ติดตามสถานะการณ์

Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

โรงพยาบาล China Guangdong นำเสนอหุ่นยนต์เพื่อแจกจ่ายยาให้ผู้ป่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อสำหรับบุคลากรทางการแพทย์

 

Teo Miguel Bouça

NYC China Town ยืนยัน 4 เคสของ Corona
NYC China Town 4 confirmed cases of Corona

 

สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร

เอฟเอโอเตือนภัยตั๊กแตนระบาดร้ายแรงสุดในรอบ 25 ปี ในแอฟริกาและกำลังแพร่ระบาดเข้าตะวันออกกลางและอินเดีย”

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2563 เอฟเอโอจัดประชุมรายงานสถานการณ์การระบาดของตั๊กแตนทะเลทราย (Desert Locus)ในแอฟริกา ซึ่งกำลังแพร่ระบาดเข้าตะวันออกกลางและอินเดีย การระบาดของฝูงตั๊กแตนเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการขยายพันธุ์ของตั๊กแตน ทำให้เกิดการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและรุนแรงที่สุดในรอบ 25 ปี ซึ่งขณะนี้พบการระบาดของฝูงตั๊กแตนใน 13 ประเทศ ได้แก่ เคนยา เอธิโอเปีย เอริเทรีย โซมาเลีย ซูดานใต้ อูกันดา จิบูตี เยเมน โอมาน ซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน อินเดีย และปากีสถาน

ฝูงตั๊กแตนทะเลทรายนับพันล้านสร้างความเสียหายให้ผลผลิตการเกษตรอย่างรุนแรงและรวดเร็ว อีกทั้งกระทบต่อการดำรงชิวิตของคนในท้องที่ ฝูงตั๊กแตนมีขนาดใหญ่เท่ากับกรุงโรม และภายในวันเดียวสามารถกัดกินอาหารมากเท่ากับการบริโภคอาหารของประชากรทั้งประเทศเคนยาในหนึ่งวัน การแพร่ระบาดของฝูงตั๊กแตนในครั้งนี้ก่อให้เกิดปัญหาด้านความมั่นทางอาหารอย่างร้ายแรง ทางแก้ปัญหาที่ได้ผลมากที่สุดในตอนนี้คือการฉีดพ่นยาฆ่าแมลงทางอากาศซึ่งต้องใช้เงินทุนในการดำเนินการจำนวนมาก เอฟเอโอกำลังระดมทุนกว่า 70 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ประสบภัยจากการคุกคามของฝูงตั๊กแตนอย่างร้ายแรง คือ เอธิโอเปีย เคนยา และโซมาเลีย

นอกจากนี้ ฝูงตั๊กแตนนับล้านตัวยังส่งผลกระทบต่อเครื่องบิน โดยพบว่าตั๊กแตนจำนวนมากพุ่งชนบริเวณส่วนหัวและใบพัดของเครื่องบินด้วย

ทั้งนี้ สามารถติดตามรายงานสถานการณ์การระบาดของตั๊กแตน (Desert Locust Situation) ได้ที่ FAO Locust Watch: http://www.fao.org/ag/locusts/en/info/info/index.html

*********
ข้อมูล: สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงโรม

 

