ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    ces%2Fimg%2Feditorial%2F2019%2F03%2F02%2F105771233-1551518463303gettyimages-1128341752.1910x1000.jpg
    (Mar 2) สเปซเอ็กซ์-นาซาประสบความสำเร็จในการปล่อยยานแคปซูลไร้คนขับขึ้นสู่อวกาศ: บริษัทสเปซเอ็กซ์ของสหรัฐได้ยิงจรวดที่ติดตั้งยานแคปซูลไร้คนขับขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติแล้วในวันนี้ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญสำหรับบริษัทสเปซเอ็กซ์ของนายอีลอน มัสก์ และองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ (นาซา) ที่จะเริ่มส่งมนุษย์จากพื้นโลกขึ้นไปยังอวกาศอีกครั้งในปลายปีนี้

    ยานแคปซูล Crew Dragon สูง 16 ฟุต (4.9 เมตร) ที่ติดตั้งอยู่บนจรวด Falcon 9 ของบริษัทสเปซเอ็กซ์ ได้ถูกปล่อยออกจากศูนย์อวกาศเคเนดีในรัฐฟลอริดา เมื่อเวลา 02.49 น.ตามเวลาสหรัฐ (14.49 น.ตามเวลาไทย) ในวันนี้ โดยมีหุ่นทดสอบชื่อริปลีย์อยู่ภายในยานแคปซูลดังกล่าวด้วย

    นาซาคาดว่า ลูกเรือของสถานีอวกาศจะได้พบกับยานแคปซูลดังกล่าวซึ่งบรรจุเสบียงและอุปกรณ์ทดสอบหนัก 400 ปอนด์ในช่วงเช้าวันอาทิตย์นี้ และในระหว่างอยู่ที่สถานีอวกาศเป็นเวลา 5 วันนั้น แอนนี แมคเคลน นักบินอวกาศของสหรัฐ และ เดวิด เซนต์-ฌากส์ นักบินอวกาศของแคนาดา จะทำการทดสอบ และตรวจสอบห้องโดยสารของยาน Crew Dragon

    Source -อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย กัลยาณี ชีวะพานิช

    https://www.cnbc.com/2019/03/02/spa...YeF5DH4b8_hbQgVdwtbMlt2ZR-OcbHgJY1F_Cn5M-oeTo
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    YZmNK80iRWEXnIXVPNB_1Q6hci6fSpYCLnMahbklT7mt-d1J74HiHlap5ONCbU8YopOX7WCA&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
    (Mar 3) ธุรกิจการบินปีกหัก ปี61ขาดทุน1.44หมื่นล. : การดำเนินธุรกิจด้านการบินของบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) สิ้นสุดในปี2561 นับว่าเป็นปีสาหัสมาก สะท้อนจากผลประกอบการของ 4 สายการบินของไทย ที่ครองส่วนแบ่งในธุรกิจนี้กว่า 85% ที่พบว่าขาดทุนเพิ่มขึ้นร่วม 1 หมื่นล้านบาท จากขาดทุน 3.96 พันล้านบาทในปี 2560 เพิ่มมาเป็นขาดทุน 1.44 หมื่นล้านบาทในปี 2561 จากการขาดทุนของการบินไทยและนกแอร์
    ขณะที่สายการบินอย่างบางกอกแอร์เวย์ส และไทยแอร์เอเชีย ในปี 2561 แม้จะยังมีกำไรอยู่เหมือนเดิม แต่เมื่อรวมกันก็จะเห็นว่ากำไรหดหายไปจากปีก่อนหน้าร่วม 1.94 พันล้านบาท จากการแข่งขันที่รุนแรง และค่าใช้จ่ายราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงสุดในรอบ 4 ปี การชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจีน หลังเกิดเหตุการณ์เรือล่มที่จ.ภูเก็ต โดยการบินไทย มีผลการขาดทุนสูงสุดมากถึง 1.16 หมื่นล้านบาท
    นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่าในปีนี้บริษัทฯ มีการเปลี่ยนแปลงทางบัญชี ใน 2 เรื่อง ได้แก่ 1.การเปลี่ยนประมาณการมูลค่าคงเหลือของเครื่องบินและเครื่องยนต์อะไหล่ จากเดิม 10% เป็น 6% ของมูลค่าต้นทุนเริ่มแรก ทำให้ค่าเสื่อมราคาของเครื่องบินและเครื่องยนต์อะไหล่ในปี 2561 เพิ่มขึ้น 3,129 ล้านบาท และ2.การทบทวนระยะเวลาการรับรู้บัตรโดยสารที่จำหน่ายแล้วแต่ยังไม่ได้ใช้บริการ จากเดิมรับรู้เป็นรายได้เมื่อบัตรโดยสารมีอายุเกินกว่า 24 เดือน เป็น 15 เดือน นับจากวันที่ออกบัตรโดยสาร ทำให้รายได้ค่าโดยสารสำหรับปี 2561 เพิ่มขึ้น 1,028 ล้านบาท
    การเปลี่ยนแปลงทางบัญชีที่เกิดขึ้นแม้จะทำให้ในปี 2561 การบินไทยขาดทุนเพิ่มขึ้น แต่จะทำให้การบินไทยมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในปีนี้ การเปลี่ยนแปลงทางบัญชีประมาณการมูลค่าคงเหลือของเครื่องบินและเครื่องยนต์อะไหล่ใหม่ จะทำให้การทำด้อยค่าเครื่องบินลดลง ซึ่งเป็นเรื่องการบริหารจัดการที่ทำให้ถ้าการบินไทยปลดระวางเครื่องบินก็จะไม่กระทบรุนแรงเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
    อีกทั้งการบินไทยยังอยู่ระหว่างการลดผลกระทบทางการเงินในเรื่องของความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และความเสี่ยงเรื่องของราคาน้ำมัน ควบคู่ไปกับการเพิ่มรายได้จากการขาย โดยมีแผนจะเช่าเครื่องบินระยะสั้นมาให้บริการเพิ่มเติม การเพิ่มรายได้จากบริการเกี่ยวเนื่อง เช่น ครัวการบิน การทำเรื่องของอี-คอมเมิร์ซ ระหว่างรอรายได้จากการลงทุนศูนย์ซ่อมอากาศยาน(MRO)สนามบินอู่ตะเภาที่ต้องใช้เวลาอีกกว่า 2 ปี และการทำเรื่องดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน ซึ่งการดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ จะทำให้การจัดหาฝูงบินใหม่ 38 ลำในอีก 2 ปีข้างหน้าไม่เป็นภาระ
    รวมถึงการบินไทยเตรียมขออนุมัติผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายน 2562 ที่จะอนุมัติตัดภาระขาดทุนสะสม ซึ่งจะไม่กระทบมูลค่าส่วนผู้ถือหุ้น โดยใช้สำรองตามกฎหมาย ซึ่ง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 การบินไทยมีขาดทุนสะสมอยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท ทำให้ขาดทุนสะสมเหลือ 296 ล้านบาท ถ้าบริษัทไม่มีขาดทุนสะสมก้อนใหญ่ การจ่ายปันผลก็จะมีโอกาสมากขึ้น
    ในส่วนของการดำเนินธุรกิจของนกแอร์ หลังจากมีการเพิ่มทุนรอบล่าสุด ได้รับเงินกว่า 2.3 พันล้านบาท ก็ทำให้บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นบวกอยู่ที่ราว 832.86 ล้านบาท และระหว่างที่รอการทำดิวดิลิเจนซ์ซื้อหุ้นของบริษัทแอร์เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (AAV) กว่า 60% ของกลุ่มจุฬางกูร นกแอร์ยังมีแนวทางที่จะรักษาส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ให้ติดลบต่อไป โดยเน้นขยายเส้นทางและเครือข่ายการบินและการปรับปรุงฝูงบินเพื่อเพิ่มอัตราการใช้เครื่องบิน
    ส่วนบางกอกแอร์เวย์ส กำไรที่เกิดขึ้นเพราะโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของบริษัทไม่ได้พึ่งพารายได้จากธุรกิจการบินเท่านั้น แต่ยังมีการเติบโตของรายได้ที่ไม่ได้แบ่งตามสายธุรกิจเป็นผลมาจากเงินปันผลที่บริษัท ได้รับจากเงินลงทุนในบมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS)และรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสนามบินที่มีการเติบโตต่อเนื่อง
    Source: ฐานเศรษฐกิจ
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    มันเริ่มต้นอีกครั้ง แสงวาบแปลก ๆ ในยามค่ำคืนของโลกในวันที่ 1 มีนาคมและ 2 มีนาคม พวกเขากำลังพยายามปิดกั้นภาพถ่ายดาวเทียม Himawari 8
    FB_IMG_1551665439695.jpg FB_IMG_1551665443599.jpg
    It's starting again. Strange flashes of light on the night side of the Earth on March 1st and March 2nd that they are poorly trying to block out on Himawari 8 satellite images.

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สหรัฐเตรียมเลิกเก็บภาษีนำเข้าเกือบทั้งหมดจากจีน
    750x422_828553_1551663831.jpg
    4 มีนาคม 2562

    พร้อมคาดผู้นำสหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงร่วมกัน 27 มี.ค.นี้

    หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า สหรัฐอาจยกเลิกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกือบทั้งหมดที่ได้บังคับใช้กับจีนตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยคาดว่าผู้นำของทั้งสองประเทศอาจจะบรรลุข้อตกลงการค้าอย่างสมบูรณ์ในการประชุมวันที่ 27 มี.ค.นี้

    วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า สหรัฐและจีนอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการทำข้อตกลงการค้า โดยจีนเสนอว่าจะปรับลดภาษีนำเข้าและผ่อนคลายกฎระเบียบด้านการนำเข้าสินค้าเกษตร เคมีภัณฑ์ รถยนต์ และสินค้าอื่นๆจากสหรัฐ

    ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ เรียกร้องรัฐบาลปักกิ่ง ยกเลิกการจัดเก็บภาษีสินค้าเกษตรที่นำเข้าจากสหรัฐทั้งหมดในทันที เนื่องจากการเจรจาการค้าระหว่างกันมีความคืบหน้าไปด้วยดีซึ่งรวมถึงการที่เขาตัดสินใจเลื่อนกำหนดเส้นตายจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 25% ออกไป

    “ผมได้ขอให้รัฐบาลจีนยกเลิกการจัดเก็บภาษีศุลกากรผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรทั้งหมดที่นำเข้าจากอเมริกา ซึ่งรวมถึง เนื้อวัว เนื้อหมูและอื่นๆ เพราะขณะนี้ ทั้งจีนและสหรัฐต่างมีความคืบหน้าอย่างมากในการเจรจาการค้าเพื่อยุติมาตรการตอบโต้ด้วยภาษีระหว่างกัน และที่ผ่านมา ผมก็ตัดสินใจไม่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มในอัตรา 25% แล้ว ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญมากกับเกษตรกรอเมริกันและผม”ทรัมป์ ระบุในทวีต

    เกษตรกรเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรครีพับลิกัน ซึ่งการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนสร้างผลกระทบโดยตรงต่อบรรดาเกษตรกรในสหรัฐ โดยปีที่แล้ว รัฐบาลปักกิ่ง จัดเก็บภาษีนำเข้าถั่วเหลือง ข้าวสาลี เนื้อหมู และสินค้าเกษตรหมวดอื่นๆจากสหรัฐ รวมทั้งลดคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากฟาร์มของบรรดาเกษตรกรอเมริกันจำนวนมาก


    http://www.bangkokbiznews.com/news/...jGNduDrNVNQqkHzUc2LVFYfGAF3-IhIpmPN7fkcKElG0k
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2019
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo

    # URGENT
    ฉันขอยืนยันด้วยกันว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับประธานาธิบดีฮวนกไกโดระหว่างการมาถึงของเขาในเวเนซูเอลาสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรจะตอบโต้อย่างรุนแรง
    ในขณะเดียวกันรัสเซียกล่าวเมื่อหลายชั่วโมงก่อนว่าจะไม่อนุญาตให้เข้าไปแทรกแซงในเวเนซุเอลา
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    FB_IMG_1551676512883.jpg FB_IMG_1551676515606.jpg
    (Mar 3) ย้ำก.ม.ไซเบอร์หนุนขับเคลื่อนดิจิทัล 'ดีอี'ยันอำนาจยังอยู่ในมือประชาชน : หลังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. .. หรือพ.ร.บ.ไซเบอร์ เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ที่ผ่านมา ตามที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเสนอมาด้วยคะแนน 133 เสียง ไม่เห็นด้วย 0 งดออกเสียง 16 เสียงเพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป "สปอตไลท์" ก็มาตกที่ตัวรายละเอียดกฎหมายว่าจะเข้ามาควบคุมการใช้งานอินเทอร์เน็ตของคนในประเทศ รวมทั้งให้อำนาจเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบได้โดยทันที ทันทีหลังจากที่กฎหมายผ่านสนช.เกิดเสียงวิพาษก์วิจารณ์จากหลายฝ่าย และมีการระบุว่ายังมีความคลุมเครือในประเด็นด้านกฎหมายหลายส่วน

    นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์จะช่วยสร้างความพร้อมประเทศไทยในการรับมือความเสี่ยง และภัยคุกคามทางไซเบอร์ยุคใหม่ จากความก้าวหน้า ของเทคโนโลยีดิจิทัล ที่อาจส่งผลกระทบสร้างความเสียหายต่อความมั่นคงประเทศและเศรษฐกิจ โดยรวม ตลอดจนถึงการคุ้มครองข้อมูลประชาชนทั่วไปช่วยสร้างความมั่นใจในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล หนุนการขับเคลื่อนประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างมีเข้มแข็งและยั่งยืน

