ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยอดผู้ติดเชื้อ ‘ไวรัสโคโรนา’ ในจีน ทะยานสู่ 14,380 ราย ดับพุ่ง 304 ราย
    .
    ปักกิ่ง, 2 ก.พ. (ซินหัว) -- วันอาทิตย์ (2 ก.พ.) คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC) ประกาศจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ได้รับการยืนยันผลอยู่ที่ 14,380 ราย (ตัดมณฑลกว่างตงออก 1 ราย) และจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตอยู่ที่ 304 ราย เมื่อนับถึงสิ้นวันเสาร์ (1 ก.พ.)
    .
    รายงานประจำวันของคณะกรรมการฯ ระบุว่าผู้ป่วยทั้งหมดกระจายตัวอยู่ในภูมิภาคระดับมณฑล 31 แห่งของจีน ส่วนหนึ่งเป็นผู้ป่วยหนักขั้นวิกฤต 2,110 ราย ขณะจำนวนผู้ป่วยต้องสงสัยติดเชื้อไวรัสฯ อยู่ที่ 19,544 ราย ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายดีอยู่ที่ 328 ราย
    .
    เมื่อวันเสาร์ (1 ก.พ.) เพียงวันเดียว มีรายงานผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากไวรัสฯ รายใหม่ 2,590 ราย ผู้ป่วยต้องสงสัยติดเชื้อไวรัสฯ รายใหม่ 4,562 ราย และผู้ป่วยที่เสียชีวิตรายใหม่ 45 ราย ซึ่งเป็นคนในมณฑลหูเป่ยทั้ง 45 ราย
    .
    ในวันเดียวกัน มีรายงานผู้ป่วยอาการวิกฤต 315 ราย และผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายดีจนออกจากโรงพยาบาลได้ 85 ราย
    .
    คณะกรรมการฯ ระบุว่ามีการติดตามผู้ที่มีประวัติติดต่อใกล้ชิดกับผู้ป่วยทั้งหมด 163,844 ราย โดย 8,044 ราย ได้รับการปล่อยตัวจากการกักกันเพื่อการสังเกตการณ์ทางการแพทย์ ขณะ 137,594 ราย ยังคงอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ทางการแพทย์ต่อไป
    .
    ด้านจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากไวรัสฯ ที่ได้รับการยืนยันผลในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เขตบริหารพิเศษมาเก๊า และเกาะไต้หวันของจีนอยู่ที่ 14, 7 และ 10 รายตามลำดับ เมื่อนับถึงสิ้นวันเสาร์ (1 ก.พ.)
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นับถอยหลัง! ส่องภายใน-ภายนอก ‘รพ.หั่วเสินซาน’ สร้างแข่งกับเวลาทุกวินาที
    .
    ชวนชมภาพความคืบหน้าของการก่อสร้างโรงพยาบาลหั่วเสินซาน (Huoshenshan Hospital) ในนครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ยทางตอนกลางของจีน ซึ่งเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
    .
    โรงพยาบาลหั่วเสินซานเป็นโรงพยาบาลพิเศษก่อสร้างใหม่เพื่อการรักษาผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสฯ แห่งแรก มีกำหนดก่อสร้างเสร็จสิ้นในค่ำคืนวันอาทิตย์ (2 ก.พ.) และเปิดรับผู้ป่วยกลุ่มแรกในวันจันทร์ (3 ก.พ.) นี้
    .
    อนึ่ง โรงพยาบาลหั่วเสินซาน ขนาด 34,000 ตารางเมตร จะมีเตียงรองรับผู้ป่วย 1,000 หลัง ก่อสร้างโดยอ้างอิงรูปแบบจากโรงพยาบาลเสี่ยวทังซานในกรุงปักกิ่ง ที่เคยใช้เป็นสถานกักกันและรักษาผู้ป่วยโรคซาร์สเมื่อปี 2003
    .
    (บันทึกภาพวันที่ 1 ก.พ. 2020)
    .
    #อู่ฮั่น #ไวรัสโคโรนา #หั่วเสินซาน
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฟิลิปปินส์รายงานผู้ป่วยไวรัสโคโรนา 'เสียชีวิต' รายแรกของประเทศ
    .
    วันอาทิตย์ (2 ก.พ.) ฟิลิปปินส์รายงานว่าชายชาวจีน วัย 44 ปี จากนครอู่ฮั่นของจีน ซึ่งเดินทางมายังฟิลิปปินส์เมื่อเดือนมกราคม เสียชีวิตแล้วด้วยอาการป่วยจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV)
    .
    ฟรานซิสโก ดูเก (Francisco Duque) รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของฟิลิปปินส์ เปิดเผยผ่านการแถลงข่าวว่าชายซึ่งยังไม่สามารถระบุตัวได้คนดังกล่าว เสียชีวิตแล้วเมื่อวันเสาร์ (1 ก.พ.) โดยเขานับเป็นผู้ป่วยที่เสียชีวิตรายแรกในฟิลิปปินส์ และเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อรายที่ 2 ในฟิลิปปินส์
    .
    ดูเกระบุว่าชายคนนี้เป็นเพื่อนกับหญิงชาวจีน วัย 38 ปี ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไปก่อนหน้านี้ ทั้งสองต้องอยู่ในพื้นที่คัดแยกและเข้ารับการรักษาแบบประคับประคองที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในฟิลิปปินส์
    .
    ผู้ป่วยทั้งสองคนมาจากนครอู่ฮั่นและเดินทางถึงฟิลิปปินส์ผ่านเขตบริหารพิเศษฮ่องกงเมื่อวันที่ 21 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยชายคนดังกล่าวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยอาการของโรคปอดอักเสบเมื่อวันที่ 25 ก.พ. หลังมีไข้ ไอ และเจ็บคอ
    .
    "ตลอดการรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีอาการโรคปอดอักเสบรุนแรง โดยเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา อาการของเขาทรงตัวและมีสัญญาณที่ดีขึ้น ทว่าอาการของเขากลับทรุดลงภายใน 24 ชั่วโมงจนเสียชีวิต" ดูเกกล่าว
    .
    ดูเกระบุว่าขณะนี้ฟิลิปปินส์กำลังทำงานร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำฟิลิปปินส์ "เพื่อเป็นหลักประกันถึงการจัดการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคตามมาตรฐานแห่งชาติและระหว่างประเทศ"
    .
    นอกจากนี้ฟิลิปปินส์ระบุว่าจะมีการฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตต่อไป
    .
    (แฟ้มภาพซินหัว)
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    ในแอฟริกา ตั๊กแตนกำลังระบาด พืชผลและทุกอย่างที่ขวางหน้า ตั๊กแตนเป็นภัยพิบัติครั้งที่แปดในประเทศอียิปต์ ในแอฟริกาตั๊กแตนระบาดทำลายเมล็ดพันธ์และทุกอย่างที่ผ่านทาง ตั๊กแตนเป็นการระบาดในอียิปต์
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    ผู้หญิงที่ติดเชื้อ coronavirus ถูกบังคับพาไปกักตัวไว้ที่ Wenzhou
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โรคระบาดร้ายแรงในอดีต ตอนที่ 2 อหิวาตกโรค
    Thu, 2014-08-21 15:18 -- hfocus

    21-8-2557_15-02-21.jpg

    อหิวาตกโรคเป็นโรคระบาดประจำถิ่นของประเทศในทวีปอาเซียและทวีปอินเดีย โดยเฉพาะในลุ่มแม่น้ำคงคา ที่เป็นแม่น้ำสายหลักในการดำรงชีวิต ก่อให้การระบาดไปสู่ภูมิภาคอื่นๆของโลก ตามเส้นทางค้าขายทั้งทางบกและทางเรือ ซึ่งการระบาดครั้งใหญ่ๆ ในโลก แบ่งได้เป็น 7 ครั้ง ได้แก่

