ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo


    ความเสียหายจากภัยพิบัติ


    การระบาดของพายุทอร์นาโดที่ผิดปกติอย่างผิดปกติกำลังส่งผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกา gerogia มีรายงานความเสียหายอย่างรุนแรง
    IMG_0219.JPG IMG_0220.JPG IMG_0221.JPG IMG_0222.JPG IMG_0223.JPG IMG_0224.JPG IMG_0225.JPG IMG_0226.JPG IMG_0227.JPG
    2019/03/03


     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo


    #URGENTE


    ยืนยันการเสียชีวิตของเด็ก 2 คนจากการระบาดของพายุทอร์นาโดในอาลาบามา


     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo


    #URGENTE
    IMG_0228.JPG

    พายุทอร์นาโดที่ยาวและอันตรายอีกตัวหนึ่งบนบกในช่วงเวลาเหล่านี้ในจอร์เจีย


    ดูเหมือนหนังเรื่องนี้แล้ว already


     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo


    # URGENT
    IMG_0229.JPG

    พันธมิตรที่นำโดยสหรัฐอเมริกายิงขีปนาวุธฟอสฟอรัสสีขาวในพื้นที่ที่ควบคุมโดยผู้ก่อการร้าย


    ก่อให้เกิดความตายและแม้แต่เด็กและผู้หญิง


     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo



    นี่อยู่ในอลาบามา ประเทศสหรัฐอเมริกา

    เนื่องจากเป็นเส้นทางของพายุทอร์นาโดที่ทำลายล้าง
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo

    # URGENT


    ความเสียหายรุนแรงในอาลาบามาจากการระบาดของพายุทอร์นาโดรายงานเด็กที่เสียชีวิตหลายราย


    การระบาดของพายุทอร์นาโดยังคงดำเนินต่อไป


     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    800x-1.jpg
    (Mar 3) ปม'สหรัฐ-เวเนฯ'ยืด รัสเซียเล็งช่วยงัดข้อ : สหรัฐและรัสเซีย เปิดศึกงัดข้อเรื่องการส่งความช่วยเหลือ เข้าไปยังเวเนซุเอลา โดยรัฐบาลมอสโก รับปากจะส่งอาหารและยารักษาโรคผ่านทางประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ขณะที่รัฐบาลวอชิงตันคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ ความมั่นคงเวเนซุเอลา 6 นายที่มีส่วน ในการปิดพรมแดนไม่ให้ฝ่ายค้าน ลำเลียงความช่วยเหลือจากสหรัฐ เข้าไป เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    หลังจากที่รัสเซียและจีนพร้อมใจกัน "วีโต" ร่างมติที่สหรัฐและสหภาพยุโรป (อียู) เสนอต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคง แห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) เพื่อ เรียกร้องเปิดทางส่งความช่วยเหลือ ด้านมนุษยธรรมเข้าไปยังเวเนซุเอลา สหรัฐก็ได้ประกาศคว่ำบาตรนายทหาร ระดับสูงเวเนซุเอลา 6 นายที่มีส่วนในการ สกัดกั้นคาราวานความช่วยเหลือของสหรัฐ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 รายจากเหตุชุลมุนซึ่งเกิดขึ้น เนื่องจากกองทัพมาดูโรขวางไม่ให้ขบวนรถขนข้าว ถั่ว และสิ่งของอุปโภคบริโภคอื่น ๆ ข้ามจากโคลอมเบียเข้าไปยังเวเนซุเอลาได้ โดยผู้นำหัวซ้ายอ้างว่าความช่วยเหลือดังกล่าวเป็นแค่แผนอำพรางปฏิบัติการแทรกแซงทางทหาร

    สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ แถลงว่า ได้สั่งคว่ำบาตรสมาชิกกองกำลังความมั่นคงของมาดูโร เพื่อตอบโต้ที่ใช้ความรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตและยังจุดไฟเผาอาหารและยารักษาโรคที่สหรัฐจะส่งไปให้แก่ชาวเวเนซุเอลาที่กำลังล้มป่วยและหิวโหย

    1 ใน 6 คนที่สหรัฐขึ้นบัญชีดำคราวนี้ คือ พลตรี เฮซุส โลเปซ วาร์กัส ผู้บัญชาการ กองกำลังรักษาดินแดนเวเนซุเอลา คำสั่ง คว่ำบาตรจะทำให้นายทหารทั้ง 6 ถูกอายัด ทรัพย์สินในสหรัฐ และยังมีบทลงโทษต่อ ผู้ใดก็ตามที่ทำธุรกรรมการเงินกับคนกลุ่มนี้

    นอกจากนั้น กระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐได้ประกาศเพิกถอนวีซ่าเจ้าหน้าที่เวเนซุเอลา 49 คน รวมถึงสมาชิกในครอบครัว

    ฮวน กุยโด ประธานรัฐสภาและแกนนำฝ่ายค้านเวเนซุเอลา ซึ่งสหรัฐรับรองว่าเป็นประธานาธิบดีรักษาการโดยชอบธรรม หวังที่จะนำอาหารและสิ่งของบรรเทาทุกข์จากสหรัฐเข้าประเทศให้ได้ โดยมีการประสานขอความร่วมมือกับทั้งบราซิลและโคลอมเบีย เขาอ้างด้วยว่า หากนำความช่วยเหลือเข้าไปไม่สำเร็จ ประชากรเวเนซุเอลาอาจจะเสียชีวิตถึง 3 แสนคน

    สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำและเงินเฟ้อขั้นรุนแรงทำให้ชาวเวเนซุเอลาตัดสินใจหลบหนีออกนอกประเทศแล้วไม่ต่ำกว่า 2.7 ล้านคนตั้งแต่ปี 2558

    ในขณะที่กุยโดมีรัฐบาลกว่า 50 ประเทศ ทั่วโลกให้การหนุนหลัง แต่มาดูโรก็ยัง ได้รับการสนับสนุนจากชาติมหาอำนาจ อย่างรัสเซีย ซึ่งต้องการท้าทายพฤติกรรม แทรกแซงการเมืองชาติอื่นของสหรัฐ รวมถึงจีนซึ่งกังวลว่าเงินหลายพันล้าน ดอลลาร์ที่ปล่อยกู้ให้รัฐบาลการากัส จะสูญเปล่า

    เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียได้รับปาก รองประธานาธิบดีเดลซี โรดริเกวซ ของเวเนซุเอลาซึ่งเดินทางไปเยือนกรุงมอสโก ว่า รัสเซียจะเร่งจัดส่งข้าวสาลีไปให้ และอาจ ส่งยาและอุปกรณ์การแพทย์เพิ่มเติมอีก หลังจากที่เคยส่งไปแล้ว 7.5 ตัน

    "เรามีความร่วมมือและประสานงานกันอย่างใกล้ชิดในทุกๆ ด้าน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยิ่งมีความสำคัญในยามที่เวเนซุเอลากำลังถูกโจมตีและแทรกแซงกิจการภายในอย่างไม่หยุดหย่อน" ลาฟรอฟ กล่าว

    ด้านเอลเลียต อบรามส์ ผู้แทนพิเศษ สหรัฐด้านปัญหาเวเนซุเอลา ระบุว่ากองทัพ มาดูโรคิดจะแปลงความช่วยเหลือจาก รัสเซียเป็น "อาวุธทางการเมือง" โดยจะ แจกจ่ายให้เฉพาะประชาชนที่หนุนหลัง รัฐบาลเท่านั้น "สหรัฐต้องการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้แก่ชาวเวเนซุเอลา แต่เรา จะไม่มอบให้แก่รัฐบาลฉ้อฉลนี้" อบรามส์ ให้สัมภาษณ์สื่อที่วอชิงตัน

    ลาฟรอฟแสดงความคาดหวังว่า แรงกดดันจากนานาชาติคงจะช่วยทำให้ "พวกหัวร้อน" ในกรุงวอชิงตันใจเย็น ขึ้นมาบ้าง พร้อมกล่าวหาสหรัฐว่า มีแผน จัดซื้ออาวุธเบา ปืนครก จรวดชนิดยิง ประทับบ่า และขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน จาก "ประเทศในยุโรปตะวันออก" แห่งหนึ่ง เพื่อส่งเข้าไปประจำการใกล้ กับเวเนซุเอลา

    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ไม่ปฏิเสธการใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซง เวเนซุเอลา ขณะที่ชาติพันธมิตรสหรัฐ ส่วนใหญ่ยืนยันว่าไม่เห็นด้วย และไม่ สนับสนุนการใช้กำลัง

