ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แผ่นดินไหว ขนาด 5.5

    ภูมิภาค LOMBOK อินโดนีเซีย

    วันที่เวลา 2019-03-17 14: 07: 28.4 น. (ไทย)

    ตำแหน่ง 8.42 S; 116.51 E

    ความลึก 30 กม

    Macroseismic

    เอฟเฟกต์ ความเข้ม V: สั่นอย่างรุนแรง

    0672D462-1DD2-4283-AC3C-E0A0978848E1-372-0000001E002B7915.png 59F6F609-E323-41F6-AEB5-2369EB436A28-372-0000001E043BD9CA.png B6BC971E-10AB-4FF4-A35B-4E1E3FF4E4ED-372-0000001E101596A9.png IMG_0702.PNG

    Magnitude 5.5

    Region LOMBOK REGION, INDONESIA

    Date time 2019-03-17 07:07:28.4 UTC

    Location 8.42 S ; 116.51 E

    Depth 30 km

    Macroseismic

    Intensity V Effects: Strong Shaking

    Distances

    434 km E of Surabaya, Indonesia / pop: 2,375,000 / local time: 14:07:28.4 2019-03-17


    47 km NE of Mataram, Indonesia / pop: 319,000 / local time: 15:07:28.4 2019-03-17


    https://m.emsc.eu/earthquake/earthquake.php?evid=751458
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk


    พื้นที่สีดำที่อยู่ถัดจากดวงอาทิตย์ที่ทำให้เกิดระลอกคลื่นในอวกาศเมื่อวานนี้ในภาพด้านบนขวาส่วนใหญ่น่าจะเกิดจากวัตถุที่ถูกถ่ายภาพในวันที่ 14 ภาพด้านขวา


    ภาพด้านขวานี้น่าจะเป็นส่วนที่หักเหแสงที่กล้องจับได้ มันดูเหมือนดาวแคระน้ำตาลจริงๆภาพด้านล่างซ้าย ดาวเคราะห์สีดำและสีแดงที่ทุกคนมีความฝันเกี่ยวกับ


    ร่างกายของพระคริสต์ ผู้ที่เชื่อในพระเยซูได้รับการบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีกและได้รับการเตือนหลังจากการเตือนทันที นั่นคือมัน กำลังมาเพื่อเรา ความปีติกำลังจะเกิดขึ้นก่อนที่การพิพากษาของพระองค์จะตก และพระพิโรธของพระเจ้าเริ่มต้นขึ้น คติ


    การทำลายล้างจะเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ


    ฉันเห็นหลักฐานมากพอและได้ยินคำให้การทั่ว YouTube เพียงพอที่จะเชื่อมั่น


    คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลนี้กำลังจะเกิดขึ้นจริง

    IMG_0703.JPG IMG_0704.JPG IMG_0705.JPG IMG_0706.JPG

    The black area next to the sun that caused the ripple in space yesterday in the image on the top right was most likely caused by the object that was photographed on the 14th, the image on the right.


    This image on the right is most likely a light refraction captured by the camera. It looks exactly like a brown dwarf star, the image in the bottom left. The black and red fiery planet that everyone has had dreams about.


    The body of Christ, those who have put their faith in Jesus, are being told repeatedly, over and over and over, and are being given warning after warning, suddenly. That this is it. He is coming for us. The Rapture is about to take place before His judgment falls and God's wrath begins; The Apocalypse.


    The destruction will be mind-boggling.


    I've seen enough evidence and heard enough testimonies all over YouTube to be convinced.


    This Bible prophecy is about to be fulfilled.


    Revelation 12:3-5


    3 Then another ominous sign was seen in heaven: behold, a great fiery red dragon with seven heads and ten horns, and on his heads were seven crowns (diadems).


    4 And his tail swept [across the sky] and dragged away a third of the stars of heaven and flung them to the earth. And the dragon stood in front of the woman who was about to give birth, so that when she gave birth he might devour her child.


    5 And she gave birth to a Son, a male Child, who is destined to rule (shepherd) all the nations with a rod of iron; and her Child was caught up to God and to His throne.

    .


    The male child is the body of Christ, those who will be caught up to Heaven. The Rapture: A divine and supernatural removal of believers before fire falls. Snatched away from danger at the last minute.


    Jesus Christ is coming. Now.


    If you are not saved I plead with you watch this short video:



     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2019 ความถี่ของโลกพุ่งไปที่ 67 Hz และเหตุการณ์ดังกล่าวกินเวลา 24 ชั่วโมง


    ในวันที่ 16 มีนาคม 2019 ความถี่ของโลกพุ่งไปที่ 130 Hz จากนั้นเป็น 150 Hz และเหตุการณ์ใช้เวลา 24 ชั่วโมง


    ในเวลาเดียวกันห่างกันหนึ่งเดือน


    สิ่งที่น่าสนใจคือเหตุการณ์ทั้งสองนี้เริ่มต้นและสิ้นสุดเพียงไม่กี่นาทีก่อน 19:00 น. เวลา Tomsk, เวลารัสเซีย (GMT + 7)


    ตอนนี้นี่คือการตีความของฉันเอง แต่ถ้าหากนี่คือสิ่งที่พระเจ้าสื่อสารกับเรา


    สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ยิ่งใหญ่มากในความคิดของฉัน


    วสันตวิษุวัต vernal, supermoon สุดท้ายของปีและ Purim and Passover Eve เกิดขึ้นในวันเดียวกัน


    อิสราเอลเป็นนาฬิกาของพระเจ้า

    เยรูซาเล็มเป็นเข็มนาทีของเขา


    กรุงเยรูซาเล็มประเทศอิสราเอล 14th ของนิสันบรรจบ

    Vernal Equinox - วันพุธที่ 20 มีนาคม 2019 เวลา 23:58 น. IST


    Super Worm Moon - วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2019 เวลา 3:42 น. IST


    Purim Ends Sunset - วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2019 เวลา 17:50 น. IST


    เทศกาลปัสกา Sunset Sunset - วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2019 เวลา 17:50 น. IST


    ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในวันเดียวกันภายในช่วงเวลา 18 ชั่วโมง


    วันฮีบรูใหม่เริ่มต้นและสิ้นสุดในช่วงเวลาพระอาทิตย์ตก

    วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม 2562 เริ่มต้นในช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดินในกรุงเยรูซาเล็ม

    3/22

    เมื่อไม่นานมานี้หมายเลข 322 ได้ปรากฏขึ้นมากมาย แนะนำว่าวันที่ 22 มีนาคม 2562 เป็นเวลาที่มีการรับชมสูงมาก และ 3/23 เช่นกัน

    แต่ถ้าพระเจ้าพูดที่นี่เพื่อเฝ้าดูพิเศษอย่างใกล้ชิดก่อนวันที่ 19 มีนาคมล่ะ

    ดูที่การประทับเวลา

    19, 20, 21, 22, 23, 0

    มองใกล้.

    22, 23, 0


    พระเจ้าทรงเป็นอัจฉริยะ

    IMG_0707.JPG IMG_0708.JPG IMG_0709.JPG

    On February 16, 2019 the frequency of the earth spiked to 67 Hz and the event lasted 24 hours exactly.


    On March 16, 2019 the frequency of the earth spiked to 130 Hz, then to 150 Hz and the event lasted 24 hours exactly.


    The same time, one month apart.


    What is interesting is that both of these events began and ended just minutes prior to 19:00 hours Tomsk, Russia time. (GMT+7)


    Now, this is my own interpretation, but what if this was God communicating with us?


    This is a pretty big week ahead in my opinion.


    The vernal equinox, the last supermoon of the year, and Purim and Passover Eve falling on the same day.


    Israel is God's timepiece.

    Jerusalem is his minute hand.


    Jerusalem, Israel. 14th of Nisan Convergence.

    Vernal Equinox — Wednesday, March 20, 2019 at 11:58 pm IST

    Super Worm Moon — Thursday, March 21, 2019 at 3:42 am IST

    Purim Ends Sunset — Thursday, March 21, 2019 at 5:50 pm IST

    Passover Eve Sunset — Thursday, March 21, 2019 at 5:50 pm IST


    This all takes place the same day within an 18 hour window.


    The New Hebrew Day begins and ends at the moment of sunset.


    Friday, March 22, 2019 begins at the moment of sunset in Jerusalem.


    3/22


    The number 322 has been showing up a lot lately. Suggesting that March 22, 2019 is an extremely high watch time. And 3/23 as well.


    But, what if God was saying here to really being watching extra closely just prior to March 19th?


    Look at the time stamp.


    19, 20, 21, 22, 23, 0.


    A closer look.


    22, 23, 0.


    God is a genius.


     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หมอจีนผ่าตัดสมองคนไข้ทั้งที่อยู่ห่างกันกว่า 3,000 กม. สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Clima Extremo 24

    อินโดนีเซีย



    แผ่นดินไหวที่รุนแรงซึ่งทำให้อินโดนีเซียสั่นสะเทือน ทำให้เกิดความเสียหายกับโครงสร้างของบ้าน ในตอนเช้าในเมืองลอมบอก วันที่ 17 มีนาคม
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ภาพเป็นข่าว : พายุลูกเห็บถล่มด่านซ้าย จ.เลย
    วันที่ 17 มี.ค. 2562 เวลา 04:41 น.

    สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ทั้งหมอกควัน ทั้งฝน ทั้งพายุลูกเห็บ พัดถล่มหลายหมู่บ้าน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย..

    IMG_0711.PNG IMG_0712.PNG IMG_0713.PNG IMG_0714.PNG
    https://news.ch7.com/detail/331940
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2019
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Richard Whitt

    อสรพิษ

    • Central Planners ครองโลกผ่านการสร้างมายาให้มนุษย์ติดกับดักเป็นเครื่องผูกมัดให้หมกมุ่นสำหรับหลอกล่อเหยื่อให้ลุ่มหลงมัวเมา


    ❶ มายาประชาธิปไตย


    ❷ มายาเงินกระดาษ


    ❸ มายาความรู้


    ❹ มายาความบันเทิง


    ❺ มายาประชานิยม


    ❶ มายาประชาธิปไตย คือ...ให้เรารู้สึกดีกับการได้ไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง เพื่อเลือกผู้แทนหรือผู้นำและรัฐบาล โดยคิดว่าผู้นำหรือรัฐบาลเป็นตัวแทนรักษาผลประโยชน์ของเรา แต่ที่จริงแล้วหลังจากเราหย่อนบัตรเลือกตั้งแล้ว เราเป็นทาสพวกเขาทันที


    • ผู้นำและรัฐบาลนอกจากจะแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวแล้ว ยังรับใช้ Central Planners โดยที่รู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก็ตาม ผ่านระบบของการควบคุมที่ได้วางเอาไว้ พัฒนามาหลายศตวรรษแล้วผ่านมายาความเชื่อในวิถีของความมั่งคั่งร่ำรวย ระบบการเงิน ระบบวาณิชธนกิจ กลไกตลาดการเงิน ตลาดทุน ระบบการค้า ระบบรับส่งข้อมูล หรือ Digital ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ธรรมเนียมปฏิบัติ องค์กร หรือสถาบันต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมอำนาจของ Central Planners


    • มายาประชาธิปไตยถูกสร้างขึ้นมาอย่างเหนี่ยวแน่น จนกระทั่งอะไรที่ขัดกับประชาธิปไตยจะเหมือนคนนอกศาสนา ต้องถูกไล่ออกทั้ง ๆ เป็นที่แน่ชัดว่าเบื้องหลังประชาธิปไตยก็คือ...เผด็จการภายในและเผด็จการภายนอกของ Central Planners ที่คุมอยู่อีกชั้นหนึ่ง


    • ก่อนหน้าที่จะมีประชาธิปไตยประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ส่วนมากในโลกอยู่อย่างมีเสถียรภาพดี พอเริ่มมีประชาธิปไตยก็เริ่มมีความขัดแย้ง และการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ อำนาจอธิปไตย และที่สำคัญที่สุดจิตวิญญาความเป็นประเทศ ความเป็นชาติ


    ❷ มายาเงินกระดาษ หรือ Fiat Money คือ...ให้เราเชื่อว่ากระดาษที่สมมุติว่าเป็นเงินมีค่าทั้ง ๆ ที่มันเป็นเพียงเศษกระดาษที่ไม่ได้มีค่าอะไรมากไปกว่ารัตนชาติ (Gemstone)


    • นาย John Pierpont Morgan Senior ผู้ก่อตั้ง JP Morgan Chase Bank บอกว่าทองคือ...เงินที่แท้จริง ที่เหลือคือเครดิต Gold is money All else is Credit แต่การสร้างภาพมายาที่ผ่านมาทำให้เราหลงเชื่อว่าเงินกระดาษมีค่า ส่วนทองเป็นแค่โลหะสีเหลืองธรรมดา ทั้ง ๆ ที่ทองเป็นของมีค่า เป็นเงินที่มนุษย์ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมาหลายพันปีแล้ว


    • ที่จริงเงินกระดาษคือ...สัญญาของผู้ออก รัฐบาลหรือธนาคารกลางที่จะจ่ายอะไรบางอย่าง Promissory Notes เช่นเงิน Silver หรือ Gold ในกรณีที่คนถือเงินกระดาษไม่ต้องการถืออีกต่อไป สามารถมาแลกเงินหรือทองคำได้


    • แต่ตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์ พวก Central Planners จะมีการพิมพ์เงินกระดาษมากกว่าเงิน หรือทองที่สำรองเอาไว้เสมอ พอมีคนมาขึ้นทองมาก ๆ ก็ไม่จ่ายตลอด ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) และความเสียหายต่อระบบการเงิน แต่ผู้คนหรือชาวโลกก็ไม่เคยเข็ดหลาบ เพราะว่าระบบโดนควบคุมจนทำให้หลงติดกับดัก ขาดทุนไปแล้วก็กลับไปให้โดนหลอกซ้ำซาก


    • ขณะนี้เงินกระดาษพัฒนามาเป็นเงิน Digital อยู่ในรูป Cyber คนที่คุมเงิน Digital ยิ่งมีอำนาจมหาศาล เพราะสามารถสร้างเงิน Digital ได้ไม่จำกัด เพื่อแลกทรัพยากรที่มีค่าของโลกได้ การทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ Quantitative Easing (QE) ของ The Federal Reserve คือ...การสร้างเงิน Digital จากความว่างเปล่า แต่มนุษย์โลกก็หลงเชื่องมงาย เพราะทำให้ติดอยู่ในระบบ Matrix นั่นเอง ธนาคารแห่งประเทศไทย และระบบการเงินไทยก็ติดหล่มในระบบนี้


    ❸ มายาความรู้ คือ...การควบคุมความรู้ให้เรารู้อะไร ไม่รู้อะไร ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เจริญก้าวหน้าศึกษาสำรวจดาวเคราะห์แห่งจักรวาลทางช้างเผือกในระบบสุริยะ แต่ไม่ได้ทำให้เราไม่ตกเป็นทาสมายาความรู้


    • ความรู้ที่บิดเบือนไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม การเงิน เศรษฐศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรม ฯลฯ เช่น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นทางออกของโลก แต่จะถูกกดไม่ให้มีการเรียนการสอน แต่ให้มีการสอนว่าทุนนิยมการเงินเป็นวิถีของความร่ำรวยของโลก ทั้ง ๆ ที่ทุนนิยมการเงินเป็นเผด็จการที่ควบคุมประเทศต่าง ๆ ให้อยู่ใต้อานัติ ความรู้เรื่องธรรม (Dharmma) ถูกบดบังโดยกำไร - ขาดทุน ความโปร่งใส (Transparency) และธรรมาภิบาล (Governance)


    ❹ มายาความบันเทิง คือ...ทำให้เรารื่นเริงหลงกับอบายกับความสนุกสนาน เพลิดเพลิน จนลืมรากเหง้าของตัวเอง จนลืมหน้าที่ที่แท้จริง


    • เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมภาพยนตร์ Hollywood สร้างความหลงใหลให้เรา จะให้ใครเป็นพระเอกก็ได้ จะให้ใครเป็นผู้ร้ายก็ได้ เช่น ผู้ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนของประเทศตนเองกลายเป็นผู้ก่อการร้าย ในขณะที่ผู้บุกรุกเพื่อยึดครองทรัพยากรธรรมชาติกลายเป็นผู้ปลดปล่อย หรือพระเอกอินเดียนแดงเจ้าของประเทศกลายเป็นผู้ร้าย เพราะทำสงครามเพื่อปกป้องดินแดน ผู้บุกรุกฆ่าอินเดียนแดงจนจะหมดเผ่าพันธุ์ กลายเป็นพระเอกเพราะกำลังนำความเจริญมาให้


    ❺ มายาประชานิยม คือ...มีไว้เพื่อให้คนหมู่มากมีความหวังว่าจะได้รับเงิน รับการดูแลตลอดไปจากนักการเมือง หรือรัฐบาล เลยต้องเลือกกลุ่มเดิม ๆ เข้าไปมีอำนาจ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีนักการเมืองใด หรือรัฐบาลใดจะให้ประชาชนได้ตลอดกาล เพราะเงินที่จะให้มาจากภาษีอากร การใช้เงินล่วงหน้า สัญญาไปสัญญามาทำไม่ได้ เช่น โครงการรับจำนำข้าว โครงการประกันราคายาง เป็นต้น หรือไม่ก็ทำให้รัฐบาลไร้ซึ่งวินัยทางการเงินและการคลัง เพราะทำเกินตัวไปหมด


    • ให้ดูรัฐบาลในโลกตะวันตกเป็นตัวอย่าง ล้มละลายทางบัญชีไปหมดแล้วจากประชานิยมของระบบประกันสังคม และระบบประกันสุขภาพ หรือรัฐสวัสดิการ เพราะโดนภาวะเงินเฟ้อจากระบบการเงินกระดาษกินอีกต่อ


