ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 29 มกราคม 2020 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว Donald J. Trump ซึ่งเป็นข้อความที่เกี่ยวกับนายจอห์น โบลตัน (John Bolton) อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ โดยข้อความที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯโพสต์ในทวิตเตอร์นั้น เป็นข้อความที่ดุเดือดและเข้มข้นอย่างมาก ซึ่งมีใจความว่า
    .
    “คนที่ไม่ได้รับการยอมรับ ในสมัยที่เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติเมื่อหลายปีก่อน และก็ยังไม่ได้รับการอนุมัตินโยบายต่างๆ จนต้องมาขอร้องให้ผมอนุมัติโดยข้ามขั้นตอนวุฒิสภา แม้ว่าจะมีหลายคนทักท้วงผมว่า “อย่าอนุมัติเลยครับท่าน” แต่ผมก็อนุมัตินโยบายต่างๆให้เขา ตอนทำงานก็พลาดปากพูดว่า “ลิเบียโมเดล” ออกที.วี. และยังมีการทำงานอีกหลายครั้งที่ตัดสินใจผิดพลาด และที่เขาถูกไล่ออก จริงๆแล้วก็เพราะว่า ถ้าผมฟังเขา ป่านนี้เราคงอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 6 ไปแล้ว พอโดนไล่ออก ก็ไปเขียนหนังสือโสโครกที่ไม่เป็นความจริง แล้วเปิดเผยข้อมูลลับด้านความมั่นคงแห่งชาติ ใครกันที่ทำเช่นนี้ได้?”
    .
    แม้ว่าข้อความทวิตเตอร์ที่ประธานาธิบดีทรัมป์โพสต์ จะไม่ได้เอ่ยชื่อของนายโบลตัน แต่คอการเมืองอเมริกัน และนักวิเคราะห์ข่าวหลายคนก็สามารถคาดเดาได้ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ หมายถึงนายโบลตัน โดยเฉพาะประโยคที่กล่าวว่า “ถ้าผมฟังเขา ป่านนี้เราคงอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 6 ไปแล้ว” จึงทำให้สามารถตีความหมายได้ไม่ยาก ว่าประธานาธิบดีทรัมป์หมายถึงใคร
    .
    เพราะเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่า ในยุคสมัยนี้ นักการเมืองที่โปรดปรานสงครามมากที่สุดในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก็คือ นายจอห์น โบลตัน ตรงกันข้ามกับประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ไม่เน้นการทำสงครามด้วยกำลังทางทหาร แต่จะเน้นการใช้เศรษฐกิจเป็นอาวุธในการทำสงครามมากกว่า ถึงแม้ว่าต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา จะมีคณะฝ่ายบริหารคนอื่นๆในทำเนียบขาว ที่ออกคำสั่งให้สังหารผู้นำกองทัพอิหร่านเดือนก็ตาม
    .
    และในส่วนข้อความที่ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวถึง “ลิเบียโมเดล” นั้น ถือเป็นจุดแตกหักที่ทำให้นายทรัมป์มีคำสั่งให้ปลดนายโบลตัน ออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ เนื่องจากนายโบลตันเคยเปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า มีแผนจะดำเนินนโยบายกับเกาหลีเหนือ แบบเดียวกับที่รัฐบาลสหรัฐฯ ในสมัยประธานาธิบดี บารัก โอบามา (Barack Obama) ดำเนินนโยบายกับรัฐบาลลิเบียเมื่อปี 2010-2011
    .
    ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลสหรัฐฯและรัฐบาลสหราชอาณาจักร ร่วมกันตรวจสอบและผลักดันให้รัฐบาลลิเบียปลดอาวุธนิวเคลียร์ หลังจากที่แน่ใจว่ารัฐบาลลิเบียไม่มีอาวุธนิวเคลียร์แล้ว จากนั้นจึงส่งอาวุธสงครามให้แก่กลุ่มหัวรุนแรง และใช้กำลังรบทางอากาศ บุกถล่มรัฐบาลลิเบีย พร้อมกับสังหารโหดผู้นำประเทศลิเบีย นายมูอัมมาร์ กัดดาฟี (Muammar Gaddafi)
    .
    ดังนั้น การที่นายโบลตันเปิดเผยว่า มีแผนจะดำเนินนโยบาย “ลิเบียโมเดล” กับเกาหลีเหนือ จึงกลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์มีคำสั่งให้ปลดนายโบลตัน ออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาฯ เพราะนโยบาย “ลิเบียโมเดล” ของนายโบลตันในที่นี้หมายความ นายโบลตันต้องการผลักดันให้เกาหลีเหนือปลดอาวุธนิวเคลียร์ทิ้งให้หมด หลังจากนั้นจึงส่งอาวุธสงครามให้แก่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเกาหลีเหนือ หรือใช้กำลังทางทหารโค่นล้มรัฐบาลเกาหลีเหนือ
    .
    ประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับนโยบาย “ลิเบียโมเดล” ของนายโบลตัน เนื่องจากในช่วงหลังมานี้ รัฐบาลเกาหลีเหนือที่นำโดยนายคิม จ็อง-อึน แสดงท่าทีที่เป็นมิตรมากขึ้น และต้องการเปิดการเจรจาสัมพันธไมตรีกับสหรัฐฯมากขึ้น
    .
    ถ้าหากนายคิม จ็อง-อึนเห็นว่า รัฐบาลสหรัฐฯมีแผนจะโค่นล้มรัฐบาลเกาหลีเหนือ แบบเดียวกับที่โค่นล้มรัฐบาลลิเบียของนายกัดดาฟี นายคิม จ็อง-อึน อาจตัดสินใจยกเลิกการเจรจา แล้วกลับกลายมาเป็นศัตรูกับสหรัฐฯเหมือนแต่ก่อน ยิ่งไปกว่านั้น เกาหลีเหนืออาจหันกลับไปเพิ่มขีดความสามารถด้านอาวุธนิวเคลียร์และกำลังทางทหารเช่นเดิม ดังนั้น นโยบายของนายโบลตัน จึงไปด้วยกันไม่ได้กับนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ต้องการเจรจากับเกาหลีเหนือ ส่งผลให้ประธานาธิบดีทรัมป์มีคำสั่งให้ปลดนายโบลตัน ออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาฯเมื่อเดือนกันยายน 2019



    อย่างไรก็ตาม นายจอห์น โบลตัน ได้รับการสรรเสริญโดยพรรคเดโมแครตและฝ่ายต่อต้านทรัมป์ เนื่องจากหนังสือ “The Room Where it Happened” ของนายโบลตัน ที่จะเริ่มวางจำหน่ายวันที่ 17 มีนาคมที่จะถึงนี้ มีความลับที่เกี่ยวกับกรณีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ นำเรื่องงบประมาณช่วยเหลือด้านการทหารยูเครน มูลค่า 391 ล้านดอลลาร์ มาใช้เป็นเงื่อนไขข้อแลกเปลี่ยน ให้รัฐบาลยูเครนทำการสืบสวนคดีที่นายโจ ไบเดน (Joe Biden) และนายฮันเตอร์ ไบเดน (Hunter Biden) มีส่วนพัวพันกับการทุจริตคอรัปชั่นในยูเครน เพื่อจะได้นำเรื่องคดีทุจริตคอรัปชั่นไปใช้โจมตีนายโจ ไบเดน ในศึกการเลือกตั้งปี 2020
    .
    แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลก ที่สื่อกระแสหลักในสหรัฐฯและสื่อในไทยส่วนใหญ่ ให้น้ำหนักไปที่ประเด็นการถอดถอนนายทรัมป์ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี มากกว่าประเด็นการทุจริตคอรัปชั่นในยูเครนของพ่อ-ลูกตระกูลไบเดน
    .
    นอกจากนี้ แม้ว่าเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้โหวตสนับสนุนญัตติให้ถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ แต่โอกาสที่เสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภาสหรัฐฯ จะโหวตสนับสนุนญัตติถอดถอนนายทรัมป์นั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากส.ว.สหรัฐฯส่วนใหญ่เป็นส.ว.จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นพรรคเดียวกันกับนายทรัมป์ ในขณะที่ส.ส.สหรัฐฯส่วนใหญ่ มาจากพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน และด้วยเหตุนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จึงมองว่า เกมของพรรคเดโมแครต เป็นความพยายามที่สูญเปล่าอย่างไม่ต้องสงสัย

    ---------------------------
    แหล่งข่าว

    https://www.washingtonexaminer.com/...ure-builds-to-call-him-as-impeachment-witness

    https://www.msnbc.com/morning-joe/w...x-by-not-listening-to-john-bolton-77752389532

    https://www.rt.com/usa/479509-donald-trump-world-war-six/



    ---------------------------
    กด Like และ ติดตามเพจ เพื่อรู้เท่าทันสถานการณ์โลกกับ Thailand Vision
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไวรัสโคโรน่าระบาดในจีนกำลังสร้างความหวั่นวิตก ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 170 ราย ติดเชื้อเกือบ 7,800 คน พบผู้ติดเชื้อในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบ่งปันจาก เตือนภัย พิบัติโลก
    หนุ่มโพสต์ในกลุ่มบ้านฉาง@ระยอง สงสัยว่า ปูอะไร กินได้ไหม?
    .
    รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ บอกว่า เป็นปูโมเสก ซึ่งหาได้ค่อนข้างยาก ปูพวกนี้กินแพลงค์ตอนพิษกลุ่มไดโนแฟลกเจเลทเข้าไป และสะสมพิษเหล่านี้ไว้ในตัว รวมทั้งมีพิษกลุ่มเตโตรโดท็อกซิน ชนิดเดียวกับที่พบในปลาปักเป้า โดยอาจจะสร้างจากแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของปูใบ้
    .
    หากนำไปประกอบอาหารด้วยการทำให้ร้อน ก็ไม่สามารถทำลายพิษได้ หากร่างกายรับพิษเข้าไป อาจจะเกิดอาการบวมที่ริมฝีปาก ลิ้น ลำคอ และใบหน้า ถ่ายท้อง ปวดท้อง และช็อค รวมถึงเป็นอัมพาต และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ #ข่าวช่องวัน
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข้อเท็จจริง Coronavirus (2019-nCoV):