    Source: กรุงเทพธุรกิจ

    ความคืบหน้าล่าสุด
    - Guaido Nears Return to Venezuela With Potential Arrest Looming:
    https://www.bloomberg.com/news/arti...hx6WxIsl00RpcaoS3Ceu2a-Y79E0WivIY4oqLtj30UbXI
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    562000002168401.jpg
    (Mar 1) ผ่า กม.ไซเบอร์ ผ่านศาล ทุกระดับ: นักกม.ชี้พรบ.ไซเบอร์ไม่ได้จ้องล้วงข้อมูลผู้ใช้เน็ต แต่ออกแบบเพื่อกำกับสร้างเสถียรภาพโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ชี้อำนาจการเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างต้องผ่านศาล
    นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ นักกฏหมายผู้เชี่ยวชาญกฎหมายดิจิทัล กล่าวถึงร่างพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่ผ่านสนช. ว่า กฎหมายที่ผ่านมีข้อดีทำให้บริการภาครัฐทั้งทางด้านการเงิน การธนาคาร หรือบริการสาธารณูปโภคสำคัญ อาทิ ประปา ไฟฟ้า การเงิน การขนส่งคมนาคมจะต้องปรับมาตรฐานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ให้มั่นคงมากขึ้น การที่ระบบจะล่มโดยไม่มีมาตรการป้องกันจะน้อยลง ทำให้ประชาชนมีความมั่นใจมากขึ้น

    นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนนักพัฒนาระบบด้านความปลอดภัยทำให้รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมความมั่นคงไซเบอร์มากขึ้น สิ่งที่ต้องปรับปรุงเร่งด่วนหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้คือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ต้องปรับโครงสร้างบุคลากรด้านความมั่นคงไซเบอร์ให้เพียงพอ และต้องสรรหาบุคคลที่มีความรู้เท่าทันและสามารถปรับใช้กฎหมายควบคุมการใช้อำนาจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ส่วนความกังวลว่า กฎหมายจะไปริดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นเรื่องบิดเบือนที่เข้าใจคลาดเคลื่อน ที่กังวลว่าพนักงานเจ้าหน้าที่จะเข้าไปดูข้อมูลของประชาชนไม่สามารถทำได้ การเข้าไปดูข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องผ่านการวินิจฉัยของศาลทุกขั้นตอน ส่วนที่มีการส่งข้อมูลในโซเชียลมีเดีย มีการโจมตีว่าในช่วงที่มีเหตุวิกฤตสามารถเข้าไปดำเนินการได้นั้นจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีกรณีร้ายแรงต่อระบบสาธารณูปโภค บริการทางการเงิน และความมั่นคงของรัฐทำงานไม่ได้ ล่ม จนต้องกันเอาเครื่องออกมาเพื่อตรวจหาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดมัลแวร์จึงจะทำได้ โดยการจะเข้าถึงข้อมูลได้ก็ต้องขออนุญาตศาลทุกครั้ง

    ดังนั้น การที่บอกว่าไม่มีศาลมาพิจารณานั้นไม่จริง กรณีวิกฤติในความหมายตามกฎหมายนี้คือภัยที่กระทบต่อระบบจนมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของชีวิตคนและสาธารณูปโภคส่วนร่วม กฎหมายให้นายกรัฐมนตรีต้องมีมาตรการเยียวยาเท่าที่จำเป็นทันทีไปก่อน เมื่อเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติให้ศาลเข้ามาตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง นายกรัฐมนตรีทำได้แค่เยียวยาอำนาจตรวจสอบระบบจะต้องมาจากศาลเท่านั้น ที่แชร์กันว่ามีการใช้อำนาจโดยมิชอบจึงไม่เป็นความจริง

    ยันกม.สร้างเสถียรภาพ
    โดยภาพรวมกฎหมายฉบับนี้ออกมาถูกที่ถูกเวลาเพราะจะทำให้ปัญหาความไม่มั่นคงของระบบสารสนเทศในบริการสาธารณูปโภคมีความมั่นคงมากขึ้น ผู้ให้บริการทุกฝ่ายต้องมีมาตรฐานขั้นต่ำในการดูแลความมั่นคงไซเบอร์ กฎหมายฉบับนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับประชาชนเลยประชาชนจึงไม่ต้องกังวลเว้นแต่ประชาชนคนนั้นไปนุ่งเกี่ยวกับการโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ภาครัฐแล้วเกิดความเสียหาย ศาลตรวจสอบแล้วว่าตัวการมาจากท่านแล้วมีหมายศาลมาจึงจะเกี่ยวกับคนนั้น ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้สร้างความเสียหายเดือดร้อนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย และขอยืนยันว่ากฎหมายนี้ไม่ได้ก้าวล่วงการใช้งานอินเทอร์เน็ตของประชาชน แต่เป็นการควบคุมระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ต้องมีการเชื่อมโยงผ่านอินเทอร์เน็ต

    Source: BoTSS
    - http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/828325

    เพิ่มเติม
    - โต้ พ.ร.บ.มั่นคงไซเบอร์ฯ ให้รัฐคุมเบ็ดเสร็จไม่จริง ย้ำมุ่งใช้กับอาญชากรโจมตีระบบ ไม่เกี่ยวกับประชาชนทั่วไป : https://mgronline.com/onlinesection/detail/9620000020932
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    ExFihwH5PgBpLOs1jDBM38CfkLdHBfg8Owk4viKNnZKX6q4FK3enKxbyK3ZwEMTdf05F8yrA&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg

    (feb 28) 'อินเดีย'ตามรอยจีน คุมอี-คอมเมิร์ซข้ามชาติ : ในยุคนี้ที่ "ข้อมูล" คือขุมทรัพย์ใหม่ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ซึ่งอัดแน่นไปด้วยข้อมูลผู้บริโภคจำนวนมาก จึงเปรียบ ได้กับบ่อน้ำมันมูลค่ามหาศาล หากยิ่งสามารถครอบครองข้อมูลได้มาก ก็ยิ่งมีโอกาสกุมทิศทางกิจกรรมเศรษฐกิจ มากขึ้นเท่านั้น

    "อินเดีย" คือประเทศล่าสุด ที่ต้องการเก็บเกี่ยวประโยชน์จากบ่อข้อมูลที่มีอยู่ในประเทศให้ได้มากที่สุด ด้วยการประกาศ "ร่างนโยบาย อี-คอมเมิร์ซแห่งชาติ" ที่นิยามว่าข้อมูลคือสมบัติแห่งชาติ (National Asset) เพื่อหวังใช้ข้อมูลเป็นกำแพงสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลอันแข็งแกร่ง และบ่มเพาะยักษ์เทคโนโลยีสัญชาติภารต ซึ่งเป็นการเดินตามโมเดลของจีนที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว

    ภายใต้ร่างใหม่นั้น ธุรกิจต่างชาติไม่สามารถถ่ายโอนหรือแชร์ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ในอินเดียไปยังนอกประเทศ โดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าจะส่งต่อไปยังกลุ่มบุคคลที่ สาม หรือรัฐบาลต่างชาติก็ตาม

    ขณะเดียวกัน เอกชนยังต้องสร้างศูนย์เก็บข้อมูลภายในอินเดีย โดยมีเวลาดำเนินการดังกล่าว 3 ปี

    นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียยังต้องการให้ธุรกิจต่างชาติเปิดเผย อัลกอริทึมและซอร์สโค้ด (Source Code) ที่ใช้ถ่ายโอนเทคโนโลยีและพัฒนาแอพพลิเคชั่นด้วยเช่นกัน โดยอ้างเหตุผลว่าจะเอาไปช่วยพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) สำหรับธุรกิจท้องถิ่น

    ไม่เพียงเท่านั้น ร่างนโยบายยังเสนอให้เว็บไซต์และแอพพลิเคชั่น อี-คอมเมิร์ซทั้งหมดในอินเดียต้องขึ้นทะเบียนในประเทศ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสของค้าปลีกออนไลน์ และป้องกันปัญหาการขายสินค้าปลอม หรือละเมิดลิขสิทธิ์

    ร่างนโยบายล่าสุดนั้นเป็นหนึ่งในความพยายามติดปีกให้อี-คอมเมิร์ซสัญชาติอินเดีย ซึ่งจะเป็นหนึ่งในแกนหลักช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล

    ในช่วงที่ผ่านมานั้น อินเดียต้องการส่งเสริมความเป็นผู้ประกอบการ ด้วยการปั้นธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงสตาร์ทอัพให้มีความแข็งแกร่งจนไปแข่งขันกับเอกชนต่างชาติได้ เห็นได้จากการเปิดตัวแผนยุทธศาสตร์ นโยบาย และโครงการริเริ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดิจิทัล อินเดีย (Digital India) สกิล อินเดีย (Skill India) สตาร์ทอัพ อินเดีย (Startup India) และโครงการสมาร์ทซิตี้ (Smart Cities Mission)

    แม้ตอนนี้อี-คอมเมิร์ซอินเดียถือว่ายังอยู่ในช่วงตั้งไข่ ซึ่งยังคิดเป็นสัดส่วนเพียง 3% ของตลาดค้าปลีกมูลค่า 8.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 26 ล้านล้านบาท) แต่ก็มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง โดยตลาดอี-คอมเมิร์ซอินเดียคาดว่าจะมีมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 6.2 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2026 จากเพียง 3.85 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.2 ล้านล้านบาท) เมื่อปี 2017 และจะขยายตัวต่อเนื่องขึ้นแท่นตลาดอี-คอมเมิร์ซขนาดใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลกภายในปี 2034 ตามคาดการณ์ของ India Brand Equity Foundation (IBEF) หน่วยงาน ส่งเสริมแบรนด์อินเดีย สังกัดกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมอินเดีย

    อย่างไรก็ดี ตราบใดที่ต่างชาติยังสยายปีกแผ่อิทธิพลเข้ามาในประเทศ คงเป็นเรื่องยากที่ธุรกิจท้องถิ่นจะผงาดขึ้นมาได้ และอี-คอมเมิร์ซ ก็เป็นตัวอย่างชัดเจนที่บ่งชี้ถึงอิทธิพลของเอกชนต่างชาติ

    ถึงความเฟื่องฟูของธุรกิจ อี-คอมเมิร์ซนั้น ส่วนใหญ่มาจากการ ที่คนอินเดียรุ่นใหม่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนมากขึ้น แต่อีกส่วนก็มาจากนโยบายเปิดรับการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (เอฟดีไอ) ของรัฐบาล โดยเมื่อปี 2016 อินเดียอนุญาต ให้เอกชนต่างชาติเข้ามาลงทุนในอี-คอมเมิร์ซแบบ B2B ได้ 100%

    แม้การเปิดกว้างการลงทุนแบบ B2B จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินจากค้าปลีกและอี-คอมเมิร์ซต่างชาติ อย่าง แอมะซอน และวอลมาร์ท แต่ก็ไม่ได้ช่วยส่งเสริมอี-คอมเมิร์ซท้องถิ่นได้อย่างที่รัฐบาลคาดหวังไว้ สะท้อนออกมาจากการที่ยักษ์อี-คอมเมิร์ซ 2 แห่ง ของอินเดียเป็นต่างชาติ ที่ครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันถึง 60%

    "ฟลิปคาร์ท" (Flipkart) ถือเป็นเบอร์ 1 ในตลาดตอนนี้ ซึ่งเดิม ฟลิปคาร์ทเป็นอี-คอมเมิร์ซอินเดีย แต่ก็เพิ่งถูกวอลมาร์ทยักษ์ค้าปลีกสหรัฐ ซื้อหุ้นไป 77% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 5 แสนล้านบาท) เมื่อเดือน ส.ค. 2018

    แม้ฟลิปคาร์ทและวอลมาร์ทยังคงดำเนินงานแยกจากกัน แต่การเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวทำให้วอลมาร์ทกลายเป็น ผู้เล่นหลักในตลาดอี-คอมเมิร์ซอินเดีย และใช้ฟลิปคาร์ทช่วยขยายฐานผู้ใช้และกระจายสินค้าของบริษัท

    ส่วนผู้เล่นเบอร์ 2 ในตลาดคือ "แอมะซอน" ซึ่งปักหมุดลงทุนอินเดีย เพื่อหวังใช้เป็นฐานรายได้ใหญ่ในเอเชีย โดยเมื่อปีที่แล้วนั้น แอมะซอนวางแผนลงทุนในอินเดีย 5,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.5 แสนล้านบาท) ภายในเวลา 5 ปี และมีแผนแตกไลน์ธุรกิจออกไปสู่ด้านอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

    ด้วยเหตุนี้เมื่อปลายปี 2018 อินเดียจึงออกกฎคุมเข้มอี-คอมเมิร์ซต่างชาติอีก โดยไม่อนุญาตให้ต่างชาติลงทุนในอี-คอมเมิร์ซแบบ B2C ห้ามเป็นเจ้าของหรือควบคุมคลังจำหน่ายสินค้า รวมถึงกรณีที่สินค้าบนแพลตฟอร์มเกิน 25% มาจากผู้ขายเพียงรายเดียวหรือกลุ่มบริษัทเดียว

    ไม่เพียงเท่านั้น ยังห้าม อี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ทำข้อตกลงขายสินค้าราคาพิเศษกับผู้ขาย หรือออก โปรโมชั่นลดกระหน่ำสินค้าให้ผู้บริโภค จนไปตัดราคาขายของผู้ค้ารายย่อย

    แม้หลายฝ่ายมองว่า กฎที่ว่า อาจทำให้ฟลิปคาร์ทและแอมะซอน ต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจไปบ้าง แต่ก็ยังไม่สะเทือนสถานะเจ้าตลาด

    การหันมาคุมเข้มเรื่องข้อมูล จึงเป็นความพยายามอีกแรงของรัฐบาล เพื่อผลักดันความฝันให้แบรนด์ธุรกิจอินเดียผงาดในระดับโลก และสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่เป็นการ "Make In India" อย่างแท้จริง

    โดย นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์

    Source: Posttoday
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Mar 1) เงินเฟ้อ ก.พ.เพิ่มร้อยละ 0.73 : กระทรวงพาณิชย์เผยอัตราเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ 62 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.73 เหตุน้ำมันขยับขึ้น แต่ขอรอดูไตรมาสแรกก่อน

    น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป หรืออัตราเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ว่่า ยังคงขยายตัวสูงขึ้นเป็นเดือนที่ 6 บวกร้อยละ 0.73 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 20

    สำหรับสาเหตุที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 สูงขึ้นมาจากกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศมีแนวโน้นเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์สูงขึ้นร้อยละ 1.89 เช่น ข้าวแป้ง ข้าวถุงและผลิตภัณฑ์จากแป้งร้อยละ 5.15 และกลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำสูงขึ้นร้อยละ 4.05 ขณะนี้สินค้าเกษตรประเภทผักสด ผลไม้ปรับเพิ่มขึ้นและลดลงบางตัวเป็นไปตามฤดูกาล

    อย่างไรก็ตาม แม้อัตราเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์สูงขึ้นในอัตราที่ลดลง ถือว่าไม่น่ากังวลอัตราการขยายตัวด้านเศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง รวมถึงการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนยังดีไม่ได้หยุดนิ่ง แนวโน้มราคาน้ำมันอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยเงินเฟ้อ 2 เดือนแรกปี 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.49 ถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง ดังนั้น คาดว่าอัตราเงินเฟ้อไตรมาสแรกปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.67 แม้จะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และไตรมาส 2 อยู่ที่ร้อยละ 0.98 ไตรมาส 3 อยู่ที่ร้อย 1.27 และไตรมาส 4 อยู่ที่ร้อยละ 1.81

    ทั้งนี้ จะขอรอดูไตรมาสแรกออกมาก่อน และมีหลายปัจจัยที่ส่งผลอาจต้องให้มีการปรับอัตราเงินเฟ้อปีนี้ใหม่ แต่โดยรวมไม่น่าจะตกใจหรือกังวลอะไรไปมาก ดังนั้น ตอนนี้กระทรวงพาณิชย์ยังคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2562 จะอยู่ที่ร้อยละ 0.7-1.7 โดยน้ำหนักค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อทั้งปีน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.2 โดยสมมติฐานคาดการณ์จีดีพีของประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.5-4.5 ราคาน้ำมันเฉลี่ย 70-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยน 32.5-33.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น

    XTdCEGWhqFKR6s0AwaEsb1zLt9y9LSj-XYhJK15V7gYIpY-qFzhMqsDgJJDfJA_i8Z4MDVJQ&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg

    UQUiFyzFRxGmpOJ8H3Gja0HeJYuvTKcWJxqZhhYWFo7LkyJSSCaARsX0xijO0ZRWZo1L2C4w&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    RfMV8s-z5Cu17IDwc4w00PTWhh80mg5_dmAF8hzdBRDdEcwQGPOJhrOHNbeZGfTdoTkDr3EA&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg

    Source: สำนักข่าวไทย

    เอการการแถลงข่าว
    http://www.price.moc.go.th/price/fi..._p3DNac2aOmTH29nDNJQD_qDsRNAKn82hrVdY5bpqVYuY
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    CYipondnmmLxXXc_QoI0bT-MpCwg6ckOVGd3aV6asJVL28nNcrxvrm-zAXKCHl12e-DBmJcw&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg

    (Mar 1) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ก.พ. 2019 อยู่ที่ 0.73% เร่งขึ้นตามราคาอาหารสดเป็นสำคัญ : อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 0.73%YOY เร่งขึ้นจาก 0.27%YOY ในเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป 2 เดือนแรกของปี 2019 เพิ่มขึ้นที่ 0.49%YOY ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.60%YOY ชะลอลงจาก 0.69%YOY ในเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน 2 เดือนแรกของปี 2019 อยู่ที่ระดับ 0.64%YOY

    อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าตามราคาอาหารสดเป็นสำคัญ โดยดัชนีราคาหมวดอาหารสดปรับเพิ่มขึ้นที่ 2.64%YOY ตามราคาข้าว-แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง และเนื้อสัตว์ ขณะที่ราคาผักผลไม้ยังลดลงที่ -1.52%YOY แต่เป็นการปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ราคาลดลง -4.36%YOY เนื่องจากปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดมากขึ้น สอดคล้องกับตัวเลขดัชนีผลผลิตการเกษตรในเดือนกุมภาพันธ์ที่เพิ่มขึ้น 3.27%YOY ในส่วนของดัชนีราคาพลังงานยังติดลบต่อเนื่องที่ -0.9%YOY แต่เป็นการติดลบน้อยลงจากเดือนก่อนหน้าที่ลดลงถึง -3.51% เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวดีขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา (ราคาน้ำมันดิบ Brent เฉลี่ยเดือน ก.พ. อยู่ที่ 64.13 เทียบกับเดือน ม.ค. ที่อยู่ที่ 59.27 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล)

    สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีทิศทางชะลอลงจากราคาอาหารสำเร็จรูป และค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลที่อยู่ที่ระดับ 1.29%YOY และ 0.31%YOY ชะลอลงจาก 1.49%YOY และ 0.73%YOY ในเดือนก่อนหน้า ตามลำดับ

    Implication:
    - อีไอซีประมาณการ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2019 อยู่ที่ 1.0% ปรับลดลงเล็กน้อยจาก ปี 2018 ที่ 1.07%YOY โดยมีปัจจัยหลักจากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกปี 2019 ที่คาดว่าจะมีทิศทางลดลงจากปีก่อนหน้า ซึ่งอีไอซีคาดว่าราคาน้ำมันดิบ Brent ปี 2019 จะลดลงประมาณ 7% (คาดว่าราคาเฉลี่ยปี 2019 จะอยู่ที่ 66 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาเรล ลดลงจากราคาเฉลี่ยปี 2018 ที่ 71 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาเรล) ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของปี 2019 คาดว่าจะอยู่ที่ 0.8% ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจาก 0.71% ในปีก่อนหน้า ตามการบริโภคและการลงทุนในประเทศที่คาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้รายได้แรงงานยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากทั้งในส่วนของค่าจ้างและรายได้ภาคเกษตร โดยจากข้อมูลล่าสุด ค่าจ้างแรงงานนอกภาคเกษตรในเดือนมกราคมขยายตัวได้ที่ 1.58%YOY ขณะที่รายได้ของเกษตรกรในช่วง 2 เดือนแรกปรับเพิ่มขึ้นที่ 4.81%YTD ซึ่งมีสาเหตุจากผลผลิตเกษตรที่ขยายตัวได้ดี รวมถึงราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทั้งนี้หากจะให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 1% ในช่วงที่เหลือของปี อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยแต่ละเดือนจะต้องอยู่ที่ระดับ 1.1% ซึ่งจากการประเมินพบว่า มีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของทั้งปี 2019 อาจมีระดับต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ 1% โดยอีไอซีจะทำการทบทวนคาดการณ์เงินเฟ้ออย่างละเอียดในช่วงเดือนต่อไป
    - อัตราเงินเฟ้อในช่วงต้นปีที่อยู่ในระดับต่ำ อาจส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2019 ให้มีค่าต่ำกว่ากรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน ซึ่งจะเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะต่อไป โดยหากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอยู่ต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินที่ 1% ก็จะเป็นความท้าทายต่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในการสื่อสารและอธิบายเหตุผลของการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม ภายใต้การดำเนินนโยบายการเงินในรูปแบบเป้าหมายเงินเฟ้อ ดังนั้น อีไอซีจึงประเมินว่า กนง. จะดำเนินนโยบายการเงินโดยพิจารณาพัฒนาการของข้อมูลเศรษฐกิจเป็นสำคัญ (data dependent) และมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้อีก 1 ครั้งในปี 2019 แต่จะขึ้นอยู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะต่อไปเป็นสำคัญ

    โดย พนันดร อรุณีนิรมาน และ จิรายุ โพธิราช
    Source: Economic Intelligence Center (EIC)
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    biznews.com%2Fimage%2Fmedia%2Fimage%2Fnews%2F2019%2F03%2F01%2F828397%2F750x422_828397_1551425034.png

    (Mar 1) 'ธปท.' เปิด 4 ปัจจัย หนุน'นักท่องเที่ยวจีน'ฟื้นเร็ว : “แบงก์ชาติ” เผยนักท่องเที่ยวจีนในเชียงใหม่ฟื้นตัวเร็ว หลังเหตุการณ์เรือล่มฉุดยอดนักท่องเที่ยวดิ่ง ทั้งมีเส้นทางบินตรงมาก มีโปรไฟไหม้กระตุ้น แถมค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวต่ำสุด

    ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สรุปสถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนครึ่งปีหลัง 2561 หลัง หลังเหตุการณ์เรือล่มที่ จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2561 นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาประเทศไทยลดลงต่อเนื่องเป็นเวลา 5 เดือน (ก.ค.–พ.ย. 61) อย่างไรก็ตาม จ.เชียงใหม่ ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามา จ.เชียงใหม่ หดตัวเพียง 2 เดือน คือ ก.ย.-ต.ค. 2561 หลังจากนั้นก็กลับมาขยายตัวสูง 38% ในขณะที่ภูเก็ตและกระบี่ยังหดตัวอยู่ สาเหตุที่นักท่องเที่ยวจีนมาเชียงใหม่ฟื้นตัวเร็ว มาจาก 1.โครงสร้างนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่ม FIT 80% สูงกว่าของประเทศที่ 60% ซึ่งกลุ่ม FIT ส่วนใหญ่อายุน้อย 21-30 ปี ตัดสินใจเร็ว หาข้อมูลท่องเที่ยวผ่าน application ทำให้รู้ว่า จ.เชียงใหม่ มีความปลอดภัยจึงตัดสินใจเข้ามาเที่ยว ทำให้ฟื้นตัวเร็ว

    2.เปิดเส้นทางบินตรงกับจีนต่อเนื่อง ปัจจุบันเชื่อมกับ 16 เมือง ล่าสุดต้นเดือน ธ.ค. 2561 เปิดเพิ่มอีก 2 เส้นทาง คือปักกิ่งและหนานชาง ทำให้เดินทางสะดวก ปัจจุบันสนามบินเริ่มมีข้อจำกัดด้าน capacity ทำให้บางส่วนกระจายตัวไปลงที่ จ.เชียงราย เพิ่มขึ้น

    3.มีตั๋วเครื่องบินราคาถูกออกมาขาย หรือรู้จักในชื่อ “โปรไฟไหม้” ในช่วงที่ลูกค้าทัวร์ลดลงบริษัททัวร์จะนำตั๋วเครื่องบินที่จองไว้ออกมาขายในราคาถูก ซึ่งกลุ่ม FIT จะเข้ามาทดแทนอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การแข่งขันของสายการบินทำให้ค่าตั๋วถูกลง

    4.ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวต่ำสุด โดย survey ของ priceoftravel สำรวจ 137 เมือง จ.เชียงใหม่ ติด 1 ใน 10 เมือง ที่มีค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวต่ำที่สุด เทียบกับเมืองยอดฮิตอย่างโตเกียวและโซลแล้ว ต่ำกว่าถึง 2.5 และ 1.5 เท่า รวมทั้ง Ctrip ให้เชียงใหม่ติด 1 ใน 10 เมืองที่ชาวจีนชื่นชอบบรรยากาศท่องเที่ยวแบบ slow life รวมทั้งอาหารและวัฒนธรรมที่น่าประทับใจ

    สำหรับ แนวโน้มนักท่องเที่ยวจีนใน จ.เชียงใหม่ คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้ามา จ.เชียงใหม่ต่อเนื่อง ช่วงตรุษจีนที่ผ่านมาไทยเป็นปลายทางอันดับ 1 ของจีน จำนวนนักท่องเที่ยวจีนใน จ.เชียงใหม่ ขยายตัวสูงตามที่ผู้ประกอบการคาดไว้ ในระยะต่อไปยังมีปัจจัยบวกอื่นๆ เช่น จำนวนพาสปอร์ตจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ปัจจุบันคนจีนมีพาสปอร์ตเพียง 10% ของประชากร การยกเว้นค่าธรรมเนียม Visa on Arrival และ การพัฒนา Thai e-Visa จะช่วยให้คนจีนขอวีซ่าได้ง่ายขึ้น

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/828397
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    .com%2Fresources%2Fimg%2Feditorial%2F2019%2F01%2F24%2F105696772-1548315171803richardyu.1910x1000.jpg
    (Mar 1) 'หัวเว่ย'ซื้อโฆษณาเต็มหน้า ในนสพ.ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ: บริษัทหัวเว่ยซื้อโฆษณาเต็มหน้าในหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐหลายฉบับ เรียกร้องชาวอเมริกัน “อย่าเชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน” หลังก่อนหน้านั้นไม่นานผู้ก่อตั้งบริษัทยอมให้สัมภาษณ์กับสื่อตะวันตกเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1 มี.ค.ว่าบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี ผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของโลกจากจีน ซื้อโฆษณาเต็มหน้าในหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐหลายฉบับ เมื่อวันพฤหัสบดี ที่รวมถึง “เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส” “เดอะ วอชิงตัน โพสต์” “เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล” และ “ยูเอสเอ ทูเดย์” โดยข้อความโฆษณาที่ตีพิมพ์เหมือนกันทั้งหมด คือ “อย่าเชื่อในทุกสิ่งที่คุณได้ยิน” และศูนย์การเรียนรู้ของหัวเว่ยทุกแห่งในสหรัฐยินดีต้อนรับผู้ที่สนใจให้มาศึกษาเรื่องราวและพัฒนาการของบริษัทด้วยตัวเอง

