ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วาติกันสะเทือน-ลูกขุนออสซี่เผยคำตัดสิน คาร์ดินัลคนสนิทโป๊ปผิดจริงข้อหาตุ๋ยเด็ก เผยแพร่: 26 ก.พ. 2562 20:39 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000002051301.jpg

    เอเจนซีส์ – พระราชาคณะจอร์จ เพลล์ หนึ่งในที่ปรึกษาใกล้ชิดของโป๊ปฟรานซิส ถูกตัดสินว่า มีความผิด 5 กระทงจากการล่วงละเมิดทางเพศเด็กชายวัย 13 ปีสองคนในออสเตรเลียเมื่อสองทศวรรษที่แล้ว ถือเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในคริสตจักรที่ถูกพิพากษาว่าผิดจริงในคดีตุ๋ยเด็ก

    คำตัดสินของคณะลูกขุนในคดีนี้ได้รับการเปิดเผยในวันอังคาร (26 ก.พ.) หลังจากศาลยกเลิกคำสั่งห้ามเผยแพร่รายละเอียดการพิจารณาคดีเพลล์ตั้งแต่ปีที่แล้ว ภายหลังยกฟ้องคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กคดีที่สอง

    ทั้งนี้ ภายหลังคณะลูกขุนในศาลเทศมณฑลวิกตอเรียในเมลเบิร์นระบุความผิดของเพลล์เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2018 สื่อต่างประเทศบางสำนักได้รายงานคำตัดสินในคดีนี้ ขณะที่สื่อออสเตรเลียลงข่าวนี้ในหน้าหนึ่งโดยระบุเพียงว่า ผู้มีชื่อเสียงในประเทศคนหนึ่งถูกตัดสินว่า มีความผิดข้อหาอาญาร้ายแรง เนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยรายละเอียดของคดี

    เพลล์ถูกตัดสินว่ามีความผิด 5 กระทงจากการล่วงละเมิดทางเพศเด็กชายวัย 13 ปี สองคนในคณะประสานเสียงเมื่อ 22 ปีที่แล้ว ในห้องเก็บเครื่องพิธีของบาทหลวงที่โบสถ์เซนต์แพทริกของเมลเบิร์น ที่เพลล์เป็นพระราชาคณะ โดยเหยื่อ 1 ใน 2 เสียชีวิตแล้วเมื่อปี 2014 จากการเสพยาเกินขนาด ซึ่งครอบครัวผู้เสียชีวิตกล่าวหาว่า เป็นผลจากความทุกข์ทรมานที่เขาได้รับจากการถูกล่วงละเมิด

    ความผิดแต่ละกระทงมีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี อย่างไรก็ตาม พอล กัลบอลลี ทนายความของเพลล์ยื่นอุทธรณ์คำตัดสิน ซึ่งหากศาลรับพิจารณาจะนำไปสู่การเปิดการไต่สวนใหม่

    เพลล์ซึ่งอยู่ระหว่างได้รับการประกันตัว เดินออกจากศาลเมื่อวันอังคารโดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ กับผู้สื่อข่าว โดยในวันพุธ (27 ก.พ.) เขาต้องเดินทางกลับไปฟังคำตัดสินอีกครั้ง ขณะที่เหยื่ออีกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ตะโกนบอกให้เพลล์ “ตกนรกหมกไหม้”

    หายนะของเจ้าหน้าที่อันดับ 3 ของวาติกันผู้นี้ ตอกย้ำกรณีอื้อฉาวการล่วงละเมิดทางเพศโดยนักบวชในคริสตศาสนาที่บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของคริสตจักรในอเมริกา ชิลี ออสเตรเลีย และอีกหลายประเทศตลอดช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา

    ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ (24 ก.พ.) พระสันตะปาปาฟรานซิสปิดประชุมว่าด้วยการล่วงละเมิดทางเพศด้วยการเรียกร้องให้คริสตจักรทั้งหมดร่วมกันยุติอาชญากรรมนี้ที่ “ควรถูกกำจัดให้หมดสิ้นไปจากโลก” ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่า วาติกันยังคงเชื่องช้าในการจัดการปัญหานี้ที่ลุกลามทั่วโลกและหยั่งรากมาหลายทศวรรษ

    เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา วาติกันประกาศว่า ฟรานซิสปลดเพลล์ วัย 77 ปี จากกลุ่มที่ปรึกษาใกล้ชิดโดยไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินคดีพระราชาคณะผู้นี้

    ขณะเดียวกัน วิทยาลัยเซนต์แพทริกส์ในบอลลารัตที่อยู่ห่างจากเมลเบิร์นประมาณ 120 กิโลเมตร ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของเพลล์ เผยว่า ได้ลบชื่อศิษย์เก่าผู้นี้จากอาคารหลังหนึ่ง รวมทั้งจะเพิกถอนสถานะ “บุคคลที่เป็นตำนาน” ของโรงเรียน และลบชื่อเพลล์จากบอร์ดเกียรติยศของวิทยาลัยหรือบอร์ดแสดงชื่อศิษย์เก่าที่บวชเป็นบาทหลวง เนื่องจากคำตัดสินของคณะลูกขุนบ่งชี้ว่า เพลล์ไม่มีคุณสมบัติที่สามารถเป็นแบบอย่างแก่นักเรียนได้

    เพลล์ที่ลาพักจากตำแหน่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจของวาติกันไม่มีกำหนดในปี 2016 เพื่อต่อสู้คดี ไม่ได้ถูกเรียกขึ้นให้การ แต่คณะขุนพิจารณาจากวิดีโอการสัมภาษณ์เพลล์โดยตำรวจออสเตรเลียในโรมเมื่อเดือนตุลาคม 2016 ซึ่งเพลล์ยืนกรานปฏิเสธข้อกล่าวหา รวมทั้งวิดีโอคำให้การแบบปิดลับของเหยื่อที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตาม คำให้การนี้ได้รับการเปิดเผยในการไต่สวนที่เปิดให้สาธารณชนร่วมฟังในเวลาต่อมา

    เหยื่อผู้นี้ระบุในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ผ่านทนายความส่วนตัวว่า เขาต้องอับอาย อ้างว้าง ซึมเศร้า และต่อสู้อย่างยากลำบากยาวนานหลายปีจนถึงบัดนี้ เช่นเดียวกับเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศคนอื่นๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ และกระบวนการทางกฎหมายที่ตึงเครียดนี้ “ยังไม่จบ”

    มาร์ก โคลริดจ์ ประธานที่ประชุมสังฆนายกแคทอลิกออสเตรเลีย กล่าวว่า การตัดสินความผิดของเพลล์ทำให้ผู้คนทั่วออสเตรเลียและทั่วโลกตกตะลึง พร้อมให้คำมั่นว่า จะทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้โบสถ์เป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและผู้อ่อนแอ

    ปี 2017 รัฐบาลออสเตรเลียเสร็จสิ้นการสอบสวนกรณีการล่วงละเมิดทางเพศเด็กในโบสถ์และสถาบันอื่นๆ ซึ่งรวมถึงสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า สโมสรกีฬา และโรงเรียน ท่ามกลางข้อกล่าวหาจากทั่วโลกว่า คริสตจักรปกป้องบาทหลวงที่ล่วงละเมิดเด็กโดยการย้ายออกนอกเขตศาสนาเดิม

    การสอบสวนดังกล่าวพบว่า บาทหลวงนิกายแคทอลิก 7% ในออสเตรเลียถูกกล่าวหาว่า ล่วงละเมิดทางเพศเด็กระหว่างปี 1950-2010 แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ถูกติดตามตัวมาดำเนินคดี และคริสตจักรแคทอลิกจ่ายค่าชดเชยให้เหยื่อหลายพันคนรวมเป็นเงินถึง 198 ล้านดอลลาร์นับจากปี 1980

    รายงานยังระบุว่า ในช่วง 35 ปีที่ผ่านมามีผู้เสียหายเกือบ 1,100 คนฟ้องร้องคริสตจักรนิกายแองกลิกัน นับจากนั้น รัฐและดินแดน 8 แห่งของออสเตรเลียได้ออกกฎหมายกำหนดให้บาทหลวงต้องเปิดเผยข้อมูลการล่วงละเมิดทางเพศที่ได้รับรู้จากการสารภาพบาป ทว่า คริสตจักรแคทอลิกในออสเตรเลียประกาศต่อต้านกฎหมายฉบับนี้

    https://mgronline.com/around/detail/9620000020053
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ลมพายุที่ไม่น่าเชื่อพร้อมกับลมกระโชกแรงสูงถึง 275 กม. / ชม. ที่หอดูดาว the Mt. Washington รัฐนิวแฮมป์เชียร์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ โดย SWE | เหตุการณ์ล่าสุด | 26 กุมภาพันธ์ 2019

    มีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นหอดูดาว the Mt. Washington
    ในรัฐนิวแฮมป์เชียร์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวานนี้วันที่ 26 กุมภาพันธ์ วาตภัยที่ไม่น่าเชื่อได้นำระเบียนใหม่ตลอดกาล ของเดือนกุมภาพันธ์ สำหรับสถานที่ซึ่งมีลมกระโชกแรงถึง 171 ไมล์ / 275 กม. / ชม. ที่น่ากลัว! ความเร็วเฉลี่ยตลอดทั้งวันคือ 110 mph = 177km / h!

