ติดตามสถานะการณ์

Michael DiFato

เส้นสนามแม่เหล็ก ACE กำลังดุเดือด ค่าองค์ประกอบตามฟิลด์ ~ -10 nT และกำลังลดลง ..



The ACE Magnetic Field Lines going wild. The By field component value ~ -10 nT and falling..

 

John Traczyk

การอัปเดตครั้งล่าสุดสำหรับไฟป่าแคลิฟอร์เนีย เวลา 18:08 น. EST

นักผจญเพลิงกำลังต่อสู้กับไฟไหม้หลายสิบครั้ง

Kincade Fire: เผาแล้ว 75,415 เอเคอร์ 15% ยังมีอยู่

Getty Fire เผาแล้ว 656 เอเคอร์ 15% ยังมีอยู่

คาดว่าจะมีเหตุการณ์ลมครั้งสำคัญเวลา 23.00 น. เวลาท้องถิ่นในคืนวันอังคารซึ่งอาจจุดประกายไฟใหม่หรือขัดขวางการหยุดยั้งไฟป่าที่มีอยู่

PG&E เตือนสามารถทำการตัดไฟครั้งที่สามโดยทำให้ประชาชนเกือบ 4 ล้าน ไม่มีไฟฟ้าใช้


Last update to the California fires, 6:08 pm EST.

Firefightes are currently battling dozens of fires.

Kincade Fire: 75,415 acres burned; 15% contained.

Getty Fire: 656 acres burned; 15% contained.

A major wind event is expected at 11 p.m. local time Tuesday night, which could spark new fires or hamper existing suppression efforts.

PG&E warned it could conduct its third power cut, leaving nearly 4 million in the dark.

 

#เตือนต่อ #ไม่รอแล้วน่ะ!!!(30ตค.62) ปี 2557 พายุ"แมตโม"กระทบประเทศจีน ปีนี้กำลังจะให้น้ำประเทศไทย แม้ไม่สมปราถนาแก่การรอคอย แต่ภาคอีสานตอนล่าง ภาคตะวันออกจะมีฝนสะสม 24ชม.มากกว่า 90 มม. อยู่ในเกณฑ์ฝนหนักมาก กรมอุตุฯจัดอยู่ในโซนพื้นที่สีแดง!!! พายุจะขึ้นฝั่งเวียดนามวันนี้ สลายตัวที่กัมพูชา เคลื่อนตัวผ่านระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับสุรินทร์ ภาคตะวันออก ผ่านประเทศไทยทางภาคใต้ตอนบน!!! สรุปว่า!!! 31ตค.-1พย. ภาคอีสานตอนล่าง ภาคตะวันออก เป็นพื้นที่สีแดงฝนตกหนักมาก กลางตอนล่าง กทม.ปริมณฑลและภาคใต้ตอนบนพื้นที่สีเหลืองฝนตกหนัก!!! ข้อมูลล่วงหน้าเป็นเช่นนี้ การจัดการเชิงพื้นที่(ผู้ว่าราชการจังหวัด)จะทำฉันใดดีโปรดติดตาม!!! ส่วนภาคเหนือ ภาคอีสานตอนบนแม้ไม่ได้ฝนดังที่หวัง แต่รับรางวัลปลอบใจเป็นอุณหภูมิลดลง1-2 องศาฯ!!!อยู่ที่ไหน ฝน ฟ้า อากาศเป็นอย่างไร บอกต่อข้อมูลกันได้น่ะครับ ขอบคุณที่ติดตาม..สวัสดี ขอรับ กระผ้ม!!!