    ป้องกันความเสี่ยงจากภัยคุกคาม

    หลักการสำคัญของพ.ร.บ.การรักษา ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ คำนึงถึงบริการด้านดิจิทัลในปัจจุบันที่แพร่หลาย เสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งอาจกระทบการให้บริการประชาชน หรือความสงบเรียบร้อยในประเทศ กฎหมายนี้ กำหนดหน่วยโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (CII ) ทั้งหน่วยงานของรัฐและหน่วยงาน เอกชน ตลอดจนกำหนดให้มีมาตรฐาน และแนวทางการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อให้สามารถบริการได้ต่อเนื่อง โดยผู้ร่างกฎหมาย ได้กำหนดว่า โครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ 7 ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายนี้ ได้แก่ ด้านบริการของรัฐที่สำคัญ เช่น ระบบการเบิกจ่าย เงินของกรมบัญชีกลาง ด้านการเงิน ด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม ด้านความมั่นคง ด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และด้านสาธารณสุข และสามารถที่จะเพิ่มด้านอื่นๆ ได้อีกในอนาคต

    ยันสิทธิเสรีภาพยังมีอยู่ตามเดิม

    ปลัดกระทรวงดีอี ยืนยันว่า กฎหมายนี้ ไม่กระทบและไม่คุกคามสิทธิต่อประชาชนโดยทั่วไป แต่สามารถป้องกันและรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้ทันท่วงที ส่วนภัยระดับร้ายแรงซึ่งทำให้ บริการสำคัญหยุดชะงัก สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติ จะให้ความช่วยเหลือในการแก้ปัญหา การเข้าไปในสถานที่หรือเข้าไปตรวจค้น เจ้าหน้าที่ต้องขอหมายศาล ขณะที่ภัยระดับวิกฤติต้องเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่บริการที่สำคัญถูกโจมตีจนล่ม ไม่สามารถให้บริการ ได้เป็นวงกว้าง หรือมีประชาชนเสียชีวิต มีผลกระทบ ต่อความมั่นคงของประเทศ จึงให้ใช้อำนาจตามกฎหมายด้านความมั่นคง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่อาจ ต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน พร้อมกับแจ้งศาล โดยเร็วที่สุด

    เจาะ 3 ระดับความรุนแรง

    อย่างไรก็ตาม มาตรา 59 การพิจารณาเพื่อใช้อำนาจในการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังต่อไปนี้
    1.ภัยคุกคามทางไซเบอร์ในระดับเฝ้าระวังไม่ร้ายแรง หมายถึง ภัยคุกคาม ทางไซเบอร์ในระดับที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย แต่ยังไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อบุคคล ทรัพย์สิน หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่สำคัญในระดับร้ายแรงที่มีความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญถึงระดับที่ทำให้ระบบ คอมพิวเตอร์ของหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศหรือการให้บริการของรัฐด้อย ประสิทธิภาพลง

    2. ภัยคุกคามทางไซเบอร์ในระดับร้ายแรง หมายถึง ภัยคุกคามในระดับร้ายแรง เช่น ก่อให้เกิด ความเสี่ยง เกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ หรือบริการของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ อาจทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัฐ การป้องกันประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ การสาธารณสุข ความปลอดภัยสาธารณะ หรือ ความสงบ เรียบร้อยของประชาชน ถูกแทรกแซงอย่าง มีนัยสำคัญ หรือระงับการทำงาน เกิดความเสียหายต่อบุคคล หรือต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์

    3. ภัยคุกคามทางไซเบอร์ในระดับวิกฤติหมายถึง ภัยคุกคามที่ฉุกเฉินเร่งด่วนใกล้จะเกิด และที่เกิดจากการโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ในระดับที่สูงขึ้นกว่าภัยคุกคาม ทางไซเบอร์ในระดับร้ายแรง กระทบรุนแรงต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ความมั่นคงของรัฐ หรือ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนของประเทศ ในวงกว้าง ส่งผลให้การทำงานของหน่วยงานรัฐ หรือการให้บริการของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ให้กับประชาชนล้มเหลวทั้งระบบจนรัฐไม่สามารถ ควบคุม การทำงานได้ และลุกลามไปยังโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอื่นๆ ของประเทศอาจทำให้บุคคลจำนวนมากเสียชีวิตหรือระบบคอมพิวเตอร์ ถูกทำลายเป็นวงกว้าง

    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    FB_IMG_1551676729517.jpg
    (Mar 3) บทความวิจัยเรื่อง “Thailand’s Car Tax Rebate Scheme and Consumption Responses: The Role of Durable Goods with Adjustment Costs”: รัฐบาลไทยนำเครื่องมือทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมาใช้บ่อยครั้งในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา อาทิ การลดหย่อนภาษีรายได้ส่วนบุคคลและสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านนโยบายช็อปช่วยชาติ และนโยบายรถคันแรก อย่างไรก็ดี การประเมินผลกระทบต่อการบริโภคของครัวเรือนอย่างเป็นระบบและประสิทธิผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจยังมีอยู่จำกัด และยังไม่มีเครื่องมือเพื่อประมาณการผลกระทบของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านี้ก่อนที่จะออกมาตรการมาบังคับใช้
    บทความนี้ได้สร้างแบบจำลอง life-cycle model โดยจำลองการบริโภคและออมของครัวเรือนไทยตลอดชีวิตในช่วงอายุต่าง ๆ ซึ่งจะใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินประสิทธิผลของมาตรการกระตุ้นทางการคลังได้ และให้ความสำคัญกับบทบาทของรถยนต์ที่เป็นทั้งสินค้าฟุ่มเฟือย สินค้าอุปโภค และสินทรัพย์ถาวรในเวลาเดียวกัน และคนตัดสินใจซื้อรถยนต์ด้วยหลายปัจจัย ได้แก่ การถือครองสินทรัพย์ของครัวเรือน ช่วงอายุของครัวเรือน รายได้ และความพึงพอใจของครัวเรือน การศึกษาพบว่าครัวเรือนไทยมีความยืดหยุ่นสูงที่จะทดแทนการบริโภคข้ามช่วงเวลา (Elasticity of Intertemporal Substitution) หมายความว่า ครัวเรือนไทยจะลดการบริโภคในอนาคตเพื่อบริโภคมากขึ้นในช่วงเวลาปัจจุบัน จึงมีการตอบสนองสูงต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
    ท่านสามารถอ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ https://www.pier.or.th/wp-content/uploads/2018/11/pier_dp_099.pdf
    โดย ดร.ธนิสา ทวิชศรี
    Source: PIER FB
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    FB_IMG_1551676959930.jpg
    (Mar 4) เร่งดันแบงก์ประชาชน แก้หนี้นอกระบบ : ร่าง พ.ร.บ.สถาบันการเงินประชาชน พ.ศ. ... ได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว ตามขั้นตอนของการออกกฎหมายคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายใน 3-4 เดือนจากนี้ หรือภายในครึ่งแรก ของปี 2562 เป้าหมายการออกกฎหมายฉบับนี้ เพื่อแก้ปัญหาด้าน การเงินของคนในชุมชน โดยเฉพาะ ในกลุ่มคนที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการของระบบการเงิน

    ต่อไปสถาบันการเงินชุมชนทั้งหลายจะต้องเข้ามาจดทะเบียนภายใต้กฎหมายฉบับนี้ โดยมีสถาบันการเงิน หรือธนาคารที่คณะกรรมการพัฒนาระบบสถาบันการเงินประชาชนประกาศกำหนด ทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนและประสานงานการดำเนินการของสถาบันการเงินประชาชน ซึ่งมีขอบข่ายการทำงานที่ครอบคลุมการรับฝากเงิน การให้สินเชื่อ การเช่าซื้อ การรับจำนำ การรับจำนอง การรับชำระเงิน การ โอนเงิน หรือการอื่นใดที่เป็นการให้บริการการเงินในระดับ ชุมชนตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

    สำหรับคณะกรรมการพัฒนาระบบสถาบันการเงินประชาชน มีปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ ส่วนกรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์)

    ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน และมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 4 คน ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นกรรมการและเลขานุการ ผู้แทนจากธนาคารออมสิน และผู้แทนจาก ธ.ก.ส.เป็นผู้ช่วยเลขานุการ

    กระทรวงการคลัง เชื่อว่า บทบาทของสถาบันการเงินประชาชนจะช่วยให้สมาชิกชุมชนทั่วประเทศเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึง ลดปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งพบข้อมูลจากการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยเพื่อขอรับสวัสดิการรัฐในปี 2560 พบว่า จำนวนผู้ลงทะเบียนทั้งหมดราว 14 ล้านคน มีจำนวนผู้ที่เป็นหนี้นอกระบบประมาณ 1.3 ล้านคน คิดเป็นมูลหนี้ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งการ ดึงสถาบันการเงิน อย่างธนาคาร เฉพาะกิจของรัฐ หรือแบงก์รัฐ เข้ามาปล่อยกู้แก้หนี้นอกระบบยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะแบงก์รัฐก็ติดเงื่อนไขการปล่อยกู้ การตั้งสำรอง ตามเกณฑ์มาตรฐานของธนาคาร แห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ทำให้ การพิจารณาสินเชื่อทำได้ยากลำบากมากขึ้นในปัจจุบัน

    ดังนั้น การปั้นสถาบันการเงินประชาชนที่มีแบงก์รัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ไอแบงก์ และกองทุนหมู่บ้านฯ ช่วยเป็นพี่เลี้ยง จะเป็นการช่วยอุดช่องโหว่การเข้าถึงแหล่งเงินของคนฐานรากได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการทำงานของสถาบันการเงินประชาชน จะใช้คนในชุมชน ท้องถิ่นเข้าทำหน้าที่แทนเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ทำให้รู้พฤติกรรมผู้กู้ได้เป็นอย่างดีว่าเป็นคนทำมาหากินจริงหรือไม่ เล่นการพนันหรือไม่ ช่วยให้การวิเคราะห์สินเชื่อทำได้อย่างแม่นยำยิ่งกว่าการใช้เครดิตสกอริ่ง

    เป้าหมายในระยะแรกหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ จะเร่งยกระดับสถาบันการเงินประชาชน อย่างกองทุนหมู่บ้าน หรือตำบลละ 1 แห่งทั่วประเทศ ให้มีสถานะเป็นนิติบุคคล คาดว่าครอบคลุมการให้บริการประชาชนในฐานราก ภูมิภาคชนบท กว่า 20-30 ล้านคน ซึ่งสถาบันการเงินประชาชนจะเป็นกลไกสร้างให้ชุมชนเข้มแข็งจากฐานรากอย่างแท้จริง เพราะชุมชนสามารถบริหารจัดการตนเองได้เป็นเหมือนธนาคารขนาดเล็ก หรือธนาคารชุมชน ที่ให้คนในชุมชนช่วยกันดูแล ช่วยลดภาระรายจ่ายในการเดินทางเข้าเมือง เพื่อไปทำธุรกรรมทางการเงินที่สาขาธนาคาร ส่งเสริมให้ชาวบ้านมีเงินออม มีสวัสดิการให้สมาชิก มีวิสาหกิจชุมชน มีงบประมาณบริหารชุมชนและจัดกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะทำให้ชุมชนเกิดความมั่นคง อย่างยั่งยืน

    กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป้าหมายของการออก พ.ร.บ.นี้ต้องการให้กองทุนหมู่บ้าน 8 หมื่นแห่ง และกองทุนออมทรัพย์ต่างๆ อีก 3 หมื่นแห่ง มีเงินออมรวมกันไม่น้อยกว่า 2 แสนล้านบาท ยกระดับขึ้นจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เบื้องต้นต้องการให้มีสถาบันการเงินชุมชนอย่างน้อยตำบลละ 1 แห่ง ใน 7,000-8,000 ตำบล ที่มีอยู่ทั่วประเทศ

    ล่าสุดนี้ ทางธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. มีสถาบันการเงินชุมชนรวมกันได้แล้วไม่น้อยกว่า 2,000 แห่ง มีเงินออมรวมกันไม่น้อยกว่า 6 หมื่นล้านบาท คาดว่าภายใน 5 ปีจะสามารถยกระดับสถาบันการเงินชุมชนในพื้นที่เป้าหมายที่สำคัญๆ ได้หมดทั่วประเทศ

    ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารมีกองทุนหมู่บ้านในกำกับกว่า 5 หมื่นแห่ง คิดเป็นเงินที่ปล่อยกู้หมุนเวียนกว่า 3 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้ยกระดับเป็นสถาบันการเงินแล้ว 480 แห่ง และตั้งเป้าหมายปีหน้าเพิ่มเป็น 2,400 แห่ง สถาบันการเงินชุมชนจะทำหน้าที่เหมือนเป็นแบงก์กิ้งเอเย่นต์ ให้กับธนาคารออมสินในการทำธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งธนาคารจะสนับสนุนเรื่องซอฟต์แวร์ให้ถือเป็นการอำนวยความสะดวกลูกค้า

    อย่างไรก็ดี ในอนาคตหากบทบาทของสถาบันการเงินประชาชน ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐให้เกิดขึ้นจริงในระบบการเงินไทย เชื่อว่ากฎหมายนี้จะเป็นกฎหมายเปลี่ยนประเทศ เพราะต่อไปชาวบ้านจะสามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินประชาชนได้เลยแบบ ไม่จำกัดขึ้นอยู่ที่ดุลพินิจของกรรมการ เพราะรู้จักพื้นฐานคนกู้ดี ต่างจาก พิโกไฟแนนซ์ ที่ปล่อยกู้แค่รายละ 1 แสนบาท และอาจจะสะเทือนถึงแบงก์รัฐและธนาคารพาณิชย์ หากกลไกสถาบันการเงินประชาชนเข้มแข็ง

    คนก็ไม่จำเป็นต้องมาฝากเงิน หรือขอสินเชื่อที่ธนาคารอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าและคนในชนบทกล้าที่จะใช้นวัตกรรม เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีใหม่ การเกิดธนาคารของคนประจำตำบลก็คงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป หากรัฐบาลทำได้ เท่ากับกฎหมายนี้จะออกมาเพื่อแก้เรื่องหนี้นอกระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจระดับฐานรากต่อไป
    โดย กนกวรรณ บุญประเสริฐ
    Source: Posttoday
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    FB_IMG_1551677152313.jpg
    (Mar 4) แข่งดุเจาะกลุ่ม'นักศึกษา-ร้านค้า'รอบพื้นที่ แบงก์ชิงลูกค้า'มหาวิทยาลัย’ : "แบงก์ใหญ่"เปิดศึก ดึง "มหาวิทยาลัย"เป็นพันธมิตรธุรกิจ รุกบริการชำระเงินครบวงจร ทำบัตรนักศึกษาพ่วงเดบิต-แอพพลิเคชั่น ติดตั้งคิวอาร์โค้ด ร้านค้า หวังจบไปใช้บริการแบงก์ต่อ ทั้งสินเชื่อ-เงินฝาก หนุนพัฒนาหลักสูตรตอบโจทย์ธุรกิจธนาคาร เปิดแข่งสตาร์ทอัพ คัดหัวกะทิร่วมงาน

