ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พัทลุง แตกตื่นชาวบ้าน ในพื้นที่ จ.พัทลุง เจอปรากฏการลูกเห็บตกครั้งแรก เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เคยเกิดในพื้นที่
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สถานการณ์หนอนกระทู้ระบาดหนักข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พื้นที่จังหวัดอุทัยธานี จนรับความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง ล่าสุดสถานการณ์การระบาดเริ่มดีขึ้น หลังเกษตรอำเภอและจังหวัดลงพื้นที่ให้คำแนะน้ำการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช พร้อมติดตามเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ป่าแอมะซอนผืนป่าดิบชื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเผชิญกับการบุกรุกทำลายป่าทำให้พื้นที่ลดลงอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมพบว่าทุกๆ 1 นาที พื้นที่ป่าขนาดเท่ากับสนามฟุตบอลจะหายไปจากการแผ้วถาง ฟังในรายการ #หน้าต่างโลก : http://bit.ly/2YK0D3X #ThaiPBSRadio #ThaiPBS

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    นี่คือสิ่งที่ฉันพูดถึง มีความชื้นในอากาศมาก มันเพิ่งก่อตัวขึ้นบนรถยนต์และบ้าน ดาวเคราะห์กำลังสูบน้ำขึ้นไปในอากาศ
    This is what I'm talking about. There is so much moisture in the air it's just forming on cars and homes. The planet is just pumping water into the air.

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แล้งกลางฤดูฝน ยม-น่าน ส่อวิกฤติ เขื่อนฯแจ้งหยุดบริการโป๊ะ
    ไทยรัฐออนไลน์10 ก.ค. 2562 20:15 น.

    4DQpjUtzLUwmJZZPG14xbM7tXeCkC1C98YEfhicCI006.jpg
    เกิดปัญหาภัยแล้งในฤดูฝน เนื่องจากปริมาณฝนน้อย แม่น้ำยม ช่วงไหลผ่าน จ.สุโขทัย ปริมาณน้ำน้อย ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ ช่วงเชื่อมต่อแม่น้ำน่าน อ.ท่าปลา ต้องหยุดบริการโป๊ะข้ามฟาก

    วันที่ 10 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว แต่ที่ผ่านมาได้มีฝนตกลงมาในพื้นที่น้อย เฉพาะบริเวณพื้นที่ภาคเหนือ จ.แพร่ จ.สุโขทัย จึงทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำยมช่วงนี้มีปริมาณน้ำน้อย โดยเฉพาะบริเวณแม่น้ำยมด้านหน้าประตูระบายน้ำบ้านหาดสะพานจันทร์ หมู่ 9 ต.ในเมือง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำจากทางด้านเหนือจาก จ.แพร่ ก่อนที่จะไหลลงแม่น้ำยมไหลลงสู่จังหวัดสุโขทัย

    ล่าสุด บริเวณด้านหน้าประตูระบายน้ำบ้านหาดสะพานจันทร์ วัดปริมาณน้ำเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 62 มีปริมาณน้ำด้านหน้าประตูอยู่ที่ 58.20 ม.รทก.(จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ส่วนด้านท้ายประตู ปริมาณน้ำต่ำกว่าจุดวัดระดับน้ำ ซึ่งเจ้าหน้าที่เปิดประตูระบายน้ำ 1 บาน จากทั้งหมด 5 บาน เพื่อส่งน้ำไปยังพื้นที่ด้านล่าง ได้แก่ อ.สวรรคโลก อ.ศรีสำโรง อ.เมืองสุโขทัย และ อ.กงไกรลาศ

    ขณะเดียวกัน จ.อ.วชิรพันธ์ ปัญสุภารักษ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบต.นาทะนุง อำเภอนาหมื่น ต.น่าน ได้รับแจ้งจาก นางจารุณี ช้อนสมบัติ ผู้ใหญ่บ้านบ้านปากนาย หมู่ 17 ตำบลนาทะนุง อำเภอนาหมื่น ว่า ได้รับแจ้งจากพนักงานประจำท่าเรือว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนสิริกิติ์ หมู่บ้านปากนาย อำเภอนาหมื่น จ.น่าน ระดับน้ำลดลงเป็นอย่างมาก ทำให้การให้ขนส่งทางน้ำ เรือโป๊ะข้ามฟากไม่สามารถให้บริการได้ จึงขอหยุดให้บริการเรือโป๊ะข้ามฟากบ้านปากนาย อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน-บ้านท่าแฝก อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นการชั่วคราว

    สำหรับ เขื่อนสิริกิติ์ หรือที่เรียกกันในชื่อท้องถิ่นว่า เขื่อนท่าปลา จัดเป็นเขื่อนดินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อยู่ในอำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ กั้นแม่น้ำน่านที่ไหลลงมาจากอำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน เดิมอยู่ในความดูแลของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายหลังได้ติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงาน และมอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบดูแล พื้นที่เหนือเขื่อนเป็นแอ่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์ด้วย ซึ่งขณะนี้ในพื้นที่หมู่บ้านประมงปากนาย มีระดับน้ำลดลงเป็นอย่างมาก ทำให้การให้บริการทางน้ำ (เรือโป๊ะข้ามฟาก) ไม่สามารถให้บริการได้.

    https://www.thairath.co.th/news/local/north/1612333
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประกาศด่วนเรือโป๊ะข้ามฟากน่าน-อุตรดิตถ์น้ำเหนือเขื่อนสิริกิต์ แห้งมากจนสัญจรไม่ได้
    10 กรกฎาคม 2562

    fnnnnnnnnnnnn-1-696x382.jpg


    เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 เวลา 09.00 น. จ.อ.วชิรพันธ์ ปัญสุภารักษ์
    เจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอบต.นาทะนุง อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน ได้รับแจ้งจากนางจารุณี ช้อนสมบัติ ผุู้ใหญ่บ้าน บ้านปากนาย หมู่ที่ 17 ตำบลนาทะนุง อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน
    8-318.jpg โดยได้รับแจ้งจากพนักงานประจำท่าเรือว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนสิริกิติ์ หมู่บ้านปากนาย อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน ระดับน้ำลดลงเป็นอย่างมาก ทำให้การให้ขนส่งทางน้ำ เรือโป๊ะข้ามฟาก ไม่สามารถให้บริการได้ จึงขอหยุดให้บริการเรือโป๊ะข้ามฟาก
    9-247.jpg
    บ้านปากนาย อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน – บ้านท่าแฝก อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นการชั่วคราวสำหรับ เขื่อนสิริกิติ์ หรือที่เรียกกันในชื่อท้องถิ่นว่า เขื่อนท่าปลา จัดเป็นเขื่อนดิน ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อยู่ในอำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ กั้นแม่น้ำน่าน ที่ไหลลงมาจากอำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน
    4-911.jpg เดิมอยู่ในความดูแลของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายหลังได้ติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงาน และมอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นผู้รับผิดชอบดูแลต่อไป ทั้งนี้พื้นที่เหนือเขื่อนเป็นแอ่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์ด้วย
    2-1090.jpg ซึ่งตอนนี้ในพื้นที่หมู่บ้านประมงปากนายมีระดับน้ำลดลงเป็นอย่างมาก ทำให้การให้บริการทางน้ำ (เรือโป๊ะข้ามฟาก) ไม่สามารถให้บริการได้ จึงขอหยุดให้บริการเรือโป๊ะข้ามฟากเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ท่านสามารถติดต่อสอบถามการให้บริการดังกล่าวเพิ่มเติมได้ที่นางจารุณี ช้อนสมบัติ หมายเลขโทรศัพท์ 093 195 8922 หรือ เพิ่มเติมได้ที่ นายวุฒิภัทร ทิพยศ พนักงานประจำท่าเรือ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาแพร่โทรศัพท์ 095 219 7627
    3-1020.jpg


    https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/1052152
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "ห้องอาถรรพณ์"

    ประสบการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ผมบวชเป็นพระใหม่ๆ ตอนนั้นพอผมอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ พ่อและแม่ของผมได้พาผมไปบวชที่วัดใกล้ๆ บ้าน เมื่อทำพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมได้มาพักที่กุฏิหลังหนึ่งในวัด กุฏิหลังนี้มี 2 ชั้น ท่านเจ้าอาวาสจัดให้ผมพักอยู่ที่ห้องชั้นบน ภายในห้องพักของผมมีพระพุทธรูปอุ้มบาตรอยู่ 1 องค์ น่าแปลกตรงที่ภายในบาตรว่างเปล่าก็จริง แต่มีรูปยันต์สีแดงเขียนอยู่ที่ก้นบาตร บาตรใบนี้คงเอาไว้ใส่ดอกไม้ ธูปเทียนกระมังผมได้แต่คิดในใจเอาเอง ในขณะที่ผมกำลังเอื้อมมือไปแตะที่บาตรท่านเจ้าอาวาสได้พูดขึ้นว่า "ห้ามแตะเด็ดขาด" แต่ท่านไม่ได้บอกเหตุผลของการห้ามในครั้งนี้ผมเองก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ไม่กล้าถามท่าน ได้แต่ปล่อยเป็นปริศนาคาใจ

    ตกกลางคืนหลังจากผมนั่งสวดมนต์ได้พักใหญ่ๆ ผมจึงได้เข้านอน ในขณะที่ผมกำลังหลับสนิทจู่ๆ ผมต้องสะดุ้งตกใจขึ้นมา เพราะมีความรู้สึกว่าเหมือนมีคนเดินข้ามตัวผมไปไม่ใช่แค่คนเดียวนะครับ แต่มีจำนวนหลายคน บางคนคงข้ามตัวผมไม่พ้นทำให้มีการเหยียบลงบนลำตัวของผม ถึงจะไม่แรงมากนักก็จริงแต่มันทำให้ผมตาสว่างขึ้นมาทันที นี่มันเกิดเหตุการณ์ประหลาดอะไรกับผม ทำให้ผมหายง่วงไปเลย

    ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบตี 1 เข้าไปแล้ว บรรยากาศในวัดเงียบสงบมาก ไม่มีเสียงหมาเห่าหรือหมาหอนบ้างเลย ผมเป็นคนซุกซนอยู่เหมือนกัน พออยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ผมจึงมองไปที่พระอุ้มบาตร ซึ่งอยู่ตรงหัวนอนของผม ตอนนั้นผมนึกสนุก จึงหยิบเหรียญ 10 บาท และเหรียญ 1 บาทใส่ลงไปในบาตรใบนั้น เสียงเหรียญกระทบก้นบาตรดังขึ้น ดูเพราะดีเหมือนกัน ผมจึงหาเหรียญเท่าที่จะหาได้ ใส่เหรียญลงไปในบาตรเพิ่มขึ้นอีก

    ผมคิดว่าไม่ได้ผิดอะไรเพราะผมไม่ได้แตะบาตรใบนั้นเพียงแต่เอาเหรียญมาหยอดเล่นเท่านั้น ทำไปได้สักพักรู้สึกนึกเบื่อๆ จึงกลับมานอนต่อดีกว่า คราวนี้ผมนอนไม่ค่อยหลับแต่ได้พยายามหลับตาเอาไว้ จู่ๆ มีเหรียญหล่นใส่หัวของผมลักษณะเหมือนมีคนเอาเหรียญมาโยนใส่หัวผม เหรียญมันมาได้ยังไง?