ครบเครื่อง เรื่องญี่ปุ่น

#เกาะติดสถานการณ์โคโรนาไวรัสในญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเตรียมส่ง C-2 จากกองกำลังป้องกันตนเอง รับผู้ป่วยชาวญี่ปุ่นออกจากจีน
.
มีผู้ป่วยชาวญี่ปุ่นที่กำลังรักษาตัวในโรงพยาบาล และอยากกลับไปรักษาตัวต่อที่ญี่ปุ่น เพราะกังวลเรื่องการรับการรักษาในต่างประเทศ เนื่องจากเป็นผู้ป่วย ทำให้อาจจะยากที่จะใช้เครื่องบินเชิงพานิชย์แบบเช่าเหมาลำแบบเชิงพานิชย์ เพราะต้องมีอุปกรณ์ที่สามารถนำพาผู้ป่วยกลับมาได้อย่างเหมาะสม
.
หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ทางอากาศสังกัด กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งทางเลือก ญี่ปุ่นได้ปรับปรุงเครื่องบินเพื่อนำผู้ประสบภัยออกจากพื้นที่ในกรณีประสบภัยพิบัติที่มีอยู่บ่อยครั้งในญี่ปุ่นนั่นเอง โดยปัจจุบันติดตั้งอุปกรณ์หน่วยการแพทย์ทั้งแบบ C-2 และ C-130 โดยในเครื่องสามารถดูแลผู้ป่วยหนักหรือ ICU รวมถึงผู้ป่วยด้วยโรคติดเชื้อ
.
คำถามคือ จีนจะยอมรับให้เครื่องบินของกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น (SDF) บินเข้าน่านฟ้าแล้วลงจอดหรือไม่ ตามรายงานระบุว่า รัฐบาลจีนไม่เต็มใจที่จะให้ญี่ปุ่นส่งเครื่องบินจาก SDF ไปลงตอนแรก จึงต้องเปลี่ยนมาเช่าเครื่องจาก ANA
.
อย่างไรก็ตาม ทางญี่ปุ่นอยากให้จีนเข้าใจว่า ขณะนี้ไม่ใช่ภาวะศึกสงคราม แต่เป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นเรื่องของมนุษยธรรม โดยทางรัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่า "มันเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะช่วยชีวิตผู้คน คุณต้องช่วยชาวญี่ปุ่นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ " มีเพียงผู้มีอำนาจสูงสุดของทั้ง 2 ประเทศเท่านั้น ที่สามารถพูดคุย และตัดสินใจว่าจะช่วยเหลือชาวญี่ปุ่นได้อย่างไร รวมถึงการส่งเครื่องบินของ SDF ไปยังหวู่ฮั่น
.
ความรู้จากข่าว (ดูรูปใน คอมเมนต์ประกอบ)
หน่วยแพทย์เคลื่อนที่บนเครื่องบิน เป็นอุปกรณ์นี้ได้รับการพัฒนาเพื่อขนส่งผู้ที่ตกเป็นเหยื่อออกจากพื้นที่ในกรณีฉุกเฉินหรือภัยพิบัติ 1 ตู้สามารถรองรับได้ถึง 3 คน และ C-130 หนึ่งลำติดตั้งได้ 2 ตู้ เพื่อให้ผู้ป่วยที่ป่วยหนักสามารถขนส่งได้อย่างปลอดภัยในสภาพแวดล้อมที่คล้ายกับห้อง ICU แต่ละตู้มีน้ำหนักเบาและกะทัดรัดเนื่องจากติดตั้งในพื้นที่ๆ จำกัด และคำนึงถึงการใช้งานที่บนเครื่องบินที่บินอยู่ระดับสูงได้ มีระบบป้องกันเก็บเสียงที่ดี เพราะบนเครื่องจะเสียงดัง มีการใช้ชุดหูฟังเฉพาะเพื่อสื่อสารกับลูกเรือ และยังกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารบกวนอุปกรณ์การแพทย์อีกด้วย
.
#ครบเครื่องเรื่องญี่ปุ่น #เที่ยวญี่ปุ่น #ญี่ปุ่น #coronavirus #japan #virus #โคโรนาไวรัส #โคโรนา #corono #ข่าวร้อนในญี่ปุ่น
ขอบคุณแหล่งข่าวจาก Yahoo news https://bit.ly/31aswUS
แค่กด see first หรือ “ดูเป็นอันดับแรก” ก็จะไม่พลาดทุกข่าวสาร
ติดตามพวกเราต่อได้ที่..
✅ Youtube goo.gl/NWSwGs
✅ Instagram goo.gl/du8YKp
✅ Twitter https://bit.ly/327LLgU
✅ Website https://bit.ly/2NCxPYs

 

Anngle Thailand

เช้าวันนี้ (30 ม.ค.) เที่ยวบินเฉพาะกิจลำที่ 2 ที่ได้เดินทางไปปฏิบัติภารกิจในการนำผู้โดยสารสัญชาติญี่ปุ่นที่ยังตกค้างอยู่ที่อู่ฮั่นกลับบ้าน ได้เดินทางมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติฮาเนดะ ประเทศญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อเวลา 8:50 นาฬิกา (ตามเวลาในญี่ปุ่น) โดยเที่ยวบินที่ 2 นี้ ได้บรรทุกผู้โดยสารเดินทางมาด้วยทั้งสิ้น 210 คน และพบว่า 9 ใน 210 คนมีไข้สูงเกิน 37 องศาเซลเซียส และมีอาการไอ
.
นอกจากนี้ยังมีรายงานอีกว่า ผู้โดยสารที่ได้เดินทางกลับมากับเที่ยวบินพิเศษลำแรกที่ได้ลงจอดไปเมื่อวานนี้ ติดเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ทั้งสิ้น 3 คน โดยแยกเป็นเพศชาย 1 คน เพศหญิง 2 คน ทั้งหมด มีอายุระหว่าง 40-60 ปี โดย 2 ใน 3 คนไม่มีไข้ แต่เมื่อเข้ารับการตรวจตามกระบวนการแล้วพบว่าติดเชื้อ ซึ่งถือเป็นกรณีแรกของโลกที่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไม่แสดงอาการ

https://anngle.org/th/news/coronavirus-jpinfected.html
#anngleth #ข่าวญี่ปุ่น #โคโรน่าไวรัส #อู่ฮั่น

 

สำนักข่าวอาเซี่ยน
พบการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นครั้งแรก
.
นับจนถึงวานนี้ (30) ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในเวียดนามมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 5 คน โดยผู้ติดเชื้อไวรัสรายแรกของประเทศเป็นชาวจีน 2 คน ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสเมื่อวันที่ 23 ม.ค.

 

คัดข่าว

ในโลกไซเบอร์ของจีนและจับกุมคนเป็นจำนวนมากจากการเผยแพร่ข้อมูลการระบาดของไวรัสโคโรน่า การตรวจจับที่ว่านี้แม้จะเป็นการพูดคุยในหมู่เพื่อนอย่างใน WeChat(เหมือนLine) ทางการก็สามารถตรวจจับได้และมีการจับกุมชายคนหนึ่งที่บ่นเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสในหมู่เพื่อนมาแล้ว
ดังนั้นสถานการณ์ไวรัสตอนนี้การพูดถึงข้อมูลต่างๆในโลกออนไลน์ของจีนไม่ได้มีข่าวลวงเหมือนเช่นช่วงแรก แต่ถึงกระนั้นความจริงก็คือคนก็ยังพูดคุยและซุบซิบกันอยู่ดี

https://www.vice.com/en_us/article/...rvWJLSEz1jVweK0XCqx67PqPn8IWCe43KvHIIYTec13Ik