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Oct 28) ศึกการค้ามะกัน-อียู สาหัสกว่าแนวรบด้านจีน : ข้อมูลจาก สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (ยูเอสทีอาร์) ชี้ว่า ในปีที่ผ่านมา (2561) สหรัฐฯนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป (อียู) คิดเป็นมูลค่า 683,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่นำเข้าสินค้าจากจีนคิดเป็นมูลค่า 557,900 ล้านดอลลาร์ ส่วนการส่งออกนั้น (รวมทั้งการส่งออกสินค้าและบริการ) สหรัฐฯส่งออกไปยังตลาดอียู คิดเป็นมูลค่า 574,500 ล้านดอลลาร์ แต่ส่งออกไปยังตลาดจีนเพียง 179,200 ล้านดอลลาร์ จะเห็นได้ว่า อียูเป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯทั้งในการแง่การนำเข้าและส่งออก และหากสหรัฐอเมริกาตัดสินใจเปิดศึกการค้ากับอียูอีกด้านหนึ่ง นักวิเคราะห์เชื่อว่า ผลกระทบจะรุนแรงยิ่งกว่าสงครามการค้าที่สหรัฐฯมีกับจีนหลายเท่า


ไม่เพียงเท่านั้น ศึกการค้ากับอียูยังน่าจะทำให้สหรัฐฯเป็นฝ่ายสูญเสียได้มากกว่า ทั้งนี้ เนื่องจากมูลค่าการค้าที่มีระหว่างกันชี้ให้เห็นว่า สหรัฐฯและอียูเป็นคู่ค้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (เมื่อมองอียูเป็นกลุ่มตลาดร่วมเดียวกัน) มูลค่าการค้าทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯและอียูเมื่อรวมทั้งการค้าสินค้าและบริการเข้าด้วยกันนั้น มากกว่ามูลค่าการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนถึง 70% (ข้อมูล ณ ปี 2561)


ตลอดเวลาที่สหรัฐฯเปิดศึกเผชิญหน้าทางการค้ากับจีนและโต้ตอบกันด้วยการตั้งกำแพงภาษีนั้น ในแนวรบด้านอียู สหรัฐฯก็ไม่ว่างเว้นการขู่คุกคาม โดยในเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว สหรัฐฯเปิดฉากด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมจากอียู (รวมทั้งคู่ค้าอีกหลายประเทศ) ทำให้อียูตอกกลับด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ หลายรายการในอัตราเพิ่ม 25% คิดเป็นวงเงินรวมถึง 2,800 ล้านดอลลาร์


ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 ต.ค. ที่ผ่านมา สหรัฐฯยังประกาศขึ้นภาษีอากาศยาน สินค้ากลุ่มอาหาร-เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ของอียูอีก10-25% เพื่อเป็นการชดเชยความเสียหายจากการที่อียูให้เงินอุดหนุนกิจการของบริษัทแอร์บัส ทำให้อุตสาหกรรมภายในประเทศของสหรัฐฯได้รับความเสียหาย


นอกจากนี้ หลายฝ่ายกำลังจับตา ‘วาระจุดชนวน’ คือ การตัดสินใจของสหรัฐฯช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ เกี่ยวกับการขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้าจากอียู ว่าจะเป็นประเด็นนำไปสู่การเปิดสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบหรือไม่ เนื่องจากอุตสาหกรรมรถยนต์ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมการผลิตที่มีความสำคัญมากที่สุดสำหรับอียู


เซซิเลีย มาล์มสตรอม กรรมาธิการการค้าของอียู แม้จะยืนกรานว่า การคุกคามประเทศคู้ค้าด้วยมาตรการทางภาษีไม่ใช่ทางของอียู แต่หากสหรัฐฯเริ่มก่อน อียูก็พร้อมจะตอกกลับด้วยวิธีการเดียวกัน ดังนั้น นับตั้งแต่ที่สหรัฐฯใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลากรสินค้านำเข้าจากอียูในอัตราสูงขึ้น เช่นกรณีเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมเมื่อเดือนมิถุนายน 2561 อียูก็จะตอบโต้ด้วยบัญชีรายการสินค้าของสหรัฐฯที่อียูจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มแบบสวนหมัดไม่ให้เสียเปรียบกัน