    "มหาวิทยาลัย"เป็นเป้าหมายที่ธนาคารพาณิชย์อยากได้เป็นพันธมิตรมากที่สุด อีกกลุ่มที่ตอบโจทย์ธุรกิจ ทั้งขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาที่เริ่มใช้บริการทางการเงิน จากการ ทำบัตรนักศึกษาพ่วงบัตรเดบิต รวมถึงเปิดโคเวิร์คกิ้งสเปซให้นักศึกษา-คนรุ่นใหม่ ใช้ฟรี หวังสร้างความคุ้นเคยกับบริการแบงก์

    อีกทั้งเข้าร่วมพัฒนาหลักสูตร สนับสนุนเวทีการแข่งขันด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ เพื่อสร้างคนให้ตรงกับความต้องการภาคธุรกิจ ซึ่งช่วงหลัง หลายแบงก์ โดยเฉพาะแบงก์ใหญ่แข่งขันกันดุเดือดเพื่อเจาะตลาดนี้ และคาดว่าพื้นที่มหาวิทยาลัยจะกลายเป็น Red Ocean ในไม่ช้า

    "เอสซีบี"เอ็มโอยู12มหาวิทยาลัย

    นายวศิน ไสยวรรณ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wholesale ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีที่แล้ว ไทยพาณิชย์บุกตลาดมหาวิทยาลัยมากขึ้น เซ็นเอ็มโอยูแล้ว 12 แห่ง คือ 1.มหาวิทยาลัยมหิดล 2.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 3.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 4.สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย5.มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 6.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 7.มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง 8.มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 9.มหาวิทยาลัยขอนแก่น 10.มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 11.มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 12.มหาลัยทักษิณ

    นายวศิน กล่าวว่า ไทยพาณิชย์มุ่งมั่นเป็นพันธมิตรในการสร้าง University 4.0 เน้น 3 เรื่อง
    1.สมาร์ทยูนิเวอร์ซิตี้ ร่วมสร้างแพลตเฟอร์ม สมาร์ทไอดีการ์ด บัตรนักศึกษาและยูนิเวอร์ซิตี้แอพพลิเคชั่น ตอบโจทย์นักศึกษาและบุคลากรมหาวิทยาลัย สร้าง Virtual ID ลงทะเบียนเข้าห้องผ่านแอพ

    2.นำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ โดยนำบล็อกเชน ลดการใช้กระดาษ เช่น ตรวจสอบทรานสคริปต์ ซึ่งเมื่อไปสมัครงานไม่ต้องขอทรานสคริปต์ แต่องค์กรที่เข้าร่วมดึงทรานสคริปต์ผ่านบล็อกเชนได้เลย รวมทั้งต่อยอดจากที่บริษัทดิจิทัลเวนเจอร์ส ที่เป็นบริษัทลูกไปร่วมทุน กับสตาร์ทอัพ รวมถึงการสร้างสังคมไร้เงินสด ทั้งนักศึกษา อาจารย์และร้านค้า
    3.ให้บริการทางการเงินกับมหาวิทยาลัย

    ส่วนการให้องค์ความรู้หลัก คือโครงการ ยูเรก้า ของดิจิทัลเวนเจอร์ ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ของ 7 มหาวิทยาลัย และบริษัทธุรกิจเอกชน ร่วมวิจัย Deep Technology

    "เราคาดหวังหลังเรียนจบไปเป็นพนักงานบริษัทหรือทำธุรกิจ ก็ยังใช้บริการเราอยู่ เพราะเป็นแบงก์แรกที่เขาใช้บริการ ซึ่งปัจจุบันหลายแบงก์ทำเรื่องนี้มากขึ้น จากเดิมที่ไม่ค่อยแอคทีฟในกลุ่มนี้ แต่ ไทยพาณิชย์เป็นแบงก์แรกๆ ที่เข้าไปทำ ทำให้มหาวิทยาลัยกว่า 70% อยู่กับเรา แต่อาจทำ เฉพาะไฟแนนเชียลเซอร์วิส หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งเสริมสังคม ไร้เงินสด เราคิดว่าควรผลักดันที่เด็กรุ่นใหม่ และขยายผลเรื่องนี้ไปมหาวิทยาลัย จึงพยายามนำเสนอแพลตฟอร์มต่างๆ ให้ ตอบโจทย์ เพื่อให้เลือกเราต่อ เพราะเอ็มโอยู มีเวลา 4-5 ปี”

    "กสิกร"หวังขยายฐานลูกค้าดิจิทัล

    นายสุปรีชา ลิมปิกาญจนโกวิท ผู้ช่วย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารเจาะกลุ่มสถาบันการศึกษามากขึ้นเพื่อขยายฐานลูกค้า และให้ธนาคารไปสู่ดิจิทัลเร็วขึ้น เพราะนักศึกษาตอบโจทย์ดิจิทัลได้เร็วกว่าลูกค้ากลุ่มอื่น ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณการใช้งานดิจิทัลของนักศึกษาที่สูงและถี่ โดยปัจจุบันมียอดแอคทีฟอยู่ที่ราว 70% หากเทียบกับจำนวนนักศึกษาทั้งหมดที่เข้าถึงดิจิทัล ขณะที่กลุ่มลูกค้าทั่วไปมียอดแอคทีฟเพียง 30-40%

    กลยุทธ์ของธนาคารมี 3 ส่วน คือ 1.เข้าไปวางระบบชำระเงินสำหรับชำระ ค่าสินค้าบริการและค่าลงทะเบียน 2.สร้างสังคมไร้เงินสด เช่น นำคิวอาร์โค้ดไปใช้ใน โรงอาหาร หอพักและร้านค้ารอบมหาวิทยาลัย 3.ขารับเงิน เพราะปัจจุบันมีนักศึกษาจำนวน มากที่เป็นขารับเงินจากการทำธุรกิจออนไลน์หรืออาชีพเสริม ซึ่งแบงก์เข้าไปวางแพลตฟอร์มเพื่อให้กลุ่มนี้เป็นขารับที่มีศักยภาพ

    นอกจากนี้ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเพื่อสอนการค้าออนไลน์และการทำธุรกิจ ซึ่ง ส่งผลบวกต่อแบงก์ระยะยาวที่อาจได้นักธุรกิจใหม่จากกลุ่มนักศึกษา และแบงก์นำข้อมูลมาใช้ปล่อยสินเชื่อได้ โดยวางระบบดิจิทัลให้มหาวิทยาลัย 4 แห่ง คือ 1.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2.มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 3.มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ 4.มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และอยู่ระหว่างจับมือกับบางแห่งเพื่อให้เกิดสตาร์ทอัพฟินเทค ทั้งเรื่องเงินทุนและองค์ความรู้เพื่อให้ฟินเทค ซึ่งสตาร์ทอัพเป็นผู้ผลิตและคิดค้นนวัตกรรมมาเชื่อมโยงกับแบงก์ในอนาคตด้วย คาดว่าจะเปิดตัวโครงการได้กลางปีนี้

    "นักศึกษาที่ใช้ดิจิทัลต่อแห่งมีหลักหมื่นคน การวางอีโคซิสเต็มกลุ่มนี้จะสร้างการเติบโตให้แบงก์ ให้มาเป็นลูกค้าหลักของ แบงก์ในอนาคต และยังมองต่อยอดถึงพื้นที่รอบมหาวิทยาลัยด้วย”

    "กรุงไทย"สร้างดิจิทัลอีโคซิสเต็ม

    นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารเข้าไปเจาะอีโคซิสเต็มด้านการศึกษาต่อเนื่อง เช่น จับมือกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เพื่อให้เป็น Smart University โดยนำ 3 เทคโนโลยีไปใช้ เช่น ชิปการ์ด Paywave ที่ชำระค่าสินค้าและบริการผ่านเครื่องรูดบัตร (EDC) ที่ติดตั้งทั่วมหาวิทยาลัยและรอบนอก

    รวมทั้งจับมือมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ พัฒนามหาวิทยาลัยอัจฉริยะและสังคม ไร้เงินสด และบริการจัดการทางการเงินผ่านระบบ KTB Digital Platform เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการผ่าน University Mobile Application บนโทรศัพท์มือถือ ที่จะเชื่อมโยงระบบสารสนเทศทางการศึกษา กับระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคาร เช่น อาคาร สถานที่ รถรับส่งและหอพักผ่านแอพอีกด้วย

    รวมถึงบริการอื่นๆ เช่น บัตรประจำตัวอัจฉริยะ เครื่องรูดบัตร EDC บริการ QR Code Payment บริการ e-Donation บริการบัตร Krungthai Travel Card รวมทั้งการจับมือกับมหาวิทยาลัย แม้ฟ้าหลวง เพื่อมุ่งไปสู่ Smart University โดยวางระบบดิจิทัลแพลตฟอร์มให้การจัดการในมหาวิทยาลัยดีขึ้น

    "บัวหลวง"หนุนสร้างสตาร์ทอัพ

    นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารให้ความสำคัญกับการ พัฒนาดิจิทัลแบงกิ้ง ขยายฐานลูกค้าที่เป็น กลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพการใช้บริการทางการเงินหลากหลายทั้งเงินฝาก กองทุน และบริการจัดการเงินสด ซึ่งมหาวิทยาลัยเป็นอีกตลาดที่ธนาคารให้ความสำคัญ เป็นโอกาสที่จะช่วยให้ธนาคารเข้าถึงกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่เป็นฐานลูกค้าในอนาคต

    ทั้งนี้ ล่าสุดร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สนับสนุน "Startup Ecosystem@TU" ซึ่งเป็นพื้นที่บ่มเพาะและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนสตาร์ทอัพระหว่างประเทศ โดยมีโครงการ Startup Exchange Program ที่ส่งสตาร์ทอัพไทยไปแลกเปลี่ยนกับต่างประเทศ เริ่มจากสิงคโปร์ ซึ่งสอดคล้องกับแผนการ ส่งเสริมสตาร์ทอัพที่มีโครงการ InnoHub ซึ่งจัดเป็นฤดูกาลที่ 2 เพื่อบ่มเพาะ และ ให้สตาร์ทอัพใช้นวัตกรรมของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพัฒนาธุรกิจได้

    "กรุงศรี"หาคนเก่งร่วมงาน

    นายแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด ในเครือธนาคารกรุงศรี อยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทุกแบงก์บุกตลาดนี้เพราะมี กำลังซื้อมากขึ้น ซึ่งเดิมหวังกลุ่มนักศึกษาจบใหม่เป็นลูกค้า โดยพยายามให้ลูกค้านักศึกษาใช้บริการต่อเนื่องแม้จบการศึกษา รูปแบบความร่วมมือมีทั้งที่แบงก์ไปวางระบบให้ทั้งหมด หรือมหาวิทยาลัยแยกร่วมมือกับหลายแบงก์

    สำหรับ กรุงศรีฯ นอกจากการไปวางระบบการบริการทางการเงินแล้ว ยังมุ่ง เรื่องฟินเทค สตาร์ทอัพ โดยร่วมมือเต็ม รูปแบบกับมหาวิทยาลัย 2 แห่ง คือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เพื่อวางระบบการชำระเงินในมหาวิทยาลัย รวมถึงสร้างสตาร์ทอัพฟินเทคผ่านโครงการ Hackathon ที่ฝ่ายบุคคลใช้โอกาสนี้ คัดคนเข้าทำงานด้วย

    "เราต้องการคนด้านวิศวะคอม ไอที ปีละ 50-100 คน โครงการนี้ก็ช่วยแบงก์ในการคัดเลือกคนเข้ามาทำงานได้ด้วย และไม่ใช่เฉพาะในอุตสาหกรรมแบงก์เท่านั้นที่ต้องการ นอกจากการจัดแข่งขันแล้ว แบงก์ยังมีความร่วมมือเพิ่มเติมกับหลักสูตรในมหาวิทยาลัยป้อนข้อมูลจริง ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ได้ระบุตัวตนลูกค้า เพื่อให้นักศึกษาได้ลองวิเคราะห์กับข้อมูลจริงด้วย”
    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    FB_IMG_1551681600175.jpg FB_IMG_1551681602909.jpg
    (Mar 2) ความเสี่ยงระหว่าง เมื่อดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นและลง :คำถามที่ว่า ถ้าดอกเบี้ย ขึ้นและลงจะส่งผลให้ อัตราผลตอบแทนและ ความเสี่ยงของสินทรัพย์ หลักๆ สูงขึ้นหรือลดลงมากน้อยเพียงใด จะส่งผลเป็นเช่นไร

    เรื่องนี้ เครดิต สวิส ได้ทำการศึกษา 2 ช่วงเวลา ได้แก่ หนึ่ง ช่วงที่ธนาคารกลาง ทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบต่อเนื่อง และ สอง ช่วงที่ธนาคารกลางทำการลดอัตรา ดอกเบี้ยแบบต่อเนื่อง

    การลงทุนหลังอัตราดอกเบี้ยขึ้น หมายถึง ซื้อสินทรัพย์หลังจากแบงก์ชาติ ประกาศขึ้นดอกเบี้ย (อาทิ ธปท.ประกาศ ขึ้นดอกเบี้ยรอบล่าสุด) ทำการลงทุนตราบเท่า ที่อัตราดอกเบี้ยยังขึ้นหรืออย่างน้อยก็คงที่ และทำการขายสินทรัพย์เมื่อแบงก์ชาติลด อัตราดอกเบี้ยครั้งแรก ส่วนการลงทุนหลังจาก อัตราดอกเบี้ยลดลงหมายถึงการซื้อสินทรัพย์ เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง แล้วถือสินทรัพย์ ดังกล่าวจนกระทั่งอัตราดอกเบี้ยขึ้นครั้งถัดไป