    รูปแบบที่รองรับเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อนี้ มีลักษณะเป็นสันเขาที่แข็งแกร่ง ทางเหนือ/ทางตะวันตก สหรัฐอเมริกา ในขณะที่พายุไซโคลน กำลังพัดข้าม NE สหรัฐอเมริกา และแคนาดา สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดการไล่ระดับความกดดันอย่างรุนแรงระหว่างทั้งสองระบบ และทำให้เกิดกระแสลมแรงเจ็ท ทางตะวันตกเฉียงเหนือที่รุนแกร่ง เหนือภูมิภาค

    gfs_ow850_us_4.png-nggid048293-ngg0dyn-900x900x100-00f0w010c010r110f110r010t010.png

    gh500_20190226_00_000.jpg-nggid048294-ngg0dyn-900x900x100-00f0w010c010r110f110r010t010.jpg

    wind_850kph_20190226_00_000.jpg-nggid048295-ngg0dyn-900x900x100-00f0w010c010r110f110r010t010.jpg


    กราฟ 24 ชั่วโมงล่าสุดแสดงความเร็วลมเฉลี่ยสูงสุด 1 ชั่วโมงที่ 138 ไมล์ต่อชั่วโมง = 222 km / h ใช่ นั่นเท่ากับความรุนแรงของพายุเฮอริเคน ระดับ 4! ลมกระโชกแรงสูงสุดในเวลานั้นเป็นสิ่งที่น่าตกใจอย่างเหลือเชื่อ 171 mph = 275 km / h!
    ggkg.png-nggid048281-ngg0dyn-900x900x100-00f0w010c010r110f110r010t010.png
    นี่คือแผนภูมิ Hays เมื่อวานจากภูเขา หอดูดาววอชิงตันเผยให้เห็นแผนภาพลมพิเศษของเหตุการณ์ลมแรงนี้ สังเกตุว่าส่วนใดของกราฟ (4 ชั่วโมง) หลุดออกจากมาตราส่วน / แผนภูมิ!
    315734685_7530572735118835712_n.jpg-nggid048283-ngg0dyn-900x900x100-00f0w010c010r110f110r010t010.jpg

    An incredible windstorm with gusts up to 275 km/h at the Mt. Washington observatory, New Hampshire, United States on Feb 25th By SWE | Recent events | 26 February 2019

    An exceptional event occurred over the Mt. Washington observatory in the state of New Hampshire, United States yesterday, Feb 26th. An incredible windstorm has brought a new all-time February record for the location where the peak wind gusts reached an impressive 171 mph / 275 km/h! The average speed through the whole day was 110 mph = 177km /h!

    The pattern supporting such an incredible event was characterized by a strong ridge over the south/west US while a very deep trough/cyclone was traveling across the NE US and Canada. This resulted in the intense pressure gradient between both systems and brought a very strong northwesterly jet stream over the region.

    The last 24-hours graph reveals the highest 1-hour average wind speed was 138 mph = 222 km/h. Yes, that is equal to solid Category 4 hurricane strength! Peak gust in that time was an incredibly impressive 171 mph = 275 km/h!

    Here is yesterday’s Hays Chart from the Mt. Washington observatory, revealing an exceptional wind diagram of this extreme wind event. Notice how part of the graph (4 hours) has actually gone off the scale/chart!


    http://www.severe-weather.eu/recent-events/an-incredible-windstorm-with-gusts-up-to-275-km-h-at-the-mt-washington-observatory-new-hampshire-united-states-on-feb-25th/?fbclid=IwAR0ggb3GUO_5iSTTjm2bm96bXSUve4wTxiRdkwru8V-lz0VgxXbDJtdSlDI
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยังเอาไม่อยู่! ไฟป่าลำปางโผล่ทั้ง 7 อำเภอ หมอกควันฝุ่นพิษคลุมเมือง-“พะเยา” อ่วมด้วย เผยแพร่: 27 ก.พ. 2562 07:32 ปรับปรุง: 27 ก.พ. 2562 08:33 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000002085901.jpg

    ลำปาง/พะเยา - ไฟไหม้ป่าลำปางยังไม่ยุติ เจ้าหน้าที่สนธิกำลังดับทั้งทางภาคพื้นดินและทางอากาศต่อเนื่อง ขณะที่ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 พุ่งเกินมาตรฐานสูงเป็นอันดับหนึ่งของภาคเหนือ ส่วน “พะเยา” อ่วมด้วย

    562000002085906.jpg


    สถานการณ์ไฟป่าที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศลำปางยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องในพื้นที่ 7 อำเภอ คือ แม่พริก เถิน แม่ทะ เมืองลำปาง ห้างฉัตร แจ้ห่ม และวังเหนือ ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนต้องสนธิกำลัง ทั้งป่าไม้, เจ้าหน้าที่อุทยานฯ, ชุดดับไฟป่า, ทหาร มทบ.32 ตลอดจนชาวบ้านจิตอาสา เดินเท้าขึ้นเขาดับไฟที่ลุกไหม้-ทำแนวกันไฟทางภาคพื้นดิน ขณะที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็ต้องสนับสนุน ฮ.ตักน้ำขึ้นโปรยทางอากาศในจุดที่การเดินเท้าเข้าไม่ถึง

    562000002085907.jpg


    แต่จนถึงขณะนี้ (27 ก.พ.) ก็ยังไม่สามารถควบคุมไฟป่าให้ยุติลงได้ ส่งผลให้สภาพอากาศในตัวเมืองลำปางซึ่งเป็นพื้นที่แอ่งกระทะถูกปกคลุมด้วยหมอกควันไฟ ชาวบ้านต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยออกนอกบ้านเพื่อป้องกันฝุ่นละอองเข้าสู่ร่างกาย

    กรมควบคุมมลพิษรายงานคุณภาพอากาศ เมื่อเวลา 15.00 น. วานนี้ (26 ก.พ.) พบว่าค่าเฉลี่ยฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่ลำปางอยู่ในระดับสีส้ม คือเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพทั้ง 4 สถานีตรวจวัด และมีค่าสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของภาคเหนือ

    562000002085902.jpg


    พื้นที่ที่ค่า PM 2.5 สูงที่สุดคือ ต.แม่เมาะ วัดได้ 89 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร รองลงมาคือ ต.พระบาท วัดได้ 83 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร, ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ วัดได้ 75 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และ ต.สบป้าด อ.แม่เมาะ วัดได้ 53 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

    562000002085904.jpg


    พะเยาค่า PM 2.5 เพิ่มขึ้นสูง 82 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร 82 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพะเยา ได้จัดรถประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่ และติดป้ายประชาสัมพันธ์ “รณรงค์ 60 วันอันตราย ห้ามเผาเด็ดขาดทุกพื้นที่ 15 ก.พ.-15 เม.ย. 62” ตามประกาศของจังหวัดพะเยา ในพื้นที่ 9 อำเภอในจังหวัดพะเยา ตามโครงการประชาสัมพันธ์ป้องกันหมอกควันและไฟป่า กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 พะเยา เชียงราย แพร่ น่าน

    562000002085903.jpg


    562000002085905.jpg

    https://mgronline.com/local/detail/9620000020143
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    KTVL CBS 10 News, Medford

    ทางหลวง 101 ปิดที่ milepost 344, 12 ไมล์ทางเหนือของBrookings, โอเรกอน เนื่องจากการสไลด์ ขนาดใหญ่

    วิดีโอโดย Curry County Sheriff John Ward

    More here: https://bit.ly/2XnFhsQ
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นครสารออนไลน์

    250262 ### พายุถล่มซ้ำวันที่สอง อำเภอนาแก บ้านพังหลังคาปลิวว่อน นับ 10 หลัง นายอำเภอ ระดม เจ้าหน้าที่ ตรวจสอบ ช่วยเหลือ เตือนเฝ้าระวังเกิดซ้ำ
    ______________
    เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ อ.นาแก จ.นครพนม ได้เกิดพายุฤดูร้อน มีฝนตกหนักต่อเนื่อง นานนับชั่วโมง เป็นวันที่ 2 หลังจากเมื่อวานที่ผ่านมา ได้เกิดพายุฝนลูกเห็บตกลงมา แต่ไม่มีบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ส่วนวันนี้ ถือว่าได้รับผลกระทบหนัก มีบ้านเรือน ชาวบ้าน ในพื้นที่ ต.คำพี้ อ.นาแก จ.นครพนม ได้รับความเสียหาย ประมาณ 10 หลังคาเรือน บ้านเรือนชาวบ้าน ถูกพายุพัดหลังคาปลิวว่อน มีต้นไม้ เสาไฟฟ้า หักโค่น หลายจุด มีบ้านเรือนได้รับความเสียหายหนัก ประมาณ 5 หลัง หลังคาถูกพายุพัดพังเสียหาย เกือบทั้งหลัง
    ___ ภายหลังพายุสงบ ทางด้าน นายศรี ศรีพุทธรินทร์ นายอำเภอนาแก ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ ฝ่ายปกครอง ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานทหาร การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อ.นาแก รวมถึง ผู้นำชุมชนท้องถิ่น ลงพื้นที่ ตรวจสอบให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น ในการซ่อมแซม บ้านเรือน ที่ได้รับความเสียหาย พร้อมสำรวจเร่งให้การช่วยเหลือ ให้มีที่พักอาศัยชั่วคราว โดยจะมีการประสาน กำลังทหารช่าง รวมถึงเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานเกี่ยวข้อง เข้าไปดูแลช่วยเหลือ ทั้งงบประมาณ รวมถึงกำลังช่างในการซ่อมแซม ลดภาระค่าใช้จ่าย บางรายคาดว่าจะต้องใช้เงินซ่อมแซม นับแสนบาท เพราะเสียหายหนัก
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thai PBS ศูนย์ข่าวภาคใต้

