดาบของชาติ อื่นๆในโลก เช่น ดาบมองโกล ดาบจีน ดาบ ดามัสกัส ดาบยุโรป(ได้ความใหญ่ และ หนักมาเป็นข้อได้เปรียบ) อีกทั้งยังมีคุณภาพสูงกว่า ดาบชาติอื่นๆอีกหลายแบบ
    4. แบบที่ 4 ผมเรียกให้เข้าใจง่ายๆว่า แบบ สองชิ้น หรือ แบบ สอดใส้ คือ การเริ่มด้วยการ ตีพับ อย่างแบบที่ 3 จะกี่ทบก็แล้วแต่ โดยทำไว้ 2 แท่ง ให้แท่งแรกใหญ่กว่าแท่งที่สอง เล้กน้อย แล้ว เอาแท่งแรกมาตีแผ่ออก จากนั้นจึงตีขึ้นรูปให้โค้งแบบท้องเรือ เพื่อให้นำเหล็กแท่งที่สอง ที่เล็กกว่าเข้ามาสอดเข้าไปได้ จากนั้นก็ตีขึ้นรูปและทำกรรมวิธีการตี และ ชุบแข็งเหมือนกับแบบที่ผ่านๆมา สิ่งที่ได้ก็คือ ดาบที่มีความแกร่งเพิ่มขึ้น โดยมีใส้ในที่เหนียว จากการค่อยๆเย็นตัวอย่างช้าๆถายใน (แต่เหล็กจะนิ่ม ซึ่งก็ไม่เป็นไร เพราะถูกหอด้วยเหล็กแกร่งด้านนอก) และ ส่วนนอกที่หุ้มอยู่ที่จะแกร่ง ด้วยวิธีการชุปแข็ง ที่จะทำให้ดาบเย็นตัวเร็วกว่า โดยอยู่ในความควบคุมของช่างฯ บวกกับการทำ ฮามอน ที่จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพของความแกร่งของดาบให้มากขึ้น ดาบแบบนี้จะเริ่ม เหนือกว่าดาบอื่นๆที่มีในโลก แล้ว ครับ ดาบที่จะเทียบเคียงได้ ก็จะมี ดาบ จีน แบบที่มีใบฯใหญ่ๆโค้งๆ ที่ไม่ใช่กระบี่ ที่ใบดาบตรงๆ เพราะดาบจีนนั้นมีวิธีการตี ทบ และ สอดใส้ เหมือนกัน แต่ การทำ ฮามอน นั้นจะไม่มี ซึ่งเป็นความเสียเปรียบของดาบจีน แต่ได้ความใหญ่กว่าของใบดาบ มาทดแทน ความเสียเปรียบ
    5. แบบที่ 5 คือ เรียกง่ายๆว่า แบบ 3 ชิ้น หรือ หลายชิ้น คือการ ขึ้นรูปเหล็ก ไว้อย่างน้อย 3 ชิ้น หรือ หลายชิ้น (ผมนับได้ 4 ชิ้นทุกทีแหละ หรือเขารวมชิ้นซ้าย-ขวาเป็น1ชิ้น)โดยชิ้นที่เป็นแกนใน จะเป็น เหล็กที่ต้องการให้เหนียว (อาศัยขั้นตอนของรูปแบบที่ผ่านๆมาทำความเข้าใจนะครับ) และ ชิ้นที่จะเป็นส่วนของคมดาบจะเป็นเหล็กที่ต้องการให้ มีความสมดุลย์ทั้งความแข็ง และ ความเหนียว และ ส่วน แก้ม ซ้าย – ขวา เป็นส่วนที่ต้องการให้เหนียว และ แข็ง ในอีกระดับ (จะแข็งน้อย และ เหนียวมากกว่าส่วนของชิ้นที่จะเป็นคม แต่ จะเหนียวน้อยกว่า แต่ แข็งกว่า ในส่วนที่เป็นแกน) เอาเหล็ก ประเภทต่างๆนี้มาเผารวมให้ติดกันเป็นชิ้นเดียว ด้วยความร้อนที่ควบคุม (ถ้าร้อนไปเหล็กจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน และ คืนตัวไม่รักษาความแกร่ง และ ความเหนียวที่ทำไว้ ถ้าเย็นไป เหล็กจะไม่เกาะรวมตัวกัน) จากนั้นก็ตีขึ้นรูปตามกรรมวิธีเหมือนที่กล่าวมาแล้วในแบบต่างๆข้างบน ก่อนจะนำไปลับ และ ทำการประกอบให้เป็นดาบ อย่างที่เราเห็นกัน จริงๆแล้วอาจมีการเพิ่มชิ้นของเหล็กอีกมากกว่านี้ ในจุดต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีที่แตกย่อยไปได้อีกหลายแบบแล้วแต่ สูตรของช่างฯในแต่ละสำนัก แต่ ต้องขอข้ามไปเพราะในพื้นฐานแล้วเป็นวิธีเดียวกัน คือ การแยกชิ้น การตีดาบในแบบนี้เป็น รูปแบบที่ ผลิต ยาก และ เสียเวลามากที่สุด เพราะมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และ ซับซ้อน แต่ ก็เป็นวิธีตีดาบที่สามารถสร้าง สุดยอดอาวุธมีคมที่เรียกว่า ดาบ ให้ ดาบญี่ปุ่นนั้นมีความเหนือกว่าดาบทุกชนิดบนโลก เลยก็ว่าได้ เพราะยังไม่มีกรรมวิธีการตีดาบแบบใดในโลกจะสร้างดาบที่มีความ แกร่ง และ ยืดหยุ่นได้ ในเล่มเดียวกัน เท่ากับวิธีนี้อีกแล้ว นอกจากกรรมวิธีการ อบ เหล็ก และ ควบคุม คาร์บอน โดยใช้เครื่องมือทางเคมี และ เครื่องมือควบคุมอุณหภูมิที่สามารถบอกและควบคุมได้ในระดับตัวเลข ในปัจจุบันเท่านั้นที่จะสามารถเทียบเคียงได้ (เอาง่ายๆนะครับ ดาบของโดลท์สตีล ไงครับ หลายคนคนมองข้ามนะเพราะไม่มีฮามอน แต่ แกร่งกว่าแบบแรกๆเสียอีกครับ ด้วยกรรมวิธีสมัยใหม่)
    ดาบทหาร หรือ กุนโต
    เอาละครับ เมื่อเรารู้เรื่องพื้นฐานของดาบญี่ปุ่น ที่จะเป็นประโยชน์กับเราในการศึกษา และ ดู ดาบชินกุนโต ที่เราจะเจอะลึกในต่อไปนี้ ผมจะขอข้ามในส่วนของดาบ ในยุค ซามูไรไปเลยนะครับ เพราะนั่นมันคนละสายกัน เราจะเริ่มกันที่ ช่วง ปฏิวัติ เมจิ กันเลยก็แล้วกัน ช่วงนี้เป็นช่วงคาบเกี่ยวกันระหว่าง ยุคใหม่ กับ ยุคดั่งเดิมคือ วิถีซามูไร และ บูชิโด ความสำคัญของดาบเริ่มลดลง อาวุธที่ทันสมัยกว่าเช่น ปืน เริ่มเข้ามา วัฒนธรรมต่างชาติ และ แนวคิดจากต่างชาติเริ่มมีผลต่อ ชีวิตของชาวญี่ปุ่นมากขึ้น กองทัพก็เช่นกัน จากกองทัพซามูไร ที่ใช้ดาบ และ อาวุธมีคม เป็นอาวุธหลัก มาสู่ ความเปลี่ยนแปลง ด้านอาวุธ โดยมีปืน เข้ามาแทนที่ ของมีคม เช่น หอก และ ดาบ แต่ ปืนไรเฟิลในยุคแรกๆ แม้จะมีความเชื่อถือได้สูงกว่าปืนไฟ และ ปืนคาบชุด ในสมัยโบราณ แต่ การยิงต่อเนื่องก็ยังทำได้ไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งไม่มีความคล่องตัวในการรบในระยะประชิด แม้จะมีดาบปลายปืนแล้วก็ตาม ดังนั้น ความสำคัญของดาบจึงยังมีอยู่ในยุคนี้ แต่ เนื่องจาก วัฒนธรรมแบบตะวันตกเข้ามามีผลต่อความคิดของ เหล่านายทหารในกองทัพใหม่ และ สงครามกับ ซามูไรที่เพิ่งผ่านมา ทำให้แนวคิดแบบซามูไร ที่มีดาบ คาตานะ เป็นสัญญาลักษณ์ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างถูกต่อต้านดังนั้นรูปแบบของ ดาบในช่วงเวลานี้ มีรูปแบบ และ ภาพลักษณ์ เป็น ลักษณะของ ดาบฝรั่ง ที่เรียกกันว่า กระบี่ หรือ เซเบอร์ และ มีการใช้เครื่องจักรในการผลิตดาบ แทนฝีมือ มนุษย์ (เราต้องเข้าใจความคิดของคนยุคนั้นด้วย ว่าตอนนั้นเครื่องจักรเพิ่งจะมีเข้ามาในญี่ปุ่น ยังเป็นของใหม่ดังนั้นย่อมมีความนิยมมากกว่าการผลิตด้วยแรงงาน และ ฝีมือของคนที่เป็นอะไรที่ เก่า เดิมๆ ที่ทุกคนชินชาแล้ว) นายทหารยุคใหม่หลายๆคนจึง ติดดาบ แบบ ฝรั่ง อย่างที่ว่านี้ เรียกดาบแบบนี้ว่า คิวกุนโต (ออกเสียงว่า คิ-ยุ-อุ – กุ-อึน - โตะ-โอ ลากเสียงเชื่อมต่อกัน) แปลว่า ดาบ ทหารม้า ครับ (ฝรั่งเรียก โปรโต อาร์มี่ ซอร์ด) แม้จะเปลี่ยนมาเป็นกองทัพยุคใหม่แล้ว แต่ ก็ยังมี นายทหารหลายคนที่เดิมเป็น ซามูไร มาก่อน แต่ มีหัวก้าวหน้า เปลี่ยนตัวเองมาเข้ากองทัพใหม่นี้ นายทหารเหล่านี้นี่เอง ที่ใช้ดาบที่เคยใช้เมื่อยังเป็น ซามูไร มาเข้าฝัก และ ด้ามใหม่ (ในบางครั้งสั่งทำด้าม และ ฝักขึ้นใหม่ให้เข้ากับดาบเก่าโดยเฉพาะ)ในรูปแบบของดาบทหารยุคใหม่ หรือ กุนโต และ คิวกุนโต ซึ่งรูปแบบจะเป็นลักษณะของดาบทหารม้า หรือ เซเบอร์ อย่างที่เรารู้จักกัน ดาบในรูปแบบนี้จะใช้กันทั้ง ทหาร บก (ทหารราบ) ทหารม้า และ ทหารเรือ โดยจะมีรูปแบบ และ รายละเอียดที่ต่างกันไป เล็กน้อย ซึ่งตรงนี้ขอข้ามไปเพราะเดี๋ยวจะยาวเกินไปครับ
    ดาบ ชินกุนโต
    เอาละครับเมื่อพื้นแน่นแล้ว คราวนี้ก้ได้เวลาเข้าเรื่องกันจริงๆสักที กองทัพสมัยใหม่เมื่อครั้ง สมัย ปฏิวัติเมจิ พัฒนาตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ ความนิยมในตะวันตก เริ่มลดลงหากเทียบกับตอนแรกๆที่ตื่นเต้นฮือฮากับ ชาติตะวันตกไปเสียทุกอย่าง ด้วยสาเหตุหลายอย่างไม่ว่าจะ ความสามารถในการพัฒนาตัวเองของญี่ปุ่น และ การเอาเปรียบของชาติตะวันตก ทำให้แนวคิดนิยมตะวันตก เริ่มลดลง ความเป็นชาตินิยมเริ่มสูงขึ้น ประกอบกับ เวลาที่ยาวนานหลังจากการขัดแย้งกันเอง ระหว่าง ซามูไร กับกองทัพยุคใหม่ ทำให้บาดแผลในใจ และ ความต่อต้าน วัฒนธรรมซามูไรลดลง และ หายไปในที่สุด ญี่ปุ่น เริ่มพึ่งพาตัวเอง และ เริ่มคิดขยายดินแดนโดยการล่า อาณานิคม อย่างประเทศตะวันตก ญี่ปุ่นต้องอาศัยความชาตินิยม (ไปจนถึงความคลั่งชาติ) เป็นนโยบายในการ ล่าอาณานิคม ความชาตินิยมเริ่มครอบคลุมไปในทุกอย่างของญี่ปุ่น แน่นอนวงการทหารก็ไม่พ้น ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติเรื่องเครื่องแบบ และ เครื่องหมาย ยศ รวมทั้ง วัสดุอุปกรณ์ ต่างๆ ที่แสดงความเป็นญี่ปุ่นมากขึ้น ไม่ผิดครับ ดาบ ประจำตัวนายทหาร ก็ไม่พ้น
    โดยหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่นาน กองทัพญี่ปุ่นก็เริ่มมีดาบรูปทรง แบบ เดียวกับ คาตานะ จริงๆ แล้วควรเรียกว่า รูปแบบ ตาชิ มากกว่า เอาละไม่ว่าจะเรียกว่าอย่างไร รูปร่างลักษณะ ของดาบก็มีรูปลักษณ์ เหมือนกับดาบ ของ ซามูไร ในยุคก่อน ดาบรูปแบบนี้เองที่เรียกว่า ชินกุนโต (ออกเสียง ชิ-อึน-กุ-อึน-โตะ-โอ) แปลว่า ดาบ กองทัพ ใหม่ ลักษณะของ ชินกุนโต นี้ รูปลักษณ์จะกลับไปเป็นดาบ ที่หน้าตาเหมือน ดาบ ตาชิ ของซามูไรสมัยก่อน โดยมี่ห่วงสำหรับเกี่ยวห้อย ที่ฝักดาบ โดยแบบแรกๆจะมี สอง ห่วง และ ลดลงเหลือหูหิ้วเดียวในรุ่นหลัง แต่ ก็อาจจะมี 2 ห่วงให้เห็นอยู่บ้าง ในรุ่นหลังๆ แต่ ก็มีไม่มากนัก ตัวใบดาบก็เป็รทรงเดียวกับ ดาบ ของซามูไร ในช่วงแรกๆ ของดาบ ชินกุนโต นั้น ใบดาบจะกลับมาผลิตด้วย มือ อีกครั้ง นั่นหมายความว่าจากการที่ดาบทหารผลิตด้วยเครื่องจักรในยุค แรก ก็มาเป็นใบดาบที่เป็น ใบดาบที่ตี ด้วยมือคน อีกครั้ง แต่ ก็ยังมีที่ผลิตด้วยเครื่องจักรอยู่เหมือนกัน
    เมื่อญี่ปุ่นมีความต้องการขยายอำนาจทางทหาร เพื่อนโยบายขยายดินแดน และ แสวงหาทรัพยากร การขยายตัวของกองทัพเพิ่มขึ้น การรับสมัครทหาร การผลิตนายทหารของโรงเรียนทหารต่างก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย เมื่อนายทหารจบฯออกมาก็ต้องมีดาบ (เหมือน รับกระบี่ของนายร้อยไทยนั่นแหละครับ) การตีดาบด้วยมือคน ให้ได้จำนวนมากมายขนาดนั้นในเวลาน้อยๆย่อมเป็นไปไม่ได้ (ดูเอาจากวิธีตีดาบ ข้างบนนะครับ) ทางออกที่ดีที่สุดคือ กลับไปใช้เครื่องจักร อีกครั้งเพื่อผลิตดาบออกมาให้เท่ากับจำนวน นายทหารใหม่ที่จะจบฯออกมา แต่ ก็ยังมีดาบ ชินกุนโต ที่เป็นดาบตีด้วยมือจากช่างฝีมือดี และ โด่งดัง ของยุคสมัยนั้น โดยดาบที่ว่านี้จะมอบให้ นายทหารใหม่ที่เป็นคนพิเศษ เช่น ทำคะแนนได้สูงๆ หรือ เป็นนักเรียนนายร้อย ที่เรียนได้คะแนนสูงที่สุดของ ชั้น และ รุ่น ไปจนถึง เชื้อพระวงษ์ที่จบฯจากโรงเรียนทหารนั้นๆ รวมทั้งที่จบฯเมื่องน้อมาด้วย ดาบฯพวกนี้จะถูกตีโดยช่างฝีมือดี มีกรรมวิธีตี ต่างกันออกไป แล้วแต่ระดับ ความสามารถ และ อภิสิทธิ์ ของนายทหารจบฯใหม่เหล่านั้น ตั้งแต่ ระดับ เหล็กพับ ไปจนถึง ระดับ เหล็ก 3 ชิ้น (ย้อนกลับไปดูที่วิธีตีดาบ) แต่ รูปแบบภายนอกของดาบฯจะยังคงเหมือนๆกัน แล้วแต่ ปี ของแบบ ที่ดาบฯเล่มนั้นถูกผลิตออกมา