ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ค่าฝุ่นพุ่ง ‘ชาวไร่อ้อย’ ชี้ จำเป็นต้องเผา เพราะราคาตก-จ้างตัดไม่คุ้มทุน

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ขอนแก่น ฝุ่นพิษกลับมาอีกแล้ว รพ.ขอนแก่นคนไข้เพิ่มเท่าตัว

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พอล ครุกแมน'นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เตือนรัฐบาลทุกประเทศและประชาชนรับมือวิกฤตภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกปลายปีนี้



    Last updated: 15 กุมภาพันธ์ 2562 | 20:23

    'พอล ครุกแมน'นักเศรษฐศาสตร์ เจ้าของรางวัลโนเบล ปี 2551 กล่าวในงานสัมมนา World Government Summit 2019 ที่นครดูไบ ว่า มีความเป็นไปได้มากที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในช่วงปลายปีนี้ หรือ ปีหน้า จึงเตือนรัฐบาลทุกประเทศเตรียมหามาตรการรับมือภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

    15 กุมภาพันธ์ 2562-"พอล ครุกแมน" นักเศรษศาสตร์ชื่อดัง คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ผู้เคยทำนายวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียได้อย่างแม่นยำกว่า 2 ทศวรรษที่แล้ว ได้กล่าวระหว่างการบรรยายในหัวข้อ "Global Trade : Future Foresight and Analysis for Goverments" ว่า มีเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอที่คาดการณ์ว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในปีนี้ เมื่อดูจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของหลายภูมิภาคที่ปรับตัวลง ค่าจ้างแรงงานที่แทบจะไม่ปรับขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ยังคงขยายตัว และการขาดความมั่นใจของบรรดาผู้นำกลุ่มธุรกิจ พร้อมทั้งอ้างถึงช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ที่คณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร (ยูโรโซน) ในปี 2562 และ 2563 ว่า น่าจะขยายตัวในอัตราลดลงจาก 1.9% ในปี 2561 เหลือเพียง 1.3% ในปีนี้ (2562) จากนั้นคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้นที่อัตรา 1.6% ในปี 2563

    อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกขณะนี้เริ่มแผ่วลง แต่บรรดาผู้กำหนดนโยบายในประเทศต่าง ๆ ยังคงคาดหวังว่า เศรษฐกิจจะไม่ถดถอยอย่างรุนแรง การที่บรรดาเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบาย รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ไม่มีเครื่องมือเหลืออยู่สำหรับการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจขาลง อาจกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้ภาวะเศรษฐกิจขาลงที่เกิดขึ้นแล้วยิ่งเลวร้ายมากขึ้นกว่าเดิม เขากล่าวว่า โดยทั่วไปแล้ว ผู้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจมักจะขาดความเตรียมพร้อมสิ่งที่น่าเป็นห่วงโดยหลัก ๆ คือ เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว เรามักจะรับมืออย่างไร้ประสิทธิภาพ และดูเหมือนจะขาดมาตรการรองรับเพื่อป้องกันผลกระทบอยู่เสมอ (Safety Net)

    บ่อยครั้งที่ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ขาดเครื่องมือป้องกันแรงกระแทก เมื่อตลาดเกิดความปั่นป่วน นอกจากนี้ การวางแผนป้องกันความเสี่ยงก็มีน้อยมาก ยิ่งโลกกำลังเผชิญภาวะสงครามการค้าและนโยบายตั้งกำแพงปกป้องตัวเอง ก็ทวีความเข้มข้นมากขึ้น รัฐบาลต่าง ๆ ก็มักจะถูกดึงความสนใจและทรัพยากรต่าง ๆ ออกไปจากสิ่งที่เป็นปัญหาจำเป็นเร่งด่วนอย่างแท้จริง "ดูเหมือนจะมีปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ สะสมอยู่ แต่รัฐบาลส่วนใหญ่ก็ไม่มีนโยบายที่ดีมารับมือ" ครุกแมน กล่าวและว่า เฟดเหลือช่องว่างให้ลดดอกเบี้ยลงได้อีกไม่มาก ส่วนนโยบายการคลังถ้าเตรียมให้พร้อม ก็ยังจะพอมีพื้นที่ (ให้รับมือ) เหลืออยู่บ้าง แต่ในช่วงเวลานี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะเห็นการตอบสนองอย่างฉับไวได้ ดังนั้น จึงเดิมพันได้เลยว่า โลกจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นมาอย่างแน่นอน

    ครุกแมน วิเคราะห์ด้วยว่า กลุ่มยูโรโซนเผชิญกับภาวะชะลอตัว ที่อีกนิดเดียวก็จะเป็นการถดถอยแล้วอย่างชัดเจน และไม่เหลือเครื่องมือที่จะนำมาใช้ จะลดดอกเบี้ยลงอีกก็ไม่ได้แล้ว เพราะอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันก็ตกอยู่ในแดนลบอยู่แล้ว "ยุโรปกำลังเป็นจุดอันตรายที่อาจจะรุนแรงขึ้นเทียบเท่ากับจีน" ครุกแมนทำนาย