เฟรดเดอริก เอริกสัน ผู้อำนวยการสถาบัยวิจัย ECIPE ให้มุมมองว่า การเปิดศึกการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน เริ่มส่งผลกระทบที่ขยายวงกว้าง และสร้างความสูญเสียให้กับเศรษฐกิจของสหรัฐฯมากอยู่แล้ว (แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะอ้างมาตลอดว่า จีนจะต้องเป็นฝ่าย “จ่าย” ค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้น) ถ้าหากปลายปีนี้ สหรัฐฯตัดสินใจเดินหน้าเปิดแนวรบการค้าอีกด้านกับอียูด้วยการตั้งกำแพงภาษีสูงขึ้นอีก ก็จะส่งผลฉุดรั้งให้เศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายที่ชะลอตัวอยู่แล้วให้ต้องทรุดลงไปอีก


นักวิเคราะห์ชี้ว่า ถ้าหากสหรัฐฯและอียูเริ่มเปิดฉากสาดมาตรการภาษีใส่กัน สิ่งที่ตามมาซึ่งจะเป็นผลกระทบที่รุนแรงและชัดเจนที่สุดคือ ต้นทุนสินค้าที่พุ่งสูงขึ้นที่จะกระทบต่อผู้บริโภคในที่สุด รวมทั้งต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการทั้งสองฝ่าย เนื่องจากรูปแบบธุรกิจของบริษัทข้ามชาติในปัจจุบันมีห่วงโซ่การผลิตที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันในหลายประเทศ ทำให้กำแพงภาษีที่เกิดขึ้นสร้างผลกระทบกับทุกฝ่าย


กำแพงภาษีที่สูงขึ้นจะทำให้บริษัทข้ามชาติรายใหญ่ของสหรัฐฯเอง อยู่ในกลุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บรายแรกๆ ของสงครามการค้า นอกจากนี้ ข้อได้เปรียบต่างๆที่สหรัฐฯเคยมีเคยได้และเป็นกุญแจความสำเร็จในการบุกตลาดต่างประเทศตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็จะสูญเสียไป ตลาดใหญ่ที่บริษัทอเมริกันเคยมีก็จะปรับลดหดลง และยังจะต้องสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับประเทศอื่นๆที่เป็นคู่แข่งอีกด้วย


Source: ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

https://www.thansettakij.com/content/413233

 

แม่น้ำโขง ที่หนองคาย เข้าขั้นวิกฤต
ทั้งที่เพิ่งผ่านฤดูฝนมา แต่แห้งสนิท
ชาวบ้านบอกเกิดมา 50 ปี ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน
คาดผลพวงเขื่อนต้นน้ำ ของประเทศเพื่อนบ้านทั้งจีนและลาว #ข่าวช่องวัน

 

สถานการณ์น้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปีนี้ถือว่า "เข้าขั้นวิกฤต" น้ำในเขื่อนมีน้อยกว่าทุกปี ปัจจุบันไม่มีฝนตกและไม่มีน้ำไหลลงอ่าง อีกทั้งยังต้องส่งน้ำไปช่วยชาวนา ซึ่งการจะบริหารให้เพียงจนถึงเมษายน 63 ไม่ใช่เรื่องง่าย #ข่าวช่องวัน

 

#เพชรบุรี-จนท.ไฟฟ้าเผย เสาไฟฟ้าล้ม 41 ต้นมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ต้องเข้ารื้อถอนและติดตั้งใหม่ ขาวบ้าน 2 หมู่บ้านต้องขาดไฟฟ้า และต้องปิดถนนสายดังกล่าวชั่วคราวเพื่อเร่งติดตั้งเสาไฟฟ้าใหม่

 

ภาพของ Michael DiFato

 

สำหรับใครที่หวังจะเข้ารับราชการ ไม่ว่าหน่วยไหนต้อง
เตรียมตัวใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ทหาร ตำรวจ ข้าราชการกทม. และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้นั่นเอง

 

การศึกษาของมหาวิทยาลัยโมนาชโดยนักวิจัยชาวออสเตรเลียพบว่า อุณหภูมิของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น จากผลของการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ มีผลต่อโรคจากการขาดสารอาหาร และภาวะทุพโภชนาการ คลิก►https://tna.mcot.net/view/zNY2RIs
.
• อ่านข่าวเพิ่มเติม : tnamcot.com
• เฟซบุ๊ก : fb.com/tnamcot
• ยูทูบ : youtube.com/tnamcot
• แอดไลน์ : line.me/R/ti/p/%40tnamcot
• ทวิตเตอร์ : twitter.com/tnamcot
• อินสตาแกรม : instagram.com/tnamcot
• ช่อง 9 MCOT HD กดเลข 30