    • มีเงินมากเท่าใดก็ไม่เคยพอกับค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าเสมอ เงินเฟ้อกินหมด เมื่อระบบพังต่างก็โทษกันไปมาทั้ง ๆ ที่ระบบถูกวาง ถูกกำหนดให้พังอยู่แล้ว ตามสูตรของการทำลายเพื่อการควบคุมของ Central Planners


    • เราจะออกจาก Matrix of Power ของ Central Planners ได้ด้วยการกลับไปหารากเหง้าของเราคือ...'ตั้งมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์'


    ❶ ต้องชนะมายาประชาธิปไตยด้วยระบอบกษัตริย์ของเรา และธรรมาธิปไตยและสังคมธรรมาธิปไตย


    ❷ ต้องชนะมายาเงินกระดาษด้วยเงินที่หนุนด้วยทอง เงิน หรือทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่า ไม่ใช่เชื่อในเงินกระดาษเปล่า ๆ เลิกระบบหนี้ Debt Based System


    ❸ ต้องเอาชนะมายาความรู้ด้วยวิทยาการ หรือวิชาการของเราที่เราพัฒนาเอง อะไรที่เรียนรู้จากเขาได้ ก็เรียนแต่ไม่ให้เชื่อหมด เหมือนอย่างที่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า รัชกาลที่ 3 ทรงสั่งสอนเรา


    ❹ ต้องชนะมายาความบันเทิงด้วยความรู้ที่แท้จริง ทั้งทางโลก และทางธรรม


    ❺ ต้องชนะประชานิยม หรือรัฐสวัสดิการที่จะทำลายฐานะการคลัง และความมั่นคงของประเทศด้วยระบบพอเพียง ความเกื้อกูลกัน ทานบารมี เมตตาบารมีทั้งหลาย


    • บรรณานุกรม :


    Credit :



     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk


    จากพระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกของดวงจันทร์ สีเลือด Tetrad ตั้งแต่ปี 2557 - 2558 ในวันอังคารที่ 15 เมษายน 2557 เวลา 14:46 น.(ไทย) (7:46 UTC )ในเทศกาลปัสกาจนถึงวันพุธที่ 20 มีนาคม 2562 คือ 1800 วัน


    ใน Universal Time Vernal Equinox มาถึงในวันที่ 21 มีนาคมเวลา 04:58 น. ไทย (20 มีนาคมเวลา 21:58 UTC)และ Full Moon Worm Moon มาถึงวันที่ 21 มีนาคมเวลา 8:43 UTC(1:43 UTC)


    From the First Full Blood Moon of the Blood Moon Tetrad of 2014 - 2015 on Tuesday, April 15, 2014 at 7:46 UTC, on Passover, to this Wednesday, March 20, 2019 is 1800 days.


    In Universal Time, the Vernal Equinox arrives on March 20, at 21:58 UTC, and the Full Super Worm Moon comes on March 21, at 1:43 UTC.


     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทำไมเจ้าอนุวงศ์ จึงต้องปราชัย*
    6-10-696x442.jpg
    สภาพอันรกร้างของวัดวาอารามภายในเวียงจันทน์ ภาพลายเส้นวาดโดย เดอ ลาปอร์ท เมื่อปี ค.ศ. ๑๘๖๖ (พ.ศ. ๒๔๐๙) (ภาพจาก A Pictorial Journal on the Old Mekong Cambodia, Laos and Yunnan, 1998.)
    ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ กันยายน 2549
    ผู้เขียน สุวิทย์ ธีรศาศวัต
    เผยแพร่ วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2562
    * บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยประวัติศาสตร์อีสาน ๒๓๒๒-๒๔๘๘ ขอขอบคุณศูนย์วิจัยพหุลักษณ์ลุ่มน้ำโขงที่ให้ทุนโครงการวิจัยนี้
    บทนำ
    สงครามเจ้าอนุวงศ์ เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๖๙-๗๑ ต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ (๒๓๖๗-๙๔) เป็นประวัติศาสตร์ตอนที่สำคัญมากทั้งในประวัติ ศาสตร์ไทยและในประวัติศาสตร์ลาว ในประวัติศาสตร์ไทยบันทึกว่าสงครามครั้งนี้เป็นสงครามของพวกกบฏ หัวหน้ากบฏคือเจ้าอนุวงศ์เป็นคนไม่ดี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรง Promote เจ้าอนุวงศ์ที่ทูลขอให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงแต่งตั้งเจ้าราชบุตร (โย่) ของเจ้าอนุวงศ์ขึ้นเป็นเจ้านครจำปาศักดิ์ เพราะเชื่อในความจงรักภักดีในเจ้าอนุวงศ์ ซึ่งเคยช่วยไทยรบกับพม่ามาหลายครั้ง(๑) แต่เมื่อเจ้าอนุวงศ์ทรงเป็นกบฏในต้นรัชกาลที่ ๓ พระองค์จึงทรงแค้นพระทัยมากทรงสั่งให้ทำลายเวียงจันทน์มิให้เป็นเมืองอีกต่อไป

    ในประวัติศาสตร์ลาวถือว่า สงครามเจ้าอนุวงศ์เป็นสงครามที่ควรยกย่อง เพราะเป็นสงครามปลดแอกลาวให้พ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของไทย(๒) ผลของสงครามใหญ่หลวงนักโดยเฉพาะการกวาดต้อนประชากรจากเวียงจันทน์และลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเอามาตั้งถิ่นฐานในภาคกลางและภาคอีสาน(๓) จนเป็นเหตุให้ประชากรลาวเหลือน้อยมาจนทุกวันนี้ (ปัจจุบันประเทศลาวมีประชากร ๕.๗ ล้านคน(๔) ภาคอีสาน ๒๑.๗ ล้านคน ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖) แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่จะเสนอในบทความนี้ ประเด็นที่จะนำเสนอคือ วิเคราะห์สาเหตุของความพ่ายแพ้ของเจ้าอนุวงศ์เพื่อให้หายสงสัยว่ากองทัพเจ้าอนุวงศ์แพ้เพราะอะไร เพราะฝ่ายไทยมีอาวุธดีกว่าหรือเพราะฝ่ายไทยมีกำลังมากกว่า หรือเพราะฝ่ายลาวประเมินกำลังพันธมิตรและศัตรูผิด หรือเพราะหลายๆ ปัจจัย โดยจะกล่าวถึงสาเหตุของสงครามและสงครามโดยสังเขปเสียก่อน

    1-49.jpg
    หอพระแก้ว เวียงจันทน์ ที่ทรุดโทรมลงเมื่อคราวศึกเจ้าอนุวงศ์ ภาพลายเส้นวาดโดย เดอ ลาปอร์ท เมื่อปี ค.ศ. ๑๘๖๖ (พ.ศ. ๒๔๐๙) (ภาพจาก A Pictorial Journal on the Old Mekong Cambodia, Laos and Yunnan, 1998.)
    สาเหตุของสงครามโดยสังเขป
    หลักฐานที่เป็นทางการที่สุดของฝ่ายไทยคือประชุมจดหมายเหตุเรื่องปราบกบฏเวียงจันทน์ ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงเรียบเรียงไว้ สรุปได้ดังนี้

    ๑. ไทยปกครองลาวและภาคอีสานทั้งหมดตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๒๒ ปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ไทยปกครองลาวเป็น ๓ ส่วน คือ แคว้นหลวงพระบาง แคว้นเวียงจันทน์ และแคว้นจำปาศักดิ์ แต่ละแคว้นไม่ขึ้นแก่กันขึ้นกับกรุงเทพฯ ช่วงปลายรัชกาลที่ ๒ เกิดกบฏสาเกียดโง้งในปี พ.ศ. ๒๓๖๒ เป็นกบฏของชาวข่าในพื้นที่ภาคใต้ของลาว กองทัพของเวียงจันทน์โดยการนำของเจ้าราชบุตรโย่ (ราชบุตรองค์ที่ ๓ ของเจ้าอนุวงศ์) ปราบกบฏข่าลงได้

    เจ้าอนุวงศ์ทรงเสนอให้รัชกาลที่ ๒ ทรงตั้งเจ้าราชบุตรโย่ให้เป็นเจ้าครองแคว้นจำปาศักดิ์ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของไทยส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยเพราะเกรงว่าจะทำให้เจ้าอนุวงศ์ทรงมีอำนาจมากเกินไป แต่รัชกาลที่ ๒ ทรงเชื่อกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ว่า ถ้าลาวเข้มแข็งจะช่วยป้องกันมิให้ญวนขยายอำนาจเข้ามา การที่รัชกาลที่ ๒ ทรงตั้งเจ้าราชบุตรโย่เป็นเจ้าครองแคว้นจำปาศักดิ์ส่งผลให้เจ้าอนุวงศ์มีอำนาจเพิ่มขึ้นมาก “เพราะสามารถจะบังคับบัญชาว่ากล่าวบ้านเมืองทางชายพระราชทานอาณาเขตได้ตั้งแต่ด้านเหนือลงมาตลอดด้านตะวันออกจนต่อแดนกรุงกัมพูชา เจ้าอนุวงศ์ก็มีใจกำเริบขึ้น”(๕)

    ๒. เจ้าอนุวงศ์ทูลขอแบ่งพวกครัวชาวเวียงจันทน์ที่กวาดต้อนมาสมัยกรุงธนบุรีกลับเวียงจันทน์ รัชกาลที่ ๓ ทรงปฏิเสธ เพราะหากทรงยอมก็จะมีคนกลุ่มอื่นที่ไทยกวาดต้อนมา “พากันกำเริบ” เอาอย่างบ้าง เมื่อไม่พระราชทานตามประสงค์เจ้าอนุวงศ์รู้สึกอัปยศกลับขึ้นไปเวียงจันทน์ก็ตั้งต้นคิดกบฏ

    ๓. เจ้าอนุวงศ์ทรงเห็นว่าการที่ญวนขยายอำนาจเข้ามาในเขมรตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๒ ไทยก็ยอมเพราะไทยเกรงจะเกิดศึกกระหนาบทั้งพม่าและญวน เจ้าอนุวงศ์ทรงเอาใจออกห่างจากไทยไปฝักใฝ่ญวน หากเวียงจันทน์แยกตัวจากไทยก็คงได้ญวนเป็นที่พึ่งไทยก็อาจไม่กล้าทำศึกหลายด้าน

    ๔. มีข่าวลือถึงเวียงจันทน์ในปี พ.ศ. ๒๓๖๙ ว่าไทยวิวาทกับอังกฤษ อังกฤษจะยกทัพเรือมาตีกรุงเทพฯ จึงเป็นโอกาสเหมาะที่เวียงจันทน์จะออกหน้าก่อการกบฏ(๖)

    เพื่อความเป็นธรรมต่อเจ้าอนุวงศ์จึงนำเหตุผลฝ่ายลาวมาเปรียบเทียบกับหลักฐานฝ่ายไทย นักประวัติ ศาสตร์ลาวที่เด่นที่สุดเป็นที่ยอมรับของลาวในสมัยสังคมนิยมก็คือ ดร. มยุรี และ ดร. เผยพัน เหง้าสีวัทน์ ได้วิเคราะห์สาเหตุของสงครามเจ้าอนุวงศ์ไว้ดังนี้

    ๑. เพราะนโยบายของ “บางกอก” ที่พยายามทำให้ “ลาว” กลายเป็น “สยาม” ทำให้ลาวกลายเป็นแขวงหนึ่งของสยาม โดย ดร. มยุรี-ดร. เผยพันตี ความจากสักเลกในภาคอีสานในต้นรัชกาลที่ ๓ ว่าเป็นความพยายามที่จะกลืนชาติลาว

    ๒. ไทยกดขี่ลาวมากโดยดอกเตอร์ทั้งสองได้ยกกรณีไทยใช้ให้คนลาวไปตัดต้นตาลที่สุพรรณบุรี แล้วขนไปสมุทรปราการ กับเกณฑ์ชาวลาวไปตัดไม้ไผ่ ๕,๐๐๐ ลำ เพื่อเอาไปปิดขวางปากน้ำเพื่อป้องกันการโจมตีของอังกฤษ

    ๓. เจ้าอนุวงศ์ถูกขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายไทยหลายคนพูดจาทำกิริยาดูหมิ่นดูถูกเจ้าราชวงศ์โอรสองค์รองของเจ้าอนุวงศ์ และเป็นผู้ควบคุมคนลาวไปตัดต้นตาลที่สุพรรณบุรีขนไปปากน้ำไม่พอใจเรื่องที่คนไทยดูหมิ่น และกดขี่คนลาวดังกล่าวมาก ถึงกับไปทูลเจ้าอนุวงศ์ว่า “ข้าพเจ้าไม่ขอเป็นขี้ข้าพวกไทยแล้ว”

    ๔. ประเด็นเศรษฐกิจ ไทยพยายามปิดล้อมในการส่งสินค้าออกไปทางเขมรซึ่งขุนนางไทยผูกขาดการค้าอยู่ การขูดรีดส่วยจากลาวก็เป็นสาเหตุของการทำสงครามครั้งนี้ด้วย(๗)

    2-20.jpg
    ระเบียงหอพระแก้ว เวียงจันทน์ เต็มไปด้วยชิ้นส่วนประติมากรรมที่หักพัง ภาพลายเส้นวาดโดย เดอ ลาปอร์ท เมื่อปี ค.ศ. ๑๘๖๖ (พ.ศ. ๒๔๐๙) (ภาพจาก A Pictorial Journal on the Old Mekong Cambodia, Laos and Yunnan, 1998.)
    สงครามเจ้าอนุวงศ์โดยสังเขป
    สงครามในยุค ๑๘๐ ปีก่อนของไทยต่างจากสงครามในสมัยปัจจุบันที่เราเห็นในข่าวโทรทัศน์เป็นอย่างมาก กล่าวคือ ในยุคนั้นสงครามมีเป้าหมายหลักอยู่ที่การเก็บทรัพย์จับเชลยกลับมาไว้ที่เมืองหลวงของตน ส่วนการยึดครองพื้นที่เป็นเป้าหมายรอง หากมีกำลังมากก็ยึดครองพื้นที่ของศัตรูด้วย หากมีกำลังไม่มากพอก็ตั้งเจ้าพื้นเมืองปกครองในฐานะประเทศราช ซึ่งวิธีหลังนี้ไทยใช้กับล้านนา ล้านช้าง เขมร และหัวเมืองมลายู(๘)

    สำหรับเจ้าอนุวงศ์เป้าหมายในการทำสงครามคือการปลดแอกจากการเป็นเมืองขึ้นของไทย สำหรับวิธีการปลดแอกที่เจ้าอนุวงศ์ทรงวางแผนเอาไว้คือ ระดมพลจากเมืองที่เวียงจันทน์บังคับบัญชามาไว้ที่เวียงจันทน์กับจำปาศักดิ์ เพื่อฝึกทหารให้พร้อมรบยิ่งขึ้น แล้วส่งขุนนางพร้อมทหารส่วนหนึ่งออกไปเกลี้ยกล่อมเมืองต่างๆ ในภาคอีสานให้เข้าร่วมกับฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ ส่วนการเข้าตีกรุงเทพฯ ถ้าตีได้ก็ตี ถ้าดูท่าทีกรุงเทพฯ มีการป้องกันที่เข้มแข็งก็ไม่ตี แต่จะกวาดต้อนประชากรตามหัวเมืองรายทางที่กองทัพลาวผ่านกลับเอามาไว้ที่เวียงจันทน์และจำปาศักดิ์(๙)

    นอกจากนี้เจ้าอนุวงศ์ยังได้ส่งทูตไปชักชวนเกลี้ยกล่อมให้ญวน หลวงพระบาง หัวเมืองล้านนามีน่าน แพร่ ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ เข้ามาช่วยพระองค์ด้วย เพราะลำพังเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ กำลังน้อยกว่าฝ่ายไทยมาก ทูตที่ส่งไปญวนไปก่อนการระดมพลที่เวียงจันทน์ของเจ้าอนุวงศ์ แต่แคว้นและหัวเมืองอีก ๖ แห่งที่กล่าวข้างบนส่งไปหลังจากมีการระดมพล หมายความว่าเจ้าอนุวงศ์ทรงตัดสินพระทัยทำสงครามก่อนที่จะรู้ผลว่าอาณาจักรญวน แคว้นและหัวเมืองอีก ๖ แห่ง จะเข้าร่วมสงครามกับพระองค์หรือไม่ อันนี้เป็นการตัดสินพระทัยที่รีบร้อนเกินไป เพราะปรากฏภายหลังจากสงครามดำเนินไปแล้วว่าอาณาจักรญวน กับแคว้นและหัวเมืองอีก ๖ แห่ง มิได้เข้าช่วยในสงครามครั้งนี้ แต่ถึงตอนนั้นก็สายไปเสียแล้ว(๑๐)

    3-16.jpg
    แผนที่แสดงเมืองที่อยู่ฝ่ายเจ้าอนุวงศ์
    สำหรับเมืองในอีสานที่เจ้าอนุวงศ์ทรงส่งขุนนางและทหารไปเกลี้ยกล่อม ปรากฏว่าผลของการเกลี้ยกล่อมมีระดับที่แตกต่างกัน กล่าวคือ มี ๒ เมืองที่เข้าร่วมอย่างเต็มที่คือ นครพนมกับจัตุรัส อีก ๙ เมืองที่เข้าร่วมไม่เต็มที่เท่า ๒ เมืองแรก คือ ขุขันธ์ สระบุรี หล่มสัก ชนบท ยโสธร สุรินทร์ ปักธงชัย ขอนแก่น สกลนคร และเมืองที่เจ้าเมืองไม่เข้าร่วมและถูกทหารฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ฆ่าตายคือ เจ้าเมืองเขมราฐ กาฬสินธุ์ ภูเวียง ภูเขียว ชัยภูมิ หล่มสัก และขุขันธ์ สำหรับ ขุขันธŒตอนแรกให้ความร่วมมือดีมาก แต่ภายหลังเจ้านครจำปาศักดิ์ (เจ้าราชบุตรโย่) เกิดไม่ไว้ใจจึงฆ่าเสีย(๑๑)