    การทำงานร่วมกันนำไปสู่ความเข้าใจที่ดีขึ้นของเชื้อโรค
    ผู้แต่ง: Barry Bunin, PhD

    เมื่อข่าวเกี่ยวกับหวู่ฮั่นโคโรนาไวรัสเป็นหัวข้อข่าวมันเป็นเรื่องง่ายที่จะสร้างอารมณ์และตอบสนองต่อการพัฒนาล่าสุดทุกเรื่อง อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าเป็นประโยชน์ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรับมุมมองแบบองค์รวมในการระบาดครั้งนี้ นี่คือสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับไวรัสตัวใหม่และชุมชนวิทยาศาสตร์กำลังทำงานเพื่อต่อต้านมันอย่างไร

    Coronavirus คืออะไร (2019-nCoV)

    2019-nCoV เป็น Coronavirus ตระกูลไวรัสที่สืบเนื่องกันมาจากโรคหวัดธรรมดา มันเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมมากที่สุด แต่ก็แตกต่างจากโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS) และโรคระบบทางเดินหายใจในตะวันออกกลาง (MERS) Coronaviruses เรากำลังเรียนรู้เพราะมันแผ่ขยายไปทุกวันต่อหน้าต่อตาของเรา:

    ในวันที่ 10 มกราคมข้อมูลการเรียงลำดับสำหรับไวรัส 2019-nCOV ได้รับการเผยแพร่ สาเหตุเชิงสาเหตุของโรคปอดบวมลึกลับ ถูกระบุว่าเป็น coronavirus novel โดยการตรวจสอบลำดับลึกและสาเหตุโดยห้องปฏิบัติการอิสระอย่างน้อย 5 แห่งของจีน ไวรัสปอดบวมในตลาดอาหารทะเลหวู่ฮั่นแยกจีโนมที่สมบูรณ์ของหวู่Wuhan-Hu-1 ออกฝากออนไลน์ใน Genbank

    เมื่อวันที่ 12 มกราคม องค์การอนามัยโลกได้ตั้งชื่อไวรัสตัวใหม่ชั่วคราวว่าเป็น 2019 novel coronavirus (2019-nCoV) ในกระดาษที่ชื่อว่า“ Coronaviruses: โครงสร้างจีโนม, การจำลองและการเกิดโรค” รายละเอียดทางพันธุกรรมถูกแชร์:

    “ จีโนมของ CoVs เป็น RNA (+ ssRNA) (~ 30kb) ที่มีความรู้สึกเชิงบวก (stranded positive-sense RNA) (~ 30kb) พร้อมโครงสร้าง 5'-cap และ3’-poly-A tail” และ“ ขนาดจีโนมของ CoV (~ 30kb) คือ ใหญ่ที่สุดในบรรดาไวรัส RNA ทั้งหมดซึ่งใหญ่กว่าไวรัส RNA ใหญ่เป็นอันดับสองเกือบสองเท่า การบำรุงรักษาขนาดจีโนมขนาดยักษ์ของ CoV อาจเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติพิเศษของ CoV RTC ซึ่งมีเอนไซม์ประมวลผล RNA หลายตัวเช่น exoribonuclease 3'5 'ของ nsp14 exoribonuclease 3'5 'นั้นเป็นเอกลักษณ์ของ CoV ในบรรดาไวรัส RNA ทั้งหมดและได้รับการพิสูจน์ว่าทำงานเป็นส่วนพิสูจน์อักษรของ RTC [12-14] การวิเคราะห์ลำดับพบว่า 2019-nCoV มีโครงสร้างจีโนมทั่วไปของ coronavirus และอยู่ในกลุ่มของ betacoronaviruses ที่มี Bat-SARS-like (SL) -ZC45, Bat-SL ZXC21, SARS-CoV และ MERS-CoV ขึ้นอยู่กับต้นไม้สายวิวัฒนาการของ CoVs 2019-nCov มีความสัมพันธ์กับค้างคาว-SL-CoV ZC45 และ bat-SL-CoV ZXC21 และสัมพันธ์กับ SARS-CoV1 มากขึ้น”

    เมื่อวันที่ 16 มกราคม การทดลองในห้องปฏิบัติการได้รับการพัฒนาโดยนักวิจัยที่ศูนย์วิจัยการติดเชื้อเยอรมัน ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยCharitéในกรุงเบอร์ลิน

    เมื่อวันที่ 24 มกราคม ลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยไอซียู 41 คนที่ติดเชื้อ 2019-nCoV ในหวู่ฮั่น ประเทศจีนได้รับการเผยแพร่ ผู้ป่วยมีโรคปอดบวมที่พบสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับ CT ของหน้าอกและ“ cytokine storm” ที่มีระดับพลาสมาที่สูงขึ้นของ IL2, IL7, IL10, GSCF, IP10, MCP1, MP1A และTNFα ข้อมูลเหล่านี้มาจากผู้ป่วยในห้องไอซียูชัดว่าคนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อไม่ได้อยู่ในห้องไอซียู

    ในวันที่ 25 มกราคม ห้า โปรโตคอล PCR และเป็นครั้งแรกสำหรับการวินิจฉัยของสายพันธุ์เมืองหวู่ฮั่น 2019-nCoV ที่มีอยู่จากองค์การอนามัยโลก (WHO) ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรโตคอล RT-PCR แบบเรียลไทม์สำหรับห้องปฏิบัติการนั้นมีให้ทางออนไลน์จาก CDC

    ลำดับ 2019-nCoV ที่สร้างขึ้นอย่างรวดเร็วและข้อมูลการวินิจฉัยตอนนี้มีให้บริการแบบสาธารณะบน Virological.org แล้ว

    การศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมดูเหมือนจะแนะตัวเบียนเก็บเชื้อหลักในธรรมชาติสำหรับ 2019-nCoV น่าจะเป็นค้างคาว การรวมตัวกันอีกครั้งที่เป็นไปได้และการส่งผ่านอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับโฮสต์งูบนพื้นฐานของการวิเคราะห์ไกลโคโปรตีนทางพันธุกรรม

    NIAID ให้ข้อมูลสรุปที่สมดุลของสถานะปัจจุบัน เกี่ยวกับ 2019-nCoV:

    "การเกิดขึ้นของการระบาดของโรคในมนุษย์ที่เกิดจากเชื้อไวรัส จากตระกูลไวรัสที่เคยคิดว่าค่อนข้างเป็นพิษเป็นภัยต่อความท้าทายตลอดเวลาของโรคติดเชื้อที่เกิดขึ้นใหม่และความสำคัญของการเตรียมพร้อมที่ยั่งยืน 2"

    แพร่กระจายไปที่ไหนและอย่างไร

    กรณีส่วนใหญ่ในมนุษย์อยู่รอบเมืองหวู่ฮั่น ในมณฑลหูเป่ยตอนกลาง ในประเทศจีน ซึ่งมีการระบุเป็นครั้งแรกใน 2019-nCoV กรณีจำนวน จำกัด ยังได้รับการยืนยันในประเทศไทย ญี่ปุ่นไต้หวัน เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และยุโรป แม้ว่าจะเชื่อกันว่าเริ่มแรกจากสัตว์สู่มนุษย์ (โดยเริ่มต้นที่จุดเริ่มต้นในขณะนี้ตลาดเฉพาะในเมืองหวู่ฮั่นที่จำหน่ายสัตว์มีชีวิตอยู่เป็นประจำ) ตอนนี้มีหลายตัวอย่างของการส่งมนุษย์สู่มนุษย์ 2019-nCoV .

    เมื่อวันที่ 24 มกราคมมีรายงานผู้ป่วย 830 รายและผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยัน26 ราย จาก2019-nCoV แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกกรณีที่มีการรายงานดังนั้นจึงควรพิจารณาจำนวนน้อยที่สุด

    เมื่อวันที่ 25 มกราคม WHO ได้โพสต์รายงานสถานการณ์ 5 ฉบับใน2019-nCOV ซึ่งสามารถพบได้ทางออนไลน์ที่นี่:
    https://www.who.int/emergencies/diseases/novel-coronavirus-2019/situation-reports

    รายงาน WHO ครั้งที่ 5 รวม 1320 รายที่ได้รับการยืนยันแล้ว รายงานสำหรับ 2019-nCoV มีการรายงานการติดต่อจากคนสู่คน อย่างไรก็ตามกรณีส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับประวัติการเดินทางไปยังเมืองหวู่ฮั่น ประเทศจีน

    แม้ว่าการเสียชีวิตนั้นสำคัญต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ความแปลกใหม่และวิถีการระบาดที่ไม่เป็นที่รู้จักคือสิ่งที่ทำให้น่าสนใจ เนื่องจากมีคำสั่งของจำนวนผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดที่พบบ่อยนักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวถึงการ rebranding ไข้หวัดใหญ่ “ เราควรเปลี่ยนชื่อไข้หวัดใหญ่ เรียกมันว่าไวรัส XZ-47 หรือสิ่งที่น่ากลัวกว่า” ดร. พอล ออฟฟิต ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาวัคซีนที่โรงพยาบาลเด็กของฟิลาเดลเฟียกล่าว

    องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าประมาณการเบื้องต้น R0 (หมายเลขการสืบพันธุ์) อยู่ที่ 1.4 ถึง 2.5 ซึ่งหมายความว่าทุกคนที่ติดเชื้ออาจติดเชื้อระหว่าง 1.4 และ 2.5 ดังนั้นมันจึงถูกส่ง แต่ขณะนี้ยังไม่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ไม่ทราบจำนวนการสืบพันธุ์ที่แน่นอนเนื่องจากทุกกรณีจะไม่ถูกรายงานและมีความล่าช้าระหว่างการติดเชื้อ การสังเกตและการรายงาน บางรุ่นแนะนำว่าอาจมีมนุษย์ประมาณ 30,000 - 200,000 คน ติด 2019-nCoV

    มันคล้ายกับอะไร?