 

อ้ายจง

#อัพเดท "ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาชนิดใหม่ในจีน พุ่งถึง อย่างน้อย 9,720 ราย เสียชีวิต 213ราย(นอกอู่ฮั่นและหูเป่ย 9ราย ) และออกจากรพ.แล้ว 171ราย" / WHO องค์การอนามัยโลกประกาศไวรัสโคโรน่าเป็นภาวะฉุกเฉินสาธารณสุขทั่วโลก
.
สำหรับผู้เสียชีวิตยังคงอายุเฉลี่ย 60+ ขึ้นไปและส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว และตอนนี้มีผู้ต้องสงสัยว่าติดเชื้อทั่วจีน 15,238ราย โดยจีนได้เฝ้าระวังและสอบสวนโรคผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อและผู้ที่มีความเสี่ยงไปแล้ว 113,579ราย
.
ข้อมูลผู้ติดเชื้อในจีน แบ่งตามพื้นที่ ณ 31มกราคม 2563 เวลา 08.30น. ตามเวลาประเทศไทย

(สำหรับตัวเลขที่แบ่งตามพื้นที่เป็นข้อมูลอัพเดทเท่าที่มีตอนนี้ครับ อาจจะไม่อัพเดทที่สุด )

- มณฑลหูเป่ย 5,806ราย (รวมอู่ฮั่น ) เสียชีวิต 204ราย ออกจากรพ. 116ราย

- ปักกิ่ง 121ราย เสียชีวิต1ราย ออกจากรพ. 5ราย

- กว่างตง 393ราย (รวมกว่างโจว,เซินเจิ้น,จูไห่) ออกจากรพ. 10ราย

- เซี่ยงไฮ้ 128ราย เสียชีวิต 1 ราย ออกจากรพ.5ราย

- เจ้อเจียง 537ราย ออกจากรพ.9ราย

- หยุนหนาน 76ราย (รวมคุนหมิง,ต้าหลี่,ลี่เจียง,สิบสองปันนา,เต๋อหง)

- ซื่อชวน 177ราย เสียชีวิต1ราย ออกจากรพ.1ราย

- ซานตง 178ราย ออกจากรพ. 2ราย

- กว่างซี 87ราย ออกจากรพ. 2 ราย

- กุ้ยโจว 15ราย ออกจากรพ.1ราย

- อันฮุย 237ราย ออกจากรพ. 3ราย

- ไห่หนาน 46ราย เสียชีวิต1ราย ออกจากรพ.1ราย

- หนิงเซี่ย 17ราย

- ฝูเจี้ยน 101ราย

- เจียงซี 240ราย ออกจากรพ. 7 ราย

- เทียนจิน 31 ราย

- เหอหนาน 352 ราย เสียชีวิต 2 ราย ออกจากรพ.3ราย

- ฉงชิ่ง 206ราย ออกจากรพ.1ราย

- ซานซี 39ราย ออกจากรพ.1ราย

- หูหนาน 277 ราย ออกจากรพ.1ราย

- เหลียวหนิง 45ราย ออกจากรพ.1ราย

- เหอเป่ย 82ราย เสียชีวิต1ราย

- จี๋หลิน 14 ราย

- ซินเจียง 17 ราย

- ส่านซี 66ราย (รวมซีอาน)

- ไต้หวัน 9 ราย

- มาเก๊า 7ราย

- มณฑลเจียงซู 168ราย (รวม เมืองหนานจิง, เมืองซูโจว) ออกจากรพ. 2ราย

- กานซู่ 29 ราย

- เฮยหลงเจียง 59ราย (รวมเมืองฮาร์บิน เมืองเอกของมณฑลนี้ ) เสียชีวิต2ราย

- เน่ยเหมิงกู่ (เขตปกครองตนเองมองโกเลียใน) 18 ราย

- ฮ่องกง 10ราย

- ชิงไห่ 8ราย

- ทิเบต 1ราย

ทิเบตเป็นพื้นที่สุดท้ายในจีนที่รายงานพบผู้ติดเชื้อ ซึ่งตอนนี้จีนมีผู้ติดเชื้อครบทุกพื้นที่ระดับมณฑล-มหานคร-เขตปกครองตนเองและเขตปกครองพิเศษในจีนแล้ว

นอกจากนี้มีรายงานว่า ในจีน รักษาและออกจากรพ.แล้ว 171รายเป็นอย่างน้อย รวมคุณยายวัย87ปีที่อู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย

.

สำหรับนอกจีน มีผู้ติดเชื้อดังนี้

- ไทย 14 ราย (รักษาและออกจาก รพ. 6 ราย)
- เกาหลีใต้ 7ราย
- ญี่ปุ่น 13 ราย (รักษาและออกจากรพ. 1ราย)
- สิงคโปร์ 13 ราย
-มาเลเซีย 7 ราย
-เวียดนาม 8 ราย
-อเมริกา6 ราย (รักษาและออกจากรพ. 1ราย)
-ออสเตรเลีย 9ราย
-เนปาล 1 ราย
-ฝรั่งเศส 6 ราย
- แคนาดา 3ราย
-เยอรมัน 4ราย
-กัมพูชา1 ราย
- ศรีลังกา 1 ราย
- ฟินแลนด์ 1ราย
-แองโกลา 1ราย
- อิตาลี 2 ราย
- อินเดีย 1ราย
- ฟิลิปปินส์ 1ราย
- UAE 1 ราย

.