    ผมรีบลุกขึ้นไปดูที่บาตรพระพบว่ามีเหรียญหายไป 1 เหรียญขนในตัวผมลุกซู่ขึ้นมาเฉยๆ หลักฐานที่หลงเหลือให้ผมเห็นก็คือ มีเหรียญ 10 บาท ตกอยู่บนที่นอนของผม ผมรีบไปไหว้ขอขมาที่พระพุทธรูปที่อุ้มบาตร พร้อมกับพูดว่า "ถ้าผมทำอะไรไม่สมควรหรือล่วงเกินท่านไป ขอจงยกโทษให้ผมด้วย"

    ผมคิดว่า ถ้าผมไปเก็บเหรียญออกมาจากบาตร อาจจะทำให้มือของผมพลาดไปโดนบาตรได้ เดี๋ยวจะไม่เป็นตามคำสั่งของท่านเจ้าอาวาส คืนนั้นผมนอนไม่หลับแล้วเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นมาอีก พอรุ่งเช้าผมรีบไปหาท่านเจ้าอาวาส พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ท่านฟัง ท่านได้บอกกับผมว่าให้เด็กวัดไปหาทัพพีมาตักเหรียญทั้งหมดที่อยู่ในบาตรออกมา แล้วท่านได้บอกให้ผมได้รับรู้ว่า ในห้องพักของผมนั้นเคยมีคนตายมาแล้ว เป็นเด็กวัดเข้าไปฆ่าตัวตาย โดยกินยาฆ่าแมลง ไม่นานนักก็มีพระชราหัวใจวายตายไปอีก 1 รูป

    "2 ศพซ้อนๆ เลยหรือครับ" ผมได้แต่อุทานขึ้นมา ที่ต้องนำพระพุทธรูปอุ้มบาตรเข้าไปไว้ในห้อง ก็เพื่อล้างอาถรรพณ์ไม่ให้มีศพที่ 3 โดยจะต้องไม่แตะต้ององค์พระและบาตรเรื่องมันเกิดเพราะความซุกซนของผม ถึงทำให้ต้องพบกับเรื่องประหลาดเช่นนี้ หลังจากที่ท่านเล่าเรื่องให้ผมได้รับรู้แล้ว ท่านได้บอกให้ผมลงมานอนที่ห้องชั้นล่างดีกว่า และปิดตายห้องพักอาถรรพณ์นั้นตลอดไป



    "วิญญาณอาฆาต"

    สวัสดีค่ะหนูชื่ออ้อค่ะ เรื่องนี้เกิดในสมัยที่หนูยังเป็นเด็กค่ะ พ่อของหนูเป็นทหารอยู่ท่ค่ายหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา หนูและครอบครัวก็ได้อาศัยอยู่ที่นั่นด้วย แล้วก็มีป้าของอ้อกับแฟนของเขาป้ามาอาศัยอยู่ด้วย ซึ่งป้าของอ้อเป็นทอมค่ะ มีแฟนเป็นผู้หญิง น้าผู้หญิงคนที่เป็นดี้นี่นะคะเขาทำงานเป็นลูกจ้างร้านอาหารอยู่ที่ร้านๆ หนึ่ง

    อยู่มาวันหนึ่งป้าของอ้อกับแฟนก็มีเรื่องทะเลาะกันค่ะ คือทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องก็คือน้าเขาแช่ผ้าเอาไว้แล้วเขาต้องทำงานตั้งแต่เช้า แล้วเขาต้องการให้ป้าช่วยซักผ้าให้หน่อย แล้วพอน้ากลับมาตอนค่ำ เขาเห็นผ้าที่ยังแช่ไว้อยู่ อารมณ์คนเหนื่อยค่ะ ผ้าที่แช่ไว้ก็เหม็น น้าเขาก็เลยโมโหและโกรธมาก น้าเขาคว่ำกะละมังทิ้งเลยแล้วก็เดินร้องไห้ออกไป ก่อนที่จะเดินออกไปตอนที่ทะเลาะกัน น้าเขาถามป้าว่า แค่วานให้ซักผ้าให้ทำไมถึงทำให้ไม่ได้ น้าเดินออกไปที่ร้านขายของชำของเจ๊หมวย แล้วไปถามว่าเจ๊พอจะมียาเบื่อหนูไหม เจ๊หมวยเขาก็บอกว่าไม่มีแล้วถามกลับว่าจะเอาไปทำไมที่ร้านนี้ไม่มี ลองไปถามร้านอื่นดูนะ

    พอหาซื้อยาเบื่อหนูไม่ได้ น้าก็เลยเดินกลับไปที่ร้านอาหารที่น้าทำงาน แล้วเขาไปเห็นเชือก ซึ่งเขาคงจะคิดว่านี่คงเป็นทางออกของเขา เขาก็เลยเอาเชือกนี้ไปผูกคอตายที่ขื่อตรงที่อ่างน้ำใหญ่ๆ ที่พวกทหารเขาอาบน้ำกัน ซึ่งตรงนั้นมันค่อนข้างลื่นค่ะ ก็มีคนได้ยินเสียงคนล้ม เหมือนคนพยายามทำอะไรสักอย่างแบบทุลักทุเล แต่ก็ไม่มีใครออกมาดูอะไร จนกระทั่งตอนเช้านะคะ มีแม่ชีที่เขาอยู่ข้างๆ ห้องของอ้อ เขาพบศพแล้วก็ตะโกนออกมาว่า มีคนผูกคอตาย ตัวอ้อเองด้วยความที่เป็นเด็ก อ้อก็วิ่งออกไปดู ซึ่งอ้อเป็นคนแรกของครอบครัวที่เห็นศพเขา ต่อมาพ่อก็ตามมาเจออีกคน จากนั้นทุกคนก็ช่วยกันนำร่างของน้าลงมา

    หลังจากที่น้าตาย ป้าของอ้อก็เพลียมากเพราะต้องจัดการงานต่างๆ เขาก็เข้าไปนอนพัก ตอนที่นอนอยู่ป้าเขามีความรู้สึกว่าน้ามานั่งคร่อมแล้วก็บีบไปที่คอของป้าพร้อมกับพูดว่า "หนูจะเอาพี่ไปอยู่ด้วย พี่ทำให้หนูตาย" ป้าอ้อก็บอกว่าอย่ามาทำพี่เลย พี่ขอโทษที่ทำอะไรไม่ดี น้ากลับบอกว่า ไม่ เขาทำทุกอย่างให้ แม้ว่าเขาตายแล้ว เขาก็จะเอาไปอยู่ด้วย

    สมัยเมื่อน้ายังมีชีวิตอยู่ ทุกเช้าเขาจะเข้าห้องน้ำชนกับอ้อตลอดเลยค่ะ เวลาอ้อเข้าห้องน้ำก่อนเขาก็จะเคาะประตูแล้วเร่งให้อ้ออาบน้ำเร็วๆ ทีนี้พอเขาตายแล้ว เช้าวันนึงอ้อเข้าห้องน้ำอยู่ก็ได้ยินเสียงเคาะ ตอนนั้นอ้อก็ไม่ได้คิดเรื่องผีหรืออะไร ก็ตะโกนถามไปว่าเป็นพ่อหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ อ้อก็รู้เลยว่าคงจะเป็นน้าที่เข้ามาเคาะ ก็จะเป็นอย่างนี้อยู่ประมาณสองสามวัน

    ทุกคนก็คิดกันว่าทำไมเขายังไม่ไปไหน แล้วก็คิดกันว่าจะนิมนต์พระมาจัดการ พอถึงวันที่พระท่านมา พอถึงหน้าบ้านท่านก็ผงะเลยค่ะ ท่านก็มองเข้าไปที่ประตูห้องของป้าซึ่งมันจะตรงกับประตูทางเข้าบ้าน ท่านก็ไม่กล้าเข้าไปในบ้าน พระท่านบอกว่าเห็นเป็นคนมือหงิก ขาหงิก ลิ้นจุกปาก แล้วตานี่เหลือกมองท่าน แล้วเหมือนกับส่งกระแสจิตออกมาว่า อย่าเข้ามา แต่พระท่านก็กลั้นใจเข้ามาเพื่อทำพิธีปัดรังควานให้ ขนาดว่าทำพิธีไปแล้วแต่ดูหมือนน้าเขาก็ยังไม่ไป ส่วนป้าของอ้อในตอนนั้นนี่เสียสติไปแล้วค่ะ

    ป้าจะหวาดระแวงและคิดว่าเขาจะต้องตายตามแฟนเขาไปแน่ๆ เพื่อนบ้านคนอื่นก็จะเห็นน้าที่อ่างเก็บน้ำที่น้าไปฆ่าตัวตายอยู่เป็นประจำ โดยจะเห็นว่าเหมือนกับน้าเดินวนไปมาเหมือนครุ่นคิดจะทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่จะปีนขึ้นไปผูกคอตาย ช่วงเวลาตอนนั้นจะไม่มีใครเข้าห้องน้ำตอนดึกๆ เลย แล้วคนที่อยู่ละแวกนั้นก็มักจะมาต่อว่าบ้านอ้อว่าเนี่ยทำให้พวกเขาเดือดร้อน แล้วก็จะมีเด็กคนนึงในตอนนั้นเขาอยู่ประมาณชั้นป.5 เขาก็ไปดูศพตอนเช้าวันนั้นเหมือนกัน แล้วเด็กคนนี้ก็พูดว่า "ปัญญาอ่อน ไร้สาระ มาตายเพราะไอ้เรื่องไร้สาระ" เด็กคนนี้ไปด่าศพในตอนนั้น แล้วประมาณสองสามวันต่อมา เด็กคนนี้ก็ผูกคอตายเหมือนกัน ซึ่งก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน แล้วระยะเวลาที่มีคนเห็นน้าหลังจากที่เสียชีวิตก็ร่วมๆ เดือนก่อนที่วิญญาณของแกจะคลายความอาฆาตหลังจากที่เอาพระมาสวดและทำบุญให้



    #credit: anyapedia.com

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "ผีหวงห้อง"

    "ฉันได้รู้ว่า ผีมีจริง ก็เพราะเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันแทบอยู่ไม่ได้ ในเมื่อผี...อยู่ใกล้ๆฉัน ฉันไม่เคยเชื่อ ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ว่าคนอย่างฉันจะได้เจอผี จนฉันอายุเกือบจะสามสิบปีเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก"