    เกิดเหตุการณ์ ผู้ก่อเหตุไม่ต่ำกว่า 8 คน แต่งกายชุดดำ และชุดลายพรางคล้ายทหาร พร้อมอาวุธ บุกจับตำรวจภูธรเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส จำนวน 2 นาย อุ้มขึ้นกระบะส่วนตัวตำรวจ ออกจากร้านน้ำชา และพาไปฆ่าทิ้ง เมื่อคืนที่ผ่านมา ส่วนรถยนต์กระบะที่ใช้ก่อเหตุ พบถูกเผาทำลายหลักฐานที่อำเภอตากใบ รายละเอียดความคืบหน้า จะรายงานให้ทราบต่อไป #ThaiPBSศูนย์ข่าวภาคใต้
    VoXOZM3nJay3McnNFc04YSiDLKHkRUCkoc2s9F2rcrfq_dGf196GTS6OKYTYdDM_IW3XSKA&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ระอุ! อินเดียเผยเริ่มโจมตีปากีสถานเพื่อตอบโต้การวางระเบิดในแคว้นแคชเมียร์ กุมภาพันธ์ 27, 2019
    F819FB94-623E-4552-A3B5-4EDE7B1858B5_cx0_cy7_cw0_w1023_r1_s.jpg
    India celebrate airforce attack on Pakistan
    รัฐบาลอินเดียเปิดเผยว่า ได้เริิ่มการโจมตีทางอากาศใส่ฐานที่มั่นของกลุ่มติดอาวุธชาวมุสลิม Jaish-e-Mohammad ในปากีสถาน ซึ่งอ้างว่าอยู่เบื้องหลังการวางระเบิดฆ่าตัวตายติดรถยนต์ในแคว้นแคชเมียร์ ที่ทำให้มีทหารกองหนุนของอินเดียเสียชีวิต 40 คน เมื่อเกือบสองสัปดาห์ที่แล้ว

    ทางการอินเดีย ระบุว่า การโจมตีครั้งนี้ ทำให้มีสมาชิกกลุ่ม Jaish-e-Mohammad เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าจะยิ่งเป็นการเพิ่มความตึงเครียดระหว่างประเทศเพื่อนบ้านสองประเทศนี้

    รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย กล่าวว่า การโจมตีนี้เป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังปากีสถาน เนื่องจากมีรายงานว่ากลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้กำลังวางแผนโจมตีในแคชเมียร์อีกครั้ง

    ทางนายกรัฐมนตรี อิมราน คาน ของปากีสถาน ได้เรียกประชุมฉุกเฉินด้านความมั่นคงในวันอังคาร อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสลามาบัดมีแถลงการณ์ในเวลาต่อมา ยืนยันว่าไม่มีผู้เสียชีวิตจากการโจมตีดังกล่าว

    ทั้งอินเดียและปากีสถาน ต่างล้วนมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองทั้งคู่

    เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ทหารกองหนุนอย่างน้อย 40 คนของอินเดีย เสียชีวิตระหว่างการโจมตีที่แคว้นแคชเมียร์ โดยคนร้ายใช้รถยนต์บรรจุระเบิดพุ่งเข้าใส่ขบวนรถทหารราว 70 คัน ที่กำลังเดินทางอยู่บนถนนเส้นหลักใกล้กับเมืองศรีนาการ์ เมืองหลวงของแคว้นแคชเมียร์

    ถือเป็นเหตุการณ์โจมตีที่ทำให้มีทหารเสียชีวิตมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในแคชเมียร์

    เหตุการณ์โจมตีครั้งล่าสุดยิ่งทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างอินเดียกับปากีสถาน ซึ่งทางอินเดียกล่าวหาว่าให้ความสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธดังกล่าวให้ก่อเหตุในแคว้นแคชเมียร์

    แคว้นแคชเมียร์ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ถูกอ้างเป็นเขตปกครองโดยทั้งอินเดียและปากีสถาน ซึ่งกลุ่มติดอาวุธในแคว้นดังกล่าวต่างต้องการแยกตัวเป็นอิสระจากอินเดีย หรือเข้าร่วมกับปากีสถาน

    https://www.voathai.com/a/india-pak...UOFxm3a1nKAlujnSNvtQdEfDeXuFDucZfc6MU4-3zsXkc
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Smoke Watch

    รายงานการเกิดจุดความร้อนจากภาพถ่ายดาวเทียมในระบบ VIIRS ประจำวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562..พบพื้นที่ที่มีจำนวนจุด hotspotมากที่สุด 3 อันดับแรกได้แก่ พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ตาก และแม่ฮ่องสอน โดยมีจุดความร้อนเท่ากับ 232, 217 และ 167 ตามลำดับ

    hXsXpwZ61qJErcsAQu42pH3dLUa_cD9TevS8LjbffjCAsDqEyhAVVtLxQpeOorBZSz6oqFQ&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข่าวแผ่นดินไหวและภัยพิบัติที่ญี่ปุ่น โดย นร.เก่าญี่ปุ่น ได้แชร์โพสต์
    https://www3.nhk.or.jp/286edc01-44ec-4b0f-913f-a4830c67813c

    รัฐบาลญี่ปุ่นแจ้งเตือนโอกาสเป็นไปได้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวระดับ M7.0 ตามชายฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่นมากกว่า 90% ภายใน “30 ปี”
    5.JPG 6.JPG 7.JPG 8.jpg 9.jpg 9-29-696x435.jpg
    แอดย้ำ ตัวสุดท้ายนะคะ 30 ปี นั่นคือ คืนนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ ปีหน้า 10 ปีข้างหน้า หรือ อีก 30 ปี ก็ไม่มีใครรู้ค่ะ
    การออกการคาดการณ์นี้ เพื่อให้พี่น้องเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ ไม่ตื่นตูมนะคะ ^^

    https://www3.nhk.or.jp/nhkworld/en/...vtQwtXRzxZluNqzzR4tzG-ny-lQLB_0r1m1OCQ910hvOU
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2019
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Brenes



    #อินเดีย #กองกำลังดำเนินการโจมตีทางอากาศในค่ายนำโดยกลุ่มก่อการร้าย #jaish-e-mohammed ใน #ปากีสถาน การโจมตีเกิดขึ้นหลังจากการโจมตีฆ่าตัวตายบนขบวนรถทหารในอินเดียที่ฆ่าคนอย่างน้อย 40 คน #อินเดีย #ปากีสถาน
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    ps%3A%2F%2Fcdn.cnn.com%2Fcnnnext%2Fdam%2Fassets%2F190123091903-02-trump-pelosi-0123--super-tease.jpg
    (Feb 27) สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เตรียมผ่านมติยับยั้งการประกาศภาวะฉุกเฉินเรื่องความมั่นคงด้านชายแดนของทรัมป์: สำนักพิมพ์ The Wall Street Journal รายงานว่า สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เตรียมผ่านมติยับยั้งการประกาศภาวะฉุกเฉินเรื่องความมั่นคงด้านชายแดนของประธานาธิบดี Trump ที่ต้องการดึงงบประมาณด้านการทหารและจากส่วนอื่น มาใช้ในการสร้างกำแพงชายแดนสหรัฐฯ–เม็กซิโก

    ทั้งนี้ นาง Nancy Pelosi, House Speaker กล่าวว่า ประเด็นสำคัญคือเรื่องอำนาจรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ มิใช่เรื่องการสร้างกำแพง ซึ่งหากไม่ดำเนินการระงับการประกาศภาวะฉุกเฉินของประธานาธิบดี Trump จะถือว่าเป็นการละเลยต่อหน้าที่

    ทั้งนี้ เมื่อสภาผู้แทนฯ เห็นชอบ ข้อมติดังกล่าวยังต้องผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา ซึ่งในปัจจุบันมีสมาชิก ส.ว. จากพรรค Republican บางส่วนไม่เห็นด้วยกับการประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยเฉพาะ ส.ว. Lisa Murkowski ของรัฐ Alaska, ส.ว. Susan Collins ของรัฐ Maine และ ส.ว. Thom Tills ของรัฐ North Carolina ที่ยืนยันจะลงคะแนนยับยั้งการประกาศภาวะฉุกเฉิน

    อนึ่ง หากมติดังกล่าวสามารถผ่านวุฒิสภาได้ คาดว่าประธานาธิบดี Trump จะใช้อำนาจประธานาธิบดีในการ veto ซึ่งการที่รัฐสภาจะยับยั้งการ veto ได้ จะต้องอาศัย supermajorities หรือคะแนนเสียงมากกว่า 2 ใน 3 จากทั้งสองสภา ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน

    Source: BoTSS
    - https://edition.cnn.com/2019/02/26/...IabtI_qtPJhfbPBEZE0h-ruHHjXj1KodO6xEfbos1SDyA
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    =http%3A%2F%2Fcdn.24.co.za%2Ffiles%2FCms%2FGeneral%2Fd%2F6677%2F8de01fc32f5a4b88b2e905ec34131267.jpg

    (Feb 27) ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เตรียมเพิ่มมาตรการดูแลด้านสภาพคล่องเพื่อเตรียมรับมือกับความวุ่นวายจาก Brexit ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 29 มี.ค. 2019 : ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เตรียมปรับเพิ่มมาตรการดูแลด้านสภาพคล่องให้แก่ภาคการธนาคารในช่วงวันที่ 29 มี.ค. 2019 ซึ่งเป็นกำหนดการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการของสหราชอาณาจักร (Brexit) เพื่อป้องกันผลกระทบจากสถานการณ์ความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นจาก Brexit โดยธนาคารกลางอังกฤษจะปรับเพิ่มรอบของการปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำให้แก่ภาคธนาคารภายใต้มาตรการ Indexed Long-Term Repo (ILTR) จากรูปแบบรายเดือนเป็นรายสัปดาห์ โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 2019 เป็นต้นไป ซึ่งมาตรการดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับดูแลสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจภายใต้สถานการณ์ตึงเครียดและเคยถูกนำมาใช้ในช่วงการทำประชามติ Brexit เมื่อปี 2016