ทั้งนี้ในส่วนของการประกาศของ WHO อ้ายจงได้อ่านรายละเอียดในกรุงเทพธุรกิจ จึงขอตัดรายละเอียดในส่วนที่หลาบคนน่าจะสงสัยว่าประกาศฉุกเฉินแล้วอย่างไรต่อ โดยสรุปได้ประมาณนี้

"การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ ถือเป็นการเปิดทางสำหรับออกคำแนะนำแก่ทุกประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกัน และลดการแพร่ระบาดข้ามพรมแดน ซึ่งอาจทำให้มีการกำหนดข้อจำกัดเกี่ยวกับการเดินทางและการค้าต่างๆ

นอกจากนี้ คำประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ยังครอบคลุมถึงการออกคำแนะนำต่างๆชั่วคราวแก่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงการยกระดับเฝ้าระวัง การเตรียมความพร้อมรับมือ และมาตรการต่างๆสำหรับควบคุมการแพร่ระบาด

อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ย้ำว่าไม่มีเหตุผลที่จะกำหนดข้อจำกัดด้านการเดินทาง หรือการค้ากับจีน ต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า หลังจากสายการบินหลายแห่งประกาศระงับเที่ยวบินไปก่อนหน้านี้ และองค์การอนามัยโลก ไม่แนะนำและคัดค้านการกำหนดข้อจำกัดใดๆในด้านการเดินทางและการค้า"

อ้ายจงรวบรวมข้อมูลจาก
-
https://voice.baidu.com/act/newpneumonia/newpneumonia

- Weibo:央视新闻， 人民日报

- https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/864401

#อ้ายจง #เล่าเรื่องเมืองจีน #ชีวิตในจีน

 

พุ่งเฉียด 10,000 ราย! ยอดผู้ติดเชื้อ ‘ไวรัสโคโรนา’ ดับเพิ่มเป็น 213 ราย สังเกตการณ์อีกแสนกว่าคน เผยแพร่: 31 ม.ค. 2563 09:02 โดย: ผู้จัดการออนไลน์


จีนยืนยันยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อยู่ที่ 9,692 ราย ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิต 213 ราย โดยยังมีผู้ป่วยต้องสงสัยอีก 15,000 กว่าราย และคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีนระบุอีกว่ายังมีผู้ป่วยที่ต้องสังเกตการณ์อีก 100,000 กว่าราย

วันนี้ (31 ม.ค.) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC) ประกาศจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ได้รับการยืนยันผลอยู่ที่ 9,692 ราย และจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตอยู่ที่ 213 ราย เมื่อนับถึงสิ้นวันพฤหัสบดี (30 ม.ค.)

รายงานประจำวันของคณะกรรมการฯ ระบุว่าผู้ป่วยทั้งหมดกระจายตัวอยู่ในภูมิภาคระดับมณฑล 31 แห่งของจีน ส่วนหนึ่งเป็นผู้ป่วยหนักขั้นวิกฤต 1,527 ราย ขณะจำนวนผู้ป่วยต้องสงสัยติดเชื้อไวรัสฯ อยู่ที่ 15,238 ราย ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายดีอยู่ที่ 171 ราย

เมื่อวันพฤหัสบดี (30 ม.ค.) มีรายงานผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากไวรัสฯ รายใหม่ 1,982 ราย ผู้ป่วยต้องสงสัยติดเชื้อไวรัสฯ รายใหม่ 4,812 ราย และผู้ป่วยที่เสียชีวิตรายใหม่ 43 ราย ซึ่งแบ่งเป็นในมณฑลหูเป่ย 42 ราย และในมณฑลเฮยหลงเจียง 1 ราย

ขณะเดียวกันมีรายงานผู้ป่วยอาการหนักขั้นรุนแรง 157 ราย และผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายดีจนออกจากโรงพยาบาลได้ 47 รายในวันพฤหัสบดี (30 ม.ค.)

คณะกรรมการฯ ระบุว่ามีการติดตามผู้ที่มีประวัติติดต่อใกล้ชิดกับผู้ป่วยทั้งหมด 113,579 ราย โดย 4,201 ราย ได้รับการปล่อยตัวจากการกักกันเพื่อการสังเกตการณ์ทางการแพทย์ ขณะ 102,427 ราย ยังคงอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ทางการแพทย์ต่อไป

ด้านจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากไวรัสฯ ที่ได้รับการยืนยันผลในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เขตบริหารพิเศษมาเก๊า และเกาะไต้หวันของจีนอยู่ที่ 12, 7 และ 9 รายตามลำดับ เมื่อนับถึงสิ้นวันพฤหัสบดี (30 ม.ค.)

https://mgronline.com/onlinesection...px_UNL9pjP26nYDYOLMz_x9B_vfj0h5TIUvDrgczrbfD8

 

Too Young to Die

WHO ประกาศให้ corona virus เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินทางสาธารณสุข

ล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตสูงถึง 213 คน

จำนวนผู้ป่วยที่คอนเฟิร์มในจีน 9692 คน จำนวนทั่วโลก 9800 คน ใน 18 ประเทศ สูงกว่า SARS ในปี 2003 ซึ่งขณะนั้นเป็นจำนวน 8096 คน จำนวนการแพร่ระบาดนี้ ใช้เวลาเพียง 2 เดือนตั้งแต่เดือนธันวาคม ในขณะที่ตัวเลขนี้ SARS ใช้เวลาถึง 8 เดือน