    สำหรับการสงครามกล่าวโดยย่อก็คือ กองทัพฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ตอนแรก (ช่วง ๖ เดือนจากเดือนตุลา คม พ.ศ. ๒๓๖๙-มีนาคม พ.ศ. ๒๓๖๙) (นับอย่างปัจจุบัน พ.ศ. ๒๓๗๐) มีกำลังประมาณ ๑๗,๖๖๐-๓๕,๐๐๐ คน ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๗๐ มีกำลังประมาณ ๔๐,๐๐๐-๕๐,๐๐๐ คน(๑๒) กองทัพลาวยกเข้ามา ๒ สายหลัก คือ สายแรกยกจากเวียงจันทน์เข้ามาทาง ๒ ทาง คือ หนองบัวลำภู กับสกลนคร จากหนองบัวลำภูตรงมายึดเมืองโคราช ส่วนทางสกลนคร ยกมาทางกาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ตามลำดับ สายที่สองยกมาจากจำปาศักดิ์เข้ามาทางอุบลราชธานีแล้วแยกเป็นสองทาง ทางหนึ่งยกไปทางสุวรรณภูมิ อีกทางยกไปทางศรีสะเกษ ขุขันธŒ สังขะ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ประโคนชัย นางรอง การปะทะกันระหว่างกองกำลังของฝ่ายกู้ชาติเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ กับเมืองรายทางมีน้อยมาก ส่วนหนึ่งเพราะเห็นด้วยกับการกระทำของฝ่ายกู้ชาติ แต่เจ้าเมืองกรมการเมืองส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยเพราะเป็นกบฏ และเกรงจะต้องเผชิญกับการตีโต้ของฝ่ายไทย แต่เจ้าเมืองไม่มีกำลังจะต่อต้านกองกำลังของฝ่ายกู้ชาติจึงต้องทำเป็นเออออเห็นด้วยกับฝ่ายกู้ชาติ กองทัพฝ่ายเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ กวาดต้อนประชากรจากพื้นที่เขตโคราช-ลุ่มน้ำชีตอนต้น ๑๑ เมือง พื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนกลางถึงตอนปลาย ๗ เมือง พื้นที่ตอนใต้ ๙ เมือง พื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก ๘ เมือง รวม ๓๕ เมือง(๑๓) เมืองที่ใกล้กรุงเทพฯ ที่สุดคือเมืองสระบุรี เมืองศูนย์กลางการปกครองหลักของฝ่ายกรุงเทพฯ ในภาคอีสานและลาวคือเมืองโคราชก็ยึดอยู่ ๓๗ วัน ก็ถูกกวาดต้อนประชากรราว ๑๘,๐๐๐ คน หากรวมประชากรทั้ง ๓๕ เมืองที่ถูกกองทัพฝ่ายเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ กวาด ต้อนไปรวมประมาณ ๕๔,๓๒๐-๙๕,๒๑๖ คน(๑๔)

    4-13.jpg
    แผนที่แสดงเมืองที่ประชากรถูกฝ่ายเวียงจันทน์กวาดต้อน
    การกบฏของเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ครั้งนี้ “ประกาศการกู้ชาติ” ในต้นเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๓๖๙ ระดมพลและฝึกทหารราว ๓ เดือน ระหว่างกลางเดือนตุลาคม-กลางเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๓๖๙ (นับอย่างปัจจุบัน พ.ศ. ๒๓๗๐) แล้วจึงเคลื่อนกำลัง มายึดเมืองโคราชในวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ วันที่ ๒๒ กุมภา พันธ์ พ.ศ. ๒๓๖๙ (๒๓๗๐) รัฐบาลที่กรุงเทพฯ จึงทราบข่าวกบฏ หลังจากที่ฝ่ายกบฏได้ดำเนินการไปแล้วเกือบ ๕ เดือน วันที่รัฐบาลทราบข่าวกบฏยกกำลังมาถึงเมืองสระบุรี(๑๕) ซึ่งห่างจากกรุงเทพฯ เพียง ๑๑๐ กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทัพเพียง ๓-๔ วัน แสดงให้เห็นว่าการข่าวของไทยล้าหลังมาก แต่โชคดีของฝ่ายไทยที่กองทัพฝ่ายกบฏมิได้บุกกรุงเทพฯ แต่ตัดสินใจยกทัพกลับพร้อมกับเก็บทรัพย์จับเชลยกลับเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์(๑๖)

    กบฏครั้งนี้ใหญ่หลวงมากในสายตาของรัฐบาลไทย เห็นได้จากการออกคำสั่งเกณฑ์กำลังจากหัวเมืองทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ขึ้นไปจนถึงหลวงพระบาง แม้กระทั่งภาคใต้เกณฑ์ไปถึงเมืองนครศรีธรรมราช แต่อย่างไรก็ตามกำลังหลักที่รัฐบาลไทยได้ใช้ในการรบจริงๆ เป็นกำลังจากภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง (พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ กำแพงเพชร สุโขทัย พิชัย ตาก เชียงทองเดิน) กองทัพไทยเดินทัพเข้าสู่ภาคอีสาน ๕ ทาง คือ เข้าอีสานใต้ทางประโคนชัย บุรีรัมย์ ตีค่ายมูลเค็งที่พิมาย สุวรรณภูมิ ยโสธร อุบล ราชธานี จำปาศักดิ์ จากจำปาศักดิ์ตีขึ้นไปตามแม่น้ำโขงผ่านเขมราฐ มุกดาหาร นครพนม สกลนคร ทัพนี้มีบทบาทเด่นที่สุด แม่ทัพคือ พระยาราชสุภาวดีหรือเจ้าพระยาบดินทร์เดชาในเวลาต่อมา ทัพที่ ๒ ยกเข้ามาทางปากช่องโคราช มุ่งเข้าตีหนองบัวลำภู ทัพที่ ๓ ผ่านสระบุรี ด่านขุนทด แล้วไปทางเดียวกับทัพที่ ๒ ทัพที่ ๔ ผ่านสระบุรี เข้าตีเพชรบูรณ์ หล่มสัก ทัพที่ ๕ จากพิษณุโลก เข้าตีหล่มสัก แล้วแบ่งส่วนหนึ่งยกขึ้นไปทางด่านซ้าย เมืองเลย มีเป้าหมายที่เวียงจันทน์ อีกส่วนหนึ่งจากหล่มสัก เข้าตีเมืองหนองบัวลำภู(๑๗)

    5-9.jpg
    รูปปั้นเจ้าพระยาบดินทร์เดชา แม่ทัพฝ่ายไทยคราวศึกเจ้าอนุวงศ์ ขนาดเท่าคนจริง หล่อด้วยโลหะ ณ วัดจักรวรรดิราชาวาส สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๑
    กองกำลังหลักของฝ่ายเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ มี ๕ แห่ง ตั้งรับอยู่ที่ค่ายมูลเค็ง ยโสธร หล่มสัก หนอง บัวลำภู และเวียงจันทน์ การรบที่ดุเดือดที่สุดคือการรบ ที่หนองบัวลำภูซึ่งฝ่ายลาวต่อต้านอย่างเหนียวแน่นในการรบวันที่ ๓-๔ พฤษภาคม และ ๑๐-๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๗๐ ในที่สุดฝ่ายไทยก็ตีแตกทุกแห่ง เจ้าอนุวงศ์เมื่อทรงทราบว่าหนองบัวลำภูแตกก็เสด็จหนีไปเมืองญวน กองทัพยึดเมืองเวียงจันทน์ในวันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๗๐(๑๘)

    หลังจากรัฐบาลไทยทราบข่าวกบฏประมาณ ๓ เดือน กับ ๑ สัปดาห์ นับว่ากองทัพไทยมีประสิทธิภาพสูงทีเดียว แต่การกบฏมิได้ยุติเพียงนั้น เพราะภายหลังจากฝ่ายไทยเก็บทรัพย์ จับเชลยกลับมาแล้ว เจ้าอนุวงศ์ซึ่งเสด็จลี้ภัยการเมืองอยู่ในเมืองญวน ๑ ปี ๗๘ วัน(๑๙) ก็เสด็จกลับเข้าเมืองเวียงจันทน์อีก พร้อมกับคณะทูตญวนซึ่งเดินทางเข้ามาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้เจ้าอนุวงศ์

    ใน วันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๗๑ หลังจากมาถึงเวียง จันทน์ได้ไม่ถึง ๒ วัน ทหารลาวก็ฆ่าฟันทหารไทย ๓๐๐ คน ที่รักษาการณ์ในเวียงจันทน์ตายเกือบหมด เจ้าพระยาราชสุภาวดีได้รวบรวมกำลังทหารแถวเมืองเสลภูมิ ยโสธรยกกลับมาตีโต้กองกำลังของฝ่ายลาวซึ่งนำโดยราชวงศ์ที่บ้านบกหวานใต้เมืองหนองคายลงมาเล็กน้อย สู้กันจนแม่ทัพทั้งสองบาดเจ็บ แต่ในสุดกองทัพลาวก็แตก ทัพไทยเข้ายึดเวียงจันทน์ได้เป็นครั้งที่สองในวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๗๑(๒๐)

    ส่วนเจ้าอนุวงศ์เสด็จหนีไปเมืองญวนเหมือนครั้งก่อน แต่ไปไม่รอดเจ้าน้อยเมืองพวนได้แจ้งที่ซ่อนของเจ้าอนุวงศ์ให้ฝ่ายไทยทราบ ฝ่ายไทยจึงจับเจ้าอนุวงศ์และเชื้อพระวงศ์ส่งกรุงเทพฯ พร้อมทำลายเมืองเวียงจันทน์เสียราบ เจ้าอนุวงศ์และเชื้อพระวงศ์ถูกขังประจานที่ท‰องสนามหลวง ๗-๘ วัน ก็ป่วยเป็นโรคลงโลหิตพิราลัยเมื่อชันษาได้ ๖๑ ปี ครองราชย์จาก พ.ศ. ๒๓๔๗-๗๐ รวม ๒๓ ปี(๒๑) เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของเวียงจันทน์

    วิเคราะห์สาเหตุความพ่ายแพ้ของเจ้าอนุวงศ์
    หลักฐานที่ใช้วิเคราะห์หาสาเหตุความพ่ายแพ้ของเจ้าอนุวงศ์ มาจากหลักฐานชั้นต้น คือจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ ซึ่งบันทึกในขณะเกิดเหตุโดยเฉพาะรายงานของแม่ทัพนายกองขุนนาง(๒๒) บันทึกคำให้การของเชลยที่ไทยจับมาหลายคน(๒๓) ตลอดจนนิราศทัพเวียงจันทน์ซึ่งหม่อมเจ้าทับทรงนิพนธ์ พระองค์ทรงเป็นทหารของกรมหมื่นเสนีย์บริรักษ์ซึ่งเป็นแม่ทัพหน้าในการรบที่หนองบัวลำภู ทรงเห็นเหตุการณ์รบอันดุเดือดด้วย (นิราศทัพเวียงจันทน์Œนี้ สำนักพิมพ์มติชนได้ตีพิมพ์เผยแพร่ใน พ.ศ. ๒๕๔๔ เป็นเอกสารชั้นต้นที่สำคัญมาก สำหรับการศึกษาสงครามเจ้าอนุวงศ์) สาเหตุของความพ่ายแพ้ของเจ้าอนุวงศ์ตรงตามตำราของซุนวู และเหมาเจ๋อตุงที่กล่าวไว้ว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” แต่เจ้าอนุวงศ์ทรงรู้เฉพาะกำลังฝ่ายตน แต่ทรงไม่รู้กำลังฝ่ายศัตรูคือฝ่ายไทย ประเมินผิดในฝ่ายที่พระองค์ทรงคิดว่าเป็นพันธมิตรของพระองค์ คือญวน หลวงพระบาง เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่าน ดังจะวิเคราะห์เป็นข้อๆ ดังนี้

    ๑. เจ้าอนุวงศ์ทรงประเมินกำลังฝ่ายไทยผิด คิดว่าแม่ทัพนายกองรุ่นใหม่ๆ ที่เก่งๆ คงจะมีน้อยกว่าแม่ทัพนายกองรุ่นเก่าสมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งเป็นการประเมินที่ผิด สงครามเจ้าอนุวงศ์ทำให้เห็นแม่ทัพไทยที่เก่งกาจกล้าหาญหลายคน อาทิ กรมหมื่นนเรศโยธี แม่ทัพหน้าบริเวณลุ่มน้ำชีตอนต้น เจ้าพระยาราชสุภาวดี แม่ทัพไทยด้านอีสานกลาง อีสานตะวันออก และพระยาเพชรพิไชย แม่ทัพหน้าลุ่มน้ำป่าสัก(๒๔)

    ๒. เจ้าอนุวงศ์ทรงประเมิน “พันธมิตร” ของพระองค์ผิดพลาดไปหมด ทรงคิดว่า “ลาวพุงดำ” อันประกอบไปด้วย เชียง ใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่านจะเข้าช่วยพระองค์ พระองค์ทรงส่งทูตไปชักชวนลาวพุงดำเหล่านี้ ซึ่งเป็นลาวด้วยกัน ไทยปกครองแบบประเทศราชตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๑๗ ก่อนไทยปกครองล้านช้าง ๕ ปี บางเมือง เช่น น่านมีความสนิทสนมกับเจ้าราชบุตรเหง้าของเจ้าอนุวงศ์มากขนาดดื่มน้ำสาบานเป็นเพื่อนแท้กันมาแล้ว(๒๕) สำหรับหลวงพระบางเจ้าอนุวงศ์ก็ส่งทูตไปเกลี้ยกล่อมมาเป็นพวก ถึงแม้จะเคยขัดแย้งกันมาก่อนหน้านั้นหลายครั้งกับเวียงจันทน์ แต่เจ้าอนุวงศ์ทรงมองหลวงพระบางในแง่บวกคิดว่า คราวนี้เป็นศึกระหว่างลาวกับไทย

    อย่างไรเสียหลวงพระบางกับเวียงจันทน์ก็เป็นลาวด้วยกัน อย่างไรเสียน่าจะช่วยลาวมากกว่าไปช่วยไทย(๒๖) เจ้าอนุวงศ์ทรงสนิทสนมกับปลัดจันทา ปลัดน้อยยศ ๒ คนนี้เป็นปลัดกองเมืองสระบุรี เป็นลาวพุงดำ ปลัด ๒ คนนี้ไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองล้านนาทั้งห‰ามาช่วยเวียงจันทน์หลายครั้ง ส่วนเมืองน่านก็มีหนังสือไปบอกให้เมืองแพร่ ลำปาง เชียงใหม่ยกทัพมาช่วยเวียงจันทน์ตีกรุงเทพฯ โดยในหนังสือนั้นบอกว่าให้ยกทัพมาช่วยรัชกาลที่ ๓ ซึ่งถูกกรมพระราชวังบวรฯ แย่งชิงอำนาจ แต่ล้านนาก็มิได้ตกหลุมพรางง่ายๆ เพราะการเป็นกบฏต่อไทยเป็นเรื่องใหญ่มาก ไทยมีประเทศราชมาก ไทยจะเกณฑ์หัวเมืองประเทศราชที่เหลือมาปราบกบฏเหมือนที่กำลังทำต่อเวียงจันทน์ ประเทศราชใดไม่มาช่วยตามคำสั่งของรัฐบาลไทยก็ถือเป็นกบฏไปด้วย ดังนั้นทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับประเทศราชก็คือ อยู่ฝ่ายไทย แต่ก็อยู่ฝ่ายไทยอย่างฉลาดคือยกทัพไปเวียงจันทน์แต่ไปอย่างช้าที่สุด เมื่อไปถึงไทยก็ยึดเวียงจันทน์เรียบร้อยแล้ว ส่วนหลวงพระบางก็เข้ากับฝ่ายไทยเหมือนล้านนา

    กล่าวโดยสรุปพันธมิตรที่เจ้าอนุวงศ์ทรงคาดหวังว่าจะอยู่ฝ่ายพระองค์เมื่อตอนเริ่มต้นของสงคราม แต่ต่อเมื่อเคลื่อนทัพไปไกลแล้วก็ทรงพบว่าหลวงพระบางและ ๕ หัวเมืองล้านนาไม่มีทีท่าชัดเจนว่าจะอยู่ฝ่ายพระองค์ พระองค์จึงทรงขอร้องให้หัวเมืองล้านนาทั้งห้าวางตัวเป็นกลาง พระองค์ก็ทรงพอพระทัยแล้ว(๒๗) แต่พระองค์ก็ต้องทรงผิดหวัง เพราะหัวเมืองทั้ง ๖ แห่งที่กล่าวข้างต้นเข้ากับฝ่ายไทยทั้งหมด