แบ่งใหญ่ๆได้ 3 แบบ คือ ชินกุนโตไทป์ 94 ชินกุนโตไทป์ 95 และ ชินกุนโตไทป์ 98 ซึ่งจะเหมือนกับ ไทป์ 94 ทุกประการ แต่ ด้ามจะเป็นรูปแบบที่ตรงกว่า (ผลิตง่ายกว่า)โดย ไทป์ 95 จะพิเศษกว่า 2 แบบที่เหลือ คือ จะเป็น ดาบฯของทหารชั้นประทวน ตั้งแต่ สิบตรี ขึ้นไป ถึง จ่าสิบเอก และ นายดาบ ดาบฯแบบนี้ทั้งหมด ผลิตด้วยเครื่องจักร ไม่ว่าจะเป็นใบดาบ ฝักดาบ และ ด้ามจับ ด้ามจับของ ไทป์ 95 นี้ก็จะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง คือ เป็น โลหะ (ทองแดงในยุคแรก และ อลูมินั่มในยุคต่อมา) แล้วหล่อออกมาชิ้นเดียว โดย ทำลวดลายนูนสูงให้เหมือนไหมพันด้ามดาบ ให้ดูเดมือนดาบซามูไรจริงๆ เท่านั้น ใบดาบผลิตด้วยเครื่องจักร โดยการ ปั๊ม แผ่นเหล็กให้เป็นรูปใบดาบตาม แพทเทิร์น ของแม่พิมพ์ และ จะปั๊ม หมายเลข สายการผลิตไว้ที่โคนของใบดาบก่อนที่จะถึงโล่มือ เป็นเลข อาราบิค ซึ่งหมายเลขที่ว่านี้จะไปตรงกับที่ ปั๊ม ไว้ที่ปลายหางปลาของฝักดาบ และ ขอบบนสุดของฝักดาบ
    ในช่วงก่อนญี่ปุ่นจะเข้าสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเต็มตัวความเร่งรีบในการผลิต และ สะสมอาวุธก็มากขึ้น แต่ ก็ยังมีเวลาในการผลิตดาบ คุณภาพดีๆอยู่บ้าง แม้จะน้อยลงไปบ้างก็ตาม ทาง กองทัพจึง ให้ โรงตีดาบต่างๆทั้งที่เกิดใหม่ และ ที่มีชื่อเสียงตั้งแต่โบราณ เข้ามารับงานไป ทำ เพื่อตี ใบดาบ ส่งให้กองทัพ โดยกองทัพจะกำหนด ขนาด และ รูปแบบ ปลีกย่อย ให้เป็นไปในแบบเดียวกัน บ้างก็ตีแค่ใบดาบ บ้าง ก็ผลิตดาบทั้งหมด ทุกขั้นตอน บางโรงงานไม่ใช่โรงตีดาบ แต่ ผลิต อุปกรณ์ และ ของตกแต่งของดาบ เช่นฝักดาบ ด้ามดาบ โล่มือ(ซึบะ) และ ของตกแต่งที่ตรงตามระเบียบ เพื่อส่งให้กองทัพ นำไปประกอบเป็นดาบที่สมบูรณ์ ตรงนี้เอง ที่ ดาบชินกุนโต จะมีทั้ง ดาบ ตี และ ดาบที่ผลิตด้วยเครื่องจักร ดาบฯที่ผลิตด้วยเครื่องจักร จะไม่มีอะไรมากไปกว่าการ ตัดเหล็กคาร์บอนสูงให้เป็นรูปร่างดาบ แล้ว เอาเข้าเครื่องปั๊มเหล็กให้ออกมาเป็นรูปทรงใบดาบ จากนั้นก็เอาไปให้ช่างลับคม ซึ่งก็จะลับด้วยเครื่องจักรเช่นเดียวกัน คุณภาพ และ ความคมจึงไม่มากไปกว่า ดาบปลายปืนที่จ่ายทหารทั่วไป ส่วนดาบฯ ตี ก็จะมีคุณภาพต่างกันไป ด้วยเหตุที่มีหลายโรงตีดาบเข้ามารับงานฯ ซึ่งมีทั้ง สำนักที่มีชื่อเสียง และ สำนักเกิดใหม่ และ ที่เป็นโรงเรียนตีดาบก็มี คุณภาพของดาบจึงต่างกันไป ตาม แหล่งที่มา เพราะช่างที่ผลิตดาบ นั้นมีทั้งช่างฯฝีมือดีชั้นครู ไปถึง ช่างฯที่ฝีมือไม่ดีนัก รวมทั้ง มีพวก ช่างไร้ฝีมือ อย่างผู้ฝึกหัดตีดาบ รวมอยู่ด้วย ดาบพวกนี้จะถูกนำไปคัด และ จำแนกประเภท ก่อนจะมอบให้นายทหารจบฯใหม่ ที่รอรับดาบฯ ต่อไป ตาม ความสามารถ และ อภิสิทธิ์ ดั่งที่ได้กล่าวมา อีกทั้งสต๊อกไว้จำหน่ายให้กับนายทหารที่ต้องการเปลี่ยนดาบเล่มใหม่อีกด้วย ดาบ ชินกุนโต ในช่วงนี้จึง ยังเป็นดาบฯที่ยังมีคุณภาพอยู่ ถ้าไม่นับดาบที่ผลิตด้วยเครื่องจักร
    เมื่อนักเรียนนายร้อย ที่จบฯ ออกมาเข้าประจำการเป็นนายทหารในกองทัพ และ ได้รับ ดาบ ชินกุนโต เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะได้รับดาบในประเภทใด จะเป็นดาบ โรงงาน หรือ ดาบตี ความรู้สึกของคน ยังไงก็อยากได้ของดีที่สุด เท่าที่จะหาได้ อยู่แล้วถูกไหมครับ กรณีที่นายทหารคนนั้นได้ดาบฯ ที่ผลิตด้วยเครื่องจักร ที่เป็นระดับ นายร้อยธรรมดาๆ (อาจเพราะแอบหลับบ่อยเวลาเรียนคะแนนเลยดีนัก) แต่ ที่บ้านเป็น ซามูไรเก่า ก็เหมือนตอน เมจิ นั่นละครับ เอาดาบของตระกูลมาเข้าฝัก และ ด้ามแบบ ชินกุนโต แต่ ถ้าด้าม และ ฝักไม่พอดีกับใบดาบเก่าที่มีอยู่ ก็สั่งทำฝักและด้ามใหม่ให้พอดีเลย กลายเป็นดาบฯเล่มใหม่ไป หรือ ถ้ามีเงินมีทองพอ ก็สั่งตีดาบเองเลย บ้างก็เอาด้าม และ ฝัก ของดาบฯ ที่ได้รับมาไปเข้า บ้างก็สั่งตีขึ้นมาอีกเล่มเลย คราวนี้ก็อยู่ที่เงิน และ การเข้าถึงของแต่ละคนแล้วละครับ ว่าจะเป็น ดาบ ที่ใช้วิธีตีแบบไหน บ้างก็เป็นดาบตี แบบธรรมดาๆ (แบบที่ 1-2) บ้างก็ดีขึ้นมาหน่อย (แบบที่ 3) บ้างก็แบบดีๆไปเลย (แบบที่ 4-5) เราจึงเห็น ใบดาบ ของ ดาบชินกุนโต ที่บ้างก็มีฮามอนสวยงาม รอยเหล็กพับทบขึ้นเป็นชั้นอย่างละเอียด สันกลางใบ และ ร่องเลือดโค้งตรงขนาดไปกับความโค้งของดาบอย่างสวยงามไร้ที่ติหัวดาบที่เรียวแหลม มีสันเล็กๆที่โคนของจุดบรรณจบ หรือ ดาบที่มีรอยพับทบเป็นชั้น แต่ ไม่มีฮามอน แต่ งานยังคงสวยงามอยู่ ไปจนถึง ดาบที่ สันกลางใบ และ ร่องเลือดคดๆงอๆไม่ขนาดไปกับความโค้งของดาบดีนัก สันที่จุดบรรจบหัวดาบก็ไม่ชัดเจน อะไรทำนองนี้ นั่นก็เป็นเพราะสาเหตุที่ว่ามานี้นั้นเอง ฝักและด้ามดาบก็เช่นกัน หากใครเคยเห็น ดาบ ชินกุนโต ที่กองรวมกันเป็น ร้อยๆ เล่ม ที่นายทหารญี่ปุ่นวางอาวุธยอมแพ้ตอน จบสงครามฯ จะเห็นขอ้แต่ต่างของดาบแต่ละเล่มได้เลยครับ แม้จะไม่ชัดเจนนัก บางเล่ม ตรงกว่า หากเทียบกับเล่มอื่นๆ บางเล่ม ยาวกว่า และ สั้นกว่า บางเล่ม ด้ามสั้นกว่า บางเล่ม ฝักสีน้ำตาล อ่อน – เข้ม บางเล่มฝักสีเขียว บางเล่ม มีห่วง 2 อัน เหมือนแบบเก่า แต่ เป็น ไทป์ 98 ซึ่งเป็นแบบสุดท้าย บางเล่ม ไหมพันด้ามสีน้ำตาล อ่อน – แก่ บางเล่ม ไหมสีดำ บางเล่มเป็น ดาบสั้น วากิซาชิ ไปเลยก็มี โล่มือ หรือ ซึบะ ก็ต่างกันครับ บางเล่ม เป็นทองเหลือง มีลวดลาย (แพทเทิร์นตามระเบียบ) แบบโปร่ง บางเล่ม เป็น แบบ ทึบลายนูนต่ำ บางเล่ม เป็น แผ่นเหล็กกลมๆสีดำๆ นั้นก็เป็น เพราะมาจากคนละโรงตีดาบ หรือ โรงงานผลิต และ ราคาของ ของตกแต่งเหล่านั้น รวมถึงวัสดุอีกด้วย (ทองคำจริงๆก็มีนะ) เหมือน ใบดาบ ฝัก และ ด้าม ครับ แต่ รูปแบบ แพทเทิร์นจะเหมือนกันคือ มีแพทเทิร์นของลวดลาย และ อุปกรณ์ตกแต่งที่เป็นไปตามระเบียบ ครับ!