แต่ตัวโรคนั้น ถึงแม้จะมีการแพร่กระจายที่รวดเร็ว แต่ความรุนแรงโรคยังน้อยกว่า SARS อัตราการตายของ SARS อยู่ที่ 10% ส่วน corona virus อยู่ที่ 2%

ล่าสุดพบเคสติดต่อจากคนสู่คนที่สหรัฐอเมริกา โดยผู้ป่วยได้รับเชื้อจากภรรยาที่เดินทางกลับมาจากเมืองอู่ฮั่น , สายการบินยุโรป ได้แก่ British Airways , Iberia มีแผนจะงดเที่ยวบินไปยังประเทศจีน ส่วนสหรัฐอเมริกามีการลดจำนวนเที่ยวบินไปจีนลง
ที่รัสเซียได้มีการปิดชายแดนที่ติดต่อกับประเทศจีน ( ล่าสุดยังไม่พบผู้ป่วยในรัสเซีย)

จำนวนผู้ป่วยอัพเดทล่าสุด วันที่ 30 มกราคม ประเทศไทยมีผู้ป่วย 14 คน (กลับบ้านแล้ว 6 คน อีก8 คนยังอยู่ในรพ.) ญี่ปุ่น 11 คน ฮ่องกงสิงคโปร์ 10 คน ไต้หวัน 8 คน ออสเตรเลีย มาเลเซีย มาเก๊า 7 คน ฝรั่งเศส อเมริกา 6 คน เยอรมัน อาหรับเอมิเรต 4 คน แคนาดา 3 คน เวียดนาม และอิตาลี 2คน อีกทั้งพบเคสแรกที่ อินเดีย ฟิลิปปินส์ เนปาล กัมพูชา ศรีลังกา ฟินแลนด์

ประชาชนควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัด สวมหน้ากากอนามัย อยู่ห่างจากผู้ที่มีอาการทางเดินหายใจ ล้างมือบ่อยๆ และหากพบผู้ที่เดินทางไปประเทศจีนมา และมีอาการไข้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ หายใจเหนื่อย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

Cr photo xiolu chu getty images
https://www.nytimes.com/2020/01/30/world/asia/coronavirus-china.html

https://www.bloomberg.com/news/arti...urce=facebook&utm_campaign=socialflow-organic

https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1410

 

Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

ประเทศจีนนี่คือเมรุเผาศพในหวู่ฮั่นถังขยะเต็มไปด้วยถุงเก็บศพ นี่เป็นเพียงหนึ่งวันจากฌาปนสถาน มีห้าหรือหก เตาเผาศพ ในเมืองหวู่ฮั่นที่แย่กว่านั้น

 

ศูนย์บริการโลหิต สภากาชาดไทย ออกประกาศฉบับที่ 1 มาตรการป้องกันโลหิตปนเปื้อนเชื้อ "ไวรัสโคโรนา"
เผยแพร่: 30 ม.ค. 2563 20:52 โดย: ผู้จัดการออนไลน์


วันนี้ (30 ม.ค.) ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ออกประกาศเรื่อง มาตรการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ทางโลหิต ฉบับที่ 1 โดยศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ชัยเวช นุชประยูร ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทยรักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทย ความว่า

ตามที่มีการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และมีรายงานพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจากต่างประเทศนอนพักรักษาอาการที่โรงพยาบาลในประเทศไทยอีกทั้งมีการยืนยันแล้วว่าเชื้อสามารถติดต่อ จากมนุษย์สู่มนุษย์ได้ดังนั้นเพื่อให้งานบริการโลหิตของประเทศไทยเป็นไปอย่างเพียงพอปลอดภัยและป้องกันมิให้รับบริจาคโลหิตจากผู้มีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทยจึงกำหนดให้มีมาตรการเกี่ยวกับการรับบริจาคโลหิตดังต่อไปนี้

1 .มาตรการงดรับบริจาคโลหิตชั่วคราวจากผู้ที่มีความเสี่ยง ต่อการได้รับเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019

1.1 .ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดของโรคไวรัสสายพันธุ์ใหม่งดบริจาคโลหิต 14 วันนับตั้งแต่วันที่เดินทางออกมาและไม่มีอาการผิดปกติใดๆ( แนะนำให้งดบริจาคโลหิต 14 วันเพื่อเว้นระยะความปลอดภัย 1 เท่าของระยะเวลาฟักตัวของเชื้อไวรัส สายพันธุ์อื่นในร่างกายที่มีรายงานแล้ว 2 ถึง 10 วันขณะที่ยังไม่มีรายงานระยะฟักตัวของเชื้อตัวใหม่นี้ )

1.2 ผู้ได้ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อโคโรนาไวรัสให้งดบริจาคโลหิตเป็นเวลา 28 วันหรือ 4 สัปดาห์ นับตั้งแต่ตรวจพบเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่และหรือหายป่วยโดยไม่มีอาการใดๆหลงเหลืออยู่ (แนะนำให้งดบริจาคโลหิต 4 สัปดาห์เพื่อเว้นระยะความปลอดภัย 1 เท่าของระยะเวลาการพบเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์อื่นในโลหิต 2-16 วัน

1. 3 ผู้ที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสงดบริจาคโลหิตเป็นเวลา 28 วันหรือ 4 สัปดาห์)