    การระบาดครั้งที่ 1 พ.ศ. 2359-2369 ถือว่าเป็นการระบาดใหญ่ครั้งแรกในโลก โดยเริ่มจากเบงกอล แพร่ขยายไปสู่ทวีปอินเดีย จีน และคาบทะเลแคสเปียน

    การระบาดครั้งที่ 2 พ.ศ. 2372- 2394 เป็นการแพร่ระบาดในทวีปยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส ในปีพ.ศ. 2374 มีผู้เสียชีวิตที่มหานครลอนดอนด้วยอหิวาตกโรคสูงถึง 6,536 คน ที่กรุงปารีสมีผู้เสีย ชีวิตประมาณ 20,000 คน การระบาดครั้งนี้แพร่กระจายขึ้นไปจนถึงประเทศรัสเซีย ข้ามไประบาดถึงเควเบ็ค ออนตาริโอ แคนาดา และนครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา และข้ามประเทศไประบาดถึงฝั่งแปซิฟิคของสหรัฐ ในปีพ.ศ. 2377

    การระบาดครั้งที่ 3 พ.ศ. 2395 - 2403 การระบาดครั้งนี้ส่วนใหญ่จะเกิดในประเทศรัสเซีย มีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงถึงล้านคน ในปีพ.ศ. 2397 เกิดการระบาดของอหิวาตกโรคในนครชิคาโก้ สหรัฐอเมริกา ทำให้มีผู้เสียชีวิต ประมาณ 3,300 คน

    การระบาดครั้งที่ 4 พ.ศ. 2406 – 2418 ส่วนใหญ่เป็นการระบาดในทวีปยุโรป และแอฟริกา โดยพ.ศ. 2409 มีการระบาดหนักที่ประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ และมหานครลอนดอน ที่มีการระบาดกระจายไปหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในย่าน อีสท์ เอ็นด์ (East End) ทำให้มีคนตายถึง 5,596 คน และในกรุงอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ มีผู้เสียชีวิตประมาณ กว่า 21,000 คน

    การระบาดครั้งที่ 5 พ.ศ. 2424 – 2439 มีการระบาดใหญ่ที่นครฮัมบวร์ก เยอรมนี พ.ศ. 2435 ทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 8,600 คน ซึ่งการระบาดครั้งนี้ นับว่าเป็นการระบาดที่รุนแรงครั้งสุดท้ายในทวีปยุโรป

    การระบาดครั้งที่ 6 พ.ศ. 2442 – 2466 การระบาดครั้งนี้จะเกิดขึ้นในประเทศรัสเซียและประเทศในกลุ่มอาณาจักรอ็อตโตมันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

    การระบาดครั้งที่ 7 พ.ศ. 2504 – 2513 การระบาดครั้งนี้เริ่มที่เมืองสุละเวลี อินโดนีเซีย แพร่ระบาดไปถึงบังคลาเทศ เข้าสู่อินเดีย ในปีพ.ศ.2507 และสหภาพโซเวียต ในปีพ.ศ.2509 ในขณะเดียวกันเกิดการระบาดในญี่ปุ่น ประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิคใต้ ประเทศในแอฟริกาเหนือ และแพร่ไปยังประเทศอิตาลี ในปี พ.ศ.2515 ซึ่งหลังจากนั้นไม่มีรายงานการระบาดที่รุนแรงเกิดขึ้น

    การระบาดในประเทศไทย

    21-8-2557%2015-02-21.jpg

    แร้งวัดสระเกษช่วงโรคอหิวาตกโรค ระบาดปี 2434 (ภาพจากหนังสือระบาดบันลือโลก)

    การระบาดของอหิวาตกโรค หรือ “โรคห่า” ในไทยนั้น มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้แก่

    สมัยรัชกาลที่ 2 จากบันทึกของ “เจ้าพระยาทิพากรวงศ์” เล่าถึงการระบาดรุนแรงของอหิวาตกโรคครั้งแรกไว้ว่า ในปี พ.ศ.2363 ที่มีการระบาดจากอินเดีย เข้ามาไทย ผ่านทางปีนัง และหัวเมืองฝ่ายตะวันตก เข้ามาถึงสมุทรปราการและพระนคร ระบาด 2 สัปดาห์ ทำให้มีคนตายจำนวนมาก จนเผาศพไม่ทัน กองอยู่ในวัดต่างๆ ได้แก่ วัดสระเกษ วัดบางลำภู วัดบพิตรพิมุข วัดประทุมคงคาและวัดอื่น ถนนหนทางเกลื่อนกลาดเต็มไปด้วยซากศพ ประชาชนอพยพหนีออกจากเมืองด้วยความกลัว พระสงฆ์ทิ้งวัด รัชกาลที่ 2 โปรดฯ ให้ตั้งพิธีขับไล่โรคนี้ขึ้น เรียกว่า "พิธีอาพาธพินาศ" จัดขึ้นที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท มีการยิงปืนใหญ่รอบพระนครตลอดคืน อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบรมสารีริกธาตุออกแห่และโปรยพระพุทธมนต์ตลอดทาง การระบาดครั้งนี้มีคนตายในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใกล้เคียงประมาณ 30,000 คน และมีการระบาดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2365 ในกรุงเทพฯ แต่ไม่ร้ายแรงเท่าการระบาดปี 2363 รัชกาลที่ 2 ทรงประกาศให้ราษฎรหยุดงานทั้งปวง ทำบุญให้ทานและห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มีกำหนด 7 วันในการระบาดคราวนี้มีพระเจ้าน้องยาเธอสิ้นพระชนม์ด้วยอหิวาตกโรคพระองค์หนึ่ง

    สมัยรัชกาลที่ 3 เกิดอหิวาตกโรคระบาดมากในปี พ.ศ. 2392 เรียกกันว่า “ห่าลงปีระกา” ซึ่งตรงกับการระบาดทั่วโลกครั้งที่ 2 ที่เริ่มจากอินเดียระบาดไปยุโรป อเมริกา และระบาดเข้าไทยผ่านปีนัง ปัตตานี สงขลา ระบาดทางเรือเข้าสมุทรปราการ กรุงเทพฯ และแพร่ระบาดไปยังเมืองต่างๆได้แก่ ปทุมธานี พิษณุโลก และอ่างศิลา ชลบุรี การระบาดครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตถึง 40,000 คน รัชกาลที่ 4 หรือเจ้าฟ้ามงกุฏฯ ในขณะนั้น ดำรงเพศบรรพชิต ทรงบัญชาให้ 3 วัด คือ วัดสระเกศ วัดบางลำพู (วัดสังเวชวิศยาราม) และวัดตีนเลน (วัดเชิงเลน หรือวัดบพิตรพิมุข) เป็นสถานที่สำหรับเผาศพ ซึ่งมีศพที่เผาไม่ทันถูกกองสุมกันอยู่ตามวัด โดยเฉพาะวัดสระเกศมีศพมากที่สุด ทำให้ฝูงแร้งแห่ไปลงกินซากศพ จนตามลานวัด บนต้นไม้ บนกำแพง และหลังคากุฏิเต็มไปด้วยแร้ง แม้เจ้าหน้าที่จะถือไม้คอยไล่ก็ไม่อาจกั้นฝูงแร้งที่จ้องเข้ามารุมทึ้งซากศพอย่างหิวกระหาย ทำให้พฤติกรรมของ “แร้งวัดสระเกศ” เป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่ว

    สมัยรัชกาลที่ 4 โรคได้ระบาดขึ้นอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2403 ซึ่งตรงกับการระบาดทั่วโลกครั้งที่ 3 โดยเกิดขึ้นที่เมืองตากก่อน แล้วระบาดมาถึงกรุงเทพฯ ซึ่งการระบาดครั้งนี้ไม่รุนแรง