    จากการศึกษาข้อมูลสหรัฐ ระหว่าง ปี 1913 ถึงปี 2015 ตลาดสหรัฐอยู่ภายใต้ โหมดอัตราดอกเบี้ยขึ้นร้อยละ 44 ของ ช่วงเวลาทั้งหมด ส่วนอยู่ภายใต้โหมด อัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 56 ของช่วงเวลา ทั้งหมด ส่วนข้อมูลอังกฤษ ระหว่างปี 1930 ถึงปี 2015 อยู่ภายใต้โหมดอัตราดอกเบี้ยขึ้น 30% ของช่วงเวลาทั้งหมด ส่วนอยู่ภายใต้ โหมดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 70

    ท้ายสุด ด้านค่าเงินดอลลาร์ พฤติกรรม จริงค่อนข้างที่จะค้านกับความรู้สึกที่ว่า เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงค่าเงินดอลลาร์ควรจะ แข็งค่าส่วนช่วงอัตราดอกเบี้ยลดลงค่าเงิน ดอลลาร์ควรจะอ่อนค่าเนื่องจากในความ เป็นจริง ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าปีละ 1.7% ในช่วงนโยบายการเงินตึงตัวหรือขึ้นดอกเบี้ย ส่วนในช่วงที่นโยบายการเงินผ่อนคลาย ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าปีละร้อยละ 0.6 อาจจะเนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อ ที่สูงขึ้น หรือเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแรงขึ้นในช่วง อัตราดอกเบี้ยลดลง

    เช่นเดียวกับสหรัฐ อังกฤษก็มีรูปแบบ ของอัตราผลตอบแทนของตราสารทางการเงิน ต่างๆใกล้เคียงกับของสหรัฐอาทิในช่วง ดอกเบี้ยขาขึ้น ตลาดหุ้นอังกฤษให้ผล ตอบแทนเพียง 1.7% ส่วนในช่วงดอกเบี้ย ขาลงตลาดหุ้นอังกฤษให้ผลตอบแทน 8.2% ส่วนตราสารหนี้อังกฤษทั้งสองช่วงเวลาให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกันอย่างไรก็ดีค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นโดยเฉลี่ย 1% ต่อปีในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นและอ่อนตัวโดยเฉลี่ย 2.3% ต่อปีในช่วงดอกเบี้ยขาลง มาถึงโฟกัสของบทความนี้ นั่นคือ ความเสี่ยงในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยขึ้น และลงเป็นเช่นไร ผ่านระดับการแกว่งตัว หรือความผันผวนของราคาสินทรัพย์ หลังอัตราดอกเบี้ยขึ้นและลง

    คำถามที่น่าสนใจ คือ การที่อัตรา ผลตอบแทนของตราสารทุนและ ตราสารหนี้สูงขึ้น หลังจากอัตราดอกเบี้ย ลดลงเกิดจากความเสี่ยงที่สูงขึ้นหรือไม่

    สิ่งที่น่าสังเกต คือ ระดับการแกว่งตัว ของราคาสินทรัพย์ โดยที่ระดับความผันผวน ของ ตราสารทุนในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง สูงกว่าช่วงที่อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอยู่ 25% ในตลาดหุ้นสหรัฐและ 6% ในตลาดหุ้นอังกฤษ สำหรับตลาดตราสารหนี้ระดับความผันผวน ของตราสารหนี้สหรัฐในช่วงอัตราดอกเบี้ย ขาลงสูงกว่าช่วงที่อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอยู่ 9% และ 11% สำหรับในสหรัฐและอังกฤษ ตามลำดับ

    ด้านขวามือ ของรูปที่ 2 แสดง อัตราส่วน Sharpe Ratio ซึ่งหมายถึง อัตราผลตอบแทนที่เป็นส่วนเกินกว่า อัตราผลตอบแทนปราศจากความเสี่ยง หรืออัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล ต่อหนึ่งหน่วยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยช่วงเวลาอัตราดอกเบี้ยขาลงค่า Sharpe Ratio ของตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ที่ 0.45 เมื่อเทียบกับ 0.12 ในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะเห็นได้ว่า ค่า Sharpe Ratio ช่วงดอกเบี้ย ขาลงยังสูงกว่าช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น แม้จะ มีความผันผวนของราคามากกว่าก็ตาม

    ส่วนช่วงเวลาอัตราดอกเบี้ยขาลง ค่า Sharpe Ratio ของตลาดหุ้นอังกฤษอยู่ที่ 0.47 เมื่อเทียบกับ 0.00 ในช่วงอัตราดอกเบี้ย ขาขึ้น สำหรับตราสารหนี้สหรัฐ ช่วงเวลา อัตราดอกเบี้ยขาลง ค่า Sharpe Ratio อยู่ที่ 0.36 เมื่อเทียบกับ-0.01 ในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยที่ ค่า Sharpe Ratio ช่วงดอกเบี้ยขาลงยังสูงกว่า ช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น แม้จะมีความผันผวนของราคามากกว่าก็ตาม ส่วนช่วงเวลาอัตราดอกเบี้ยขาลง ค่า Sharpe Ratio ของตลาดตราสารหนี้ อังกฤษอยู่ที่ 0.20 เมื่อเทียบกับ 0.08 ในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งถือว่าสูสีกว่า ของตราสารหนี้สหรัฐ

    โดยสรุปคือในเกือบทุกตลาด โดยทั่วไปแล้ว การลงทุนในช่วงขาลง แม้จะ เสี่ยงกว่า ทว่าได้ผลตอบแทนชดเชยความเสี่ยง สูงกว่าการลงทุนในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น
    ในส่วนการลงทุนในเซกเตอร์ต่างๆ สรุปได้ ดังนี้
    1. ช่วงเวลาที่เป็นอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น กลุ่มที่เป็นเซกเตอร์ Defensive อาทิ สาธารณูปโภค ไฟฟ้า/ประปา โทรคมนาคม พลังงาน อุปกรณ์สำหรับธุรกิจ และ Healthcare จะมีอัตราผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย
    2. ช่วงเวลาที่เป็นอัตราดอกเบี้ยขาลง กลุ่มที่ เป็นเซกเตอร์ Cyclical อันประกอบด้วย เซกเตอร์การเงิน เคมี การค้าปลีกและค้าส่ง และสินค้าคงทน มีผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย
    3. เซกเตอร์การค้าปลีกและค้าส่ง และ สินค้าคงทน มีความชัดเจนระหว่างอัตราดอกเบี้ย ขาขึ้นและขาลงที่เป็นลบและบวกอย่างชัดเจน โดยมีผลต่างที่ 5.1% และ 8.5% ตามลำดับ
    4. ในช่วงเวลาที่เป็นอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น อัตราผลตอบแทนที่ก้าวกระโดดขึ้นจาก ช่วงขาลงมากที่สุดได้แก่สาธารณูปโภคไฟฟ้า/ประปาและโทรคมนาคม
    คอลัมน์ มุมคิดธนกิจ: ผศ.ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ

    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    FB_IMG_1551681814606.jpg
    (Mar 4) วิกฤติแรงงาน'ฟินเทค'ขาดร้องรัฐหนุนนำเข้า'ต่างชาติ’ : ธุรกิจฟินเทคในไทยเติบโต อย่างเข้มแข็ง ผู้ประกอบการชี้บุคลากรเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก เข้าข่าย ขาดแคลนระดับวิกฤติ แนะรัฐออกมาตรการส่งเสริมโปรแกรมแลกเปลี่ยนหรือ พาร์ทเนอร์ชิพกับต่างประเทศ ด้าน"เอ็นไอเอ" ระบุผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพการเงินมีศักยภาพสูง ต้องการทักษะระดับสากล

    ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าจับตามองในอุตสาหกรรม "ฟินเทค" หรือ ไฟแนนเชียล เทคโนโลยี โดยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาได้รับการผลักดันและพัฒนาอย่างมากจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการทำ Regulatory sandbox การออกข้อบังคับและอื่นๆ ตลอดจนการบ่มเพาะทักษะความรู้อย่างเข้มข้นให้กับบุคลากรสายนี้ ส่งผลให้ระบบนิเวศด้านฟินเทคในไทยเติบโตชัดเจน

    นางสาวชญานิษฐ์ ศรีนาคอ่อน ซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัท ฟินสตรีท จำกัด กล่าวว่า"ฟินสตรีท" แพลตฟอร์มบริหารจัดการหนี้สิน เป็นสตาร์ทอัพกลุ่ม ฟินเทคได้รับทุนอุดหนุนจากโครงการ "แปลงเทคโนโลยีเป็นทุน" ภายใต้การสนับสนุนในโครงการนวัตกรรมแบบเปิด ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือเอ็นไอเอ นอกจากเงินทุนแล้วยังมีการบ่มเพาะทักษะที่เกี่ยวข้องกับการเงิน และแมทชิ่ง ก่อเกิดเป็นระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่เข้มแข็ง

    ผู้ร่วมก่อตั้ง "ฟินสตรีท" เป็น ผู้ที่อยู่ในสายงานธนาคารมาก่อน ทำให้มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่ก็ยังต้องการบุคลากรทั้งในสายการเงินและเทคโนโลยีอีกมาก เพราะปัญหาการบริหารจัดการการเงินมีอยู่ทั่วโลก ไม่ได้จำกัดเฉพาะประเทศไทย จึงเตรียมจะขยายนำร่องไปเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม

    "นิยามของ "ฟินเทค" กว้างมากมีทั้งเพย์เมนท์ คริปโตเคอร์เรนซี และนวัตกรรมการเงินอื่นๆ มีความต้องการกำลังคนในด้านนี้อีกมาก ซึ่งคนในประเทศมีไม่พอ อาจจะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้น นอกจากการบ่มเพาะทักษะบุคลากรในประเทศ เราอาจทำโปรแกรม แลกเปลี่ยน หรือพาร์ทเนอร์ชิพกับต่างประเทศ เพื่อที่จะทำให้สตาร์ทอัพสายนี้เดินหน้าได้เร็วขึ้น เหมือนหลายประเทศที่มีโปรแกรมลักษณะนี้”

    "ฟินสตรีท"ช่วยบริหารหนี้

    สำหรับ "ฟินสตรีท" เกิดจากการมองเห็นปัญหาหนี้ของคนไทย ประกอบกับรายงานการศึกษา "มุมมองใหม่หนี้ครัวเรือนไทยผ่าน บิ๊กดาต้า" โดยบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ระบุ คนไทยมากถึง 1 ใน 3 มีภาระ หนี้สิน โดยเฉพาะกลุ่มอายุระหว่าง 23-35 ปีเป็นหนี้มากที่สุด และมี แนวโน้มจะมีปัญหาไปจนกระทั่งหลังเกษียณ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการขาดความรู้ทางการเงินในระดับวิกฤติของคนไทย

    "เราต้องการให้คนไทยมีความรู้ด้านการเงินมากขึ้นจึงเริ่มจากการนำเสนอบทความการเงินบนเฟซบุ๊ค โดยย่อยเนื้อหาที่ยากให้เข้าใจง่าย ตามมาด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ บริการให้คำปรึกษาในรูปแบบแชทบอท สามารถหาแนวทางแก้หนี้ให้กับผู้ใช้ได้อย่างตรงจุด”

    เครือข่ายแบ็คอัพเข้มแข็ง

    นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรม แห่งชาติ กล่าวว่า ผู้ประกอบการ สายฟินเทคเข้ามารับการบ่มเพาะจากหน่วยงานภาครัฐไม่มาก เพราะโดยพื้นฐานแล้วกลุ่มนี้มีศักยภาพความพร้อมสูง สามารถพึ่งพาตัวเอง ได้มากพอสมควร ส่วนความต้องการหลักคือ เงินทุนก้อนโต ทำให้ มุ่งสร้างความร่วมมือกับนักลงทุนในลักษณะ B2B เป็นหลัก พร้อมกันนี้ยังมีเครือข่ายที่เข้มแข็งอย่าง "สมาคมฟินเทค ประเทศไทย" ทำหน้าที่เป็น กระบอกเสียงและแหล่งเรียนรู้สำหรับผู้ประกอบการ รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำหน้าที่ดูแลได้ดีใน การร่วมมือกันทำแพลตฟอร์มสำหรับกฎระเบียบใหม่ๆ

    ดังนั้น การบ่มเพาะเพิ่มทักษะและขีดความสามารถไม่ใช่สิ่งที่ สตาร์ทอัพสายการเงินเหล่านี้ ต้องการจากภาครัฐ เพราะทักษะ เหล่านี้ต้องเป็นสากล แต่สิ่งที่ ต้องการจากภาครัฐคือ สปอนเซอร์ และการรีจิสเตอร์ตัวเองเข้ามาในระบบเพื่อให้แบรนด์ของตนเป็นที่รู้จักในวงการ

    อย่างไรก็ตาม ยังมีเยาวชน กลุ่มมัธยม และมหาวิทยาลัยที่สนใจทางด้านการเงิน แม้จะเป็นจำนวนไม่มาก แต่ถือเป็นกลุ่มที่มีความแอคทีฟ ทางเอ็นไอเอจึง มีโปรแกรมบ่มเพาะเยาวชนที่ สนใจด้านนี้ ไม่ว่าจะเป็น โครงการอินเทิร์นชิป ให้ไปเรียนรู้กับพี่ๆ ในสายฟินเทค หรือโครงการพัฒนาดีเวลลอปเปอร์ ซึ่งจะเน้นทักษะ ไปจนถึงการสร้างงาน เพราะ เปรียบเสมือนเป็นเวทีให้ สตาร์ทอัพมาช้อปเยาวชนไป ร่วมงานด้วย