ที่พูดถึงอยู่นี้คือช่วงก่อนสงคราม ดังนั้นเวลาจึงมีเหลือเฟือ ที่จะประดิฐประดอย และ คัดเลือกวัสดุ เพราะเป็น ออร์เดอร์ ที่สั่งตีกันเองของแต่ละคนจึงไม่ต้องรีบร้อนทำตามสัญญาจ้างของกองทัพ ที่สั่งทำเป็นจำนวนมากๆ
    เมื่อญี่ปุ่น เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเต็มตัว หลัง ปี 1941 แม้จะเป็นช่วงสงคราม แต่ ก็ยังเป็นช่วงแรกๆอยู่ ยังมีเวลาพอที่จะ สร้าง ดาบ คุณภาพขึ้นมาได้ ดังนั้น ดาบชินกุนโต ในช่วงนี้ ยังเป็นไปตามอย่างที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น จะมีอุปกรณ์บางอย่างที่เพิ่มขึ้นมาอีกก็คือ หนัง ที่ใช้หุ้มฝักดาบ เนื่องนายทหารที่ต้อง เข้าไปรบในป่า หรือ ในพื้นที่ธุรกันดาร ทำให้ดาบฯที่พกพาไป (แสนจะเกะกะ) โดนกระแทก ขูดขีด ทำให้เป็นรอย และ เกิดความเสียหาย รวมทั้งเลอะเประเปื้อนฝุ่น หรือ โคลน ทำให้ ต้องเอาหนังมาหุ้มทั้งฝัก และ ด้ามจับ เพื่อป้องกันการเกิดร่องรอย และ ความเสียหายของดาบ อีกทั้งเป็นการ ซ่อนพราง ความ แวว วาว ของอุปกรณ์ตกแต่ง ที่ทำจากทองเหลือง แวว วาว ไม่ให้ถูกตรวจพบจากข้าศึกอีกด้วย (เอาดาบเก็บไว้ในค่ายง่ายกว่ามั๊ย? พ่อดอกมะลิ) และ ช่วง 1942-3 นี้เองที่มีการ ทาสี น้ำตาลเข้ม และ สี ดิน ทับจุดที่เป็นทองเหลืองต่างๆ ทั้งดาบฯ ของนายทหาร และ ดาบ ทหารชั้นประทวน อย่าง ดาบ ชินกุนโตไทป์ 95 เพื่อเป็นการซ่อนพรางอีกอย่างหนึ่ง
    อีกรูปแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นของ ดาบ ชินกุนโต ก็คือ ดาบสั้น หรือ วากิซาชิ ชินกุนโต จริงๆแล้วดาบฯรูปแบบนี้ ไม่มีในระเบียบของกองทัพ แต่อย่างใดครับ มันเริ่มที่ นายทหารบางคน สั่งตีขึ้นมาเอง เพื่อให้เข้าคู่กับ เล่มยาวที่เป็นของระเบียบ ตามธรรมเนียมของดาบญี่ปุ่น แต่ กลายเป็นว่าพกพาสดวก และ คล่องตัว เมื่ออยู่ใน ยาน เกราะ หรือ พกพาขึ้นเครื่องบินไปด้วย ในกรณีของนักบินจึงเป็น ที่นิยมในหมู่ของนักบินกันมากเนื่องจากสดวก และ ไม่เกะกะใน ค๊อกพิท ที่พื้นที่น้อยอยู่แล้ว เมื่อนิยมใช้กันมากขึ้น ทางกองทัพก็เลย เพิ่ม รูปแบบนี้เข้าไปซะเลย โดยได้มีการทำ ดาบ วากิซาชิ ชินกุนโต ไทป์ 95 ที่เป็นของทหารชั้นประทวน และ ผลิตด้วยเครื่องจักรของโรงงาน ขึ้นมาด้วยอีกแบบหนึ่ง โดยผลิตเป็นจำนวนไม่มากนัก
    ในช่วงปลายสงคราม ในปี 1944-1945 ญี่ปุ่นประสบปัณหาเกี่ยวกับการผลิตอาวุธ และ ขาดแคลนวัตถุดิบ อีกทั้ง เวลาก็ไม่มีพอที่จะ พิถีพิถันกับอะไรได้ อีกแล้ว โรงงานผลิตอาวุธหลายแห่งถูกทิ้งระเบิด หลายพื้นที่ ถูกโจมตีทางอากาศอย่างหนัก ทำให้อาวุธของญี่ปุ่น ในช่วงเวลานี้ถูกเร่งผลิต ออกมาอย่างรีบร้อน ดาบ ชินกุนโตก็เช่นกัน อะไรที่ไม่จำเป็นถูกลดลงหมด ไม่ว่าจะเป็น ใบดาบที่มาจากการตีของช่างตีดาบที่เป็นมนุษย์ เปลี่ยนมาใช้เครื่องจักร ปั๊ม แผ่นเหล็ก ออกมาเป็นใบดาบ ฝักดาบก็เปลี่ยนจากมีอุปกรณ์ตกแต่ง เป็น ฝักไม้เรียบๆมีโลหะโล้นๆครอบที่ปลายฝัก และ ด้ามดาบ แทนที่จะเป็นไหมพันบิดสลับซ้ายขวาไปทั้งด้าม เปลี่ยนมาเป็น ไหมพันบิดสลับซ้ายขวาช่วงต้น และ พันตรงๆ ที่กลางด้าม จากนั้นจึงเริ่มบิดสลับอีกครั้ง ครอบโลหะที่ปลายด้ามก็เป็นโลหะโล้นๆเหมือนครอบปลาบฝัก แต่ เจาะรูเพื่อให้ร้อยสาย ยศ ได้ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดาบ ชินกุนโต มีคุณภาพต่ำสุด และ เป็นจุดตกต่ำสุดของ วงการดาบ ญี่ปุ่น (จริงๆในวงการดาบญี่ปุ่นนั้นได้คิดว่าดาบญี่ปุ่นตกต่ำลงไปแล้วเมื่อได้มีการเอาดาบไปเข้าฟอร์มทหาร ในยุคที่ผ่านๆมา รวมทั้งเรื่องราวของเหตุการณ์ในจีน จนบางสำนักตีดาบ ปฏิเสธที่จะตีดาบให้หากจะนำไปเข้าฟอร์มทหารด้วยซ้ำ) ดาบไร้คุณภาพเหล่านี้ถูกแจกจ่ายอย่างเร่งรีบไปตามที่ต่างๆ ที่มีทหารญี่ปุ่นประจำการอยู่ (ไมแปลกหรแกที่จะมีบางครั้งที่เมื่อลองดวลกับ ดาบ จีน หรือ ดาบไทย ดีๆ แล้วดาบญี่ปุ่นจะหักคามือ หรือ คมแตก และ บิ่น) คุณภาพของใบดาบพวกนี้ ไม่ต่างกับ ดาบทหารม้าสมัยใหม่ หรือ ดาบปลายปืน ที่แจกทพลหาร ดาบ ชินกุนโต ไทป์ 95 ที่เป็นของ ทหารชั้นประทวนก็เช่นกัน เรื่องใบดาบไม่ต้องพูดถึงมันไม่มีคุณภาพอยู่แล้ว แต่ คราวนี้ถูกลดคุณภาพของอุปกรณ์ต่างๆของดาบลงด้วย เช่น ด้ามจากที่เคยเป็น ทองแดง ก็ถูกลดมาเป็น อลูมินั่มถูกๆ ในขั้นแรก จากนั้นก็ ถูกลดลงมาเป็นไม้ แกะลายกันลื่นอย่างหยาบๆ ดาบฯบางเล่มไม่ลง แล็กเกอร์ เลยด้วยซ้ำไป โล่มือ หรือ ซึบะ ก็เปลี่ยนจาก ทองเหลือง ที่มีลวดลาย มาเป็น แผ่นเหล็กกลมๆ บางๆ แทน

    ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นส่งทหารออกไปตามพื้นที่ยึดครอง ต่างๆในแปซิฟิก หลายล้านนาย ที่เป็นนายทหาร ก็เป็นหลัก แสน อยู่ ดาบ ชินกุนโต ที่ติดไปกับนายทหารเหล่านี้ จึงมีคละๆกันไป ไม่ว่าจะเป็น ดาบ ตี ทั้ง ฝีมือดี และ ด้อยฝีมือ อีกทั้งยังมีดาบ ผลิตจากเครื่องจักร อีกด้วย เพราะบางคนไม่ได้สนใจอะไร ได้มาอย่างไร ก็ เอาออกรบอย่างนั้น บ้างก็ เอาของดีเก็บไว้ แล้ว ออกสนามด้วย ดาบฯแจก อะไร ทำนองนี้ ดังนั้น เมื่อญี่ปุ่น แพ้สงคราม และ มีการวางอาวุธของนายทหารญี่ปุ่น ที่ได้วางดาบไว้เป็นกองใหญ่ๆในกองดาบ เหล่านั้นจึงมี คละกันไปทั้ง ดาบ ตี ที่ ดี ปลากลาง และ ไม่ดี รวมไปถึงดาบฯปั๊มจากโรงงาน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ ในยุคสมัยปัจจุบัน ผู้ที่ไม่รู้ลึกๆจริงๆถึง ถกเถียงกันไม่จบสินเสียทีว่า ตกลง ดาบ ชินกุนโต นั้นเป็นดาบที่มีคุณภาพจริงๆหรือไม่ เป็นดาบ โงงาน หรือ ดาบตี และ ไม่รู้ว่าตีแบบใด การตั้งราคา และ ตีค่าของดาบ จึงไม่มี บรรทัดฐาน หลายคนจึงตั้งสูงกว่าค่าที่ควรจะเป็น เพราะคิดว่าเป็นแบบเดียวกับเล่มที่ เป็น ดาบตี ทั้งๆที่เป็นดาบโรงงาน (ดูไม่เป็น) บ้างก็ไม่รู้ค่า เอา ดาบตี คุณภาพดีๆ(แบบที่ 4-5) ไปขายถูกๆ เพราะต้องการเงินด่วน บ้างก็ดูเป็นแบบครึ่งๆกลางๆ ดูเป็นแค่ว่าดาบตี (แต่ไม่ณุ้ว่ามีวิธีตีที่ต่างกันอย่างไรบ้าง) ก็ ตั้งราคา ซะสูงลิ่ว ทั้งๆที่เป็นดาบตี จากช่างไร้ฝีมือ ที่ใช้วิธีตี แบบกลางๆ (แบบ2-3) เพราะเห็น ว่าอีกเล่มขายได้เป็นแสน (ก็เล่มนั้นเค้าเป็นดาบเก่าของตระกูล หรือไม่ก็ ดาบตีวิธีดีๆ อย่าง แบบที่ 4-5 นี่ครับ) อีกทั้งยังมีการ เปรียบเทียบกันระหว่า ดาบญี่ปุ่น กับ ดาบ ของชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะ ดาบ ไทย ดาบจีน หรือ ดาวุธต่างๆ ของท้องถิ่นที่ญี่ปุ่นเข้าไปยึดครอง โดย หลายๆครั้งใช้ ดาบ ชินกุนโต ที่ไม่ใช่ดาบตี หรือ เป็นดาบตี ที่ตีในวิธีที่ ไม่ได้มีคุณภาพดีอะไรนัก ทำให้ผลออกมากลายเป็นว่าดาบญี่ปุ่นไม่ได้ดีไปกว่าที่เลื่องลือกัน เรื่องอะไรอะไรทำนองนี้ เกิดขึ้นมาก ประกอบกับ ผู้รู้ลึกจริงๆถึงความหลากหลายของ ดาบ ชินกุนโต หาได้น้อย จึงกลายเป็นการส่งต่อความรู้ผิดๆ ให้คนรุ่นใหม่จนกลายเป็นเรื่องถกเถียงกันไม่รู้จบ
    ดั้งนั้นเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ที่ต้องการเก็บ ดาบ ชินกุนโต ไว้สักเล่ม ถ้าไม่คิดอะไรมาก ว่าจะต้องเป็นของเก่าแท้ๆ เพียงแค่ต้องการประกอบกับชุดทหารญี่ปุ่นที่สะสมไว้ หรือ แค่ตั้งโชว์ ผม แนะนำให้เล่น รีโปรฯ ดีกว่าครับ เพราะ งานหลายเจ้าทำออกมาได้ สวย และ ถูกต้อง ในราคาที่มีมาตรฐาน กล่าวคือ ที่เป็นดาบ ตี ก็ รู้ไปเลยว่าตีแบบใด ราคาก็สูงต่ำไปตาม รูปแบบที่ตี ที่เป็น สแตนเลทสตีล ราคาก็ต่ำลงมาสมน้ำสมเนื้อ (ใช้เป็นดาบโรงงานไง) ที่เป็น โลหะไดแคส (ไม่ใช่เหล็กจริง และ ไม่คม) ก็ใช้เข้ากับชุด และ ตั้งโชว์ได้อย่างมาอายใคร อีกทั้งมีหลายเจ้า หลาย ประเทศที่ทำออกมา ตั้งแต่ งานจากจีน ทั้งงานไม่สวย งานปลากลาง และ งานดี ดาบฯตี จากจีนไต้หวันก็มีนะครับ งานดีไม่แพ้ญี่ปุ่นเลย ที่เป็น ฝรั่งทำ งานก็ดูดีถูกต้อง มีติแค่สีที่ยังเพี้ยนๆอยู่ หรือ แม้แต่ ของคนไทยเราทำ ที่สงออกไปขายถึงต่างประเทศ งานสวย งานถูกต้อง กว่าของหลายประเทศซะอีก ซ้ำยังเป็นดาบตี ที่เลือกได้ด้วยว่า จะเอาวิธีตีแบบใด ที่สำคัญ ทำในบ้านเราเองไม่ต้องรอส่งจากต่างประเทศ เล่นงานรีโปรฯ งานดีๆ แบบนี้สบายใจกว่าครับ เราได้ของคุณภาพในราคาที่สมกับที่เราจ่ายไป ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกหลอก

    ขอบคุณข้อมูลจาก
    1. The craft of the Japanese sword by Yoshindo Yoshihara
    2. The Samurai Sword A Handbook by John M. Yumoto
    3. Osprey The Japanese Army 1931-45 /1,2
    4. สงคราม จีน – ญี่ปุ่น มหาสงครามยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย โดย ปิยะโชค ถาวรมาศ
    5. บันทึกความทรงจำของ นายพล อาเคโตะ นากามุระ ผู้บัญชาการชาวพุทธ
    6. www.Google.com

    ภาพประกอบ

    DSCF9864.jpg
    ขั้นตอนการ เตรียมเหล็ก
    DSCF9866.jpg
    การขึ้นรูปเหล็ก ในรูปแบบของการตีพับ และ สอดใส้
    DSCF9875.jpg
    เหล็กที่สอดใส้ แล้วเตรียมขึ้นรูปต่อไป
    DSCF9876.jpg
    ขั้นตอนการเตรียมเหล็ก ในการตีดาบ แบบ 3 ชิ้น และ ภาพตัดขวางของแบบสอดใส้
    DSCF9888.jpg

    DSCF9890.jpg
    ภาพตัดขวางของดาบ แบบ สอดใส้
    DSCF9891.jpg
    ภาพตัดขวางของดาบ แบบ 3 ชิ้น
    DSCF9896.jpg
    ดาบ เมื่อขึ้นรูปแล้ว แต่ ยังไม่ผ่านกรรมวิธีชุบแข็ง
    DSCF9898.jpg
    ขั้นตอนการทำฮามอน
    DSCF9900.jpg
    ลาย ฮามอนแบบต่างๆ
    DSCF9901.jpg
    การทำฮามอนที่หัวดาบ และ เล่นลายที่คมดาบ ซึ่งจะส่งผลต่อความแกร่งของคมด้วย
    DSCF9903.jpg

    DSCF9904.jpg
    อุณภูมิที่เหมาะสมในแต่ละบริเวณของดาบ ก่อนชุบแข็ง
    DSCF9906.jpg
    ใบดาบที่ถูกตีขึ้นมาในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2
    DSCF9909.jpg

    DSCF9911.jpg

    DSCF9912.jpg
    อีกรูปแบบของดาบในช่วงสงคราม ที่น้อยนักจะมีงานดีๆแบบนี้ออกมา
    DSCF9913.jpg
    ภาพตัดขวาง แสดง ให้เห็นถึงดาบในแต่ละประเภท
    $T2eC16NHJG8E9nyfmZEEBRBztSq7Jw~~60_35.jpg
    ซึบะ หรือ โล่มือ รูปแบบมาตรฐาน
    1.DSC_00052262_Copy2544.jpg
    ซึบะ หลากหลายรูปแบบ เพราะ ต่างที่มา จาก โรงงานต่างๆ และ ปีที่ผลิต
    102765F35Fq9TUl3CPEf00qg4HVfXNzIDGiBTkdv.jpg
    ส่วนประกอบของด้าม ดาบ
    532642topicix9.jpg
    ชินกุนโต ที่มีรายละเอียดที่ต่างกันเล็กน้อย เช่น เล่มที่ 2 จะตรงกว่า สีของฝัก และ ด้ายพันด้ามที่ต่างกัน ในขณะที่ เล่มสุดท้ายทีฝักที่ไม่เหมือนแบบมาตรฐาน ด้ามยังสั้นยาวไม่เท่ากัน อันเนื่องมาจาก ไม่ได้มาจากแหล่งผลิตเดียวกัน ดังที่กล่าวไว้ในบทความ
    6397336_1_l.jpg

    11229870.jpg
    อีกรูปแบบของการหุ้มฝักด้วยหนัง
    13828473_1.jpg

    ฝักดาบที่เป็นแบบปลายสงคราม แต่ตัวดาบยังเป้น แบบ ไทป์ 94 อยู่

    16690802_1_l.jpg
    ชินกุนโต ไทป์ 95 ของทหารชั้นประทวน
    17061692_2.jpg
    ชินกุนโตขนาดใหญ่ (ดาบโนดาจิ) เล่มนี้ขาดว่าจะไม่ได้ใช้จริงๆในสงครามโลก อาจเป็นการทำขึ้นเพื่อเป็นสัญญาลักษณ์มากกว่า
    100925126.jpg
    ชินกุนโต ไทป์ 95 แบบ สั้น (ดาบวากิซาชิ) ที่ผลิตออกมาน้อย (ในภาพเป็นของรีโปรฯ)
    100925130.jpg

    100925135.jpg

    100925155.jpg

    100925156.jpg
    ดาบชินกุนโต ไทป์ 95 ทุกเล่มจะมี ซีรีย์นัมเบอร์เป็น เลขอาราบิคและ อักษรอังกฤษ ประทับไว้ในบริเวณโคนใบดาบ และ ปลายฝัก ซึ่งจะเลขจะตรงกันหากเป็นดาบเล่มเดียวกัน
    appraising-old-japanese-army-swords.jpg

    copper+tsuka+examples.jpg

    DSC_0495-1_zps4acde6dd.jpg
    วิธีการหุ้มหนัง ฝักดาบ
    DSC_0495-1_zps4acde6dd.jpg

    DSC_0496_zpsba18e751.jpg
    จะเว้นช่องให้ หูหิ้วโผล่อออกมาได้
    Gunto+Rack+08.jpg

    H1078-L43780153.jpg
    ตรงกลางคือ หนังที่ใช้หุ้มด้ามดาบ
    IMG_0935.jpg

    IMG_0944.jpg
    ดาบตีในช่วงสงครามฯ ที่ มีการสลัก ชื่อ สกุลช่าง และ เดือน กับ ปี ที่ผลิต
    IMG_0945.jpg

    IMG_0949.jpg
    จากนั้น สงให้ กองทัพ ตอก หมายเลข ตามระเบียบของกองทัพ
    IMG_0950.jpg