    ฉันเป็นคนที่ตั้งใจทำงานมาก จัดความรักมาเป็นอันดับสอง มีก็ได้ไม่มีก็ได้ มีผู้ชามาจีบแต่ดูแล้วติๆ สารพัดจนไม่มีใครผ่านเลยสักคน จึงเป็นรักที่ผ่านมาแล้วผ่านไป

    ที่บ้านพ่อแม่ฉันนั้นก็มีน้องชายน้องสะใภ้แล้วมีลูกตามมาติดๆ สามคน กำลังน่ารักน่าชัง เลิกงานก็เลี้ยงหลานๆ เสาร์อาทิตย์เป็นวันรวมญาติซะทุกครั้ง พี่ชายคนโตจะยกครอบครัวมาที่บ้าน ฉันทำงานมาเหนื่อยแล้ว เลี้ยงหลานอีก วันเสาร์-อาทิตย์ก็ตื่นแต่เช้าเลยมาทำอาหารเตรียมไว้ให้ทุกคนที่จะมาในวันนั้น ก็ทั้งชินทั้งเบื่อหน่ายด้วยความที่อยากเป็นส่วนตัว ผสมกับความเป็นคนขี้เบื่อ ก็เลยทำให้ฉันหาห้องพัก

    ในที่สุดก็ได้ห้องที่ถูกใจ เป็นคอนโดสูง ใกล้ๆเป็นห้างสรรพสินค้าสองแห่งเป็นย่านชุมชนราคาพอไหว ใกล้ที่ทำงานฉันด้วย ฉันได้ไปเลือกห้องแล้วถูกใจ เป็นห้องพักที่ใหม่เอี่ยม เครื่องใช้ก็อยู่ในสภาพใหม่ เมื่อเลือกได้แล้วจึงได้ไปหาซื้อของเพิ่ม จากนั้นก็บอกพ่อแม่และน้องกับหลานๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะฉันได้บอกหลายครั้งแล้ว แต่ว่าเมื่อไหร่เท่านั้นที่จะไป จากบ้านครั้งแรก ก็ต้องให้พ่อกับแม่เห็นดีด้วย เพราะท่านเห็นฉันเหนื่อย ที่ทำงานของฉันอยู่ห่างจากบ้านมาก ฉันอึดจริงๆที่อยู่บ้าน เทียวไปเทียวกลับทั้งที่เพื่อนๆก็พากันไปอยู่ห้องพักกันแล้ว

    ฉันเร่งรีบอยากไปอยู่ ทั้งที่พ่อแม่และน้องคัดค้าน ท่านทั้งสองอยากให้ทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ก่อน แต่ฉันบอกไม่เอาด้วยหรอกเป็นห้องพักเหมือนห้องทั่วๆไปอยู่ได้เลย แล้วคนอย่างฉันเชื่อได้ว่าผีไม่หลอก เพราะไม่เคยเจอเลยสักครั้งเดียว

    ตกลงว่าคืนนั้นฉันได้มาอยู่ที่ห้องนี้คนเดียว ตอนที่มาก็ไม่ได้ดูห้องข้างเคียง ฉันทำความสะอาดจนดึก ฟังเพลงจากมือถือไปด้วย ได้ยินเสียงห้องข้างเปิดโทรทัศน์เสียงดังพอควร ฉันก็ดีใจขึ้นมาว่ามีเพื่อนในยามค่ำคืนเหงา แต่ด้วยความเหนื่อย ฉันก็นอนมันง่ายๆที่เตียง ไม่ได้สวดมนต์ไหว้พระอะไรเลยด้วย ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองนอนอยู่ที่พื้นเย็นๆ ก็เลย งงๆ ว่าฉันไม่ใช่คนนอนดิ้น ไม่เคยนอนตกเตียงด้วย ดูนาฬิกาเกือบแปดโมงเช้า ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน ระหว่างวันแม่ก็โทรมาถามสารทุกข์สุกดิบว่าเมื่อคืนอยู่ได้ไหม ว่างๆมานอนที่บ้านบ้าง

    เย็นนั้นก็ขอแรงเพื่อนสนิทสามคนชื่อ แตง โอ หนึ่ง ไปห้างหาซื้อโทรทัศน์ เครื่องเล่นวีซีดี ตู้เย็น เตารีด กะละมังซักผ้า อย่างอื่นอีกเล็กน้อย ซื้อของกินไปด้วย ตอนขนขึ้นสิคะ พากันวิ่งขึ้นลงลิฟต์หลายรอบ
    เมื่อเอาของมาวางไว้จนครบทุกชิ้น หนึ่งเปิดเบียร์ เขาเป็นผู้ชายคนเดียว ชอบดื่มเบียร์ทุกเย็น ฉันเลยร่วมดื่มด้วยไม่ถึงแก้วก็เริ่มมึนๆ หนึ่งพูดขึ้นมาว่า

    "เกือบทั้งชั้นนี้ยังไม่มีคนมาเช่าพักเลย มีห้องข้างๆที่ปิดล็อกกุญแจอยู่ ตกลงว่าอยู่กันแค่สองห้องเองนะ พี่ไม่กลัวเหรอ"

    ฉันเพิ่งรู้จากหนึ่ง ฉันบอกเขาว่าไม่เคยสังเกตเลย ตอนมาดูห้องก็ไม่ได้ดูอะไรเลย เห็นห้องนี้เป็นห้องแรกก็ถูกใจแล้ว
    แตงก็ว่า ย่านนี้เป็นย่านชุมชน คอนโดมิเนียมนี้ก็น่าจะมีคนอยู่เพียบ โอก็ว่าน่าจะมีคนอยู่เต็ม หนึ่งปากพล่อยว่าพี่ที่นี่มีผีหรือเปล่า ฉันล่ะอยากตบปากหนึ่งเสียให้ได้ ฉันยกแขนโชว์ทุกคน ขนแขนลุกซู่

    "อย่าบอกว่าที่นี่มีผีนะ พี่อยู่ไม่ได้จริงๆ ไม่เคยเจอแล้วไม่อยากเจอด้วย"

    เสียงเคาะประตูปังๆสามครั้ง เชื่อหรือไม่ว่าหนึ่งเดินไปเปิด ฉันเอี้ยวตัวไปมอง ตรงระหว่างขาของหนึ่ง มองไปเห็นข้างนอก เห็นกระโปรงยีนส์ของผู้หญิง หนึ่งรั้งรออยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง เดินมาบอกฉันด้วยสีหน้าฉงน

    "ไม่เห็นมีใครเลย"

    ฉันว่าหนึ่งอย่ามาหลอกกัน เมื่อกี้ฉันเห็นผู้หญิง หนึ่งคุยกับผู้หญิงนะแล้วหนึ่งก็บอกว่า

    "พี่...อย่ามาหาเรื่องให้แตงตีผมเลย เมื่อกี้เราได้ยินเสียงเคาะปะตูใช่ไหม ออกไปไม่เห็นมีใคร ผมชะโงกหน้าไปมองสองฝั่งก็ไม่เห็นมีใคร ห้องนี้ก็ห่างจากบันได ห่างจากลิฟต์ มีใครมาเคาะห้องก็ต้องเห็นตัวกันบ้าง นี่ไม่เห็นเลย"

    สาวๆเหลือบมองหน้ากันสีหน้าไม่ค่อยดี ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด ก็เห็นกับตาว่าหนึ่งคุยกับผู้หญิงคนนั้นที่ใส่กระโปรงยีส์ แล้วฉันก็ดุสองสาวว่า ไม่มีอะไรหรอก ดื่มเบียร์หมดไปหกขวด หนึ่งดื่มมากกว่าใครเลย เขาอยากไปเที่ยวต่อกันอีก ส่วนฉันขอตัว มองไปรอบห้องแล้วรกนัยตาฉันต้องรีบเคลียก่อนดีที่หนึ่งติดตั้งโทรทัศน์ให้แล้ว ฉันเลยเปิดโทรทัศน์ทำงานบ้านจัดของเข้าที่

    หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเกิดอาการง่วงนอนจนทนไม่ไหวทิ้งงานก่อน เปิดไฟระเบียง ไฟห้องน้ำทิ้งไว้ ฉันไม่คุ้นที่ไม่เคยอยู่คนเดียวก็ต้องอยู่อย่างนี้ก่อน ไว้ให้คุ้นค่อยดับไฟนอน ในคืนนั้นฉันแว่วได้ยินเสียง ฉันได้ยินเสียงประตูของห้องข้างๆ เสียงรองเท้าอย่างกับคนสวมเขวี้ยงมันทิ้ง เสียงของหล่น เสียลูกแก้วกระทบพื้นแทบทั้งคืน เสียงคนคุยกัน เสียงใช้ห้องน้ำ ตื่นขึ้นพบว่าตัวเองนอนตกเตียงอีกแล้วหมอนข้างเอาไม่อยู่

    ที่ชั้นนี้มีเพียงสองห้องเท่านั้นที่มีคนพัก แต่ฉันไม่เคยเห็นคนที่พักห้องข้างๆนี่เลย เธอคงเป็นผู้หญิง แต่ว่าบางเช้านั้นฉันนพบผู้หญิงร่างเล็กที่น่าแปลกก็ตอนที่เธอเดิน จะเคลื่อนไหวกาย ฉันว่าเธอดูทื่อไร้ชีวิต ไม่เคยเห็นหน้าชัดๆสักครั้งเดียว

    จนถึงวันหนึ่ง ฉันนอนหลับไป ฉันได้ยินเสียงอีกแล้ว เป็นเสียงแก้วกระทบกัน เสียงปาข้าวของให้วุ่น ฉันกลับลุกไม่ได้ ได้ยินตลอดเลย เสียงคนทะเลาะกันแล้วเสียงผู้หญิงร้องว่าช่วยด้วย ร้องได้ครู่เดียว รู้สึกว่าเธอดิ้นอยู่บนเตียงเดียวกับฉัน แล้วเตียงก็ไหวๆด้วย
    ฉันสะดุ้งตื่น รีบหันมามอง ข้างๆเตียงนั้นว่างเปล่า ฉันยังอยู่บนเตียงแต่ว่าที่ประตูก่อนจะไปสู่ระเบียงมีผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นเงาตะคุ่มๆ เพราะว่าตอนหลังฉันนอนดับไฟแล้ว ผมของเธอยาวมากฉันลุกขึ้นนั่งยังงงว่าผู้หญิงคนนี้มาอยู่ในห้องนี้ได้อย่างไร ฉันเห็นผู้หญิงคนนี้ชี้มาที่ฉันแล้วบอกว่า

    "ออกไปจากห้องของฉัน"

    ฉันตาไม่ฝาดแน่ ผู้หญิงคนนี้หายไปกับตา ฉันอยู่ไม่ได้หรอก เปิดไฟสว่างโร่แล้วรอจนเช้าด้วยหัวใจแกว่งๆ พานจะเป็นลม แล้วรุ่งเช้าก็รีบไปหาเจ้าของคอนโดมิเนียมแล้วบอกว่าเจออย่างนี้ๆนะ เธอบอกฉันทั้งน้าซีดๆว่า เธอจะบอกความจริงกับฉันแล้ว แต่เห็นฉันอยากจะเอาห้องนั้นให้ได้ เธอไม่กล้าแย้ง

    ที่แท้ผู้หญิงคนนั้นเธอถูกสามีฆ่าตายด้วยความหึงหวง เธอมีอาชีพเป็นนักร้อง เนื่องจากสามีหึงจัดก็ฆ่าเธอแล้วยัดศพไว้ในห้อง หลังตายไปแล้ววิญญาณไม่สงบสุขของเธอเที่ยวได้หลอกห้องข้างๆจนทุกห้องย้ายหนี ห้องที่ปิดกุญแจล็อกไว้เสมอนั้นเป็นห้องเก็บของ ห้องที่เกิดเหตุฆาตกรรม คือ ห้องที่ฉันอยู่

    เจ้าของคอนโดให้ฉันย้ายมาอยู่ชั้นล่างสุด ก็ดีไปมาสะดวกสบาย นับจากนั้นก็ไม่เจอเรื่องผีๆอีก ....