    สะพานเชื่อมคนกับแหล่งงาน

    ใน 2 ปีที่ผ่านมา สัดส่วน การลงทุนในระดับประเทศเปลี่ยนจากกลุ่มโทรคมนาคมมาเป็นกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะการลงทุนด้านฟินเทคและนำเทคโนโลยีบล็อกเชน และเอไอมาใช้เป็นกลยุทธ์ด้านการเงิน ไม่เพียงแค่ลงทุนในไทยแต่รวมถึงต่างประเทศ เห็นได้ จากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ของไทยรวมถึงธนาคารของรัฐ เริ่มขยับมาลงทุนและใช้เทคโนโลยีฟินเทค อย่างจริงจัง

    "เอ็นไอเอช่วยสร้างระบบนิเวศที่เป็นตัวประสานที่ดีให้กับ ทุกฝ่าย ดึงทุกฝ่ายมารู้จักและ คุยกัน เกิดความเชื่อมั่น และ เดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น จากเดิมที่ไม่มีใครรู้จักใคร ดังนั้น เราจึง ทำหน้าที่เสมือนเป็นสะพาน เชื่อม มาคุยกับเรา แล้วสปินออฟออกไป”
    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    biznews.com%2Fimage%2Fmedia%2Fimage%2Fnews%2F2019%2F03%2F03%2F828501%2F750x422_828501_1551573767.jpg

    (Mar 2) แบน “หัวเว่ย” ไม่ง่าย ยุโรป “เสียงแตก” เมินคำขอมะกัน : ภายหลังจากประสานแคนาดาให้จับกุม เมิ่ง หว่านโจว ซีอีโอหญิงของบริษัท “หัวเว่ย” ยักษ์โทรคมนาคมจากจีน สหรัฐยังคงเดินหน้ากดดันให้ชาติอื่น ๆ ร่วมแบน “หัวเว่ย” โดยกล่าวหาว่าทำตัวเป็นสปายหรือจารกรรมข้อมูลให้กับรัฐบาลจีน เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

    ล่าสุดนี้รัฐบาลสหรัฐถึงกับส่งตัวแทนไปร่วมงาน โมบายล์ เวิลด์ คองเกรส อันเป็นงานประชุมอุตสาหกรรมโทรคมนาคมโลก ที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน เพื่อชี้แจงและโน้มน้าวให้ประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะยุโรปร่วมมือไม่ใช้อุปกรณ์และโครงข่ายของหัวเว่ย ในครั้งนี้ตัวแทนจากสหรัฐอ้างหลักฐานจากกฎหมายด้านงานข่าวกรองของจีนปี 2017 ที่ระบุว่า “บรรดาองค์กรต่าง ๆ และพลเมืองจีนควรทำตามกฎหมาย ดังกล่าว ตลอดจนสนับสนุนและให้ความร่วมมืองานข่าวกรองของชาติ”

    ขณะที่หัวเว่ยก็ขนผู้บริหารชุดใหญ่ไปพบปะกับผู้แทนรัฐบาลตลอดจนพันธมิตรทางการค้าในงานนี้ด้วย พร้อมกับให้ความมั่นใจว่าหัวเว่ยไม่มีพฤติกรรม ดังกล่าว ข้อกล่าวหาของสหรัฐไร้หลักฐาน ควรปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ตัดสินใจว่าโครงข่าย 5G ของหัวเว่ยปลอดภัยหรือไม่

    บรรดาผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือ ได้ออกมาเตือนว่าการแบนหัวเว่ยแบบเหมารวมอาจทำให้การเชื่อมต่อด้วยระบบ 5G ล่าช้าไปหลายปี พร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐแสดงหลักฐานชัดเจนกว่านี้ เช่นเดียวกับกรรมาธิการสหภาพยุโรปที่เตือนว่าไม่ควรด่วนตัดสินใจโดยใช้เพียงแค่ข้อมูลและการวิเคราะห์บางส่วน

    ยุโรปกลายเป็นสนามรบของสหรัฐในการรณรงค์ให้ชาติตะวันตกแบนหัวเว่ย ซึ่งในการประชุมครั้งนี้สหรัฐอ้างว่ามีความคืบหน้าหลังจากได้หารือตัวต่อตัวกับพันธมิตรในยุโรปเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยของหัวเว่ย

    ถึงแม้สหรัฐจะอ้างว่าได้รับความร่วมมือจากหลายประเทศในยุโรป แต่ในความเป็นจริงส่อเค้าว่าสหรัฐจะต้องเจองานยาก เพราะชาติยุโรปไม่ได้มีเสียงเอกฉันท์ที่จะคล้อยตามสหรัฐ โดยเฉพาะอังกฤษกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ชาติตะวันตกแตกแถว

    หลังจากอังกฤษออกมาระบุว่า อังกฤษสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงของอุปกรณ์หัวเว่ยได้ และไม่เห็นด้วยที่จะห้ามหัวเว่ยเข้าร่วม 5G

    เจ้าหน้าที่ข่าวกรองและคนในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมหลายราย ชี้ว่า บทสรุปจากอังกฤษเกี่ยวกับหัวเว่ย ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับหลายชาติในยุโรป เพราะอังกฤษนั้นมีความเชี่ยวชาญข่าวกรองและที่สำคัญเป็นสมาชิกกลุ่ม Five Eyes ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรที่แบ่งปันข้อมูลข่าวกรองทางสัญญาณ (signals intelligence) ระหว่างกัน มีสมาชิก 5 ชาติ คือ แคนาดา ออสเตรเลีย อังกฤษ นิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกาออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ นั้นร่วมมือกับสหรัฐไปแล้วด้วยการประกาศห้ามหัวเว่ยเข้าร่วมลงทุนวางโครงข่าย 5G ส่วนแคนาดานั้นแม้จะยังไม่เลิกใช้อุปกรณ์หัวเว่ยแต่ก็ร่วมมือด้วยการจับกุมซีเอฟโอหญิงของหัวเว่ยและเตรียมส่งตัวให้สหรัฐทางด้านเยอรมนี ก็นับเป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่และทำให้สหรัฐเสียหน้าค่อนข้างมาก เพราะโฆษกกระทรวงมหาดไทยเยอรมนีพูดชัดว่าไม่มีแผนจะห้ามบริษัทไหนทั้งนั้นในการเข้าร่วมวางโครงข่าย 5G เพราะการจะห้ามบริษัทใดบริษัทหนึ่งโดยตรงอาจผิดกฎหมาย

    ดังนั้น ประเด็นสำคัญที่เรามุ่งเน้นก็คือปรับเปลี่ยนข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่จำเป็นเพื่อการันตีว่าโครงข่ายเหล่านั้นปลอดภัย ถึงแม้ว่าจะมีผู้ผลิตบางรายที่ไม่น่าไว้วางใจนักอยู่ในตลาด ซึ่งท่าทีดังกล่าวของเยอรมนีก็เท่ากับว่าไม่ปิดกั้นหัวเว่ย แม้ว่าอุปกรณ์ของหัวเว่ยจะมีความไม่น่าไว้วางใจก็ตาม

    การที่ชาติยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนีแสดงท่าทีไม่ร่วมมือกับสหรัฐในประเด็นนี้ ต้องยอมรับว่าเป็นผลพวงจากการที่รัฐบาลสหรัฐยุคปัจจุบันได้สร้างรอยร้าวอย่างรุนแรงไว้กับยุโรป กรณีเยอรมนีนั้นถูกโดนัลด์ ทรัมป์ โจมตีอย่างหนักเนื่องจากเกินดุลการค้ากับสหรัฐมาก

    พอล ทริโอโล หัวหน้าฝ่ายวิจัยของยูเรเซีย กรุ๊ป ชี้ว่า สหรัฐเผชิญกับงานเข็นครกขึ้นเขา ในการโน้มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมให้โยนทิ้งหัวเว่ย

    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
    https://www.prachachat.net/world-news/news-296373

    ความคืบหน้าล่าสุด
    - หัวเว่ยคว้าสัญญาสร้างสมาร์ทซิตี้ในเยอรมนี:http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/828501
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    WeatherNation


    ความเสียหายที่สะเทือนใจที่สุดหลังจากทอร์นาโดฉีกผ่าน talbotton, georgia (http://bit.ly/TornadoVids)

    Absolutely heartbreaking damage after a tornado ripped through Talbotton, Georgia. (http://bit.ly/TornadoVids)
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    &url=https%3A%2F%2Fassets.bwbx.io%2Fimages%2Fusers%2FiqjWHBFdfxIU%2Fizk4_wc6vRwg%2Fv0%2F1200x779.jpg
    (Mar 3) “ทรัมป์”ชี้ดอลลาร์แข็งฉุดเศรษฐกิจสหรัฐ: ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ วิจารณ์นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อย่างต่อเนื่อง โดยอ้างว่าเฟดต้องการทำให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น

    ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า "สหรัฐกำลังเติบโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ประเทศอื่น ๆ กำลังยากจนลง ซึ่งนั่นทำให้เรายากที่จะประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ เรายังมีสุภาพบุรุษที่ชอบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเฟดอีกด้วย เรามีสุภาพบุรุษที่ชอบใช้มาตรการเข้มงวดทางการเงินเชิงปริมาณในเฟด เรามีสุภาพบุรุษที่ชอบให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในเฟด ผมต้องการสกุลเงินดอลลาร์ที่ดีต่อประเทศของเรา แต่ไม่ใช่สกุลเงินดอลลาร์ที่ขัดขวางการทำธุรกิจกับต่างประเทศ"
    ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ กังวลว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกของสหรัฐ และทำให้สหรัฐขาดดุลการค้ามากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ปธน.ทรัมป์ให้ความสนใจ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเปิดฉากทำสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้า

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    Trump Says Dollar Too Strong, Swipes at Fed for Rate Hikes:https://www.bloomberg.com/news/arti...rCnby9oJuOtumdTkscdMQx43-LyRAyYf5hjmAs9ZJuVNk
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    stpellegrin.jpg

    (Mar 3) ผวาลูกคนสนิทปูตินฝึกงานที่อียู :ข่าวระบุเมื่อ 26 ก.พ.ว่ากรณีน.ส.เอลิซาเวตา(ลิซ่า)เปสโควา ลูกสาวนายดมิทรีเปสโควา โฆษกทำเนียบรัฐบาลเครมลินคนสนิทของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ซึ่งกำลังเรียนด้านกฎหมายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในกรุงปารีสของฝรั่งเศสเป็นเด็กฝึกงานให้นายไอเมริคเชาเปรดสมาชิกรัฐสภาแห่งยุโรป (เอ็มอีพี) ของฝรั่งเศส กำลังสร้างความกังวลให้เอ็มอีพีคนอื่นๆ ในช่วงที่ความสัมพันธ์ของรัสเซียกับสหภาพยุโรป (อียู) ตึงเครียดกลัวว่าอาจถูกรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปในเดือน พ.ค.นี้หลังรัสเซียถูกกล่าวหาทำนองเดียวกันในหลายประเทศรวมทั้งสหรัฐฯ

    โฆษกรัฐสภายุโรปแถลงว่าเปสโควาที่เริ่มทำงานให้เชาเปรดเมื่อ พ.ย. 2561 และจะพ้นหน้าที่ช่วงปลายเดือนเม.ย. ปีนี้เข้าถึงได้แค่ข้อมูลเปิดต่อสาธารณะร่วมการประชุมสาธารณะได้ทุกเวทีเว้นแต่มีข้อห้าม โดยทั่วไปเด็กฝึกงานจะเข้าถึงข้อมูลชั้นความลับไม่ได้ เข้าถึงเฉพาะฐานข้อมูลอีเมลเป็นสัญญาทำงานกับเอ็มอีพีไม่เกี่ยวกับรัฐสภายุโรป ข่าวระบุว่า น.ส.เปสโควาเป็นผู้พักอาศัยในฝรั่งเศสจึงมีคุณสมบัติฝึกงานที่รัฐสภายุโรปได้ด้านเชาเปรด ซึ่งเป็นอนุกรรมาธิการความมั่นคง-กลาโหมและกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของสภายุโรประบุการวิจารณ์เป็นพวกสมรู้ร่วมคิดกลัวรัสเซีย

    Source: ไทยรัฐ

    - Putin Spokesman Downplays Daughter’s Internship at EU Parliament:https://www.themoscowtimes.com/2019...-of-daughters-internship-eu-parliament-a64625
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    ps%3A%2F%2Fcdn.cnn.com%2Fcnnnext%2Fdam%2Fassets%2F190302152626-kim-hanoi-departure-2-super-tease.jpg

    (Mar 3) การเมืองเรื่องใหญ่ ฉุดซัมมิตไปไม่ถึงฝัน
    ปิดฉากลงไปแล้วอย่างเซอร์ไพรส์สำหรับการประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 ระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ และประธานคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ ที่ออกมาแบบ "โนดีล" หรือไม่มีการบรรลุ ข้อตกลงใดๆ ร่วมกันเลย จนทำเอาสื่อหลายสำนักทั่วโลกพร้อมใจกันพาดหัวว่าเป็นความ "ล้มเหลว"แต่กระนั้น นักวิเคราะห์อีกจำนวนไม่น้อยก็คาดการณ์ได้ถูกต้องว่า การเจรจานิวเคลียร์กับเกาหลีเหนือไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่สามารถใช้สูตรสำเร็จทางเศรษฐกิจที่เราเห็นกันกับโฆษณาชวนเชื่อเรื่อง "เวียดนามโมเดล" มาเป็นแรงจูงใจให้เกาหลีเหนือทิ้งโครงการนิวเคลียร์ก่อนได้ เพราะความสำคัญอันดับ 1 ของเกาหลีเหนือคือ "ความมั่นคง" และการอยู่รอด ต่อไปของ "ระบอบตระกูลคิม"ก่อนจะฝันไปไกลถึงการพัฒนาประเทศแบบเวียดนาม ที่ได้ทั้งเงิน และได้ทั้งระบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ สุดท้ายทั้งสหรัฐและเกาหลีเหนือต้องกลับมาสู่จุดเริ่มต้นที่ศูนย์ใหม่อีกครั้ง กับประเด็นเรื่องความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันที่ทำให้ไม่มีใครกล้าเป็นฝ่าย "เริ่มผ่อนปรนให้ก่อน”