    IMG_0955.jpg

    IMG_0958.jpg

    IMG_0963.jpg

    IMG_0964.jpg

    IMG_0965.jpg

    IMG_0971.jpg

    IMG_0984.jpg

    IMG_0985.jpg

    IMG_0986.jpg

    IMG_0987.jpg

    IMG_1013.jpg

    IMG_1014.jpg

    IMG_1016.jpg

    IMG_1018.jpg

    IMG_1019.jpg



    IMG_1021.jpg

    IMG_1023.jpg
    ข้าบนทั้งหมดคือ ลักษณะต่างๆของรายละเอียดของ ชินกุนโต ไทป์ 94 ที่เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด
    js-18.jpg_thumbnail1.jpg
    ปลายด้ามดาบ ชองชินกุนโต เลท 1944 ซึ่งเป็นช่วงปลายสงคราม ที่ไม่มีเวลาบรรจงอะไรมากนักในการผลิตดาบ
    kat_yasunori_tsuba1.jpg

    mWZ602U5j5dO-jH2iJNPqaA.jpg

    nco_swords2.jpg
    ชินกุนโต ไทป์ 95 ในรูปแบบที่ต่างกัน
    P1010020+(2).jpg

    shin-gunto-nco-shin-gunto-sword-value.jpg
    ความแตกต่างของ ชินกุนโต ไทป์-94 และ ไทป์-95 ที่เป็นของทหาร สัญญาบัตร และ ประทวน
    swe27.jpg
    ด้ามของ ชินกุนโต แบบ เลท 1944 สังเกตุว่าความประนีตจะลดลงไปมาก
    sword3_scabbard_band.jpg

    Type+95+tsuka+overview.jpg
    ไทป์-95 สังเกตุ สามเล่มล่างจะเป็น รุ่น กลาง ที่เริ่มใช้ ซึบะ ที่เป็นแผ่นเหล็กกลมๆ ต่างจาก สองเล่มบน ที่เป็น ซึบะ แบบมีลวดลาย และ ลวดลายนูนสูง ที่ด้ามก็ต่างกันด้วย


    %E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%9A.jpg

    %E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%9A1.jpg

    %E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%9A3.jpg
    เลข ซีรีย์ นัมเบอร์ ที่ใบดาบ และ ปลายฝัก
    %E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%9A4.jpg

    %E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%9A5.jpg

    %E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%9A6.jpg

    %E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%9A7.jpg

    ดาบนายทหาร ที่มีความแตกต่างในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เช่น รูปแบบ และ สีสัน เล่มบน คือ ชินกุนโต รุ่น เลท 1944 ที่ถูกลดทอนรายละเอียดลงไป เนื่องจากความขาดแคลน ทรัพยากร และ เวลาที่จะกัดในช่วงปลายสงคราม

    http://tom021.blogspot.com/2014/05/normal-0-1.html?m=1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2020
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ช่วงนี้เพิ่งได้ดาบญี่ปุ่นมา 1 เล่ม คงจะเป็น ไคกุนโตะ เพราะรูปทรงเหมือน และ่ใบดาบเป็นตัวคันจิ และตัวเลขไปอยู่ที่ฮะบะกิแทน น่าจะเป็นรุ่น 94 แต่ก็สวยดีน่ะครับ ทรงดาบญี่ปุ่น ผสมกระบี่เซเบอร์ แปลกดี