     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150


    [LIVE] 19.30 - 21.00 น. การประชุมของสมาคมสภาดนตรีโลก ครั้งที่ 45
    “The 45th International Council for Traditional Music World Conference” (12 ก.ค.62) ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    - Angklung Gumitang from Indonesia
    - Seni Budaya Khatulistiwa from Indonesia
    - Miladomus from Indonesia
    - Nega Central Rondalla Ensemble from Philippines
    ชมสดออนไลน์ (stay tuned on)
    Facebook : www.facebook.com/ThaiPBSFan/videos/868602603508247/
    YouTube :
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    นี่คือเหตุการณ์แผ่นดินไหวในซีแอตเทิลและวอชิงตัน ที่รู้สึกได้ถึงการเกิดแผ่นดินไหว # 12 กรกฎาคม
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    FB_IMG_1562937420754.jpg

    (Jul 12) ผลกระทบสงครามการค้า 'นัย'ต่อเศรษฐกิจไทย : สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน เกิดเป็นแรงกระเพื่อม ในวงกว้างต่อทั้งเศรษฐกิจและการค้าของ ประเทศอื่นๆ ในหลายภูมิภาค และแน่นอนว่า ประเทศไทยหนีไม่พ้นผลกระทบเหล่านั้น

    คำถามสำคัญคือ ผลกระทบต่อไทย จะมาในรูปแบบใด และขนาดของผลกระทบ จะมากน้อยแค่ไหน

    จากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่เชื่อมโยง กับต่างประเทศสูง ผลกระทบจึงส่งผ่าน มาได้หลายช่องทาง ทั้งภาคการเงินและภาคเศรษฐกิจจริง ที่ผ่านช่องทางการค้าระหว่างประเทศที่ส่งต่อไปยังการผลิตและการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้งการลงทุนภาคเอกชน

    ด้านการส่งออก แม้ไทยไม่ได้ถูกเรียกเก็บภาษีสินค้าใดจากมาตรการภาษีของสหรัฐ แต่มูลค่าการส่งออกโดยรวมเริ่มหดตัวตั้งแต่ ปลายปีก่อนและต่อเนื่องมาในช่วง 5 เดือนแรก ของปีนี้ที่ หดตัวถึง 4.5% และเป็นการหดตัว ในหลายสินค้าและหลายตลาด ส่วนใหญ่ เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกและปริมาณ การค้าโลกที่ขยายตัวชะลอลง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่าปริมาณการค้าโลกในปีนี้จะชะลอลงจาก 4.1% เป็น 3.3% จากผลสงครามการค้าเป็นสำคัญ

    นอกจากนี้ สถานการณ์สงครามการค้า ที่มีความไม่แน่นอนสูงและยืดเยื้อสร้างแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นและบรรยากาศการลงทุนของโลก จึงมีส่วนทำให้วัฏจักร สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในช่วงขาลง ในช่วงที่ผ่านมา ฟื้นตัวได้ช้ายิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเทียบกับในอดีต ขณะเดียวกัน การค้าขายโดยตรงระหว่างสหรัฐและจีนที่ลดลง ย่อมส่งผล ต่อเนื่องมายังการส่งออกในกลุ่มประเทศ ที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตของทั้งสองประเทศ ซึ่งไทยในฐานะที่เป็นหนึ่งในห่วงโซ่การผลิต ของจีนจึงได้รับผลลบนั้นเช่นกัน (supply chain effect) การส่งออกสินค้าขั้นกลางหดตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ ทัศนูปกรณ์ ยางพารา และเคมีภัณฑ์ ขณะที่การส่งออกของไทยที่เชื่อมในห่วงโซ่การผลิตของสหรัฐมีไม่มากนัก

    อย่างไรก็ตาม เหรียญย่อมมีสองด้าน สงครามการค้าสร้างโอกาสให้กับสินค้าบางประเภทของไทย ที่สามารถส่งออกทดแทนจีนในตลาดสหรัฐ (substitution effect) อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์โดยเฉพาะยางรถยนต์ อุปกรณ์สื่อสาร เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องจักรบางประเภท สินค้าเหล่านี้ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3% ของมูลค่า การส่งออกรวม ซึ่งที่ผ่านมาขยายตัวดีต่อเนื่อง ถือได้ว่าสงครามการค้าก็ยังพอมีผลบวกต่อ การส่งออกไทยอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่พอที่จะ ชดเชยผลลบจากช่องทางข้างต้นที่กล่าวมา

    ด้านการนำเข้า มีความเป็นไปได้ที่จีน จะหาตลาดทดแทนเพื่อส่งออกสินค้าที่โดนมาตรการภาษีจากสหรัฐและส่งออกไม่ได้ จึงหันมาขายในลักษณะ ทุ่มตลาด (dumping) ในประเทศต่างๆ รวมถึง ไทยด้วย ซึ่งเป็นความกังวลของผู้ประกอบการ ไทยเช่นกัน ในระยะที่ผ่านมา การนำเข้าจากจีนเร่งขึ้นบ้างในบางหมวดสินค้า อาทิ สิ่งก่อสร้างจากอะลูมิเนียม เครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนประกอบยานยนต์ และสิ่งทอ ชี้ถึงสัญญาณการทุ่มตลาดบ้างแต่ไม่ชัดเจนนัก และสัดส่วนสินค้าเหล่านี้ รวมแล้วไม่ถึง 1% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมด

    อย่างไรก็ตาม หากอนาคตสหรัฐดำเนินมาตรการภาษีกับจีนเพิ่มเติม มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการเข้ามาทุ่ม ตลาดจากจีนมากขึ้น จากการสอบถาม ผู้ประกอบการไทยบางรายพบว่า เริ่มเห็น เครื่องจักรราคาถูกและผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าระดับกลาง-ล่างจากจีน เข้ามาขายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนนับแต่ต้นปี 2562 ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคา ที่สูงขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคอาจได้สินค้านำเข้า ในราคาที่ถูกลง แต่ต้องพิจารณาถึงคุณภาพของสินค้าด้วยเช่นกัน

    ด้านการลงทุนภาคเอกชนสงครามการค้าเป็นตัวกระตุ้นกระแสการย้าย ฐานการผลิตจากจีนมายังไทยที่มีอยู่เดิมให้เกิดเร็วขึ้น ในช่วงที่ผ่านมาหลายธุรกิจเข้ามาลงทุนในไทยเพื่อหลีกเลี่ยงภาระภาษี และความไม่แน่นอนจากมาตรการการค้าของสหรัฐกับจีน (investment diversion) โดยเฉพาะธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ ยางรถยนต์ โลหะ และเคมีภัณฑ์ ในอนาคตแนวโน้มการลงทุนของธุรกิจที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนน่าจะมีต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้การส่งออกของไทยกลับมาดีขึ้นได้ในระยะต่อไป

    อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการบางราย เห็นว่าการเข้ามาลงทุนของธุรกิจต่างชาติ บางประเภท อาจไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มทั้ง ในแง่การจ้างงานและมูลค่าเพิ่มของสินค้า ให้กับไทยเท่าใดนัก เพราะใช้ระบบอัตโนมัติในการผลิตทั้งหมดและเป็นธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีไม่สูง ขณะที่เลี่ยงหนีมาผลิต ที่ไทยเพื่อส่งไปยังตลาดสหรัฐเท่านั้น แต่กลับทำให้ความเสี่ยงที่ไทยอาจโดนสหรัฐพิจารณามาตรการค้าหรือมาตรการอื่นๆ อาจเพิ่มขึ้นได้

    ด้านการผลิตและการจ้างงาน การส่งออก ที่ลดลงในระยะที่ผ่านมา ทำให้ภาคการผลิต เริ่มปรับลดการผลิตและการจ้างงานลงบ้างแล้ว โดยเฉพาะการจ้างงานล่วงเวลาในบางอุตสาหกรรมส่งออก อย่างไรก็ดี แรงงานบางส่วนได้ย้ายไปสู่ภาคบริการและภาคการค้า ซึ่งช่วยพยุงกำลังซื้อของแรงงานและการบริโภคได้ ในระดับหนึ่ง

    ในระยะข้างหน้า สงครามการค้าที่ยังยืดเยื้อจะเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจและ การค้าโลกในระยะต่อไป ผู้ส่งออกไทยต้องเร่งปรับตัว เพิ่มมูลค่าเพิ่มของสินค้า การเพิ่มและสร้างความแข็งแกร่งของ การค้าขายภายในภูมิภาค และการเร่งหาตลาดทดแทน รวมถึงแรงงานเองก็ต้อง เร่งพัฒนาทักษะความสามารถให้เป็นที่ต้องการของธุรกิจในอนาคตต่อไป
    โดย รณชาติ ผาติหัตถกร และอริสา จันทรบุญทา
    ฝ่ายนโยบายการเงิน
    ธปท.
    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20190712_202120.jpg

    (Jul 12) เป้าใหม่ ทรัมป์มีโอกาสเล่นงานเวียดนามเป็นรายต่อไป หลังได้ดุลการค้าจากสหรัฐโตขึ้นถึง 40% :เวียดนามกำลังจะกลายเป็นเป้าใหม่ของประธานาธิบดีสหรัฐ หลังจากที่ตัวเลขดุลการค้ากับสหรัฐยังโตถึง 40% หลังจากประเทศแห่งนี้นั้นคาดว่าจะเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงของสงครามการค้า

    ตัวเลขล่าสุดไตรมาสที่ 1 เวียดนามนั้นได้ดุลการค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้นสูงถึง 40% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หลังจากบรรดาบริษัทต่างๆ ย้ายโรงงานจากจีนไปเวียดนามเพื่อใช้เป็นฐานการส่งออก ซึ่งอาจทำให้เวียดนามอาจกลายเป็นเป้าใหม่ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ

    ศุลกากรของประเทศเวียดนามได้รายงานว่า เวียดนามได้ดุลการค้าจากสหรัฐสูงมากถึง 1,590 ล้านเหรียญสหรัฐ จากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขาดดุลกับสหรัฐที่ 43 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าที่เติบโตถึง 7.2% ในช่วงครึ่งปีแรก โดยประเทศที่ส่งออกเพิ่มมากที่สุดใน 6 เดือนแรกของปีคือ สหรัฐอเมริกา รองลงมาคือเกาหลีใต้

    ในช่วงที่ผ่านมาเวียดนามเป็นประเทศที่คาดว่าจะเป็นผู้ชนะของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา เนื่องจากอยู่ใกล้ประเทศจีน รวมไปถึงเป็นประเทศที่ไม่มีปัญหาได้ดุลการค้ากับสหรัฐสูงมาก ทำให้บริษัทต่างๆ รวมไปถึงบริษัทจีนต่างทยอยย้ายฐานการผลิต นอกจากนี้ล่าสุดยังมีการเซ็นข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป ทำให้เวียดนามยิ่งเป็นประเทศที่เนื้อหอมมากที่สุดในอาเซียน

    เดือนที่ผ่านมาประธานาธิบดีสหรัฐได้กล่าวถึงประเทศเวียดนามก่อนที่จะเดินทางไปประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ว่า “เวียดนามได้ประโยชน์จากสหรัฐอย่างมาก มากกว่าจีนเสียด้วยซ้ำ” ทำให้ผู้นำเวียดนามรับปากว่าจะทำให้การค้าในเวียดนามเสรีและยุติธรรม เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเวียดนามซ้ำรอยจีน และยังรวมไปถึงการซื้อสินค้าของสหรัฐ เช่น เครื่องบินของ Boeing ฯลฯ

    ยังรวมไปถึงเรื่องของค่าเงินดองของเวียดนามที่นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้เน้นกำชับอย่างมาก เนื่องจากเวียดนามถือเป็น 1 ในประเทศที่สหรัฐจับตามองเรื่องของการควบคุมค่าเงิน เนื่องจากได้ดุลการค้ากับสหรัฐ และมีการซื้อพันธบัตรของสหรัฐด้วย

    จากบทวิเคราะห์ของ Capital Economics ได้จัดทำโมเดลทางเศรษฐกิจจำลองขึ้นมา ถ้าหากประธานาธิบดีสหรัฐได้ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเวียดนามที่อัตราภาษี 25% จะทำให้รายได้จากการส่งออกเวียดนามลดลงทันที 25% ซึ่งเทียบได้กับการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามที่ 1%

    โดย Wattanapong Jaiwa

    Source: Brandinside.asia
    https://brandinside.asia/vietnam-maybe-trump-s-next-trade-war-target-after-trade-surge/
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20190712_202847.jpg

    (Jul 11) เรือดำน้ำนิวเคลียร์โซเวียตจมในนอร์เวย์ปล่อยรังสีมากกว่าระดับปกติแสนเท่า: นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า เรือดำน้ำนิวเคลียร์สมัยสหภาพโซเวียตที่จมในทะเลนอร์เวย์ มีระดับรังสีในน้ำสูงกว่าปกติถึง 100,000 เท่า บ่งชี้ว่าเรือลำนี้ยังเป็นอันตรายอยู่แม้จมน้ำนานกว่า 30 ปี แล้ว

    นิตยสารมอสโกไทมส์รายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์นอร์เวย์วิเคราะห์น้ำรอบเรือดำน้ำ เค-278 คอมโซโมเลตส์ เรือดำน้ำนิวเคลียร์ยุคสหภาพโซเวียตที่จมอยู่ในทะเลนอร์เวย์มาตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2532 พบว่ามีปริมาณรังสีสูงกว่าระดับปกติถึง 100,000 เท่า เรือดำน้ำนิวเคลียร์ความยาว 400 ฟุต ลำนี้จมอยู่ใต้ทะเลลึก 1 ไมล์ (ราว 1.6 กิโลเมตร) ห่างออกไป 100 ไมล์ (ราว 160 กิโลเมตร) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะแบร์ของนอร์เวย์ ซึ่งเป็นแหล่งทำประมงแหล่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

    คณะนักวิทยาศาสตร์นอร์เวย์ ได้ออกสำรวจพื้นที่อยู่ทุกปี และไม่เคยตรวจพบการรั่วไหล แต่ในการสำรวจด้วยเรือดำน้ำจิ๋วบังคับระยะไกลเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา พบว่าหนึ่งตัวอย่างจากทั้งหมดสามตัวอย่างมีระดับรังสีสูงกว่าระดับปกติถึง 100,000 เท่า โดยเฉพาะจากปล่องที่ต่อตรงเข้ากับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของเรือ
    เรือดำน้ำนิวเคลียร์ลำดังกล่าวเกิดเพลิงไหม้ในห้องเครื่อง ทำให้ลูกเรือเสียชีวิต 42 นายจากทั้งหมด 69 นาย ส่วนใหญ่เสียชีวิตเนื่องจากได้รับรังสี ระหว่างรอให้กองทัพเรือโซเวียตมาช่วย ก่อนที่เรือจะจมลงสู่ก้นทะเลนอร์เวย์

    Source: สำนักข่าวไทย
    https://www.themoscowtimes.com/2019...100k-higher-than-normal-scientists-say-a66341
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    FB_IMG_1562938282332.jpg

    (Jul 11) '4ความเสี่ยง'ระบบการเงิน ธปท.ห่วง'หนี้ครัวเรือน'แก้ยาก: ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการประชุมร่วมกัน ระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) เพื่อติดตามและ ประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทย

    ระบบการเงินไทยโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) และธุรกิจประกันภัย มีเงินกองทุนในระดับสูง เสถียรภาพด้านต่างประเทศเข้มแข็ง มีส่วนช่วยรองรับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงด้านต่างประเทศ โดยเฉพาะการกีดกันทางการค้าระหว่าง20 สหรัฐและจีน อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินโดยรวมไม่ได้ลดลง และบางจุดมีการสะสมความเปราะบางเพิ่มขึ้น ที่ประชุมให้ความสำคัญกับ 4 ประเด็นหลัก ดังนี้

    1.สถานการณ์หนี้ครัวเรือนยังน่ากังวล โดยเฉพาะในครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง การก่อหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูงและ มีสัญญาณกลับมาเร่งขึ้น โดยเฉพาะจากสินเชื่อ หมวดรถยนต์ พบว่า ธพ. และผู้ประกอบธุรกิจ การเงินที่มิใช่ธนาคาร (non-banks) แข่งขันกัน รุนแรงขึ้นในตลาดสินเชื่อรายย่อย มีมาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อที่หย่อนลง ให้สินเชื่อ ที่กระตุ้นการก่อหนี้เกินจำเป็น อาจเพิ่มความเปราะบางทางการเงินให้กับภาคครัวเรือนได้

    จึงเห็นว่า ธพ. และ non-banks ควรปล่อยสินเชื่อโดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้มากขึ้น โดยเฉพาะผู้กู้กลุ่มเปราะบาง เช่น กลุ่มรายได้น้อย กลุ่ม เริ่มทำงาน (first jobbers) และกลุ่มวัยเกษียณ ซึ่งมีแนวโน้มก่อหนี้สูงเกินตัวและอาจมีเงินเหลือไม่พอต่อการยังชีพ ที่ประชุมเห็นว่า หนี้ครัวเรือนเป็นประเด็นความเสี่ยงที่สำคัญ ต่อระบบการเงินไทย หากไม่เร่งดูแลโดยเร็ว จะก่อตัวเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นในอนาคต

    ทั้งนี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และดำเนินการในหลายมิติ พร้อมกัน ทั้งการดูแลการปล่อยสินเชื่อของ ธพ. และ non-banks ให้รัดกุม และคำนึงถึง ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้มากขึ้น การปรับโครงสร้างหนี้เดิมที่มีปัญหา รวมถึง การให้ความรู้ทางการเงิน

    ในส่วนของธปท.ได้ร่วมมือกับ ธพ. กำหนดมาตรฐานกลางในการคำนวณ ภาระ ผ่อนชำระหนี้เทียบกับรายได้ (DSR) เพื่อให้ มีข้อมูล DSR ที่เป็นมาตรฐาน เป็นประโยชน์ต่อ การติดตามมาตรฐานพิจารณาสินเชื่อ โดยรวม ของระบบธพ.และการพิจารณาออกมาตรการ ดูแลหนี้ครัวเรือนหากจำเป็นในอนาคต

    ที่ประชุมเห็นว่าการดูแลปัญหา หนี้ครัวเรือนยังต้องระมัดระวัง ผลกระทบจาก การกำกับดูแลที่เข้มงวดไม่เท่ากัน (regulatory arbitrage) การกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้น อาจส่งผลให้กิจกรรมการปล่อยสินเชื่อที่มี ความเสี่ยง ย้ายออกไปยังผู้ให้บริการทางการเงิน ที่อยู่นอกการกำกับดูแลมากขึ้น จึงเห็นควรให้พิจารณาแนวนโยบายที่ดูแลครอบคลุมโดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงดังกล่าว

    2.ตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปียังขยายตัวได้จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) โดยรวมเป็นไปตาม

    คาดการณ์คือ
    1. จำนวนบัญชีปล่อยใหม่ปรับลดลง จากกลุ่มที่ผ่อนพร้อมกัน
    2 หลัง เป็นต้นไป สะท้อนภาวะการเก็งกำไรที่ชะลอลง 2.ธพ. มีมาตรฐานพิจารณาสินเชื่อรัดกุมขึ้น สะท้อนจาก LTV สูงที่ลดลง รวมถึงสัดส่วน สินเชื่อต่อรายได้ผู้กู้ (loan to income: LTI) และระยะเวลาผ่อนชำระที่ลดลงเช่นกัน และ
    3.ผู้ประกอบการชะลอเปิดโครงการและปรับแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับภาวะตลาดมากขึ้น ที่ประชุมให้ติดตามผลของมาตรการ LTV การปรับตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาวะอุปทานคงค้างในระยะต่อไป

    3.สหกรณ์ออมทรัพย์มีสินทรัพย์ที่ ขยายตัวต่อเนื่องและมีนัยต่อเสถียรภาพระบบการเงินมากขึ้นในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องเร่งยกระดับการกำกับดูแลให้สอดคล้องกับความสำคัญเชิงระบบที่เพิ่มขึ้น ที่ประชุม เห็นว่าการออกกฎกระทรวงประกอบ พระราชบัญญัติสหกรณ์ยังล่าช้า หน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเร่งผลักดันให้หลักเกณฑ์ส่วนที่สำคัญ โดยเฉพาะด้านเครดิต สภาพคล่อง และการก่อหนี้ของลูกหนี้ ครัวเรือน ออกบังคับใช้ได้โดยเร็ว เพื่อดูแลความเสี่ยงในระบบสหกรณ์ออมทรัพย์ เห็นควร ให้ติดตามพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทน ที่สูงขึ้น (search for yield) ของสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ยังมีอยู่ รวมถึงความเชื่อมโยงภายในระบบสหกรณ์ที่เพิ่มขึ้นจากการปล่อยกู้ ระหว่างกัน อาจเป็นช่องทางสำคัญในการส่งผ่าน ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องภายในระบบสหกรณ์

