ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    New Silk Road

    #สถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์
    สี จิ้น ผิงส่งกองทัพจีนส่งแพทย์ทหารอีก 2,600 นายไปเมืองอู่ฮั่น

    สำนักข่าว CRI /CCTV /CMG

    วันที่ 13 กุมภาพันธ์ กองทัพจีนจัดส่งแพทย์ทหารอีกจำนวน 2,600 นายไปเมืองอู่ฮั่น เพื่อร่วมงานต่อต้านการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยรับผิดชอบหน้าที่รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในโรงพยาบาลไท่คังถงจี้เมืองอู่ฮั่น และเขตกวงกู่ของโรงพยาบาลสตรีและเด็กมณฑลหูเป่ย โดยจะทำการรักษาพยาบาลตามอย่างของโรงพยาบาลหั่วเสินซาน ซึ่งโรงพยาบาลไท่คังถงจี้เมืองอู่ฮั่นวางแผนจัดเตียง 860 เตียง และเขตกวงกู่ของโรงพยาบาลสตรีและเด็กมณฑลหูเป่ยวางแผนจัดเตียง 700 เตียง โรงพยาบาลสองแห่งนี้ต่างจะเปิดเขตพื้นที่คลินิกชั่วคราว และแผนกเสริมต่างๆ เช่น การควบคุมการแพร่ระบาด ตรวจวัดอุณหภูมิ และฆ่าเชื้อ เป็นต้น

    อนึ่ง ทีมแพทย์ทหารจะแบ่งเป็นหลายชุดและทยอยกันประจำการในโรงพยาบาลต่างๆ ตามขนาดการรองรับและความคืบหน้างานก่อสร้างโรงพยาบาล โดยแพทย์กลุ่มแรกจำนวน 1,400 นายได้เดินทางถึงเมืองอู่ฮั่นในวันที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ และมีแผนจะดำเนินการรักษาพยาบาลที่เกี่ยวข้องในทันที จนถึงขณะนี้ กองทัพจีนได้จัดส่งแพทย์พยาบาลรวมแล้วกว่า 4,000 นายทั้งหมด 3 ชุดไปยังเมืองอู่ฮั่น เพื่อร่วมงานต่อต้านการแพร่ระบาดโควิด-19

    ภาพจากซินหัว

    9968531_193394362929905664_o.jpg?_nc_cat=105&_nc_ohc=rXTILRyQAN8AX9VSKwT&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.jpg

    635195_2427835031201251328_o.jpg?_nc_cat=105&_nc_ohc=ZboaE5hCj8MAX8G7M6W&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.jpg
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Aroonrat Preamsiriampai

    #จับตาสถานการณ์ไวรัสในญี่ปุ่น
    #จิ๊กซอว์ไม่ลงตัว

    วันนี้ 14 กุมภาพันธ์ มีรายงานข่าวน่าสะเทือนใจที่ญี่ปุ่น มีผู้เสียชีวิตจากไวรัส Covid-19 เป็นรายแรกของญี่ปุ่น และเป็นรายที่ 3 ที่เสียชีวิตนอกประเทศจีน

    นอกจากจะมีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว ยังมีข่าวผู้ติดเชื้อเพิ่มอีกด้วย และผู้ป่วยรายล่าสุดเป็นคุณหมอในโรงพยาบาล

    หลายคนได้ยินก็ว่า นั่นปะไร! เพราะจากตัวเลขผู้ที่ติดเชื้อที่มาจากเรือ Diamond Princess ที่ท่าเรือโยโกฮามา ที่วันนี้เพิ่มเป็น 218 ราย บวกกับเจ้าหน้าที่ในเขตกักเชื้อโรคอีก 1 ราย ย่อมมีความเสียงเป็นธรรมดา

    แต่ไม่ใช่!

    ผู้เสียชีวิต และผู้ที่ติดเชื้อรายล่าสุดที่มีรายงานเพิ่มในวันนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับกลุ่มผู้ป่วยจากเรือ Diamond Princess แม้แต่น้อย อยู่คนละพื้นที่ คนละเมืองกันเลย และไม่มีใครเคยเดินทางไปต่างประเทศในช่วงที่ไวรัสระบาด ไม่เคยติดต่อกับคนจีน อยู่กันแต่ในญี่ปุ่น ห่างจากกรุงโตเกียวมาก แต่กลับพบว่าติดเชื้อ

    เริ่มจากผู้เสียชีวิตในวันนี้ เป็นคุณยายวัย 80 ปี จากจังหวัดคานากาว่า เพิ่งเริ่มป่วยแล้วเข้าโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ จากอาการไข้หวัด แล้วก็ทรุดหนักลงเรื่อยๆ และเสียชีวิตไป หลังจากที่ครอบครัวรับศพคุณยายไปทำพิธี ผลตรวจเพิ่งจะออกมาว่าคุณยายเสียชีวิตจากเชื้อไวรัส Covid-19

    คุณยายติดเชื้อตอนไหน ยังไม่มีใครทราบ เพราะคุณยายก็อยู่แต่ในบ้านไ่ม่ได้ออกไปไหน พบเพียงความสำพันธ์ว่า คุณยายเป็น แม่ยาย ของคนขับรถ Taxi คนหนึ่งในโตเกียว ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรน่ารายล่าสุดเหมือนกัน ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ทราบว่าติดมาจากใคร และยืนยันว่าไม่เคยรับผู้โดยสารชาวจีน หรือแม้แต่ชาวต่างชาติในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา?

    และยังไม่มีรายงานชัดเจนว่า คนขับ Taxi ได้เดินทางมาหาคุณยายที่เสียชิวิตในคานากาว่าในช่วงปลายเดือนที่แล้วหรือไม่?

    ผู้ติดเชื้ออีกคน เป็นชายหนุ่มวัย 20 ปี ที่จังหวัดชิบะ ชานเมืองโตเกียว ที่ก็ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศเลยในช่วงเวลานี้

    และเคสที่ตอนนี้เป็นที่น่าจับตามองคือ เคสผู้ติดเชื้อที่เป็นคุณหมอ ที่โรงพยาบาล Saiseikai Arida Hospital ในจังหวัดวาคายาม่า

    ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ พบผู้ป่วยแล้วถึง 2 ราย เป็นคุณลุงเกษตรกรวัย 70 ปี 1 คน และศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาลวัย 50 อีก 1 คน ที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าใครติดใครก่อน

    และทั้งคู่ก็ไม่เคยเดินทางออกนอกพื้นที่ คุณหมอก็ไม่เคยรับคนไข้ชาวจีนที่ไหน แต่ไม่แน่ใจว่าจะติดจากนักท่องเที่ยวในตัวเมืองหรือไม่ แต่โรงพยาบาลก็ไม่ได้อยู่กลางเมืองใหญ่ แล้วเชื้อไวรัสมาจากไหน

    แต่ที่แน่ๆ มีสตาฟในโรงพยาบาลแห่งนัันมีอาการของโรคปอดบวมแล้วอีก 3 ราย กำลังตรวจเพื่อยืนยันผล

    เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หายังไม่รู้ว่าต้นตอของเชื้อมาจากไหน ผุ้ติดเชิ้อรายใหม่อยู่คนละเมือง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่ที่สำคัญติดเชื้อในญี่ปุ่น ทั้งๆที่ไม่ได้ไปเมืองจีน หรือที่ไหนเลย และไม่ได้ติดต่อกับชาวจีน หรือชาวต่างประเทศต่างเมือง และไม่เกี่ยวกับเคสใหญ่ที่เรือ Diamond Princess

    และอัพเดทล่าสุดตอนนี้ ในประเทศญี่ปุ่น มีผู้ติดเชื้อแล้วถึง 251 ราย สูงเป็นอันดับสองของโลก รองจากจีน

    นายกรัฐมนตรี ชินโซะ อาเบะ ก็ไม่รอช้า อนุมัติงบฉุกเฉินเพิ่มอีก 1.5 หมื่นล้านเยน มาจัดการเพิ่มมาตรการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค อันดับแรกคือ ต้องเพิ่มปริมาณหน้ากากอนามัยในท้องตลาดอีก 600 ล้านชิ้น ให้ทันภายในสิ้นเดือนนี้ หลังจากที่ขาดกระจาย เพราะนักท่องเที่ยวจีนแห่มากวาด ขนเอาไปหมดตั้งแต่เดือนที่แล้ว

    แล้วยังเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจยืนยันผล จากเดิมที่สามารถตรวจยืนยันได้เพียง 300 เคสต่อวัน ให้เพิ่มเป็น 1000 เคสภายในสัปดาห์หน้า

    แต่ต้องเร่งหาเส้นทางการแพร่เชื้อโรคให้ได้ด่วนที่สุด หากจิ๊กซอว์ยังต่อไมลงตัว ความเสี่ยงจะเกิดเคสใหม่ก็ยิงสูง และมันอาจจะกระทบกับการจัดงานโอลิมปิคที่โตเกียวในปีนี้ หากตัวเลขผู้ติดเชือในประเทศเจ้าภาพยังสูงขนาดนี้ งานโอลิมปิคอาจมีสิทธิ์เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดก็ได้

    ส่วนเรื่องดีๆ ท่ามกลางเรื่องร้ายๆ ญี่ปุ่นพยากรณ์ ซากุระ Full Bloom ที่โตเกียววันที่ 26 มีนาคมปีนี้ หวังว่า ทางญี่ปุ่นจะเคลียร์สถานการณ์ได้ในเร็วๆนี้ ไม่อย่างนั้น เทศกาลชมซากุระปีนี้คงหงอยน่าดูนาค้า

    แหล่งข้อมูล
    https://www.straitstimes.com/asia/e...Lte7GB7iecfiT3pY5_30XIznokMwkExqV5m8LoOh7wsng
    https://mainichi.jp/english/article...HRfngkWsUv0pMNb9GL6cEVnpZyD1iH8FHhEQ0fdw_DzHI
    https://japantoday.com/category/nat...eath-3-others-including-doctor-test-positive?
    https://www3.nhk.or.jp/nhkworld/en/news/20200214_02/

    9438637_501670120251195392_n.jpg?_nc_cat=100&_nc_ohc=3DK2PCO-HUcAX_V19HN&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.jpg

    493637_3863585445124243456_n.jpg?_nc_cat=109&_nc_ohc=bzgVJZ0P4p0AX8Ig9K4&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.jpg

    588637_9087042378946052096_n.jpg?_nc_cat=102&_nc_ohc=xR0_3S1Nrc8AX8TcEUq&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.jpg
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Environman

    อุณหภูมิขั้วโลกใต้ สูงกว่า 20 องศา ครั้งแรกในสถิติ นักวิทย์เผยไม่ปกติ และไม่น่าเชื่อ หวั่นความไม่มั่นคงสภาพอากาศกระทบทั่วโลก