 

11.00 น. 30 ต.ค.62 เกิดเหตุเพลิงลุกไหม้รถจักรยานยนต์ ที่จอดอยู่บริเวณด้านหน้าของโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี รถจักรยานยนต์เสียหายแล้วกว่า 30 คัน

cr.สวพ.FM91,อาสาฯ

 

10 ข้อปฏิบัติเมื่อเจอพี่ช้างป่า

#ช้างป่า #เจ้าดื้อ

Cr. เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่, ส่วนประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

 

10 ข้อปฏิบัติเมื่อเจอพี่ช้างป่า

#ช้างป่า #เจ้าดื้อ
เปิดดูไฟล์ 5106535
Cr. เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่, ส่วนประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

 

350 ชีวิตถูกลอยแพ! กลุ่มลูกจ้าง บริษัท บอดี้ แฟชั่น สาขาบางพลี ยื่นหนังสือถึง "รมว.กระทรวงแรงงาน" หลังไม่โอนย้าย-เปลี่ยนบริษัทใหม่ เหตุละเมิดสิทธิแรงงาน ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงนายจ้าง แรงงานชี้ อาจเป็นสาเหตุสำคัญทำไทยถูกตัดสิทธิ GSP #ลอยแพลูกจ้าง #โอนย้ายกิจการ

 