    7-3.jpg
    แผนที่แสดงการตีโต้ของฝ่ายไทยในสงครามเจ้าอนุวงศ์
    สำหรับญวนเป็นอาณาจักรที่เจ้าอนุวงศ์ทรงคาดหวังมากว่าจะเป็นพันธมิตรของพระองค์ ทรงส่งทูตไปเจรจาหลายครั้ง ขอร้องให้ญวนโจมตีไทยทางปากน้ำเจ้าพระยา ยังมิทันได้คำตอบจากญวน พระองค์ก็ทรงตัดสินพระทัยทำสงครามไปแล้ว องค์ต๋ากุนแม่ทัพใหญ่ของญวนในญวนใต้เห็นด้วยที่จะทำสงครามกับไทย แต่จักรพรรดิมินหม่างทรงรู้ว่าราชวงศ์จักรีมีพระคุณต่อจักรพรรดิยาลองในการทำสงครามกอบกู้ราชวงศ์เหวียนขึ้นมาได้ การมาช่วยลาวโจมตีไทยก็เหมือนคนอกตัญญู(๒๘) ประกอบกับขณะนั้นเกิดอหิวาต์ระบาดในเมืองญวนคนตายเป็นจำนวนมาก จากเหตุผลดังกล่าวญวนจึงวางเฉยต่อการชักชวนของเจ้าอนุวงศ์ดังกล่าว ตอนที่เจ้าอนุวงศ์ทรงบอกให้หัวเมืองล้านนาทั้งห้าวางตัวเป็นกลางนั้น พระองค์ยังทรงหวังว่าจะได้กำลังจากญวนมาช่วยเพราะพบหลักฐานในเอกสารชั้นต้นเป็นหนังสือที่แจ้งให้หัวเมืองล้านนาตอนหนึ่งว่า “เรากับเมืองญวนเท่านั้นก็สำเร็จโดยง่าย”(๒๙) นี่คือการประเมินที่ผิดพลาดอย่างสำคัญของเจ้าอนุวงศ์

    สำหรับอังกฤษ เจ้าอนุวงศ์ทรงประเมินท่าทีผิดพลาดก่อนประเมินรัฐและหัวเมืองอื่น เป็นความผิดพลาดที่สำคัญกว่าความผิดพลาดอื่นด้วย เพราะปัจจัย ที่ทำให้เจ้าอนุวงศ์ทรงตัดสินพระทัยว่าถึงเวลาแล้ว ที่เวียงจันทน์จะต้องประกาศเอกราชจากไทยก็คืออังกฤษนั่นเอง กล่าวคือ ในช่วงที่พระองค์ประทับอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอังกฤษไม่ดีนัก อังกฤษส่งทูตคือกัปตันเฮนรี่ เบอร์นี่ มาเจรจาเพื่อทำสัญญาทางไมตรีและการค้ากับไทย ตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๖๘ เจรจาอยู่ ๓ เดือนก็ยังไม่ยุติ เจ้าอนุวงศ์ก็เสด็จกลับเวียงจันทน์ และต่อมาก็มีข่าวลือไปถึงเจ้าอนุวงศ์ที่เวียงจันทน์ว่าไทยมีเรื่องกับอังกฤษ ดังปรากฏในจดหมายเหตุ ร.๓ จ.ศ. ๑๑๘๗ เลขที่ ๕/ข ว่า

    “เรา [เจ้าอนุวงศ์] ได้ยินข่าวทัพเรืออังกฤษก็มารบกวนปากน้ำ…น่าที่เราจะยกกองทัพใหญ่ไปตีกรุงเทพฯ ก็เห็นได้โดยง่ายเพราะเราจะเป็นทัพกระหนาบ ทัพอังกฤษเป็นทัพหน้าอยู่ปากน้ำ ไทยก็จะพว้าพวังทั้งข้างหน้าข้างหลัง คงจะเสียทีเราเป็นมั่นคงไม่สงสัย”(๓๐)

    ข้อมูลเรื่องอังกฤษจะรบกับไทยนี้จึงเป็นข้อมูลที่สำคัญยิ่งต่อชะตาของเวียงจันทน์ เป็นเรื่องที่โชคร้ายมากที่เจ้าอนุวงศ์ทรงเชื่อข้อมูลนี้ จึงทรงตัดสินพระทัย “กู้ชาติ” ทั้งๆ ที่กำลังทหารของพระองค์ยังไม่มากพอจะต่อกรกับไทยตามลำพัง ในแผนการสงครามกู้ชาติของพระองค์จึงมีอังกฤษเป็นพันธมิตร (ที่ไม่ได้เซ็นสัญญา) ที่รบกับไทยทางด้านปากน้ำเจ้าพระยา ส่วนฝ่ายเวียงจันทน์ตีไทยทางด้านเหนือและอาจจะมีญวนช่วยตีทางด้านปากน้ำอีกทัพ หากเป็นไปตามแผนที่จินตนาการไว้นี้ไทยจะต้องแย่แน่ๆ ฝ่ายเวียงจันทน์เองก็รบง่ายขึ้น ไม่ต้องใช้กำลังมากมายก็อาจเอาชนะไทยได้ ในจินตนา การของพระองค์ยังทรงดึงล้านนาและหลวงพระบางให้ช่วยตีไทยทางเหนืออีกด้วย

    8-4.jpg
    โบสถ์วัดสีสะเกด สร้างโดยเจ้าอนุวงศ์ เป็นวัดเดียวที่ไม่ถูกทำลายคราวกองทัพไทยทำลายเวียงจันทน์
    แต่จินตนาการสงครามของพระองค์ต้องล้มเหลวเพราะเมื่อเวลาทำสงครามจริงพันธมิตรในจินตนาการของพระองค์กลับไม่ได้เกิดขึ้นจริง อังกฤษก็เซ็นสัญญาเบอร์นี่กับไทย ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๖๙ (๔ เดือนหลังจากพระองค์เสด็จออกจากกรุงเทพฯ) ญวนก็ไม่ได้ยกทัพมา หลวงพระบางและล้านนาไทยทั้งห้าก็ไม่ได้มาช่วยพระองค์ จึงมีแต่กำลังของเวียง จันทน์-จำปาศักดิ์เท่านั้นก็ต้องรบกับไทยตามลำพัง

    เรื่องอังกฤษรบกับไทย แม้ในเวลาต่อมาเจ้าอนุวงศ์คงจะทรงทราบว่าไม่จริง แต่นักประวัติศาสตร์ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงทราบความจริงตอนไหน อาจจะเป็นตอนที่มาถึงโคราชแล้วก็ได้ ตอนที่กองทัพเวียงจันทน์มาถึงโคราชที่แรก แจ้งกับกรมการเมืองโคราชว่า ยกทัพมาช่วยกรุงเทพฯ รบกับอังกฤษและขอเบิกข้าวจากฉางหลวงเมืองโคราช โดยอ้างว่าจะเอาไปเป็นเสบียง กรมการเมืองโคราชก็ไม่เคยทราบเรื่องไทยรบกับอังกฤษ ปกติเรื่องสำคัญขนาดนี้สมุหนายกจะต้องรีบแจ้งเจ้าเมืองโคราชให้ทราบอยู่แล้ว เพื่อเกณฑ์กองทัพเสบียง แต่นี่ไม่มีหนังสือแจ้งจึงดูจะไม่ค่อยเชื่อคำกล่าวอ้างของฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ แต่ด้วยกองทัพที่ยกมามากมาย กรมการเมืองจึงต้องยอมเปิดฉางข้าวให้กองทัพฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ กองทัพของเจ้าอนุวงศ์ตั้งมั่นอยู่ที่โคราชถึง ๓๗ วันจึงถอนกลับเวียงจันทน์ ที่ตั้งอยู่นานคงรอตรวจสอบข้อมูลเรื่องกองทัพญวนและอังกฤษ

    เรื่องกองทัพเรืออังกฤษไม่เพียงแต่ทำให้เจ้าอนุวงศ์ทรงตัดสินพระทัยประกาศเอกราช แต่ทำให้ฝ่ายไทยเองก็สับสนพลอยระแวงว่าอังกฤษจะทำมิดีมิร้ายกับไทยหรือไม่ กล่าวคือ ในระหว่างที่ไทยเคลื่อนทัพจากภาคกลางสู่ภาคอีสานแล้ว เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชมีใบบอกถึงกรุงเทพฯ ว่า กองเรืออังกฤษ ๕ ลำมาจอดที่ปีนัง ไม่ทราบว่าจะมุ่งไปทางใด เขาจึงไม่อาจนำทัพมาช่วยกรุงเทพฯ ด้วยตนเอง แต่ให้พระยาพัทลุงบุตรชายคนโตนำทัพ ๕,๐๐๐ คน มาช่วยกรุงเทพฯ รบกับเวียงจันทน์ ข่าวร้ายนี้ทำให้รัชกาลที่ ๓ ทรงเรียกกองทัพที่ส่งมารบในอีสานกลับ ๓ กองทัพ (คือ กองทัพเจ้าพระยาพระคลัง กองทัพกรมหมื่นพิพิธภูเบนทร กองทัพกรมหมื่นสุรินทรรักษ์) แต่ม้าเร็วมาแจ้งทันเพียง ๒ กองทัพที่อยู่หลังสุด ๒ กองทัพนี้จึงกลับมารักษากรุงเทพฯ(๓๑)

    ที่ยกเรื่องอังกฤษมายืดยาวก็เพื่อจะบอกว่าการที่เจ้าอนุวงศ์ทรงเชื่อว่าอังกฤษคงจะมีเรื่องกับไทยแน่ เป็นข่าวที่มีมูล ไม่ใช่เป็นจินตนาการที่ไร้เหตุผล แต่โชคร้ายสำหรับเจ้าอนุวงศ์ตรงข่าวนี้ไม่จริง หากไทยรบกับอังกฤษจริง เวียงจันทน์ก็คงกู้ชาติสำเร็จไปแล้วในสงครามครั้งนั้น

    ๓. การกวาดต้อนประชากรอีสานเป็นจำนวนมาก หากดูผิวเผินจะเป็นผลดีต่อฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ในเรื่องของการเพิ่มพลเมืองเพิ่มกำลังทหาร แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกแล้วเป็นการสร้างปัญหาแก่ฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ไม่น้อย กล่าวคือต้องแบ่งกำลังทหารส่วนหนึ่งมาควบคุมผู้อพยพไม่ให้ก่อความวุ่นวาย หรือโจมตีฝ่ายลาวแบบที่เกิดที่ทุ่งสำริดซึ่งทำให้จำนวนทหารจะใช้รบจริงลดลง ความทุกข์ยากของผู้อพยพจากการเดินทาง การขาดแคลนอาหาร การเจ็บป่วย และการต้องสูญเสียทรัพย์สมบัติเนื่องจากไม่อาจขนย้ายไปได้ ทำให้ผู้อพยพไม่พอใจจนเกิดการต่อต้านจากผู้อพยพหลายที่ เช่น ชาวบ้านด่านลำจาก อุบลราชธานี ศรีสะเกษ เป็นต้น ซึ่งการต่อต้านของ ๒ กรณีหลังทำให้เจ้านครจำปาศักดิ์พ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว ในตอนท้ายของสงคราม(๓๒)

    ๔. เจ้าเมืองอีสานหลายเมืองไม่ยอมให้ความร่วมมือกับฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ บางเมืองก็ต่อต้านจนถูกประหาร เจ้าเมืองที่ถูกฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ประหารมีเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ เขมราฐ ชัยภูมิ ภูเวียง ภูเขียว หล่มสัก และขุขันธ์ เมืองหลังนี้เคยให้ความร่วมมือดีมาก แต่ตอนหลังเกิดระแวงจึงถูกประหาร การประหารชีวิตเจ้าเมืองเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะเจ้าเมืองทุกแห่งมีญาติ พี่น้องบ่าวไพร่มาก และญาติพี่น้องส่วนมากก็เป็นผู้บริหารเมืองนั้นๆ ด้วย จึงเท่ากับเจ้าอนุวงศ์ทรงสร้างศัตรูขึ้นมากมาย(๓๓)

    ๕. อาวุธของฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ที่มีประสิทธิภาพ เช่น ปืนคาบศิลามีน้อย ตัวอย่างเช่นการรบที่ค่ายหนองบัวลำภู ค่ายนี้เป็นปราการป้องกันเวียงจันทน์ที่สำคัญมาก เป็นค่ายที่มีความกว้าง ๖๔๐ เมตร และยาวถึง ๑,๒๐๐ เมตร รวมความยาวของกำแพงค่าย ๓,๖๘๐ เมตร แต่มีทหารรักษาค่ายเพียง ๒,๓๐๐ คน และมีปืนคาบศิลาเพียง ๑๙๐ กระบอก และไม่มีปืนใหญ่เลย ทหารจำนวนหนึ่งไม่มีหอก ดาบ ปืน แต่ใช้กระบองและไม้ไผ่เสี้ยมปลายแหลมเป็นอาวุธ ที่ทหารเหล่านี้ไม่ได้รับแจกอาวุธดีๆ เพราะไม่มีอาวุธจะแจก หรือเพราะทหารเหล่านี้เป็นทหารเกณฑ์จากเมืองอื่นๆ ที่ไม่ค่อยแน่ใจในความจงภักดีนักก็ได้ (ทหารเวียงจันทน์และจัตุรัสเท่านั้นที่มีหอก ดาบ หรือปืนได้) หรือเป็นทั้งไม่ค่อยมีอาวุธจะแจกและไม่ค่อยไว้วางใจก็เลยไม่ได้รับอาวุธดีๆ(๓๔)


    9-4.jpg
    ชาวอีสาน พิธีเผาศพตามประเพณีแบบพื้นเมืองสองฝั่งโขง ภาพลายเส้นฝีมือชาวยุโรป เขียนสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึงต้นแผ่นดินรัชกาลที่ ๕
    ๖. ความประมาทของฝ่ายเวียงจันทน์ในกรณีอพยพชาวโคราชทำให้เกิดการลุกฮือของชาวโคราชที่ทุ่งสำริด โจมตีทหารที่คุมมาตายเกือบหมด และทหารที่ส่งมาปราบก็ถูกโจมตีแตกกลับไปถึง ๒ ครั้ง มีทหารฝ่ายเวียงจันทน์ตายในการสู้รบประมาณ ๑,๒๐๐-๓,๐๐๐ คน เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของฝ่ายเวียง จันทน์ น่าจะส่งผลให้ความมั่นใจในตัวเองและขวัญของฝ่ายนี้ลดลง เพราะชาวโคราชกลุ่มนี้เกือบทั้งหมดเป็นชาวบ้านไม่ใช่ทหารยังรบแพ้ ถ้ารบกับกองทหาร ไทยที่อาวุธเพียบพร้อมจะขนาดไหน การรบครั้งนั้นเป็นผลให้คุณหญิงโม ผู้นำการรบคนหนึ่งได้รับการยกย่องเป็นท้าวสุรนารี วีรสตรีของไทย อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว นอกจากนี้น่าจะมีผลให้จำนวนสัดส่วนของทหารที่ควบคุมผู้อพยพสูงขึ้นในเวลาต่อมา เพราะ จำนวนทหารที่ควบคุมขบวนผู้อพยพ ๑๘,๐๐๐ คน มีเพียง ๒๐๐ คน หรืออัตราส่วนทหาร ๑ คน ต่อผู้อพยพ ๙๐ คน ซึ่งน้อยเกินไปจนเกิดความพ่ายแพ้ที่ทุˆงสำริด ซึ่งฝ่ายเวียงจันทน์ต้องจำไปนานแสนนาน(๓๕)

    กล่าวโดยสรุปความปราชัยของเจ้าอนุวงศ์เกิดจากการประเมินกำลังพันธมิตรผิดพลาดเป็นอย่างมาก เพราะลำพังกำลังทหารฝ่ายเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ ก็มิอาจสู้กำลังทหารฝ่ายไทยอยู่แล้ว เจ้าอนุวงศ์ทรงฝากความหวังไว้กับอังกฤษ ซึ่งมิได้เป็นพันธมิตรโดยตรงของพระองค์ แต่เป็นพันธมิตรทางอ้อม หากอังกฤษโจมตีปากน้ำเจ้าพระยา ไทยจะต้องแบ่งกำลังส่วนใหญ่เอาไว้ต้านอังกฤษ นอกจากนี้เจ้าอนุวงศ์ยังทรงฝากความหวังไว้กับญวนว่าจะเข้าโจมตีทางปากน้ำเช่นกัน แต่ทั้งอังกฤษและญวนมิได้โจมตีไทยดังที่คาดไว้ ทำ ให้ไทยทุ่มกำลังส่วนใหญ่มาทางอีสาน เจ้าอนุวงศ์ยังทรงฝากความหวังไว้กับหลวงพระบางและหัวเมืองล้านนาทั้งห้า หวังว่าจะช่วยพระองค์ตีไทยทางด้านเหนือ แต่ความเป็นจริงตรงกันข้าม หัวเมืองทั้งหกยกทัพมุ่งไปที่เวียงจันทน์ การถูกเจ้าเมืองอีสานหลายเมืองต่อต้าน จนต้องประหารชีวิตเจ้าเมืองถึง ๖ เมือง ล้วนแต่มีผลในทางลบอย่างยิ่งต่อเจ้าอนุวงศ์

    ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้พระองค์ทรงปราชัย ก็คือปริมาณอาวุธที่ทันสมัย เช่น ปืนคาบศิลาซึ่งเป็นอาวุธยาว ทหารฝ่ายไทยมีมากกว่า แม้อาวุธพื้นฐานคือหอก ดาบ ทหารส่วนหนึ่งของฝ่ายเวียงจันทน์ก็ไม่มี มีแต่กระบองและไม้ไผ่เสี้ยมปลายแหลม การกวาดต้อนประชากรอีสานกลับไปเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความทุกข์ยากต่อคนเหล่านี้จนหลายเมืองเกิดการต่อต้าน โดยเฉพาะการต่อต้านของชาวเมืองโคราช แล้วทหารฝ่ายเวียงจันทน์ปราบไม่ได้ทำให้ขวัญกำลังฝ่ายเวียงจันทน์ตกต่ำ และต้องนำทหารที่ต้องใช้รบมาคุมเชลยที่เหลือมากขึ้น ทำให้ทหารที่ใช้รบของฝ่ายเวียงจันทน์ลดลง

    ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนทำให้เจ้าอนุวงศ์ทรงปราชัยในสงครามกู้ชาติครั้งนั้น

    เชิงอรรถ

    (๑) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับหอสมุดแห่งชาติ. (กรุงเทพฯ : คลังวิทยา, ๒๕๐๕), น. ๒๕๖, ๒๗๗, ๖๐๐-๖๐๔.
    (๒) มหาคำ จำปาแก้วมณี และคณะ. ประวัติศาสตร์ลาว. แปลโดยสุวิทย์ ธีรศาศวัต. (ขอนแก่น : คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ๒๕๓๙), น. ๗๗.