    2019-NCoV เป็นส่วนหนึ่งของตระกูล coronaviruses ซึ่งรวมถึงโรคหวัดธรรมดา, โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS), และตะวันออกกลาง (MERS) นับตั้งแต่มีการระบุครั้งแรกในซาอุดิอาระเบียในปี 2555 และประมาณ 34% ของผู้ที่รายงานว่าติดเชื้อ MERS นั้นเสียชีวิต (858 จาก 2494 ราย) MERS R0 น้อยกว่าหนึ่ง การระบาดของโรคซาร์ส นำไปสู่ 8098 กรณีที่ระบุและ 774 เสียชีวิต (9.6%) โรคซาร์สมีค่า R0 2-5 โรคซาร์สหายไปอย่างรวดเร็ว ตามที่ปรากฏในแี 2545-2546 หากเราซื่อสัตย์เกี่ยวกับเรื่องนี้เราจะไม่ทราบเลยว่าทำไมการติดเชื้อที่ติดต่อได้เกิดขึ้นหรือลดลง บ่อยครั้งที่เราดีกว่าในการกำหนดความสัมพันธ์มากกว่าสาเหตุ สิ่งนี้ไม่น่าแปลกใจเนื่องจากการติดเชื้อติดต่อเป็นไปตามคำจำกัดความวิวัฒนาการของปรากฏการณ์

    นักวิจัยกำลังประเมินมาตรการตอบโต้สำหรับ 2019-nCoV โดยใช้ SARS-CoV และ MERS-CoV เป็นแบบตัวอย่าง ตัวอย่าง เช่น การวิเคราะห์แพลตฟอร์มได้รับการดัดแปลงอย่างรวดเร็วเพื่อรวม 2019-nCoV ทำให้สามารถรับรู้และแยกกรณีได้เร็ว antivirals ในวงกว้างเช่น remdesivir ตัวยับยั้ง RNA polymerase เช่นเดียวกับ lopinavir / ritonavir และ interferon beta แสดงสัญญากับ MERS-CoV ในรูปแบบสัตว์และได้รับการประเมินเทียบกับ 2019-nCoV วัคซีนที่ใช้แพลตฟอร์มวัคซีนนิวคลีอิกกรดที่ใช้สำหรับโรคซาร์ส - CoV หรือ MERS-CoV กำลังถูกติดตามที่สถาบันวิจัยโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติศูนย์วิจัยวัคซีน “ ในช่วงที่โรคซาร์ส นักวิจัยย้ายจากการได้รับลำดับจีโนมของโรคซาร์ส - CoV เป็นการทดลองทางคลินิกระยะที่ 1 ของวัคซีนดีเอ็นเอใน 20 เดือนและตั้งแต่นั้นลดเส้นเวลาเหลือเป็น 3.25 เดือนสำหรับโรคไวรัสอื่น ๆ สำหรับ 2019-nCoV พวกเขาหวังว่าจะมำได้เร็วขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีการฉีดวัคซีน messenger RNA (mRNA) นักวิจัยคนอื่น ๆ มีความพร้อมในการสร้างเวกเตอร์ไวรัสและวัคซีนยูนิต 2”

    การพัฒนาวัคซีน Coronavirus

    การพัฒนาวัคซีน (และแอนติบอดี) มีความสมเหตุสมผลเนื่องจากอาจมีการค้นพบยาโมเลกุลขนาดเล็กได้เร็วกว่าเดอโนโวถึงแม้ว่ายาต้านไวรัสชนิดอื่นจะถูกนำมาใช้ในโรคซาร์สและ MERS วารสารวอลล์สตรีท รายงานว่าผู้ผลิตยาหลายรายกำลังเร่งพัฒนาวัคซีนที่สามารถป้องกันไวรัสระบบทางเดินหายใจใหม่ที่เกิดขึ้นในประเทศจีน Moderna Inc. , Inovio Pharmaceuticals Inc. และ Novavax Inc. ทุกคนวางแผนที่จะพัฒนาวัคซีนต่อต้านเชื้อไวรัสที่ระบุใหม่ นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ในออสเตรเลียกำลังพยายามพัฒนาวัคซีนป้องกันความเครียด

    เมื่อเร็ว ๆ นี้ FierceBiotech รายงานว่าทั้ง JNJ และ Gilead ได้กระโดดเข้าสู่การแข่งขัน วัคซีน Coronavirus

    บทเรียนสำหรับความร่วมมือในการค้นคว้ายา

    ตามที่แบ่งปันในจุด NIH JAMA ที่ตรงเวลาจาก Catharine I. Paules, MD; Hilary D. Marston, MD, MPH; Anthony S. Fauci, MD เรารู้ว่า 2019-nCOV นั้นคล้ายคลึงกับ MERS และ SARS เนื่องจากการแบ่งปันข้อมูลที่รวดเร็วและความร่วมมือระหว่างประเทศ:

    “ ในขณะที่เมอร์สไม่ได้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกระหว่างประเทศ กับโรคซาร์ส แต่การเกิดขึ้นของโรคไซโคลน zoonotic HCoV ครั้งที่สองนี้แสดงให้เห็นถึงภัยคุกคามที่เกิดจากเชื้อไวรัสตระกูลนี้ ในปี 2560 องค์การอนามัยโลกกำหนดให้ SARS-CoV และ MERS-CoV อยู่ในลำดับความสำคัญของ Pathogen Pathogen โดยหวังที่จะกระตุ้นการวิจัยและพัฒนาการตอบโต้ต่อ CoVs การกระทำของ WHO ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ทางการจีนรายงานกลุ่มผู้ป่วยโรคปอดบวมในหวู่ฮั่นประเทศจีนซึ่งส่วนใหญ่รวมถึงผู้ป่วยที่รายงานการสัมผัสกับตลาดอาหารทะเลขนาดใหญ่ที่จำหน่ายสัตว์มีชีวิตหลายชนิด การเกิดขึ้นของโรค Zoonotic HCoV ชนิดอื่นที่น่าสงสัยและภายในวันที่ 10 มกราคม 2564 นักวิจัยจากศูนย์คลินิกสาธารณสุขและโรงเรียนสาธารณสุขของเซี่ยงไฮ้และผู้ร่วมมือของพวกเขาได้ปล่อยลำดับจีโนมเต็มรูปแบบของ 2019-nCoV ไปยังฐานข้อมูลสาธารณะ การตอบสนองต่อการระบาดของโรค”

    ผู้จัดพิมพ์เช่น British Medical Journal (และในช่วงเวลาแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันสำนักพิมพ์อื่น ๆ เช่น Wiley และ Elsevier) กำลังให้ข้อมูลเกี่ยวกับ Coronavirus อย่างอิสระบนอินเทอร์เน็ตเพื่อพยายามตอบสนองทั่วโลกในระยะสั้นและสนับสนุนการวิจัยระยะยาวในทางตรงกันข้าม รูปแบบธุรกิจแบบชำระเงินตามปกติ วารสารการแพทย์ของอังกฤษได้จัดทำข้อมูลอย่างอิสระบน MERS และ SARS

    หนึ่งในวิธีที่ไม่เหมือนใครที่เราสามารถต่อสู้กับโรคระบาดซึ่งไม่มีในรุ่นก่อนหน้าคือการใช้ประโยชน์จากการเข้าถึงทุกคนทั่วโลกผ่านสายพันธุ์ของเราผ่านอินเทอร์เน็ตฟรี เรามีเพียงรอยขีดข่วนพื้นผิวของศักยภาพเต็มของกลไกนี้สำหรับการตอบสนองและการวิจัย

    การทำงานร่วมกันสามารถมีตั้งแต่นักวิทยาศาสตร์สองคนที่แบ่งปันข้อมูลแบบส่วนตัวไปยังข้อมูลที่เปิดเผยแบบสาธารณะกับชุมชนวิทยาศาสตร์นานาชาติ ปริมาณมีคุณภาพทั้งหมดของตัวเอง ในกรณีที่เกิดการระบาดข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะจะช่วยให้การสนทนาสามารถพัฒนาร่วมกับสมองหลาย ๆ (และเทคโนโลยี) ได้อย่างรวดเร็วในแบบคู่ขนาน - เมื่อมีการแบ่งปันข้อมูลการวิเคราะห์และข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมในเวลาที่เหมาะสม

    เมื่อต้องการการตอบสนองอย่างทันท่วงที/การแบ่งปันข้อมูลร่วมกันจะช่วยให้อัตราการเรียนรู้เร็วขึ้น

    ภายในเวทีการค้นพบยา..ในเชิงพาณิชย์มีสองระดับความสมดุลในการแบ่งปันได้ทันที ขั้นแรกข้อมูลจากการตรวจค้นยาที่หลากหลายนั้นมีความหลากหลายซับซ้อนและอาจต้องการข้อมูลเมตาจากขั้นตอนเพื่อให้เข้าใจ ประการที่สองการแบ่งปันข้อมูลเนื่องจากความแตกต่างนี้ต้องใช้เครื่องมือที่มีความซับซ้อน (เช่นการแบ่งปันความสัมพันธ์กิจกรรมโครงสร้างจากชุดของหน้าจอหลักที่สูงและรองตลอดทั้งหน้าจอที่รันบนสารประกอบหลายร้อยหลายพันที่ความเข้มข้น เก้าในสามเท่าไม่สำคัญ บอกแชร์สิ่งที่ชอบบน Facebook) อย่างไรก็ตามการทำงานร่วมกันอาจเป็นกุญแจสำคัญในการก้าวกระโดด...อย่างมีประสิทธิภาพในการค้นพบยา

    การเปิดเผยข้อมูล (และแนวคิด) เปิดเป็นจุดประสงค์ของวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ วรรณกรรมวิทยาศาสตร์กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกมากขึ้นด้วยการมาถึงของการพิมพ์

    เราใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อให้ได้รับในวันนี้ แต่ความสามารถในการแบ่งปันข้อมูลทั่วโลกในทันทีนั้นถือเป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์พื้นฐานที่สุดสำหรับเผ่าพันธุ์ของเรา เราไม่ได้เป็นมดอีกต่อไป แต่เป็นฝูงมด เราสามารถเรียนรู้จากศิลปะแห่งปัญญาที่เกิดขึ้นใหม่ memes ของเราเดินทางด้วยความเร็วของ www เพื่อประสานการคิดร่วมกันของเราคือความได้เปรียบในการแข่งขันของเราเทียบกับกลไกการกลายพันธุ์ การคัดเลือก และการถ่ายทอดยีนแนวนอนแบบโบราณอย่างไม่หยุดยั้ง เอซในกระเป๋าของเราคือความสามารถในการเรียนรู้ร่วมกัน และแบ่งปันการเรียนรู้แบบกลุ่มทันที Prokaryotes มีความเร็วคงที่ของการเรียนรู้และการถ่ายโอนข้อมูล (แตกต่างกันไปในทุกกรณี แต่การพูดเชิงเปรียบเทียบโดยทั่วไป) มนุษย์ที่รวมสติปัญญาของเรากับอินเทอร์เน็ตมีศักยภาพในการเรียนรู้ที่ไม่ได้ uncapped และเร่งความเร็ว