ภัยแล้ง กำลังคืบคลานเข้ามาแล้ว
ส่อวิกฤติ! หนองคาย ระดับน้ำโขงลดต่ำในรอบ 50 ปี 30 ต.ค. 2019 - 14:04 น.
ส่อวิกฤติ! หนองคาย ระดับน้ำโขงลดต่ำในรอบ 50 ปี จนทำให้เกิดหาดทรายในแม่น้ำโขงโดยเฉพาะริมตลิ่ง ส่งผลให้เกษตรกรเดือดร้อน ต้องต่อท่อยาว เพื่อดูดน้ำโขงให้มาใช้ในการเกษตรหลายร้อยเมตร เพิ่มต้นทุนปลูกพืช ค่าอุปกรณ์ ค่าน้ำมัน รายได้แค่พอใช้หนี้
วันนี้ 30 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงาน สถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่จังหวัดหนองคาย ขณะนี้มีระดับลดลงอย่างต่อเนื่อง จนมีระดับต่ำกว่าระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี ล่าสุด วัดที่ส่วนอุทกวิทยาหนองคาย กรมทรัพยากรน้ำ มีระดับอยู่เพียง 1.22 เมตร ต่ำกว่าตลิ่งถึง 11.02 เมตร
ซึ่งเมื่อเทียบกับระดับน้ำโขงในช่วงเดียวกันกับปี 2561 ที่ผ่านมา พบว่าระดับน้ำโขง ปีนี้ลดลงเร็วและมีระดับที่ต่ำกว่ามาก คือ มีระดับต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่ผ่านมาประมาณ 4.60 เมตร และเมื่อเทียบกับระดับน้ำโขงในช่วงเดียวกันกับสถิติระดับน้ำโขงต่ำสุดในรอบ 50 ปี ของศูนย์อุทกวิทยาหนองคาย กรมทรัพยากรน้ำ พบว่าระดับน้ำโขงปีนี้ต่ำกว่าระดับน้ำโขงต่ำสุดในรอบ 50 ปี ประมาณ 2.40 เมตร
จากระดับน้ำโขงที่ลดลงอย่างรวดเร็วและมีระดับที่ต่ำ ทำให้ปีนี้มีหาดทรายเกิดขึ้นในแม่น้ำโขงหลายจุด ที่ริมตลิ่งแม่น้ำโขงในเขต ต.บ้านเดื่อ อ.เมือง จ.หนองคาย ก็เป็นจุดหนึ่งที่มีหาดทรายเกิดขึ้น จุดนี้ที่มีเกษตรกร ปลูกพืชผลทางการเกษตรหลายชนิด เช่น พริก ข้าวโพด และมะเขือ มีเนื้อที่การเกษตรประมาณ 1,000 ไร่ เกษตรกรที่ทำการเกษตรกำลังได้รับความเดือนร้อน
เนื่องจากต้องต่อท่อลงไป เพื่อดูดน้ำโขงมาใช้ในการเกษตรยาวมากขึ้น ทำให้ต้องซื้อท่อเพิ่มเป็นระยะทางหลายร้อยเมตร บางรายที่มีพื้นที่การเกษตรอยู่ห่างจากแม่น้ำโขงไกลมาก ต้องต่อท่อยาวเกือบ 1 กิโลเมตร ถือเป็นการเพิ่มต้นทุนในการเกษตรให้มากขึ้น
โดยน้ำโขงที่ลดลงอย่างต่อเนื่องทำให้ นางต๋อย จันทร์เหลือง อายุ 60 ปี ชาวตำบลบ้านเดื่อ อ.เมือง จ.หนองคาย เกษตรกร ที่ปลูกข้าว,ข้าวโพด,มะเขือเทศ,พริก,และพืชผักตามฤดูกาล กล่าวว่า ตั้งแต่ตน เริ่มจำความได้ ก็ได้มาช่วยพ่อแม่ ปลูกพืชผักตามริมโขง นานกว่า 50 ปี ไม่เคยเห็นระดับน้ำโขงลดลงต่ำมากขนาดนี้
ซึ่งการที่น้ำโขงลดลงส่งผลกระทบและทำให้ตนเดือดร้อนมาก ต้องเพิ่มต้นทุนในการซื้อท่อส่งน้ำเพิ่มอีกกว่า 100 ท่อน ประมาณ 400-500 เมตร จากเดิมที่เคยต่อท่อเพียง 400 เมตร เนื่องจากระดับน้ำโขงลดลงทำให้เกิดสันดอนทรายกลางน้ำโขง จึงจำเป็นต้องติดตั้งเครื่องสูบน้ำไกลออกไปอีก พร้อมทั้งเดินเครื่องสูบน้ำเกือบทั้งวัน สิ้นเปลืองค่าน้ำมันเพิ่มขึ้น เป็นวันละ 300 บาท ตอนนี้ ราคาพืชผักที่ปลูกขาย ก็ไม่ค่อยมีราคา ในแต่ละปีเก็บผลผลิตขายได้แค่ พอได้จ่ายหนี้สินเท่านั้นเอง

 