2 มาตรการเรื่องการให้ข้อมูลการเจ็บป่วยหลังบริจาคโลหิตและการเรียกคืนโลหิตและส่วนประกอบโลหิต

2.1 ภายใน 14 วันหลังบริจาคโลหิตหากผู้บริจาคโลหิตได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ให้ผู้บริจาคโลหิตญาติ หรือ โรงพยาบาลที่ทำการรักษาแจ้งให้หน่วยงานที่ให้บริการโลหิตได้แก่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติภาคบริการโลหิตแห่งชาติหรือโรงพยาบาลที่รับบริจาคโลหิตทราบทันที

2.2 หน่วยงานที่ให้บริการโลหิต ต้องมีแนวทางปฏิบัติในการรับข้อมูลข่าวสาร จากผู้บริจาคโลหิตแล้วดำเนินการกักกันหรือเรียกคืนโลหิตและส่วนประกอบโลหิต จากผู้บริจาคโลหิตครั้งนั้นๆที่ยังอยู่ในคลังและยังไม่ได้ให้ผู้ป่วยกลับคืนเพื่อการวินิจฉัยและทำลาย

2.3 โรงพยาบาลต้องมีระบบ เฝ้าระวัง ความปลอดภัยของโลหิตที่ให้แก่ผู้ป่วย(Thermovigilance System และติดตามผู้ป่วยที่ได้รับโลหิตจากผู้บริจาคโลหิตที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019





https://mgronline.com/onlinesection/detail/9630000010110

 

Global Disaster Watch
novel coronavirus ที่มีผู้ป่วยหลายพันคนทั่วโลก และอย่างน้อย 5 คนในสหรัฐอเมริกากำลังสร้างแรงบันดาลใจให้ประเทศปิดพรมแดน และชาวอเมริกันให้ซื้อหน้ากาก ได้เร็วกว่าร้านค้าปลีกรายใหญ่ ๆ ไวรัสอีกชนิดหนึ่งที่ติดเชื้อชาวอเมริกัน 15 ล้านคนทั่วประเทศและคร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 8,200 คน ในฤดูกาลนี้เพียงลำพัง ไม่ใช่โรคระบาดใหม่ - มันเป็น
ฤดูกาลของ 2019-2020 flu คาดว่าจะเป็นหนึ่งในอันดับที่แย่ที่สุดในทศวรรษ มีอย่างน้อย 140,000 คน เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ด้วยโรคแทรกซ้อนจากโรคไข้หวัดใหญ่ และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นไปเมื่อกิจกรรมไข้หวัดใหญ่หมุนวน

ฤดูกาล 2014-2015 และ 2017-2018 flu เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในรอบทศวรรษ ศูนย์ควบคุมโรคคาดการณ์อย่างน้อย 12,000 คน จะตายจากไข้หวัดในสหรัฐอเมริกาทุกปี ในฤดูการ 2017-2018 flu มีผู้เสียชีวิต 61,000 รายและป่วย 45 ล้านคน

'การเจ็บป่วยจากเชื้อไวรัสทั้งหมด ที่เรามักจะพบในฤดูหนาวทำให้บางครั้งเราสบายเกินไปที่จะคิดว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความหนาวเย็นที่ไม่ดี เราดูถูกว่าไข้หวัดใหญ่ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร "

กิจกรรมไข้หวัดใหญ่ได้รับการยกระดับเป็นเวลา 11 สัปดาห์ติดต่อกัน CDC รายงานและมีแนวโน้มว่าจะดำเนินต่อไปอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้า ไข้หวัดใหญ่เป็นสิ่งที่ยุ่งยากเพราะไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงทุกปี บางครั้งความเครียดที่โดดเด่นในฤดูไข้หวัดใหญ่จะรุนแรงกว่าในปีที่ผ่านมาซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้ติดเชื้อและความรุนแรงของอาการ

ฤดูไข้หวัดใหญ่ครั้งนี้นับเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในมินนิโซตา นับตั้งแต่มีการระบาดของไวรัส H1N1 ในปี 2552 ผู้ป่วยบางรายที่เป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีในช่วงอายุ 30 ปีได้ถูกส่งไปยังแผนกผู้ป่วยหนัก

The novel coronavirus that's sickening thousands globally - and at least 5 people in the US - is inspiring countries to close their borders and Americans to buy up surgical masks quicker than major retailers can restock them. THERE'S ANOTHER VIRUS that has infected 15 million Americans across the country and killed more than 8,200 people this season alone. It's not a new pandemic - it's influenza.
The 2019-2020 flu season is projected to be ONE OF THE WORST IN A DECADE. At least 140,000 people have been hospitalized with complications from the flu, and that number is predicted to climb as flu activity swirls.

The 2014-2015 and 2017-2018 flu seasons were also among the worst in decades. The Centers for Disease Control predicts at least 12,000 people will die from the flu in the US every year. In the 2017-2018 flu season, as many as 61,000 people died, and 45 million were sickened.

'Lumping all the viral illness we tend to catch in the winter sometimes makes us too comfortable thinking everything is 'just a bad cold. We underestimate how deadly influenza really is."

Flu activity has been elevated for 11 weeks straight, the CDC reported, and will likely continue for the next several weeks. Influenza is tricky because the virus changes every year. Sometimes, the dominant strain in a flu season will be more virulent than in previous years, which can impact the number of people infected and the severity of their symptoms.