    การเรียนรู้แบบเร่งรัดในระดับต่อไปคือการบูรณาการคอมพิวเตอร์และอัลกอริทึมเข้าด้วยกันผ่านทางแพลตฟอร์มบนเว็บ ไม่เพียง แต่ CDD Vault ของเราเท่านั้นที่ยอดคงเหลือในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาผ่านการแบ่งปันข้อมูลที่ปลอดภัยในขณะที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกันสูงสุด ... แต่ทั้งหมดที่เชื่อมต่อแพลตฟอร์มการแบ่งปันข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บนเว็บ (ส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสาธารณะของเรา GenBank, ChEMBL, KEGG และ PubChem พูดถึงเพียงไม่กี่แพลตฟอร์ม sharinig ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บนเว็บที่มีผลกระทบมากมาย) และมีความพยายามในระดับชุมชนที่มีผลกระทบสูงเช่นกัน Wikipedia (และเป็นลูกพี่ลูกน้องสำคัญของ DBpedia) เราสามารถและจะทำงานร่วมกันได้ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

    มีความจำเป็นที่จะต้องแบ่งปันและเร่งค้นข้อมูลเพื่อหาจำนวนของโรคไวรัสรวมถึง 2019-nCoV:

    “ เนื่องจากไม่มีการรักษาหรือวัคซีนที่มีประสิทธิภาพวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับการติดเชื้อที่รุนแรงของ CoVs คือการควบคุมแหล่งที่มาของการติดเชื้อการวินิจฉัยเบื้องต้น การรายงานการแยกการรักษา และการเผยแพร่ข้อมูลการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงความตื่นตระหนก สำหรับแต่ละบุคคลสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดี หน้ากาก ติดตั้งระบบระบายอากาศ และการหลีกเลี่ยงสถานที่แออัดจะช่วยป้องกันการติดเชื้อ CoVs ได้ 1”

    เป็นมูลค่าการกล่าวขวัญถึงการพัฒนาอย่างรวดเร็วของชุดเครื่องมือวินิจฉัย 2019-nCoV ซึ่งตอนนี้มีให้ใช้แล้ว

    เช่นเดียวกับการตอบสนองต่อการระบาดของโรคอีโบลาครั้งสุดท้ายและหลังจากการระบาดของโรคในปี 2019-nCoV นี้เราจะต้องพิจารณาแนวทางทั่วไปในการเฝ้าระวังและตอบโต้ สิ่งเดียวที่เรารู้แน่นอนว่าครั้งต่อไปจะแตกต่างกันเล็กน้อย ในการตอบสนองกลยุทธ์และเครื่องมือของเราจะดียิ่งขึ้นกับการแพร่ระบาดของโรคใหม่ ๆ ผ่านการทำงานร่วมกันทางเว็บที่ประสานกันมากขึ้น

    ในอนาคตอันใกล้นี้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะจินตนาการถึงเวลาที่ข้อมูลและโปรโตคอลที่เกิดขึ้นใหม่จะแสดงในรูปแบบมาตรฐาน FAIR (หาได้ เข้าถึงได้ ใช้งานร่วมกันได้ นำกลับมาใช้ซ้ำได้) สำหรับการวิเคราะห์คอมพิวเตอร์แบบขนาน
    3 Bioportal มีคำศัพท์มาตรฐานที่ถูกต้องและแม่นยำสำหรับ Coronavirus ใหม่แล้ว คนรุ่นต่อไปในอนาคตจะสามารถทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น เร็วขึ้นยาวขึ้น และฉลาดขึ้น
    4 เราทุกคนอยู่ด้วยกันในเรื่องนี้

    Coronavirus (2019-nCoV): The Facts

    Collaboration Leads the Way to Better Understanding of Pathogen

    (Ri
    Author: Barry Bunin, PhD

    As news about the Wuhan Coronavirus dominates the headlines, it is easy to get emotional and react to every latest development. However, we believe it is helpful to examine the facts and take a holistic view on this outbreak. Here is what we know about the new virus so far, and how the scientific community is working to counter it.

    What is the Coronavirus (2019-nCoV)?

    2019-nCoV is a Coronavirus, the family of viruses traditionally associated with the common mild cold. It is genetically most related to, yet distinct from, the severe acute respiratory syndrome (SARS) and the Middle East respiratory syndrome (MERS) Coronaviruses. We are learning as it unfolds daily in front of our eyes:

    On January 10th, sequencing data for the 2019-nCOV virus were released. The causative agent of the mystery pneumonia was identified as a novel coronavirus by deep sequencing and etiological investigations by at least 5 independent laboratories of China. The Wuhan seafood market pneumonia virus isolate Wuhan-Hu-1 complete genome is now deposited online in Genbank.

    On January 12th, the World Health Organization temporarily named the new virus as 2019 novel coronavirus (2019-nCoV). In a paper titled “Coronaviruses: genome structure, replication, and pathogenesis” the genetic details were shared:

    “The genome of CoVs is a single-stranded positive-sense RNA (+ssRNA) (~30kb) with 5’-cap structure and 3’-poly-A tail.” and “The genome size of CoV (~30kb) is the largest among all RNA viruses, which is almost two times larger than that of the second largest RNA viruses. The maintenance of the giant genome size of CoVs might be related to special features of the CoV RTC, which contains several RNA processing enzymes such as the 3’-5’ exoribonuclease of nsp14. The 3’-5’ exoribonuclease is unique to CoVs among all RNA viruses, and proved to function as a proofreading part of the RTC [12-14]. Sequence analysis showed that the 2019-nCoV possesses a typical genome structure of coronavirus and belongs to the cluster of betacoronaviruses that includes Bat-SARS-like (SL)-ZC45, Bat-SL ZXC21, SARS-CoV and MERS-CoV. Based on the phylogenetic tree of CoVs, 2019-nCov is more closely related to bat-SL-CoV ZC45 and bat-SL-CoV ZXC21 and more distantly related to SARS-CoV1.”

    On January 16th, a laboratory assay had been developed by researchers at the German Centre for Infection Research at the Charité university hospital in Berlin.

    On January 24th, the clinical features of 41 ICU patients infected with 2019-nCoV in Wuhan China were published. The patients had pneumonia with abnormal findings on chest CT and a “cytokine storm” with higher plasma levels of IL2, IL7, IL10, GSCF, IP10, MCP1, MP1A and TNFα. These data are from just the patient in the ICU, obviously the majority of people infected are not in the ICU.

    On January 25th, five PCR protocols and primers for diagnosis of the Wuhan City 2019-nCoV strains are available from the World Health Organization (WHO). Additional information on real time RT-PCR protocols for laboratories are available online from the CDC.

    The rapidly generated 2019-nCoV sequence and diagnostic information are both now publicly available on Virological.org.

    Genetic variation studies seem to suggest the main host reservoir in nature for 2019-nCoV likely is the bat. Possible recombination and transmission may have involved snake hosts based on genetic glycoprotein analyses.

    The NIAID provided a balanced summary of the current state of affairs with regards to 2019-nCoV:

    "The emergence of yet another outbreak of human disease caused by a pathogen from a viral family formerly thought to be relatively benign underscores the perpetual challenge of emerging infectious diseases and the importance of sustained preparedness2.”



    Where and how is it spreading?

    The majority of cases in humans are around the city of Wuhan, in central Hubei province in China, where 2019-nCoV was first identified. A limited number of cases have also been confirmed in Thailand, Japan, Taiwan, South Korea, USA, and Europe. Although it was believed to be transmitted initially from animal to human (with the origin beginning at a now closed, specific marketplace in Wuhan City where live animals are routinely sold), there are now multiple examples of human-to-human 2019-nCoV transmission.

    On January 24th, there were 830 reported cases and twenty six confirmed deaths from 2019-nCoV, of course not all cases are necessarily reported so these should be considered the minimal numbers.

    On January 25th, the WHO has posted 5 Situational Reports on 2019-nCOV which can be found online here:

    https://www.who.int/emergencies/diseases/novel-coronavirus-2019/situation-reports

    The 5th WHO report included 1320 confirmed cases reported for 2019-nCoV. Human to human transmission has been reported, however the vast majority of cases are related to travel history to Wuhan City, China.

    Although the deaths are obviously significant to those directly and indirectly involved, the novelty and unknown trajectory of the outbreak is what makes it newsworthy. Given there are orders of magnitude more deaths from common flu, scientists have discussed perhaps rebranding Influenza. “We should rename influenza; call it XZ-47 virus, or something scarier,” said Dr. Paul Offit, director of the Vaccine Education Center at Children’s Hospital of Philadelphia.

    The World Health Organization said that the preliminary R0 (reproduction number) estimate is 1.4 to 2.5, meaning that every person infected could infect between 1.4 and 2.5 people. So it is being transmitted, but currently it is not spreading relatively fast. The exact reproduction number is of course unknown, since all cases are not reported and there is a lag between infection, noticing, and reporting. Some models suggest there may be 30,000 - 200,000 humans with 2019-nCoV.



    What is it similar to?

    2019-NCoV is part of a family of coronaviruses that includes the common cold, severe acute respiratory syndrome (SARS), and Middle East respiratory syndrome (MERS). Since first identified in Saudi Arabia in 2012, and around 34% of people reported as infected with MERS have died (858 of 2494 cases). MERS R0 is less than one. The SARS outbreak led to 8098 identified cases and 774 deaths (9.6%). SARS had an R0 of 2-5. SARS disappeared as quickly as it appeared in 2002-03. If we are honest about it, we don’t always entirely know why contagious infections grow or decline. Often we are better at determining correlation, rather than causation. This is not surprising, as contagious infections are by definition, evolving phenomena.