    (๓) โปรดดูรายละเอียดในสุวิทย์ ธีรศาศวัต. ประวัติศาสตร์อีสาน ๒๓๒๒-๒๔๘๘. (ขอนแก่น : คณะมนุษยศาสตร์และสังคม ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ๒๕๔๙), บทที่ ๗ น. ๒๑๓-๒๖๐.

    (๔) Andrew Heritage. World Atlas. (London : Dorling Kindersley Ltd., 2005), p. 214.

    (๕) จดหมายเรื่องปราบกบฏเวียงจันทน์. (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระยาอมเรนทรมนตรี (เจิม บุรานนท์) ๔ กุมภา พันธ์ ๒๔๗๙, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร), น. ๓-๔.

    (๖) เพิ่งอ้าง, น. ๓-๕.

    (๗) มยุรี และเผยพัน เหง้าสีวัทน์ “เจ้าอนุฯ เรื่องเก่าปัญหาใหม่,” ใน ศิลปวัฒนธรรม ๙ (๑๑) กันยายน ๒๕๓๑ น. ๓-๔.

    (๘) เจ้าพระยาทิพากรวงศ์. พระราชพงศาวดารกรุงรัตน โกสินทร์ ฉบับหอสมุดแห่งชาติ. กรุงเทพฯ : คลังวิทยา, ๒๕๐๕), น. ๓๒, ๔๕, ๖๕, ๑๒๕, ๑๔๐.

    (๙) สุวิทย์ ธีรศาศวัต. อ้างแล้ว, น. ๑๗๗.

    (๑๐) เพิ่งอ้าง, น. ๑๗๓-๑๗๔.

    (๑๑) เพิ่งอ้าง, น. ๑๗๔.

    (๑๒) จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ เล่ม ๓. (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๓๐), น. ๑๔, ๒๗, ๔๕-๗๗; หอสมุดแห่งชาติ (หสช.). จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ เล่ม ๓ จ.ศ. ๑๑๘๗ เลขที่ ๕/ข.

    (๑๓) จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ เล่ม ๓.

    (๑๔) เพิ่งอ้าง, น. ๑๒๖.

    (๑๕) หสช. จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ เล่ม ๓ จ.ศ. ๑๑๘๗ เลขที่ ๕/ข.

    (๑๖) สุวิทย์ ธีรศาศวัต. อ้างแล้ว. น. ๑๘๑-๑๘๓.

    (๑๗) เพิ่งอ้าง, น. ๑๘๘-๑๙๓.

    (๑๘) เพิ่งอ้าง, น. ๑๙๓-๒๐๑.

    (๑๙) เพิ่งอ้าง, น. ๒๐๓.

    (๒๐) เพิ่งอ้าง, น. ๒๐๔.

    (๒๑) เจ้าพระยาทิพากรวงศ์. อ้างแล้ว. น. ๘๘-๙๑.

    (๒๒) รายละเอียดโปรดดูใน จดหมายเรื่องปราบกบฏเวียงจันทน์ ที่อ้างแล้ว

    (๒๓) รายละเอียดโปรดดูใน จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ เล่ม ๓ ที่อ้างแล้ว

    (๒๔) หม่อมเจ้าทับ. นิราศเวียงจันทน์. (กรุงเทพฯ : มติชน), ๒๕๔๔; จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ เล่ม ๓ อ้างแล้ว, น. ๒๑-๑๑๙.

    (๒๕) จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ เล่ม ๓ เพิ่งอ้าง, น. ๔๐, ๔๕, ๑๐๖-๑๐๗.

    (๒๖) เพิ่งอ้าง, น. ๑๐๗.

    (๒๗) เพิ่งอ้าง, น. ๔๐-๑๒๔.

    (๒๘) หสช. ร.๓ จ.ศ. ๑๑๘๓ เลขที่ ๑๙, จศ. ๑๑๘๙ เลขที่ ๔.

    (๒๙) เพิ่งอ้าง และจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ เล่ม ๓ อ้างแล้ว, น. ๖๗-๖๙, ๗๓.

    (๓๐) จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ เล่ม ๓. (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร) ๒๕๓๐ น. ๕๓; สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ. ไทยรบพม่า.(กรุงเทพฯ : คลังวิทยา), ๒๕๐๕, น. ๖๖๖-๗๗๒. และจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ จ.ศ. ๑๑๘๗ เลขที่ ๕/ข; หสช. ร.๓ จ.ศ. ๑๑๘๗ เลขที่ ๑๓, จ.ศ. ๑๑๘๙ เลขที่ ๔.

    (๓๑) จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ จ.ศ. ๑๑๘๗ เลขที่ ๕/ข.

    (๓๒) จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ เล่ม ๓, น. ๓๗, ๕๗-๕๘, ๑๓๕.

    (๓๓) เพิ่งอ้าง, น. ๓๐, ๔๔, ๗๘, ๑๑๕.

    (๓๔) เพิ่งอ้าง, น. ๗๕-๙๙ และหม่อมเจ้าทับ. อ้างแล้ว. น. ๔, ๖๐-๖๔.

    (๓๕) จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ จ.ศ. ๑๑๘๗ เลขที่ ๕/ข; จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ เล่ม ๓ อ้างแล้ว, น. ๓๗, ๑๒๙-๑๓๐.


    https://www.silpa-mag.com/history/article_10322
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2019
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    TNwE&w=540&h=282&url=https%3A%2F%2Fcitytoday.news%2Fwp-content%2Fuploads%2F2019%2F03%2FeCommerce.jpg

    (Mar 16) อีคอมเมิร์ซ'อาเซียน'บูม ธุรกิจปรับแผนเจาะนักช้อป : สมรภูมิอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ในช่วงขยายตัวอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมา ชอปปิงออนไลน์มากขึ้น

    สิ่งเหล่านี้ยังเห็นได้ชัดเจนจากผลสำรวจ ล่าสุดของสหพันธ์อุตสาหกรรมและหอการค้าอินเดีย (เอฟไอซีซีไอ) และบริษัทที่ปรึกษา "เคพีเอ็มจี" ที่เผยแพร่วานนี้ (11 มี.ค.) พบว่า 10 ชาติสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และอินเดีย ติดกลุ่มเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในโลกที่ภาคอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซและการค้าดิจิทัล มีอัตราเติบโตรวดเร็วขึ้น

    รายงานดังกล่าวซึ่งมีชื่อว่า "อินเดียและอาเซียน : ร่วมสร้างอนาคต" (India and ASEAN: Co-creating the Future) คาดว่า ภายในปี 2564 ยอดขายอีคอมเมิร์ซทั่วโลกจะแตะที่ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2557

    "แม้จีนยังครองภาคอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซโลก แต่อินเดียและอาเซียนก็เป็นหนึ่งในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุด ทั้ง 2 ภูมิภาคนี้มีการลงทุนเพื่อพัฒนาอีโคซิสเต็มให้สามารถสร้างความยั่งยืนและส่งเสริม การค้าขายดิจิทัลมากขึ้น"

    ผลสำรวจคาดการณ์ว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในอินเดียจะมีมูลค่าแตะ 1.655 แสนล้านดอลลาร์ ภายในปี 2568 ขณะที่ตลาดอาเซียนน่าจะแตะ 9 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปีเดียวกัน

    ทั้งนี้ อาเซียนประกอบด้วยสมาชิก 10 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา บรูไน และลาว

    มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในแต่ละประเทศอาเซียนต่างมีแนวโน้มที่จะขยายตัว โดยอินโดนีเซียน่าจะเติบโตมาอยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2568 จาก 1,700 ล้านดอลลาร์ในปี 2558 ไทยจะเพิ่มเป็น 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ จาก 900 ล้านดอลลาร์ ฟิลิปปินส์จะเพิ่มเป็น 9,700 ล้านดอลลาร์ จาก 500 ล้านดอลลาร์

    มาเลเซียจะแตะที่ 8,200 ล้านดอลลาร์ จาก 1,000 ล้านดอลลาร์ เวียดนามจะขยายตัว เป็น 7,500 ล้านดอลลาร์ จาก 400 ล้านดอลลาร์ และสิงคโปร์จะทะยานเป็น 5,400 ล้านดอลลาร์ จาก 1,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนตลาดอีคอมเมิร์ซจีน รายงานคาดว่าจะขยายตัวมาอยู่ที่ 6.72 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2568

    ทั้งนี้ การเติบโตอย่างรวดเร็วในทุก พื้นที่ได้แรงหนุนหลักจากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและการใช้สมาร์ทโฟนมากขึ้น จำนวนประชากวัยหนุ่มสาว และชนชั้นกลาง ที่ขยายตัว

    นอกจากนั้น "การค้าออนไลน์ ข้ามพรมแดน" ยังมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการขยายตัว ของอีคอมเมิร์ซ คาดว่าเซ็กเมนท์ย่อยนี้จะเติบโตแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2563 ได้อานิสงส์จากกลุ่มลูกค้าที่มองหาสินค้าราคาถูกและต้องการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์หรือความพิเศษ หรือแบรนด์ที่หาซื้อไม่ได้ในประเทศบ้านเกิด

    อย่างไรก็ตาม รายงานของเอฟไอซีซีไอและ เคพีเอ็มจี เตือนว่า การปรับใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและดิจิทัลอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็น ถึงความท้าทายด้านความปลอดภัยรูปแบบใหม่

    "แม้ว่าหลายรัฐบาลกำลังปรับนโยบายด้านโลกออนไลน์และความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้เหมาะสม แต่ขณะนี้ ถือเป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างมากสำหรับ อินเดีย และอาเซียนในการเพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับกลไกเพื่อการชำระเงินดิจิทัล ที่ปลอดภัยและอีโคซิสเต็มที่เกี่ยวข้องอื่นๆ" รายงานระบุ

    ท่ามกลางโอกาสมหาศาลจากการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในภูมิภาค "ลาซาด้า" บริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ จึงรุกกลยุทธ์อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน หนุนผู้ค้าและสินค้า แบรนด์นอกให้เข้าถึงตลาดนักช้อปออนไลน์ บนแพลตฟอร์มของตนมากขึ้น

    จิง ยิน ประธานกรรมการร่วมของ ลาซาด้า กรุ๊ป กล่าวระหว่างการประชุมกับบรรดาผู้ขายในเมืองเสิ่นเจิ้นของจีน ที่มีผู้เข้าร่วม กว่า 1,000 รายว่า หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ ของลาซาด้า คือการนำแบรนด์สินค้าที่มีคุณภาพจากผู้ค้าข้ามพรมแดนมานำเสนอบนแพลตฟอร์มของลาซาด้า ผลักดันให้เติบโต พร้อมทั้งดูแลรักษา แบรนด์ชั้นนำ 300 อันดับแรกใน 6 ตลาดหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม

    "ด้วยความเชี่ยวชาญและโครงสร้างพื้นฐาน อันเป็นสุดยอดจากอาลีบาบา (ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจีน) ผนวกกับความเข้าใจด้านตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเชิงลึกของเรา ลาซาด้าสามารถหยิบยื่นความรู้ และเครื่องมือต่างๆ ให้กับผู้ขายสินค้า ข้ามพรมแดนและบรรดาแบรนด์สินค้าต่างๆ เพื่อก้าวไปพร้อมกับการเติบโตอย่างมหาศาลในภูมิภาคนี้" จิง กล่าว

    ลาซาด้าระบุว่า ยอดการใช้จ่าย ผ่านอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ที่เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ได้สะท้อนถึงความต้องการสินค้าข้ามพรมแดนที่เพิ่มมากขึ้นด้วย โดยยอดขายสินค้าข้ามพรมแดนบนแพลตฟอร์มของลาซาด้าในภูมิภาคนี้เติบโตถึง 4.6 เท่าภายในระยะเวลา 3 ปี

    การเติบโตเร็วได้แรงหนุนจากการเข้าถึง อินเทอร์เน็ตและการใช้สมาร์ทโฟนมากขึ้น ประชากรวัยหนุ่มสาวและชนชั้นกลางที่ขยายตัว

    Source: กรุงเทพธุรกิจ

    https://citytoday.news/india-asean-...R-nHNaw8h6YDtVGQPZTxxLWcZoWCqqfEYnwhQRcIsoMaA
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    54430507_2440987675920710_8648881201366433792_n.jpg?_nc_cat=105&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
    (Mar 17) คอลัมน์ บางขุนพรหมชวนคิด: โครงการมิกซ์ยูสกำลังมา คนไทยต้องรู้อะไร : ในปัจจุบันท่านผู้อ่านคงรู้จักโครงการไอคอนสยามที่เพิ่งเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ไปเมื่อปลายปีก่อน แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าประเทศไทยจะมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีลักษณะคล้ายกับไอคอนสยามอีกหลายโครงการกระจายตัวทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งในวงการอสังหาฯ เรียกโครงการเหล่านี้ว่า โครงการมิกซ์ยูส (Mixed-Use) บางขุนพรหมชวนคิดในวันนี้จึงอยากชวนผู้อ่านมาทำความรู้จักกับโครงการอสังหาฯ แบบมิกซ์ยูส ซึ่งถือเป็นเทรนด์ใหม่ที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใหญ่ต่างสนใจลงทุน

    โครงการแบบมิกซ์ยูส คือโครงการที่มีทั้งอสังหาฯเพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาคารชุด และอสังหาฯ เพื่อพาณิชยกรรม อาทิ อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และโรงแรม อยู่ภายในโครงการเดียวกัน

    ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการมิกซ์ยูสเป็นที่สนใจลงทุน มาจากราคาที่ดินในเขตกรุงเทพฯ โดยเฉพาะทำเลใจกลางเมืองที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีราคาที่ดินจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สะท้อนว่าราคาที่ดินในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณร้อยละ 6.4 ทำให้การพัฒนาอสังหาฯ แบบ Singled-Use หรือการพัฒนาโครงการเพื่อการอยู่อาศัยหรือเพื่อการพาณิชยกรรมเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินได้คุ้มค่าเต็มศักยภาพต่อประโยชน์ใช้สอยอีกต่อไป

    หากหันมามองที่ภาพตลาดมิกซ์ยูสในปัจจุบัน พบว่าผู้ประกอบการ อสังหาฯ รายใหญ่ๆ มีแผนเปิดโครงการมิกซ์ยูสมากขึ้น โดยข้อมูลจากบริษัท CBRE ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาฯ ชั้นนำในไทย พบว่าในอนาคตจะมีโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าโครงการมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท เปิดตัวกว่า 10 โครงการ โดยคาดว่าในช่วง 5 ปีข้างหน้า จะมีพื้นที่อาคารสำนักงานใหม่จากโครงการมิกซ์ยูสเฉลี่ยประมาณ 9.9 หมื่น ตร.ม./ปี ซึ่งคิดเป็นถึงประมาณครึ่งหนึ่งของพื้นที่อาคารสำนักงานที่เปิดใหม่ทั้งหมดในแต่ละปี ขณะที่พื้นที่ค้าปลีกคาดว่าจะมีพื้นที่ใหม่จากโครงการมิกซ์ยูสเฉลี่ยประมาณ 9.6 หมื่น ตร.ม./ปี หรือคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่ค้าปลีกที่เปิดขายใหม่ในแต่ละปี ดังนั้น สิ่งที่คนไทยต้องรู้คือ สถานการณ์การก่อสร้างและผลกระทบของโครงการมิกซ์ยูสว่าจะเป็นอย่างไร

    ประเด็นแรกที่ต้องติดตาม คือ ผลกระทบและการปรับตัวของ ผู้ประกอบการที่ให้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงานรายเดิม เนื่องจากโครงการ มิกซ์ยูสทำให้พื้นที่สำนักงานในทำเลที่โครงการตั้งอยู่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ส่งผลให้เกิดการแข่งขันในบริเวณนั้นสูงขึ้น และกดดันค่าเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานให้ปรับเพิ่มขึ้นได้ยาก ซึ่งหากค่าเช่าระหว่างอาคารสำนักงานเก่ากับใหม่แตกต่างกันไม่มาก ย่อมส่งผลให้ผู้เช่ามีแนวโน้มที่จะย้ายไปเช่าพื้นที่ในอาคารสำนักงานที่เปิดใหม่ และทำให้อาคารสำนักงานเก่าอาจต้องใช้เวลาในการหาลูกค้าใหม่นานขึ้น ดังนั้น เจ้าของอาคารสำนักงานเก่าอาจจำเป็นต้องพิจารณาลงทุนปรับปรุงอาคารเพื่อรับมือกับพฤติกรรมและความต้องการของผู้เช่าที่มีทางเลือกมากขึ้น

    สำหรับประเด็นด้านตลาดค้าปลีก ประเด็นหลักที่ต้องติดตามไม่ใช่ การหาร้านค้ามาเช่าพื้นที่ เนื่องจากผู้ประกอบการมักตัดสินใจเปิดห้างสรรพสินค้าที่ในพื้นที่ที่มีอุปสงค์รองรับอยู่แล้ว สะท้อนจากอัตราการเช่าพื้นที่ค้าปลีก (Occupancy Rate) ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและยังอยู่ในระดับสูง โดยค่าเฉลี่ย 3 ไตรมาสแรกของปี 2561 อยู่ที่ร้อยละ 94 กล่าวคือไม่ว่าห้างสรรพสินค้าจะเปิดที่ไหนเราก็มักจะเห็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ รวมถึงร้านเสื้อผ้าชื่อดังต่างๆ ไปเปิดให้บริการอยู่เสมอ แต่ประเด็นหลักที่ต้องติดตาม คือ ร้านค้าที่เปิดจะมีลูกค้าใช้บริการมากน้อยเพียงใด โดยหากห้างสรรพสินค้ากระจุกตัวอยู่ในบริเวณใดบริเวณหนึ่งมากเกินไปและมีจำนวนมากเกินกว่าความต้องการของคนในพื้นที่ อาจทำให้มีลูกค้าไปใช้บริการน้อยและส่งผลต่อการดำเนินงานในระยะยาวได้