This flu season has been one of the worst Minnesota has seen since the H1N1 virus outbreak in 2009. Some patients, healthy adults in their 30s, have been sent to the Intensive Care Unit, relying on ventilators, due to flu complications.

https://edition.cnn.com/2020/01/30/health/flu-deadly-virus-15-million-infected-trnd/

 

‘โคโรนา’ กับดักใหญ่ธุรกิจท่องเที่ยว ส่อติดลบครั้งแรกในรอบ6ปี
30 Jan 2020

การที่รัฐบาลจีนทยอยสั่งให้บริษัทนำเที่ยวหยุดจัดทัวร์นำนักท่องเที่ยวจีนเดินทาง ออกไปทั่วโลก ซึ่งจะมีผลในทุกมณฑล ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2563 เพื่อแก้ปัญหาไวรัสโคโรนานับเป็นมรสุมลูกใหญ่ของการ ท่องเที่ยวไทยปีนี้

คาดต่างชาติลดลง 6-7%

เนื่องจากก่อนหน้านี้แค่เจอปัจจัยลบอย่างสงครามการค้าสหรัฐอเมริกา-จีน เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และเงินบาทแข็งค่า ก็ทำให้เป้าหมายการท่องเที่ยวของไทยที่วางไว้ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีทางไปถึงเป้าอยู่แล้ว

จากเป้าที่รัฐบาลตั้งไว้ว่าจะมีต่างชาติเที่ยวไทย 41.8 ล้านคน สร้างรายได้รวม (ไทย+ต่างชาติ) 3.38 ล้านล้านบาท ก็มีแนวโน้มว่าจะได้จริงแค่ 40.8 ล้านคน สร้างรายได้รวม (ไทย+ต่างชาติ) 3.18 ล้านล้านบาท พอมาเจอเรื่องไวรัสโคโรนาเข้าไปอีก แค่แนวโน้มที่ว่าจะได้ 40.8 ล้านคน ตอนนี้ก็ยังต้องลุ้นแล้วสำหรับวันนี้

ปัญหาโรคระบาด เป็นผลกระทบหลักที่ฉุดการติดลบของนักท่องเที่ยว อย่างช่วงที่เกิดโรคซาร์สในปี 2546 ต่างชาติเที่ยวไทยลดลง 7.4% โดยนักท่องเที่ยวจีนหายไปร่วม 1.91 ล้านคน หรือแม้แต่โรคไข้หวัดนกในปี2552 ตอนนั้นต่างชาติเที่ยวไทยลดลง 6.5% โดยนักท่องเที่ยวจีนหายไป 4.9 หมื่นคน

ในปีนี้เมื่อมีไวรัสโคโรนาแพร่ระบาด ก็คาดว่าน่าจะส่งผลกระทบให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยหดตัวราว 6-7% หรือหายไปกว่า 2.7 ล้านคนโดยประมาณ ทำให้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวอยู่ที่ราว 38 ล้านคนเท่ากับช่วงปี 2561 และจะเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 6 ปี นับจากเหตุรัฐประหารในไทยเมื่อปี 2557 ซึ่งตอนนั้นไทยมีนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 24.8 ล้านคน ลดลงจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 26.5 ล้านคน ยกเว้นว่าจะมีการขยายฐานนักท่องเที่ยวจากตลาดอื่นเข้ามาทดแทนตลาดจีนที่หายไปได้







เร่งโหมตลาดอื่นทดแทน

ทั้งนี้หากเทียบเคียงกับเมื่อปี 2546 ที่เกิดการระบาดของกรณีโรคซาร์ส รัฐบาลจีนก็ได้ประกาศมาตรการยุติการทำทัวร์เป็นระยะเวลา 3 เดือน เพื่อรับมือต่อการแพร่ระบาดของโรคเช่นกัน นี่เองจึงทำให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินว่าการท่องเที่ยวของไทย จะได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งถือว่ากระทบมาก เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซัน

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการททท. เผยว่า ททท.ได้ประเมินผลกระทบในกรณีที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นคือ จากการประกาศมาตรการยุติทำทัวร์ในเบื้องต้นราว 3 เดือน หรือจนถึงเดือนเมษายน 2563 ไทยจะสูญเสียนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 70% หรือหายไปราว 1.89 ล้านคน จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ปกติจะเดินทางเข้ามาเที่ยวราว 2.7 ล้านคน คาดว่ารายได้จะหายไปราว 9.45 หมื่นล้านบาท (ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 5 หมื่นบาทต่อคน)



ยุทธศักดิ์ สุภสร
เนื่องจากแม้ไทยจะมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนกรุ๊ปทัวร์ 40% และการเดินทางเที่ยวด้วยตัวเอง (เอฟไอที) 60% แต่การที่จีนห้ามเฉพาะกรุ๊ปทัวร์ แต่เอฟไอทียังเดินทางออกนอกประเทศได้ แต่ด้วยบรรยากาศการแพร่ระบาดของไวรัส ก็เชื่อว่าจะกระทบการเดินทางในกลุ่มเอฟไอทีด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลจีนสามารถควบคุมการระบาดได้เร็วขึ้น ก็อาจจะมีการประเมินผลเสียหายอีกครั้งหนึ่ง

แนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ททท.ต้องรุกการขยายตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่เข้ามาทดแทน เพื่อคงให้ปีนี้ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40.8 ล้านคนตามแนวโน้ม โดยจะโฟกัสนักท่องเที่ยวจากอาเซียน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา ยุโรปตะวันออก เป็นต้น