    Researchers are evaluating countermeasures for 2019-nCoV using SARS-CoV and MERS-CoV as prototypes. For example, platform diagnostics are being rapidly adapted to include 2019-nCoV, allowing early recognition and isolation of cases. Broad-spectrum antivirals, such as remdesivir, an RNA polymerase inhibitor, as well as lopinavir/ritonavir and interferon beta have shown promise against MERS-CoV in animal models and are being assessed versus 2019-nCoV. Vaccines, with nucleic acid vaccine platform approaches used for SARS-CoV or MERS-CoV, are being pursued at the National Institute of Allergy and Infectious Diseases Vaccine Research Center. “During SARS, researchers moved from obtaining the genomic sequence of SARS-CoV to a phase 1 clinical trial of a DNA vaccine in 20 months and have since compressed that timeline to 3.25 months for other viral diseases. For 2019-nCoV, they hope to move even faster, using messenger RNA (mRNA) vaccine technology. Other researchers are similarly poised to construct viral vectors and subunit vaccines2.”



    Coronavirus Vaccine Development

    Vaccine (and antibody) development makes sense, given the potentially faster timeline than de novo small molecule drug discovery, although other antivirals have been used in SARS and MERS. The Wall Street Journal reported several drugmakers are racing to develop vaccines that could protect against the new respiratory virus originating in China. Moderna Inc., Inovio Pharmaceuticals Inc. and Novavax Inc. all plan to develop vaccines against the newly identified viral strain. Researchers at the University of Queensland in Australia are also trying to develop a vaccine against the strain.

    More recently, FierceBiotech reported that both JNJ and Gilead have jumped into the accelerated Coronavirus Vaccine race.



    Lessons for Drug Discovery Collaboration?

    As shared in a timely NIH JAMA Viewpoint from Catharine I. Paules, MD; Hilary D. Marston, MD, MPH; Anthony S. Fauci, MD we know 2019-nCOV is similar to MERS and SARS thanks to rapid data sharing and international collaboration:

    “While MERS has not caused the international panic seen with SARS, the emergence of this second, highly pathogenic zoonotic HCoV illustrates the threat posed by this viral family. In 2017, the WHO placed SARS-CoV and MERS-CoV on its Priority Pathogen list, hoping to galvanize research and the development of countermeasures against CoVs. The action of the WHO proved prescient. On December 31, 2019, Chinese authorities reported a cluster of pneumonia cases in Wuhan, China, most of which included patients who reported exposure to a large seafood market selling many species of live animals. Emergence of another pathogenic zoonotic HCoV was suspected, and by January 10, 2020, researchers from the Shanghai Public Health Clinical Center & School of Public Health and their collaborators released a full genomic sequence of 2019-nCoV to public databases, exemplifying prompt data sharing in outbreak response.”

    Publishers like the British Medical Journal (and in a moment of solidarity other publishers like Wiley and Elsevier) are providing information on the Coronavirus is freely on the internet to spurn short-term global response efforts and support long-term research, in contrast to their usual paid-content business models. The British Medical Journal has also made information freely available on MERS and SARS.

    One of the unique ways we can combat epidemics, not available to previous generations, is to leverage the free, global, instantaneous access to everyone across our species via the Internet. We have only scratched the surface of the full potential of this mechanism for both response and research.

    Collaboration can range from two scientists sharing data privately to publicly shared data with the international scientific community. Quantity has a quality all its own. In the case of an outbreak, publicly shared information allows the conversation to co-evolve with many brains (and technologies) rapidly in parallel - when additional data, analyses, and insights are also shared in a timely manner.

    When a timely response is needed, collaboratively sharing data allows the rate of learning to accelerate.

    Within the commercial drug discovery arena, there are two counterbalances to immediate sharing. First, the data from diverse drug discovery assays are heterogeneous, complex, and may require metadata from procedures to understand. Second, the data sharing, due to this heterogeneity requires sophisticated tools (i.e. sharing structure activity relationships from a series of primary and secondary high-throughout put screens run on hundreds of thousands of compounds, at nine concentrations, in triplicate is not as trivial as say sharing a like on Facebook). Nonetheless, collaboration may be the key to quantum leaps in efficiency in drug discovery.

    Open data (and idea) sharing is the purpose of the scientific literature. Scientific literature became a more global phenomena with the advent of the printing press.

    We take the Internet for granted today, however the ability to instantaneously share information around the world is arguably the most fundamental paradigm shift for our species. We are no longer ants, but an ant colony. We can learn from the art of emergent, collective intelligence. Our memes traveling at the speed of the www to coordinate our collective thinking is our competitive advantage vs the ancient relentless mechanisms of mutation, selection, and horizontal gene transfer. The ace in our pocket is the ability to collectively learn and instantaneously share collective learnings. Prokaryotes have a fixed velocity of learning and information transfer (different in every case, but metaphorically speaking in general). Humans combining our intelligence with the Internet have the potential for uncapped, accelerated learning.

    The next level of accelerated learning is integrating computers and algorithms together, via web-based platforms. Not only our own CDD Vault which balances protecting intellectual property through secure data sharing while promoting maximum collaboration...but all the connecting web-based scientific data sharing platforms (with the majority sponsored by our publicly funded, government coordinated efforts such as PubMed, GenBank, ChEMBL, KEGG, and PubChem, to mention just a handful of many impactful, web-based scientific data sharinig platforms). And there are highly impactful, community based efforts such as, well, Wikipedia (and it’s equally important cousin DBpedia). We can and will collaborate better over time.

    There is a need for accelerated data sharing and discovery for a number of viral diseases, including 2019-nCoV:

    “As there is no effective therapeutics or vaccines, the best way to deal with severe infections of CoVs is to control the source of infection, early diagnosis, reporting, isolation, supportive treatments, and timely publishing epidemic information to avoid unnecessary panic. For individuals, good personal hygiene, fitted mask, ventilation and avoiding crowded places will help preventing CoVs infection.1”

    It is worth mentioning the rapid development of 2019-nCoV Diagnostic kits, a number of which are already now available.

    As with the response to the last Ebola epidemic and after this 2019-nCoV epidemic, we will need to consider general solutions to surveillance and response. The only thing we know for sure is that next time will be slightly different. In response our tactics and tools can get better with each new epidemic via greater, web-coordinated collaboration.

    In the near future, it is not difficult to imagine a time when emerging data and protocols are represented in FAIR (Findable, Accessible, Interoperable, Reusable) standardized formats for parallel computer analyses3. Bioportal already has standardized, precisely defined terms for the new Coronavirus. Future generations will be able to collaborate better, faster, longer term, and smarter.4 We’re all in this together

    https://www.collaborativedrug.com/coronavirus-2019-ncov-facts/
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Richard Whitt

    ลองศึกษาดูครับว่า 'ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา' หรือ Centers for Disease Control and Prevention (CDC) มองอุบัติการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัส หรือ Novel Coronavirus (2019-nCoV) ยังไง
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การติดตาม coronavirus:
    โดย ข่าว BNO
    ตารางด้านล่างแสดงกรณีผู้ป่วยที่มีการยืนยัน coronavirus (2019-nCoV) ปัจจุบันมีผู้ป่วยยืนยันแล้ว 9,171 รายทั่วโลกรวมถึงผู้เสียชีวิต 213 ราย
    PSX_20200131_061113.jpg PSX_20200131_061134.jpg
    https://bnonews.com/index.php/2020/01/the-latest-coronavirus-cases/
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    MaBrisbane

    พบผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัส รายที่ 2 ใน Queensland เป็นหญิงชาวจีนจากอู่ฮั่น อายุ 42 ปี ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มทัวร์เดียวกับชายที่ถูกคอนเฟิร์มว่าติดเชื้อโคโรนาไวรัสเคสแรกในควีนส์แลนด์ ขณะนี้ได้ถูกแยกออกจากผู้ป่วยอื่น ๆ ณ Gold Coast University Hospital

    เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกำลังทำการติดตามผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง คือแขกที่พักโรงแรมเดียวกันกับกรุ๊ปทัวร์นี้ และผู้โดยสารที่เดินทางเที่ยวบิน ✈️ Tigerair #TT566 จาก Melbourne สู่ Gold Coast เมื่อวันที่ 27 ม.ค.

    Victoria คอนเฟิร์มผู้ติดเชื้อรายที่ 3 ของรัฐเมื่อวันพฤหัสบดี ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อในออสเตรเลียทั้งหมด 9 ราย

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Forex Investor Trader Survivor

    ด่วน ‼️ คืนนี้ที่ตลาดหุ้นกำลังลบหนักนั้นไม่ใช่แค่เพียงเพราะไวรัสโคโรนากำลังระบาด แต่เป็นเพราะ Inverted Yield Curve ที่นักลงทุนทุกคนกลัวได้กลับมาอีกครั้งแล้ว ❗️

    ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐระยะ 3 เดือน กับ 10 ปี ได้ตัดกันเป็นลบอีกครั้งแล้ว หลังจากที่ได้กลับตัดกันเป็นบวกในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ที่ทำให้ทางเพจมั่นใจว่าเรากำลังจะเข้าสู่โหมดนักลงทุนมั่นใจหรือ Risk On อีกครั้ง ... แต่วันนี้เราอาจต้องกลับมากังวลกันใหม่แล้ว ❓

    ทุกๆครั้งก่อนที่เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยหรือเกิด Recession นั้น Inverted Yield Curve คู่นี้นั้นจะมาก่อนเสมอ นักลงทุนจึงถือว่านี่เป็นสัญญานเตือนภัยต่อวิกฤติเศรษฐกิจ

    วันนี้นอกจากไวรัสโคโรนาจะยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเจริญเติบโตของเศรษฐจีนอย่างมากแล้ว ทางนักลงทุนยังมองว่าดอกเบี้ยขาลงของ FED อาจจะจบลงแล้วเป็นการชั่วคราว เมื่อการประชุม FOMC เมื่อวันพุธที่ผ่านมา FED ดูเหมือนจะไม่ลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกแล้วในปีนี้ ทำให้ตลาดกังวลแล้ววิ่งเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวกันอย่างมาก

    ----------------------------------------

    Inverted Yield Curve คืออะไร ? สำคัญอย่างไร ?

    ทางเพจเคยเขียนอธิบายแล้วว่าทำไม Inverted Yield Curve นี้ถึงเป็นสัญญาณ Recession ที่สำคัญมาก และเคยได้รับการแชร์มากมาย วันนี้จึงขอมาแชร์คำอธิบายคร่าวๆอีกครั้งครับ

    ----------------------------------------

    ผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) คืออะไร ? ทำไมผลตอบแทนถึงเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ ?