    นาย Mark Carney ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ กล่าวเตือนถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจหากสหราชอณาจักรถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปแบบไม่มีข้อตกลงหรือ no-deal Brexit โดยมองว่า no-deal Brexit จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรอ่อนแอลงอย่างแน่นอน และธนาคารกลางอังกฤษอาจต้องปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรในรายงานอัตราเงินเฟ้อเดือน พ.ค. 2019 ลงจากที่เคยประมาณการไว้ในรายงานเมื่อเดือน ก.พ. 2019 อย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังคงเน้นย้ำว่า ธนาคารกลางอังกฤษพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อดูแลเศรษฐกิจโดยรวมให้สามารถผ่านสถานการณ์ต่างๆ ไปได้อย่างราบรื่นเท่าที่จะเป็นไปได้ โดย นาย Carney เคยระบุว่า ภาคการเงินควรมีความสามารถในการทนทานต่อสถานการณ์ต่างๆ ไม่ใช่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นหรือเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา

    แม้ธนาคารกลางอังกฤษจะมีการเตรียมมาตรการเพื่อใช้สำหรับรับมือและดูแลให้ตลาดเงินผ่านพ้นสถานการณ์ต่างๆ ไปได้อย่างราบรื่นหากเกิดกรณี no-deal Brexit แต่ นาย Mark Carney ยังคงมีความกังวลต่อบริษัทสหราชอาณาจักร เนื่องจากบริษัทอาจประสบกับปัญหาขาดแคลนพื้นที่คลังเก็บสินค้าจนส่งผลให้แผนการกักตุนสินค้าของบริษัทที่ได้เตรียมการไว้อาจไม่เพียงพอต่อการรองรับกับสถานการณ์ความวุ่นวายที่อาจรุนแรงมากขึ้นได้

    ด้านนาย Gertjan Vlieghe - Monetary Policy Committee Member ธนาคารกลางอังกฤษ กล่าวแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ขณะที่ภาคธุรกิจต้องการความชัดเจนต่อประเด็น Brexit แต่ความแน่นอนจากการยอมถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปแบบไม่มีข้อตกลงหรือ no-deal Brexit จะส่งผลกระทบในเชิงลบอย่างรุนแรง ซึ่งหนทางเดียวที่จะทำให้ภาคธุรกิจมีความมั่นใจมากขึ้นคือการบอกถึงสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นว่าจะเป็นไปในทิศทางใด และให้เวลากับภาคธุรกิจได้เตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แต่ไม่ควรเปลี่ยนแปลงแนวทางต่างๆ ภายในชั่วข้ามคืน

    Source: BoTSS
    - https://m.fin24.com/Economy/World/b...YOLEnLnJHMPC2s8fDon5dZ9XXUGXonbW4jLKHykemY-Sc
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    safe_image.php?d=AQBw1KBeb0INnsPn&w=540&h=282&url=https%3A%2F%2Fs2.reutersmedia.jpg
    (Feb 27) Powell เน้นย้ำถึงกรอบการดำเนินนโยบายในลักษณะ data-dependent ประกอบการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย : คณะ Senate Banking Committee สรุปสาระสำคัญดังนี้
    1. ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และอัตราเงินเฟ้อ
    - นาย Powell คาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2018 ที่ระดับต่ำกว่าร้อยละ 3 เล็กน้อย เทียบกับร้อยละ 2.5 ในปี 2017 นำโดยการขยายตัวในส่วนของภาคการใช้จ่ายผู้บริโภค และภาคการลงทุน ท่ามกลางความเชื่อมั่นทั้งในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยเสริมจากนโยบายการคลังของรัฐบาล สำหรับในส่วนของข้อมูลทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ประกอบกับเหตุการณ์ partial government shutdown ในช่วงปลายปี ธนาคารกลางสหรัฐฯ มองว่าจะส่งผลเชิงลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไม่มากนัก และจะ unwind ภายในระยะหลายเดือนข้างหน้า อย่างไรก็ดี นาย Powell ระบุถึงปัจจัยความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป ได้แก่ financial condition ที่ตึงตัวมากขึ้น การชะลอของเศรษฐกิจในยุโรปและจีน รวมถึงความไม่แน่นอนในประเด็น Brexit และ trade negotiations
    - ด้านอัตราเงินเฟ้อ ประมาณการดัชนี PCE ในเดือน ธ.ค. อยู่ที่ระดับร้อยละ 1.7 อันเป็นผลมาจากการปรับลดลงของราคาน้ำมันเป็นหลัก ขณะที่ Core PCE ถูกประเมินไว้ที่ร้อยละ 1.9 โดยหากตัดผลกระทบของปัจจัยชั่วคราวออกไป คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงเป้ามายที่ร้อยละ 2 ทั้งนี้ นาย Powell กล่าวว่าแรงกดดันด้านราคาที่เบาบาง ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัว เป็นปัจจัยสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินในลักษณะ patient
    2. ภาคการจ้างงาน
    - นาย Powell กล่าวว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง ท่ามกลางอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงจำนวนjob opening ที่อยู่ในระดับสูง โดยตำแหน่งงานว่างจำนวนมากในตลาดแรงงานเป็นปัจจัยสนับสนุนในแรงงานกลับเข้ามาใน labor force มากขึ้น สะท้อนจากการปรับเพิ่มขึ้นของ labor force participation rate สำหรับแรงงานอายุ 25-54 ปี ในปีที่ผ่านมา
    - ธนาคารกลางสหรัฐฯ เล็งเห็นสัญญาณการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราการขยายตัวของค่าจ้าง โดยเฉพาะในกลุ่ม lower-skilledอย่างไรก็ตาม ยังคงมีความไม่เท่าเทียมในแง่ของdemographic เช่น อัตราการว่างงานของแรงงานกลุ่ม African Americans และHispanics อยู่ในระดับสูงกว่ากลุ่ม White และ Asian มาก ขณะที่การจ้างงานในชนบทนั้นอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าชุมชนเมือง โดยช่องว่างดังกล่าว ปรับกว้างขึ้นต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
    3. นโยบายการเงิน
    - นาย Powell เน้นย้ำถึงกรอบการดำเนินนโยบายในลักษณะ data-dependent เพื่อประกอบการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ คณะกรรมการจะติดตามภาวะเศรษฐกิจโลก ตลาดการเงิน และประเมินผลกระทบต่อมุมมองทางเศรษฐกิจ
    - ด้านนโยบายการปรับลดขนาด Balance Sheet นาย Powell ระบุว่า ในระยะยาวขนาดของ Balance Sheet จะถูกกำหนดโดย demand ในด้าน liabilities ได้แก่ currency และ bank reserve โดยปริมาณ reserve ใน banking system ที่ถูกคาดไว้ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. (plus a buffer) นั้นถือเป็น “a reasonable starting point”
    4. ประเด็นที่น่าสนใจอื่นๆ
    - ประเด็นเกี่ยวกับการควบรวมกิจการระหว่างสถาบันการเงินBB&T และ SunTrust: นาง Elizabeth Warren ส.ว. จากพรรค Democrat ตั้งข้อสังเกตว่า นับตั้งแต่ปี 2006 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่เคยปฏิเสธการควบรวมกิจการใดๆ เลย เปรียบเสมือนกับ “rubber stamp” โดยนาย Powell ให้คำมั่นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่มีการตัดสินก่อนล่วงหน้า และจะทำการตรวจสอบธุรกรรมควบรวมกิจการดังกล่าวด้วยความละเอียดรอบคอบและโปร่งใส ซึ่งคาดว่าจะได้รับ merger application ภายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
    - ปัญหาหนี้ภาครัฐ: นาย Powell มองว่าหนี้ของรัฐบาลอยู่ในลักษณะ “unsustainable path” ทั้งนี้ การ default นับเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก สหรัฐฯ จึงมีความจำเป็นจะต้อง stabilize debt-to-GDP นอกจากนี้ ได้ยกตัวอย่างกรณีของ Health Care ที่รัฐบาลสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศ advance economy อื่นๆ ขณะที่ไม่สามารถประสบความสำเร็จในภาคดังกล่าว โดยระบุว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมิใช่เรื่องของสิทธิประโยชน์ที่มากเกินไป แต่เป็นการimplementation ที่ไร้ประสิทธิภาพ

    Source: BOTSS
    - Fed's Powell says 'no rush' to hike rates in 'solid' but slowing economy:
    https://www.reuters.com/article/us-...t_Y1UcTuxxyg3TDH5qMkbvQxLgtY4V7F3asY2RGXWtzss
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    3A%2F%2Fbrandinside.asia%2Fwp-content%2Fuploads%2F2019%2F02%2FScreen-Shot-2019-02-25-at-11.59.25.png

    (Feb 26) ศึกกาแฟจีนเดือดต่อ เมื่อ Starbucks เปิดตัวตู้ซื้อกาแฟอัตโนมัติ ตั้งในร้านเหอหม่าของ Alibaba : หลังจากที่ Starbucks กับ Alibaba ได้จับมือเป็นพันธมิตรกันไปเมื่อปี 2018 โดยเน้นไปที่การสู้ศึกกาแฟจีนผ่านการเดลิเวอรี่ เชื่อมต่อประสบการณ์ออฟไลน์และออนไลน์ตามแนวคิด New Retail ของ Alibaba

    ล่าสุด Starbucks เปิดตัวตู้ซื้อกาแฟอัตโนมัติ (Self-Serve Kiosk) โดยจะตั้งอยู่โซนที่เรียกว่า “Star Kitchen” ภายในเหอหม่า (Hema) ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตของ Alibaba