    - ไคกุนโตะ 海軍刀 เป็นดาบญี่ปุ่นประดับเครื่องแบบ ตาชิ โคะชิระเอะ 太刀拵え ใช้ประจำการในกองทัพเรือ มอบให้เจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตร
    kaiguto.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2020
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไต้หวันพบผู้ป่วยCOVID-19(ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่)เสียชีวิตรายแรก เป็นชายวัย60ปี ไม่เคยไปต่างประเทศและไม่มีประวัติผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยCOVID-19ก่อนหน้านี้ ซึ่งมีประวัติป่วยไวรัสตับอักเสบบีและเบาหวาน โดยเสียชีวิตเมื่อ 15 ก.พ.63 จากปอดอักเสบและติดเชื้อในกระแสเลือด ตามการรายงานของ 人民日报 (People's Daily) สื่อจีน
    ณ ขณะนี้ ไต้หวันมีผู้ป่วยCOVID-19สะสมทั้งหมด 20ราย เสียชีวิต1ราย หายดีและออกจากรพ.2ราย
    #อ้ายจง #เล่าเรื่องเมืองจีน #ชีวิตในจีน
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เกิดเหตุเพลิงลุกไหม้ บนอุทยานแห่งชาติภูกระดึง จังหวัดเลย ต้นเพลิงเกิดขึ้นบริเวณหลังแป ตั้งแต่เวลาประมาณ 10.30 น.
    ล่าสุดอัพเดตเวลา 22.45 น. สถานการณ์บนภูกระดึง ค่อนข้างเลวร้ายมาก ณ ตอนนี้ ด้วยกำลัง จนท ด้านบน และ น้ำที่ต้องไปเอาถึงอ่างเก็บน้ำ มาดับ มีแค่รถแทรกเตอร์สำหรับบรรทุกน้ำเท่านั้น ส่งผลกระทบต่อสัตว์ป่าด้านบนเป็นจำนวนมาก .. สาเหตุเกิดจากนักท่องเที่ยวทิ้งก้นบุหรี่
    ข้อมูลและภาพ @DriftingCloud
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผู้โดยสาร Westerdam ยิ้มไม่ออกหลังพบผู้ติดเชื้อ เที่ยวบินถูกระงับ
    แขกบนเรือกังวลอย่างมากตั้งแต่พบว่ามีผลทดสอบออกมาเป็นบวก
    Source : #โพสต์ทูเดย์ #Posttoday #BreakingNews #News #ข่าว #ข่าวเด่น #ข่าวด่วน #ข่าวอัพเดท
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นักชีววิทยาทางทะเลรายงานว่า ปะการังเลือกกินพลาสติกขนาดเล็ก หรือ "ไมโครพลาสติก" มากกว่าอาหารตามธรรมชาติ
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จีนปิดเมืองอู่ฮั่นไปกว่า 2 อาทิตย์แล้ว แต่ไวรัส COVID-19 ยังแพร่ระบาดไม่หยุด
    .
    หนึ่งในสาเหตุก็เพราะไวรัสสายพันธุ์นี้สามารถแพร่ระบาดได้ แม้ผู้ติดเชื้อจะยังไม่แสดงอาการป่วย ประกอบกับในยุคที่ผู้คนเชื่อมต่อเดินทางถึงกันทั่วโลก เชื้อไวรัสจึงแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่ายุคใดๆ
    .
    เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สื่ออังกฤษรายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในอังกฤษเป็นรายที่ 3 โดยเป็นนักธุรกิจชายวัยกลางคนจากเมืองไบรตัน เขตซัสเซกซ์ตะวันออก
    ติดเชื้อขณะไปร่วมสัมมนาที่สิงคโปร์
    .
    แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น เจ้าหน้าที่อังกฤษยังพบว่าขณะที่ผู้ติดเชื้อรายนี้เดินทางกลับบ้านเกิด ในระยะทางร่วมหมื่นกิโลเมตร ชายคนดังกล่าวแพร่เชื้อให้กับคนไปแล้วอย่างน้อย 10 คน
    .
    ย้อนกลับไปเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน ชายคนนี้เป็นหนึ่งในพนักงานจำนวน 109 คนของบริษัท Sovermex ที่จัดสัมมนาขึ้นในสิงคโปร์ บริษัทแห่งนี้มีสาขาอยู่ทั่วโลก โดยในจำนวนพนักงานทั้งหมดที่เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ มีพนักงาน 1 คนมาจากเมืองอู่ฮั่น และเป็นพนักงานชาวจีนคนนี้เองที่แพร่เชื้อไวรัส COVID-19 ให้กับเขา
    .
    2 วันต่อมา เขาเดินทางออกจากสิงคโปร์โดยมีจุดหมายปลายทางที่สวิตเซอร์แลนด์ ตัวเขามีแผนเข้าพักในสกีรีสอร์ทแห่งหนึ่งกับครอบครัวและเพื่อนชาวอังกฤษอีก 10 คน ทั้งนี้ขณะเดินทางเขาไม่ได้แสดงอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใดและผ่านการตรวจคัดกรองในสนามบินอย่างเข้มงวด
    .
    หลังจากพักผ่อนและร่วมกิจกรรมที่สกีรีสอร์ทได้ 4 วัน เขาและเพื่อนบางส่วนได้แยกกับครอบครัวเพื่อเดินทางกลับอังกฤษ ทั้งหมดขึ้นเครื่องบินที่นครเจนีวา จุดหมายปลายทางคือเมืองไบรตัน ชาวอังกฤษทั้ง 5 คนนี้ไม่ได้แสดงอาการป่วยตลอดการเดินทางเช่นเดียวกัน
    .
    แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน สมาชิกครอบครัวที่พักในสกีรีสอร์ทร่วมกับเขาจำนวน 5 คนมีไข้ขึ้นสูง ทั้งหมดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในฝรั่งเศส จากการวินิจฉัยพบว่าทั้งหมดติดเชื้อไวรัส COVID-19
    .
    ไม่มีคำยืนยันว่าชายผู้นี้ทราบข่าวการติดเชื้อของสมาชิกครอบครัวหรือไม่ แต่ทั้งนี้หลังเดินทางถึงเมืองไบรตัน เขาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ จนไม่กี่วันถัดมาจึงเร่ิมมีไข้ขึ้นสูง เขาจึงตัดสินใจเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลและพบว่าติดเชื้อไวรัส COVID-19
    .
    และไม่กี่วันหลังจากนั้น เพื่อนชาวอังกฤษ 4 คนที่กลับจากสวิตเซอร์แลนด์พร้อมกับเขาก็ติดเชื้อด้วย
    .
    เรื่องไม่ได้จบแค่นั้น เพื่อนชาวอังกฤษอีกคนหนึ่งซึ่งเข้าพักในสกีรีสอร์ทแห่งเดียวกับเขาถูกวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัส COVID-19 ไม่กี่วันหลังจากเดินทางกลับบ้านที่เมืองมายอการ์ ประเทศสเปน
    .
    เหตุการณ์ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความน่าหวาดหวั่นของไวรัส COVID-19 ที่สามารถแพร่เชื้อได้ในขณะที่ผู้ติดเชื้อยังไม่แสดงอาการ
    .
    แม้ยังไม่มีคำยืนยันที่ชัดเจน แต่เอกสารซึ่งตีพิมพ์ในวารสารแลนเซตเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ยืนยันถึงกรณีผู้ป่วยเด็กรายหนึ่งซึ่งยังไม่มีอาการป่วยใดๆ แต่สามารถแพร่เชื้อได้ เช่นเดียวกับกรณีของชายชาวอังกฤษจากไบรตันผู้นี้ ซึ่งเขาเดินทางโดยเครื่องบินเป็นระยะทางกว่าหนึ่งหมื่นกิโลเมตรโดยไม่รู้ว่าติดเชื้อ และได้แพร่เชื้อให้คนอีก 10 คน ใน 3 ประเทศ
    .
    ทั้งนี้ตลอดการเดินทางอันยาวไกล เขายังได้พบปะและสัมผัสกับผู้คนนับร้อย ทั้งในโรงแรมที่พัก ห้องประชุม สนามบิน รวมทั้งบนเครื่องบิน จึงเป็นไปได้ว่าผู้รับเชื้อจากเขาคงไม่ได้มีเพียง 10 คนอย่างที่เป็นข่าว
    แหล่งข้อมูล:
    https://www.theguardian.com/world/2...ronavirus-from-singapore-to-sussex-via-france
    https://sea.mashable.com/science/90...le-traveling-10000km-between-singapore-and-uk
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ... "อเมริกาขัดขวางท่อแก๊สจากรัสเซียไปเยอรมัน"
    ... เจ้าหน้าที่ด้านพลังงานระดับสูงของรัฐบาลทรัมป์ นาย Dan Brouillette บอกว่า "รัสเซีย" จะไม่สามารถสร้างแนวท่อแก๊สข้ามทะเลบอลติกของยุโรปด้านเหนือได้ในเวลานี้ หรือท่อสาย Nord Stream2 , เข้ามาที่เยอรมันเพื่อจะส่งไปขายให้ยุโรปได้แน่นอน เพราะติดปัญหาบางอย่าง และส่งสัญญานว่า "อเมริกา" จะขัดขวางเรื่องนี้อย่างแน่นอน
    ... โดยอเมริกาอ้างว่า มันเป็นการฝ่าฝืนการคว่ำบาตรที่อเมริกาวางไว้ห้ามให้รัสเซียค้าขายกับยุโรป ที่อ้างจากเหตุการณ์ในกรณีคาบสมุทรไครเมียปี 2014 ที่ทำให้ยุโรปไม่สามารถค้าขายกับรัสเซียได้ หนึ่งในนั้นคือการที่จะซื้อแก๊สจากรัสเซีย
    ... นาย Dan Brouillette บอกกับสื่อในเยอรมันว่าทางบริษัท Gazprom PJSC ของรัสเซียจะเจอปัญหาล่าช้าแต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะแค่ระยะสั้นๆหรือไม่ เพราะรัสเซียกำลังประสบปัญหาด้านเทคโนโลยี่
    ... ซึ่งท่อแก๊สสายนี้วางแผนจะนำแก๊ส ประมาณ 55 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีจากแหล่งในไซบีเรียของรัสเซียเพื่อไปส่งขายที่ยุโรป โดยมีมูลค่าการลงทุนร่วม 5,800 ล้านยูโร
    ... อย่างชัดเจนแล้วว่าอเมริกาต้องการขัดขวางไม่ให้ยุโรปซื้อจากรัสเซีย เพื่อจะบีบให้มาซื้อพลังงานจะตนเองแทนเช่นแก๊สเหลวที่จะส่งผ่านทางเรือแทน ( ที่ตอนนี้อเมริกาก็บีบหว่านล้อมให้โปแลนด์ซื้อได้แล้ว ) เพราะพวกเขาจะเป็นผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ของโลกแทน
    ... The U.S. has said Europe should cut its reliance on Russia for gas and instead buy cargoes of the fuel in its liquid form from the U.S
    ... ตอนนี้โครงการท่อแก๊สสาย นี้สร้างไปแล้วร้อยละ94 เหลือเพียงช่วงรอยต่อในน่านน้ำของเดนมาร์กแค่นั้น เพื่อจะเริ่มส่งแก๊สขายให้ทันในปี 2020 นี้ ที่อเมริกาพยายามขัดขวางอยู่
    ... มีบริษัทพลังงานหลายรายในยุโรปร่วมหนุนโครงการนี้อยู่เช่น Royal Dutch Shell Plc, Uniper SE, Engie SA and Wintershall AG. แสดงให้เห็นว่าคนยุโรปส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการนี้ ที่ซื้อจากรัสเซียนั้นใกล้และถูกกว่า
    .
    ... https://www.bloomberg.com/amp/news/...hwarted-6-billion-russia-germany-gas-pipeline
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผู้โดยสารเรือเวสเตอร์ดัม ยังต้องเผชิญปัญหา ล่าสุดสธ.เนเธอร์แลนด์ห้ามผู้โดยสารเรือ2คน นั่งเครื่องบินกลับประเทศ
    ชะตากรรมของผู้โดยสารและลูกเรือจากเรือสำราญเวสเตอร์ดัม ยังไม่จบสิ้น แม้ว่าจะได้เข้าเทียบท่าที่กัมพูชา แต่ทว่ากลับมีปัญหาเมื่อประเทศมาเลเซียตรวจพบว่าผู้โดยสารสุภาพสตรีจากเรือเวสเตอร์ดัม ชาวอเมริกัน ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา
    ทำให้ล่าสุด กระทรวงการต่างประเทศเนเธอร์แลนด์ เปิดเผยว่า หลังผลตรวจของมาเลเซียครั้งแรกยืนยันว่าหญิงชาวอเมริกันติดเชื้อ ทำให้สาย(KLM) ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติของเนเธอร์แลนด์ ไม่อนุญาตให้พลเมืองดัตช์ 2 คน จากเรือเวสเตอร์ดัม ซึ่งเดินทางมาพร้อมผู้ป่วยอเมริกันดังกล่าว โดยสารเที่ยวบินจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปยังกรุงอัมสเตอร์ดัมด้วยเช่นกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...