    4.พฤติกรรม search for yield ยังมีต่อเนื่องในหลายภาคส่วน อาจนำไปสู่ การประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร โดยธุรกิจประกันภัยลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น กองทุนรวม ตราสารหนี้ ที่มีกำหนดอายุโครงการ (term funds) ยังลงทุนกระจุกตัวสูงในบางประเทศและ ผู้ออกตราสารบางราย กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ขยายการลงทุนออกจากธุรกิจหลักดั้งเดิม และมีโครงสร้างกลุ่มธุรกิจที่ซับซ้อน ด้านภาคครัวเรือนมีแนวโน้มลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยยังต้องติดตามปัญหาการหลอกลวงประชาชนให้ ลงทุนในแชร์ลูกโซ่และเงินดิจิทัลปลอมในระยะข้างหน้า

    ที่ประชุมประเมินว่า ความเสี่ยงต่อ เสถียรภาพระบบการเงินจะยังอยู่ในระดับสูง ต่อไป หน่วยงานกำกับดูแลทั้งธปท. สำนักงาน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานคณะกรรมการ กำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย จะร่วมกันประเมินและติดตามความเสี่ยงต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงปรับปรุงและบังคับใช้ กฎเกณฑ์การกำกับดูแลให้เหมาะสมกับ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาที่อาจกระทบกับ เสถียรภาพระบบการเงินของประเทศ
    Source: กรุงเทพธุรกิจ
    ข่าว ธปท.
    https://www.bot.or.th/Thai/PressandSpeeches/Press/News2562/n3662t.pdf
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    FB_IMG_1562938472048.jpg

    (Jul 11) เอกชนห่วงบาทแข็ง ถกธปท.สัปดาห์หน้า ชี้32ต่อดอลล์เหมาะ : กกร.หั่น"จีดีพี"ปีนี้เหลือ 2.9-3.3% หลังเศรษฐกิจโลกชะลอจาก พิษสงครามการค้า ขณะ"ส.อ.ท.-สภาหอการค้า"ห่วงเงินบาทแข็งเร็วแซงเพื่อนบ้านซ้ำเติมภาคส่งออก เตรียมบุก ธปท. ถกแนวทางแก้ปัญหา แนะลดดอกเบี้ยนโยบาย พร้อมระบุระดับเหมาะสมควรอยู่ที่ 32 ต่อดอลลาร์ ด้าน"สมคิด"มั่นใจแบงก์ชาติดูแลอยู่ ลั่นการเมืองไม่แทรก

    การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) วานนี้ (10 ก.ค.)ที่ประชุมได้ปรับลดคาดการณ์การ ขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือ 2.9-3.3% จากเดิม 3.7-4.0% พร้อมปรับลด คาดการณ์การขยายตัวของการส่งออกไทยในปีนี้เป็นเติบโต 1% ถึงติดลบ1% จากเดิมคาดเติบโต 3-5%

    นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการ ผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย ในฐานะประธานประชุมกกร. กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา มีสัญญาณอ่อนแอลง สะท้อนการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวในระดับต่ำ จากผลกระทบจากปัจจัยภายนอก ซึ่งมาจาก สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน ที่ยืดเยื้อและยังไม่มีข้อยุติ ทำให้กระทบต่อเศรษฐกิจชะลอตัว และกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยอย่างมีนัยสำคัญ กกร. จึงได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัว ทางเศรษฐกิจของไทยลง

    "มองไปในช่วงที่เหลือของปีนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีความท้าทายและขาดปัจจัยหนุน แม้ว่าส่งออกจะกลับมาฟื้นได้ในครึ่งปีหลัง เพราะประเมินว่ามีโอกาสน้อยที่สหรัฐจะมีการเก็บภาษีล๊อตสุดท้ายกับจีนแต่เศรษฐกิจโลก ที่ซบเซา และค่าเงินบาทที่แข็งค่า จะเป็น ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงอยู่ และคาดว่าหากความรุนแรงสงครามการค้ามากกว่าที่คาด แม้จะไม่มีผลลบในปีนี้ แต่อาจมีผลต่อเนื่องไปถึงปีหน้าได้"

    จ่อบุกธปท.กดดันดูแลบาท

    ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ที่ประชุมกกร. ยังมี การพูดถึง ปัจจัยที่ฉุดรั้งการขยายตัวเศรษฐกิจ ยังมาจาก การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าด้วย เนื่องจากหากดูค่าเงินบาทตั้งแต่ต้นปี จนถึงปัจจุบันพบว่าแข็งค่า แล้วใกล้เคียง 6% ซึ่งเป็นการแข็งค่ากว่าค่าเงินในภูมิภาคทำให้ความสามารถการแข่งขันด้านการส่งออกของไทยต่ำลง เมื่อเที่ยบกับประเทศในภูมิภาค ดังนั้น ถือเป็นสิ่งที่สภาอุตสาหกรรม และสภาหอการค้าไทย เป็นห่วงว่าอาจมีผลกระทบต่อผู้ส่งออก และซ้ำเติม เศรษฐกิจลงไปอีกหากไม่รีบแก้ไข

    ดังนั้น สภาอุตสาหกรรมและสภาหอการค้า เตรียมจะเข้าไปหารือธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ให้มีการดูแลค่าเงินบาท อย่างเร่งด่วน ซึ่งคาดว่าการหารืออย่างเร็วที่สุดน่าจะเกิดขึ้นได้ในสัปดาห์หน้านี้ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องเร่งเข้าไปดูแล และเชื่อว่า ธปท.มีศักยภาพในการดูแลค่าเงินบาท ให้อ่อนค่าได้ และดูแลค่าเงินบาทไม่ให้ ผันผวนหวือหวา และให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวสอดคล้องกับภูมิภาคได้ โดยมองว่าเงินบาทระดับที่เหมาะสม ควรอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์

    จี้หั่นดอกเบี้ยดูแลค่าเงิน

    ทั้งนี้การดูแลค่าเงินบาทให้อ่อนค่า นั้น ธปท.สามารถดูแลได้ผ่านหลายมาตรการ เช่น การลดดอกเบี้ย โดยเชื่อว่า สามารถทำได้ และต้องทำอย่างเร่งด่วน โดยไม่จำเป็นต้องรอ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ย เพราะหากทำช้าไปมาตรการนี้ก็อาจไม่ได้เกิดประโยชน์ นอกจากนี้สิ่งที่ธปท.ทำได้คือการเร่ง ให้เกิดการใช้สกุลเงินท้องถิ่นเพื่อซื้อขาย กับประเทศในภูมิภาค โดยเฉพาะการค้า ชายแดน ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันของค่าเงินในระยะข้างหน้าได้

    "เรามีการเรียกร้องให้ธปท. ออกมา ชะลอการแข็งค่าของค่าเงินบาท เพราะค่าเงินเราแข็งค่ากว่าชาวบ้าน ไม่มีเงินประเทศไหนที่แข็งค่ากว่าประเทศเรา ดังนั้นประเด็นนี้น่าห่วง หากไม่รีบดำเนินการจะยิ่งแย่ หากปล่อยไปอาจกระทบต่อส่งออกมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงเรียกร้องธปท.ให้ดูแลเร่งด่วน เพราะวันนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าแล้ว 6% แข็งค่ากับเพื่อนบ้านทำให้ความสามารถการแข่งขันต่ำลง หากเทียบกับเพื่อนบ้านที่มีค่าเงินอ่อนค่า เช่นหากเวียดนาม ค่าเงินอ่อนกว่ากว่าไทย 2-3% อาจทำให้ ไทยมีตุ้นทุนเพิ่มขึ้น 5-6% ได้

    "สมคิด"มั่นใจธปท.ดูแลอยู่

    นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่า ขึ้น สะท้อนว่าประเทศไทยเป็นที่พึ่งพิงการลงทุน ซึ่งธปท.ต้องกำกับดูแลและต้องตรวจสอบอย่างใกล้ชิด การเมืองไม่ควรแทรกแซง แต่ก็ฝากให้ ธปท. ดูแลเป็นอย่างดี

    "ถ้าประเทศไม่ดี เงินลงทุนก็ไม่มา แต่เงินที่มาก็มีทั้งสั้นและยาว แบบที่ต้องการคือเงินยาว ซึ่งแบงก์ชาติ ก็รู้อยู่ แล้วว่า บาทแข็ง ก็ฝากดูแล"

    ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากสงครามการค้า ได้ส่งผลกระทบ ต่อการส่งออกและเศรษฐกิจไทย ซึ่ง ตนมองว่า จีดีพีเราหากสามารถขยายตัว ได้เกินกว่า 3% ก็ดีแล้ว และ ไม่ใช่เรื่อง ที่พอใจหรือไม่พอใจ แต่ต้องทำให้ดีที่สุด เพราะเรารู้อยู่แล้วว่า พื้นฐานเศรษฐกิจเราดี และเรามาถึงจุดที่ไม่ควรจะถดถอย แต่บังเอิญเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ก็อย่ากังวลมากเกินไป ต้องมั่นใจว่า จะเปลี่ยนผ่านไปได้

    "สักพัก ความแน่นอนก็จะปรากฏ ต้องช่วยกันฝ่าฟัน จริงอยู่ว่า งบประมาณปี 63 อาจจะล่าช้า แต่จะชดเชยด้วยอย่างอื่น ตอนนี้ทุกคนก็เตรียมตัว ดูแล เหตุการณ์แล้ว ซึ่งเรื่องความเชื่อมั่น เป็นเรื่องสำคัญที่จะส่งผลต่อการบริโภคและการลงทุน เราไม่มีอะไรด้อย ทุกคน ทุกประเทศเจอปัญหาหมด เพียงแต่เรา อยู่ในอาเซียน เราต้องดูแลตัวเอง อย่าชักปืนยิงเท้าตัวเอง ไม่ต้องกังวลมากไป แบงก์รัฐเองก็พร้อมที่จะดำเนินการตาม นโยบายรัฐบาลอย่างเหมาะสมไม่ใช่เอาแต่ กระตุ้น การเปลี่ยนแปลงให้เข้มแข็งสำคัญกว่า"
    Source: กรุงเทพธุรกิจ
    https://inews.bangkokbiznews.com/read/374999
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20190712_204053.jpg

    (Jul 10) Update: 3 เหตุผลของ 'พอล ครุกแมน' ทำไมทรัมป์กำลังแพ้ 'เทรดวอร์' : พอล ครุกแมน นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ เมื่อปี 2008 จากผลงานด้านการค้าระหว่างประเทศและภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ เขียนคอลัมน์แสดงความคิดเห็นในเชิงเศรษฐกิจและสังคม ให้กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์เป็นประจำทุกสัปดาห์มาตั้งแต่ปี 2000 นอกเหนือจากการทำหน้าที่สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยแล้ว