ธุรกิจอ่วมเป็นลูกโซ่

การหดตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวทั้งระบบลามเป็นลูกโซ่ โดยเฉพาะการขาดสภาพคล่องสำหรับธุรกิจที่รองรับตลาดจีน ซึ่งธุรกิจเอสเอ็มอีจะอยู่ได้ลำบากมาก เพราะแม้โรงแรมต่างๆจะไม่ได้ยึดค่ามัดจำในการจอง แต่ขอให้เลื่อนเวลาออกไป แต่ก็ทำให้บริษัทที่สายป่านไม่ยาว ทนไม่ไหวและเรียกร้องขอให้คู่ค้ามีการคืนเงินมัดจำแทน

ขณะที่โรงแรมระดับเอสเอ็มอีก็จะอยู่ได้ลำบากมาก เมื่อต้องเผชิญกับสงครามราคาที่จะเกิดขึ้นหนักมาก เพื่อดึงลูกค้าเข้ามาพัก เช่นเดียวกับธุรกิจสายการบิน ที่บักโกรกไม่แพ้กัน เพราะหลายสายมีฐานลูกค้าหลักเป็นนักท่องเที่ยวจีน สิ่งที่จะตามมาคือการยกเลิกและลดเที่ยวบิน ที่จะยิ่งทำให้ธุรกิจนี้ที่เดิมก็ยํ่าแย่อยู่แล้วยิ่งไปกันใหญ่

รายงาน โดย ธนวรรณ วินัยเสถียร

หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,544 วันที่ 30 มกราคม-1 กุมภาพันธ์ 2563

https://www.thansettakij.com/conten...rvVZB4lroFJGSdRLt-L8G5C4qiruJMeYx3t3535GZT1CU

 

เตือนภัย พิบัติโลก

31/01/2563 พบแสงออโรร่า รูปแบบใหม่ "The DUNES": ที่มีรูปทรง Dune อยู่ในระดับความสูงแคบ ๆ อยู่ที่ 80 กม. ถึง 120 กม. เหนือพื้นผิวโลก เกิดขึ้นเหนือเมือง Laitila ประเทศฟินแลนด์ในวันที่ 7 ต.ค. 2561 เครดิต: Pirjo Koski

 

เตือนภัย พิบัติโลก

31/01/2563 ทีมวิจัยเชื่อว่า Dunes นั้นเป็น "mesospheric bore" ซึ่งเป็นคลื่นแรงโน้มถ่วงของบรรยากาศชนิดหนึ่งที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นผิวด้านล่างในระดับความสูงที่ ~ 100 กม.

ทีมวิจัยเชื่อว่าเนินเขาเป็น "mesospheric คลอด" ชนิดของคลื่นแรงโน้มถ่วงบรรยากาศที่สปริงขึ้นจากพื้นผิวด้านล่างและถูกจับในความร้อน waveguide ~ สูง 100 กม. เมื่ออนุภาคลมพลังงานแสงอาทิตย์ฝนตกลงบนน่าเบื่อพวกเขาส่องสว่างโครงสร้างของมัน

การค้นพบของเนินเขาอาจอนุญาตให้นักวิจัยศึกษา ignorosphere อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตรวจสอบเนินเขาสามารถเปิดเผยคลื่นที่ถูกซ่อนไว้ก่อนหน้านี้และ waveguides ที่ขอบเขตระหว่างโลกและอวกาศ ช่างภาพออโรร่าคุณเคยเห็นเนินเขาไหม? ส่งรูปของคุณที่นี่

หมายเหตุ: งานวิจัยนี้ถูกสร้างขึ้นโดยคนธรรมดาที่ให้ความสนใจกับท้องฟ้า รายงานแรกของ aurora dunes ในเดือนต. ค. 2015 มาจาก mikko peussa ช่างภาพออโรร่าในฟินแลนด์ ต่อไป matti helin ได้เรียนรู้เกี่ยวกับปรากฎการณ์และจัดการเพื่อรับนักวิจัยที่สนใจ Helin มีส่วนร่วมในการสำรวจความก้าวหน้าในภายหลังและเข้าร่วมกับ 6 มือสมัครเล่น (p. koski, a. oksanen, m. a ดีใจ, r. valonen, k. saari และ e. brus) บนกระดาษความก้าวหน้าของ agu

 

เตือนภัย พิบัติโลก

31/01/2563 พบแสงออโรร่า รูปแบบใหม่ "The DUNES": ที่มีรูปทรง Dune อยู่ในระดับความสูงแคบ ๆ อยู่ที่ 80 กม. ถึง 120 กม. เหนือพื้นผิวโลก เกิดขึ้นเหนือเมือง Laitila ประเทศฟินแลนด์ในวันที่ 7 ต.ค. 2561 เครดิต: Pirjo Koski

 

Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

เที่ยวบินเพิ่งมาถึงในโตรอนโต แคนาดา และทุกคนไม่สามารถลงจากเครื่องได้ มี 7 คนที่มีไข้

 

Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

ผู้ป่วยชาวจีนถูกย้ายไปที่โรงพยาบาลหลังจากได้รับรายงานด้วยไวรัสในศูนย์การค้า

 

Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

อีกคนหนึ่งล้มลงในห้างสรรพสินค้า, ประเทศจีน
Otra persona se derrumba esta vez en el centro comercial , China