    อุณหภูมิขั้วโลกใต้บันทึกได้สูงกว่า 20 องศา เป็นครั้งแรก ทำลายสถิติ ทำให้เกิดความหวาดกลัวเกี่ยวกับความไม่มั่นคงของสภาพอากาศในดินแดนแห่งนี้

    นักวิทยาศาสตร์ชาวบราซิลวัดอุณหภูมิที่เกาะ Seymour ในคาบสมุทรแอนตาร์กติก ได้ที่ 20.75 องศา เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งทุบสถิติเดิมเกือบ 1 องศา ที่วัดได้ 19.8 องศา ใน 1982 ที่ Signu Island

    โดยนี้ตามหลังการทำลายสถิติการวัดอุณหภูมิที่สถานี Argentina Esperanza research station เมื่อวันที่ 6 ที่ผ่านมา อุณหภูมิสูงถึง 18.3 องศา ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่สูงสุดในคาบสมุทร

    โดยการบันทึกนี้ต้องมีการยืนยันโดย the World Meteorological Organization WMO แต่อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นนี้มีให้เห็นเป็น Trend ในวงกว้างของคาบสมุทรและเกาะข้างเคียง

    ที่ร้อนขึ้น 3 องศาตั้งแต่ยุค ก่อนอุตสาหกรรม (pre industrial zone) เป็นต้นมา ซึ่งเป็นอัตราที่เร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

    นักวิทยาศาสตร์ผู้เก็บข้อมูลทุกๆ 3 วัน อธิบายว่าสถิติใหม่นี้ ไม่น่าเชื่อ และไม่ปกติ

    "เราเห็นเทรนด์ความร้อนในหลายๆจุด ที่เราดูแล แต่เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนึ้" Caros Schaefer ผู้ที่ทำงานในหน่วยงานรัฐของบราซิลที่ตรวจสอบผลกระทบของภาวะโลกร้อนใน 23 แห่งของขั้วโลกใต้กล่าว

    Schaefer บอกเพิ่มเติมว่าอุณหภูมิในคาบสมุทรนี้ ตรงหมู่เกาะ South Shetland Ilands และ Jame Ross archipelago ที่ เกาะ Seymour เป็นส่วนหนึ่งในนั้นนี้ สภาพอากาศไม่แน่นอนมาเป็นเวลากว่า 20 ปี หลังจากที่หนาวในช่วงสิบปีแรกของศตวรรษหลังจากนั้นก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ

    เหล่านักวิทยาศาสตร์ในโครงการ Brazilian antarctic programme กล่าวว่า นี่เป็นผลมาจากการเปลี่ยรแปลงของกระแสน้ำมหาสมุทร และเหตุการณ์ El Nino "เรามีสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในชั้นดินเยือกแข็ง และมหาสมุทร ทุกอย่างมันมีความสัมพันธ์กันมาก"

    ผลกระทบต่างหลากหลายทั่วทวีปแอนตาร์กติกา ดินแดนนี้เป็นแหล่งน้ำสะอาด 70% ของโลกที่อยู่ในรูปหิมะและน้ำแข็ง หากมันละลาย น้ำทะเลอาจหนุนสูงขึ้น 50-60 เมตร แต่จะเกิดอีกในหลายรุ่นข้างหน้า

    นักวิทยาศาสตร์คาดว่าระดับน้ำมหาสมุทรจะสูงขึ้น 30 - 110 เซนติเมตร ในสิ้นศตวรรษนี้ ขึ้นอยู่กับความสามารถของมนุษย์ในการหยุดมลพิษ และความอ่อนแอของแผ่นน้ำแข็ง

    ขณะที่อุณหภูมิในส่วนกลางและตะวันออกของทวีปยังคงเสถียรอยู่ แต่ก็ยังมีความกังวล ในส่วนของตะวันตกของทวีป ที่มหาสมุทรร้อนขึ้น ซึ่งทำให้ธารน้ำแข็งของ Thwaites และ Pine Island กร่อน

    อุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ และโลกอย่างมาก

    ที่มา

    https://www.theguardian.com/world/2020/feb/13/antarctic-temperature-rises-above-20c-first-time-record

    ภาพ

    https://dxnews.com/lu4zs_marambio-station_seymour-island_antarctica/ — ใน แอนตาร์กติกา

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    0-1.jpg

    สธ. คัดกรองเข้ม นทท. ต่างชาติจากกัมพูชาเทียบเท่าอู่ฮั่น
    14 ก.พ. 2020 - 12:39 น.

    ปลัดสาธารณะสุข เตรียมคัดกรองทุกสายการบินที่มาจากประเทศกัมพูชาโดยใช้มาตรฐานเดียวกับผู้โดยสารที่มาจากเมืองอู่ฮั่นประเทศจีน ขณะที่สถานการณ์ผู้ป่วยโรคโควิด-19 มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่ม 1 ราย ยังไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม

    วันนี้ (14 ก.พ. 63) – นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณะสุข เปิดเผยถึงสถานการณ์ โควิด-19 ยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม มีผู้ป่วยสะสม 33 ราย มีผู้ติดเชื้อรักษาอาการหายเพิ่ม 1 ราย เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน อายุ 33 ปี รวมผู้ติดเชื้อที่ได้กลับบ้านทั้งหมด 13 ราย ทำให้ขณะนี้มีผู้ป่วยรักษาอาการในโรงพยาบาลอยู่ 20 ราย

    ความคืบหน้าผู้ป่วยหนักที่มีโรควัณโรคร่วมด้วยตอนนี้ผู้ป่วยอาการไม่ค่อยดีแต่มีการใส่เครื่องช่วยพยุงการทำงานปอด ทำให้อาการยังคงที่ เช่นเดียวผู้ป่วยในสัตหีบมีอาการดีขึ้น รวมไปถึงอีก 137 ที่เดินทางมาจากอู่ฮั่น ประเทศจีน ทุกคนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค

    ส่วนกรณี เรือสำราญเวสเตอร์ดาม สัญชาติเนเธอร์แลนด์-อังกฤษ จะเข้าเทียบท่าเรือสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชาแล้ว โดยในขณะนี้ทางรัฐบาลไทยได้ชื่อลูกเรือและผู้โดยสารชาวไทยและเตรียมประสาน ตม. และจุดคัดกรองของสนามบิน ถ้ามีผู้โดยสารเดินทางมาจากพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ทุกสายการบินจะมีการคัดกรองเหมือนผู้โดยสารที่มาจากเมืองอู่ฮั่นประเทศจีน

    ขณะที่ อนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ย้ำว่าคนไทยในเรือสำราญเวสเตอร์ดามที่อยากกลับประเทศให้ประสานมาพร้อมจะให้ความช่วยเหลือเต็มที่

    https://www.springnews.co.th/thailand/617261
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In Clip: เสียชีวิตรวมไวรัสโคโรนา 1,383 นักวิจัยจีนชี้ “แอนติบอดี้ในเลือดผู้ป่วย” ใช้สู้ไวรัสได้
    1PLMO2hRdZAi&w=540&h=282&url=https%3A%2F%2Fmpics.mgronline.com%2Fpics%2FImages%2F563000001547701.jpg
    จีนรายงานล่าสุดถึงจำนวนผู้เสียชีวิตล่าสุดจากโรคโควิด-19)อยู่ที่ 1,383คน และมีรายงานการติดเชื้อใหม่อยู่ที่ 5,090 คน ส่งผลทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรวมในจีนอยู่ที่ 64,431คน ขณะที่นักวิจัยจากบริษัทยาจีน ไชน่าเนชันแนลไบโอเทคกรุ๊ป(China National Biotec Group) ประกาศความสำเร็จ สามารถใช้แอนติบอดีในเลือดของผู้ป่วยโรคไวรัสโคโรนาที่หายดีในการฆ่าไวรัสร้ายได้

    คลิก>> https://mgronline.com/around/detail/9630000015088

    #MGROnline #ไวรัสโควิด19 #ไวรัสโคโรนา
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นออกคำแนะนำให้ชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศจีนพิจารณากลับประเทศญี่ปุ่น เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พร้อมชี้มณฑลเจ้อเจียง เป็นพื้นที่เสี่ยงต่อจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย
    563000001546803.jpg
    คลิก>>https://mgronline.com/japan/detail/9630000015016

    #MGROnline #ญี่ปุ่น #จีน #ไวรัสโควิด19
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อุบาทว์สุดๆ!มนุษย์ป้าจีนถ่มน้ำลายใส่ปุ่มกดลิฟต์รัวๆท่ามกลางวิกฤตไวรัส'โควิด-19'(ชมคลิป)
    คลิก>>https://mgronline.com/around/detail/9630000015005
    #MGROnline #มนุษย์ป้า #โควิด-19 #จีน



    เดลีเมล์ - สาวใหญ่ชาวจีนคนหนึ่งถูกกล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้ขณะที่กำลังถ่มน้ำลายรัวๆ เข้าใส่ปุ่มกดลิปต์ของอาคารแห่งหนึ่ง เหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลต่อวิกฤตการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส สายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ทั่วประเทศจีนและทั่วโลก

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ณ อาคารที่พักแห่งหนึ่งในเมืองฉงชิ่ง ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เมื่อวันเสาร์ (8 ก.พ.) ที่ผ่านมา โดยตำรวจเปิดเผยว่าสาวใหญ่นางหนึ่งแซ่หลี่ วัย 48 ปี แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมระบายอารมณ์หลังทะเลาะกับคนอื่นมา แต่เธอไม่ได้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่แต่อย่างใด

    ภาพจากกล้องวงจรปิดพบเห็นนางหลี่เดินเข้ามาในลิฟต์ จากนั้นก็หยิบกระดาษทิชชูที่ทางชุมชนจัดหาไว้ให้แก่พวกผู้อยู่อาศัยเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส มาเช็ดถูกทำความสะอาดมือของเธอ

    จากนั้นเธอก็มองไปรอบๆ เพื่อดูว่ามีกล้องวงจรปิดหรือเปล่า ก่อนถ่มน้ำลายใส่แผงควบคุมปุ่มกดลิฟต์ซ้ำหลายรอบ ระหว่างนั้นก็มีชาวบ้านคนอื่นๆ เข้าลิฟต์มาและกดลิฟต์ตามปกติ โดยที่นางหลี่ทำท่าทีไม่รู้ไม่ชี้ และหลังจากคนอื่นๆ ออกไป เธอก็ถ่มน้ำลายไปทั่วลิฟต์อีกรอบ

    ไวรัสโควิด-19 สามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนผ่านการไอหรือจาม ขณะที่มันถูกมองว่าเป็นเชื้อโรคที่แพร่กระจายได้ง่าย