ทำไมรับยาที่ร้าน “ไม่เปรี้ยง”?
บทพิสูจน์กึ๋นอนุทิน “เก๋าเกม” ขนาดไหน
•
•
ดูเหมือนผลงานแรกๆ ของ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข จะไม่สวยงามนักเสียแล้ว เมื่อนโยบาย “รับยาที่ร้านยา” ไม่เปรี้ยงอย่างที่คิด เพราะในห้วงเวลา 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยมารับยาที่ร้านขายยา ซึ่งลงทะเบียนเป็น “ร้านยาชุมชนอบอุ่น” เพียง 22 ราย จากโรงพยาบาลที่เข้าร่วม 35 แห่ง และร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 300 ร้าน จากที่ตั้งเป้า 50 โรงพยาบาล 500 ร้านยา
•
อย่างที่บอกแต่แรก งานนี้ไม่ใช่ไอเดีย “เสี่ยหนู” ตั้งแต่เริ่ม หากแต่มาจากที่ปรึกษาอย่าง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และทีมสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งมีการศึกษา และลองทำงานวิจัยนำร่องไว้หลายจังหวัด ร่วมกับสมาคมเภสัชกรรมชุมชนไว้แล้วก่อนหน้านี้
•
โดยหวังว่า หาก “กระจายอำนาจ” จากห้องยาในโรงพยาบาลใหญ่สำเร็จ ให้โรงพยาบาล “ส่งยาสำรอง” ไปยังร้านยา และให้ผู้ป่วยที่ต้องมารับยาที่โรงพยาบาลเป็นประจำอยู่แล้ว ไปรับยาที่ร้านยาแทน คิวผู้ป่วยที่รอรับยาในโรงพยาบาลก็จะน้อยลง และสุดท้าย ทั้งผู้ป่วย ทั้งญาติ ที่จะรอรับยา ก็ไม่จำเป็นต้องมาแออัดกันในโรงพยาบาลใหญ่ ซึ่งทั้งเดินทางก็ยาก หาที่จอดรถก็ลำบาก และบรรยากาศที่มีทั้งผู้ป่วย ทั้งญาติจอแจกัน ก็ไม่น่าอภิรมย์ เท่าไหร่นัก
•
ทั้งหมดนี้ ในเฟสเริ่มต้นของโครงการ สปสช.ได้ขอความร่วมมือ ให้โรงพยาบาลส่งยาในกลุ่มโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หอบหืด ไขมันในเลือดสูง ต่อมลูกหมากโต มะเร็งเต้านม หลอดเลือดสมอง ลมชัก และในกลุ่มจิตเวช ก่อนจะขยายไปยังโรคอื่นต่อไป
•
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ประโคมข่าวกันเอิกเกริก จน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็หยิบไปแถลง เป็นหนึ่งในนโยบายระยะแรกเริ่มของรัฐบาลที่ “ประสบความสำเร็จ” รวมถึงนำไปโฆษณาที่สหประชาชาติ ว่าเป็น “พัฒนาการ” หนึ่งของระบบหลักประกันสุขภาพ แต่เมื่อถึงเวลาจริง กลับมีจำนวนผู้ป่วย มาใช้บริการเบาบาง
•
แล้วปัญหาอยู่ตรงไหน? อย่างที่รู้กัน ว่านโยบายนี้ เริ่มต้นโดยทีมสปสช. และ “คนนอก” อย่างหมอเลี๊ยบ แต่คนที่ดูแลโรงพยาบาล และต้องมีส่วนสำคัญ ในการดันนโยบายนี้ กลับไม่ใช่ทั้งสปสช. หรือหมอเลี๊ยบ แต่คือโรงพยาบาลที่สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ
•
แน่นอนว่า เมื่อแรกเริ่มที่อนุทิน ประกาศจะดันนโยบายนี้ ก็มีเสียงบ่นจากบรรดาผู้อำนวยการโรงพยาบาลใหญ่ว่า การรับยาที่ร้านยา จะไม่สามารถแก้ความแออัดในโรงพยาบาลได้จริง เพราะปัญหาใหญ่ อยู่ที่ “ห้องตรวจ” ไม่ใช่ “ห้องยา” ขณะเดียวกัน ก็ออกอาการ “กังวล” ว่าร้านขายยาจำนวนมาก ไม่ได้มีเภสัชกรประจำ หากจ่ายยาไปแล้วผิดพลาด หรือจ่ายยาผิดตัว โรงพยาบาลอาจต้องรับผิดชอบ
•