    จุดเด่นของตู้ซื้อกาแฟอัตโนมัติของ Starbucks มีดังนี้
    - ลูกค้าสามารถซื้อกาแฟได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องต่อแถว
    - สั่งเมนูและจ่ายผ่าน QR Code ไม่ต้องใช้เงินสด
    - เมื่อสั่งซื้อเสร็จแล้ว สามารถเดินไปช้อปปิ้งสินค้าในร้านเหอหม่าได้
    - เมื่อกาแฟทำเสร็จ จะมีการแจ้งเตือนผ่านแอพพลิเคชั่น
    -
    กาแฟที่ซื้อจากตู้อัตโนมัติ Starbucks บอกว่า ทำสดใหม่ทุกแก้ว และในตู้ก็มีระบบ Smart Locker
    การเคลื่อนไหวของ Starbucks ในจีนต้องรุกหนักมากขึ้น เพราะคู่แข่งอย่าง Luckin Coffee ที่ถึงแม้จะเป็นเพียงสตาร์ทอัพหน้าใหม่ แต่มาแรงมาก เพราะได้ตั้งเป้าโค่นจำนวนสาขาของ Starbucks ในประเทศจีนภายในปีนี้

    แต่ถึงอย่างไรแล้ว กระบวนท่าในการต่อสู้ของทั้ง 2 ค่าย ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เพราะถึงที่สุดก็ต้องไปจับมือกับยักษ์ใหญ่เพื่อต่อสู้กันอยู่ดี ใครที่สนใจประเด็นนี้ ตามไปอ่านได้ที่บทความ กาแฟจีนเดือด! Alibaba มี Starbucks ส่วน Tencent ก็มี Luckin coffee สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น

    โดย Thongchai Cholsiripong
    Source: Brandiside.asia

    https://brandinside.asia/starbucks-...Q-W_VbiiooMKmKyFua8CrHSL0jnzOIsC8DZmwI4VN8MzI
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    OPwgk&w=540&h=282&url=https%3A%2F%2Fimgs.mcot.net%2Fimages%2F2019%2F02%2F1551179432482-600x315x2.jpg

    (Feb 26) TMB - TBANK เตรียมควบรวมกิจการ คาดดีลจบปีนี้ : ธนาคารทหารไทย (TMB) แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าวันนี้ (26 ก.พ.) ธนาคารได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงแบบไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Non-binding Memorandum of Understanding) (บันทึกข้อตกลง) กับ ธนาคารธนชาต (TBANK), ING Groep N.V. (ING), บมจ.ทุนธนชาต (TCAP) และ The Bank of Nova Scotia (BNS) เพื่อกำหนดกรอบความเข้าใจและหลักการสำหรับการเจรจาร่วมกันต่อไปเกี่ยวกับการเข้าทำธุรกรรมต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทยและธนาคารธนชาต (ธุรกรรม หรือ การรวมกิจการ) เพื่อร่วมดำเนินธุรกิจธนาคารด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้น (ธนาคารภายหลังการรวมกิจการ)

    สำหรับข้อมูลสรุปสำคัญของบันทึกข้อตกลง ประกอบด้วย 1. หลักการและเหตุผล โดยการรวมกิจการจะทำให้ขนาดและศักยภาพทางธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มุ่งสู่การเป็นธนาคารชั้นนำ ขนาดใหญ่ของไทย โดยธนาคารภายหลังการรวมกิจการจะมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท ฐานลูกค้ากว่า 10 ล้านคน และมีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 6 ในอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ไทย

    ธนาคารทั้งสองแห่งมีจุดแข็งซึ่งส่งเสริมกันคือ ธนาคารทหารไทยมีจุดเด่นในการระดมเงินฝากด้วยกลยุทธ์ด้านเงินฝากด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากที่แตกต่างจากการธนาคารแบบดั้งเดิม ขณะที่ธนาคารธนชาต เป็นผู้นำด้านสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการเช่าซื้อรถยนต์ การรวมกิจการจึงช่วยเพิ่มศักยภาพในการระดมเงินฝากจากฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และสร้างสมดุลให้กับโครงสร้างสินเชื่อได้เป็นอย่างดี

    การรวมกิจการจะส่งเสริมความสามารถในการทำกำไรและศักยภาพในการเติบโต สำหรับลูกค้าธนาคารทหารไทยภายหลังการรวมกิจการจะสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลายและครอบคลุมยิ่งขึ้น สำหรับพนักงาน มีโอกาสมากขึ้นจากขอบเขตหรือลักษณะงานใหม่ ๆ นอกจากนี้ การรวมกิจการนี้ยังสอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจสถาบันการเงินของประเทศ

    2. รูปแบบและโครงสร้างของธุรกรรม ก่อนการรวมกิจการ ธนาคารธนชาตจะมีการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ โดยจะมีการโอนบริษัทในเครือและบริษัทที่เกี่ยวข้องบางส่วน ทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ให้แก่ผู้ถือหุ้นปัจจุบัน ซึ่งได้แก่ ทุนธนชาต และ/หรือ BNS และ/หรือ ผู้ถือหุ้นรายย่อย ตามที่มีการลงนามเข้าทำสัญญา ในกรณีการปรับโครงสร้างทางธุรกิจนั้น เป็นที่คาดว่าผู้ถือหุ้นหลักของธนาคารธนชาตจะยังคงให้การสนับสนุนบริษัทย่อยและบริษัทในเครือดังกล่าว เพื่อให้จุดประสงค์ของการรวมกิจการบรรลุผล

    เมื่อการปรับโครงสร้างดังกล่าวแล้วเสร็จ ธนาคารทหารไทย คาดว่าจะรวมกิจการกับธนาคารธนชาต ด้วยวิธีการโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer) เพื่อให้เป็นไปตามหลักนิติบุคคลเดียวตามกฎสถาบันการเงิน 1 รูปแบบ (Single Presence Rule) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่านการทำธุรกรรมต่าง ๆ ตามที่จะได้ตกลงกันต่อไป ทั้งนี้ โครงสร้างและขั้นตอนที่แน่นอนในการรวมกิจการนี้จะขึ้นอยู่กับผลการวิเคราะห์ด้านกฎหมาย กฎเกณฑ์ และภาษี

    3. ค่าตอบแทนในการทำธุรกรรม ธนาคารทหารไทยคาดว่าธุรกรรมนี้จะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 130,000 - 140,000 ล้านบาท ทั้งนี้ อาจมีการปรับมูลค่าในขั้นตอนสุดท้าย เนื่องมาจากการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ (Due Diligence) และมูลค่าหุ้นทางบัญชีของธนาคารธนชาต และบริษัทในเครือล่าสุด โดยคู่สัญญาจะตกลงชำระค่าตอบแทนให้แก่กันในรูปแบบของเงินสดและเงินสดส่วนหนึ่งจะนำกลับมาลงทุนในธนาคาร

    ภายหลังจากการเข้าทำธุรกรรมแล้วเสร็จและมีการเพิ่มทุนตามที่จำเป็น ING กระทรวงการคลัง และทุนธนชาต คาดว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นหลักของธนาคารภายหลังการรวมกิจการ โดย ING และทุนธนชาตจะถือหุ้นในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ส่วน BNS คาดว่าจะถือหุ้นในสัดส่วนที่น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ

    4. การจัดหาเงินทุน ธนาคารทหารไทยประสงค์จะจัดหาเงินทุนสำหรับการเข้าทำธุรกรรมครั้งนี้ ผ่านการระดมทุนทั้งการออกตราสารหนี้และการออกหุ้นเพิ่มทุน โดยเงินทุนจากการออกหุ้นเพิ่มทุนคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 70 ของมูลค่าธุรกรรม

    สำหรับในส่วนการออกหุ้นเพิ่มทุนประมาณ 50,000-55,000 ล้านบาท จะเป็นการออกหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ ทุนธนชาต และ BNS โดยการออกหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ ทุนธนชาต และ BNS คาดว่าจะคิดมูลค่าหุ้นเพิ่มทุนของธนาคาร เท่ากับ 1.1 เท่าของมูลค่าทางบัญชีล่าสุดของธนาคาร ภายหลังปรับปรุงมูลค่าจากการจัดหาเงินทุน ทั้งนี้ มูลค่าดังกล่าวจะต้องไม่ต่ำกว่ามูลค่าขั้นต่ำที่จะได้กำหนดไว้ในสัญญาต่อไป

    สำหรับเงินทุนจำนวนที่เหลืออีกประมาณ 40,000 - 45,000 ล้านบาท ธนาคาร คาดว่าจะออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของธนาคาร โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นหลักปัจจุบันของธนาคาร รวมทั้งอาจจะมีการออกหุ้นเพื่อเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนต่อไป และ/หรือ บุคคลในวงจำกัดกับนักลงทุนรายใหม่หรือนักลงทุนรายเดิม ทั้งนี้ ธนาคารประสงค์ที่จะดำรงไว้ซึ่งฐานะเงินกองทุนที่ยั่งยืนภายหลังธุรกรรมเสร็จสิ้น

    5. ชื่อทางการค้า (Branding) คาดว่าธนาคารภายหลังการควบรวมการดำเนินงาน (Integration) จะมีการใช้ชื่อทางการค้าใหม่ (Rebranding) โดยพิจารณาจากจุดแข็งในเชิงพาณิชย์ของชื่อทางการค้าเดิมของธนาคารและธนาคารธนชาต โดยชื่อทางการค้าใหม่ที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับการอนุมัติของคณะกรรมการธนาคารของธนาคารภายหลังการรวมกิจการ