    563000001545601.jpg
    นับตั้งแต่นั้นวิดีโอนี้ก็กลายเป็นคลิปไวรัลและกระพือประเด็นถกเถียงบนสื่อสังคมออนไลน์ และจากนั้นไม่นานนักเรื่องก็ไปเข้าหูตำรวจท้องถิ่น สุดท้ายนางหลี่ถูกจับกุมและตอนนี้ยังอยู่ภายใต้การควบคุมตัว

    หลังจากถูกจับกุม นางหลี่ให้การรับสารภาพว่าเธอถ่มน้ำลายใส่ปุ่มกดลิฟต์เพื่อระบายอารมณ์โกรธ หลังมีเรื่องโต้เถียงกับใครบางคนก่อนหน้านั้น

    ในถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการ ตำรวจยืนยันว่าผู้หญิงรายนี้มีสุขภาพจิตปกติดีและไม่เคยสัมผัสกับบุคคลที่มาจากพื้นที่หูเป่ยก่อนหน้านี้

    มณฑลหูเป่ยเป็นแก่นกลางของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นับตั้งแต่มันปรากฏตัวครั้งแรกที่ตลาดอาหารทะเลแห่งหนึ่งในอู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑล

    เวลามีผู้เชื้อไวรัสมรณะแล้ว 60,381 คนทั่วโลก ในนั้น 59,822 รายอยู่ในจีน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตก็พุ่งขึ้นเป็น 1,370 คน
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ความรุนแรงของการระบาดของโรคปอดอักเสบอู่ฮั่น กรมการบินพลเรือนฟิลิปปินส์ได้ออกคำสั่ง "ห้าม" ชาวไต้หวันเดินทางเข้าประเทศเป็นการชั่วคราวเมื่อช่วงดึกของวันที่ 10ยกเว้นชาวฟิลิปปินส์หรือต่างชาติที่มีสิทธิพำนักในฟิลิปปินส์ ส่วนชาวต่างชาติที่มีประวัติเดินทางไปจีน, ฮ่องกง, มาเก๊า, ไต้หวันในช่วง 14 วันที่ผ่านมา ก็ห้ามเข้า ส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังฟิลิปปินส์ติดค้างอยู่ที่สนามบินเกาสงเป็นจำนวนมาก

    [​IMG]

    นายกรัฐมนตรีซูเจินชางกล่าวให้กำลังใจเจ้าหน้าที่จัดส่งพัสดุภัณฑ์ไปรษณีย์จงหัว และระบุว่า เหตุการณ์นี้ทำให้ตนรู้สึกเอือมระอาที่ ไต้หวันต้องตกเป็นเหยื่อ "จีนเดียว" อีกครั้ง
    กระทรวงการต่างประเทศย้ำว่า จะเจรจาต่อรองกับฟิลิปปินส์ว่า ไต้หวันไม่ใช่พื้นที่แพร่ระบาดของจีน นอกจากจะดำเนินการช่วยเหลือผู้โดยสารกลับไต้หวันแล้ว ยังหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะมีการติดต่อไปมาระหว่างกันเหมือนเดิม

    แปลและเรียบเรียง // บุญธิดา รุ่งอุดมสินสกุล

    https://news.pts.org.tw/article/466...n8-aI1OiYwdlN93w91fGeCcvMUs5Aj7pOeZS_AjYU_42o
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข่าวด่วนออนไลน์

    เกาหลีเหนือประหารผู้ต้องสงสัยติดเชื้อไวรัส”โควิด-19”

    ทางการปากีสถานขอร้องให้นักศึกษาที่อยู่ในมณฑลหูเป่ย์ อย่าเดินทางกลับบ้านเพราะไม่มีบุคลากรที่พอจะรับมือกับผู้ติดเชื้อไวรัส ขณะที่เกาหลีเหนือสั่งประหารชีวิตเจ้าหน้าที่นายหนึ่งที่ต้องสงสัยว่าติดเชื้อ”โควิด-19” แต่ออกมาในพื้นที่สาธารณะ

    นับเป็นครั้งแรกที่โลกภายนอกได้ยินเรื่องการติดเชื้อไวรัส”โควิด-19” จากประเทศเกาหลีเหนือ โดยเป็นข่าวการประหารชีวิตเจ้าหน้าที่นายหนึ่งที่เพิ่งกลับมาจากการไปทำหน้าที่ที่ประเทศจีน และกลับมาพร้อมกับอาการคล้ายเป็นไข้

    โดยสาเหตุที่ถึงกับถูกประหารชีวิตก็คือ เจ้าหน้าที่ผู้นั้น ออกมาอาบน้ำในโรงอาบน้ำสาธารณะ ทำให้เกิดความกลัวว่าจะมีการแพร่เชื้อไวรัส ซึ่งนับเป็นรายแรกและรายเดียวที่เสียชีวิตในเกาหลีเหนือ

    นอกจากนี้ทางการของเกาหลีเหนือยังเผยแพร่ภาพเจ้าหน้าที่สาธารณะสุข ออกพ่นยาฆ่าเชื้อตามสถานที่ต่างๆ พร้อมกับสั่งปิดสถานที่ที่ชาวต่างชาติเคยพำนักเป็นเวลา 30 วัน เพื่อรอดูว่า จะมีเชื้อไวรัสแพร่กระจายอยู่หรือไม่

    ส่วนที่มณฑลหูเป่ย์ ยังมีชาวต่างชาติ ที่ไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้อีกไม่ต่ำกว่า 800 คน โดยทั้งหมดเป็นนักศึกษาชาวปากีสถาน ที่ทางรัฐบาลของตัวเองขอร้องไม่ให้กลับประเทศ โดยยอมรับว่า การแพทย์ของปากีสถานยังไม่มีความพร้อมเพียงพอที่จะรับมือกับไวรัส”โควิด-19” ซึ่งหากนักศึกษาเหล่านี้กลับมาและมีผู้ติดเชื้อขึ้นมาจริงๆ อาจจะแพร่ระบาดจนไม่สามารถควบคุมจัดการได้

    เครดิต pptv

    #ข่าวด่วนออนไลน์ #KDONLINE #เคดีออนไลน์ #สนามความคิด #เพจข่าวของคุณ #กมลพร #เคนโด้

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Environman

    ธารน้ำแข็งใหญ่ยักษ์ที่แยกออกจากแอนตาร์กติกากำลังไหลสู่ทะเลเปิด! ขนาดพื้นที่ 6,000 ตร.กม. เท่าเกาะบาหลี หวั่นอันตรายการเดินเรือ!

    ภูเขาน้ำแข็งยักษ์ A68 ที่แยกออกจากแอนตาร์กติกาตั้งแต่ปี 2017 กำลังเคลื่อนตัวออกสู่มหาสมุทรเปิด!

    เจ้า A68 ขนาด 6000 ตารางกิโลเมตร เท่าเกาะบาหลี หนักกว่าล้านล้านตัน มีความยาว 150 กิโลเมตร และความหนาอยู่ที่ 200 เมตร แยกตัวออกมาจากหิ้งน้ำแข็ง Larsen C (Larsen C Ice Shelf) ตั้งแต่ปี 2017 และในระยะเวลาสองปีกว่าที่ผ่านมา ขนาดของมันลดลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    แรงลมและกระแสน้ำได้พัดมันไปทางตอนเหนือมุ่งหน้าเข้าสู่ South Georgia ซึ่งเป็นเกาะในคาบมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้

    นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าเมื่อมันเคลื่อนตัวออกไปมันจะคงสภาพเดิมได้ยากเนื่องจากกระแสน้ำที่เชี่ยวกราด พวกเขาคาดว่าเจ้านำ้แข็งขนาดยักษ์จะแตกตัวออกจากกัน

    นักวิทยาศาสตร์กำลังจับตามองภูเขาน้ำแข็งขนาดยักษ์นี้ เพราะเมื่อมันออกสู่มหาสมุทรเปิดมันจะเป็นอุปสรรคต่อการเดินเรือ

    นอกจากนี้ยังมีภูเขาน้ำแข็งอีกสองลูกในแอนตาร์กติกาที่นักวิทยาศาสตร์กำลังจับตามองพวกมันอยู่ เพราะมีความเสี่ยงที่มันจะแยกตัวออกมาภายในปีนี้

    และในวันอังคารที่ผ่านมามีรายงานว่าทวีปแอนตาร์กติกาอุณหภูมิพุ่งสูงไปถึง 18.3 องศา ซึ่งโดยรวมแล้วทวีปแอนตาร์กติกาอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 50 ปีที่แล้วกว่า 3 องศา ซึ่งตัวการที่สำคัญก็คือภาวะโลกร้อนอย่างไม่ต้องสงสัย!!

    https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-7974029/The-worlds-largest-iceberg-steaming-open-ocean.html

    https://www.bbc.com/news/science-environment-51389690

    https://www.bbc.com/news/world-51420681?ocid=socialflow_facebook&ns_mchannel=social&ns_source=facebook&ns_campaign=bbcnews&fbclid=IwAR2qiY9Hb865cZaGASLrKv97YLKP6RqPNcp0BwYXt66NEEzDhpneslwzD80

    เด็กหญิงแก้มยุ้ยเป็นมิตร
    environman — ใน แอนตาร์กติกา

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    น้ำท่วมอย่างรุนแรง jandowae และ nambour ควีนส์แลนด์, ออสเตรเลีย #11 _ 12 _ 13 ก. พ.