    ฝ่ายเกาหลีเหนือต้องการให้สหรัฐยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือทั้งหมดก่อน แล้วจึงจะนำไปสู่การยกเลิกโครงการนิวเคลียร์ต่อไป แต่ฝ่ายสหรัฐต้องการเห็นการเลิกโครงการนิวเคลียร์อย่างเป็นรูปธรรมเสียก่อน เช่น ยกเลิกคอมเพล็กซ์โครงการนิวเคลียร์ที่ ยองบยอน ทางตอนเหนือของกรุงเปียงยาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แห่งแรกในเกาหลีเหนือนิยามความเห็นที่ไม่ตรงกันเรื่องการปลดนิวเคลียร์ (Denuclearization)

    คือประเด็นสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายยังจูนเข้าหากันไม่ได้ แต่ที่กลายมาเป็นการจบแบบโนดีลนั้นยังเป็นเพราะนี่คือการเจรจาสไตล์โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเลือกที่จะ "วอล์กเอาต์" ออกจากการประชุมมากกว่าจะยอมประนีประนอม ซึ่งก็เคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเจรจากับผู้นำสภาคองเกรสเรื่องกำแพงเม็กซิโก จนนำไปสู่ภาวะชัตดาวน์ตามมา

    แน่นอนว่าการวอล์กเอาต์จบการเจรจาเร็วกว่ากำหนด ไม่มีการลงนามข้อตกลงกัน และไม่มีแม้แต่ความเป็นไปได้ที่จะจัดการประชุมสุดยอดครั้งที่ 3 ตามมาในเร็วๆ นี้ สร้างความผิดหวังให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่ในมุมนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องแล้ว บางทีการเสียหน้าเล็กน้อยแค่นี้อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว

    นิวยอร์กไทมส์ระบุว่า หากทรัมป์ยอมเลิกมาตรการคว่ำบาตรให้ตามที่คิมเรียกร้อง โดยยอมรับเงื่อนไขเพียงแค่การทำลายศูนย์วิจัยและทดลองนิวเคลียร์ ยองบยอน เท่านั้น ก็อาจถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณยุทธศาสตร์ประเทศที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง โดยบรรดาเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องของสหรัฐต่างยืนยันมาตลอดว่า มาตรการแซงก์ชั่นคือไพ่ตายหลักของสหรัฐที่จำเป็นต่อเป้าหมายการปลดอาวุธนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลี

    เดวิด คิม นักวิเคราะห์จากศูนย์ สติมสัน ให้มุมมองกับเอเอฟพีว่า การไม่ได้ดีลครั้งนี้ไม่ใช่ความล้มเหลว หากมองความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์กับคิมเป็นเหมือน "ซีรี่ส์เกาหลี" นี่ก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของนิยายรัก เรื่องยาว ที่ต้องติดตามดูกันต่อไปอีกหลายตอนเท่านั้น แม้จะมีตอนที่ บีบหัวใจหรือชวนน่าผิดหวัง แต่สายสัมพันธ์ของคู่รักคู่นี้ก็ยังไม่ขาดง่ายๆ และจะต่อเนื่องไปจนถึงตอนจบ ตราบใดที่ทั้งคู่ยังคงยืนยันว่าจะคงความสัมพันธ์กันต่อไป

    นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่อธิบายได้จากผลลัพธ์ของการประชุมรอบนี้ที่ทรัมป์ยืนยันระหว่างการแถลงข่าวว่า ความสัมพันธ์กับคิมจองอึนยังเป็นไปด้วยดี และมีการไฟเขียวให้สามารถตั้งศูนย์ประสานงานของสหรัฐในกรุงเปียงยางได้ แม้ว่าจะไม่มีการคอนเฟิร์มว่าจะมีซัมมิตรอบ 3 เกิดขึ้นหรือไม่ และเมื่อไรก็ตาม

    สตีฟ โอคุน ที่ปรึกษาอาวุโสจากบริษัทกฎหมายแม็คลาร์ตี แอสโซซิเอทส์ ระบุกับซีเอ็นบีซีว่า การถอยกลับของสหรัฐครั้งนี้ทำให้ไม่ต่างอะไรกับยุคประธานาธิบดี บารัก โอบามา บิล คลินตัน และจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ที่สหรัฐยังสงวนท่าทีต่อการรับมือปัญหาเกาหลีเหนือ โดยไม่ยอมอ่อนข้อให้มากเกินไป

    นั่นหมายความว่า การปรับเปลี่ยนยุทธวิธีเป็นสไตล์ทรัมป์แบบใจถึงพึ่งได้ ที่เน้นการออกโรงด้วย ตัวเองของเบอร์ 1 สร้างบรรยากาศที่ดีระหว่างกัน และพยายามโน้มน้าวด้วยสิ่งที่เป็นรูปธรรมอย่างความสำเร็จของเวียดนามโมเดล ก็ยังไม่เพียงพอ ตราบใดที่สหรัฐยังไม่สามารถรับมือกับจุดยืนหลักของเกาหลีเหนือ ที่ต้องการความมั่นใจและการรับประกันเรื่องความมั่นคงของตนเองมาก่อนเหนือทุกสิ่ง

    จุดนี้ตรงกับที่ อังเดร แลนคอฟ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาความเสี่ยงด้านเกาหลีและอาจารย์มหาวิทยาลัยกุ๊กมิน เคยให้มุมมองกับซีเอ็นเอ็นเอาไว้ว่า คิมกับ ก๊วนที่ปรึกษาไม่ใช่พวกหลังเขาที่ไม่รู้จักไม่เคยเห็นความรุ่งเรืองของเวียดนามหรือประเทศอื่น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความมั่นคงและระบอบคิม ไม่ใช่เงินและจีดีพี

    ดังนั้น ตราบใดที่สหรัฐยังไม่สามารถหาทางดีลกับประเด็นนี้ได้ การเจรจาระหว่างผู้นำเบอร์ 1 แบบตัวต่อตัวก็อาจจะไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากการหารือระดับเจ้าหน้าที่ หรือการประชุม 6 ฝ่ายในยุคที่ผ่านมา

    หากไม่หวังสูงเกินไป สิ่งที่ดีที่สุด ที่ได้จากการประชุมครั้งนี้ก็คือ การที่ทั้งสองฝ่ายไม่กลับไปมีท่าทีแข็งกร้าวเป็นปฏิปักษ์ต่อกันอีกครั้ง โดยที่เกาหลีเหนือรับปากว่าจะไม่ทดสอบขีปนาวุธให้คาบสมุทรเกาหลีและเอเชียตะวันออกกลับมาตึงเครียดอีก แม้ว่าหนทางของการปลดนิวเคลียร์อาจยิ่งห่างจากความเป็นจริงออกไป และอาจจะไม่สำเร็จภายในรัฐบาลนี้หรือรัฐบาลหน้าก็ตาม

    โดย นันทิยา วรเพชรายุทธ
    Source: Posttoday

    เพิ่มเติม
    - How Trump and Kim's summit dream fell apart:
    https://edition.cnn.com/2019/03/02/...ZfxcHK77dy5cLd-rhRiW3Nh8Dhh_I8cgzs5elPr4PGHRA
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    ces%2Fimg%2Feditorial%2F2019%2F03%2F04%2F105772087-1551660148475gettyimages-1064962028.1910x1000.jpg
    (Mar 4) สื่อเผยสหรัฐ-จีนใกล้บรรลุข้อตกลงการค้า ขณะจีนเสนอซื้อสินค้าสหรัฐจำนวนมาก: สื่อต่างประเทศรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า สหรัฐและจีนใกล้บรรลุข้อตกลงการค้า โดยสหรัฐอาจยกเลิกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเกือบทั้งหมด หรือทั้งหมด หากจีนดำเนินการตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ ซึ่งครอบคลุมถึงคำมั่นสัญญาเกี่ยวกับการปกป้องสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา ไปจนถึงการซื้อสินค้าจำนวนมากจากสหรัฐ

    รายงานระบุว่า เจ้าหน้าที่จีนได้แสดงความชัดเจนในระหว่างการเจรจากับเจ้าหน้าที่สหรัฐในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การยกเลิกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์นั้น ถือเป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการสรุปข้อตกลงการค้า ขณะที่ทางสหรัฐได้เรียกร้องจีนไม่ให้ทำการตอบโต้ หรือนำกรณีต่างๆเข้าร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อจะตอบโต้สหรัฐ

    นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า ทางฝั่งจีนกำลังเสนอที่จะปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร เคมีภัณฑ์ รถยนต์ และสินค้าอื่นๆจากสหรัฐ พร้อมกับเสนอว่าจะซื้อก๊าซธรรมชาติจากบริษัท Cheniere Energy ในเมืองฮุสตัน มูลค่าราว 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์

    ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า เขาได้ขอให้จีนยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐทั้งหมดในทันที ซึ่งรวมถึงเนื้อวัวและเนื้อหมู พร้อมระบุว่า การเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศมีความคืบหน้า

    ปธน.ทรัมป์ทวีตว่า เขาได้ระงับการปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐต่อสินค้าจีนจาก 10% เป็น 25% ในวันที่ 1 มี.ค. หลังจากที่เขาเคยระบุว่าจะดำเนินการดังกล่าว หากไม่มีความคืบหน้าในการบรรลุข้อตกลงการค้า

    ด้านสื่อต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐกำลังเตรียมข้อตกลงการค้าในขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ และนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน จะลงนามร่วมกันในไม่ช้านี้ พร้อมระบุว่า การประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐและจีนอาจจะเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนมี.ค.นี้

    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช

    - China is reportedly offering to lower tariffs on US farm, chemical and auto products as trade deal gets closer : https://www.cnbc.com/2019/03/03/bei...jBKSeaQl5wVbRctezInCeBK7uVkGXcK7AXJLUvPqOrf6k
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ลูกสาวผู้ก่อตั้ง ‘หัวเว่ย’ ฟ้องทางการแคนาดา ‘ละเมิดสิทธิ’ ตามรัฐธรรมนูญ เผยแพร่: 4 มี.ค. 2562 09:37 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000002252401.jpg

    เมิ่ง หว่านโจว บุตรสาวผู้ก่อตั้งหัวเว่ย และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ)
    เอเอฟพี - เมิ่ง หว่านโจว บุตรสาวผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ของบริษัทโทรคมนาคม ‘หัวเว่ย’ ยื่นฟ้องเอาผิดทางการแคนาดาฐานละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญระหว่างที่เธอถูกจับที่เมืองแวนคูเวอร์เมื่อต้นเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว ทนายเผยวานนี้ (3 มี.ค.)

    โฮเวิร์ด แมคเคลสัน และ แอลลัน ดูลิตเติล ทนายของเมิ่ง ระบุในคำแถลงว่า เธอถูกละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง และต้องการเรียกร้องเงินชดเชยที่ตกเป็นเหยื่อการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย (misfeasance) และถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (false imprisonment) ขณะที่โดนควบคุมตัวที่ท่าอากาศยานนานาชาติแวนคูเวอร์เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ปีที่แล้ว

    นักธุรกิจหญิงวัย 47 ปี ถูกตำรวจแคนาดาจับกุมระหว่างกำลังรอเปลี่ยนเครื่องบินที่เมืองแวนคูเวอร์ ตามคำขอของสหรัฐฯ ซึ่งต้องการได้ตัว เมิ่ง ไปดำเนินคดีฐานละเมิดกฎหมายแซงก์ชั่นอิหร่าน

    เรื่องนี้ยังกลายเป็นชนวนเหตุทำให้พลเมืองแคนาดาหลายคนถูกจับในจีน ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการแก้แค้นของปักกิ่ง

    ทนายของเมิ่ง ระบุว่า เธอถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรแคนาดาสอบปากคำนานถึง 3 ชั่วโมงก่อนจะมีการออกหมายจับอย่างเป็นทางการ ซึ่งระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ศุลกากรได้ขอตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ของเธอ รวมถึงค้นกระเป๋าเดินทาง ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิ

    ทีมกฎหมายของ เมิ่ง ได้ยื่นคำร้องเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (1) ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่กระทรวงยุติธรรมแคนาดาเริ่มต้นกระบวนการส่งตัว เมิ่ง เป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสหรัฐฯ

    กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กล่าวหา หัวเว่ย และ เมิ่ง ซึ่งเป็นซีเอฟโอว่าจงใจหลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน และยังใช้บริษัทในเครือ 2 แห่งขโมยความลับทางการค้าของบริษัท ที-โมบายล์ ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมของอเมริกา

    เมิ่ง ได้รับการประกันตัวเมื่อช่วงกลางเดือน ธ.ค. และถูกกักบริเวณในบ้านพักที่เมืองแวนคูเวอร์ภายใต้วงเงินประกัน 10 ล้านดอลลาร์แคนาดา โดยต้องสวมอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ และถูกยึดหนังสือเดินทางเพื่อป้องกันการหลบหนี

    บุตรสาวผู้ก่อตั้งหัวเว่ยจะต้องขึ้นศาลที่เมืองแวนคูเวอร์อีกครั้งในวันพุธ (6) “เพื่อยืนยันว่ามีการออกหมายศาล และกำหนดวันไต่สวนเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน” ซึ่งกระบวนการที่ว่านี้อาจใช้เวลาอีกนานหลายเดือน หรือเป็นปีๆ เนื่องจากมีความเป็นไปได้หลายทางที่หัวเว่ยจะยื่นอุทธรณ์ได้

    ปักกิ่งแสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งที่สหรัฐฯ ตั้งข้อหาเอาผิด เมิ่ง โดยระบุว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดจาก “แรงจูงใจทางการเมือง” และเป็นความพยายามบ่อนทำลายชื่อเสียงบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของจีน ขณะที่หัวเว่ยเองก็ยืนกรานว่าไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา

    https://mgronline.com/around/detail/9620000021756
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พวกผู้เชี่ยวชาญตะวันตกระบุ สหรัฐฯต่อต้าน‘หัวเว่ย’ด้วยข้อกล่าวหาที่เกินจริง เผยแพร่: 3 มี.ค. 2562 23:28 โดย: แฟรงค์ บาจัค, สำนักข่าวเอพี
    562000002249801.jpg