    6. ความเท่าเทียมกันของพนักงาน สำหรับการดำเนินการเข้าทำธุรกรรมนี้ มีจุดประสงค์ว่าจะใช้ความพยายามอย่างสมเหตุสมผลในการดำเนินธุรกิจ เพื่อดำเนินการจัดการด้านบุคลากรและพนักงานให้เป็นไปอย่างเหมาะสม ในกรณีที่ต้องมีการประเมินผลงานพนักงานจะมีการพิจารณาอย่างเป็นธรรมตามทักษะ ความเชี่ยวชาญ ความสามารถ และคุณสมบัติของบุคคลนั้นๆ

    7. ระยะเวลา ซึ่งภายหลังจากการลงนามในบันทึกข้อตกลงแล้ว คู่สัญญาทุกฝ่ายประสงค์ที่จะตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ จัดเตรียม พิจารณา ต่อรอง และตกลงเข้าทำสัญญาตามที่คู่สัญญาจะได้ตกลงกันโดยทันที ธนาคารคาดว่าธุรกรรมน่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2562 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการอนุมัติและการยินยอม โดยภายหลังจากที่ธุรกรรมเสร็จสิ้น ธนาคาร และธนาคาร ธนชาตจะเริ่มดำเนินการรวมธุรกิจของทั้งสองธนาคารไว้ภายใต้ธนาคารเดียว

    8. การแจ้งข้อมูลที่สำคัญแก่ผู้ถือหุ้น ธนาคาร ประสงค์ที่จะเน้นย้ำว่าธุรกรรมนี้ยังมีความไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับ การตรวจสอบวิเคราะห์สถานะโดยคู่สัญญาทุกฝ่าย และจะต้องมีการเข้าทำข้อตกลงภายใต้สัญญาที่คู่สัญญาจะต้องตกลงกันต่อไป การได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเกี่ยวกับภาระภาษีของธุรกรรมที่จะเกิดขึ้นโดยต้องสอดคล้องกับความคาดหมายของคู่สัญญาทุกฝ่าย การยืนยันเกี่ยวกับการดำรงสถานะของทุนธนชาตในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และธุรกรรมจะเกิดขึ้นภายหลังเงื่อนไขบังคับก่อนภายใต้เอกสารดังกล่าวครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

    ทั้งนี้ คาดว่าจะรวมถึงธุรกรรมดังกล่าวได้รับการอนุญาตตามกฎหมายจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ การอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามที่จำเป็น และการอนุมัติขององค์กร , ธุรกรรมดังกล่าวได้รับความยินยอมจากบุคคลที่สามตามที่จำเป็น ,การปรับโครงสร้างของธนาคารธนชาตเสร็จสิ้น ,การระดมทุนของธนาคาร ประสบความสำเร็จโดยมีจำนวนเงินเพียงพอสำหรับการรวมกิจการ และเงื่อนไขบังคับก่อนอื่น ๆ ที่โดยทั่วไปมักจะมีการกำหนดไว้ในธุรกรรมลักษณะนี้

    อย่างไรก็ตามเนื่องจากบันทึกข้อตกลงนี้มิได้มีผลผูกพันทางกฎหมายต่อคู่สัญญา ดังนั้น ธนาคาร จึงไม่อาจรับรองได้ว่าเอกสารสัญญาที่คู่สัญญาจะได้ตกลงกันจะมีเนื้อหาเช่นเดียวกับบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ โดยธนาคารจะประกาศให้ทราบต่อไปเมื่อคู่สัญญาได้ลงนามในสัญญาดังกล่าวแล้ว

    ทั้งนี้ ก่อนการรวมกิจการ TBANK จะดำเนินการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ เพื่อเสริมบทบาทการดำเนินธุรกิจ Financial Holding Company ของทุนธนชาตให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และเพื่อให้การดำเนินธุรกิจภายหลังการรวมกิจการสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจปัจจุบันของธนาคาร .

    Source: สำนักข่าวไทย
    https://www.tnamcot.com/view/5c751ec0e3f8e40ac68e9ffe
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    %2F%2Fstatic.posttoday.com%2Fmedia%2Fcontent%2F2019%2F02%2F26%2FE5959521AE8A40509DC368B307C88875.jpg

    (Feb 26) ธปท.แนะรับมือค่าเงินป่วน - ธปท.หนุนผู้ประกอบการไทยใช้เงินสกุลท้องถิ่นซื้อขาย ลดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนค่าเงิน

    นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วย ผู้ว่าการสายยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.มีนโยบายสนับสนุน ให้ผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้าไทยในเงินสกุลท้องถิ่นเพื่อนบ้าน ในการทำธุรกรรมการเงินเพื่อลดความผันผวนค่าเงินและผลกระทบค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า

    อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการใช้เงินสกุล ท้องถิ่นยังเพิ่มขึ้นไม่มาก ส่วนหนึ่งเพราะยังคุ้นเคยในการใช้เงินสกุลหลัก แต่ การเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเอาไว้เมื่อปริมาณธุรกรรมค่อยๆ เพิ่มขึ้น ต้นทุนการทำธุรกรรมลดลง และผู้ประกอบการเล็งเห็นความสำคัญของการใช้เงินสกุล ท้องถิ่นเป็นทางเลือกในการกำหนดราคาสินค้า ใบแจ้งหนี้ (Invoicing) ตัวเลข การใช้คงเพิ่มขึ้นต่อไป

    ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนทางตรง (Direct Quotation) เงินบาทมี 4 ประเทศ คือ ริงกิต-มาเลเซีย รูเปียห์-อินโดนีเซีย เยน-ญี่ปุ่น และหยวน-จีน ซึ่งการค้าระหว่างไทยกับคู่ค้า 4 ประเทศนี้เริ่มจะเห็นว่าสัดส่วนการใช้เงินบาทเป็นสกุล ในการกำหนดราคาสินค้า (Invoicing Currency) เพิ่มขึ้นตามลำดับ แต่สัดส่วนการใช้เงินดอลลาร์ก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งช่วงแรกจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วนัก

    นางจันทวรรณ กล่าวว่า ธปท.การส่งเสริมคงจะทำต่อเนื่องร่วมกับธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการซื้อขายเงินตราต่าง ประเทศเหล่านี้ ซึ่งมีการจัดสัมมนาให้ กับลูกค้าอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว นอกจากนี้ ธปท.ก็ได้จัดสัมมนาร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ที่มีสมาชิกที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศทั้งในรูปของการจัดสัมมนา การจัดคู่มือการใช้งาน การนำเสนอกรณีศึกษาของผู้ประกอบการรายที่ทดลองใช้แล้ว ช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องความผันผวนของรายรับรายจ่าย เป็นต้น

    "การที่เรากำหนดราคาในเงินสกุลหลัก (Major Currencies) แสดงว่าคู่ค้า อาเซียนทั้งสองประเทศต่างก็จะต้องทำการประกันความเสี่ยงเทียบกับดอลลาร์ เช่นบาทก็ต้อง Hedge กับดอลลาร์ ริงกิตก็ต้อง Hedge กับดอลลาร์ แต่ถ้าเราใช้เงินสกุลท้องถิ่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็สามารถประหยัดต้นทุนการประกันความเสี่ยง เพราะซื้อขายในเงินสกุลท้องถิ่นของตัวเอง" นางจันทวรรณ กล่าว

    นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรี อยุธยา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 25 ก.พ. เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 31.28 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเคลื่อนไหวที่ 31.28-31.32 บาท/ดอลลาร์ ยังคงแข็งค่า ระดับกลางๆ ถ้าเทียบกับสกุลอื่น เพราะค่าเงินวอนและค่าเงินหยวนที่แข็งค่า นำตอบรับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนเริ่มที่จะคลี่คลายไปในทางที่ดี สำหรับวันนี้ 26 ก.พ. คาดว่าค่าเงินบาทอยู่ที่ 31.25-31.35 บาท/ดอลลาร์

    Source: Posttoday
    - https://www.posttoday.com/finance/news/581516
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    urces%2Fimg%2Feditorial%2F2019%2F02%2F26%2F105760556-1551162985455gettyimages-93002768.1910x1000.jpg

    (Feb 26) สหรัฐ-จีน'ใกล้ปิดดีลศึกค้าสงบ แต่ยังไม่จบ : ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ก.พ.ถือได้ว่าเปิดสัปดาห์มาด้วยข่าวดีอย่าง "สัญญาณสู่การสงบศึกการค้าระหว่างสหรัฐและจีน" ที่หนุนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างทะยานขึ้นถ้วนหน้า นำโดยดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ตลาดหุ้นจีน พุ่งขึ้นมาเกือบ 6% วานนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นภายในหนึ่งวันที่สูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ความหวังปิดฉากสงครามการค้า ที่ยืดเยื้อมา 7 เดือนนั้น มาจากการที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีสินค้าจีน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.2 แสนล้านบาท) จาก 10% เป็น 25% ออกไปจากกำหนดเดิมวันที่ 1 มี.ค.