    ประเด็นถัดมาที่ต้องติดตาม คือ ผลกระทบต่อตลาดทุนจากพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้น (Search for Yield) ของ ผู้ประกอบการและการประเมินความเสี่ยงที่ต่ำเกินไป (Underpricing of Risk) ของนักลงทุน จากประสบการณ์ในอดีตพบว่าเมื่อโครงการมิกซ์ยูสสร้างแล้วเสร็จ ผู้ประกอบการมักจะกระจายความเสี่ยงของตนโดยนำโครงการมาขายให้นักลงทุนรายย่อยผ่านกองทุนอสังหาฯ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า กอง REIT (Real Estate Investment Trust) ทำให้ผู้ประกอบการสามารถระดมทุนเพื่อนำไปลงทุนโครงการอื่นต่อไป ซึ่งการระดมทุนจาก REIT ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอาจทำให้ผู้ประกอบการมีพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้นมากเกินไป และอาจนำไปสู่การเปิดโครงการที่ไม่สอดคล้องกับอุปสงค์ จนส่งผลให้เกิดปัญหาอุปทานส่วนเกินทั้งในตลาดที่อยู่อาศัย ตลาดอาคารสำนักงาน และตลาดค้าปลีกได้ในอนาคต

    นอกจากนี้ ในด้านนักลงทุน เนื่องจากกอง REIT มีรายละเอียดค่อนข้างซับซ้อน หากนักลงทุนขาดความรู้ความเข้าใจในตัวผลิตภัณฑ์และประเมินความเสี่ยงของกอง REIT ต่ำเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของนักลงทุนเอง และอาจนำไปสู่การสะสมความเปราะบางและสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินของไทยในภาพรวมได้ ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินใดๆ หรือหลีกเลี่ยงการลงทุนหากไม่มีความรู้ความเข้าใจในตัวผลิตภัณฑ์ที่จะลงทุน

    โดยสรุป ในอนาคตเราจะเห็นโครงการมิกซ์ยูสเข้าสู่ตลาดอสังหาฯ อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก จึงจำเป็นต้องติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ดังกล่าวต่อภาพรวมของเสถียรภาพระบบการเงินของไทย แม้ในปัจจุบันจะยังไม่ก่อให้เกิดอุปทานส่วนเกินในตลาดพื้นที่อาคารสำนักงานและตลาดพื้นที่ค้าปลีกก็ตาม

    โดย ธนันธร มหาพรประจักษ์
    เศรษฐกรอาวุโสฝ่ายนโยบายการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย


    Source: Posttoday
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    54374598_2441058839246927_3164232312544034816_n.jpg?_nc_cat=109&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg
    (Mar 17) คนไทยวิกฤติหนี้พุ่งเงินเก็บไม่พอ : ธปท.เผยผลศึกษาพบ คนไทยยังห่วงหน้าตา ดันหนี้ครัวเรือนโตต่อเนื่อง ชี้ชีวิตหลังเกษียณ เงินออมไม่พอยังชีพโอกาสทำรายได้ลดลง เหตุโดนเทคโนโลยี หุ่นยนต์แย่งงาน หวั่นดอกเบี้ยขาขึ้น เงินเก็บหาย เหตุคนรายได้ต่ำกว่าหมื่นบาท ต้องจ่ายหนี้เกือบครึ่ง แนะออมเพิ่ม 35% ถ้าจะอยู่ต่อ 20 ปี

    สำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานหนี้ครัวเรือน ไตรมาส 3 ปี 2561 พบว่า มีมูลค่า 12.55 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 11.86 ล้านล้านบาทในปี 2560 แต่สัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) ลดลงจาก 78% เหลือ 77.8% แต่ก็ยังถือว่า เป็นความเปราะบางต่อเศรษฐกิจไทย เพราะเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีรายได้ใกล้เคียงกับไทยแล้ว ถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงมากและกลายเป็นวิวาทะเดือดระหว่างนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกับนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)

    ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกบทวิจัยเรื่อง "หนี้ครัวเรือนไทย: ข้อเท็จจริงที่ได้จาก Bot Nielsen Household Financial Survey" ซึ่งเป็นผลศึกษาร่วมกับบริษัทเดอะ นีลสัน คอมปะนี (ประเทศไทย)จำกัดโดยนายสราชื่นโชคสันต์ นายสุพริศร์ สุวรรณิก และนางสาวธนัชพร สุขสุเมฆ สำรวจศึกษา ครัวเรือนตัวอย่าง 1,500 ครัวเรือนทั่วประเทศระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2560

    โครงการสำรวจแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มครัวเรือนที่มีหนี้กับไม่มีหนี้และกลุ่มครัวเรือนที่มีหนี้แล้วมีปัญหาทางการเงินกับกลุ่มที่มีหนี้ แต่ไม่มีปัญหา โดยคุมปัจจัยต่างๆให้คงที่เช่น รายได้สินทรัพย์ทางการเงิน จำนวนสมาชิกในครัวเรือน อาชีพหลักของสมาชิกในครัวเรือน เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบระหว่างครัวเรือนกลุ่มต่างๆได้

    ต่อข้อถามว่า ครัวเรือนที่มีหนี้ ขาดวินัยทางการเงิน จริงหรือไม่? ผลศึกษาพบว่า กลุ่มครัวเรือนที่มีหนี้ยังคงมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า 8% โดยเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มครัวเรือนที่ไม่มีหนี้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าโทรศัพท์สูงกว่า 135% ค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูงกว่า 275% และค่าใช้จ่ายไม่ประจำ เช่น ค่าซ่อมรถ สูงกว่า 631% สะท้อนการให้ความสำคัญกับความมีหน้ามีตาทางสังคมมากกว่า แสดงว่า ครัวเรือนที่มีหนี้มีรถยนต์ที่มีราคาสูงกว่าโดยเฉลี่ย

    ส่วนในบรรดาครัวเรือนที่มีหนี้ มีปัญหาทางการเงิน แตกต่างจากครัวเรือนที่ไม่มีปัญหาอย่างไร? ผลศึกษาพบว่า กลุ่มครัวเรือนที่มีปัญหาทางการเงิน ยังคงมีหนี้ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย สูงกว่า 18% ซึ่งสูงกว่ากลุ่มครัวเรือน ที่ไม่มีปัญหาอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายประจำ เช่น เพื่อความบันเทิงสูงกว่า 376% ค่าซื้อเสื้อผ้าสูงกว่า 562% ซึ่งสะท้อนพฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือไลฟ์สไตล์ที่ค่อนไปทางสุรุ่ยสุร่ายกว่าอีกกลุ่ม นอกจากนั้น กลุ่มครัวเรือนที่มีปัญหามีแนวโน้มที่จะมีรสนิยมหรือต้องการมีหน้ามีตาทางสังคมสูงกว่าสะท้อนจากค่าซ่อมรถและค่าดูแลบ้านที่สูงกว่ากลุ่มที่ไม่มีปัญหา สูงกว่า 273% และ 276% ตามลำดับ และการมีสมาชิกในครัวเรือนล้มป่วย ส่งผลให้มีปัญหาค่ารักษาพยาบาลสูง 322% สูงกว่ากลุ่มที่ไม่มีปัญหา

    นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิด เผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า แนวโน้มการออมของครัวเรือนช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แม้ตัวเลขการออมส่วนบุคคลต่อรายได้พึงจับจ่ายใช้สอยจะเพิ่มขึ้น โดยปี 2558 อยู่ที่ 9% ปี 2559 เพิ่มเป็น 10.2% และปี 2560 อยู่ที่ 11.2% แต่ยังไม่เพียงพอต่อการยังชีพระยะยาว โดยเฉพาะการดำเนินชีวิตหลังเกษียณอายุ

    ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงที่จะฉุดความสามารถในการออม เช่น คนที่มีหนี้จะต้องเจียดรายได้ เพื่อชำระหนี้และหากดอกเบี้ยที่จะปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต ทำให้ความสามารถในการเก็บออมแต่ละเดือนหายไป

    "ผมมองว่า ถ้าดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นก็มีส่วนช่วยลดแรงจูงใจในการก่อหนี้ ซึ่งการทำนโยบายการเงินของธปท.พยายามดูเรื่องดอกเบี้ยและใช้ Macro Prudential ในบางจุด ส่วนแนวโน้มนโยบายการคลังควรให้แรงจูงใจคนออมเงิน เช่น การออมภาคบังคับ หรือหักภาษี กรณีคนออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ”

    นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงาน Global Business Development and Strategy ธนาคารกรุงไทยกล่าวว่า แนวโน้มการออมในกลุ่มมนุษย์เงินเดือนบางอาชีพอาจทำได้ไม่มาก ทั้งค่าตอบแทนและค่าประสบการณ์อาจไม่เติบโตเหมือนที่ผ่านมา เพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปตามพัฒนาการของเทคโนโลยี กรณีหุ่นยนต์ที่จะเข้ามาทำงานแทนคน ซึ่งมีผลให้อัตราเติบโตของรายได้ลดลง ไม่ว่าจะเป็นลักษณะงานประจำหรือ ไม่ใช่งานประจำทั้งใช้แรงงานและใช้ความคิด

    "ผลศึกษาเกี่ยวกับการเติบโตของรายได้ของมนุษย์เงินเดือนและแนวโน้มการออมใน 10-20 ปีข้างหน้าอาจทำได้ไม่มากซึ่งถ้าเงินเดือนปรับเพิ่มไม่เป็นไปตามตั้งใจหรือเปอร์เซ็นต์การเติบโตของรายได้น้อยกว่าที่คาดไว้ คนกลุ่มนี้ต้องออมเงินเพิ่มขึ้นเพราะทุกๆ 1% ของรายได้ที่หายไปต้องออมเงินเพิ่ม4% เพื่อให้สามารถดำรงชีพใน 20 ปีข้างหน้าหรือต้องออมถึง 35%”

    นายสมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า แนวโน้มคนไทยจะอายุยืน แต่จะถูกลดทอนความสามารถในการออมด้วยภาระค่าใช้จ่ายแต่ละวันบางรายต้องแบกภาระหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำกว่า 1 หมื่นบาทต่อเดือน ต้องจ่ายหนี้ถึง 41.8% ต่อเดือนหรือกลุ่มรายได้ต่ำกว่า 2 หมื่นบาทต่อเดือน ปัจจุบันจ่ายหนี้ 26-27% ต่อเดือน ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้ต้องระมัดระวัง ถ้าดอกเบี้ยปรับขึ้นโอกาสเก็บเงินออมยิ่งยากและอาจรับภาระดอกเบี้ยเพิ่มด้วย

    Source: ฐานเศรษฐกิจ
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    rces%2Fimg%2Feditorial%2F2019%2F01%2F24%2F105698774-1548365015928gettyimages-689124962.1910x1000.jpg

    (Mar 17) ไออีเอเตือนเทคโนโลยีใหม่ หนุนอุตฯน้ำมันสหรัฐโตเร็ว :"ฟาติห์ ไบรอล"ผู้อำนวยการทบวงการพลังงานสากล (ไออีเอ) กล่าวว่า คลื่นลูกที่ 2 ของการปฏิวัติหินน้ำมันสหรัฐใกล้จะมาถึงแล้ว เทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้สามารถขุดเจาะน้ำมันและก๊าซจากชั้นหินดินดาน ทำให้การผลิตน้ำมันในสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะหลายปีที่ผ่านมา และด้วยค่าใช้จ่ายด้านการผลิตที่ต่ำลงมาก ทำให้ผลผลิตน้ำมันของสหรัฐอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อไป

    ไออีเอ คาดการณ์ว่า สหรัฐจะครองส่วนแบ่ง 2 ใน 3 ของการผลิตน้ำมันทั่วโลก และการผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) จะเพิ่มปริมาณมากขึ้น 75% ในระยะ 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้สหรัฐแซงหน้ารัสเซียก้าวขึ้นเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากซาอุดีอาระเบีย

    ไบรอล กล่าวว่า พัฒนาการของสหรัฐจะสั่นสะเทือนวงการค้าน้ำมันและก๊าซระหว่างประเทศและมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งต่อภูมิศาสตร์การเมืองของตลาดพลังงาน ซึ่งการผลิตหินน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นของสหรัฐ เป็นหนึ่งในปัจจัยหลัก ที่ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกดิ่งลงในปี 2557 ส่วนการผลิตน้ำมันดิบนอกกลุ่มโอเปกจะสูงขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง โดยจะสูงขึ้นอีก 6.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นวันละ 68.7 ล้านบาร์เรล ในปี 2567

    นอกเหนือจากสหรัฐแล้ว ไออีเอ ยังคาดการณ์ว่า บราซิลและนอร์เวย์จะผลิตมากขึ้นเช่นกัน ส่วนโอเปกคาดว่าการผลิตจะลดลงในปี 2562 และ 2563 ก่อนจะขยายพอประมาณที่ระดับ 32 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2567

    ส่วนผลผลิตน้ำมันทั่วโลกนั้น ไออีเอคาดการณ์ว่า ผลผลิตน้ำมันโดยรวมจะสูงขึ้นวันละ 5.9 ล้านบาร์เรล ภายในปี 2567 โดยผลผลิตของอิหร่านจะลดลงจากพิษ คว่ำบาตรของสหรัฐ เช่นเดียวกับเวเนซุเอลา จากผลกระทบของวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศ ส่วนจีนและอินเดีย จะยังครองส่วนแบ่งเกือบครึ่ง ของความต้องการบริโภคน้ำมันเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยคาดว่าความต้องการจะสูงขึ้น 7.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็น 106.4 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2567

    ไออีเอ แสดงความเป็นห่วงสถานการณ์ขัดแย้งทางการเมืองในเวเนซุเอลา ที่ส่งผลให้ประเทศนี้เผชิญวิกฤติไฟฟ้าดับทั่วประเทศ กินระยะเวลานานเกือบหนึ่งสัปดาห์ จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเบื้องต้น 20 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล รวมถึงทารกแรกเกิดอายุไม่กี่เดือน 2 คนที่เสียชีวิตเพราะขาดสารอาหารอย่างรุนแรง แม้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางการเวเนฯจะเร่งแก้ปัญหาแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ชัดเจนนักว่าต้นเหตุของกระแสไฟฟ้าดับครั้งนี้เกิดจากอะไร แม้เวเนซุเอลาจะเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกน้ำมันเป็นหลัก แต่สำหรับระบบสาธารณูปโภคในประเทศ อย่างเช่นไฟฟ้า กลับพึ่งพากระแสไฟจากเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นหลัก ล่าสุด สำนักงานพลังงานสากล (ไออีเอ)เตือนว่าวิกฤติไฟฟ้าดับทั่วประเทศของเวเนฯอาจจุดชนวนทำให้เกิดผลกระทบในเชิงลบอย่างรุนแรงต่อตลาดน้ำมัน

    "ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดา ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบอย่างมากจากปัญหาไฟฟ้าดับ และประสบภาวะสูญเสียคิดเป็นเงินมหาศาลซึ่งอาจรุนแรงกลายเป็นความท้าทายของตลาดน้ำมัน" รายงานของไออีเอ ซึ่งมีฐานดำเนินงานอยู่ในกรุงปารีส ระบุ

    Source: กรุงเทพธุรกิจ

    - Venezuela's electricity crisis could trigger 'serious disruption' to the oil market, IEA warns :
    https://www.cnbc.com/2019/03/15/iea...vFid1AUbxP2UEtRNPMkp6ewOcLJVXHS5us58GLxL0qsxA
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    53810922_2441371115882366_7300968520823603200_n.jpg?_nc_cat=109&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg
    (Mar 17) บทความวิจัยเรื่อง "Integrating Monetary Policy and Financial Stability: A New Framework”: บทเรียนจากวิกฤตการเงินโลกในช่วงปี 2550 ส่งผลทำให้ธนาคารกลางต่าง ๆ หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป้าหมายของนโยบายการเงินที่มุ่งเน้นเฉพาะการรักษาเสถียรภาพด้านราคาเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนได้
    บทความนี้นำเสนอแนวคิดใหม่ในการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น ที่จะนำประเด็นด้านเสถียรภาพระบบการเงินเข้ามาพิจารณาร่วมอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากการสร้างเครื่องชี้ความเสี่ยงของระบบการเงิน ทั้งในมิติของภาพรวมผ่านการวิเคราะห์ financial cycle และมิติของความเสี่ยงเฉพาะจุดผ่าน financial stability dashboard ซึ่งช่วยทำให้การเฝ้าระวังความเสี่ยงในภาคการเงินเป็นไปอย่างรอบด้านมากขึ้น นอกจากนี้ งานวิจัยได้พัฒนาระบบของแบบจำลองเศรษฐกิจที่มีความเชื่อมโยงระหว่างภาคเศรษฐกิจจริงและภาคการเงิน เพื่อสนับสนุนการตัดสินนโยบายการเงินที่ต้องหาสมดุลในการดูแลทั้งเสถียรภาพราคา การเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพระบบการเงินไปพร้อมกัน อีกทั้งงานวิจัยยังได้ให้แนวทางการผสมผสานเครื่องมือเชิงนโยบายทั้งนโยบายการเงินและนโยบาย macroprudential อย่างเหมาะสมอันจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
    สามารถอ่านบทความวิจัยฉบับเต็มเพิ่มเติมได้ที่
    https://www.pier.or.th/wp-content/uploads/2018/12/pier_dp_100.pdf