    614094_5065949633990098944_n.jpg?_nc_cat=109&_nc_ohc=a2G0blfLvqMAX-ti5FX&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.jpg

    280746_7168001049213534208_n.jpg?_nc_cat=105&_nc_ohc=3sa5Jmff8o4AX97_RPZ&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.jpg

    947408_4451678734096793600_n.jpg?_nc_cat=103&_nc_ohc=8KIaz16biacAX-pWhlf&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.jpg

    614067_9077723730137841664_n.jpg?_nc_cat=101&_nc_ohc=cKgtZGGGFz4AX-brkNm&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.jpg

    947396_4912122111813746688_n.jpg?_nc_cat=108&_nc_ohc=vnFuNCKQRngAX_-1sSA&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.jpg
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยืนยันกรณีของ coronavirus (2019-nCoV) ในประเทศจีนและประเทศอื่น ๆ ปัจจุบัน จาก BNO News อัปเดตข้อมูลผู้ติดเชื้อใหม่ครั้งล่าสุด 13 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 7:43 p.m. ET
    .
    มีผู้ป่วยที่ยืนยันแล้วทั่วโลก 64,171 รายทั่วโลก (เมื่อวาน 60,016 ราย) เฉพาะในจีน 63,584 ราย (เมื่อวาน 59,493 ราย)
    .
    เสียชีวิตทั่วโลก 1,486 ราย (เมื่อวาน 1,357 ราย) เฉพาะในจีน 1,483 ราย (เมื่อวาน 1,355 ราย)
    .
    ป่วยหนักทั่วโลก 10,608 ราย (เมื่อวาน 8,227 ราย) เฉพาะในจีน 10,584 ราย (เมื่อวาน 8,204 ราย)
    .
    หายทั่วโลก 6,678 ราย (เมื่อวาน 5,611 ราย) เฉพาะในจีน 6,601 ราย (เมื่อวาน 5,542 ราย)

    ต้องสงสัยเฉพาะในจีน 13,435 ราย (เมื่อวาน 16,067 ราย)

    PSX_20200214_153056.jpg PSX_20200214_153128.jpg PSX_20200214_153144.jpg PSX_20200214_153203.jpg

    https://bnonews.com/index.php/2020/02/the-latest-coronavirus-cases/
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไนจีเรียเร่งรับมือ ‘ไข้ลาสซา’ ระบาดหนัก ยอดดับแตะ 70 รายแล้ว
    .
    เมื่อวันพฤหัสบดี (13 ก.พ.) ศูนย์ควบคุมโรคแห่งชาติไนจีเรีย (NCDC) เปิดเผยว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากการระบาดของโรคไข้เลือดออกจากไวรัสลาสซา (Lassa) พุ่งขึ้นเป็น 70 รายแล้ว
    .
    จำนวนผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันผลรวมอยู่ที่ 472 ราย เมื่อนับถึงวันอังคาร (11 ก.พ.) และปัจจุบันพบการระบาดใน 23 รัฐจากทั้งหมด 36 รัฐของประเทศ โดยเฉพาะเอโบนยี (Ebonyi), เอโด (Edo) และ ออนโด (Ondo)
    .
    แถลงการณ์ระบุว่าอัตราการเสียชีวิตจากโรคระบาดดังกล่าวในปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 14.8 ซึ่งต่ำกว่าปีก่อนที่อยู่ที่ร้อยละ 18.7 แต่ยังสูงกว่าเป้าหมายของศูนย์ควบคุมฯ ที่กำหนดอัตราการเสียชีวิตจากโรคระบาดในตัวเลขหลักเดียว
    .
    อนึ่ง ไวรัสลาสซาแพร่กระจายผ่านการสัมผัสน้ำลาย ปัสสาวะ และอุจจาระของหนู ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคล้ายโรคไข้มาลาเรีย โดยข้อมูลทางระบาดวิทยาชี้ว่าโรคไข้ลาสซามักระบาดในไนจีเรียช่วงฤดูแล้งเดือนมกราคม-เมษายน
    .
    อย่างไรก็ดี การระบาดรอบล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน โดยพบผู้ป่วยรายแรกที่รัฐเบาชี (Bauchi) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ โดยศูนย์ควบคุมฯ สั่งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินทั่วประเทศร่วมรับมือแล้ว
    .
    ติดตามข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : https://www.xinhuathai.com/
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สกู๊ปหน้า 1 : กางแผนรับมือโคโรนา ไทยมีไม้เด็ด..เอาอยู่

    ย้อนความสำคัญของคำประกาศภาวะฉุกเฉิน “องค์การอนามัยโลก” หรือ WHO ที่ให้สถานการณ์ระบาดของโคโรนาไวรัส 2019 หรือย่อว่า โควิด-19 ถือเป็น “สถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” จากผลกระทบที่มียอดติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากกว่า 24 ประเทศ
    คำประกาศภาวะฉุกเฉินนี้มีผลให้ประเทศภาคีสมาชิก 194 ประเทศทั่วโลก ยกระดับมาตรการด้านสาธารณสุขในการป้องกันลดการแพร่ระบาดระหว่างประเทศ ตามบทบัญญัติกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ.2548
    หลักสำคัญ...คือ ตรวจจับการระบาด หรือภัยคุกคามด้านสาธารณสุข ลดผลกระทบการเดินทางและขนส่งระหว่างประเทศ แก้ไขจาก “กฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ.2512” เพราะบางประเทศนำเรื่องนี้เป็นข้อกีดกันทางการค้า และใช้มาตรการรุนแรง ทั้งกักตัว ห้ามเข้าประเทศ การเลือกปฏิบัติ หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
    จึงจัดทำกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ.2548 มีตัวบท 66 มาตรา กำหนดมาตรการปฏิบัติในภาคผนวก 9 ข้อ โดยเฉพาะสมรรถนะหลักการเฝ้าระวังเตรียมความพร้อม และการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ตลอดจนช่องทางเข้าออกของประเทศสมาชิก ตามเนื้อหาหนังสือ...ที่นี่มีคำตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ.2548
    ประเด็นสำคัญ...“สมรรถนะหลัก” ถือว่าเป็นขีดความสามารถในการปฏิบัติงานป้องกัน และแจ้งเตือนโรคติดต่อที่มีโอกาสแพร่ระบาดข้ามประเทศ โดยเฉพาะไข้ทรพิษ โปลิโอมัยอิลัยตีส ไข้หวัดใหญ่ในคนสายพันธุ์ใหม่ และซาร์ส (SARS) ต้องแจ้งองค์การอนามัยโลกใน 24 ชั่วโมง...
    ซึ่งภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ จากการแพร่ระบาดโรคระหว่างประเทศนี้ ต้องเข้าเงื่อนไข 2 ใน 4 ข้อ คือ...1.มีผลกระทบด้านสาธารณสุขรุนแรง 2.เหตุผิดปกติไม่คาดคิดมาก่อน 3.มีความเสี่ยงสูง แพร่ระบาดข้ามประเทศ และ 4. มีความเสี่ยงสูงต้องจำกัดการเดินทาง หรือการค้าระหว่างประเทศ
    ที่ผ่านมา...มีคำประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข ตั้งแต่ “โรคซาร์ส” เริ่มเกิดขึ้นที่ฮ่องกง “ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009” ที่ระบาดทั่วโลก “โรคไข้หวัดนก H5N1 ในคน” ระบาดในหลายประเทศ “การระบาดเชื้อแบคทีเรียอีโคไลชนิดรุนแรง สายพันธุ์ O104 : H4” เริ่มเกิดขึ้นในเยอรมนี

    กรณีนมผงปนเปื้อนเมลามีนจากจีน ที่ส่งออกไปขายในหลายประเทศ การปนเปื้อนกัมมันตรังสี จากกรณีการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ประเทศญี่ปุ่น การระบาดของการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ที่เริ่มเกิดขึ้นที่ซาอุดีอาระเบีย โรคโปลิโอ Wild type ที่ยังคงระบาดอยู่ในหลายประเทศ เช่น บังกลาเทศ ซีเรีย ซูดาน
    ทว่า...“ประเทศไทย” เป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก ในปี 2550 ครม.เห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุขทำแผนงานด้านกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ.2548 มี 4 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ที่หนึ่ง...พัฒนาสมรรถนะหน่วยงานกับระบบเฝ้าระวังโรค และภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพตรวจจับความผิดปกติ
    ยุทธศาสตร์ที่สอง...พัฒนาห้องปฏิบัติการทุกระดับให้สามารถตรวจวินิจฉัยเชื้อโรค สารเคมี กัมมันตรังสี ยุทธศาสตร์ที่สาม...พัฒนาช่องทางเข้าออกประเทศตามข้อกำหนดอย่างน้อย 18 แห่ง ยุทธศาสตร์ที่สี่...พัฒนาการประสานงานในการปฏิบัติบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
    อีกทั้งยังมีทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) ตั้งแต่ระดับ ประเทศ เขต จังหวัด อำเภอ ในการเฝ้าระวังเหตุการณ์ความผิดปกติของโรค และภัยสุขภาพในชุมชน และควบคุมโรค

    ในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข ที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โรคไข้หวัดนกในคน โรคมือเท้าปากในประเทศกัมพูชาและประเทศไทย การระบาดแบคทีเรียอีโคไลชนิดรุนแรงรวมทั้งกรณีนมผงปนเปื้อนสารเมลามีนจากประเทศจีน ซึ่งประเทศไทยได้รับผลกระทบทางอ้อม
    การระบาดของการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในประเทศภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งมีการพัฒนาเครือข่ายและสมรรถนะของห้องปฏิบัติการในหน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุข การพัฒนาสมรรถนะของช่องทางเข้าออกประเทศ ทั้งที่เป็นท่าอากาศยาน ท่าเรือ และด่านพรมแดน 18 แห่งมาตลอด
    หนำซ้ำ...ยังมี พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ที่เป็นเครื่องมือด้านกฎหมาย ในการเฝ้าระวัง สอบสวน ป้องกันควบคุมโรคติดต่ออันตราย โรคระบาด ที่เป็นกลไกดำเนินงาน มีทั้งระดับประเทศ ระดับจังหวัด และระดับพื้นที่
    โดยเฉพาะกรณีมีเหตุ...“จำเป็นเร่งด่วน” เพื่อป้องกันการแพร่โรคติดต่ออันตราย หรือโรคระบาด ให้ผู้ว่าฯ หรือ ผู้ว่าฯ กทม. มีอำนาจในพื้นที่ความรับผิดชอบ “สั่งปิด”...ตลาด สถานที่ประกอบการ หรือจำหน่ายอาหาร สถานที่ผลิต หรือจำหน่ายเครื่องดื่มโรงงาน สถานที่ชุมนุมชน โรงมหรสพ สถานศึกษา หรือสถานที่อื่นใดไว้เป็นการชั่วคราว
    สิ่งสำคัญ...มีอำนาจสั่งให้ผู้เป็นหรือผู้ต้องสงสัย หยุดประกอบอาชีพชั่วคราว หรือสั่งห้าม เข้าไปในสถานที่ชุมนุมชน โรงมหรสพ สถานศึกษา สถานที่อื่นใด เว้นได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อหากไม่ปฏิบัติตามอาจต้องมีโทษทั้งจำคุกหรือปรับ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 นี้
    ตามมาตรการรับมือโรคอุบัติใหม่นี้ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หน.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสภากาชาดไทย และ ผอ.ศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้า และอบรมไวรัสสัตว์สู่คน มองว่า การระงับเชื้อไวรัสโคโรนานี้ไม่สามารถป้องกันสกัดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีระดมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาคัดกรองไม่ให้เชื้อแพร่ระบาดระหว่างประเทศกันอย่างเข้มงวด
    โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตามพรมแดน และบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข คือ “บุคคลปิดทองหลังพระ” ต่างทุ่มเทเสียสละ แรงกาย แรงใจ ระดมสรรพ-กำลัง ระดมสมอง ระดมเทคโนโลยีต่างๆ สนับสนุนในการค้นหาและคัดกรองตรวจหาตัวอย่างเชื้อไวรัสโคโรนามากกว่า 1,000 ตัวอย่างต่อวัน