    ทรัมป์ กล่าวว่า การตัดสินใจเลื่อนภาษีเกิดขึ้นหลังทั้งสองชาติมีความก้าวหน้าอย่างมากในการถกประเด็นแก้ข้อพิพาทหลักๆ ไม่เพียงเท่านั้น ทรัมป์ยังแย้มว่าต้องการจัดการพบปะรอบ 2 กับประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีน ภายในเดือน มี.ค. เพื่อหารือการทำข้อตกลงการค้าขั้นสุดท้ายแบบครอบคลุมกับจีนด้วยเช่นกัน แม้การเลื่อนขึ้นภาษีเป็นสัญญาณสำคัญบ่งบอกว่าความ ขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐกำลังคลี่คลายลง แต่ก็เป็นเพียง "ก้าวแรก" สู่ปลายทางการปิดฉากสงครามเท่านั้น ตราบใดที่จีนและสหรัฐยังไม่สามารถวางแนวทางชัดเจนเป็นรูปธรรม เพื่อแก้ 6 ประเด็นพิพาทหลัก คือ การบีบบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (ไอพี) ค่าเงินหยวน ภาคบริการ ดุลการค้า และอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี ก็ยังมีโอกาสที่สหรัฐจะงัดกำแพงภาษีขึ้นมาบีบจีนอีกในอนาคต เช่นเดียวกับที่กำลังใช้ภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนรถนำเข้ามาบีบสหภาพยุโรป (อียู) และญี่ปุ่น

    ในตอนนี้ความพยายามแก้ปัญหาเรื่อง "ดุลการค้า" ดูจะเป็นรูปเป็นร่างมากที่สุด โดยซีเอ็นบีซีรายงาน อ้างแหล่งข่าวเกี่ยวข้องว่า จีนให้คำมั่นจะซื้อสินค้าสหรัฐมากถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 37 ล้านล้านบาท) แต่ปัญหาอยู่ที่จีนจะสามารถเพิ่มการ นำเข้าสินค้าจากสหรัฐได้ตามที่ให้คำมั่นไว้หรือไม่ สินค้าเกษตรถือเป็นกลุ่มที่จะกลับมาได้อานิสงส์มากที่สุดในขณะนี้ หลังเจ็บหนักไม่น้อยจากภาษีตอบโต้ของจีนที่ 25% โดย ซอนนี่ เพอร์ดู รัฐมนตรี กระทรวงเกษตรสหรัฐ เปิดเผยว่า จีนตกลงซื้อถั่วเหลืองสหรัฐเพิ่มอีก 10 ล้านตัน ซึ่งการสั่งซื้อรอบใหม่ล่าสุด เกิดขึ้นหลังจีนซื้อถั่วเหลืองสหรัฐไปแล้ว 2 ล็อต หลังทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงสงบศึก 90 วันช่วงก่อนหน้านี้

    ขณะเดียวกัน บลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าวเกี่ยวข้องว่า จีนเสนอซื้อสินค้าเกษตรของสหรัฐเพิ่มอีก 3 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 9.38 แสนล้านบาท) ซึ่งรวมถึงถั่วเหลือง ข้าวสาลี และฝ้าย แม้การเกินดุลกับสหรัฐของจีนลดลงมาอยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 8.44 แสนล้านบาท) ในเดือน ม.ค. จาก 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 9.07 แสนล้านบาท) แต่การนำเข้าสินค้าจากสหรัฐลดลงมาถึง 41% จากปีก่อนหน้า

    เมื่อลองมาดูที่สินค้าเกษตร ซึ่งจีนให้คำมั่นชัดเจนว่าจะนำเข้ามากขึ้น แต่การนำเข้าเพิ่มดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเมื่อปี 2017 สหรัฐส่งออกสินค้าเกษตรไปจีน 2 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 6.25 แสนล้านบาท) การที่จีนบอกว่าจะนำเข้าเพิ่มอีก 3 หมื่นล้านดอลลาร์ จึงเป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยานไม่น้อย เว้นเสียแต่ว่าจีนจะนำเข้าทั้งหมดเพิ่มรวมเป็น 3 หมื่นล้านดอลลาร์ "ค่าเงิน" เป็นอีกประเด็นถัดมาที่สหรัฐต้องการตั้งเงื่อนไขให้จีนทำตาม

    ล่าสุดนั้น สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เปิดเผยว่า สหรัฐและจีนเห็นพ้องกันเกี่ยวกับข้อตกลงเรื่องค่าเงิน แต่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม หลังตลอดช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทางสหรัฐออกมาเตือนจีนไม่ให้ลดค่าเงินหยวนเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้า โดยได้เรียกร้องขอ "ค่าเงินหยวนที่มีเสถียรภาพ"

    ทั้งนี้ จีนเผชิญภาวะค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นตลอดช่วงหลายเดือนมานี้ โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2019 ค่าเงินหยวนปรับตัวขึ้นมาแล้ว 2.24% และล่าสุดแข็งค่าแตะระดับสูงสุด 7 เดือนวานนี้ ไปอยู่ที่ 6.6737 หยวน/ดอลลาร์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สหรัฐจะกังวลว่าประเทศส่งออกอย่างจีน อาจจะต้องหันมาลดค่าเงินในที่สุด

    อย่างไรก็ดี การเห็นพ้องกันเรื่องเงื่อนไขเกี่ยวกับค่าเงินดูท้าทายไม่ใช่น้อย โดย มาร์ก โซเบล ประธานฝ่ายสหรัฐจากสถาบันคลังสมองด้านเศรษฐกิจและการเงิน Official Monetary and Financial Institutions Forum (OMFIF) เปิดเผยว่า การนิยามคำว่า "เสถียรภาพ" ของทั้งสองฝ่ายอาจไม่ตรงกันเสียทีเดียว เพราะที่ผ่านมา จีนพยายามทำให้ทั่วโลกเห็นว่า ค่าเงินหยวนมีเสถียรภาพเมื่อเทียบตะกร้าสกุลเงินหลัก แต่ค่าเงินหยวนอาจมีความผันผวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ เนื่องจากแนวทางด้านนโยบายการเงินที่แตกต่างกันของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี)

    สำหรับประเด็นสุดท้ายคือ "การบีบถ่ายโอนเทคโนโลยี" ซึ่งเป็นผลพวงหนึ่งจากการประกาศใช้แผนยุทธศาสตร์ "เมดอินไชน่า 2025" ของจีน แม้ก่อนหน้านี้ จีนประกาศยอมถอยแผน เมดอินไชน่า 2025 แต่การ กระทำดังกล่างอาจเป็นเพียงท่าทีเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น เพราะยุทธศาสตร์ดังกล่าวคือ หัวใจสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจจีนอย่างจำเป็นเร่งด่วน ท่ามกลางความท้าทายนานัปการที่รายล้อมจีนอยู่ในขณะนี้ นอกจากแผน เมดอินไชน่า 2025 แล้ว การแก้ปัญหาละเมิดไอพีก็ยังไม่ได้เป็นรูปธรรมชัดเจน

    ก่อนหน้านี้ คณะรัฐมนตรีจีนกำลังพิจารณาทบทวนกฎหมายการลงทุน ต่างชาติ โดยภายใต้ข้อเสนอการปรับแก้กฎหมาย ได้เพิ่มมาตรการห้ามการบีบบังคับให้เอกชนต่างชาติถ่ายโอนเทคโนโลยีให้หน่วยงานรัฐบาล หรือบริษัทในท้องถิ่น แต่ร่างดังกล่าวกลับไม่ได้ระบุมาตรการลงโทษชัดเจน โดยระบุเพียงแต่ว่าความร่วมมือด้านเทคโนโลยีควรผ่านการตัดสินใจจากทุกฝ่าย และควรเป็นไปอย่าง "สมัครใจ" ซึ่งนิกเกอิระบุว่า ความร่วมมือโดยสมัครใจ ดังกล่าว ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับ "การบีบบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี" อยู่ดี

    ล่าสุดนั้น การสู้รบในสมรภูมิเทคโนโลยีระหว่างจีนและสหรัฐ กำลังตั้งเค้าขึ้นในงาน "โมบายล์ เวิลด์ คองเกรส (MWC)" ที่เมืองบาร์เซโลนา ของสเปน งานแสดงสินค้าสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งเริ่มเปิดงานอย่างเป็นทางการวานนี้ โดยรัฐบาลสหรัฐคาดว่าจะวิ่งเต้นให้ผู้ให้บริการคมนาคมทั่วโลกหยุดใช้อุปกรณ์ของ หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ บริษัทโทรคมนาคมสัญชาติจีน ในการสร้างเครือข่าย 5จี ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงและการสอดแนมของรัฐบาลจีน

    การประกาศเลื่อนขึ้นภาษี สินค้าจีนของทรัมป์จึงเป็นเพียงก้าวแรกในการสงบสงครามการค้า หากทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถถอนรากปัญหาเศรษฐกิจออกไป ความขัดแย้งก็มีแนวโน้มกลับมาปะทุขึ้นอีกในอนาคต

    โดน นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์

    Source: Posttoday

    เพิ่มเติม
    - As the US and China tangle over Beijing's treatment of foreign firms, many companies say there's one area of progress:
    https://www.cnbc.com/2019/02/26/ami...0ImzQEINeHfF7eW_ACIBj8U3ph8zDuD-tU5rtbqT8FJ0I
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    750x422_828028_1551159477.png
    (Feb 26) ศก.โตชนวน 'โตเกียว' ขาดแคลนสนง.เช่า : พื้นที่สำนักงานในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นยังขาดแคลนหนัก หนุนให้ค่าเช่าขยับขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในย่านธุรกิจอย่าง ชิโยดะ ชูโอะ มินาโตะ ชินจูกุ และชิบูยะ

    แม้จะมีสำนักงานให้เช่าเพิ่มมากขึ้นแต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นขยายตัว บวกกับผลประกอบการบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และการลงทุนของต่างชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