    Source: PIER FB
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    53825929_2441390622547082_2351896616383807488_n.jpg?_nc_cat=108&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
    (Mar 17) ต้นปาล์มแคระ' ทางออกเพื่อความยั่งยืน : หลอดทดลองเพาะเลี้ยง ต้นอ่อนวางเรียงรายในห้องปฏิบัติการแห่งหนึ่งในมาเลเซีย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโครงการ "ต้นปาล์มน้ำมันแคระ" ที่นักวิทยาศาสตร์หวังว่าจะลดต้นทุนและจำกัดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจาก อุตสาหกรรมนี้

    น้ำมันปาล์มกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในสินค้าในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เชื้อเพลิงชีวภาพไปจนถึงช็อกโกแลต ซึ่งนำไปสู่การผลิตอันเฟื่องฟูใน 2 ประเทศผู้ปลูกปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลกอย่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

    อย่างไรก็ตาม กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโทษว่าการขยายตัวอันรวดเร็วของการปลูกปาล์มน้ำมัน เป็นการทำลายผืนป่าซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของอุรังอุตังและสัตว์ชนิดอื่นๆ เช่นเดียวกับที่ดินของชนพื้นเมือง

    นอกจากนั้น บรรดาแคมเปญด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ยังทำให้ภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันเสียหายในสายตาโลกตะวันตก การโฆษณารณรงค์ถึงข้อเสียของปาล์มน้ำมัน ยังส่งผลให้ราคาร่วงลงอย่างรวดเร็ว

    ปัจจุบัน คณะกรรมการน้ำมันปาล์มมาเลเซียหวังว่าแผนนำร่องในการเพาะต้นปาล์มขนาดเล็กกว่า อาจมีประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาที่อุตสาหกรรมเผชิญอยู่ได้ไม่มากก็น้อย

    "ด้วยสายพันธุ์ขนาดเล็กนี้ เราสามารถปรับปรุงผลผลิตใช้ประโยชน์จากที่ดินได้เต็มที่ และปรับปรุงความยั่งยืนของน้ำมันปาล์ม" เมลินา ออง-อับดุลลาห์ นักพฤกษศาสตร์ในห้องปฏิบัติการเมืองบางี มาเลเซีย เผยกับสำนักข่าวเอเอฟพี

    ขณะที่นักวิทยาศาสตร์อีกคนซึ่งอยู่ใน ชุดกาวน์สีขาวและสวมหน้ากาก กำลัง เฉือนแบ่งต้นอ่อนและย้ายไปไว้ในหลอดทดลอง

    อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวเผชิญกับความท้าทายใหญ่หลักๆ คือราคาที่ค่อนข้าง สูงของต้นปาล์มที่เพาะขึ้นมาใหม่นี้ ซึ่งทำให้มีราคาแพงเกินไปสำหรับเกษตรกรที่ยังยากไร้จำนวนมากของมาเลเซีย

    ต้นปาล์มแคระซึ่งมีขนาดเล็กกว่า ต้นปาล์มธรรมดาราว 30% และมีใบสั้นกว่า เป็นผลจากโครงการวิจัยนานหลายสิบปี โดยคณะกรรมการน้ำมันปาล์มมาเลเซีย ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐบาล

    ด้วยขนาดเล็กของปาล์มแคระทำให้สามารถเก็บรวบรวมผลปาล์มเพื่อไปสกัดน้ำมันได้ง่ายและเร็วกว่าปาล์มธรรมดา และ หมายความว่าใช้แรงงานในการเก็บผลปาล์ม น้อยกว่าปาล์มธรรมดาด้วย

    ต้นปาล์มแคระยังสามารถปลูกได้จำนวนมากกว่าโดยใช้พื้นที่ขนาดเล็กกว่า และผลิตปาล์มน้ำมันได้ราว 37.5 เมตริกตันต่อ 6.25 ไร่ หรือมากกว่าค่าเฉลี่ยใน ปัจจุบัน 2 เท่า จึงช่วยลดการสูญเสียพื้นที่ป่าฝนเพื่อปลูกน้ำมัน และอาจทำให้การใช้ประโยชน์ที่ดินคุ้มค่ามากขึ้น เพราะจะสามารถปลูกปาล์มซ้ำในจุดเดิมหลังแผ้วถาง พื้นที่ไปแล้ว

    นอกจากนั้น แผนเพาะต้นปาล์มแคระอาจช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนที่ดินสำหรับปลูกปาล์ม ซึ่งเกิดจากการรุกขยายพื้นที่ปลูกปาล์มอย่างหนัก เฉพาะในมาเลเซีย การปลูกปาล์มน้ำมันครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 36.25 ล้านไร่ หรือใกล้เคียงกับขนาดประเทศโครเอเชีย

    ปัจจุบัน มีการปลูกต้นปาล์มแคระในหลายพื้นที่ทั่วมาเลเซีย ซึ่งรวมถึงบนอาคารแห่งหนึ่งในเมืองบูกิต ลาวัง รัฐยะโฮร์ ทางภาคใต้ ซึ่งส่วนหนึ่งของโครงการเพาะปาล์มแคระของคณะกรรมการน้ำมันปาล์มมาเลเซีย

    ต้นปาล์มแคระมีความสูงราว 5 เมตร เทียบกับความสูงเฉลี่ยของต้นปาล์มทั่วไปในพื้นที่ซึ่งอยู่ที่ราว 7.5 เมตร

    ทั้งนี้ มาเลเซียเริ่มจำหน่ายต้นปาล์มแคระเมื่อปี 2560 แต่ไม่ได้รับความสนใจมากนัก ด้วยราคาประมาณ 30 ริงกิตต่อต้น ทำให้ต้นอ่อนปาล์มแคระมีราคาแพงกว่าต้นปาล์มธรรมดาราว 2 เท่า

    โมฮัมหมัด อิซา มันซอร์ ซึ่งมีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันราว 31 ไร่ กล่าวว่า เขาเคย ต้องการซื้อต้นอ่อนปาล์มแคระ แต่ราคาโหดเกินไป

    "ผู้ปลูกปาล์มรายเล็กยังยากจน และการเลี้ยงชีวิตในแต่ละวันก็เป็นเรื่องท้าทายอยู่แล้ว เนื่องจากราคาน้ำมันปาล์มดิบที่ตกต่ำ”

    ด้านบรรดานักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมองแง่บวกต่อโครงการต้นปาล์มแคระ แต่แนะว่าจำเป็นต้องมีความพยายามปลูกป่าชดเชยในพื้นที่ที่ถูกทำลายเพื่อทำสวนปาล์มควบคู่ไปด้วย

    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    A%2F%2Fcdn.cnn.com%2Fcnnnext%2Fdam%2Fassets%2F190308135258-03-india-smartphones-file-super-tease.jpg

    (Mar 17) จากเครื่องมือสู่'อาวุธ' สื่อโซเชียลสะท้านเลือกตั้งอินเดีย :การเลือกตั้งอินเดีย ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ วันที่ 11 เม.ย.นี้ เป็นเหตุการณ์สำคัญที่น่าจับตาอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนประมาณ 900 ล้านคน และกำลังสร้างความกังวลว่า "โซเชียลมีเดีย" อาจเป็นเครื่องมือชักจูงหรือปลุกปั่นความรุนแรงที่ไปไกลเกินกว่าขอบเขตของการเลือกตั้ง

    ทั้งนี้ อินเดียเป็นหนึ่งในตลาดใหญ่ที่สุดสำหรับบริษัทโซเชียลมีเดียนอกเหนือจากสหรัฐ เนื่องจากมีจำนวนประชากรเป็นรองเพียงจีน ตลาดที่โซเชียลมีเดียต่างสัญชาติยังเข้าถึงไม่ได้ แต่อินเดียเองก็เป็นตลาดที่เปราะบางด้วยเช่นกัน เพราะคนอินเดียจำนวนไม่น้อยเพิ่งเข้าถึง ออนไลน์ และยังขาดวิจารณญาณในการไตร่ตรองข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ที่มีความรุนแรงเกิดขึ้นจากการปล่อยข่าวลวง (Fake News) ทางวอตส์แอพ

    ชิฟนัธ ธูครัล ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายสาธารณะของเฟซบุ๊กประจำอินเดีย กล่าวว่า ความยิ่งใหญ่ของการเลือกตั้งอินเดียเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ เฟซบุ๊กต้องให้ความสำคัญกับการดูแลความเรียบร้อยของการเลือกตั้งและอินเดีย

    อย่างไรก็ดี การเมืองอินเดียมีปัจจัยเรื่องสังคมและเชื้อชาติเข้ามาข้องเกี่ยว โดยเฉพาะเหตุความรุนแรงต่อชนกลุ่มน้อย ในยุครัฐบาลของนายกรัฐมนตรี นเรนทร โมที และพรรคภารติยะ ชนตะ (บีเจพี) โดย ปราติก สินหา ผู้ก่อตั้งเว็บ "อัลท์ นิวส์" เว็บไซต์ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล กล่าวว่า การใช้โซเชียล มีเดียสร้างความแตกแยกอาจรุนแรงขึ้นมาก และอาจนำไปสู่การสูญเสียแก่ชีวิตหรือทรัพย์สิน

    ขณะที่ จิลเลส เวอร์เนียร์ส ศาสตราจารย์ ด้านรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยอโชกา ในอินเดีย กล่าวว่า โซเชียลมีเดียกลายมาเป็นกระบอกเสียงหลักสำหรับพรรค การเมืองไปแล้ว และเมื่อถูกใช้เป็น "อาวุธ" ความเสียหายก็จะยิ่งรุนแรงเกินขอบเขตของการเลือกตั้ง

    นักการเมืองมีผู้ติดตามสูง

    การใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับอินเดีย เนื่องจากนักการเมืองดังมีผู้ติดตามจำนวนมาก เช่น โมที มีผู้ติดตามทางทวิตเตอร์มากกว่า 46 ล้านคน สูงที่สุดเหนือผู้นำทุกคนในโลก ยกเว้นประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ที่มีผู้ติดตาม 58.9 ล้านคน ขณะที่ ราหุล คานธี ผู้นำฝ่ายค้านจากพรรคคองเกรส มียอดผู้ติดตามทาง ทวิตเตอร์เกือบ 9 ล้านคน

    การใช้โซเชียลมีเดียกับการเมืองอินเดียมาแรงมากในการเลือกตั้งปี 2014 ซึ่งในครั้งนั้น โมทีกลายเป็นบุคคลที่ได้รับการพูดถึงอย่างมาก แต่ในครั้งนี้คู่แข่งหลายคนของโมทีตามเกมโซเชียลมีเดียทันกันมากขึ้น และอาจทำให้โซเชียล มีเดียยิ่งมีส่วนสำคัญมากขึ้น

    ระวี อัครวัล อดีตบรรณาธิการ ซีเอ็นเอ็นสาขาอินเดีย กล่าวว่า ใครกำลังฮอต ใครกำลังลง ใครฉลาด และใครไม่มีกึ๋น เหล่านี้ได้กลายมาเป็นประเด็นบนโลกโซเชียลมีเดียในแบบที่โทรทัศน์ไม่เคยทำได้มาก่อน แต่สำหรับในอินเดียเองนั้น ทุกข้อมูลที่มีการปล่อยออกสู่โลกโซเชียลมีเดีย มักจะมีข้อมูลอีกฝั่งหนึ่งที่ออกตามมาโดยอัตโนมัติด้วย และข้อมูลข่าวปลอมก็จะถูกข้อมูลอีกฝ่ายออกมาหักล้าง หรืออาจกล่าวได้ว่า พรรคการเมืองอินเดียนั้นจัดการกับการเลือกตั้งของตัวเองได้ดีทีเดียว

    ไม่รู้เท่าทันอินเทอร์เน็ต

    ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ฐานผู้ใช้จำนวนมหาศาลเป็นปัจจัยท้าทายที่สำคัญในความพยายามปราบการแพร่ข่าวลวงของบริษัทโซเชียลมีเดีย เนื่องจากผู้ใช้ อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า มาอยู่ที่ 560 ล้านคนในปัจจจุบัน จาก 250 ล้านคนในปี 2014 และเกิดขึ้นช่วงเดียวกับที่ค่าบริการอินเทอร์เน็ตทางมือถือปรับลดลงเกือบ 2,000% ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งสมาร์ทโฟนราคาถูกก็กำลังแพร่หลายมากขึ้นด้วย

    ปัจจัยทั้งหมดนี้ช่วยให้คนอินเดียหลายร้อยล้านคนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เป็นครั้งแรก แต่ก็ยังขาดประสบการณ์ในการใช้ และเสี่ยงว่าจะได้รับข้อมูลผิดๆ

    "สมาร์ทโฟนและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตถูกลงมาก และตอนนี้ทุกคน ที่มีสมาร์ทโฟนต่างใช้วอตส์แอพ แต่การรู้เท่าทันอินเทอร์เน็ตของคนส่วนมากยังแทบไม่มีเลย" สินหา กล่าว และเสริมว่า พรรคการเมืองมีแรงจูงใจมากพอ และมีกำลังเงินมากพอที่จะเพิ่มจำนวนทีมงานจนมั่นใจว่าการปล่อยโฆษณาชวนเชื่อเข้าถึงทุกคน

    เลือกตั้งอินเดียแพงสุดในโลก

    ศูนย์การศึกษาสื่อ (ซีเอ็มเอส) หน่วยงานวิจัยอิสระในกรุงนิวเดลี เปิดเผยว่า ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งปีนี้จะอยู่ที่ 5 แสนล้านรูปี (ราว 2.29 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นถึง 40% จากปี 2014 ขณะที่เลือกตั้งของสหรัฐในปี 2016 ใช้งบราว 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.06 แสนล้านบาท) ตามข้อมูลจากโอเพนซีเคร็ตส์ หน่วยงานติดตามข้อมูลการใช้งบในการเมืองอเมริกัน

    ภัสครา เรา ประธานซีเอ็มเอส กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นจะมาจากการใช้โซเชียลมีเดีย การเดินทาง และการโฆษณา โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายกับโซเชียลมีเดียที่คาดว่าจะพุ่งถึง 20 เท่าตัว จาก 2,500 ล้านรูปี (ราว 1,146 ล้านบาท) ในปี 2014 ไปอยู่ที่ 5 หมื่นล้านรูปี (ราว 2.29 หมื่นล้านบาท)

    ขณะที่งบประมาณปี 2019 ที่จัดสรรให้คณะกรรมการเลือกตั้งอินเดียอยู่ที่ 2,620 ล้านรูปี (ราว 1,199 ล้านบาท) เป็นสถิติสูงสุดเช่นกัน

    Source: Posttoday

    - In India's last election, social media was used as a tool. This time it could become a weapon :
    https://edition.cnn.com/2019/03/11/...T57zqRc5dH-Wr__oz6Q46A4ZvwZHUBc0VkI5j58og0A6Q
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    252Fpsh-ex-ftnikkei-3937bb4%252Fimages%252F7%252F2%252F0%252F2%252F19742027-1-eng-GB%252F0170772.jpg

    (Mar 17) 'น้ำมัน-ค่าเงิน' แกร่ง คลายเงินเฟ้อตลาดเกิดใหม่ :ขณะนี้ เงินเฟ้อ ในบรรดาเศรษฐกิจเกิดใหม่ทั่วเอเชีย กำลังผ่อนคลายลง เนื่องจากราคาน้ำมันดิบ มีเสถียรภาพและค่าเงินของประเทศ กำลังพัฒนากลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ทำให้บรรดาธนาคารกลางในภูมิภาค มีโอกาสที่จะระงับมาตรการคุมเข้ม ทางการเงินที่บังคับใช้ในหลายประเทศ เมื่อปีที่แล้ว

    การเติบโตของราคาผู้บริโภคในอินเดีย และฟิลิปปินส์ชะลอตัวลงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันจนถึงเดือนก.พ. ที่ผ่านมา เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ขณะที่ราคา ผู้บริโภคในมาเลเซียลดลง 0.7% ในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา เทียบเป็นรายปี นับเป็นการ ลดลงครั้งแรกในรอบประมาณ 9 ปี

    แม้ว่าภาวะชะลอตัวของเงินเฟ้อ จะขจัดแรงจูงใจหลักสำหรับการปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ย แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ ชัดเจนว่า เสถียรภาพในปัจจุบันจะอยู่ได้ นานเพียงใด เนื่องจากราคาสินค้ายังมี ความเปราะบางสูงต่อปัจจัยภายนอก เช่น ราคาเชื้อเพลิง และความเคลื่อนไหว ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

    เมื่อต้นเดือนนี้ ทางการฟิลิปปินส์ รายงานว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 3.8% ในเดือนก.พ. เทียบเป็นรายปี ซึ่งต่ำกว่า ตัวเลข 4.4% ในเดือนม.ค.