    นอกจากนี้ เนื้อความของโฆษณายังระบุอย่างตรงไปตรงมาว่า “รัฐบาลสหรัฐได้พัฒนากรอบความรู้ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับหัวเว่ยให้ชาวอเมริกันรับทราบมาโดยตลอด” และมีการลงนามโดยนางแคทเธอรีน ชาน รองประธานอาวุโสของหัวเว่ยด้วย โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นราว 1 เดือน หลังการให้สัมภาษณ์กับสื่อตะวันตกครั้งแรกในรอบหลายปีของนายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งหัวเว่ย ที่สถานีโทรทัศน์หลายแห่งทั้งบีบีซีของสหราชอาณาจักร และซีบีเอสของสหรัฐ ออกอากาศบทสัมภาษณ์แบบเต็มที่มีความยาวประมาณครึ่งชั่วโมง โดยนายเหรินกล่าวถึงคดีความของบุตรสาและทายาทคนโต คือน.ส.เมิ่ง หว่านโจว ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่แคนาดาตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว และมีกำหนดขึ้นศาลที่เมืองแวนคูเวอร์ในวันที่ 6 มี.ค.นี้ ที่ผู้พิพากษาจะพิจารณาคำร้องของรัฐบาลวอชิงตัน ขอให้มีการส่งตัวเธอในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ฐานละเมิดกฎหมายเรื่องการคว่ำบาตรอิหร่าน ว่าเป็น “คดีการเมือง” และประกาศอย่างชัดเจนว่า “สหรัฐไม่มีทางทำลายหัวเว่ยได้”

    Source: เดลินิวส์ออนไลน์
    - Huawei takes out full-page WSJ ad: 'Don't believe everything you hear' :
    https://www.cnbc.com/2019/02/28/hua...mBzA9Rt7QDeTt1Z9ZUVNz_KH0MRm5tfMDZ_FXQI1RxQgU
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    ces%2Fimg%2Feditorial%2F2019%2F03%2F01%2F105768516-1551412051363gettyimages-1052377394.1910x1000.jpg

    (Mar 1) สหรัฐ-เกาหลีเหนือ เหลวจรดดีลประวัติศาสตร์
    สองผู้นำสหรัฐและเกาหลี เหนือเหลวทำข้อตกลงปลดอาวุธนิวเคลียร์สู่การสร้างสันติภาพคาบสมุทรเกาหลี

    การประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 ที่ทั่วโลกจับตามอง ระหว่าง "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐ และ "คิมจองอึน" ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ต้องจบลงอย่างกะทันหันวานนี้ โดยทรัมป์ได้ "วอล์กเอาต์" ออกจากการเจรจากับคิมทันที ทั้งที่สองประเทศยังไม่มีการบรรลุข้อ ตกลงใดๆ

    ความล้มเหลวดังกล่าวนับว่าผิดไปจากคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่มองว่า ซัมมิตครั้งนี้น่าจะมีความคืบหน้าด้านการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น

    ทรัมป์เดินออกจากโต๊ะเจรจาทันทีที่รู้ว่า ผู้นำเกาหลีเหนือไม่เห็นด้วยเรื่อง "การล้มโครงการนิวเคลียร์" ตามความต้องการของสหรัฐ โดยคิมเสนอเพียงแค่ว่าจะปิดโรงงานนิวเคลียร์ที่เมืองยองเบียน ซึ่งเป็นศูนย์ผลิตและวิจัยที่สำคัญของโครงการนิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือ เพื่อแลกกับการให้สหรัฐยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือทั้งหมด ซึ่งนั่นนับเป็นสิ่งที่ทรัมป์เห็นว่า สหรัฐไม่มีทางทำตามคำเรียกร้องเช่นนี้ได้

    ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ ระบุว่า ข้อเสนอของเกาหลีเหนือที่จะปิดโรงงานนิวเคลียร์ในเมืองยองเบียนนั้นไม่เพียงพอ เพราะหากปิดโรงงานแห่งนี้ขึ้นจริง แต่เกาหลีเหนือก็ยังคงมีขีปนาวุธและอาวุธสงครามอื่นๆ อยู่ ซึ่งสหรัฐไม่สามารถยอมรับได้

    การล้มซัมมิตของทรัมป์อย่างฉุก ละหุกเช่นนี้ ทำให้โปรแกรมเวลาทางการของเวทีเจรจาใหญ่ระดับโลกนั้นเกิดความวุ่นวายทั้งหมด จากเดิมที่ทำเนียบขาวแถลงก่อนหน้านี้ว่า ทรัมป์จะเข้าร่วมพิธีลงนามข้อตกลงร่วมกันกับผู้นำเกาหลีเหนือเวลา 14.00 น.วานนี้ แต่การเจรจากลับสิ้นสุดลงในเวลา 12.55 น. โดยทั้งทรัมป์และคิมกลับออกจากสถานที่ซัมมิตทันที โดยที่ไม่ได้รับประทานอาหารกลางวันร่วมกันตามแผนที่วางไว้

    ทรัมป์แถลงหลังซัมมิตต้องสิ้นสุดอย่างกะทันหันว่า การลงนามข้อตกลงใดๆ นั้นไม่เหมาะสมที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ แม้ว่าสหรัฐอยากที่จะยกเลิกคว่ำบาตรให้กับเกาหลีเหนือมากเพียงใดก็ตาม เพราะสหรัฐต้องการเห็นเกาหลีเหนือเป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น แต่ตัวเกาหลีเหนือเองควรที่จะยอมถอยมากกว่านี้

    ทั้งนี้ ทรัมป์ไม่ได้ให้คำมั่นว่าจะมีการซัมมิตกับคิมเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 แต่บอกเพียงว่าจะร่วมหารือกับผู้นำ ของเกาหลีใต้และญี่ปุ่นทันทีที่ออกจากกรุงฮานอย

    ด้าน คิม เปิดเผยว่า เกาหลีเหนือยินดีที่จะให้สหรัฐเข้ามาตั้งสำนักงาน ผู้แทนทางการทูตในกรุงเปียงยาง ซึ่งนับเป็นก้าวแรกของการปูทางไปสู่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระดับปกติระหว่างสหรัฐกับเกาหลี แม้ว่าซัมมิตในครั้งนี้จะไม่มีข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมใดๆ เกิดขึ้นเลยก็ตาม พร้อมระบุว่า เกาหลีเหนือยังคงเต็มใจและพร้อมที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์

    อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์ตัดสินใจวอล์กเอาต์ออกจากโต๊ะเจรจาทันทีที่ไม่ได้ข้อสรุปตรงใจ

    ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้เดินออกจากโต๊ะเจรจายุติภาวะชัตดาวน์ในสหรัฐกับผู้แทนจากพรรคเดโมแครต เนื่องจาก ไม่พอใจที่ไม่ได้รับอนุมัติงบสร้างกำแพงยักษ์กั้นพรมแดนสหรัฐและเม็กซิโก หรือแม้แต่ในเวทีระดับโลกอย่างที่ประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (จี7) ที่แคนาดา เมื่อปีที่ผ่านมา ทรัมป์ก็ได้วอล์กเอาต์หลังเห็นแย้งกับผู้นำหลายประเทศเรื่องการตั้งกำแพงภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐ

    ความพ่ายแพ้ของทรัมป์

    บีบีซี ระบุว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ จะถูกมองว่าเป็นหนึ่งในความพ่ายแพ้ของทรัมป์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าจะโน้มน้าวให้คิมยอมให้คำมั่นว่าจะปลดอาวุธนิวเคลียร์

    โจ ซิรินโชน ประธานมูลนิธิเพื่อสันติภาพเพลาแชร์ ฟันด์ เปิดเผยว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้นับเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ และแสดงให้เห็นขีดจำกัดของซัมมิตในครั้งนี้ ที่จัดขึ้นอย่างกะทันหันจนทำให้ไม่มีเวลาและคนที่เพียงพอจะจัดการกับข้อตกลงที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้

    อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลายรายเห็นพ้องว่า การที่ทรัมป์ตัดสินใจไม่ทำข้อตลงกับเกาหลีเหนืออาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในเวลานี้ โดย ชุนยุงอู อดีตผู้เจรจาต่อรองนิวเคลียร์ของเกาหลีใต้และประธานการประชุมอนาคตแห่งคาบสมุทรเกาหลี ระบุว่า ทรัมป์มีสิทธิที่จะไม่ลงนามข้อตกลงในครั้งนี้ หากมองว่าจะไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดี

    "การไม่มีข้อตกลงใดๆ นั้นย่อมดี กว่าข้อตกลงที่ทำไปแล้วไร้ค่า" ชุน กล่าว ซึ่งสอดคล้องกับ แฮร์รี คาเซียนิส ผู้อำนวยการด้านเกาหลีศึกษาของ สถานบันคลังปัญญาเนชันเนล อินเทอเรส ที่ระบุว่า การทำข้อตกลงโดยที่เกาหลี เหนือยอมถอยเพียงแค่เล็กน้อยเช่นนี้ อาจเป็นสิ่งที่เลวร้ายกว่าการไม่ได้ข้อตกลงใดๆ เลย

    เวียดนามฝันสลาย
    - พลาดหวังดันกรุงฮานอยขึ้นแท่น "เมืองสันติภาพ" เช่นเดียวกับ กรุงปารีส และนครเจนีวา
    - พลาดเป้าเสริมบทบาทเวียดนาม ในฐานะ "นักสร้างสันติภาพ" หลัง ติดหล่มการสู้รบยาวนานถึง 45 ปี
    - พลาดโอกาสยกระดับสถานะ บนเวทีโลก โดยหากเวียดนามทำสำเร็จ เสียงของเวียดนามจะมี น้ำหนักมากขึ้น และได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่น่าเชื่อถือ
    - พลาดการใช้ความสำเร็จจาก ซัมมิตทรัมป์-คิม โน้มน้าวให้สหรัฐมาช่วยถ่วงดุลจีนกรณีพิพาททะเล จีนใต้

    เกาหลีใต้อกหัก
    - ถ่วงการเปิดเผย "แผนใหม่ระบบปกครองบนคาบสมุทรเกาหลีเหนือ" ที่หวังเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
    - ถ่วงความคืบหน้าปลดนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ และการสร้างความมั่นคงปลอดภัยบนคาบสมุทรเกาหลี
    - ถ่วงความพยายาม "กลับมา รวมชาติ" ระหว่างสองเกาหลี
    - ถ่วงตลาดหุ้น โดยดัชนีคอสปิตลาดหุ้นเกาหลีใต้ร่วงหนัก 1.8% ระหว่างซื้อขายวานนี้ ต่ำสุดกว่า 4 เดือน

    โดย ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

    Source: Posttoday

    - South Korea may be the biggest loser in failed talks at the Trump-Kim summit :
    https://www.cnbc.com/2019/03/01/tru...UunBc-wOHwkxZBf7NmVjAzlIuDGT4SYRtt0SQxwZ3ZCuE
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    upload_2019-3-4_8-45-48.png

    (Mar 2) ธนาคารกลางอังกฤษแสดงความกังวลต่อตลาดพันธบัตรเสี่ยงต่อสถานการณ์ “Flash Crashes” : นาย Rohan Churm - Head of the Foreign Exchange Division ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) กล่าวแสดงความเห็นว่า การซื้อขายในตลาดพันธบัตรที่มีการเปลี่ยนไปใช้ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) รวมถึงทำธุรกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาพันธบัตรมีความผันผวนมากขึ้น โดยราคาพันธบัตรอาจปรับลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงภายในระยะเวลาอันสั้นหรือในลักษณะที่เรียกว่า “Flash Crashes” ได้บ่อยครั้งมากขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมา

    การลงทุนในตลาดพันธบัตรผ่านตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ขณะที่การซื้อขายหุ้นกู้ภาคเอกชนเกินกว่าครึ่งหนึ่งมีการดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยการทำธุรกรรมผ่าน Future และ ETFs ซึ่งสามารถทำธุรกรรมได้ง่ายและคล่องตัวเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดพันธบัตรเสี่ยงต่อสภาวะ “Flash Crashes” เหมือนที่เกิดขึ้นกับตลาดอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

    สถานการณ์ “Flash Crashes” เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้นในระยะหลัง โดยเฉพาะในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนที่สถานการณ์การดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยจนเกือบจะกลายเป็นสภาวะปกติ อาทิ การที่เงินฟรังก์สวิสอ่อนค่าลงกว่าร้อยละ 1 ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาทีเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา หรือการที่ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงอ่อนค่ากว่าร้อยละ 6 เมื่อ ต.ค. 2016 โดยไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด ขณะที่ในตลาดพันธบัตร สถานการณ์ “Flash Crashes” เคยเกิดขึ้นกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในปี 2014 โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับลง 16 bps ในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 15 นาที

    Source: BoTSS

    อ่าน speech
    https://www.bankofengland.co.uk/-/m...xEOQbytayTiqDBf25sBw0Jb6Yun2QFcP4fQmTCiNGb53o
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    safe_image.php?d=AQDG_cAg3rh9sIq5&w=540&h=282&url=https%3A%2F%2Fimages.wsj.jpg
    (Mar 2) อเมซอนเตรียมเปิดร้านสะดวกซื้อรูปแบบใหม่: สำนักพิมพ์ The Wall Street Journal รายงานว่า บริษัท Amazon Inc. มีแผนที่จะเปิดร้านสะดวกซื้อใหม่หลายสิบแห่งในหลายรัฐของสหรัฐฯ เพื่อขยายธุรกิจด้านสินค้าอาหาร นอกเหนือไปจากธุรกิจห่วงโซ่ร้าน Whole Foods Market โดยร้านสะดวกซื้อใหม่จะมุ่งเน้นไปที่รายการสินค้าที่แตกต่างออกไปและมีระดับราคาที่ต่ำกว่า

    นอกจากนี้ แหล่งข่าวระบุว่าบริษัท Amazon กำลังพิจารณากลยุทธ์การควบรวมห่วงโซ่ธุรกิจร้านสะดวกซื้อของภูมิภาคต่างๆ เพื่อขยายธุรกิจอีกด้วย

    ทางด้านนักวิเคราะห์เห็นว่าการขยายกิจการร้านค้ามากขึ้นของ Amazon สอดคล้องกับแนวโน้มและทิศทางของธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ในปัจจุบัน ที่พยายามจะผนวก e-commerce กับ physical store เข้าด้วยกัน เนื่องจากลูกค้าต้องการความหลากหลายในการซื้อสินค้าตามความสะดวกทั้งที่ร้านค้าหรือการสั่งซื้อออนไลน์ อนึ่ง คาดว่า Amazon จะสามารถเปิดร้านแรกได้ในรัฐ Los Angeles ช่วงปลายปีนี้ โดยได้เริ่มทำสัญญาเช่าพื้นที่แล้วในหลายที่ตั้ง

    Source: BoTSS

    -
    https://www.wsj.com/articles/amazon...XhBdTwuH18Vb8cAcDpJvNZx0EpiULbJW0vhzyv9HeoAU8
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    2&url=https%3A%2F%2Fbrandinside.asia%2Fwp-content%2Fuploads%2F2019%2F03%2Fshutterstock_789351622.jpg
    (Mar 2) ได้เวลาประกาศศึกค้าปลีก 7-Eleven บุกตลาดอินเดีย จับมือเชนท้องถิ่น เตรียมเปิดร้านแรกในปีนี้ : 7-Eleven เชนร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีจำนวนสาขามากถึง 67,00 แห่ง ล่าสุดพร้อมบุกตลาดอินเดียแล้ว โดยได้ร่วมมือในรูปแบบแฟรนไชส์กับ Future Group เชนร้านสะดวกซื้อยักษ์ใหญ่ในท้องถิ่น
    CNN รายงานว่า หลังจากการได้ทำสัญญากันเรียบร้อยแล้ว ชาวอินเดียน่าจะได้เห็นร้าน 7-Eleven สาขาแรกภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนั้น Future Group ยังบอกด้วยว่า จะทำการปรับโฉมร้านสะดวกซื้อที่มีอยู่แล้วบางแห่งให้กลายเป็นร้าน 7-Eleven

    ศึกค้าปลีก-อีคอมเมิร์ซในอินเดียกำลังแข่งเดือด

    ตัวเลขของอุตสาหกรรมร้านขายของสะดวกซื้อในอินเดียมีมูลค่าสูงถึง 3.8 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 12 ล้านล้านบาท) ถือเป็นมูลค่าที่สูงมาก และอีกส่วนคืออินเดียเป็นหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ (emerging market) ที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Amazon และ Walmart (รวมถึง Paytm ด้วย) ต่างก็บุกตลาดอีคอมเมิร์ซอินเดียอย่างหนัก และแม้ Walmart จะนำหน้าอยู่ (เพราะซื้อ Flipkart อีคอมเมิร์ซท้องถิ่นรายใหญ่มาแล้ว) แต่จนถึงวันนี้ต้องบอกว่า ยังต่อสู้กันอย่างรุนแรง เพราะการประสบความสำเร็จในอินเดียคือหมุดหมายสำคัญ

    โดยเฉพาะด้านของ Amazon หากชนะในตลาดอินเดียได้ อาจหมายถึงก้าวที่สำคัญในการบุกตลาดเอเชียอย่างเต็มตัว ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Amazon ลงทุนในตลาดอินเดียไปกว่า 5 พันล้านดอลลาร์เพื่อขยายกิจการ ส่วน Walmart มาเหนือกว่า เพราะซื้อ Flipkart ไปด้วยมูลค่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์