    หากเราฝากเงินเข้าธนาคาร ถ้าเงินเราต้องไปอยู่กับเค้านานๆ ส่วนมากเราก็จะได้ผลตอบแทนที่สูงใช่ไหมครับ ? เพราะธนาคารสามารถนำเงินของเราไปหมุนหรือลงทุนได้ในระยะยาวๆ เรามีความเสี่ยงสูงก็ควรได้ดอกเบี้ยสูง แต่ในทางกลับกันหากเราฝากเงินแค่ระยะสั้นๆ ธนาคารจึงก็ให้ดอกเบี้ยไม่มากนัก เพราะเราจะมีความเสี่ยงน้อย อีกเดี๋ยวก็ถอนได้แล้ว และนี่คือผลตอบแทนของการลงทุนหรือการฝากเงินในภาวะปกติ

    พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐก็เหมือนกับการฝากเงินเข้าธนาคารของบริษัทใหญ่ๆทั่วโลกแหละครับ แต่ไปฝากกับรัฐบาลสหรัฐไว้แทน ตามปกติอัตราผลตอบแทนในระยะสั้นก็จะต่ำกว่าเหมือนกัน

    แต่สิ่งนึงที่ต่างจากธนาคารคือผลตอบแทนของ Bond Yield นั้น จะขึ้นลงตามความต้องการของนักลงทุน หากมีคนฝากในระยะไหนๆเยอะๆผลตอบแทนของระยะนั้นก็จะลดลงตามไป หากมีคนถอนการฝากออก (การขาย) ก็จะทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ก็เปรียบเสมือนกับธุรกิจปกติแหละครับ หากสินค้าไหนมีความต้องการเยอะ เราก็จะเพิ่มราคาขึ้นใช่ไหมครับ ? ในขณะเดียวกันสินค้าที่ขายไม่ออก เราก็จะลดราคามันลง

    พันธบัตรรัฐบาลก็ใช้วิธีเดียวกันนี้ในการคิดผลตอบแทนดอกเบี้ย หากมีแต่คนอยากซื้อพันธบัตรระยะยาว รัฐบาลสหรัฐก็ลดดอกเบี้ยที่ต้องนำเงินไปคืนสิครับ เรื่องอะไรจะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงๆ ไปเรื่อยๆในเมื่อมีคนมารอคิวซื้ออยู่มากมาย ขายด้วยผลตอบแทนต่ำๆก็ยังขายออก

    -------------------------------

    แต่ตอนนี้คนแห่เข้ามาซื้อพันธบัตระยะยาวสูงมากกกกก และไม่มีคนซื้อระยะสั้นเลย จนผลตอบแทนระยะสั้นนั้นสูงกว่า ! มันน่ากลัวอย่างไร ??

    การที่นักลงทุนแห่เข้ามาซื้อพันธบัตรระยะยาวอย่างสูงแปลว่า เค้าคิดว่าดอกเบี้ยจะเป็นขาลงแล้ว เค้าจึงยอมที่จะล็อคผลตอบแทนในระยะยาวแม้ว่ามันจะต่ำกว่าระยะสั้น เพราะหากซื้อในระยะสั้นเช่น 1 ปี แล้วผ่านไปปีนึงพอได้เงินกลับมาลงทุนใหม่ ดอกเบี้ยในช่วงนั้นอาจจะลงไปต่ำมากๆแล้ว จนไม่สามารถฝากใหม่ได้ที่ผลตอบแทนเดิม

    สิ่งที่น่ากลัวคือ ผู้ที่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐต่างๆนั้นคือบริษัทใหญ่ๆของโลก กองทุนชั้นนำ กลุ่มผู้ที่มีความรู้ทางด้านการเงินโลกเป็นอย่างดี เงินขั้นต่ำสุดในการซื้อพันธบัตรสหรัฐนั้นคือ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกินกว่า 30 ล้านบาท ! ไม่น่าจะใช่ผู้คนรายย่อยอย่างเราอยู่แล้วที่เข้าไปซื้อ กลุ่มคนพวกนี้น่าจะมีข่าวสาร วงในดีกว่าเราแน่ และพวกเค้ากลับพร้อมที่จะฝากเงินเค้าออกไป ไม่ยุ่ง ไม่แตะไปอีก 10 ปี ไม่นำเงินนี้มาลงทุนเลยในระยะสั้น มันก็สื่อได้ถึงภาวะเศรษฐกิจในระยะสั้นไหมละครับ ว่ามันไม่น่ามีอะไรน่าลงทุนแล้ว ฝากเงินเข้าไปธนาคารยาวๆ เพื่อไม่ให้เสียเงินดีกว่า

    -------------------------------

    Inverted Yield ทำให้เศรษฐกิจจะแย่ ? หรือว่าเศรษฐกิจที่แย่ทำให้เกิด Inverted Yield ??

    อันนี้ก็เหมือนกับปัญหา ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกันครับ โลกเศรษฐกิจและการเงินนั้นมันสัมพันธ์กันอยู่ตลอด เหตุการณ์ทั้งคู่นั้นส่งผลซึ่งกันและกัน ทำให้ตอนนี้เมื่อเกิด Inverted Yield ขึ้นแล้วเราจึงกลัวว่าจะเกิด Recession ขึ้น

    เมื่อกี้เราอธิบายไปแล้วว่าทำไมเศรษฐกิจที่แย่ทำให้เกิด Inverted Yield เพราะว่านักลงทุนไม่ต้องการเงินลงทุน มาลงทุนในระยะสั้นแล้ว หรือที่เราเรียกว่า Risk Off Environment คือตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี ลงทุนอะไรก็เสี่ยงหมด สู้เอาเงินออกจากทรัพย์สินเสี่ยงๆ เหล่านี้มาฝากประจำดีกว่า

    ในทางกลับกันพอ Bond Curve เป็น Inverted Yield แล้ว มันก็จะยิ่งส่งผลลบต่อเศรษฐกิจเข้าไปอีก เพราะตอนนี้ดอกเบี้ยระยะสั้นเริ่มแพงกว่าระยะยาวแล้ว ในมุมของการลงทุนก็แปลว่าต้นทุนของกิจการจะแพงขึ้น ค่าแรง ค่ากู้ยึมเงินจะดูสูงขึ้นทันที จนทำให้หลายๆกิจการอาจจะได้ผลตอบแทนไม่คุ้ม เมื่อเทียบกับการฝากเงินในระยะยาว

    -------------------------------

    แล้วผู้ประกอบธุรกิจสามารถทำอะไรได้ไหม ? ที่ผ่านมา Inverted Yield ก่อให้เกิด Recession ไหม ?

    สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้คล้ายๆกับ บทความเรื่อง GDP ที่ผมได้เขียนไปนะครับ ว่าในโลกที่สังคมทุนนิยม (Capitalism) ที่เราอยู่ทุกวันนี้ พวกกองทุนใหญ่ๆนั้นเข้าถึงข้อมูลตลาดได้ดีและเร็วกว่าเรา ก็จะเข้าไปเหมาซื้อกลุ่มธุรกิจที่ GDP จะโตนั้นไว้แล้ว ทำให้ธุรกิจเล็กๆนั้นยากที่จะจับปลาใหญ่ในช่วงธุรกิจขาขึ้น เพราะกองทุนได้ทำกิจการตัดหน้าไปแล้ว

    ในช่วงธุรกิจขาลงก็่เช่นเดียวกัน หากกองทุนพวกนี้เห็นว่า Recession จะมา พวกเค้าก็ได้เข้าซื้อพันธบัตรล่วงหน้าระยะยาวไว้ก่อนแล้ว เป็นการบริหารความเสียงขององค์กรต่างๆของเค้าไว้ แล้วการเข้าซื้อนี้ก็มาบีบธุรกิจเล็กๆ ที่ยังไม่ทราบข้อมูลและอาจเตรียมตัวสำหรับ Recession ไม่ทัน มารู้ตัวอีกทีดอกเบี้ยระยะสั้นก็สูงกว่าระยะยาวแล้ว

    ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจต่างๆ ควรศึกษาตลาดการเงินอย่างลึกซึ้งและพยายามหาเครื่องมือทางการเงินมาบริหารความเสียงขององค์กรณ์ด้วยเช่นกันครับ ที่ผ่านมาเท่าที่จำความได้ Inverted Yield Curve ได้ทำให้เกิด Recession มา 3 รอบแล้ว คือช่วงวิกฤตปี 1990, 2000 และในช่วง Subprime Crisis ในปี 2007 เช่นกันครับ

    -------------------------------

    สรุป : Inverted Yield Curve นี้คือการที่บริษัทใหญ่ๆ หรือ กองทุนสหรัฐผู้มีความรู้ทางการเงินสูง พวกเค้าต่างได้เข้ามารัดเข็มขัด บริหารความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ไว้แล้ว ตอนนี้ดอกเบี้ยระยะสั้นที่สูงกว่าระยะยาว หากธนาคารกลางไม่เข้ามาช่วงลดดอกเบี้ยนโยบายลง ต้นทุนที่สูงจะทำให้ธุรกิจต่างๆเริ่มขาดทุน เงินหนี้เสียที่สูงขึ้น และอาจเกิด Recession ขึ้นได้จริงๆ ครับ

    Inverted Yield Curve จึงเป็นสัญญาณเตือนภัย ทางเศรษฐกิจที่สำคัญมากที่สุดตัวนึงเลยทีเดียวครับ

    #InvertedYieldCurve #Recession
    www.bloomberg.com
    Cr : OilTrading

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    Magnetospause วันที่ 30 มกราคม จากเวลา 6:30 UTC ถึง 23:00
    Magnetospause Jan 30 from 6:30 UTC to 23:00

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Gill Broussard

    การเปรียบเทียบข้อมูล โรคซาร์ส & 2019-nCoV
    Comparing the data; SARS & 2019-nCoV
    FB_IMG_1580428819398.jpg
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Gill Broussard

    ข้อมูลมาก สังเกตุสิ่งที่นักข่าวรายงานไว้ที่เครื่องหมาย 4 นาที ว่ามีเพียง "โรงพยาบาล AAA" เท่านั้น ที่มีเพียงคนเดียวที่สามารถระบุไข้หวัดใหญ่นี้ได้ และตัวเลขที่แสดงนั้นประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริงของโรคไข้หวัดใหญ่และการเสียชีวิตอย่างมาก - - - หากเราดำเนินการตามที่นักข่าวกล่าวไว้ในหน้าประเทศจีนรายงานเพียง 33-50% ของจำนวนผู้เสียชีวิต และกรณีไข้หวัดใหญ่ทั้งหมด มันมีความรุนแรงเท่ากัน (อัตราส่วนความตาย) เพียงแค่ไม่รายงานผู้ป่วยในครึ่งหนึ่งของประชากรของพวกเขาในสองชั้นล่างของโรงพยาบาล ดูเหมือนว่าอัตราการติดเชื้อจะสูงขึ้น เวลาจะบอกหมายเลขใหม่จากประเทศอื่น หากพวกเขาต้องการให้เรารู้ความจริง



    Very informative. Notice what the reporter states at the 4-min mark that only the "AAA-Hospitals" are the only ones capable of identifying this flu. And that the numbers shown are greatly underestimating the actual cases of flu and deaths. - - - If we take what the reporter said at face value, China is only reporting 33-50% of the total deaths and flu cases. It the same strength (death ratio), just not-reporting the cases in half of their population in the two lower tiers of hospitals. It appears the infection rate is higher. Time will tell with new numbers from other countries. If they want us to know the truth.