    โรเบิร์ต สเตรเยอร์ รองผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายนโยบายไซเบอร์และการสื่อสารและสารสนเทศระหว่างประเทศ (ขวา) และ อาจิต ไพ ประธานของคณะกรรมาธิการการสื่อสารสหรัฐฯ (กลาง) ขณะแถลงข่าวในงาน โมบายล์ เวิร์ลด์ คองเกรส ที่เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน เมื่อวันที่ 26 ก.พ.
    Experts: US anti-Huawei campaign likely exaggerated
    By Frank Bajak, AP Cybersecurity Writer
    01/03/2019

    พวกผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ กำลังพูดกันมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า การที่รัฐบาลสหรัฐฯรณรงค์มุ่งเล่นงานบริษัทหัวเว่ยของจีน ด้วยข้ออ้างว่าการใช้อุปกรณ์ของบริษัทนี้ในเครือข่าย 5 จี คือการยินยอมให้ปักกิ่งมีช่องทางลับสำหรับการสอดแนมทำจารกรรมนั้น เป็นการกล่าวหาที่เกินเลยความเป็นจริง

    ตั้งแต่ปีที่แล้ว สหรัฐฯได้เปิดฉากรุกทางการทูตอย่างกระตือรือร้น ซึ่งมุ่งเล่นงาน หัวเว่ย ยักษ์ใหญ่สื่อสารโทรคมนาคมสัญชาติจีน ด้วยข้ออ้างที่ว่าประเทศใดก็ตามทีซึ่งใช้อุปกรณ์ของบริษัทนี้ในเครือข่ายสื่อสารไร้สายเจเนอเรชั่นหน้าของพวกเขา ก็คือการยินยอมให้ปักกิ่งมีช่องทางลับสำหรับการสอดแนมทำจารกรรม หรือกระทั่งเลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นอีก

    ทว่าพวกผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัย กลับกำลังพูดกันมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า รัฐบาลสหรัฐฯน่าจะกำลังขยายภัยคุกคามดังกล่าวนี้จนเกินเลยความเป็นจริง พวกเขาชี้ว่าในกรณีนี้ไม่เพียงสหรัฐฯไม่ได้เสนอหลักฐานอันเจาะจงชัดเจนเท่านั้น แต่ยังบิดเบือนอำพรางข้อเท็จจริงที่ว่าฝ่ายจีนไม่ได้จำเป็นต้องมีช่องทางลับในการเข้าสู่พวกอุปกรณ์เราเตอร์หัวเว่ยเพื่อแทรกซึมเครือข่ายสื่อสารระดับโลก ซึ่งอันที่จริงก็มีชื่อเสียงย่ำแย่อยู่แล้วในเรื่องมีคุณสมบัติด้านความมั่นคงปลอดภัยที่ต่ำเตี้ย

    พวกแฮกเกอร์ที่อุปถัมภ์โดยภาครัฐนั้น แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าพวกเขาไม่ได้รู้สึกชื่นชอบเป็นพิเศษกับการได้เข้าเจาะเทคโนโลยีของบริษัทผู้ผลิตแห่งหนึ่งแห่งใดยิ่งกว่าของบริษัทอื่นๆ ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้กล่าว ตัวอย่างเช่น แฮกเกอร์ที่หนุนหลังโดยวังเครมลิน ยังคงมีความคล่องแคล่วว่องไวในการหาทางผ่านพวกเราเตอร์อินเทอร์เน็ตตลอดจนอุปกรณ์เครือข่ายอย่างอื่นๆ ซึ่งผลิตโดยพวกบริษัทที่มิได้เป็นของรัสเซียเลย

    หากฝ่ายจีนต้องการที่จะก่อกวนเครือข่ายสื่อสารระดับโลกแล้ว “พวกเขาจะสามารถทำอย่างนั้นได้ โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงประเภทของอุปกรณ์ที่คุณกำลังใช้อยู่หรอก” นี่เป็นความเห็นของ แยน-พีเตอร์ ไคลน์ฮันส์ (Jan-Peter Kleinhans) นักวิจัยซึ่งทำงานอยู่ที่ นอยเออ เวร์อันต์วอร์ตุง ชติฟตุง (Neue Verantwortung Stiftung) องค์กรคลังความคิดที่ตั้งอยู่ในกรุงเบอร์ลิน

    หนึ่งในความหวาดกลัวที่ถูกสหรัฐฯหยิบยกขึ้นมาประโคมหนักที่สุด –อันได้แก่การที่ หัวเว่ย อาจติดตั้งซอฟต์แวร์ “ประตูหลัง” เอาไว้ในอุปกรณ์ของบริษัทซึ่งทำให้หน่วยข่าวกรองจีนสามารถใช้ในการแอบต่อเชื่อม, แอบดักสอดแนมข้อมูล, หรือกระทั่งขัดขวางการถ่ายโอนสัญญาณ— กลับเป็นสิ่งซึ่งผู้เชี่ยวชาญบางคนเห็นว่าไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง

    พริสซิลลา โมริอูชิ (Priscilla Moriuchi) ซึ่งเกษียณจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Agency ใช้อักษรย่อว่า NSA) ในปี 2017 ภายหลังเป็นผู้ดำเนินงานการปฏิบัติการด้านตะวันออกไกลของหน่วยงานข่าวกรองด้านสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐฯแห่งนี้ ถึงแม้ไม่ได้เชื่อว่าภัยคุกคามจากหัวเว่ยเป็นสิ่งที่พูดกันมากเกินไป แต่เธอก็บอกว่าแต้มต่อเดิมพันที่บริษัทนี้กำลังติดตั้งประตูหลังให้แก่หน่วยข่าวกรองจีนนั้น “แทบจะเท่ากับศูนย์” สืบเนื่องจากโอกาสที่มันจะถูกค้นพบ และดังนั้นหัวเว่ยก็จะถูกเปิดโปงว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย

    โมริอูชิ ซึ่งเวลานี้ทำงานเป็นนักวิเคราะห์อยู่ที่ เรคอร์เดด ฟิวเจอร์ (Recorded Future) บริษัทด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์สัญชาติสหรัฐฯ บอกว่า เธอไม่ได้เคยรับรู้เลยว่า เอ็นเอสเค ได้เคยค้นพบประตูหลังที่หัวเว่ยสร้างขึ้นให้แก่หน่วยข่าวกรองจีน แต่เธอก็พูดอย่างระมัดระวังด้วยว่า หากมีการค้นพบประตูหลังขึ้นมาจริงๆ มันก็เป็นเรื่องลำบากยากยิ่งทีเดียวที่จะวินิจฉัยว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังประตูหลังเหล่านี้

    พวกชาติพันธมิตรในยุโรปของสหรัฐฯ ก็กำลังแสดงท่าทีลังเลที่จะยอมรับและออกคำสั่ง “เด็ดหัว” ต่อต้านหัวเว่ยแบบครอบคลุมเบ็ดเสร็จทั้งหมด ถึงแม้พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯยังคงพยายามประทับตราผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลกรายนี้ว่า แทบไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าแค่ “ผู้หญิงรับอุ้มท้อง” แทนหน่วยงานข่าวกรองของปักกิ่ง ซึ่งไม่ควรค่าแก่การให้ความเชื่อถือไว้วางใจเลย (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.apnews.com/26505a4c51014cb6926ab8519ef6aa1d )

    โรเบิร์ต สเตรเยอร์ (Robert Strayer) รองผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายนโยบายไซเบอร์และการสื่อสารและสารสนเทศระหว่างประเทศ (Deputy Assistant Secretary for Cyber and International Communications and Information Policy) ซึ่งถือเป็นนักการทูตระดับท็อปของอเมริกาในด้านนโยบายความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ บอกว่า หัวเว่ยมีพันธะผูกพันต้องทำตามคำสั่งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตามกฎหมายข่าวกรองฉบับเมื่อปี 2017 ของแดนมังกร ที่มีเนื้อหา “บังคับพลเมืองของพวกเขาและบริษัทของพวกเขาต้องเข้าร่วมในกิจกรรมด้านข่าวกรอง”

    แต่สเตรเยอร์ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลเจาะจงใดๆ เมื่อถูกพวกผู้สื่อข่าวซักไซ้ในวันอังคาร (26 ก.พ.) ที่ผ่านมาว่า อุปกรณ์ของหัวเว่ยอาจเป็นภัยคุกคามความมั่นคงปลอดภัยมากไปกว่า สวิตช์, เราเตอร์, และสถานีฐานไร้สายของบริษัทผู้ผลิตรายอื่นๆ ได้อย่างไร ทั้งนี้นักการทูตผู้นี้พูดอยู่ที่งาน “โมบายล์ เวิร์ลด์ คองเกรส” (Mobile World Congress) อันเป็นงานแสดงสินค้าการสื่อสารไร้สายประจำปีซึ่งใหญ่ที่สุดของโลก โดยจัดขึ้นที่เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน

    น่าสังเกตว่า ถ้อยคำโวหารของฝ่ายอเมริกันในเรื่องนี้เจือปนเอาไว้ด้วยการข่มขู่คุกคาม

    ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ บ่งชี้ในการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์เมื่อวันที่ 21 ก.พ. ว่า การใช้อุปกรณ์หัวเว่ยใดๆ ก็ตาม อาจเป็นภัยอันตรายต่อการแลกเปลี่ยนแบ่งปันข่าวกรองของสหรัฐฯ และกระทั่งอาจะเป็นเหตุผลประการหนึ่งสำหรับการจัดตั้งฐานทัพทางทหารในที่อื่นๆ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.foxbusiness.com/technol...artner-with-countries-that-use-its-technology) การแสดงความเห็นเช่นนี้อาจพุ่งเป้าหมายไปที่พวกชาติพันธมิตรองค์การนาโต้ โดยรวมถึงโปแลนด์และสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งหัวเว่ยกำลังสามารถเจาะเข้าไปได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวทีเดียว

    อย่างไรก็ดี ผู้ทำหน้าที่เป็นโฆษกคนหนึ่งให้แก่สภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ปฏิเสธไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆ หรือส่งเรื่องต่อไปยังเจ้าหน้าที่ใดๆ เพื่อพูดถึงเรื่องนี้อย่างเฉพาะเจาะจง ขณะที่โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เมื่อถูกสำนักข่าวเอพีสอบถาม ก็อ้างอิงถึงคำแถลงข่าวสำหรับสื่อมวลชนฉบับหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อหากล่าวถึงการแถลงแสดงความเห็นของสเตรเยอร์ที่บาร์เซโลนา (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.state.gov/e/eb/rls/rm/2019/289722.htm )

    หัวเว่ย ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1987 โดยอดีตวิศวกรทางทหารผู้หนึ่ง สามารถแซงหน้าบริษัท แอลเอ็ม อิริคสัน (LM Ericsson) ของสวีเดนเมื่อปี 2017 ในการเป็นบริษัทอันดับหนึ่งในตลาดอุปกรณ์สื่อสารไร้สายและสวิตชิ่งทางอินเทอร์เน็ต บริษัทแถลงว่าเป็นผู้ซัปพลายอุปกรณ์ให้แก่ 45 บริษัทจาก 50 บริษัทโทรศัพท์ระดับท็อปของโลก และมีสัญญาข้อตกลงกับบริษัทผู้ให้บริการ 30 แห่งในการทดสอบเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายเจเนอเรชั่นหน้า ซึ่งเรียกขานกันว่าเจเนอเรชั่นที่ 5 หรือ 5 จี (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.apnews.com/f3bfbc03498a4a66b5ded56497ecb75c ) พวกบริษัทสหรัฐฯนั้นไม่ได้เป็นคู่แข่งขันที่จริงจังอยู่ในตลาดนี้เลย โดยที่กำลังถอยห่างออกมาเป็นแรมปีแล้วด้วยซ้ำ คู่แข่งขันสำคัญของหัวเว่ยจึงเป็นบริษัทยุโรป ได้แก่ อิริคสัน และ โนเกีย แห่งฟินแลนด์

    สหรัฐฯไม่ได้เคยเสนอหลักฐานใดๆ ว่าจีนกำลังแอบฝังประตูหลังสำหรับการแอบสอดแนมเอาไว้ในอุปกรณ์หัวเว่ย ถึงแม้มีรายงานของรัฐสภาสหรัฐฯ ปี 2012 ฉบับหนึ่ง ซึ่งทำให้รัฐบาลสหรัฐฯและพวกบริษัทให้บริการสื่อสารไร้สายระดับท็อปภายในสหรัฐฯประกาศ “แบน” หัวเว่ย และบริษัทผู้ผลิตสัญชาติจีนรายอื่นๆ จากเครือข่ายของพวกเขา (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.documentcloud.org/documents/5754448-huawei-zte-investigative-report.html)

    “ภูมิหลังเบื้องลึกของเรื่องนี้ โดยสาระสำคัญแล้วก็คือการที่จีนก้าวผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจด้านเทคในปริมณฑลต่างๆ อย่างหลากหลายนั่นแหละ” เป็นคำพูดของ พอล ทริโอโล (Paul Triolo) หัวหน้าในด้านเทคที่ ยูเรเชีย กรุ๊ป (Eurasia Group) บริษัทที่ปรึกษาวิเคราะห์ความเสี่ยงชื่อดัง เขากล่าวต่อว่า มาถึงตอนนี้ “มีการรณรงค์ใหญ่เพื่อวาดภาพหัวเว่ยให้กลายเป็นตัวแสดงที่ไร้ความรับผิดชอบ” (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.eurasiagroup.net/live-post/the-geopolitics-of-5g)

    ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา อัยการสหรัฐฯได้ยื่นฟ้องร้องคดีอาญาหลายข้อหาต่อหัวเว่ย และหนึ่งในผู้บริหารระดับท็อปของบริษัท โดยกล่าวหาหัวเว่ยว่าขโมยความลับทางการค้าและโกหกหลอกลวงพวกธนาคารเกี่ยวกับการติดต่อทำธุรกิจระหว่างบริษัทกับอิหร่าน ซึ่งเป็นการละเมิดมาตรการแซงก์ชั่นของสหรัฐฯ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.apnews.com/0615a77380094e23b1c519ab4afe4869/)