    21-8-2557%2015-12-28.jpg

    แพทย์-นักศึกษาแพทย์ออกประชาสัมพันธ์และฉีดวัคซีน ให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ตามลำคลอง (ภาพจากหนังสือระบาดบันลือโลก)

    สมัยรัชกาลที่ 5 เกิดการระบาดในปี พ.ศ. 2416 ตรงกับการระบาดทั่วโลกครั้งที่ 4 การระบาดผ่านมาทางมลายู เข้าสู่ไทย ทำให้รัชกาลที่ 5 โปรดให้มีการจัดการและป้องกันอหิวาตกโรคตามหลักวิชาการขึ้นเป็นครั้งแรก ด้วยการจัดตั้งกรมพยาบาลจัดการสุขาภิบาลและการประปาขึ้น และเมื่ออหิวาตกโรคระบาดหนักในปีมะเส็ง พ.ศ. 2424 ทรงโปรดให้จัดตั้งโรงรักษาคนเจ็บอหิวาตกโรคขึ้นในกรุงเทพฯ และจากการระบาดของอหิวาตกโรคที่มีลักษณะการระบาดมาจากทางภาคใต้ ทำให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ขณะดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้ทรงดำริให้ตั้งสถานกักโรคขึ้นตามเมืองท่าในปักษ์ใต้ ตกลงออกเป็นพระราชบัญญัติระงับโรคระบาด ที่หัวเมืองบังคับให้ตั้งด่านตรวจโรคและชักธงเหลือง หากเมืองใดเกิดโรคอหิวาตกโรคให้ชักธงเหลืองขึ้นที่ปากอ่าวหรือทางร่วมเพื่อให้ราษฎรได้ทราบ

    หลังจากนั้นมา มีการระบาดใหญ่ อีก 5 ครั้ง ได้แก่

    การระบาดครั้งที่ 1 (ตั้งแต่ พ.ศ.2461- 2463) เกิดขึ้นที่จังหวัดตาก มาจากประเทศพม่า ลุกลามลงมาทางล่างตามลำน้ำปิงและแม่น้ำเจ้าพระยา มีการระบาดไปยังจังหวัดใกล้เคียงทางเหนือถึงจังหวัดเชียงใหม่ ทางใต้ถึงจังหวัดปัตตานี ระนอง ทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงอุบลราชธานี ระบาดรวม 51 จังหวัด มีคนตาย 13,918 คน

    การระบาดครั้งที่ 2 (พ.ศ.2468-2472) เกิดขึ้นในท้องที่อำเภอป้อมปราบและปทุมวัน แล้วระบาดไปในพระนคร-ธนบุรี มีคนตาย 14,902 คน เกิดจากมีคนป่วยที่เดินทางมากับเรือที่มาจาก ประเทศจีน ถูกกักตรวจที่ด่านกักโรค มีผู้โดยสารบางคนหนีขึ้นบกทำให้เกิดการระบาดขึ้น มีคนป่วยจำนวนมากจนมีการตั้งโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยด้วยอหิวาตกโรคขึ้นที่วังเก่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ที่ วงเวียน 22 กรกฎา หลังวัดเทพศิรินทร์และที่สุขศาลาบางรัก

    การระบาดครั้งที่ 3 (พ.ศ.2478-2480) ครั้งนี้เกิดที่อำเภอวังกะ กาญจนบุรี ระบาดมาจากประเทศพม่า แพร่กระจายไปยังจังหวัดต่างๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ท่าจีน เช่น ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี แพร่เข้ามายังพระนครธนบุรี และระบาดไปตามจังหวัดต่าง ๆ ใน 40 จังหวัด มีคนตาย 10,005 คน ทำให้มีการเกณฑ์นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 3 และชั้นปีที่ 4 จากศิริราช มาช่วยฉีดวัคซีนตามสถานีรถไฟและท่าเรือต่าง ๆ

    การระบาดครั้งที่ 4 (พ.ศ.2486-2490) เริ่มที่กิ่งอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เกิดจากเชลยศึกพม่าที่ทหารญี่ปุ่นเกณฑ์มาสร้างทางรถไฟสายมรณะจากบ้านโป่ง ผ่านกาญจนบุรีเพื่อเข้าสู่ประเทศพม่า ระบาดจากต้นแม่น้ำแม่กลองไปตามจังหวัดต่าง ๆ โดยทางน้ำ ได้แก่ ราชบุรี เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และพระนคร ระบาดในท้องที่ 50 จังหวัด มีคน ตาย 13,036 คน

    การระบาดครั้งที่ 5 (พ.ศ.2501-2502) เริ่มในท้องที่อำเภอราษฎร์บูรณะ ธนบุรี ระบาดในจังหวัดธนบุรี พระนครและจังหวัดอื่น ๆในภาคกลาง ที่มีเขตติดต่อกับธนบุรีเป็นลำดับ อันเนื่องมาจากการคมนาคมที่สะดวกทำให้โรคระบาดไปสู่ภาคใต้ถึงจังหวัดสุราษฎร์ฯ ภาคเหนือถึงจังหวัดตาก และบางจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 38 จังหวัด มีคนตาย 2,372 คน หลังจากการระบาดครั้งนี้แล้ว อหิวาตกโรคไม่ได้สาบสูญไปจากไทย ยังคงพบผู้ป่วยอยู่ประปราย และไทยได้มีการยกเลิกการรายงานโรคอหิวาตกโรคในปี 2532 โดยเปลื่ยนชื่อเป็น โรคอุจจาระร่วงอย่างแรง

    เอกสารอ้างอิง

    1. สำนักระบาดวิทยา [Online], สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2557, จาก http://www.boe.moph.go.th/fact/Cholera.htm

    2. นภนาท อนุพงศพัฒน์. โรคระบาดในสังคมไทย จากอดีตจนเริ่มเขาสูยุคสมัยใหม่. นิตยสารสุขศาลา ปที่ 2 ฉบับที่ 7 กรกฎาคม- กันยายน 2552

    3. ประเสริฐ ทองเจริญ.ระบาดบันลือโลก เล่ม 7. โรงพิมพ์อักษรสมัย (1999) มีนาคม 2553

    4. อหิวาตกโรค. [Online], สืบค้นเมื่อ 16 สิงหาคม 2557, จาก http://kb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2553

    https://www.hfocus.org/content/2014/08/7944
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โรคระบาดร้ายแรงในอดีต ตอนที่ 3 โรคไข้ทรพิษ (ฝีดาษ)
    Tue, 2014-08-26 16:44 -- hfocus

    จากที่มีการพบขวดทดลองที่มีลักษณะแห้งและแช่แข็งบรรจุเชื้อไข้ทรพิษจำนวน 6 ขวด เก็บอยู่ในกล่องในห้องเก็บของที่มีการควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 5 C. ของสถาบันเพื่อสุขภาพแห่งชาติอเมริกา (National Institutes of Health: NIH) ในสังกัดองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ในเบเธสดา รัฐแมรีแลนด์ เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2557 ที่ผ่านมา สร้างความตระหนกแก่ประชาชนที่ทราบข่าว เนื่องจากความกลัวว่าจะมีการนำเชื้อไข้ทรพิษเป็นอาวุธชีวภาพ ทำให้มีการกำหนดมาตรฐานการเก็บรักษาเชื้อไวรัสไข้ทรพิษหรือฝีดาษ ว่าจะต้องถูกเก็บรักษาไว้ใน BSL-4 หรือแล็บความปลอดภัยด้านชีวภาพระดับ 4 แต่ห้องเก็บของที่พบกล่องบรรจุขวดเชื้อไวรัสฝีดาษไม่เข้ามาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูง ทำให้มีการสอบสวนที่มาที่ไปของขวดตัวอย่างที่พบและนำเข้าสู่ระบบการทำลายเชื้อ เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าจะไม่มีการนำไปใช้ในทางที่ผิด อันเนื่องมาจากความรุนแรงของโรคที่เคยปรากฏในอดีตที่ผ่านมา