    อีกทั้งในจังหวัดแหล่งท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่สาธารณสุขต่างรับบทหนักมาก ต้องทำงานตลอด 24 ชม.เพราะนักท่องเที่ยวมีไข้หวัดธรรมดา ก็มีความสงสัยตัวเองติดเชื้อไวรัสโคโรนา ต่างแห่เข้าตรวจคัดกรองมากมาย
    ทั้งหมดนี้ คือ มาตรการของภาครัฐในการรับมือเฝ้าระวัง “ไวรัสโคโรนา 2019” อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดตามรูปแบบของการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉินให้ทันท่วงที ในการสร้างความมั่นใจ และความน่าเชื่อถือให้กับประชาชน
    สิ่งสำคัญ...รัฐบาลไทยต่างเร่งทำงานป้องกันการระบาดของไวรัสโคโรนา ที่แข่งกับเวลากันอย่างหนัก ในการรายงานสถานการณ์อย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมาให้รวดเร็วที่สุด เพื่อเป็นการชี้แจงกระบวนการดำเนินงานทุกขั้นตอนให้ได้มาตรฐานระดับสากล สร้างความเชื่อมั่นให้กับคนทั่วโลก
    แม้ว่า...“ประเทศไทย” มีการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนาในประเทศแรกๆ เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่การควบคุมสถานการณ์ได้ดี ในอนาคตหากมีไวรัสแปลกประหลาดเกิดขึ้นอีก เชื่อว่าต่างชาติก็เข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทยเช่นเดิม เพราะมีความเชื่อมั่นในมาตรการป้องกันของการแพร่ระบาด ที่พร้อมรับมือโรคอุบัติใหม่อยู่เสมอ
    จริงๆแล้ว...มีมาตรการป้องกันโรคอุบัติใหม่ เทียบเท่าระดับสากลด้วยซ้ำ ตั้งแต่การรับมือระบาดโรคอีโบลา (Ebola) โรคซาร์ส (SARS) โรคเมอร์ส (MERS) โดยเฉพาะปี 2009 เกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอช 1 เอ็น 1 ต่างมีการบูรณาการทุกภาคส่วน รวมถึงมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย มีการสนับสนุนกันซึ่งกันและกัน
    การประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ เป็นการให้อำนาจขอบเขต หรือสิทธิการปฏิบัติแต่ละประเทศ สามารถดำเนินการได้ตามบริบทความเหมาะสมของประเทศนั้น เพราะมีปัจจัย อุปสรรค และความพร้อมไม่เท่ากัน หากประเทศใดมีมาตรการที่สูงกว่าก็ดำเนินการได้เช่นกัน...
    จริงแล้ว...ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องอาศัยการประกาศขององค์การอนามัยโลกด้วยซ้ำ เพราะมี พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ซึ่งสามารถประกาศใช้มาตรการป้องกันโรคติดต่อเองเลยก็ได้ แม้การปฏิบัติป้องกันไวรัสโคโรนา ก็มีลักษณะรูปแบบตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 แต่ยังไม่มีออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนเท่านั้น...
    ทั้งหมดนี้คือการสร้างโครงข่าย และมาตรการที่มีอยู่ สามารถคุ้มกันให้ประเทศไทยมีความปลอดภัยจากโรคระบาดตลอดมา...
    https://www.thairath.co.th/news/local/1770466
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เทียบวิธีของจีน และไทย
    FB_IMG_1581673151469.jpg
    "รองศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์ ทวี โชติพิทยสุนนท์ ที่ปรึกษากรมควบคุมโรค อธิบาย ว่า เมื่อผู้ป่วยที่หายแล้วจะมีภูมิคุ้มกันขึ้น แต่จะมีภูมิคุ้มกันขึ้นชัดเจนประมาณ 2 สัปดาห์ - 4 สัปดาห์ หลังจากเริ่มป่วย จึงมีการเอาเลือดของผู้ที่หายป่วยแล้วมาแยกเอาน้ำเหลืองเลือดที่มีภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี เพราะภูมิคุ้มกันจะเข้าไปจับเชื้อไวรัสไม่ให้เข้าไปยังเซลล์ ซึ่งหลักเกณฑ์นี้นำมาจากสมัยโรคซาร์ส ที่ใครป่วยแล้วรอดตายจะขอเลือดมาใช้รักษา
    ส่วนเลือดของผู้ป่วยที่หายดีแล้วที่จะนำมาใช้ ต้องดูว่ากรุ๊ปเลือดตรงกันหรือไม่ นั้น นายแพทย์ ทวี ทวี โชติพิทยสุนนท์ ที่ปรึกษากรมควบคุมโรค ชี้ว่า ไม่สำคัญ เนื่องจากสามารถเอากรุ๊ปเลือดออกได้ ให้เหลือเฉพาะภูมิคุ้มกัน แต่จะต้องพิจารณาว่ามีเชื้อพาหะอื่นอีกหรือไม่"

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ส่วนภูมิคุ้มกันนี้เอาไปทำวัคซีนเพื่อป้องกันไม่ได้ เพราะวัคซีนต้องทำจากเชื้อ”นายแพทย์ทวีกล่าว

    [เมื่อคนที่หายแล้วจะมีภูมิคุ้มกันขึ้น แต่จะมีภูมิขึ้นชัดเจนนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากเริ่มป่วย แต่ถ้าดีที่สุดคือประมาณ 4 สัปดาห์หรือ 1 เดือน เพราะหากหลังจากนี้ภูมิคุ้มกันก็อาจจะค่อยๆ ลดลงไปอย่างช้าๆ จึงมีการเอาเลือดของผู้ที่หายป่วยแล้วมาสกัดเอาน้ำเหลืองที่มีภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี ซึ่งถือว่าเป็นคอนเซ็ปต์ที่ดีกว่ายา เพราะภูมิคุ้มกันจะเข้าไปจับเชื้อโรค ซึ่งหลักเกณฑ์นี้นำมาจากสมัยโรคซาร์ส ที่ใครป่วยแล้วรอดตายจะขอเลือดมาใช้รักษา รวมถึงสมัยอีโบลาที่มีแพทย์ชาวอเมริกันคนหนึ่งติดเชื้อ และได้รับเลือดจากเด็กชายชาวแอฟริกันรายหนึ่งที่หายจากโรคอีโบลา เป็นต้น]

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    แพทย์ 6 คนเสียชีวิตจาก # COVID19 เมื่อวันอังคารคิดเป็น 0.4% ของอัตราการเสียชีวิตทั้งหมด
    เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจีนกล่าวเมื่อวันศุกร์ว่าเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ 1,716 คนติดเชื้อ #Coronavirus หรือคิดเป็นร้อยละ 3.8 ของผู้ป่วยทั้งหมดที่ได้รับการยืนยันในประเทศ
    #WuhanCoronavirus #CoronavirusOutbreak
    #WuhanVirus

    A total of 6 medical workers had died of #COVID19 as of Tuesday, accounting for 0.4% of the total fatality rate.
    Chinese health authorities on Friday said that 1,716 medical staff had been infected with the #Coronavirus, accounting for 3.8 per cent of the overall confirmed cases in the country.
    #WuhanCoronavirus #CoronavirusOutbreak
    #WuhanVirus

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สธ.ส่งลิสต์รายชื่อผู้โดยสาร-ลูกเรือ #เรือเวสเตอร์ดัม ที่มาเทียบท่าสีหนุวิลล์ ให้ ตม. ด่านควบคุมโรค เฝ้าระวังคัดกรองเข้มหากเดินทางเข้าไทยทุกด่าน พร้อมคัดกรองทุกสายการบินที่มาจากกรุงพนมเปญแบบอู่ฮั่น
    แจงประเทศที่มีผู้ป่วยมาก มีการเฝ้าระวังเข้มอยู่แล้ว จะประกาศยกระดับหรือไม่ ก็ไม่แตกต่าง
    ส่วนสถานการณ์ #โรคโควิด19 ไม่มีผู้ป่วยรายใหม่ รักษาหายเพิ่มอีก 1 ราย
    สำหรับรายอาการปอดบวมรุนแรง หลังใช้เครื่องเอคโมช่วยพยุงการทำงานปอดหัวใจ อาการเริ่มดีขึ้น การแลกเปลี่ยนออกซิเจนในเลือดดีขึ้น
    ขณะที่คนจีนที่ตกค้างในอ.แม่สอด ข้ามกลับไปด่านโก๊กโก่ ไม่ได้ เพราะต้องขอใบรับรองแพทย์และรอครบ 14 วัน เนื่องจากทางบริษัทไม่มั่นใจ ขณะนี้ได้เร่งทยอยหาจำนวนคนจีนตกค้างในแม่สอดแล้ว
    #Qol #MGROnline
    https://mgronline.com/qol/detail/9630000015141
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    ชุดทดสอบ Coronavirus ที่ส่งไปยังสหรัฐอเมริกามีข้อบกพร่อง C.D.C กล่าวว่า
    ชุดทดสอบ coronavirus บางชุดที่ส่งไปยังห้องปฏิบัติการของรัฐทั่วประเทศมีข้อบกพร่องและทำงานไม่ถูกต้อง ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคกล่าวเมื่อวันพุธ
    ชุดทดสอบนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้รัฐทำการทดสอบด้วยตนเองและได้ผลลัพธ์เร็วกว่าการส่งตัวอย่างไปยัง C.D.C ในแอตแลนต้า
    https://www.msn.com/en-us/news/us/c...s-30-countries-are-flawed-cdc-says/ar-BBZVBF6
    https://www.nytimes.com/2020/02/12/health/coronavirus-test-kits-cdc.html
    Coronavirus Test Kits Sent to States Are Flawed, C.D.C. Says
    Some of the coronavirus testing kits sent to state laboratories around the country have flaws and do not work properly, the Centers for Disease Control and Prevention said on Wednesday.
    The kits were meant to enable states to conduct their own testing and have results faster than they would by shipping samples to the C.D.C. in Atlanta.
    https://www.msn.com/en-us/news/us/c...s-30-countries-are-flawed-cdc-says/ar-BBZVBF6
    https://www.nytimes.com/2020/02/12/health/coronavirus-test-kits-cdc.html
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แอนติบอดีต่อเชื้อไวรัส