    ข้อเขียนของครุกแมนตีพิมพ์เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมาน่าสนใจเป็นพิเศษ เมื่อครุกแมนเขียนถึง "สงครามการค้า" ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพ่ายแพ้ในสงครามที่เคยประกาศเอาไว้อย่างอหังการในตอนต้นว่าเป็น "เรื่องดี ที่เอาชนะได้ง่ายมาก"

    แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เพียงแต่จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถเอาชนะได้เท่านั้น หากกำลังจะพ่ายแพ้ในสงครามการค้าอีกต่างหาก

    แน่นอน กำแพงภาษีที่ทรัมป์ประกาศใช้นั้นทำให้จีนและประเทศอื่น ๆ เจ็บปวดทางเศรษฐกิจไม่น้อย แต่สหรัฐอเมริกาก็เจ็บตัวตามไปด้วยเช่นเดียวกัน ครุกแมนชี้ว่าธนาคารกลางของสหรัฐสาขานิวยอร์กถึงกับประเมินไว้ว่า คนอเมริกันจะลงเอยต้องใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึงกว่า 1,000 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี เพราะกำแพงภาษีของทรัมป์

    โดยที่ยังไม่มีวี่แววว่า ทรัมป์จะประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางเอาไว้คือ การลดการขาดดุลการค้าของประเทศลงและกดดัน บีบบังคับให้ชาติอื่นเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างมีนัยสำคัญได้แต่อย่างใด

    ความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจนั้นเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ แต่การบีบบังคับให้ชาติอื่นทำตามความต้องการนั้นยังไม่เป็นผล ครุกแมนยกตัวอย่างไว้ชัด ๆ 2 กรณี หนึ่งคือ เรื่องการโยนข้อตกลงจัดตั้งเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟตา) ของเดิมทิ้งไปเพื่อเปิดเจรจากับเม็กซิโกและแคนาดาเสียใหม่

    ลงเอยด้วยการได้ความตกลงนาฟตาใหม่ที่แทบเหมือนของเดิมทุกอย่าง ชนิดที่ต้องใช้แว่นขยายส่องถึงมองเห็นความแตกต่าง แถมยังมีโอกาสที่ข้อตกลงใหม่นี้จะไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาอีกต่างหาก

    อีกตัวอย่างคือ การไป "สงบศึกชั่วคราว" กับจีนในที่ประชุมจี 20 โดยที่ไม่มีอะไรตอบแทนกลับมา นอกจากคำว่ากล่าวคลุมเครือเพียงไม่กี่คำ

    ครุกแมนให้เหตุผลไว้ 3 ประการว่าคือ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การทำสงครามการค้าของทรัมป์ล้มเหลวและกำลังจะพ่ายแพ้

    แรกสุดคือ การที่แนวคิดนี้เป็นวิถีเอกัตนิยม ที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของโลกโดยแท้ เป็นแนวนโยบายที่ยึดถือเอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าประเทศอื่น ๆ ก็เป็นเช่นเดียวกันกับสหรัฐอเมริกา

    สหรัฐมีวัฒนธรรมจำเพาะที่เป็นของตนเอง, มีประวัติศาสตร์ มีอัตลักษณ์ ภาคภูมิใจในความเป็นอิสระ ไม่ยินยอมต่อความรู้สึกกดดันบีบบังคับจากชาติอื่น ๆ ประเทศอื่น ๆ ก็มีคุณลักษณะเช่นนี้เหมือนกับที่สหรัฐอเมริกามี

    ดังนั้น ความคิดที่ว่าจีนหรือชาติอื่น ๆ จะยินยอมทำความตกลงที่มองแล้วเหมือนเป็นการจำนนต่อสหรัฐอเมริกานั้นเป็นความคิดที่ "บ้า" ไปแล้วประการที่สอง ทรัมป์กับบรรดานักตั้งกำแพงภาษีทั้งหลายในรัฐบาลสหรัฐ เหมือนมีชีวิตอยู่ในอดีตกาล ไม่เข้าใจไม่ตระหนักถึงความเป็นจริงของเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ คิดเหมือนกับที่วิลเลียม แม็คคินลีย์ ประธานาธิบดีอเมริกันเมื่อกว่า 100 ปีมาแล้วคิด ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงเปลี่ยนแปลงไปจนหมด

    ในอดีตที่ผ่านมาการถามว่า "สินค้าที่ผลิตจากที่ไหน" สามารถมีคำตอบได้ง่าย ๆ ต่างจากทุกวันนี้ ที่สินค้าแต่ละชิ้นที่ประกอบในจีนใช้ส่วนประกอบจากทั้งเกาหลีหรือญี่ปุ่น

    สงครามการค้าไม่ได้ทำให้การประกอบสินค้าย้ายจากจีนมายังสหรัฐอเมริกา แค่โยกไปยังประเทศในเอเชียอื่น ๆ อย่างเช่น เวียดนาม เป็นต้น

    ข้อสุดท้ายก็คือ สงครามการค้าของทรัมป์ ไม่ได้เป็นที่นิยมชื่นชอบ แต่กลับกันในทางตรงกันข้าม ไม่ได้รับความนิยมและถูกต่อต้านทั้งตัวนโยบายและตัวทรัมป์ ซึ่งจะส่งผลในทางการเมืองในที่สุด

    ในตอนท้าย ครุกแมนทำนายจุดจบของสงครามการค้าของทรัมป์เอาไว้ด้วย ที่ผ่านมาไม่ว่าจะในครั้งไหน ๆ สงครามการค้าไม่เคยมีผู้ชนะที่ชัดเจนเลยสักครั้ง แต่ในเวลาเดียวกันกลับทิ้งรอยแผลที่คงอยู่ยาวนานเอาไว้ให้กับเศรษฐกิจโลก

    ในสงครามการค้าของทรัมป์ ที่ใหญ่โตกว่าทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา ก็คงลงเอยในทำนองเดียวกัน

    ไม่ว่าทรัมป์จะบิดเบือนอย่างไร ผลลัพธ์สุดท้ายที่แท้จริงก็จะลงเอยด้วยการที่ความน่าเชื่อถือ เครดิตของประเทศที่สหรัฐสั่งสมมาได้รับความเสียหายครั้งใหญ่

    ในขณะเดียวกัน ทุกคนก็จะยากจนลง และหลักการ กฎเกณฑ์ที่เคยใช้เป็นหลักสากลของนานาประเทศก็จะ อ่อนแอลง

    ทรัมป์อาจจะลงเอยเหมือนอดีตประธานาธิบดีแม็คคินลีย์ ที่สุดท้ายก็ต้องออกมายอมรับว่า การทำสงครามเชิงพาณิชย์นั้นหากำไรไม่ได้ และเรียกร้องหาความสัมพันธ์ทางการค้าที่ "เป็นมิตรและมีเจตนาดี" ต่อกันในที่สุด
    คอลัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจโลก: ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
    Source: ประชาชาติธุรกิจ
    https://www.prachachat.net/world-news/news-348611
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    FB_IMG_1562939088714.jpg

    (Jul 10) Update: เกาหลีใต้จุดกระแส 'แบนสินค้าญี่ปุ่น' สุมไฟ ' สงครามการค้า' คู่ใหม่ : นับตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ดูเหมือนจะแตกร้าวมากขึ้น หลังจากที่รัฐบาลโตเกียวสั่งคุมเข้มการส่งออกวัตถุดิบไฮเทคที่สำคัญ 3 ชนิด ซึ่งเกาหลีใต้ต้องพึ่งญี่ปุ่นในสัดส่วนสูงถึง 90% ขณะที่กระแสโจมตีในโลกโซเชียลของโสมขาว ที่เรียกร้องให้"แบนสินค้าญี่ปุ่น" กำลังกระพือเป็น วงกว้าง

    เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นยกระดับมาตรการเข้มงวดสำหรับการส่งออกวัตถุดิบ 3 ชนิด ได้แก่ ไฮโดรเจนฟลูออไรด์ ใช้ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์, ฟลูออริเนต โพลีไอไมด์ วัตถุดิบสำหรับผลิตจอแสดงผล และสารโฟโตไลซิส ใช้ในการผลิตชิปหน่วยความจำใน สมาร์ทโฟน

    สมาคมการค้าระหว่างประเทศของเกาหลีใต้กล่าวกับสื่อท้องถิ่นว่า "ไฮโดรเจนฟลูออไรด์" พบว่ายังมีประเทศอื่นที่ผลิตสารดังกล่าว ได้แก่ จีน ไต้หวัน และอินเดีย ซึ่งเกาหลีใต้อาจนำเข้าจากประเทศเหล่านี้แทน แต่สำหรับวัตถุดิบอีก 2 ตัว เกาหลีใต้ยังต้องพึ่งพาญี่ปุ่นเพราะเป็นประเทศที่ผลิตสารเหล่านั้นมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยที่ผ่านมาเกาหลีใต้มีการนำเข้าจากญี่ปุ่นกว่า 90% อย่างไรก็ตาม ทางการเกาหลีใต้กำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะใช้วัตถุดิบอื่นทดแทน

    เจแปนไทมส์ระบุว่า แม้ว่าเกาหลีใต้จะสามารถหาวัตถุดิบทดแทนได้ 1 ใน 3 วัตถุดิบสำคัญที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่น แต่ด้วยมาตรการที่เข้มงวดขึ้นของญี่ปุ่นทำให้กระบวนการส่งออกต้องใช้เวลามากขึ้นอีกประมาณ 90 วัน ขณะที่สต๊อกวัตถุดิบเหล่านี้ของบริษัทเทคโนโลยีเกาหลีอาจไม่เพียงพอต่อการผลิตในระยะข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลต่ออุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนและอื่น ๆ ของเกาหลีใต้ในระยะสั้น คาดว่าจะกระทบบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง ซัมซุง แอลจี และเอสเคไฮนิกซ์ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกรวมกันราว 20% ของการส่งออกทั้งหมดของเกาหลีใต้

    ขณะที่ยังไม่มีมาตรการตอบโต้ที่ชัดเจนจากรัฐบาลโซล นอกจากคำขู่เรื่อง "การแซงก์ชั่น" บางธุรกิจของญี่ปุ่นในเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียของโสมขาว เพื่อเรียกร้องให้ "แบน" สินค้าหลายประเภท จากญี่ปุ่น

    "เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์" ระบุว่า ชาวเกาหลีใต้คาดหวังว่ากระแสแบนในโซเชียลจะช่วยเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลทำการตอบโต้ญี่ปุ่นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