    ทั้งนี้ ไข้ทรพิษหรือฝีดาษเป็นโรคติดต่อร้ายแรง มีลักษณะเฉพาะคือมีผื่นขึ้นตามตัว ไข้สูง ปวดศีรษะ ชัก และอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน มีอัตราการเสียชีวิต 30% เกิดจากเชื้อไวรัส แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ ไข้ทรพิษชนิดร้ายแรง เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา เมเจอร์” (Variola major or classical smallpox) และไข้ทรพิษชนิดอ่อน ซึ่งมีความรุนแรงน้อยกว่าชนิดแรก เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา ไมเนอร์” (Variola minor or alastrim)

    Smallpox_his1(1).jpg

    การระบาดของฝีดาษในยุโรป (ขอบคุณภาพจากวิกิพีเดีย)

    มีหลักฐานที่ทำให้เชื่อว่าฝีดาษเกิดขึ้นมานานกว่า 10,000 ปีก่อนคริสตกาล จากการตรวจพบ มัมมี่ของฟาโรห์ รามเสส ที่ 5 แห่งอียิปต์โบราณ สวรรคตด้วยโรคฝีดาษ เมื่อ 1,145 ปี ก่อนคริสตกาล ฝีดาษเป็นโรคประจำถิ่นของบางประเทศในเอเชีย คือ บังกลาเทศ อินเดีย และประเทศเอธิโอเปียในทวีปอาฟริกา ทั้งยังพบได้ทั่วยุโรป รวมถึงในจีน และเป็นสาเหตุหลักของการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตของประชากรในหลายประเทศ คาดว่าเชื้อแพร่เข้าสู่ประเทศจีนในช่วงศตวรรษที่ 1 และแพร่กระจายจากจีนเข้าสู่ญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 6 ทำให้เกิดการระบาดครั้งใหญ่ในญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 735-737 ส่งผลให้ประชากร 1 ใน 3 ของประเทศในขณะนั้นเสียชีวิต เช่นเดียวกันกับทางทวีปยุโรป ที่เชื้อได้แพร่กระจายเข้าสู่ประเทศต่างๆ ในยุโรป ตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 จนถึงศตวรรษที่ 16 มีการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก ในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 โดยในยุโรปแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตประมาณ 400,000 ราย เด็กแรกเกิดในสวีเดนราว 10% เสียชีวิตทุกปี จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1796 ( พ.ศ. 2339) เอ็ดวาร์ด เจนเนอร์ (Edward Jenner) แพทย์ชาวอังกฤษได้คิดค้นวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษขึ้นและทำการทดลองใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคฝีดาษ ในระยะแรกยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ จนกระทั่ง พ.ศ. 2343 รัฐสภาอังกฤษถึงได้รับรองผลงานวัคซีนของเจนเนอร์ พร้อมทั้งมอบเงิน 10,000 ปอนด์ เพื่อให้ผลิตวัคซีน และค้นคว้าเรื่องวัคซีน ทำให้มีการใช้วัคชีนเป็นที่แพร่หลาย ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยในยุโรปและอเมริกาเหนือลดลง

    ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เกิดการระบาดของโรคฝีดาษจากไวรัสทั้ง 2 ชนิดพร้อมกัน ในหลายพื้นที่ทั้งในยุโรปและอาฟริกา ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 300-500 ล้านคน โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า ในปี 1967 มีผู้เสียชีวิตจากฝีดาษถึง 15 ล้านคน ที่สหรัฐอเมริกา มีการระบาดของฝีดาษที่รัฐเท็กซัส ในปี ค.ศ. 1949 ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1975 โรคฝีดาษได้ถูกกวาดล้างไปจากสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกันกับประเทศอังกฤษ ที่มีการระบาดระหว่างปี ค.ศ. 1923-1934 มีจำนวนผู้ป่วย 15,000 คน

    Smallpox_americanindian.jpg

    การติดเชื้อฝีดาษของชาวอเมริกันอินเดียนจากชาวยุโรป (ขอบคุณภาพจากวิกิพีเดีย)

    จากการรณรงค์ฉีดวัคซีนกวาดล้างโรคฝีดาษ ตลอดศตวรรษที่ 19-20 โดยการประสานงานขององค์การอนามัยโลก เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967-1975 (พ.ศ. 2510-2518) ทำให้ผู้ป่วยฝีดาษทั่วโลกลดลงอย่างมาก ตามรายงานขององค์การอนามัยโลกแจ้งว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคฝีดาษรายสุดท้าย เกิดขึ้นที่ ประเทศโซมาเลีย เมื่อวันที่ 26 ต.ค. พ.ศ.2520 ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศว่า ฝีดาษถูกกวาดล้าง (eradicate) หมดไปจากโลกในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2523 และได้มีการแจ้งในการประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลก ว่ามีผู้ปวยเสียชีวิตด้วยฝีดาษ 1 คน เป็นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวของกับเชื้อโรคฝีดาษในห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ในปีพ.ศ. 2521 แม้ว่าโรคจะถูกกวาดล้างไปแล้ว แต่เชื้อไวรัสฝีดาษยังถูกเก็บไว้ในหองปฏิบัติการและอยูในความดูแลอย่างเข้มงวดที่ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติ (CDC) เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกาและที่ State Research Centre of Virology and Biotechnology เมืองโคลทโซโวแควนโนโวซีบีสค สหพันธ์สาธารณรัฐ รัสเซีย ซึ่งหนวยงานทั้ง 2 แห่งในประเทศนี้ได้รับอนุญาตจาก WHA ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2542 ให้เป็นที่เก็บไวรัส Variola ที่มีชีวิตเพื่อนํามาใช้ในการศึกษาวิจัยในกรณีที่อาจมีโรคฝีดาษอุบัติใหมขึ้นมา

    การระบาดในไทย

    การเกิดโรคฝีดาษในไทย ปรากฏมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฎในพระราชพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า มีพระมหากษัตริย์ไทยสวรรคตด้วยฝีดาษ 2 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 หน่อพุทธางกูร พระมหากษัตริย์ ลำดับที่ 11 ของกรุงศรีอยุธยา ทรงพระประชวรด้วยโรคไข้ทรพิษ และเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2076 และสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ประชวรที่เมืองหาง (เมืองห้างหลวง ในรัฐฉาน) เป็นฝีละลอกขึ้นที่พระพักตร์ กลายเป็นพิษ และสวรรคต เมื่อ 25 เมษายน 2148 ซึ่งตรงกับช่วงศตวรรษที่ 16 มีการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก และยังมีการระบาดในพ.ศ. 2292 สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่ทำให้มีคนตายมาก

    Smallpx_vaccine(1).jpg

    การปลูกฝีครั้งแรก (ขอบคุณภาพจากวิกิพีเดีย)

    ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการระบาดของฝีดาษเช่นกัน จากบันทึกของหมอบรัดเลย์ ที่ระบุว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการระบาดของฝีดาษอย่างหนัก ทำให้หมอบรัดเลย์ริเริ่มการปลูกฝีบำบัดโรคฝีดาษเป็นครั้งแรกในไทยในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2379 โดยใช้เชื้อหนองฝีโคที่นำเข้ามาจากอเมริกา และได้เขียนตำราชื่อ “ตำราปลูกฝีให้กันโรคธระพิศม์ไม่ให้ขึ้นได้” ปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้

    ในระยะ พ.ศ. 2460 – 2504 ยังมีการระบาดของฝีดาษเกิดขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2488 – 2489 ช่วงการเกิดสงครามมีการระบาดของฝีดาษครั้งใหญสุดเริ่มต้นจากเชลยพม่าที่ทหารญี่ปุ่นจับมาสร้างทางรถไฟสายมรณะข้ามแม่นํ้าแควป่วยเป็นไข้ทรพิษและแพร่ไปยังกลุ่มกรรมกรไทยจากภาคต่างๆที่มารับจ้างทํางานในแถบนั้น เมื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน ได้นําโรคกลับไปแพร่ระบาดใหญ่ทั่วประเทศ มีผู้ป่วยมากถึง 62,837 คน และเสียชีวิต 15,621 คน

    การระบาดเกิดขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2502 ทำให้มีผู้ป่วย 1,548 คน ตาย 272 คน และการระบาดครั้งสุดท้ายมีการบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2504 ที่อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีผู้ป่วย 34 ราย ตาย 5 ราย โดยรับเชื้อมาจากรัฐเชียงตุงของพม่า ทำให้กระทรวงสาธารณสุขเริ่มโครงการกวาดล้างไข้ทรพิษหรือฝีดาษในประเทศไทย รณรงค์ปลูกฝีป้องกันโรค จนปีพ.ศ. 2523 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่าฝีดาษได้ถูกกวาดล้างแล้วจึงหยุดการปลูกฝีป้องกันโรค และนับแต่นั้นมาไม่เคยปรากฏว่ามีฝีดาษเกิดขึ้นในประเทศไทย

    เอกสารอ้างอิง

    กรุงศรีอยุธยาและความเป็นไปของกรุงศรีอยุธยาตอนปลายก่อนจะเสียกรุง. [Online], สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2557, จาก http://3king.lib.kmutt.ac.th/KingTarksinCD/chapter2/page19.html

    โรคโบราณของไทย. [Online], สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2557, จาก http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3127.15

    พระมหากษัตริย์ไทยสมัยอยุทธยา. [Online], สืบค้นเมื่อ 24 สิงหาคม 2557,จาก http://student.nu.ac.th/naruto_nu.com/king4.htm

    โรคไข้ทรพิษ : ฝีดาษ. [Online], สืบค้นเมื่อ 24 สิงหาคม 2557,จาก http://beid.ddc.moph.go.th/media/ BEID_Media_6283.pdf

    เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ (Edward Jenner). [Online], สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2557,จาก http://allknowledges.tripod.com/scientist

    https://www.hfocus.org/content/2014/08/7977
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “พาณิชย์”ออกโรงเตือนอีกครั้ง ขอคนไทยอย่าแห่กักตุนหน้ากากอนามัย เหตุเป็นการสร้างดีมานด์เทียม จนอาจขาดแคลนจริงได้ เผยสต๊อกมี 200 ล้านชิ้นใช้ได้พอ 4-5 เดือน ถ้าไม่ผลิตเพิ่มเลย แต่ล่าสุดผู้ผลิตหลายรายเร่งรับคนงานเพิ่ม เดินเครื่องผลิต 24 ชม.แล้ว สินค้ามีพอแน่ ส่วนในพื้นที่ท่องเที่ยว หากหาซื้อไม่ได้ โทรแจ้ง 1569 จะประสานผู้ผลิตเอาสินค้าไปขายให้
    #MGROnline
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    เข้าแถวยาวในประเทศจีน เพื่อที่จะได้รับหน้ากากและสิ่งป้องกันตัวเองจาก coronavirus
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    หวู่ฮั่น, เหวินโจว ปิดกั้นสะพาน 3 แห่ง คือสะพานลู่หยาน, สะพาน Aojiang แห่งแรก และสะพานหลงกัง
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    เมืองหวู่ฮั่นถูกครอบงำด้วยไวรัส ... ความช่วยเหลือมาจากภูมิภาคอื่นของจีน
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    ชาวหวู่ฮั่นกระแทกเข้ากับผนังและตายเพราะไม่ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลเนื่องจากติดเชื้อ coronavirus
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    ยืนยันว่าพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่งตัวเป็นแพทย์ติดอาวุธในจีน # 1 ก.พ.
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    นักวิจัยที่โรงพยาบาลในเซินเจิ้นเพิ่งพบไวรัสในอุจจาระของผู้ติดเชื้อ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าการส่งผ่านทางอุจจาระและทางเดินหายใจเป็นไปได้ทำให้สถานการณ์เป็นไปได้เช่นการระบาดของโรคซาร์สที่น่าอับอาย
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    Terral Croft ได้ติดตามความก้าวหน้าของแมกมา การปะทุของภูเขาไฟและเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดจากดาวดวงใหม่ที่เข้ามาเป็นเวลา 11 ปี ซึ่งเขาเรียกดาวสีดำ วัตถุจำนวนมากอ้างว่าเป็น Planet X เขามักจะมีการคาดการณ์การผ่านกับโลกในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ประมาณการล่าสุดของเขาคือการผ่านที่จะมาในปี 2021 แต่ตอนนี้มีการปล่อยไวรัสฉับพลันในประเทศจีน (ที่เขาได้รับการมองหา) เขาสงสัยว่าการติดเชื้อที่มีวัตถุประสงค์นี้อาจเป็นสัญญาณว่าการผ่าน อาจเป็นปีนี้ในปี 2020 วันที่คาดการณ์วันที่ 17 พฤษภาคม

    ตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจคือในปี 2010 Bill Ryan นักจิตวิทยาจากอดีต บริษัท นั่งสัมภาษณ์ (ซึ่งรวบรวมความสนใจอย่างกว้างขวางในเวลานั้น) ซึ่งเขากล่าวว่าชนชั้นสูงสมาคมลับที่ดูแลโลกเบื้องหลัง ในแผนในอนาคตของพวกเขาว่าจีนจะ "เป็นหวัด" ก่อนที่จะมีเหตุการณ์ธรณีฟิสิกส์ที่คาดการณ์ไว้ว่าเป็นหายนะ เพื่อให้แน่ใจว่าหลังจากเหตุการณ์ (ไม่ว่าจะเป็นการกลับขั้วสนามแม่เหล็กโลก หรือการผ่านของดาวเคราะห์ X) พวกมันพวกแองโกล - แซ็กซอนชนชั้นสูงจะเป็นพวกที่โผล่ออกมาจากบังเกอร์ใต้ดินของพวกเขาเพื่อการแข่งขันที่จะสร้าง โลกใหม่.

    เพิ่มคำแถลงของคุณพ่อมาลาคี มาร์ตินในปี 1996 ใครเป็นผู้แจ้งเบาะแสวาติกันที่ทำงานในและรอบ ๆ ตำแหน่งที่สูงที่สุดของคริสตจักรโรมันคาทอลิก... เขาอธิบายว่าเทห์ฟากฟ้าที่เข้ามาใกล้เราจะทำให้คนนับล้านต้องพินาศ เขาบอกว่าให้มองไปที่ท้องฟ้า .. นั่น ".. วาติกัน (มี) ความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอวกาศและสิ่งที่กำลังจะมาถึงเรา .. " ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2020 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสได้เชิญผู้แทนของศาสนาหลักทั้งหมด องค์กรและสถาบันด้านมนุษยธรรมต่างๆในภาควิชาการเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม เพื่อลงนามในสนธิสัญญาระดับโลกเพื่อ 'มนุษยนิยมใหม่' ที่สมเด็จพระสันตะปาปาอย่างกระตือรือร้นสนับสนุนสนธิสัญญาการศึกษาทั่วโลกเกือบสมบูรณ์ ไร้การอ้างอิงถึงพระเจ้า

    ในที่สุดให้คำนึงถึงสิ่งที่ไมค์จากทั่วโลกพูดถึงเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2020 ซึ่งเป็นวันที่มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมีบางสิ่งที่น่ากลัวถึงขนาดใหญ่ที่มองเห็นได้ในสวรรค์ บางสิ่งที่รุนแรงถึงตาย ขู่ บางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ ทุกคนก็จะรู้ว่ามีพระเจ้า

    ฉันพบว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งและบังเอิญเกินไปที่จะไม่สงสัยว่าสิ่งเหล่านี้อาจเป็นปริศนาที่เหมาะสมหรือไม่

    Terral Back Star Investigations / Coronavirus อัพเดท 1 กุมภาพันธ์ 2020 วิดีโอ:


    Terral Croft has been tracking magma progression, volcanic eruptions and earthquake events caused by an incoming star for 11 years now which he calls the Black Star. The object many refer to as Planet X. He has always had a forecast of its crossing with Earth in mid-May. His recent projection was that its crossing would come in 2021. But now with this sudden virus release in China, (that he has been looking for) he suspects that this purposed contagion could be the sign that the crossing could be this year in 2020 with a projected date of May 17th.