    โดย Thongchai Cholsiripong
    Source: Brandinside.asia
    https://brandinside.asia/7-eleven-india-future-group/
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    rces%2Fimg%2Feditorial%2F2018%2F09%2F11%2F105444539-1536687927488gettyimages-871894534.1910x1000.jpg

    (Mar 2) ทรัมป์ขอให้จีนยกเลิกภาษีสินค้าเกษตรสหรัฐทั้งหมดทันที : ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐเผยว่า ได้ขอให้จีนยกเลิกภาษีสินค้าเกษตรของสหรัฐทั้งหมดโดยทันที เพราะการเจรจาการค้าคืบหน้าไปด้วยดี และเขาก็ได้ชะลอการขึ้นภาษีสินค้าจีนตามที่รับปากไว้

    ประธานาธิบดีทรัมป์ทวีตเมื่อวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐว่า ได้ขอให้จีนยกเลิกการเก็บภาษีสินค้าเกษตรของสหรัฐทั้งหมดโดยทันที เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ว่าการเจรจาการค้ากำลังดำเนินไปด้วยดี และเขาก็ยังไม่ขึ้นภาษีสินค้าจีนจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 หลังพ้นวันที่ 1 มีนาคมตามที่รับปากไว้ เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเกษตรกรของสหรัฐและต่อตัวเขา

    เกษตรกรเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรครีพับลิกัน สงครามการค้ากับจีนส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพวกเขา เพราะปีที่แล้วจีนได้เก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าเกษตรหลายอย่างจากสหรัฐ เช่น ถั่วเหลือง ข้าวฟ่าง สุกร ทำให้ปริมาณสินค้าเกษตรส่งออกจากสหรัฐไปจีนลดลงมาก

    ผู้นำสหรัฐทวีตหลังเรื่องนี้จากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐแจ้งว่า จะชะลอการขึ้นภาษีสินค้าจีนมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.36 ล้านล้านบาท) จากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 เนื่องจากไม่สมควรที่จะขึ้นในเมื่อการเจรจาที่ดำเนินมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีก่อนมีความคืบหน้า ดังนั้นสินค้าจีนมูลค่าดังกล่าวจะยังคงเสียภาษีที่อัตราร้อยละ 10 ต่อไปจนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม ด้านจีนแถลงวันนี้แสดงความยินดีต่อประกาศดังกล่าว

    เดิมสหรัฐจะขึ้นภาษีจีนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม แต่ประธานาธิบดีและประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเห็นพ้องกันเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมว่าจะชะลอออกไป 90 วันนับจากวันที่ตกลงกัน ต่อมาผู้นำสหรัฐเผยเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วว่า จะเลื่อนเส้นตายออกไปจากวันที่ 1 มีนาคมเนื่องจากการเจรจามีความคืบหน้า

    Source: สำนักข่าวไทย
    -
    https://www.cnbc.com/2019/03/01/tru...PT4WZlE-kcbXin1Jul9gtPnF7iKrRoluGYw3F6Lm0PFLY
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    yOeuLMO-G5vijnxVxF59Pf4WRs44Rbh6Lw5Cn0Zu4FYkCBhWRcaytTZt6vbWpKc1ymt82Neg&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg

    (Mar 2) 'อาเซียน'ผ่อนปรนวีซ่า รับมือนักท่องเที่ยวจีน'ชะลอตัว’ :เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังตอบสนองภาวะขาลงของการท่องเที่ยวจากจีน ซึ่งเป็นแหล่งนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่สุด ของภูมิภาค ด้วยการนำเสนอมาตรการ ผ่อนปรนวีซ่าแก่ผู้มาเยือนจากประเทศต่างๆ ในยุโรป ละตินอเมริกา และพื้นที่อื่นๆ ในเอเชีย

    ประเทศไทย จุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับ 1 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 38 ล้านคนในปี 2561

    เมื่อเดือนม.ค. ที่ผ่านมา ไทยได้ขยายมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม 2,000 บาทในการขอวีซ่า ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมืองสำหรับนักท่องเที่ยวจาก 21 ประเทศและดินแดน รวมถึงจีน อินเดีย และซาอุดีอาระเบีย ไปจนถึงวันที่ 30 เม.ย.นี้ หลังจากเริ่มใช้มาตรการนี้เมื่อเดือนธ.ค.

    ขณะที่เวียดนาม เพิ่มรายชื่อ 35 ประเทศ รวมถึงบราซิล กาตาร์ และเบลเยียม ในกลุ่มสัญชาติที่สามารถเข้าประเทศด้วย วีซ่าออนไลน์ (อี-วีซ่า) เมื่อเดือนก.พ. ที่ผ่านมา สำนักข่าวซีจีทีเอ็นของทางการจีน รายงานว่า ทางการกัมพูชาประกาศว่า ในเร็วๆ นี้ จะออกวีซ่าที่ใช้เข้าประเทศได้หลายครั้งอายุ 3 ปี สำหรับนักเดินทางชาวจีนและเกาหลีใต้

    ปัจจุบัน การท่องเที่ยวมีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสนับสนุนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) 12% ในไทย และ 6% ในมาเลเซียเมื่อปี 2561 และ 16% ในกัมพูชาเมื่อปี 2560

    จำนวนนักเดินทางต่างชาติทั้งหมดที่ไปเยือน 6 ประเทศในภูมิภาคซึ่งมีการเปิดเผยข้อมูล ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ทะลุ 120 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว ในจำนวนนี้ 20% เป็นชาวจีน

    การท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่เฟื่องฟู ของจีน กลายเป็นตัวกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

    การผ่อนปรนวีซ่าในภูมิภาคนี้ตอกย้ำถึงความพยายามของประเทศต่างๆ ที่ต้องการพัฒนาตลาดแห่งใหม่และลดการพึ่งพาจีน และยังมีขึ้นในช่วงที่การเติบโตชะลอตัวลงหรือการลดลงฉับพลันของยอดนักท่องเที่ยวจีน ในบางประเทศ ในสิงคโปร์ ข้อมูลจากรัฐบาลที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 13 ก.พ. ชี้ว่า นักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศลดลง 3% ในเดือนธ.ค. เทียบกับปีก่อนหน้า นับเป็นการลดลงเดือนที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนมาเยือน ลดลง 12% ในเดือนพ.ย.

    แนวโน้มที่คล้ายกันนี้ยังปรากฏให้เห็นในประเทศอื่นๆ ของภูมิภาคด้วย อย่างในเวียดนาม นักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศลดลง 2% ในเดือนธ.ค. เทียบกับปีก่อนหน้า และลดลง 11% ในเดือนม.ค. ที่ผ่านมา ส่วนในไทย นักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศลดลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จนถึงเดือนพ.ย. 2561 ผลจากเหตุการณ์เรือโดยสารล่มในจ.ภูเก็ต เมื่อเดือนก.ค. 2561 ซึ่งมีชาวจีนเสียชีวิตจำนวนมาก

    ในจ.เชียงใหม่ ทางเหนือของไทยซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมมีโรงแรมขนาดเล็กหลายแห่งประกาศขายกิจการ นายหน้าอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่งเผยกับเว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียน รีวิวว่า หลายคนที่เปิดโรงแรม เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ต่างคาดว่าการเติบโตได้รับผลกระทบหนักจากยอดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศลดลงในปี 2561

    "ภาวะชะลอตัวของการเติบโตในจีน เงินหยวนที่อ่อนค่าลง และความเชื่อมั่น ผู้บริโภคที่ถดถอย อาจสร้างความเสียหายต่อการเดินทางออกนอกประเทศ" รายงานล่าสุดของเมย์แบงก์ กิมเอ็ง บริษัทหลักทรัพย์ ชื่อดังระบุ

    การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงจากตัวเลข 6.6% ในปีที่แล้ว ซึ่งอาจยิ่งสร้างความยากลำบากมากขึ้นให้กับ ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้

    รายงานของเมย์แบงก์ ชี้ว่า ภาวะขาลง ด้านการท่องเที่ยวที่เริ่มขยายวงของจีน หมายความว่ามีความเสี่ยงที่รัฐบางปักกิ่งอาจเพิ่มความเข้มงวดเรื่องการเดินทางและการใช้จ่ายในต่างประเทศ หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนขัดแย้งหนักขึ้น

    นอกจากนั้น ความเสี่ยงทางการเมืองถือเป็นอีกปัญหาหนึ่ง โดยรัฐบาลปักกิ่งประกาศเมื่อต้นเดือนก.พ. ว่า ได้เลื่อนโครงการรณรงค์ด้านการท่องเที่ยวในนิวซีแลนด์ ซึ่งชัดเจนว่าเพื่อตอบโต้ที่รัฐบาลนิวซีแลนด์ ขัดขวางไม่ให้ "หัวเว่ย เทคโนโลยีส์" ยักษ์ใหญ่ เทเลคอมของจีนเข้าตลาด 5จีท้องถิ่น

    ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนที่ไปเยือนเกาหลีใต้ ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งในปี 2560 เนื่องจากการคุมเข้มของรัฐบาลปักกิ่ง เพื่อตอบโต้ที่รัฐบาลโซล ติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐในประเทศ แม้จะมีภาวะขาลงของนักท่องเที่ยวจีน แต่นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวหลายคนคาดว่า แนวโน้มระยะยาวสำหรับอุตสาหกรรมนี้ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้น่าจะ "สดใส”

    คีธ ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) คณะกรรมการการท่องเที่ยวสิงคโปร์ (เอสทีบี) ยังคงมองในแง่บวกเกี่ยวกับจีน

    "เรายังคาดว่าจะมีความต้องการที่แข็งแกร่งสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศจากจีน โดยเฉพาะจากหัวเมืองรอง เนื่องจากการเดินทางทางอากาศระหว่างสิงคโปร์กับจีนมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น" ตันแถลงกับ สื่อมวลชนเมื่อกลางเดือนก.พ.