    ก่อนหน้านั้นแคนาดาได้จับกุมผู้บริหารหัวเว่ยผู้นั้น –ซึ่งยังเป็นบุตรสาวของผู้ก่อตั้งบริษัทอีกด้วย— ตามคำขอของสหรัฐฯ เวลานี้เธอกำลังอยู่ในกระบวนการพิจารณาเพื่อส่งตัวไปให้สหรัฐฯในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน

    หัวเว่ยปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิดใดๆ ในวันพฤหัสบดี (28 ก.พ.) บริษัทก็ได้แถลงอีกว่าตนเองไม่มีความผิดและขอสู้คดีในข้อกล่าวหาของทางอัยการสหรัฐฯที่ระบุว่า หัวเว่ยขโมยความลับทางการค้าจากบริษัทที-โมบายล์ (T-Mobile) (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://apnews.com/7a230d65f56d4e719fd596eb3f79acf9)

    ความย้อนแย้งประการหนึ่งของสถานการณ์นี้ก็คือ อันที่จริงแล้วสหรัฐฯนั่นแหละได้กระทำสิ่งที่พวกเขากำลังกล่าวหาว่าหัวเว่ยกระทำอยู่ ทั้งนี้ตามเอกสารลับสุดยอดที่นำออกมาเผยแพร่เมื่อปี 2013 โดย เอดเวิร์ด สโนว์เดน (Edward Snowden) อดีตผู้ทำสัญญารับเหมาทำงานให้เอ็นเอสเอ สหรัฐฯได้แอบฝังอุปกรณ์นำทางสำหรับการสอดแนมเอาไว้ในพวกอุปกรณ์เครือข่าย จากนั้นก็มีการขนส่งอุปกรณ์เครือข่ายเหล่านี้ไปทั่วโลก (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.eff.org/files/2015/01/2...can_crack_some_of_sigints_hardest_targets.pdf)

    อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบกระเทือนเหล่านี้ ครอบคลุมถึงพวกอุปกรณ์จากซิสโก้ซิสเตมส์ (Cisco Systems) บริษัทในซิลคอนแวลลีย์ซึ่งเราเตอร์ของบริษัทได้ถูกขึ้นบัญชีดำจากพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของจีน ภายหลังการเปิดโปงของสโนว์เดน

    ในเรื่องภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นจากหัวเว่ย แม้กระทั่งชาติพันธมิตรผู้ใกล้ชิดที่สุดของวอชิงตันก็ตัดสินใจใช้วิธีจัดการรับมือซึ่งแตกต่างออกไป กล่าวคือ ศูนย์กลางความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์แห่งชาติ (National Cyber Security Center หรือ NCSC) ของสหราชอาณาจักร ได้ประกาศข้อห้ามข้อจำกัดหลายๆ ระดับเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์หัวเว่ยมาช้านานแล้ว โดยรวมถึงการไม่อนุญาตให้ใช้อุปกรณ์ของบริษัทนี้ในเครือข่ายที่มีความอ่อนไหวทุกๆ เครือข่าย เคียรัน มาร์ติน (Ciaran Martin) ผู้อำนวยการของหน่วยงานนี้ชี้เอาไว้ในสุนทรพจน์ซึ่งเขากล่าวเมื่อวันที่ 20 ก.พ. (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ncsc.gov.uk/news/ciaran-martins-cybersec-speech-brussels)

    ขณะที่ ไคลน์ฮันส์ ซึ่งได้ติดตามศึกษาการปฏิบัติต่างๆ ของเอ็นซีเอสซี บอกว่า หัวเว่ยยังถูกห้ามไม่ให้ดำเนินการซ่อมบำรุงพวกสถานีฐานไร้สายในสหราชอาณาจักรโดยตรงใดๆ ทั้งสิ้น โดยจะต้องยินยอมให้พวกบริษัทให้บริการสื่อสารไร้สายท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบงานนี้ ขณะเดียวกัน พวกบริษัทผู้ให้บริการเหล่านี้ก็ถูกห้ามไม่ให้ใช้อุปกรณ์ของจีนในการดำเนินการดักฟังใดๆ ที่กระทำตามอำนาจของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เอ็นซีเอสซียังกำหนดให้ต้องมีการทำงานอย่างซ้ำซ้อนกันภายในเครือข่ายที่ทรงความสำคัญยิ่งยวด ตลอดจนต้องใช้ซัปพลายเออร์อุปกรณ์หลายๆ รายเพื่อป้องกันไม่ให้พึ่งพาอาศัยบริษัทผู้ผลิตรายหนึ่งรายเดียวจนเกินไป (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.stiftung-nv.de/en/node/2511)

    ในรายงานผลการศึกษาทบทวนประจำปีเกี่ยวกับการปฏิบัติทางด้านวิศวกรรมของหัวเว่ย ซึ่งนำออกเผยแพร่ในเดือนกรกฎาคม เอ็นซีเอสซีบอกว่าได้ค้นพบ “ข้อบกพร่องหลายประการ” ซึ่ง “เปิดเผยให้เห็นความเสี่ยงใหม่ๆ ในเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคมของสหราชอาณาจักร” ทว่าไม่มีข้อไหนเลยที่ต้องจัดให้มีความสำคัญเร่งด่วนในลำดับกลาง หรือลำดับสูง (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://assets.publishing.service.g...HCSEC_Oversight_Board_Report_2018_-_FINAL.pdf)

    มาร์ตินเรียกปัญหาเหล่านี้ว่าเป็น ปัญหาซึ่งสามารถบริหารจัดการได้ และไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นปรปักษ์ของฝ่ายจีน – ถึงแม้ผู้เชี่ยวชาญหลายรายกล่าวว่า มักเป็นเรื่องยากลำบากเสมอที่จะระบุออกมาว่า จุดอ่อนที่ปรากฏเป็นเพียงความบกพร่องทางการเข้ารหัสธรรมดาๆ หรือว่าเป็นความจงใจ

    “ด้วยเทคโนโลยี 5 จี อุปกรณ์บางอย่างจำเป็นที่จะต้องมีความน่าเชื่อถือไว้วางใจได้มากกว่าที่ผ่านๆ มา แต่อาจจะไม่ต้องถึงกับทั้งหมด” เอียน เลวี (Ian Levy) ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของเอ็นซีเอสซี เขียนเอาไว้เช่นนี้ในบล็อก (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ncsc.gov.uk/blog-post/security-complexity-and-huawei-protecting-uks-telecoms-networks)

    เหมือนกับสหราชอาณาจักร พวกเจ้าหน้าที่ของเยอรมนีก็แสดงท่าทีว่าพวกเขาจะปฏิเสธไม่ยอมแบนหัวเว่ยแบบครอบคลุมเบ็ดเสร็จ

    ในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว อาร์เนอ เชินโบห์ม (Arne Schoenbohm) ผู้อำนวยการของสำนักงานด้านความเสี่ยงทางไซเบอร์ของเยอรมนี แถลงว่า “สำหรับการตัดสินใจที่มีความจริงจังร้ายแรงอย่างเรื่องการแบน คุณจำเป็นที่จะต้องมีหลักฐาน”

    สัปดาห์ที่แล้ว กระทรวงมหาดไทยของแดนดอยช์บอกกับสำนักข่าวเอพีว่า “การกีดกันโดยตรงไม่ให้ผู้ผลิตรายหนึ่งรายใดเฉพาะเจาะจง เข้าร่วมในการขยายงานทางด้าน 5 จีนั้น ณ เวลานี้ไม่ได้มีความเป็นไปได้ในทางกฎหมาย”

    (เก็บความจากเรื่อง Experts: US anti-Huawei campaign likely exaggerated ที่เขียนโดย แฟรงค์ บาจัค นักเขียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของสำนักข่าวเอพี)

    https://mgronline.com/around/detail/9620000021722
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โยงไปเรื่อย! ‘ทรัมป์’ อ้างคองเกรสไต่สวนอดีตทนาย ‘โคเฮน’ มีส่วนทำให้เจรจา ‘คิม’ ล้มเหลว เผยแพร่: 4 มี.ค. 2562 13:16 ปรับปรุง: 4 มี.ค. 2562 13:27 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000002253401.jpg

    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ (ขวา) และ ไมเคิล โคเฮน อดีตทนายส่วนตัว
    เอเอฟพี - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กล่าววานนี้ (3 มี.ค.) ว่าการที่สภาคองเกรสเรียกอดีตทนายส่วนตัว ไมเคิล โคเฮน เข้าให้ปากคำเมื่อสัปดาห์ที่แล้วอาจมีส่วนทำให้การเจรจาระหว่างตนกับผู้นำเกาหลีเหนือล้มเหลว

    คำพูดของทรัมป์ ออกจะย้อนแย้งกับถ้อยแถลงของ จอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว ซึ่งยืนยันว่าซัมมิตที่ฮานอยนั้น “ประสบความสำเร็จ”

    การพบปะครั้งที่ 2 ระหว่าง ทรัมป์ กับ คิม ที่เมืองหลวงเวียดนามปิดฉากลงอย่างไม่เป็นท่าเมื่อวันที่ 28 ก.พ. โดยผู้นำสหรัฐฯ ได้แต่แถลงแก้เก้อว่า “บางครั้งคุณก็ต้องเดิน (ถอยออกมา) และนี่ก็เป็นเพียงครั้งหนึ่ง”

    ซัมมิตครั้งนี้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรเรียกสอบปากคำ ไมเคิล โคเฮน อดีตทนายส่วนตัวของทรัมป์ ซึ่งวิจารณ์เจ้านายเก่าว่าเป็นพวก “เหยียดเพศ”, “ต้มตุ๋น” และ “ขี้โกง”

    ทรัมป์ ทวีตข้อความวานนี้ (3) ว่าการไต่สวนดังกล่าวอาจมีส่วนทำให้ตนต้อง ‘เดิน’ ถอยออกมา

    “การที่พวกเดโมแครตไต่สวนคนขี้โกงและโกหกอย่างเปิดเผย ขณะที่เรากำลังมีการประชุมซัมมิตนิวเคลียร์ที่สำคัญยิ่งกับเกาหลีเหนือ ถือได้ว่าเป็นจุดตกต่ำที่สุดของการเมืองอเมริกัน และอาจมีส่วนทำให้เกิดการ ‘เดิน’ (ถอยออกมา)”

    “ไม่เคยมีใครทำเช่นนี้ระหว่างที่ประธานาธิบดีกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ต่างประเทศ น่าอายจริงๆ!”

    อย่างไรก็ตาม โบลตัน ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ Face the Nation ทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสเมื่อวันอาทิตย์ (3) ว่า การประชุมซัมมิต คิม-ทรัมป์ รอบนี้ถือว่า “ประสบความสำเร็จ ในแง่ที่ประธานาธิบดีได้ปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์ของสหรัฐฯ”

    เขาย้ำว่า ประเด็นสำคัญอยู่ที่เกาหลีเหนือจะยอมรับ “ข้อตกลงที่ยิ่งใหญ่” ของประธานาธิบดี ซึ่งหมายถึงการที่โสมแดงต้องปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์แบบ หรือจะทำในสิ่งที่น้อยกว่านั้น “ซึ่งเรารับไม่ได้”

    “ประธานาธิบดียึดมั่นในจุดยืนนี้ และพยายามผูกสัมพันธ์กับคิม จองอึน ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งผมไม่คิดว่ามันคือความล้มเหลว ในเมื่อผลประโยชน์ของอเมริกายังได้รับการปกป้อง” โบลตันเอ่ยเสริม

    562000002253402.jpg


    เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนที่ซัมมิตจะเริ่มขึ้น ฝ่ายเกาหลีเหนือได้เรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรที่บังคับใช้กับเปียงยางตั้งแต่เดือน มี.ค.ปี 2016 เป็นต้นมา โดยข้อแลกเปลี่ยนที่โสมแดงเสนอนั้นมีเพียงการปิดโรงงานนิวเคลียร์ยองบยอน (Yongbyon) บางส่วน ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าเกาหลีเหนือยังมีโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมซุกซ่อนอยู่ในสถานที่อื่นๆ อีก

    อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือ รี ยองโฮ ได้ออกมาแย้งข้อมูลของฝ่ายสหรัฐฯ โดยยืนยันว่า เปียงยางยอมที่จะทำลาย “โรงงานผลิตวัสดุนิวเคลียร์ทั้งหมดในยองบยอน” เพื่อแลกกับการผ่อนคลายคว่ำบาตรบางส่วน

    แอดัม ชิฟฟ์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองแห่งสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นคนของเดโมแครต วิจารณ์ผลการประชุมซัมมิตครั้งนี้ว่า “ล้มเหลวไม่เป็นท่า” พร้อมชี้ว่า ทรัมป์ นั้น “อ่อนข้อไปแล้วอย่างมากมาย ตั้งแต่ยอมไปประชุมซัมมิต ยกสถานะของ คิม จองอึน ในเวทีโลก และสั่งระงับการซ้อมรบทางทหาร (กับเกาหลีใต้) ในการประชุมซัมมิตครั้งที่แล้ว โดยที่ไม่ได้อะไรตอบแทนเลย” ชิฟฟ์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อซีบีเอส

    “ผมคิดว่านี่คือผลของการที่ประธานาธิบดีไม่มีความพร้อมสำหรับการเจรจาในลักษณะนี้ ส่วนพวกเจ้าหน้าที่ก็เตรียมตัวไปไม่ดีพอ จึงได้แต่ขายผ้าเอาหน้ารอด”

    ทรัมป์ มักวิจารณ์การซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้ว่ามีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป และหลังจากซัมมิตกับ คิม ที่สิงคโปร์เมื่อปีที่แล้ว วอชิงตันและโซลก็ได้ระงับการฝึกร่วมไปหลายรายการ

    ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเตือนว่า การงดภารกิจฝึกร่วมจะบั่นทอนความพร้อมในการสู้รบของกองกำลังสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ และเพิ่มความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ให้แก่โสมแดง


    https://mgronline.com/around/detail/9620000021848
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...