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าเพิ่มขึ้นไม่หยุด ล่าสุดอยู่ที่ 9,480 รายแล้ว ขณะที่พบผู้เสียชีวิตในมณฑลหูเป่ยเพิ่มอีกจนยอดผู้เสียชีวิตเกิน 200 ราย
    สำนักข่าว เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานว่า จำนวนผู้ป่วยด้วยไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ุใหม่ 2019 ที่พบตั้งแต่เดือน ธันวาคมปีก่อนจนถึงเวลา 6:00น. วันที่ 31 ม.ค. 2563 อยู่ที่ 9,480 รายทั่วโลกแล้ว ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดเพิ่มเป็น 213 ราย ทั้งหมดอยู่ในประเทศจีน
    ตัวเลขผู้ป่วยดังกล่าวแซงหน้าสถิติผู้ป่วยโรคซาร์ส ไวรัสตระกูลเดียวกันที่ระบาดไปทั่วโลกระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2545 ถึงกรกฎาคม 2546 โดยโรคซาร์ส ทำให้มีผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันทั้งสิ้น 8,098 ราย อย่างไรก็ตาม อัตราการเสียชีวิตของโรคซาร์สยังสูงกว่า โดยมีผู้เสียชีวิตถึง 774 รายทั่วโลก
    ทั้งนี้ ไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ุใหม่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วจน ล่าสุดองค์การอนามัยโลก (WHO) ตัดสินใจประกาศให้การระบาดของไวรัสตัวนี้เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศแล้ว เนื่องจากมันเล็ดลอดออกจากจีนไปประเทศอื่นๆ อีก 18 ประเทศแล้ว
    อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยส่วนไวรัสโคโรน่าถูกพบในจีนแผ่นดินใหญ่ถึง 9,356 ราย ขณะที่พบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 42 รายในมณฑลหูเป่ยที่ตั้งของเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดของเชื้อตัวนี้ ทำให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตล่าสุดอยู่ที่ 213 ราย ทั้งหมดอยู่ในจีน และ 204 รายอยู่ในหูเป่ย
    https://www.thairath.co.th/news/foreign/1760608
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คลายปมคาใจ "ค้างคาว" แหล่งรังโรค ไฉนไม่เคยป่วยตาย เชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ติดต่อสู่คน "ผู้ร้ายตัวจริง" ไม่ใช่ค้างคาว" แต่เป็นเพราะฝีมือ "มนุษย์"
    .
    เมอร์ส ซาร์ส นิปาห์ เฮนดร่า อีโบล่า ล่าสุด ‘โคโรน่าไวรัส สายพันธุ์ใหม่ 2019’ ทั้ง 6 โรคอุบัติใหม่นี้ เกิดจากต้นตอเดียวกัน นั่นคือ ‘ค้างคาว’
    .
    ‘ค้างคาว’ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม บางคนตั้งฉายาให้ว่า "นกมีหู หนูมีปีก" ไฉนจึงเป็นแหล่งบ่มเพาะเชื้อโรคสารพัดชนิดที่อันตรายต่อมนุษย์ อีกทั้งค้างคาวถือเป็นแหล่งรังโรคหลายชนิด แต่เหตุใด "ทนทานไวรัส" ได้โดยไม่เจ็บป่วยจากเชื้อโรคที่แฝงเร้นในตัว ค้างคาว สัตว์ดึกดำบรรพ์ชนิดนี้มีความพิเศษหรือไม่ เหล่านี้คือคำถามที่หลายคนสงสัย
    .
    ค้างคาว สัตว์พิเศษ แหล่งรวมโรค แต่ไม่เคย "ป่วย"
    .
    ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ มีคำตอบจาก รศ.ดร.ประทีป ด้วงแค อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยาป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมวิจัยที่ทำงานร่วมกับคณะแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในการวิจัยเพื่อเฝ้าระวังเชื้อไวรัสที่จะก่อให้เกิดโรคอุบัติใหม่จากสัตว์สู่คน โดยเริ่มอธิบายว่า ‘ค้างคาว’ เป็นสัตว์กลุ่มพิเศษชนิดหนึ่ง เป็นแหล่งเชื้อโรคต่างๆ แต่เหตุที่ไม่ป่วย ไม่อ่อนแอ นั่นเป็นเพราะมีภูมิต้านทานต่อโรคตลอดเวลา ซึ่งเป็นวิวัฒนาการที่เกิดคู่กัน
    .
    เชื้อโรคต่างๆ ในค้างคาว หากอยู่ในตัวค้างคาวเองจะไม่ก่อโรคหรือแสดงอาการเจ็บป่วย แต่หากเชื้อโรคติดต่อสู่สัตว์อื่นๆ หรือมนุษย์ ก็จะเกิดโรคและแสดงอาการเจ็บป่วยออกมา และสามารถติดต่อสู่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้ ซึ่งอาการป่วยรุนแรงต่างกันขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของแต่ละคน
    .
    เหตุที่เจอโรคอุบัติใหม่บ่อยๆ จากสัตว์ป่า ทำให้เชื้อโรคในค้างคาวติดต่อสู่คนได้ ในความเป็นจริง รศ.ดร.ประทีป ระบุว่า "ผู้ร้ายไม่ใช่ค้างคาว" แต่เป็นเพราะฝีมือ "มนุษย์" ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ไปบุกรุก ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รบกวนสัตว์ป่า ทำให้ใกล้ชิดมนุษย์มากขึ้น เพราะต้องมาอยู่ในพื้นที่เดียวกับมนุษย์ แต่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุดที่มนุษย์ติดเชื้อจากค้างคาว คือ การบริโภคสัตว์ป่า
    .
    "ค้างคาวหรือไวรัสไม่ได้ตั้งใจแพร่เชื้อโรค เชื้ออยู่กับค้างคาวไม่เป็นไร แต่เมื่อเกิดเหตุให้เปลี่ยนที่อยู่ จากที่เคยอยู่ในค้างคาวไปอยู่ในสัตว์ชนิดอื่นหรือคนก็จะก่อให้เกิดโรคขึ้น การเจอโรคอุบัติใหม่บ่อยๆ ส่วนหนึ่งเพราะคนเพิ่มขึ้น ไปเปลี่ยนแปลงถิ่นที่อยู่อาศัยของค้างคาว ระเบิดถ้ำมาทำปูนซีเมนต์ เปลี่ยนป่าเป็นพื้นที่เกษตร จากค้างคาวเคยอยู่ป่าหรือถ้ำก็มาอยู่บ้านคน ทำให้คนไปสัมผัสใกล้ชิดกับค้างคาวมากขึ้น" รศ.ดร.ประทีป อธิบาย
    .
    กรณีที่หลายคนกังวล "ค้างคาวไทย" ที่อยู่ในถ้ำท่องเที่ยวต่างๆ มีเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือไม่นั้น รศ.ดร.ประทีป ให้ความกระจ่างว่า จากที่เคยมีการเก็บกลุ่มตัวอย่างค้างคาวมงกุฎเทาแดง ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันกับที่จีน ยืนยันว่า ค้างคาวไทยยังไม่พบเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 เหมือนอย่างที่พบในประเทศจีน
    .
    การไปเที่ยวถ้ำ โอกาสติดเชื้อจากค้างคาวมาสู่คนนั้นมีน้อยมาก เนื่องจากไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนนิยมจับค้างคาว อีกทั้งตามธรรมชาติแล้ว ค้างคาวและคนจะต่างคนต่างอยู่ ยกเว้นกรณีที่ตั้งใจเข้าไปก่อกวน หรือจับเพื่อนำมากินจนถูกค้างคาวกัด ทำให้เชื้อไวรัสจากค้างคาวแพร่สู่คนได้ หรือแพร่เชื้อผ่านตัวกลางจากสัตว์ป่าอื่นๆ ที่ซื้อไปกิน ที่อาจถูกแพร่เชื้อจากขั้นตอนการประกอบอาหาร เช่น ฆ่า ผ่า ชำแหละ เพราะตามรายงานของแพทย์ โอกาสในการแพร่เชื้อเกิดจากการสัมผัสสารคัดหลั่งต่างๆ อาทิ น้ำลาย เลือด ปัสสาวะ อุจจาระ
    .
    พาหะเชื้อไวรัสโคโรน่าสู่คนล่องหน แพร่จากคนสู่คน เหตุเพราะกลายพันธุ์
    ทั้งนี้ สิ่งที่ รศ.ดร.ประทีป เป็นห่วง ณ ปัจจุบัน คือ เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ 2019 เมื่อเข้าสู่ในคนแล้วเกิดการกลายพันธุ์ตามวงจรชีวิตของไวรัสที่เกิดขึ้นรวดเร็ว มีการแบ่งเซลล์และปรับสภาพ กลายพันธุ์จนทำให้สามารถแพร่จากคนสู่คนถืออันตรายที่สุด
    .
    สัตว์ป่ามีเป็นร้อยเป็นพันชนิดไม่ได้มีการดูแลหรือฉีดวัคซีน จึงไม่สามารถทราบได้ว่าสัตว์ตัวนั้นถูกค้างคาวกัดหรือไม่ การนิยมกินสัตว์ป่า ซึ่งไม่ใช่สัตว์เลี้ยงจากฟาร์มที่มีมาตรฐาน มีการตรวจโรค ฉีดวัคซีน จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อโรค ซึ่งเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ 2019 เป็นเชื้ออุบัติใหม่ ปัจจุบันยังตอบไม่ได้ว่าเชื้อจากค้างคาวแพร่สู่คนได้อย่างไร แต่จากข้อสันนิษฐานที่พบผู้ป่วยเคสแรกในจีนที่เดินผ่านตลาดในอู่ฮั่น ซึ่งมีซากสัตว์ป่าทั้งเป็นและตายจำนวนมาก คาดการณ์ว่าเชื้อแพร่ผ่านจากสัตว์สู่คน แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าสัตว์ชนิดใดเป็นพาหะนำสู่คน
    .
    "ในตลาดไม่มีค้างคาวแน่นอน แต่มีซากสัตว์ป่าอยู่เยอะ การระวังโรคให้อยู่ในความไม่ประมาท กินร้อน ช้อนกลาง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ พยายามหลีกเลี่ยงที่จะไปสัมผัสค้างคาวโดยตรง สำหรับคนกินสัตว์ป่าเป็นกลุ่มเสี่ยงมากที่สุด ไม่ว่าสุก ดิบ หรือจับสดๆ ก็มีโอกาส แต่ละตัวไม่รู้ได้ว่ามีเชื้อหรือไม่มีเชื้อ" รศ.ดร.ประทีป
    https://www.thairath.co.th/scoop/1760271
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไวรัสโคโรนาลามสู่'อิตาลี'พบผู้ติดเชื้อ2รายแรก สั่งระงับทุกเที่ยวบินระหว่างจีนทันที
    เผยแพร่: 31 ม.ค. 2563 05:39 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    563000001050701.jpg