แต่บรรดา “คนใน” ต่างก็รู้กันดีว่า หากกระจายอำนาจให้ไป “รับยา” และ “เติมยา” ที่ร้านแล้ว โรงพยาบาล จะค่อยๆ สูญเสียอำนาจ ในการจัดการด้านยา และยังหวั่นเกรงกันว่าในที่สุด อาจลดงบเหมาจ่ายรายหัว ที่โรงพยาบาลควรจะได้ และลด “คอมมิชชั่น” ค่ายา จากที่โรงพยาบาลจัดซื้อเอง ไปกระจายให้ร้านยารับเงินส่วนนี้แทน (อย่างไรก็ตามโครงการรับยาใกล้บ้านที่กำลังดำเนินการนี้ร้านยาไม่ได้จัดซื้อยา เพียงแค่รับยาจากโรงพยาบาลมาและกระจายให้ผู้ป่วยตามใบสั่งยาเท่านั้น และงบเหมาจ่ายรายหัวที่โรงพยาบาลได้รับก็ไม่ได้ลดลง)
•
เป็นที่รู้กันว่า อำนาจการจัดซื้อยาของโรงพยาบาล ที่ผ่านมาเป็น “สีเทาๆ” อยู่แล้ว ในโรงพยาบาลน้อยใหญ่ทั่วประเทศ หากใครมีคนรู้จักเป็น “ดีเทลยา” ก็ลองไปคุยดูได้
•
ขณะเดียวกัน ผู้รับผิดชอบใหญ่ฝั่งกระทรวงหมอ อย่าง นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงฯ ก็ถูกวิพากษ์ว่า เกียร์ว่าง ไม่สนองนโยบายรัฐมนตรีในเรื่องนี้ และไม่ออกแรงอะไร เพื่อ “ดัน” ให้นโยบายนี้ เกิดขึ้นจริง ช่วงเดือนกันยายน ซึ่งต้องเตรียมความพร้อมทั้งร้านยาและโรงพยาบาลก่อนวันดีเดย์ 1 ต.ค.62 ปลัดสุขุมยังมอบรองปลัดที่กำลังจะเกษียณ คือ นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ให้ดูแลเรื่องนี้ ทั้งที่นี่เป็นนโยบายที่ต้องทำต่อเนื่อง
•
เมื่อปลัดถูกมองว่ายังออกแรงไม่พอ โรงพยาบาลก็ไม่ทำตาม เพราะเมื่อไม่มีคำสั่งจากเบื้องบน เรื่องอะไรที่โรงพยาบาลจะต้องทำตาม
•
ขณะเดียวกัน ผู้ที่รับผิดชอบหลักอย่าง สปสช. ก็ไม่สามารถ “ข้ามเส้น” ไปบริหารจัดการโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงได้ สปสช. มีอำนาจเพียงการ “จ่ายเงิน” และบริหารเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเท่านั้น
•
ด้วยเหตุนี้ “รับยาที่ร้านยา” จึงกลายเป็นมุกแป้กอีกครั้ง ที่ “เสี่ยหนู” ในฐานะ “บอส” ของทั้ง 2 หน่วยงาน คือกระทรวงสาธารณสุข และ สปสช. ต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ
•
เรื่องนี้ ทั้งคนใน – คนนอก เห็นตรงกันว่า ถ้าอยากเห็นนโยบายนี้เกิดขึ้นจริง อนุทิน ควรออกแรงมากกว่านี้ เพราะหากทำสำเร็จ ประชาชนจะได้ประโยชน์ และรัฐบาลก็สามารถเอามาอวดอ้างเป็นผลงานได้
•
ส่วนโรงพยาบาลจะเสียประโยชน์หรือไม่ และอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ “มือประสานสิบทิศ” อย่างอนุทิน จะต้องไปเคลียร์เอาเอง
•
งานนี้หากทำได้ ก็จะเป็นผลงานของทั้งอนุทิน ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ อย่างแท้จริง ไม่ต้องเอาผลงานของคนอื่น มากระมิดกระเมี้ยน เคลมว่าเป็นผลงานของตัวเองอีก
#รับยาใกล้บ้าน #อนุทินชาญวีรกูล #ลดความแออัดในโรงพยาบาล

 

อำนาจเจริญ หลายพื้นที่ข้าวกำลังแห้งตายเนื่องจากในทิ้งช่วง
#ฮักอำนาจเจริญ

 

วิจัยใหม่พบ กรุงเทพฯไม่จมทะเลแค่รอบนอก แต่จะจมเกือบทั้งเมืองใน 31 ปีข้างหน้า

 

#เขาว่ามาอย่างนี้ เราก็รับฟังไว้...
เมืองชายฝั่งเช่นมุมไบ (อินเดีย), เซี่ยงไฮ้ (จีน) และกรุงเทพ (ประเทศไทย) อาจจมอยู่ใต้น้ำในสามทศวรรษ

 

เตือนธงแดงสูงสุด ไฟป่าแคลิฟอร์เนียลามอีก ลมแรงโหมไหม้ซ้ำ