    Now what's interesting, is that in 2010 Bill Ryan, an ex-corporate psychologist, sat for interview (which gathered widespread attention at the time) in which he stated that the elites, the secret societies that run the world behind the scenes, would see to it in their future plans that China would "catch a cold" prior to an "anticipated" geophysical event — a cataclysm. That this would ensure that after the event, (whether it be a pole shift or the passing of Planet X) that they, the Anglo-Saxon elites, would be the ones to emerge from their underground bunkers to be the dominate race to rebuild the New World.

    Add Father Malachi Martin's statement from 1996. Who was a Vatican whistleblower that worked in and around the highest echelons of the Roman Catholic Church, had an ear to the pope, and held 3 doctorates. He explained that a celestial body approaching us will cause millions to perish during its passage. He said to look to the skies.. That, "the .. Vatican (has) knowledge of what's going on in space and what's approaching us.." On May 14, 2020 Pope Francis has invited the representatives of all major religions, international organizations, and various humanitarian institutions in the academic, economic, political, and cultural sectors to sign a ‘Global Pact’ for a ‘new humanism’. In which the pope enthusiastically supports a global educational pact almost completely devoid of references to God.

    Finally take into consideration what Mike from Around the World said about May 12, 2020 of being a date of a very high possibility of something fearful of great magnitude being sighted in the heavens. Something severe, deadly, threatening. Something of a magnitude that nobody can deny. That everyone would know there's a God by then.

    I find this all most certainly highly noteworthy and all too coincidental not to wonder if these might be pieces to a puzzle that fit.

    Terral Back Star Investigations / Coronavirus Update February 01, 2020. Video:


     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นักสืบ DNA อ่านจีโนม coronavirus ติดตามต้นกำเนิดและค้นหาการกลายพันธุ์ที่เป็นอันตราย โดย SHARON BEGLEY @sxbegle มกราคม 24, 2020
    NEJMoa2001017_f3-500x315.jpg
    2019-nCoV
    กราฟขนาดเล็กอิเล็คตรอนของอนุภาค 2019-nCoV ที่แยกได้ (ซ้าย) และในเซลล์จากสายการบินมนุษย์ (ขวา) ทำเครื่องหมายด้วยลูกศร
    วารสารภาษาอังกฤษใหม่
    ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อและนักระบาดวิทยาแข่งกันว่ามีการระบาดของ coronavirus ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่หวู่ฮั่น ประเทศจีน พวกเขาได้รับการสำรองข้อมูลที่เป็นไปได้เฉพาะตั้งแต่เกิดการระเบิดในเทคโนโลยีพันธุกรรม: ลึกเข้าไปในจีโนมไวรัส -nCoV
    การวิเคราะห์จีโนมของไวรัสกำลังให้เบาะแสกับต้นกำเนิดของการระบาดและแม้กระทั่งวิธีที่เป็นไปได้ในการรักษาการติดเชื้อ ความต้องการเร่งด่วนมากขึ้น ในแต่ละวัน: ...
    การอ่านจีโนม (ซึ่งทำจาก RNA ไม่ใช่ DNA) ยังช่วยให้นักวิจัยตรวจสอบว่า 2019-nCoV มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรและจัดทำแผนงานสำหรับการพัฒนาการทดสอบวินิจฉัยและวัคซีน
    Kristians Andersen จาก Scripps Research ผู้เชี่ยวชาญด้านจีโนมไวรัสกล่าวว่า“ พันธุศาสตร์สามารถบอกเราถึงเวลาที่แท้จริงของคดีแรก” และไม่ว่าพวกเขาจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เจ้าหน้าที่ตระหนักหรือไม่ “ มันสามารถบอกเราได้ว่าการระบาดของโรคเริ่มต้นจากเหตุการณ์เดียวของการกระโดดของไวรัสจากสัตว์ที่ติดเชื้อไปยังบุคคลหรือจากสัตว์จำนวนมากที่ติดเชื้อ และพันธุศาสตร์สามารถบอกเราได้ว่าอะไรคือการระบาดของโรค - การแนะนำใหม่จากสัตว์หรือการส่งผ่านจากมนุษย์สู่มนุษย์ "
    นักวิทยาศาสตร์ในประเทศจีนได้จัดลำดับจีโนมของไวรัสและให้บริการในวันที่ 10 มกราคมเพียงหนึ่งเดือนหลังจากรายงาน 8 ธันวาคมของกรณีแรกของโรคปอดอักเสบจากไวรัสที่ไม่รู้จักในหวู่ฮั่น ในทางตรงกันข้ามหลังจากการระบาดของโรคซาร์สเริ่มขึ้นในปลายปี 2545 นักวิทยาศาสตร์ใช้เวลานานกว่าในการเรียงลำดับโคโรนาไวรัส มันพุ่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2546 และจีโนมที่สมบูรณ์ของนิวคลีโอไทด์ 29,727 นั้นไม่ได้ถูกจัดลำดับจนถึงเดือนเมษายน
    Andrew Rambaut จาก University of Edinburgh ผู้เชี่ยวชาญด้านวิวัฒนาการไวรัสกล่าวว่าตั้งแต่การเรียงลำดับตัวอย่าง 2019-nCoV แรกจากผู้ป่วยรายแรกนักวิทยาศาสตร์ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ก้าวนั้นเป็น“ ไม่เคยมีมาก่อนและไม่น่าเชื่ออย่างแท้จริง” Andersen กล่าวซึ่งทำงานเกี่ยวกับการหาลำดับเบสของอีโบลาในระหว่างการระบาดของโรคในปี 2014 ....
    จีโนมของไวรัสหวู่ฮั่นมีความยาว 29,903 เบสซึ่งเป็นหนึ่งในหลาย ๆ ร่องรอยที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าคล้ายกับโรคซาร์สมาก
    โดยการเปรียบเทียบจีโนม 24 ตัวอย่าง นักวิทยาศาสตร์สามารถตอบคำถาม“ เริ่มนี้เมื่อไหร่” ตัวอย่างที่มีอยู่ 24 ตัวอย่างรวมทั้งจากประเทศไทยและเซินเจิ้นและหวู่ฮั่นแสดงให้เห็นถึง“ ความผันแปรทางพันธุกรรมที่ จำกัด มาก” Rambaut สรุปในฟอรัมสนทนาออนไลน์ที่นักไวรัสวิทยาใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ร่วมกัน “ นี่เป็นสิ่งบ่งบอกถึงบรรพบุรุษที่พบได้ทั่วไปในไวรัสเหล่านี้”
    เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่ความเร็วของการกลายพันธุ์ของจีโนม หาก nCoV มีการหมุนเวียนในมนุษย์อย่างมีนัยสำคัญก่อนที่จะมีการรายงานผู้ป่วยรายแรก เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 24 จีโนมจะแตกต่างกันมากขึ้น การใช้อัตรา ballpark ของการวิวัฒนาการของไวรัส Rambaut คาดการณ์ว่าไวรัสอดัม (หรืออีฟ) ที่เชื้อสายอื่น ๆ ทั้งหมดถูกสืบเชื้อสายมาปรากฏตัวครั้งแรกไม่เร็วกว่า 30 ตุลาคม 2019 และไม่ช้ากว่า 29 พฤศจิกายน
    ไวรัสตัวกำเนิดนั้นเกือบจะแน่นอนว่าเป็นหนึ่งเดียวที่ไหลเวียนอย่างไม่เป็นอันตรายในค้างคาว (เช่นโรคซาร์ส) แต่มี "แหล่งรังโรคกลาง" ในสัตว์หนึ่งหรือหลายตัวที่เข้ามาติดต่อกับผู้คน แอนเดอร์สันกล่าว สันนิษฐานว่าแหล่งรังโรคเป็นหนึ่งในสายพันธุ์สัตว์ในตลาดหวู่ฮั่นซึ่งคิดว่าเป็นศูนย์สำหรับการระบาดของโรค บรรพบุรุษของ 2019-nCoV มีอยู่ในสปีชีส์นั้นในช่วงเวลาที่ไม่รู้จักไม่เคยติดเชื้อคนจนกว่าจะมีไวรัสตัวเดียวได้กลายพันธุ์ ที่ทำให้สามารถกระโดดและติดเชื้อในมนุษย์ได้
    ลำดับจีโนมแนะนำว่าเป็นการกระโดดครั้งเดียวเท่านั้น “ จีโนม [จาก 24 ตัวอย่าง] มีความเหมือนกันมาก” แอนเดอร์สันกล่าว “ หากมีการแนะนำหลายครั้ง” รวมถึงสัตว์ต่าง ๆ มากมาย“ จะมีความหลากหลายทางพันธุกรรมมากขึ้น นี่เป็นการแนะนำครั้งเดียว”
    นั่นหมายความว่าสิ่งที่ยั่งยืนในการแพร่กระจายคือการถ่ายทอดจากคนสู่คน
    น่าเสียดาย, ที่การวิเคราะห์ทางพันธุกรรมไม่สามารถระบุชนิดสัตว์ที่ coronavirus กระโดดไปมนุษย์ แต่การวิเคราะห์โดยทีมงานจากสถาบันไวรัสวิทยาหวู่ฮั่นโพสต์ลงในเซิร์ฟเวอร์ preprint bioRxiv ระบุว่าจีโนมของ coronavirus นี้ (เป็นครั้งที่ 7 ในการติดเชื้อกับมนุษย์) คือ 96% เหมือนกับค้างคาว coronavirus แหล่งต้นฉบับ (เขียนในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาทีมนักวิทยาศาสตร์ในประเทศจีนรายงานว่า coronavirus ใหม่คือ 86.9% เหมือนกับ coronavirus ที่เหมือนค้างคาวของ SARS)
    นักไวรัสวิทยานั้นแตกต่างกันว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะอ่านคุณสมบัติของไวรัสจากลำดับจีโนม เช่นว่า จุลินทรีย์นั้นแพร่กระจาย โดยการไอจาม การสัมผัส หรือการหายใจ แต่การวิเคราะห์โดยทีมหวู่ฮั่นสถาบันพบว่ามันเข้าสู่เซลล์มนุษย์โดยใช้ประตูทางเดียวกับโรคซาร์ส เรียก angiotensin converting enzyme 2 (ACE2), ประตูเป็นตัวรับ ซึ่ง "spike protein”" บนพื้นผิวของไวรัสก่อนแล้วจึงติดไวรัสเข้ากับเซลล์โฮสต์
    หาก ACE2 นั้น“ druggable” การบล็อกมันจะสามารถรักษา 2019-nCoV ได้ “ ควรคาดหวังและคุ้มค่าที่จะทดสอบว่าการกำหนดเป้าหมาย ACE2 …ยาสามารถใช้กับผู้ป่วย nCoV-2019 หรือไม่” นักวิทยาศาสตร์กล่าว
    ลำดับจีโนมมีมากกว่าที่จะให้ พวกมัน“ จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาวัคซีน [และ] วัคซีน” นักชีววิทยา Richard Ebright จากมหาวิทยาลัยรัตเกอร์สกล่าว
    ตัวอย่างเช่นเทคโนโลยีการตัดต่อจีโนม CRISPR เป็นพื้นฐานสำหรับการวินิจฉัยโรคเริ่มต้นของ Sherlock Biosciences 's Cambridge ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าจะใช้เวลานานเท่าใดในการระบุตัวตน ในสหรัฐอเมริกาตอนนี้ทำได้โดยการส่งตัวอย่างไปยังศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคซึ่งใช้เทคโนโลยีที่คิดค้นในปี 1980 ปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรสหรือ PCR เพื่อระบุการมีอยู่ของ coronavirus
    “ วิสัยทัศน์ของเราคือแพลตฟอร์ม SHERLOCK และ INSPECTR ที่อิงกับ CRISPR นั้นได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสำหรับการแพร่ระบาดอย่าง coronavirus โดย Sherlock CEO Rahul Dhanda ผู้ซึ่งปฏิเสธที่จะพูดถึง“ แผนเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ coronavirus”
    และในขณะที่นักวิทยาศาสตร์เพิ่มลำดับจีโนม 2019-nCoV ในคอลเล็กชั่นของพวกเขา พวกเขาอาจได้รับเหลือบก่อนว่าไวรัสกำลังกลายพันธุ์ในลักษณะที่อาจทำให้เกิดอันตรายหรือถ่ายทอดได้มากกว่า “ คุณต้องมีการจัดลำดับอย่างต่อเนื่อง” Andersen กล่าว
    การแก้ไข: เรื่องราวนี้ได้รับการแก้ไขเพื่อให้ชัดเจนว่าจีโนม coronavirus ทำจาก RNA ไม่ใช่ DNA
    DNA sleuths read the coronavirus genome, tracing its origins and looking for dangerous mutations
    By SHARON BEGLEY @sxbegle
    JANUARY 24, 2020
    2019-nCoV
    Electron micrographs of isolated 2019-nCoV particles (left), and in cells from human airways (right), marked with arrows.
    THE NEW ENGLAND JOURNAL OF MEDICINE
    As infectious disease specialists and epidemiologists race to contain the outbreak of the novel coronavirus centered on Wuhan, China, they’re getting backup that’s been possible only since the explosion in genetic technologies: a deep-dive into the genome of the virus known as 2019-nCoV.
    Analyses of the viral genome are already providing clues to the origins of the outbreak and even possible ways to treat the infection, a need that is becoming more urgent by the day: Early on Saturday in China, health officials reported 15 new fatalities in a single day, bringing the death toll to 41. There are now nearly 1,100 confirmed cases there.
    Reading the genome (which is made of RNA, not DNA) also allows researchers to monitor how 2019-nCoV is changing and provides a roadmap for developing a diagnostic test and a vaccine.
    ADVERTISEMENT
    “The genetics can tell us the true timing of the first cases” and whether they occurred earlier than officials realized, said molecular biologist Kristian Andersen of Scripps Research, an expert on viral genomes. “It can also tell us how the outbreak started — from a single event of a virus jumping from an infected animal to a person or from a lot of animals being infected. And the genetics can tell us what’s sustaining the outbreak — new introductions from animals or human-to-human transmission.”
    Scientists in China sequenced the virus’s genome and made it available on Jan. 10, just a month after the Dec. 8 report of the first case of pneumonia from an unknown virus in Wuhan. In contrast, after the SARS outbreak began in late 2002, it took scientists much longer to sequence that coronavirus. It peaked in February 2003 — and the complete genome of 29,727 nucleotides wasn’t sequenced until that April.
    Since the sequencing of the first 2019-nCoV sample, from an early patient, scientists have completed nearly two dozen more, said Andrew Rambaut of the University of Edinburgh, an expert on viral evolution. That pace is “unprecedented and completely unbelievable,” said Andersen, who worked on sequencing the Ebola genome during the 2014 outbreak. “It’s just insane.”
    The genome of the Wuhan virus is 29,903 bases long, one of many clues that have led scientists to believe it is very similar to SARS.
    By comparing the two dozen genomes, scientists can address the “when did this start” question. The 24 available samples, including from Thailand and Shenzhen as well as Wuhan, show “very limited genetic variation,” Rambaut concluded on an online discussion forum where virologists have been sharing data and analyses. “This is indicative of a relatively recent common ancestor for all these viruses.”
    Given what’s known about the pace at which viral genomes mutate, if nCoV had been circulating in humans since significantly before the first case was reported on Dec. 8, the 24 genomes would differ more. Applying ballpark rates of viral evolution, Rambaut estimates that the Adam (or Eve) virus from which all others are descended first appeared no earlier than Oct. 30, 2019, and no later than Nov. 29.
    The progenitor virus itself was almost certainly one that circulates harmlessly in bats (as SARS does) but has an “intermediate reservoir” in one or more animals that come into contact with people, Andersen said. Presumably, that reservoir is one of the species of animals at the Wuhan market thought to be ground zero for the outbreak. The ancestor of 2019-nCoV existed in that species for some unknown time, never infecting people, until by chance a single virus acquired a mutation that made it capable of jumping into and infecting humans.
    The genome sequences suggest that was a one-time-only jump. “The genomes [from the 24 samples] are very uniform,” Andersen said. “If there had been multiple introductions,” including from many different animals, “there would be more genomic diversity. This was a single introduction.”
    That means that what’s sustaining the spread is human-to-human transmission (suggesting that closing Wuhan’s animal market is very much an after-the-horse-has-fled-the-barn reaction).
    Unfortunately, genetic analysis can’t identify what animal species the coronavirus jumped from into humans. But an analysis by a team from the Wuhan Institute of Virology, posted to the preprint server bioRxiv, determined that the genome of this coronavirus (the seventh known to infect humans) is 96% identical to that of a bat coronavirus, suggesting that species is the original source. (Writing in the New England Journal of Medicine on Friday, another team of scientists in China reported that the new coronavirus is 86.9% identical to the bat SARS-like coronavirus.)
    Virologists differ on whether it’s possible to read out viral properties from just the genome sequence, such as whether the microbe is spread by coughing, sneezing, touching, or merely breathing. But the analysis by the Wuhan Institute team found that it enters human cells using the same doorway that SARS did. Called angiotensin converting enzyme 2 (ACE2), the door is a receptor to which a “spike protein” on the virus’s surface first attaches and then enables the virus to fuse with the host cell.
    If ACE2 is “druggable,” blocking it could conceivably treat 2019-nCoV. “It should be expected and worth to test if ACE2 targeting … drugs can be used for nCoV-2019 patients,” the scientists wrote.
    The genome sequences have more to give. They “will be crucially important for development of diagnostics [and] vaccines,” said biologist Richard Ebright of Rutgers University.
    For instance, the genome-editing technology CRISPR is the basis for Cambridge, Mass.-based startup Sherlock Biosciences’ diagnostics, which promise to slash how long it takes to make a definitive identification. In the U.S, that’s now done only by sending samples to the Centers for Disease Control and Prevention, which uses a technology invented in the 1980s, polymerase chain reaction or PCR, to identify the presence of coronavirus.
    “Our vision is that our [CRISPR-based] SHERLOCK and INSPECTR platforms are tailor-made for outbreaks like coronavirus,” said Sherlock CEO Rahul Dhanda, who declined to discuss “specific plans related to coronavirus.”
    And as scientists keep adding 2019-nCoV genome sequences to their collection, they could get an early glimpse of whether the virus is mutating in a way that could make it more dangerous or more transmissible. “You need continuous sequencing,” Andersen said.
    Correction: This story has been corrected to make clear that the coronavirus genome is made of RNA, not DNA.
    https://www.statnews.com/2020/01/24...navirus-genome-tracing-origins-and-mutations/
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Dettol ฆ่าไวรัสโคโรน่าได้?
    .
    น้ำยาทำความสะอาด Dettol ขายหมดในสิงคโปร์เหตุผลเพราะมันมีระบุไว้อย่างชัดเจนว่า
    "ฆ่าไวรัสโคโรน่าได้"
    หลายคนอาจถามว่านี่จริงไหมคำตอบคือจริงๆสามารถฆ่าไวรัสโคโรน่าได้และแบคทีเรียอื่นๆ แต่ก็ต้องเข้าใจก่อนว่าไวรัสโคโรน่ามีหลายสายพันธุ์ สายพันธุ์ที่เรากำลังเจอปัญหาจากเมืองอู่ฮั่นนั้นถือเป็นสายพันธุ์กำเนิดใหม่ยังไม่เคยมีการทดลองในห้องทดลองว่า Dettol สามารถฆ่ามันได้ แต่โดยสายพันธุ์ไวรัสโคโรน่าส่วนใหญ่ Dettol สามารถฆ่าได้จริงๆ ทำให้ทางการออกมาให้ข่าวว่ายังไม่มีหลักฐานว่า Dettol สามารถฆ่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่จากเมืองอู่ฮั่นได้
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ใช้วิธีการคล้ายๆ กับจีน ย้านต้าน HIV +ยารักษากลุ่มอาการคล้ายๆ SARS เขาใช้ยาที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรมเป็นยาต้านไวรัสเอชไอวีควบคู่กับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ รักษา แต่คิดดูก็น่ากลัวน่ะ HIV แพร่พันธ์ผ่านทางลมหายใจ พยายามดูแลตัวเอง อย่าให้ติด ให้คิดว่ากลัวติด HIV ยังไงก็ให้กลัว 2019 ncov อย่างนั้น และตามความคิดผมการรักษาแบบนี้ โดยการใช้ยาต้านไวรัส ไวรัสในกระแสเลือดจะน้อยลง จนตรวจไม่เจอ แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าไวรัสไม่มีหลงเหลือในตัวผู้ป่วย ดังนั้นรักษาหายแล้ว เร่งรีบส่งกลับจีนโดยด่วน