    ภาพจากยูทูบ
    เอเอฟพี/รอยเตอร์ - รัฐบาลอิตาลีในวันพฤหัสบดี(30ม.ค.) สั่งระงับทุกเที่ยวบินระหว่างแดนมะกะโรนีแห่งนี้กับจีน หลังพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2 รายแรกของประเทศ อย่างไรก็ตามอีกด้านหนึ่งได้ปล่อยนักท่องเที่ยวบนเรือสำราญเป็นอิสระแล้ว หลังผลตรวจผู้ป่วยที่มีอาการต้องสงสัยออกมาเป็นลบ

    จูเซพเพ คอนเต นายกรัฐมนตรีอิตาลีกล่าวระหว่างแถลงข่าวว่าอิตาลีได้ปิดการสัญจรทางอากาศทั้งขาเข้าและออกสู่จีน หลังคณะแพทย์ยืนยันนักท่องเที่ยวจีน 2 คนติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ "ผมคิดว่าเราเป็นประเทศแรกในยุโรปเลยที่ใช้มาตรการป้องกันไว้ก่อนลักษณะนี้"

    รายงานข่าวระบุว่านักท่องที่ยวจีนที่ติดเชื้อทั้ง 2 ราย เชื่อว่าน่าจะเป็นสามีภรรยากันและตอนนี้ถูกกักกันโรคอยู่ในโรงพยาบาลโรคติดเชื้อของอิตาลี

    ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน เพิ่งเกิดกรณี ผู้โดยสารกว่า 6,000 คนถูกห้ามไม่ให้ลงจากเรือสำราญในเมืองท่าซิวิตาเวคเคีย ของอิตาลี หลังจากพบว่ามีผู้แสดงอาการต้องสงสัยคล้ายติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2 ราย

    อย่างไรก็ตามอีก 12 ชั่วโมงต่อมา เหล่านักท่องเที่ยวที่ติดค้างอยู่บนเรือสำคัญก็ได้รับอนุญาตให้ขึ้นฝั่ง หลังเจ้าหน้าที่บอกว่าผู้โดยสารชาวจีนทั้ง 2 คน มีผลตรวจไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ออกมาเป็นลบ

    หญิงที่มีไข้นั้นเป็นชาวมาเก๊า อายุ 54 ปี และเบื้องต้นได้ถูกนำตัวไปกักกันโรคในแผนกรักษาพยาบาลบนเรือสำราญตลอดคืน ส่วนสามีของเธอไม่ได้แสดงอาการว่ามีไข้

    ตัวอย่างของทั้งสองคนถูกส่งไปตรวจสอบยังสถาบันโรคติดเชื้อของอิตาลี และต่อมาได้รับการยืนยันว่าผลตรวจออกมาเป็นลบ

    คู่รักสองคนนี้ได้ขึ้นเครื่องบินจากฮ่องกงมาที่มิลานตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ (25 ม.ค.) ก่อนที่จะมาขึ้นเรือสำราญลำนี้ ตามรายงานของสื่ออิตาลี

    เรือลำนี้เดินทางมาจาก ปัลมา เดอ มายอร์กา แล้วมาจอดที่ซิวิตาเวคเคีย เมืองท่าที่อยู่ใกล้กรุงโรม โดยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางล่องเรือสำราญ 1 สัปดาห์ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

    นักท่องเที่ยวราว 1,400 คนหรือมากกว่านั้นมีกำหนดลงเรือถาวรที่ซิวิตาเวียในช่วงค่ำวันพฤหัสบดี(30ม.ค.) อย่างไรก็ตามผู้โดยสารรายใหม่อีกราวๆ 1,000 คนมีกำหนดขึ้นมาบนเรือที่ท่าใกล้กรุงโรมแห่งนี้ และเรือจะแล่นสู่ท้องทะเลอีกครั้งในวันศุกร์(31ม.ค.)

    ความเคลื่อนไหวระงับทุกเที่ยวบินระหว่างอิตาลีกับจีนมีขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับที่องค์การอนามัยโลก(WHO) ประกาศให้การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในจีน ตอนนี้เข้าองค์ประกอบของสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศแล้ว ในขณะที่สหรัฐฯกับเกาหลีใต้พบการติดเชื้อจากคนสู่คนเป็นเคสแรก และเยอรมนีพบผู้ติดเชื้อเป็นรายที่ 5 ตามรอยฝรั่งเศส

    เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเยอรมนีระบุว่าผู้ติดเชื้อรายที่ 5 ของประเทศ เป็นพนักงาที่ทำงานในบริษัทเดียวกับผู้ติดเชื้อ 4 รายแรก ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐบาวาเรีย ทางภาคใต้ของประเทศ

    https://mgronline.com/around/detail/9630000010172
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    เจ้าหน้าที่ของ CDC กล่าวว่าผู้ป่วยเป็นสามีของผู้หญิงในชิคาโกที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วย หลังจากกลับมาจากหวู่ฮั่น ประเทศจีน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของไวรัส

    CDC officials said the patient is the husband of a Chicago woman who was diagnosed with the illness after returning from Wuhan, China, the epicenter of the virus.

    https://nbcnews.to/2S2d60D

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    สหราชอาณาจักรช่วงบ่ายวันนี้ เจ้าหน้าที่ในชุดป้องกันถูกพบที่ Wills Hall ของมหาวิทยาลัย Bristol เมื่อนักศึกษาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Teo Miguel Bouça

    สามีของผู้หญิงในชิคาโกเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วย Corona Virus ตอนนี้ได้รับการยืนยันว่ามีไวรัส
    สามีไม่ได้ถูกกักตัวหรืออะไรก็ตามเขาแค่ถูก "คอยดูแล" พี่เขยของฉันทำงานกับคนที่กำลังก่อสร้างคอนกรีต เขาและเพื่อนร่วมงานของเขาเพิ่งพบเมื่อคืนที่ภรรยาของชายคนนี้เป็นคนที่ติด และตอนนี้ผลตรวจก็เป็นบวก สำหรับเชื้อไวรัสเช่นกัน เขาไม่ได้บอกใครในที่ทำงาน ว่าเป็นภรรยาของเขาที่ติดเชื้อไวรัสจากหวู่ฮั่น ผู้ชายคนนี้มีการติดต่อและมีปฏิสัมพันธ์กับ 50-60 คนต่อวันในเมืองชิคาโกที่ไซต์งาน เขาบอกว่าจะไม่เดินทางอย่างไรก็ตามเขาไม่ฟังและเดินทางไปคลีฟแลนด์ผ่าน Ohare สามีเป็นผู้สูบบุหรี่มากและมีอาการไอตลอดวัน
    The husband of the woman in Chicago who is in the hospital with Corona Virus, has now been confirmed as having the virus.
    The husband had not been quarantined or anything, he was just being “monitored”. My brother in law works with the guy doing concrete construction. Him and his co-workers just found out last night that this guy’s wife was the one who had contracted it, and that he was now positive for it as well. He had not told anyone at work that it was his wife with the virus from Wuhan. This guy had contact and interacted with 50-60 people a day in downtown Chicago at the jobsite. He had been told not to travel, however he did not listen, and traveled to Cleveland thru Ohare. The Husband is a heavy smoker and coughs all day long.
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หนาวกว่าเมื่อวาน! เช้านี้ที่ต้าซี เถาหยวน 2.9°c ซู่หลิน นิวไทเป 3.8°c ภาคกลาง 4°c ภาคใต้และไทเปเฉลี่ย 5°c เตือน! หนาวต่อเนื่องจนถึงวันเสาร์นี้...❄️☃️#RtiFanpage❄️☃️
    https://th.rti.org.tw/news/view/id/2002147
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    ชิลี ภูเขาไฟ Nevados de Chillan ลงทะเบียน ปะทุครั้งใหม่ # 30 ม.ค.
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,307
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    พลเมืองจีนแสดงอาการของการติดเชื้อ coronavirus ที่โรงแรม Four Seasons ในกรุงมอสโกประเทศรัสเซีย นักท่องเที่ยวชาวจีน 14 คนได้รับการพาไปรักษาหลังจากมีไข้สูง
     

แชร์หน้านี้

Loading...