    โดยผู้สนับสนุนการแบนสินค้าญี่ปุ่นจำนวนหลายหมื่นคนได้ลงนามในคำร้องบนเว็บไซต์สำนักงานประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เรียกร้องให้โจมตีสินค้าส่งออกหลัก ๆ ของญี่ปุ่น ที่ได้รับความนิยมในเกาหลีใต้ ได้แก่ รถยนต์, เครื่องสำอาง, เบียร์, แบรนด์เสื้อผ้ายอดนิยมของญี่ปุ่น เช่น ยูนิโคล ทั้งร่วมกันโพสต์ข้อความติดแฮชแท็ก "Boycott Japan" ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อยกเลิกการไปเที่ยวในญี่ปุ่น ลามไปถึงอุตสาหกรรมบันเทิง ด้วยการกดดันให้ศิลปินในหลายวงที่มีสมาชิกเป็นชาวญี่ปุ่น เช่น TWICE, IZ*ONE, NCT 127, Pentagon และ GWSN ให้ลาออกจากสมาชิก ของวง

    "เจทีบี" ตัวแทนการท่องเที่ยวรายใหญ่ของญี่ปุ่นแสดงความเห็นว่า กระแสต่อต้านในโซเชียลกำลังเพิ่มความเสี่ยงให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น โดยในปีที่ผ่านมามีชาวเกาหลีใต้เดินทางเข้ามาในญี่ปุ่นราว 7.5 ล้านคน และใช้จ่ายราว ๆ 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เกาหลีใต้ติดท็อป 5 นักท่องเที่ยวที่เดินทางเยือนญี่ปุ่นของแต่ละปี ทั้งระบุว่า "ผลกระทบจากการต่อต้านบนโซเชียลเป็นหายนะในยุคนี้ และจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในทางอ้อม"

    รายงานข่าวยังระบุว่า ปี 2018 เกาหลีใต้นำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่นประมาณ 40,000 คัน กระแสการคว่ำบาตรรถยนต์ญี่ปุ่นจะสร้างความกังวลอย่างมากต่อค่ายรถญี่ปุ่น โดยเฉพาะโตโยต้า และมิตซูบิชิ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมในโสมขาว ทั้งยังมีการติดแฮชแท็กกล่าวถึงมาก ที่สุดด้วย

    เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการรายหนึ่งของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ โคเรีย กล่าวเพียงว่า "การต่อต้านในโซเชียลมีเดียอาจมีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ในช่วงนี้ ซึ่งบริษัทต้องประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หรือใช้แคมเปญจูงใจการซื้อ หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น"

    นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอีกหลายอย่างที่เป็นเหยื่อในการล้างแค้นทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ ได้แก่ เบียร์คิริน, เบียร์อาซาฮี, พานาโซนิค, คาเนโบ คอสเมติกส์, เอสเคทู, ชิเซโด และรองเท้าเอสิกส์ ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าของญี่ปุ่นที่ถูกติดแฮชแท็กเรียกร้องให้บอยคอต มากที่สุด

    "มาคิโกะ ทาคาฮาชิ" โฆษกหญิงของคาเนโบ คอสเมติกส์ แสดงความเห็นว่า เกาหลีใต้เป็นอีกตลาดเครื่องสำอางที่สำคัญของญี่ปุ่น กระแสบอยคอตที่รุนแรงขึ้น อาจทำให้ยอดขายของบริษัทลดลงในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผลกระทบจะไม่ขยายเป็นวงกว้างเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนอายุน้อย ซึ่งมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็นทางประวัติศาสตร์ หรือการเมืองน้อยกว่าคนรุ่นเก่า

    ขณะที่ "อาสึชิ โอซาไน" ศาสตราจารย์ประจำวิชาการตลาดระหว่างประเทศ โรงเรียนธุรกิจวาเซดะ กล่าวว่า ความรุนแรงของปมความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้กำลังยกระดับขึ้น หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์เกาหลีใต้เปิดเผยว่า กำลังพิจารณาการแซงก์ชั่นญี่ปุ่นเพื่อตอบโต้ รวมถึงเตรียมจะยื่นคำร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO)

    พร้อมทั้งชี้ว่า ประเด็นของญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้มีความคล้ายคลึงกับกรณีของ "หัวเว่ยและสหรัฐ" ในแง่ผลกระทบ ซึ่งต่างก็สะบักสะบอมพอกันจนต้องจับมือสงบศึกชั่วคราวเมื่อเร็ว ๆ นี้

    "เกาหลีใต้และญี่ปุ่น" ควรศึกษาผลกระทบอย่างรอบคอบทั้งระยะสั้นและระยะยาว ดีกว่าสุมไฟให้ลุกลามเพราะอาจจะสายเกินแก้
    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
    https://www.prachachat.net/world-news/news-348689
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20190712_204842.jpg

    (Jul 11) Update:นาย Jerome Powell, Federal Reserve Chairman ขึ้นให้การต่อ the House Financial Services Committee โดยแสดงความคิดเห็นต่อเศรษฐกิจในเชิง dovish และส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและนโยบายด้านการค้ายังคงมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งนี้ นาย Powell กล่าวว่าข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดยังไม่สามารถทำให้คาดการณ์ได้ว่าเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้น โดยความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและข้อพิพาททางการค้ายังคงส่งผลต่อการประเมินภาวะเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจของทั้งจากสหภาพยุโรปและจีนยังคงออกมาอย่างน่าผิดหวัง กอปรกับการลงทุนของภาคธุรกิจในประเทศยังเกิดการชะลอตัวอย่างมาก ซึ่งคาดว่าเกิดจากความกังวลด้านนโยบายการค้า โดยแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ และจีนจะกลับเข้าสู่การเจรจาใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังมิได้ขจัดความไม่แน่นอนที่ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจออกไป นอกจากนี้ นาย Powell ยังได้ระบุถึงตัวเลขการจ้างงาน nonfarm payroll ในเดือน มิ.ย. ที่ปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าคาดการณ์ ว่าไม่ได้ทำให้มุมมองด้านเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

    ในด้านอัตราเงินเฟ้อ นาย Powell กล่าวเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจจะยังคงอ่อนแอต่อไปยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของ Fed อนึ่ง นาย Powell กล่าวยืนยันในการดำรงตำแหน่งประธาน Fed ต่อไป แม้ว่าประธานาธิบดี Trump จะต้องการให้ตนพ้นออกจากตำแหน่ง โดยระบุว่าประธานาธิบดี Trump ไม่มีอำนาจในการดำเนินการดังกล่าว ทางด้านนาย James Bullard (St. Louis Federal Reserve President, most dovish voter) กล่าวว่า Fed ควรที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งหน้า ซึ่งจะเป็น “insurance cut” ที่มีต่อ “low inflation” ที่ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 2 และคาดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 25 bps จะไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ นาย Bullard เห็นว่ามีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ โดย Fed จำเป็นต้องปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อและปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อส่งสัญญาณต่อตลาดถึงความพยายามในการรักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเป้าหมาย

    ในประเด็นด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ นนย. เห็นว่าคณะกรรมการ FOMC หลายท่านส่งสัญญาณชัดเจนถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (คาดการณ์ที่ 25 bps) ในการประชุมเดือน ก.ค. นี้ โดยการให้ความเห็นในเชิง dovish จากนาย Powell แม้ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคง solid เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ท่ามกลาง sentiment เรื่องนโยบายการค้าที่ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลต่อ uncertainties ในอนาคตที่อาจก่อให้เกิด adverse shock ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างรุนแรง เช่น ปัจจัยด้านการเมือง ภูมิศาสตร์การเมือง รวมถึงนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่ยังมิได้ข้อสรุป ทั้งนี้ นนย. คาดว่าการตัดสินใจ คงหรือปรับลด อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการประชุมครั้งต่อๆ ไปมีแนวโน้มคาดการณ์ได้ยากขึ้น เนื่องจากเป็นการตัดสินใจที่อิงกับปัจจัยอื่นนอกเหนือจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากขึ้น จึงควรติดตาม “global development” อย่างใกล้ชิด

    Source: BoTSS

    ***********

    พาวเวล”แถลงคองเกรสส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย: นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวแถลงการณ์ต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ โดยได้ส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
    ทั้งนี้ นายพาวเวลระบุว่า เฟดจะดำเนินการอย่างเหมาะสมเพื่อรักษาการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่ปัจจัยลบหลายประการ เช่น ความตึงเครียดทางการค้า และความวิตกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก กำลังถ่วงแนวโน้มเศรษฐกิจ

    นอกจากนี้ แถลงการณ์ยังระบุว่า การลงทุนของภาคธุรกิจในสหรัฐได้ชะลอตัวลงในระยะนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อกำลังปรับตัวต่ำกว่าเป้าหมายที่เฟดกำหนดไว้ที่ระดับ 2%

    “มีความเสี่ยงที่ภาวะเงินเฟ้อที่อ่อนแอจะยังคงดำเนินต่อไปนานกว่าที่เราคาดการณ์ไว้” นายพาวเวล กล่าว

    ประธานเฟด ตั้งข้อสังเกตว่า เศรษฐกิจสหรัฐปรับตัวค่อนข้างดีในไตรมาสแรก ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคได้ดีดตัวขึ้นในไตรมาส 2 หลังจากปรับตัวอย่างอ่อนแอในไตรมาสแรก

    อย่างไรก็ตาม นายพาวเวลระบุว่า “เศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐได้ชะลอตัวลงในไตรมาส 2 ขณะที่กรรมการเฟดมีความเห็นพ้องกันว่า มีปัจจัยสนับสนุนมากขึ้นต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงินมากกว่านี้ ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมา ข้อมูลต่างๆที่เฟดได้รับต่างบ่งชี้ว่า ความไม่แน่นอนที่เกิดจากความตึงเครียดทางการค้า และความวิตกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ยังคงถ่วงแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ”

    ทั้งนี้ ในการสำรวจล่าสุด พบว่าเฟดวอทช์ ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐของซีเอ็มอี กรุ๊ป บ่งชี้ว่า นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่า มีโอกาส 100% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 30-31 ก.ค. โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 93% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.00-2.25% จากปัจจุบันที่ระดับ 2.25-2.50% และมีโอกาส 7% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 1.75-2.00%

    หากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 30-31 ก.ค. ตามการคาดการณ์ ก็จะถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ของเฟดด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี โดยเฟดไม่เคยดำเนินการดังกล่าวนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ในปี 2551
    นอกจากนี้ นายพาวเวล ยังยืนยันว่า เขาจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง แม้ว่าได้รับการเรียกร้องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

    Source: BoTSS
    https://www.reuters.com/article/us-...ng-highlight-case-for-insurance-idUSKCN1U52F2
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    รายงานไฟป่าขนาดใหญ่ในเมาอิ ฮาวาย
    ปิดถนน และสั่งการอพยพบางส่วน # 11 ก.ค.
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    นี่คือลักษณะของดวงอาทิตย์จากกองไฟใน เมาอิ ฮาวาย # 11 ก.ค.
     

แชร์หน้านี้

Loading...