    ขณะเดียวกัน รายงานของเมย์แบงก์ยังมองในแง่ดีว่า ขณะนี้มีชาวจีนเพียง 9% ที่ไม่มีหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ซึ่งบ่งชี้ว่ายังมีโอกาสสำหรับการเติบโตอยู่มาก และยังได้อานิสงส์จากขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารในสนามบินที่เพิ่มขึ้น ทั้งในจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากตลาดหลายแห่ง เช่น อินเดีย และในระยะยาว ภูมิภาคนี้มีแนวโน้มที่จะมีฐานการท่องเที่ยวที่มาจากหลายภูมิภาคและลดการพึ่งพาจีนได้"เมย์แบงก์เผย

    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,299
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    DSCF8798.0.jpg

    (Mar 2) แห่ขนอุปกรณ์ 5จี ประชัน'โมบาย คองเกรส' : ในงาน โมบาย เวิลด์ คองเกรส (MWC) มหกรรมแสดงสินค้าสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ไฮเทคที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเพิ่งปิดฉากไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ที่เมือง บาร์เซโลนา ประเทศสเปน บรรดาบริษัทไอทีต่างขนความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีไปแสดงกันอย่างคับคั่ง

    "5จี" ยังคงเป็นดาวเด่นมาแรงของงาน ซึ่งบางประเทศ เช่น สหรัฐ และเกาหลีใต้ เตรียมเปิดให้บริการ 5จี เชิงพาณิชย์ภายในสิ้นปี 2019 และอีกหลายแห่งจะเริ่มใช้ในปี 2020

    การแสดงเทคโนโลยี 5จี ในปีนี้ถือได้ว่าแตกต่างไปจากปีก่อนหน้าอยู่ไม่น้อย เนื่องจากไม่ได้ชูจุดขายเรื่องประสิทธิภาพการเชื่อมต่อหรือความเร็วแต่เพียงอย่างเดียว แต่เน้นนำเสนอการเอา 5จีไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวันผู้บริโภคมากขึ้น สะท้อนออกมาจากการเปิดตัวอุปกรณ์หลากหลายประเภทที่รองรับ 5จีได้

    "สมาร์ทโฟน 5จี" คือตัวอย่างชัดเจนว่าเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงนี้กำลังเข้ามาใกล้ตัวผู้บริโภคมากขึ้นทุกที

    "หัวเว่ย" ยักษ์สมาร์ทโฟนสัญชาติจีน เปิดตัว Huawei Mate X สมาร์ทโฟน 5จี ก่อนงาน MWC เพียง 1 วันเท่านั้น โดยสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวไม่เพียงรองรับ 5จี แต่ยังเป็นสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้รุ่นแรกของบริษัท

    ก่อนหน้านี้ไม่ถึง 1 สัปดาห์ "ซัมซุง"ค่ายคู่แข่งจากเกาหลีใต้เพิ่งเปิดตัว สมาร์ทโฟน 5จี รุ่น กาแล็คซี่ เอส 10 พร้อมสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้รุ่น Samsung Galaxy Fold ที่สร้างความฮือฮาไป ทั่วโลก และคาดว่าจะมีเวอร์ชั่นที่รองรับ 5จี ด้วยเช่นกัน

    นอกจาก 2 ค่ายใหญ่แล้ว "เสี่ยวหมี่" บริษัทสมาร์ทโฟนมาแรงแดนมังกร เปิดตัว Mi Mix 3 เวอร์ชั่นรองรับเครือข่าย 5จี ได้ โดยมีราคาย่อมเยาเพียง 680 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.1 หมื่นบาท) เท่านั้น

    ด้าน "แอลจี" และ "ซีทีอี" เผยโฉมสมาร์ทโฟน 5จี รุ่นใหม่ภายในงานด้วยเช่นกัน ขณะที่บริษัทไอทีอื่นๆ อย่าง "วันพลัส""โซนี่" และ "ออปโป้" ก็เอาสมาร์ทโฟน 5จีตัวต้นแบบมาโชว์ก่อนจะเปิดตัวจริงภายในปีนี้

    อุปกรณ์ 5จี ในทุกอย่าง

    นอกจากสมาร์ทโฟนแล้ว 5จียังเข้าไปอยู่ในอุปกรณ์หลายอย่าง โดย ซีเอ็นเอ็นรายงานว่ามีทั้งระบบ 5จีภายในรถยนต์ โดรนดับเพลิง 5จี ระบบฟาร์มปลา 5จี และมีแม้กระทั่งถาดใส่อาหาร 5จี

    ตัวอย่างอุปกรณ์ 5จี สำหรับชีวิตประจำคือ HTC 5G Hub ซึ่งทำหน้าที่ เหมือนฮอตสปอตเชื่อม 5จี เข้ากับอุปกรณ์สารพัดอย่างได้ 20 อุปกรณ์

    สำหรับอีกหนึ่งความน่าตื่นตาของความก้าวหน้าด้าน 5จี คือ "การไลฟ์สดจากห้องผ่าตัดผ่าน 5จี" โดยทีมศัลยแพทย์จากโรงพยาบาล ฮอสพิทัล คลินิก บาร์เซโลนา ในสเปน ดำเนินการผ่าตัดเนื้อมะเร็งออกจากลำไส้ใหญ่ของผู้ป่วย ขณะที่ ดร.อันโตนิโอ มาเรีย เดอ ลาซี หัวหน้าทีมศัลยแพทย์คอยให้คำแนะนำการผ่าตัดผ่านวิดีโอไลฟ์สดบนเวทีงาน MWC

    "เมื่อผมลากเส้นที่ต้องผ่าตัดบนหน้าจอนี้ เส้นที่ว่าจะปรากฏบนหน้าจอในห้องผ่าตัดพร้อมกัน ก่อนมี 5จี เราต้องหยุดวิดีโอก่อน เพราะทำไปพร้อมกันไม่ได้" เดอ ลาซี กล่าว

    เดอ ลาซี เสริมว่า การมี 5จี จะช่วยให้การผ่าตัดหลายอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ จากเดิมที่ทำไม่ได้เพราะไม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำในห้องผ่าตัด ทำให้ช่วงที่ผ่านมาโรงพยาบาลทั่วโลกไม่สามารถดำเนินการผ่าตัดถึง 143 ล้านครั้งต่อปี

    คืบหน้าแต่ยังไม่พอ

    แม้ 5จี ที่มีความเร็วกว่า 4จีถึง 100 เท่า และเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมากมายได้อย่างไม่สะดุด ได้กลายเป็นจุดขายหลักของงาน MWC แต่หลายฝ่ายมองว่าการลงทุนใน 5จี ยังคงไม่เพียงพอ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการให้บริการ 5จีเต็มรูปแบบในอนาคต

    กรีนซิลล์ บริษัทให้บริการโซลูชั่นทางการเงินในอังกฤษ คาดการณ์ว่า การเดินหน้าให้บริการ 5จี เต็มรูปแบบจะต้องใช้เงินลงทุนทั้งหมด 2.7 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 85 ล้านล้านบาท) ภายในสิ้นปี 2020 โดยต้องลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 31 ล้านล้านบาท) และลงทุนอีกราว 9 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 2.8 ล้านล้านบาท) ในด้านอุปกรณ์และบริการไอโอที (IoT)

    ด้าน GSMA สมาคมผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือจากทั่วโลกเปิดเผยว่า การเดินหน้า 5จีในยุโรปต้องใช้เงินลงทุนราว 5.68 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 17 ล้านล้านบาท)

    โทนี วอนฟอร์ กรรมการผู้จัดการของ กรีนซิลล์ และผู้เชี่ยวชาญทางการเงินในธุรกิจโทรคมนาคม มองว่า งบการลงทุนใน 5จี จะเป็นจุดเริ่มต้นสู่ปัญหาใหญ่กว่าต่อไปในอนาคต เนื่องจากหลายบริษัทอาจไม่มีงบมากพอในการพัฒนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่างๆ ให้รองรับ 5จี

    ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

    Source: Posttoday

    เพิ่มเติม

    - All the 5G phones announced so far :https://www.theverge.com/2019/2/27/...11t6ppGtRffrzdjh8pansHUWXnaE76G_JZT5Up-aGzKeQ
     

แชร์หน้านี้

Loading...