    ด่วน! รพ.ราชวิถี ค้นพบที่แรก สูตรยารักษาผู้ป่วย 'ไวรัสโคโรน่า' ที่อาการรุนแรง
    750x422_864634_1580626745.jpg
    2 กุมภาพันธ์ 2563

    ไทยค้นพบที่แรก ยารักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่าอาการรุนแรง โดยแพทย์ รพ.ราชวิถี คนป่วยฟื้นตัวเร็ว ผลเชื้อเป็นลบภายใน 48 ชั่วโมง ใช้สูตรยาราชวิถี ผสมยาต้านไวรัสเอชไอวีร่วมยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่

    ผู้สื่อข่าวรายงาน เบื้องต้นว่า ในการแถลงข่าวของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า2019 การรายงานว่า ทีมแพทย์รพ.ราชวิถี สามารถคิดค้นวิธีการรักษาผู้ป่วยติดไวรัสโคโรน่าที่มีอาการุนแรงอาการดีขี้นใน 48 ชั่วโมง ผลแล็บเป็นลบ โดยใช้ยาที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรมเป็นยาต้านไวรัสเอชไอวีควบคู่กับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่

    พัฒนาโดยทีมแพทย์ คือ นพ.เกรียงศักดิ์ อติพรวณิช นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ โรงพยาบาลราชวิถี และ รศ.นพ.สืบสาย คงแสงดาว นายแพทย์เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลราชวิถี

    https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/864634
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2020
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หน้าที่ทหารสิงคโปร์
    .
    ทหารอากาศสิงคโปร์(SAF) 1,500 นาย แบ่งเป็น 1 กะมี 450 นาย แต่ละกะทำ 8 ชม.ทุกกะแพคหน้ากากอนามัยได้ 200,000 ซองๆละ 4 ชิ้น รวมหน้ากากอนามัย 5.2 ล้านชิ้นให้เสร็จก่อน 6 โมงเย็นวันนี้ ส่งต่อศูนย์กลางชุมชน 89 แห่งทั่วสิงคโปร์ แจกฟรี 1.3 ล้านครอบครัวในสิงคโปร์ #ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
     

แชร์หน้านี้

Loading...