    มิกิ โชจิ โบรกเกอร์อสังหาริมทรัพย์ชื่อดังของญี่ปุ่น ระบุว่า สำนักงานให้เช่าในย่านธุรกิจดังที่กล่าวมาข้างต้นในกรุงโตเกียวที่ยังว่างอยู่มีน้อยมากในทุกวันนี้และหากนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว อัตราว่างของสำนักงานให้เช่าลดลงถึง 1.88% ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนสำนักงานอย่างหนักในเมืองหลวงของญี่ปุ่น และดันให้อัตราค่าเช่าสำนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 20,890 เยนต่อพื้นที่ 3.3 ตารางเมตรถือเป็นสัญญาณการปรับตัวที่ดีขึ้นเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกันสำหรับสัญญาของผู้เช่ารายใหญ่แต่บริษัทยอมรับว่าอัตราการลดลงของสำนักงานว่าง เป็นผลมาจากการยกเลิกสัญญาขนาดใหญ่บางฉบับ แต่ก็คาดว่าแนวโน้มเดือนก.พ.จะดีกว่านี้ เนื่องจากไม่มีอาคารใหญ่ใหม่ๆออกสู่ตลาด

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/828028
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    %B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3.jpg

    (Feb 26 ) ครม.อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง-สีแดงเข้มวงเงินกว่า 1.67 หมื่นล้าน : พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้(26 กุมภาพันธ์)ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้อนุมัติดำเนินการโครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมือง(สายสีแดง)ช่วงตลิ่งชัน ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม 3 สถานี (สถานีพระราม 6 สถานีบางกรวย-กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) และช่วงรังสิต- มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต) กรอบวงเงิน 10,202.18 ล้านบาท ระยะเวลา 5 ปี

    และโครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเข้มช่วงรังสิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต กรอบวงเงิน 6,570.40 ล้านบาท ระยะเวลา 5 ปี ซึ่งทั้ง 2 โครงการจะดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2549 หรือ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์(e-bidding) รวมทั้งให้รัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการทั้งสิ้น โดยให้สำนักงานงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายปี หรือ กระทรวงการคลัง จัดหาแหล่งเงินกู้และค้ำประกันเงินกู้ภายในประเทศให้ตามความเหมาะสมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินได้ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทยพ. ศ. 2494 มาตรา 39 (4)

    นอกจากนี้ ครม.ยังได้อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้มช่วงรังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จำนวน 14 ไร่ตามที่ กระทรวงคมนาคม เสนอและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาและดำเนินการต่อไปได้

    Source: ฐานเศรษฐกิจ
    http://www.thansettakij.com/content/394886
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,287
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    JEV9Njg6Cn0mF8TYxL2NN7jGU8LHjCv-Kt7cui2M3yIWNkG_Kov3zPvLG7NYgl6U5p2mlpw&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg
    (Feb 26) แบงก์อิเหนาผนึกกำลัง รุกสู้ฟินเทคเอกชน : "อินโดนีเซีย" นับเป็นหนึ่งในสมรภูมิตลาดดิจิทัลเพย์เมนต์ หรือการทำธุรกรรมการเงินผ่านช่องทางออนไลน์ที่ร้อนแรงมากที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชียโดยมีมูลค่าการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นมากถึง 280% ในปีที่ผ่านมา แตะ 47 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 1.03 แสนล้านบาท) เช่นเดียวกับการเติบโตของปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น 210% ตามข้อมูลของธนาคารกลางอินโดนีเซีย

    นอกจากมูลค่าการทำธุรกรรมจะปรับตัวขึ้นแล้ว ตลาดอี-เพย์เมนต์ของอินโดนีเซียยังมีศักยภาพเติบโตต่อในอนาคต เนื่องจากชาวอินโดนีเซียราว 91% ของประชากรทั้งหมดที่ 264 ล้านคน นั้นมีสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเอง แต่ยังคงมีอัตราการใช้ดิจิทัลเพย์เมนต์ที่ต่ำ โดยธนาคารมอร์แกน สแตนย์เลย์ คาดว่า ชาวอินโดนีเซียจะหันมาใช้ดิจิทัล เพย์เมนต์พุ่งขึ้นเป็น 24% ในปี 2027 จากเดิมที่มีเพียงแค่ 2.1% เท่านั้นในปี 2017

    ในปัจจุบัน 2 ผู้เล่นรายใหญ่ที่ผงาดครองตลาดดิจิทัลเพย์เมนต์ของอินโดนีเซีย คือ "โกเพย์" (Go-Pay) ซึ่งมี โกเจ็ก ผู้ให้บริการเรียกรถรับส่งของอินโดนีเซียเป็นเจ้าของ และ "โอโว" (Ovo) ที่ได้รับการสนับสนุนจาก แกร็บ บริษัทไรด์เฮลลิ่ง จากสิงคโปร์ และ ลิปโป กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ของอินโดนีเซีย

    อย่างไรก็ดี ผู้ท้าชิงตลาดส่วนแบ่งตลาดดิจิทัลเพย์เมนต์แดนอิเหนาที่ได้ปรากฏตัวขึ้นเมื่อไม่นานนี้ คือ "ลิงค์อาจา" (LinkAja) แพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของธนาคารรัฐวิสาหกิจ 4 แห่ง คือ ธนาคารมันดีรี ธนาคารรักยัต อินโดนีเซีย ธนาคารเนการา อินโดนีเซีย และธนาคารตาบุนกาน เนการา และเตเลคอมูนีกาซี รัฐวิสาหกิจด้านโทรคมนาคมรายใหญ่

    ลิงค์อาจาเกิดขึ้นจาการนำบริการโมบายเพย์เมนต์ หรือการทำธุรกรรมการเงินผ่านสมาร์ทโฟนของธนาคารทั้ง 4 แห่ง มารวมเข้าไว้ด้วยกันในลิงค์อาจาแพลตฟอร์มเดียว โดยผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมผ่านคิวอาร์โค้ดได้โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีธนาคาร ซึ่งสามารถเติมเงินเข้าระบบผ่านร้านสะดวกซื้อและเครื่องเอทีเอ็มได้ รวมถึงเตรียมเปิดให้บริการอื่นๆ นอกเหนือจากการชำระเงิน เช่น บริการประกัน ซึ่งจะเริ่มเปิดให้บริการในเดือน มี.ค.ที่จะถึงนี้

    ผนึกพันธมิตรสู้

    นิกเกอิ เอเชียน รีวิว ระบุว่า ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ภาคธนาคารของอินโดนีเซียกำลังมีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการที่เอกชน โดยเฉพาะโกเพย์และโอโวเริ่มรุกหนักขยายธุรกิจเข้าสู่ภาคการเงินมากขึ้นเรื่อยๆ

    แหล่งข่าวจากนิกเกอิ เอเชียน รีวิว ระบุว่า หนึ่งในหนทางแข่งขันกับแอพฟินเทค ของภาคเอกชน คือการเร่งพันธมิตรเพื่อขยายฐานผู้ใช้ โดยหนึ่งในผู้ก่อตั้งลิงค์อาจากำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับอาลีเพย์และวีแชท เพย์ แพลตฟอร์มดิจิทัลเพย์เมนต์รายใหญ่จากจีน เกี่ยวกับการอนุญาตให้นำบริการของอาลีเพย์และวีแชท เพย์มาใช้บนลิงค์อาจาได้

    นอกจากนี้ ยังคาดว่า เปอร์ตามีนา รัฐวิสาหกิจกิจด้านน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ของอินโดนีเซียจะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรด้วย โดยลิงค์อาจาจะได้รับประโยชน์จากการที่เปอร์ตามีนามีปั๊มน้ำมันมากกว่า 7,000 แห่งทั่วประเทศ ที่รวมถึงพื้นที่ห่างไกลที่ธนาคารไม่สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งจะทำให้ฐานผู้ใช้ของลิงค์อาจาขยายตัวออกไปนอกเหนือจากเมืองใหญ่ๆ ได้

    ธนาคารเจองานยาก

    อย่างไรก็ดี ธนาคารรัฐวิสาหกิจยังยากชิงส่วนแบ่งตลาดจากฟินเทคเอกชนที่มีฐานผู้ใช้มหาศาลแล้วในตอนนี้ โดยโอโวมีจำนวนผู้ใช้บริการพุ่งขึ้นมากกว่า 400% นับตั้งแต่เปิดให้บริการเป็นครั้งแรกในเดือน พ.ย. 2017 จนถึงปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวนสมาร์ทโฟนที่ติดตั้งแอพพลิเคชั่นของโอโวแล้วกว่า 115 ล้านเครื่อง นอกจากนี้โอโวยังได้เข้าเป็นพันธมิตรกับร้านค้ากว่า 5 แสนแห่งทั่วประเทศอีกด้วย ขณะที่โกเพย์นั้นมีจำนวนการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มมากกว่า 1.5 ล้านครั้ง/วัน

    ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมดิจิทัลเพย์เมนต์ในอินโดนีเซีย ระบุว่า สิ่งที่ทำให้แพลตฟอร์มของโกเพย์และโอโวได้เปรียบกว่าดิจิทัลเพย์เมนต์จากธนาคารทั่วไป คือ การมีเครือข่ายธุรกิจอื่นๆ ที่สามารถดึงดูดผู้ใช้ให้หันมาใช้บริการดิจิทัลเพย์เมนต์ของตัวเองได้ ซึ่งตรงจุดนี้เป็นสิ่งที่ธนาคารไม่มี

    "ฉันไม่คิดว่าลิงค์อาจาจะสามารถขึ้นมาเป็นคู่แข่งสำคัญของดิจิทัลเพย์เมนต์จากเอกชนได้ เนื่องจากการตัดสินในเรื่องต่างๆ ในองค์กรรัฐนั้นทำได้ช้ากว่าเอกชน และมันเป็นเรื่องยากมากที่องค์กรรัฐจะกล้าใช้เงินมหาศาลไปกับการทำโปรโมชั่นในแบบที่เอกชนทำ" ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมดิจิทัลเพย์เมนต์ของอินโดนีเซีย กล่าว

    Source: Posttoday
     

แชร์หน้านี้

Loading...