    ความพยายามของรัฐบาลมะนิลา ในการต่อสู้กับเงินเฟ้อด้วยการขยาย การนำเข้าอาหารเริ่มเห็นผล โดยราคา อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้นเพียง 4.7% น้อยกว่าในเดือนก.ย. ปีที่แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 10% ขณะที่ ค่าขนส่งเติบโตเพียง 1.2% เนื่องจาก เชื้อเพลิงมีราคาถูกลง

    นอกจากนั้น เงินเปโซของฟิลิปปินส์ ยังแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ราว 52 เปโซ ต่อดอลลาร์ หลังจากอ่อนค่าลงไปอยู่ที่ ราว 54 เปโซอยู่ช่วงหนึ่งในปีที่แล้ว การฟื้นตัวของเงินเปโซยังช่วยให้ราคา สินค้านำเข้ามีเสถียรภาพด้วย

    เหตุการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้นทั่วเอเชีย ราคาผู้บริโภคของมาเลเซียที่ลดลง อย่างมากในเดือนม.ค. หลักๆ เป็นผลจาก ราคาน้ำมันและต้นทุนการขนส่งอื่นๆ ที่ลดลง 7.8%

    ขณะที่เงินรูเปี๊ยะห์ของอินโดนีเซีย ที่อ่อนค่าชะลอตัวลง ช่วยให้การเติบโต ของราคาผู้บริโภคลดลงมาอยู่ที่ 2.57% ซึ่งถือเป็นตัวเลขต่ำที่สุดครั้งหนึ่งในรอบ 10 ปี ของประเทศ

    นีล เชียริง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ของบริษัทวิจัย "แคปิตัล อีโคโนมิกส์" กล่าวว่า เงินเฟ้อในอินเดียก็ชะลอตัว อย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน ยกเว้น บางประเทศ เช่นตุรกีที่เงินเฟ้อทะยาน แตะ 20% และคาดว่าในปีนี้ เงินเฟ้อ ในบรรดาตลาดเกิดใหม่จะแตะระดับ ต่ำที่สุดในรอบหลายสิบปี

    ธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่ หลายแห่งพากันปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เมื่อปีที่แล้ว ในความพยายามเพื่อเดินตาม นโยบายของเฟด เช่นเดียวกับพักเรื่อง การพยุงเงินเฟ้อและหันไปสนับสนุน ค่าเงินของตนแทน

    ตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 5 ครั้งในปี 2561 เพื่อควบคุมการคาดการณ์เกี่ยวกับเงินเฟ้อ และดูแลเป้าหมายเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบ ของนโยบาย แต่หลังจากนั้นมาก็ยังไม่มีการ ขึ้นดอกเบี้ยรอบใหม่ และอัตราเงินเฟ้อ ที่ชะลอตัวลงในเดือนก.พ. ก็กลับมาอยู่ ในกรอบเป้าหมายของรัฐบาลซึ่งอยู่ ระหว่าง 2-4%

    ด้านอินโดนีเซียซึ่งปรับขึ้นอัตรา ดอกเบี้ย 6 ครั้งเมื่อปีที่แล้ว ยังไม่ปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ยเลยในปีนี้ ส่วนธนาคารกลาง อินเดียได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเมื่อ เดือนที่แล้ว เนื่องจากเกรงว่าอัตราเงินเฟ้อ จะสูงขึ้น

    อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยเงินเฟ้อ ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกอย่างมาก บางฝ่ายจึงกังวลว่าความไม่แน่นอน ที่เพิ่มขึ้นในเศรษฐกิจโลก อาจกระตุ้น ให้เกิดการเทขายค่าเงินตลาดเกิดใหม่ ของเอเชียอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้ราคาผู้บริโภค สูงยิ่งขึ้นกว่าเดิม

    ลิม กวน เอ็ง รัฐมนตรีกระทรวง การคลังมาเลเซีย กล่าวว่า ประโยชน์ สำคัญของการมีราคาสินค้าและบริการ ในชีวิตประจำวันที่มีเสถียรภาพ คือ ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากสะดวกสบาย ราคาที่ลดลงช่วยเพิ่มกำลังซื้อของ ผู้บริโภคและกระตุ้นการเติบโตทาง เศรษฐกิจด้วย

    Source: กรุงเทพธุรกิจ

    - Emerging Asia's inflation softens as oil and currencies steady:
    https://asia.nikkei.com/Economy/Eme...EmGu8qI1Xq-nrXk2VaJoQbzLKCXmb6lt7CVuSoy4D5xRQ
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    safe_image.php?d=AQDwUeulmVrguTT8&w=540&h=282&url=https%3A%2F%2Fs3.reutersmedia.jpg

    (Mar 17) เศรษฐกิจจีนลดร้อนแรงฉุดยอดขายบ.ญี่ปุ่น :โรงงานอุตสาหกรรมในเมืองชายฝั่งทะเลทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ได้รับผลกระทบหนักจากเศรษฐกิจจีนที่ซบเซา อย่าง บริษัทนากูโม เซสาคูโช ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ขนาดใหญ่ ได้รับคำสั่งซื้อสินค้าลดลง เช่นเดียวกับบริษัทเดนโซ บริษัทไอชิน เซกิ และอื่นๆ ซึ่งเจอปัญหาผลประกอบการร่วงกัน ถ้วนหน้า ทำให้บริษัทเหล่านี้ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงานเพิ่ม หรือลดงบประมาณลงในปีถัดไป

    โรงงานผลิตทั่วประเทศญี่ปุ่นพึ่งพานักลงทุนจีน ซึ่งเป็นประเทศ ที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก โดยเฉพาะในภาค การผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่จะช่วยกระตุ้นการเติบโตในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศ แต่ผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่ซวนเซ ส่งผลเลวร้ายอย่างยิ่งต่อระบบห่วงโซ่อุปทานการผลิตของบริษัท นากูโม โรงงานผลิตเล็กๆ ที่มีพื้นที่โรงงานขนาด 4,000 ตารางเมตร และพนักงาน 100 คน

    ภาวะขาลงของเศรษฐกิจจีน เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของ โรงงานแห่งนี้ โดยนายฮิโรชิ โคเมมาสุ ประธานนากูโม กล่าวว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ส่งผลกระทบต่อโรงงานเล็กๆของพวกเขา เหมือนคำกล่าวที่ว่า เมื่อจีนเป็นหวัด ญี่ปุ่นก็ออกอาการจามไปด้วย โดยยอดสั่งซื้อที่ลดลงส่งผลต่อการคาดการณ์ยอดขายที่บริษัทหวังว่าจะปรับตัวขึ้น 6% ในปีนี้ หรือประมาณ 1.9 พันล้านเยน (17 ล้านดอลลาร์)

    หลังจากคำสั่งซื้อของบริษัทจีนลดลงเพราะเศรษฐกิจจีนชะลอ บริษัทนากูโม ได้ปรับตัวด้วยการให้พนักงานขายออกไปหาลูกค้าเพื่อชดเชยคำสั่งซื้อเดิมจากจีน ซึ่งปริมาณการผลิตที่ชะลอตัวจากคำสั่งซื้อของแหล่งผลิตแบบต้นน้ำอย่างที่เกิดขึ้นกับนากูโม ถือเป็นลางร้ายต่อภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่น

    สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรายอื่นๆ ในญี่ปุ่น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาค่าจ้างรายปี และยิ่งตอกย้ำ ความกังวลว่า แรงเสียดทานทางการค้าจะส่งผลกระทบต่อเงินเดือน และการใช้จ่ายของผู้บริโภคทั่วประเทศ โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่นอย่าง บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ และบริษัทพานาโซนิค เสนอปรับขึ้นค่าแรง เล็กน้อยในการเจรจาค่าจ้างประจำปีในวันพุธที่ผ่านมา (16 มี.ค.) โดยหวังว่า การบริโภคภายในประเทศจะช่วยชดเชยความเสี่ยง จากภายนอกประเทศได้

    "โทโร นิชิฮามา" นักเศรษฐศาสตร์ที่ทำการศึกษาตลาด เกิดใหม่ของสถาบันวิจัยไดอิชิ ไลฟ์ ให้ความเห็นว่า แม้การเจรจา การค้าระหว่างประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ของสหรัฐกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนจะส่งสัญญาณว่าใกล้สิ้นสุดแล้ว แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นยังคงมีอยู่ ไม่ได้หมายความว่าความต้องการสินค้าจากจีนจะเพิ่มขึ้น เพียงแต่ช่วยให้แรงกดดันระหว่างผู้ส่งออกและผู้ผลิตของญี่ปุ่นลดลง เพราะเศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัว

    "อาโทชิ ทาคาดะ" หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัย อิโตชู ให้ความเห็นว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน มีผลกระทบ ต่อบริษัทญี่ปุ่นเป็นเวลานานติดต่อกันหลายเดือน และเมื่อรวม กับปัญหาความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ทำให้การส่งออก ของญี่ปุ่นในเดือน ม.ค.-มี.ค.ปรับตัวลง เช่นเดียวกับการผลิตชิ้นส่วน แผ่นวงจรกึ่งตัวนำไฟฟ้า และรถยนต์ ที่ได้รับผลกระทบในช่วงครึ่งแรก ของปีนี้

    ในปี 2561 การส่งออกของญี่ปุ่นประมาณ 38% เป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักรหนักที่ใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าอื่นๆ ในขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์มีสัดส่วน 23%

    Source: กรุงเทพธุรกิจ

    - On Japan Sea coast, small firm shows scars of China's economic woes :
    https://www.reuters.com/article/us-...besk48oElLO8jCeX0deogGNya3cfF8_MAdabHpry9JFis
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    &url=https%3A%2F%2Fassets.bwbx.io%2Fimages%2Fusers%2FiqjWHBFdfxIU%2FiJvNfUhQeu9Q%2Fv0%2F1200x800.jpg

    (Mar 17) เฟซบุ๊คลบวิดีโอบุกยิงมัสยิดนิวซีแลนด์ : เฟซบุ๊ค ลบโพสต์วิดีโอเหตุบุกกราดยิงในนิวซีแลนด์ที่ถูกแชร์ต่อกัน 1.5 ล้านครั้งภายใน 24 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ เฟซบุ๊ค ทวีตข้อความในวันเสาร์(16 มี.ค.)ตามเวลาสหรัฐว่า ได้ลบโพสต์ภาพวิดีโอที่คนร้ายในเหตุการณ์บุกกราดยิงที่มัสยิด อัล นูร์ ในเมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ไลฟ์สดผ่านเฟสบุ๊คเป็นเวลา 17 นาที รวมถึงลบวิดีโอที่ตัดต่อโดยไม่ได้เบลอภาพทิ้งทั้งหมดแล้ว เพื่อไม่ให้สะเทือนใจผู้ที่เกี่ยวข้อง และเพื่อความสบายใจของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น รวมทั้งนายกรัฐมนตรีจาซินดา อาร์เดิร์น ของนิวซีแลนด์ที่ต้องการหยิบประเด็นการไลฟ์สดขึ้นหารือกับทางเฟซบุ๊ค

    เหตุกราดยิงมัสยิดเมื่อวันศุกร์ ที่ยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็น 50 คน มือปืนใช้แอพพลิเคชันสำหรับคนที่โปรดปรานกีฬาเอ็กซ์ตรีมถ่ายเหตุการณ์ไลฟ์สด 17 นาที และมีคนก็อปปี้เผยแพร่บนโซเชียลมีเดียต่อเนื่องอีกหลายชั่วโมงหลังจากนั้น

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    - https://www.bloomberg.com/news/arti...CbvBrwJq1xvMMcTblErCUGYxZLGswGtVQfwW45MFZKkJ0
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,311
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    54524708_2442568739095937_8977351319387897856_n.jpg?_nc_cat=106&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg
    (Mar 18) ทั่วโลกผ่อนนโยบายการเงิน-ไทยไม่จำเป็นต้องรีบขึ้น'ประสาร'ชี้ดบ.ไร้แรงกดดัน : "ประสาร" ชี้ดอกเบี้ย นโยบายไม่จำเป็นต้องรีบขึ้นหลังธนาคารกลางหลักของโลกส่งสัญญาณ ผ่อนคลาย ขณะนักเศรษฐศาสตร์ ประเมินประตูการขึ้นดอกเบี้ยเริ่มแคบลง เหตุหลายปัจจัยไม่เอื้อ แต่ยังเชื่อปลายปีมีโอกาสเห็นการขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง การประชุมคณะกรรมการนโยบาย การเงิน(กนง.) วันที่ 20 มี.ค.นี้ "นักเศรษฐศาสตร์" ประเมินว่าที่ประชุมจะยัง "คง" ดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ท่ามกลางแนวโน้มนโยบายการเงินโลกที่เริ่มผ่อนคลายความเข้มงวดลง หลังจากที่ ธนาคารกลางขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) และธนาคารกลางจีน(พีบีโอซี) ส่งสัญญาณผ่อนปรนนโยบายการเงินเพื่อดูแลการขยายตัวของเศรษฐกิจ

    นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่า การธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า การที่ธนาคารกลางหลักๆ ของโลกเริ่มปรับ ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินไปในเชิง ผ่อนคลายมากขึ้น โดยเฉพาะเฟดและอีซีบี เชื่อว่าจะหนุนให้การดำเนินนโยบายการเงิน ของไทยไม่จำเป็นต้องรีบปรับขึ้นดอกเบี้ยในเวลานี้ ขณะเดียวกัน หากดูปัจจัยต่างๆ เชื่อว่า ไม่มีแรงกดดันใดๆ ที่ทำให้ กนง. ต้องรีบปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้

    "ตอนนี้เพิ่งต้นปี ยังต้องรอดูปัจจัยต่างๆ อีกมากกว่า แนวโน้มนโยบายการเงิน จะเป็นอย่างไร แต่ต่างประเทศก็เริ่มชัด โดยเฉพาะยุโรปกับสหรัฐว่าจะไม่เร่งขึ้น ดอกเบี้ย ดังนั้นก็ไม่น่ากดดันให้ไทยต้องรีบขึ้นดอกเบี้ย แม้ที่ผ่านมาจะมีกรรมการ 2 เสียง หนุนให้ขึ้นดอกเบี้ยก็ตาม แต่ตอนนี้นโยบายการเงินหลายๆประเทศเริ่ม ผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้เราไม่จำเป็นต้องรีบขึ้น"นายประสารกล่าว

    นายกำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) กสิกรไทย กล่าวว่า แม้ธนาคารกลางหลักๆ ของโลกจะเริ่มปรับทิศทางการทำนโยบาย การเงิน จากเข้มงวดมาเป็นผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้ กนง. เริ่มหันมาดูในเรื่องนี้บ้าง อย่างไรก็ตามสภาพเศรษฐกิจไทย แตกต่างจากในต่างประเทศ และที่ผ่านมา กนง. ได้ให้น้ำหนักกับความกังวลเรื่องเสถียรภาพระบบการเงินเป็นอันดับต้นๆ จึงเชื่อว่าหากมีโอกาส กนง. อาจจะยังปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้อยู่ ประตูดอกเบี้ยขาขึ้นจึงยังไม่ได้ถูกปิดไป

    "เราเชื่อว่าสิ่งแรกที่ กนง. ให้น้ำหนักมากสุด คือ เสถียรภาพระบบการเงิน รองลงมาคือการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ดังนั้นหากเศรษฐกิจเอื้อให้ กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ก็คิดว่าคงจะเห็น กนง. ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อเก็บกระสุนเพิ่ม”

    ส่วนการประชุม กนง. วันที่ 20 มี.ค.นี้ ยังเชื่อว่าที่ประชุมจะคงดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ที่ 1.75% เนื่องจากการส่งออกของไทยช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาค่อนข้างน่าผิดหวัง ประกอบกับการประชุมในรอบก่อนหน้านี้ แม้จะมีคะแนนเสียงที่โหวตให้ขึ้นดอกเบี้ยบ้าง แต่ก็ไม่ได้สูงจนเป็นสัญญาณว่าดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นต่อในการประชุมครั้งนี้

    นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ภัทร กล่าวว่า ประตูการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแม้ยังไม่ถูกปิดลงแต่ก็เริ่มแคบลงไปทุกขณะ เพราะเวลานี้ปัจจัยที่สนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเริ่มน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัว เงินเฟ้อที่ต่ำกว่าเป้าหมาย และค่าเงินบาท ที่คอยกดดันการปรับขึ้นดอกเบี้ย "การขึ้นดอกเบี้ยคงยังไม่เกิด ในการประชุมรอบนี้ เพราะตัวเลข หลายๆ ตัวไม่เอื้อ ทั้งการส่งออก เงินเฟ้อ หรือแม้แต่ปัจจัยภายนอก ที่ธนาคารกลางหลายประเทศเริ่ม ปรับมุมมองที่มีต่อนโยบายการเงิน และบางประเทศก็เริ่มลดดอกเบี้ย ลงไปแล้วเช่นธนาคารกลางอินเดีย”

    ส่วนแนวโน้มระยะข้างหน้า เชื่อว่าหากแนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น ก็มีโอกาสที่ กนง. จะขยับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นได้ เพราะที่ผ่านมา กนง. ค่อนข้างเป็นห่วงเสถียรภาพระบบการเงิน ขณะเดียวกันก็อยากขยับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเพื่อรักษาความสามารถในการทำนโยบายการเงิน

    นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการ อาวุโส สำนักวิจัย สายบริหารความเสี่ยง ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า การประชุมกนง. ครั้งนี้เชื่อว่าจะยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% แต่สิ่งที่ต้องติดตาม คือ สัญญาณจากทาง กนง.ว่าจะออกมาอย่างไร

    "เราเชื่อว่า กนง.จะยังส่งสัญญาณดอกเบี้ยขาขึ้นอยู่ แม้จะอยู่บนพื้นฐาน ที่ไม่เอื้อนัก ทั้งเงินเฟ้อที่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย เงินบาทที่อาจแข็งค่าส่งผลต่อการส่งออก และเศรษฐกิจที่ไม่ได้ เอื้อนักในขณะนี้ จึงถือเป็นความท้าทายของ กนง.ที่จะส่งสัญญาณในการขึ้นดอกเบี้ยระยะข้างหน้า”

    อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าดอกเบี้ยนโยบายยังมีโอกาสปรับขึ้นได้อยู่ เพราะเท่าที่ประเมินแนวโน้มครึ่งปีหลัง เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้จากทั้งการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มกลับมาหลังการเลือกตั้งมีความชัดเจน และการบริโภคที่มีแนวโน้มดีขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจโลกก็น่าจะดีขึ้นด้วยในช่วงครึ่งปีหลัง

    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     

แชร์หน้านี้

Loading...