    แอนติบอดีต่อเชื้อไวรัส เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัส ระบบภูมิคุ้มกันจะทำหน้าที่ป้องกันตัวเอง โดยพยายามขจัดสิ่งแปลกปลอม โดยทั่วไปการติดเชื้อไวรัสก็เช่นเดียวกับการติดเชื้ออื่นๆ แอนติเจนของไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายเปรียบเสมือนข้าศึกบุกเข้าโจมตีฐานที่ตั้ง ร่างกายจะใช้กลไกหลายชนิดในการป้องกันการรุกรานของเชื้อไวรัส ตัวไวรัสประกอบด้วยโปรตีนซึ่งเป็นดีเอ็นเอ หรืออาร์เอนเอ อย่างใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว อยู่ในส่วนกลางของตัวไวรัส ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสนั้นๆ และมีเปลือกหุ้มอีกชั้นเป็นสารโปรตีนที่เรียกว่าแคพซิด เชื้อไวรัสต่างไปจากเซลล์ของคน และสัตว์ที่มีชีวิตอื่นๆ ซึ่งในเซลล์จะมีโปรตีนทั้งสองชนิดเป็นส่วนประกอบอยู่ ไวรัสบางตัวอาจมีเยื่อหุ้มบุอีกชั้นซึ่งมีสารไขมันเป็นส่วนประกอบ ไวรัสไม่มีพลังงานสะสมในตัว ไม่มีการแบ่งตัว ไม่มีการเคลื่อนไหวเมื่ออยู่นอกเซลล์ของคน สัตว์ พืช หรือแม้แต่เชื้อโรคที่ได้รับเชื้อเข้าไป มันจะเพิ่มจำนวน และทำให้เกิดโรคได้ก็ต่อเมื่อเข้าไปอยู่ในเซลล์ของโฮสต์แล้วเท่านั้น ซึ่งเซลล์เหล่านั้นทำหน้าที่เหมือนเป็นโรงงานผลิตเชื้อไวรัสไปโดยปริยาย

    เชื้อไวรัสสามารถที่จะแบ่งตัว และขยายจำนวนได้ในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ โดยเซลล์ที่มีเชื้อไวรัสอยู่ อาจถูกทำลายไป หรืออาจถูกรุกราน ทำให้เซลล์นั้นทำงานได้ไม่เหมือนปกติ ก่อให้เกิดอาการของโรคต่างๆ ได้ อาการ และโรคบางชนิดที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ อาการไอหรือไข้ในเด็กเป็นต้น โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส จะไม่มียารักษาโดยเฉพาะเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นโรคบางโรคที่ทำให้เกิดอาการไม่ร้ายแรง ก็อาจหายไปได้เอง เพียงแต่รักษาตามอาการที่มีอยู่ พักผ่อนให้เพียงพอ หน่วยของไวรัสเองจะมีรหัสกรดนิวคลีอิคที่เป็นดีเอ็นเอ หรืออาร์เอนเอ ก็ได้แล้วแต่ชนิดของไวรัสนั้น หน่วยของไวรัสไม่มีเครื่องมือสำหรับการแบ่งตัวสร้างหน่วยใหม่โดยตัวเอง มันจึงจำเป็นต้องอาศัยเซลที่มีชีวิตอื่นเพื่อทำการยังชีพ และเพิ่มจำนวนตัวเอง ไวรัสจึงคล้ายๆ พยาธิที่คอยเกาะกินเซลล์ที่มีชีวิต และเพิ่มจำนวนขณะอาศัยอยู่ในเซลล์ร่างกายมนุษย์ บางเซลล์อาจถูกทำลาย บางเซลล์ตกอยู่ในสภาพติดเชื้อเรื้อรัง เช่น พวกไวรัสโรคเริม นอกขากนี้ไวรัสบางพวกเลียนแบบเซลล์ปกติของร่างกาย ก่อให้เกิดการแบ่งตัวจนกลายเป็นเนื้องอกขึ้นมาได้ การเลียนแบบเซลล์ปกติของมนุษย์ทำให้การค้นหาเชื้อเพื่อการวินิจฉัย รวมทังการใช้ยารักษาทำลายเชื้อจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก

    ไวรัสทั่วไปตามธรรมชาติจำเป็นต้องเข้าไปเจริญ และทวีแพร่พันธุ์ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น โดยยีนของไวรัส และยีนของเซลล์ที่เพาะเลี้ยงไวรัสต้องมีกลไกสอดคล้องต้องกัน ไวรัสจะสามารถเจริญแพร่พันธุ์ไวรัสใหม่ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์ และชนิดของไวรัส ดังนั้น แต่ละชนิดของไวรัสจึงทำให้เกิดโรคเฉพาะมนุษย์ สัตว์ แมลง พืช สาหร่ายสีน้ำเงิน รา หรือบัคเตรีต่างๆ กัน การเกาะจับกับเซลล์โฮสต์ เกิดขึ้นเมื่อไวรัสเคลื่อนที่มายึดเกาะกับผิวของเซลล์โฮสต์ตรงตำแหน่งที่เหมาะสม หลังจากไวรัสเกาะติดกับเซลล์โฮสต์ไว้แล้ว เยื่อหุ้มเซลล์จะโอบล้อมหน่วยไวรัสไว้ ไวรัสจึงเข้าสู่ภายในเซลล์ได้ทั้งอนุภาค ขั้นตอนการสลายแคปซิด เซลล์โฮสต์จะปล่อยเอนไซม์มาย่อยสลายส่วนของแคปซิด กรดนิวคลิอิกของไวรัสจะแข่งขันกับโครโมโซมของเซลล์เพื่อควบคุมกลไกทางชีววิทยาของเซลล์ กรดนิวคลิอิกของไวรัสเข้าควบคุมกลไกของเซลล์ให้สร้างส่วนประกอบของไวรัสโดยควบคุมให้เซลล์สร้างเอนไซม์ชนิดต่างๆ ขึ้น จนกระทั่งเกิดเป็นไวรัสโดยสมบูรณ์ เป็นระยะที่ส่วนประกอบต่างๆ ของไวรัสที่สร้างขึ้นจะประกอบตัวเองเป็นจำนวนมาก และยังอยู่ภายในเซลล์ สุดท้ายระยะปลดปล่อยออกจากเซลล์ เป็นระยะที่เซลล์โฮสต์แตก ทำให้ไวรัสใหม่ถูกปล่อยออกมาจากเซลล์ แล้วเข้าสู่เซลล์ข้างเคียงต่อไป


    อาวุธร้ายของเชื้อไวรัส

    1. แอนติเจนที่ผิวของไวรัส เปรียบเสมือนหน่วยจู่โจมที่เข้ามาประชิดเซลล์ของร่างกาย แอนติเจนบางชนิดปรากฎอยู่ที่โครงสร้างภายในของตัวไวรัสเอง นอกจากนี้การติดเชื้อไวรัสยังมีอาวุธร้ายแรงอีกชนิดหนึ่ง คือ เอ็นซัยม์ที่ไวรัสสร้างขึ้น ซึ่งมีพิษสงแตกต่างกันไป บางชนิดก่อให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ร่างกายเป็นอย่างมาก บางชนิดช่วยให้การติดเชื้อเป็นไปโดยง่าย และลุกลามแพร่กระจายมากยิ่งขึ้น
    2. ไวรัสทำให้เซลล์ที่ติดเชื้อผิดเพี้ยน นอกจากการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อโดยตรงแล้ว ไวรัสยังก่อให้เกิดแอนติเจนใหม่ที่ผิวของของเซลล์ที่ติดเชื้อสร้างขึ้น เนื่องจากอิทธิพลของไวรัสที่เข้าไปอยู่ในเซลล์ แอนติเจนใหม่ที่เกิดขึ้นนี้จะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้มีปฎิกิริยาตอบสนองซึ่งนำไปสู่การทำลายเซลล์ที่มีแอนติเจนใหม่นั้น จากการศึกษาทางห้องปฏิบัติการพบว่าไวรัสส่วนใหญ่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้แทบทั้งสิ้น
    3. ไวรัสบางชนิดสามารถเปลี่ยนแปลงแอนติเจนของตัวเองได้มาก ไวรัสบางชนิดสามารถเปลี่ยนแปลงแอนติเจนของตัวเองได้มาก เป็นเหตุให้ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อครั้งแรก ไม่สามารถป้องกันร่างกายเมื่อมีการติดเชื้อในครั้งหลัง
    4. การสร้างส่วนประกอบของอาร์เอ็นเอไวรัสทุกขั้นตอนจนถึงการประกอบตัวเองเป็นไวรัสใหม่ จะเกิดขึ้นในไซโตพลาสซึมของเซลล์ แต่ถ้าเป็นไวรัสชนิดดีเอ็นเอ จะจำลองตัวเพิ่มจำนวนในนิวเคลียสของเซลล์แล้วมีการสร้างโปรตีนขึ้นในบริเวณไซโตพลาสซึมโดยอาศัย mRNA ในที่สุดโปรตีนจะถูกถ่ายทอดเข้าไปในนิวเคลียสและประกอบตัวเองเป็นไวรัสใหม่ในนิวเคลียสของเซลล์โฮสต์ เมื่อเซลล์แตกก็จะไปเกาะจับกับเซลล์ใหม่อีก
    5. โปรตีนที่เป็นโครงสร้างของไวรัส ทำหน้าที่ป้องกันกรดนิวคลิอิกของไวรัสจากสิ่งแวดล้อม ช่วยให้เชื้อไวรัสเกาะติดที่ผิวเซลล์ในขั้นตอนการติดเชื้อ และเป็นแอนติเจนของเชื้อไวรัส ไวรัสหลายชนิดมีเอ็นซัยม์ซึ่งเป็นโปรตีนติดตัวไปด้วย การที่ไวรัสบางชนิดต้องมีเอ็นซัยม์ด้วยก็เพราะว่าในเซลล์ของโฮสต์ ไม่มีเอ็นซัยม์เหล่านี้ให้
    6. ไขมันเป็นส่วนประกอบสำคัญของส่วนเปลือกไวรัส มักอยู่ในรูปของสารฟอสโฟไลปิด ซึ่งได้มาจากเยื่อหุ้มเซลล์ของโฮสต์ ในขณะที่ไวรัสหลุดออกจากเซลล์

    วิธีการกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายมนุษย์

    1. วิธีการกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายมนุษย์ ทำได้โดยภูมิคุ้มกันชนิดทั่วไป และภูมิคุ้มกันจำเพาะ
    2. ภูมิคุ้มกันทั่วไปเป็นการกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายโดยวิธีการง่ายๆ เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับสิ่งแปลกปลอมนั้นเป็นครั้งแรก หรือแม้ได้รับอีกในคราวต่อมา เช่น ใช้เครื่องกีดขวางตามธรรมชาติ ซึ่งได้แก่ ผิวหนัง เยื่อเมือกที่บุตามอวัยวะต่างๆ ขนอ่อนพัดโบก เมื่อสิ่งแปลกปลอมนั้นสามารถผ่านเข้าไปได้ ก็จะถูกร่างกายกำจัดโดยเกิดกระบวนการอักเสบ ที่สำคัญที่สุดก็คือ เซลล์ที่กัดกินสิ่งแปลกปลอม เกิดการเคลื่อนย้ายของฟาโกซัยต์มายังบริเวณที่มีสิ่งแปลกปลอม บริเวณนั้นจะมีลักษณะจำเพาะ คือ ปวด บวม แดง ร้อน และจะพบว่าประมาณ 30-60 นาที หลังจากที่สิ่งแปลกปลอมเข้าไป เม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลจะเป็นพวกแรกที่มาถึงบริเวณนี้ โดยการลอดตัวผ่านออกทางรอยต่อของเซลล์บุหลอดเลือดออกมาในเนื้อเยื่อ เพื่อจะมากิน และทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น ประมาณ 4-5 ช.ม. หลังจากนั้นเซลล์อีกพวกหนึ่งเป็นเซลล์ที่มีนิวเคลียสเดียว ซึ่งได้แก่ลิมโฟซัยต์ จะมาทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงต่อไป
    3. กระบวนการกัดกินสิ่งแปลกปลอมเริ่มจากการประกบติด ต่อมาจะกลืน แล้วจึงมีการย่อยด้วยกลไกภายในเซลล์ จากนั้นจึงปล่อยสิ่งแปลกปลอมที่ถูกทำลายแล้วออกไปจากเซลล์
    4. ภูมิคุ้มกันจำเพาะเป็นการกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่ต้องอาศัยกลไกที่ยุ่งยากกว่าวิธีแรก เกิดขึ้นเมื่อร่ายกายไม่สามารถใช้วิธีแรกกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นออกไปได้ เซลล์ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในด้านนี้คือ เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟซัยต์ สิ่งแปลกปลอมในที่นี้มีชื่อเรียกใหม่ว่า แอนติเจน การตอบสนองดังกล่าวแบ่งออกเป็นการตอบสนองทางอิมมูนโดยการใช้แอนติบอดี เซลล์ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟซัยต์ชนิดบีเซลล์และพลาสมาเซลล์ นอกจากนี้ยังมีระบบคอมพลีเม้นท์เข้ามาร่วมด้วย
    5. ภูมิคุ้มกันที่เกิดจากเซลล์ เซลล์ที่รับผิดชอบ คือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดที-ลิมโฟซัยต์

    การก่อภูมิคุ้มกัน

    1. การก่อภูมิคุ้มกันเป็นกลไกทางสรีรวิทยา ที่ทำให้ร่างกายรู้จักสิ่งแปลกปลอมเพื่อจะได้สามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นได้ การก่อภูมิคุ้มกันหมายถึงความต้านทานของร่างกายต่อสิ่งแปลกปลอมนานาชนิด ในปัจจุบันนี้เราทราบว่าระบบภูมิคุ้มกันมีหน้าที่มากกว่านี้ คือยังทำหน้าที่กำจัดเซลล์ของร่างกายตนเองที่ตายแล้วทำลายเซลล์ที่ชำรุด เซลล์ที่มีลักษณะผิดปกติ เช่น เซลล์ที่ผ่าเหล่า เซลล์มะเร็ง เป็นต้น
    2. เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมภายนอกเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร ระบบหมุนเวียนของเลือด ระบบสืบพันธุ์ ร่างกายจะมีกลไก และกรรมวิธีที่จะหยุดยั้งและกำจัดสิ่งแปลกปลอม เช่น มีขนจมูก น้ำเมือก ซิเลีย คอยดักจับไว้ มีการไอจามหรืออาเจียน เมื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย หากยังไม่สามารถยับยั้งสิ่งแปลกปลอมได้ ร่างกายจะมีกลไกขั้นต่อไปโดยใช้เซลล์พิเศษที่เรียกว่า ฟาโกซัยต์ ซึ่งอยู่ในกระแสเลือดหรืออวัยวะบางแห่งเข้ามาทำลายสิ่งแปลกปลอมโดยกระบวนการฟาโกไซโทซิส
    3. หากสิ่งแปลกปลอมมีปริมาณมาก หรือมีคุณสมบัติพิเศษเกินความสามารถที่จะกำจัดโดยกลไก 2 ประการที่กล่าวมาแล้ว ร่างกายจะใช้กลไกขั้นสุดท้าย ซึ่งมีความซับซ้อนมากแต่มีประสิทธิภาพสูง นั่นคือการตอบสนองต่อสิ่งเร้าแบบการก่อภูมิคุ้มกัน มนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอื่นๆ จะมีการวิวัฒนาระบบการก่อภูมิคุ้มกันขึ้นมา ระบบนี้เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมีระหว่างโมเลกุลของสารประกอบจำเพาะที่ร่างกายสร้างขึ้น ที่เรียกว่าแอนติบอดี กับสารเคมีแปลกปลอมจากภายนอกร่างกาย ที่เรียกว่าแอนติเจนหรือสารที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับแอนติเจน
    4. ระบบภูมิคุ้มกันประกอบด้วยเซลล์จากระบบเลือด และระบบน้ำเหลืองซึ่งได้แก่เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ และอวัยวะในระบบต่อมน้ำเหลืองซึ่งเป็นแหล่ง ผลิตเม็ดเลือดขาวและเซลล์บางชนิด อวัยวะในระบบน้ำเหลืองได้แก่ ต่อมน้ำเหลือง ม้าม ต่อมไทมัส ไขกระดูก เป็นต้น
    5. เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟซัยต์ และโมโนซัยต์เป็นเซลล์ที่สำคัญในการต่อต้าน และทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่กระแสเลือด เม็ดเลือดขาวดังกล่าวมีกำเนิดมาจากไขกระดูกและนำไปสร้างเป็นเซลล์จะแปรสภาพไปเป็นแมโครเฟจ ซึ่งทำหน้าที่โอบกลืน และทำลายสิ่งแปลกปลอมหรือแอนติเจน โดยเฉพาะจุลินทรีย์ เชื่อกันว่าเป็นปฏิกิริยาเคมีที่สลับซับซ้อนของแอนติเจนกับโมเลกุลอาร์เอ็นเอ เกิดขึ้นภายในเซลล์แมโครเฟจ แอนติบอดีที่ถูกทำให้หมดฤทธิ์ หรือสมบัติในการทำลายไปนี้จะเป็นตัวการสำคัญที่กระตุ้นทำให้เกิดเซลล์ลิมโฟซัยต์ ชนิดพิเศษที่มีขนาดเล็กจำนวนมากมาย ซึ่งจัดเป็นกลุ่มสำคัญได้ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มทีเซลล์ (T-cell) ซึ่งมีอยู่ร้อยละ 65 กลุ่มบีเซลล์ (B-cell) มีอยู่ร้อยละ 20 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 15 นั้น จะเป็นเซลล์ชนิดอื่นที่สามารถทำหน้าที่ต่อต้านสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกได้
    6. ลิมโฟซัยต์ชนิดทีเซลล์ มีขนาดเล็กอาจมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าไทมอซัยต์ เพราะมีแหล่งสร้างจากต่อมไทมัส โดยมีต้นกำเนิดมาจากไขกระดูก เช่นเดียวกับพวกที่สร้างที่ม้าม ลิมโฟซัยต์ชนิดทีเซลล์มีหน้าที่สำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย อาการแพ้ต่อการต่อสู้กับเชื้อโรคชนิดต่างๆ แม้เซลล์มะเร็ง และการที่ร่างกายไม่ยอมรับเนื้อเยื่อจากบุคคลอื่น บางครั้งจึงเรียกกลไกภูมิคุ้มกันนี้ว่าระบบทีเซลล์ ทีเซลล์แบ่งตามหน้าที่ได้ 2 ประเภท คือ ทีเซลล์ผู้ช่วย (helper T-cell) ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นบีเซลล์ให้สร้างแอนติบอดีจำเพาะขึ้นมาต่อต้าน กับ สิ่งแปลกปลอมจากภายนอกอีกชนิดหนึ่งคือทีเซลล์ผู้ยับยั้ง (suppressor T-cell) ทำหน้าที่กดการทำงานของลิมโฟซัยต์ชนิดอื่นๆ ซึ่งกลไกในการควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่วมกับแอนติบอดีและสารอื่นๆ ในสภาพร่างกายปกติควรมีอัตราส่วนระหว่างทีเซลล์ผู้ช่วยกับทีเซลล์ผู้ยับยั้ง ประมาณ 1:2:2 หากอัตราส่วนผิดไปจากนี้ แสดงว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายยังมีทีเซลล์อื่นๆอีกเช่นทีเซลล์ผู้ฆ่า (killer T-cell) และทีเซลล์ความจำ (memory T-cell)
    7. ลิมโฟซัยต์จะกลายเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ขึ้นเรียกว่า พลาสมาเซลล์ ทำหน้าที่ในการสร้างแอนติบอดี เมื่อได้รับการกระตุ้นจากแอนติเจน พลาสมาเซลล์มีอายุเพียง 2 – 3 วันเท่านั้น
    8. มีเซลล์บางเซลล์แปรสภาพไปเป็นเซลล์ที่มีขนาดเล็กอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า เซลล์ความจำ มีอยู่จำนวนน้อยแต่มีอายุยาวนานในกระแสเลือดเซลล์ความจำมีหน้าที่เป็นยามคอยจับตาดูแอนติเจนจำเพาะที่ยังเหลืออยู่หรือเล็ดลอดเข้าสู่ร่างกายอีก เซลล์ความจำจะจำได้อย่างแม่นยำ และสร้างแอนติบอดีจำเพาะขึ้นมาต่อต้าน และทำลายแอนติเจนอย่างรวดเร็ว
    9. บีเซลล์ในระบบน้ำเหลืองมีต้นกำเนิดมาจากม้าม จะมีบทบาทสำคัญในการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมจากภายนอก

    ภูมิคุ้มกันจำเพาะชนิดแอนติบอดี

    1. แอนติบอดีที่จำเพาะต่อไวรัสทำหน้าที่ต่อต้านไวรัสในระยะที่มิได้อยู่ภายในเซลล์ พบว่าแอนติบอดีชนิด IgM และ IgG เมื่อจับกับแอนติเจนของเชื้อไวรัสแล้ว จะกระตุ้นให้เกิดการทำลายผ่านทางระบบคอมพลีเมนต์ชนิดคลาสสิคัล แต่หากเป็นแอนติบอดีชนิด sIgA เช่นบริเวณเยื่อเมือกต่างๆ จะไม่มีการกระตุ้นคอมพลีเมนท์ทางนี้
    2. การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อจุลชีพ จุลชีพที่จะผ่านเข้าสู่ร่างกาย อาจผ่านเข้าทางผิวหนัง หรือเยื่อบุต่างๆ ซึ่งเป็นที่ๆ มีการป้องกันด้วยคุณสมบัติทางกายภาพของผิวหนังและเยื่อบุเอง โดยเป็นด่านแรกของระบบการป้องกันการเข้าสู่ร่างกายจากจุลชีพ ซึ่งจะเป็นแบบภูมิคุ้มกันตั้งแต่เกิด ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะ ประกอบด้วยเซลล์ชนิดฟาโกซัยต์ เช่น เซลล์แมโครฟาจ เซลล์เดนไดรติก และแกรนูโลซัยต์ เป็นต้น ทำหน้าที่กิน และทำลายสิ่งแปลกปลอม แอนติบอดีชนิด IgA และสารหลั่งที่เคลือบตามเยื่อบุ มีลัยโซซัยม์ แลคโตเฟอริน หรือภาวะเป็นกรด หรือการเคลื่อนไหวที่บริเวณของผิวเยื่อบุ เช่น การทำงานของซีเลียที่เยื่อบุ การไอ การปัสสาวะจะพัดพาจุลชีพออกมา โดยปกติตามเยื่อบุ และผิวหนังก็มีจุลชีพอยู่แต่ไม่ผ่านเข้าสู่ร่างกาย เพราะระบบภูมิคุ้มกันตั้งแต่เกิดนี้ จุลชีพที่สามารถผ่านเข้าร่างกายทางชั้นผิวหนังหรือเยื่อบุต้องมีคุณสมบัติพิเศษที่จะผ่านการทำลายด้วยกลไกต่อต้านชนิดไม่จำเพาะเจาะจง หรือเป็นภาวะที่ผิวหนัง และเยื่อบุขาดคุณสมบัติที่จะป้องกัน เช่น เป็นแผล
    3. การเกิดภาวะอักเสบเป็นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันชนิดไม่จำเพาะที่สำคัญ เกิดจากกลุ่มเซลล์ที่ถูกทำลายโดยจุลชีพ เซลล์ชนิดฟาโกซัยต์ที่จับกินจุลชีพ หรือสิ่งแปลกปลอม และมาสต์เซลล์ที่ถูกกระตุ้นจากระบบคอมพลีเม้นท์ โดยที่เซลล์ต่างๆ เหล่านี้จะหลั่งสารเคมีต่างๆ ที่ทำให้เกิดการอักเสบ ได้แก่ มาสต์เซลล์หลั่งฮิสตามีนทำให้เส้นเลือดขยายตัว และผนังเส้นเลือดเปิดให้เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ถูกกระตุ้นออกมาจากเส้นเลือดเข้าสู่ตำแหน่งที่มีจุลชีพมากขึ้น สารพรอสตาแกลนดินทำให้เส้นเลือดขยายตัว เกิดไข้และเจ็บปวด และสารลิวโคทรัยอีนมีคุณสมบัติดึงดูดเซลล์เม็ดเลือดขาวให้มายังบริเวณที่มีสารนี้อยู่ ทั้งพรอสตาแกลนดิน และลิวโคทรัยอีนสร้างจากเซลล์เม็ดเลือดขาว และเซลล์ทั่วไปที่ถูกกระตุ้นโดยจุลชีพ นอกจากนี้เซลล์เม็ดเลือดขาว โดยเฉพาะลิมโฟซัยต์ และมาโครฟาจที่มายังบริเวณที่ติดเชื้อจะหลั่งซัยโตคายน์ที่สำคัญในการตอบสนองแบบไม่จำเพาะ ได้แก่ interleukin 1 (IL-1) และ tumor necrosis factor (TNF) ที่ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ไข้ และที่สำคัญ คือ กระตุ้นให้มีเซลล์เม็ดเลือดขาวมามากขึ้น เพื่อการเกิดการตอบสนองระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะต่อไป หรือถ้าจุลชีพสามารถถูกทำลายหมดจะกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป
    4. ตัวรับแอนติเจนทั้งบีเซลล์ และทีเซลล์ จะมีโมเลกุลตัวรับที่ผิวเซลล์เพื่อจับกับแอนติเจน สำหรับบีเซลล์ เป็นโมเลกุลของอิมมูโนโกลบูลินที่เกาะที่ผิวเซลล์ ส่วนของทีเซลล์เรียกว่าทีซีอาร์ CD3 เป็นโมเลกุลที่ซับซ้อนกว่า ที่จะจำ และจับกับแอนติเจนที่หลากหลายถูกนำเสนอโดยเซลล์นำเสนอแอนติเจนเท่านั้น
    5. การกระตุ้นบีเซลล์ให้สร้างแอนติบอดี บีเซลล์จะจับกับแอนติเจนที่จำเพาะด้วยตัวรับที่ผิวเซลล์ และนำส่วนแอนติเจนเข้ามาในเซลล์ เปลี่ยนแปลง และนำเสนอที่ผิวเซลล์ร่วมกับโมเลกุล HLA class II ซึ่งทำให้ทีเซลล์ผู้ช่วยมาจับและถูกกระตุ้นด้วยแอนติเจนที่ถูกเสนอจากบีเซลล์ ต่อมาทีเซลล์หลั่งสารลิมโฟคายน์ที่ไปสั่งให้บีเซลล์เปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นเซลล์พลาสมา เพื่อสร้างแอนติบอดีต่อไป เมื่อเริ่มได้รับจุลชีพครั้งแรกแอนติบอดีจะถูกสร้างขึ้นมากจนถูกตรวจพบได้ภายใน 7-10 วันหลังจากที่ได้รับจุลชีพปริมาณของแอนติบอดีจะค่อยๆเพิ่มขึ้น และลดลงจนใกล้ระดับเมื่อเริ่ม เรียกการตอบสนองแบบนี้ว่าเป็นชนิดปฐมภูมิ เมื่อได้รับจุลชีพนั้นอีกครั้งระดับแอนติบอดีนี้จะสูงจนตรวจพบได้ภายใน 24 ชั่วโมง เรียกการตอบสนองแบบนี้ว่าชนิดทุติยภูมิ แอนติบอดียับยั้งการติดเชื้อ ด้วยการจับกับจุลชีพนั้น โดยใช้ส่วนปลายโมเลกุลอิมมูโนโกลบุลินรูปตัว Y จับกับจุลชีพ ถ้าเป็นไวรัส จะทำให้ไวรัสนั้นไม่เข้าสู่เซลล์เป้าหมาย และกระตุ้นระบบคอมพลีเม้นท์ทำลายจุลชีพ หรือกระตุ้นระบบ ADCC
    6. การกระตุ้นทีเซลล์ เมื่อเซลล์นำเสนอแอนติเจนกินจุลชีพหรือสิ่งแปลกปลอม แอนติเจนจะถูกเปลี่ยนแปลง และนำเสนอที่ผิวเซลล์ร่วมกับโมเลกุล HLA class II ที่ไปจับกับทีเซลล์ผู้ช่วย ทำให้มีการหลั่งลิมโฟคายน์ซึ่งจะไปทำให้ทีเซลล์ผู้ช่วยชนิดต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลง เช่น ทีเซลล์ผู้ช่วยเพิ่มจำนวน และเปลี่ยนแปลงเป็นทีเซลล์ความจำ ทีเซลล์ชนิด CTL จะไปทำลายเซลล์ติดเชื้อที่มีแอนติเจนของจุลชีพนั้นเสนอที่ผิวเซลล์ร่วมกับโมเลกุล HLA class I จุลชีพชนิดภายในเซลล์ เมื่อถูกกินด้วยมาโครฟาจจะไม่ถูกทำลาย แต่จะอยู่ในเซลล์ และเพิ่มจำนวนได้ แอนติบอดีจะไม่สามารถจัดการทำลายจุลชีพที่อยู่ภายในเซลล์ได้ จำเป็นต้องใช้เซลล์ CTLs มาทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสนี้
    7. เมื่อบีเซลล์ และทีเซลล์ถูกกระตุ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์จดจำ เมื่อเวลาผ่านไป หากมีการนำเสนอแอนติเจนชนิดเดิมอีกครั้ง ระบบภูมิคุ้มกันที่มีเซลล์ความจำ ก็จะเข้ามาทำลายแอนติเจนนั้นอย่างรวดเร็ว การเกิดภาวะภูมิคุ้มกันระยะยาวอาจเกิดจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ หรือจากการได้รับวัคซีน ในระยะแรกของการติดเชื้อ ปริมาณเซลล์ CTL จะเพิ่มขึ้นตามปริมาณไวรัสที่เพิ่มขึ้น จนถึงจุดสูงสุดซึ่งทำให้ปริมาณไวรัสในเลือดลดลง และความสัมพันธ์ของปริมาณ CTLs กับปริมาณไวรัสจะแปรผกผันกันตลอดระยะเวลาของการติดเชื้อ

    แอนติบอดีทำลายเชื้อไวรัส

    1. กลไกการทำงานของแอนติบอดีต่อไวรัสมีหลายประการ บางชนิดสามารถลบล้างความสามารถของไวรัสในการก่อการติดเชื้อ ไวรัสที่มีแอนติบอดีจำเพาะจับอยู่ไม่สามารถจับกับเซลล์ของร่างกาย ไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ร่างกาย และไม่สามารถลอกหลุดโปรตีนที่หุ้มกรดนิวคลิอิกของเชื้อไวรัสได้
    2. วิธีการทำให้ไวรัสแตกสลาย ร่างกายมนุษย์มีระบบคอมพลีเม้นต์ร่วมในการทำงานกับแอนติบอดีเพื่อทำให้ไวรัสแตกสลาย กลไกดังกล่าวเกิดขึ้นกับไวรัสที่มีเปลือกเป็นสารประเภทไขมัน ได้แก่ ไวรัสเริม โคโรนาไวรัส อะรีนาไวรัส พารามิกโซไวรัส และมิกโซไวรัส นอกจากนี้คอมพลีเมนต์ยังทำงานร่วมกับแอนติบอดีช่วยทำให้เซลล์ของร่างกายมนุษย์จับกินไวรัสได้ วิธีดังกล่าวเรียกว่า opsonization และเซลล์ที่ทำหน้าที่จับกินไวรัสนี้มีชื่อเรียกว่าฟาโกซัยท์
    3. ร่างกายสามารถสร้างแอนติบอดีต่อเอ็นซัยม์ของไวรัสบางชนิด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่ผิวของไวรัส ทำให้ไวรัสที่เพิ่มจำนวนแล้ว และอยู่ภายในเซลล์ของร่างกายไม่สามารถออกมาจากเซลล์ได้ วิธีการนี้ถือว่าช่วยขัดขวางการแพร่กระจายของไวรัสได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่นแอนติบอดีต่อเอ็นซัยม์นิวรามินิเดสของไวรัสไข้หวัดใหญ่
    4. จะเห็นได้ว่าร่างกายสามารถกำจัดไวรัสได้หลายวิธีผ่านทางระบบแอนติบอดีซึ่งร่ายการสร้างขึ้นภายหลังการติดเชื้อนั้นๆ นอกจากนี้ยังมีกลไกภูมิคุ้มกันจำเพาะด้านเซลล์ที่มีบทบาทสำคัญในการทำลายไวรัส รวมทั้งเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสอีกด้วย
    voravouth.jpg
    ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
    ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

    http://www.bangkokhealth.com/index.php/health/health-system/infectious/1890-แอนติบอดีต่อเชื้อไวรัส.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...