    อนึ่ง "Recession" คือ "ภาวะถดถอย" ทางเศรษฐกิจ โดยเทคนิค คือ การเปรียบเทียบอัตราการขยายตัวของ GDP ในแต่ละไตรมาส เทียบกับไตรมาสก่อนหน้านั้น ถ้าติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน ก็ถือว่าเป็นเศรษฐกิจถดถอย

    ด้าน นางคริสติน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวในงานสัมมนาเดียวกันว่า รัฐบาลนานาประเทศควรเตรียมความพร้อมรับมือกับพายุเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ จากเหตุปัจจัยหลัก 4 ประการ ซึ่งได้แก่ ความขัดแย้งทางการค้าและการตั้งกำแพงภาษี การเพิ่มความเข้มงวดด้านการเงิน ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเบร็กซิทและผลกระทบที่จะตามมา รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน

    นายไมเคิล สโตรแบค หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนระดับโลกของธนาคารเครดิต สวิส เปิดเผยว่า เครดิต สวิส ได้ปรับลดมุมมองต่อหุ้นทั่วโลกสู่ระดับ Neutral จากเดิมที่ระดับ Overweight ซึ่งการปรับลดมุมมองดังกล่าวมีสาเหตุจากการที่ตลาดเผชิญความเสี่ยงระยะสั้นจากหลายปัจจัย รวมถึงความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และความตึงเครียดทางการเมืองในยุโรป พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นตั้งแต่ในช่วงต้นปีนี้ ถูกผลักดันจากการปรับการประเมินมูลค่าหุ้นใหม่ มากกว่าที่เกิดจากแนวโน้มผลประกอบการที่สดใส

    "ถึงแม้ว่า เรายังคงคาดการณ์ว่า ผลตอบแทนโดยรวมจากการลงทุนในหุ้นทั่วโลกยังคงน่าดึงดูดใจในปีนี้ แต่เราก็ยอมรับว่า มีความเสี่ยงระยะสั้นหลายประการ"

    http://www.thaitribune.org/contents/detail/310?content_id=34617&rand=1550237000
    พอล ครุกแมน'นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เตือนรัฐบาลทุกประเทศและประชาชนรับมือวิกฤตภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกปลายปีนี้



    Last updated: 15 กุมภาพันธ์ 2562 | 20:23

    'พอล ครุกแมน'นักเศรษฐศาสตร์ เจ้าของรางวัลโนเบล ปี 2551 กล่าวในงานสัมมนา World Government Summit 2019 ที่นครดูไบ ว่า มีความเป็นไปได้มากที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในช่วงปลายปีนี้ หรือ ปีหน้า จึงเตือนรัฐบาลทุกประเทศเตรียมหามาตรการรับมือภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

    15 กุมภาพันธ์ 2562-"พอล ครุกแมน" นักเศรษศาสตร์ชื่อดัง คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ผู้เคยทำนายวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียได้อย่างแม่นยำกว่า 2 ทศวรรษที่แล้ว ได้กล่าวระหว่างการบรรยายในหัวข้อ "Global Trade : Future Foresight and Analysis for Goverments" ว่า มีเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอที่คาดการณ์ว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในปีนี้ เมื่อดูจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของหลายภูมิภาคที่ปรับตัวลง ค่าจ้างแรงงานที่แทบจะไม่ปรับขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ยังคงขยายตัว และการขาดความมั่นใจของบรรดาผู้นำกลุ่มธุรกิจ พร้อมทั้งอ้างถึงช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ที่คณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร (ยูโรโซน) ในปี 2562 และ 2563 ว่า น่าจะขยายตัวในอัตราลดลงจาก 1.9% ในปี 2561 เหลือเพียง 1.3% ในปีนี้ (2562) จากนั้นคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้นที่อัตรา 1.6% ในปี 2563

    อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกขณะนี้เริ่มแผ่วลง แต่บรรดาผู้กำหนดนโยบายในประเทศต่าง ๆ ยังคงคาดหวังว่า เศรษฐกิจจะไม่ถดถอยอย่างรุนแรง การที่บรรดาเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบาย รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ไม่มีเครื่องมือเหลืออยู่สำหรับการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจขาลง อาจกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้ภาวะเศรษฐกิจขาลงที่เกิดขึ้นแล้วยิ่งเลวร้ายมากขึ้นกว่าเดิม เขากล่าวว่า โดยทั่วไปแล้ว ผู้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจมักจะขาดความเตรียมพร้อมสิ่งที่น่าเป็นห่วงโดยหลัก ๆ คือ เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว เรามักจะรับมืออย่างไร้ประสิทธิภาพ และดูเหมือนจะขาดมาตรการรองรับเพื่อป้องกันผลกระทบอยู่เสมอ (Safety Net)

    บ่อยครั้งที่ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ขาดเครื่องมือป้องกันแรงกระแทก เมื่อตลาดเกิดความปั่นป่วน นอกจากนี้ การวางแผนป้องกันความเสี่ยงก็มีน้อยมาก ยิ่งโลกกำลังเผชิญภาวะสงครามการค้าและนโยบายตั้งกำแพงปกป้องตัวเอง ก็ทวีความเข้มข้นมากขึ้น รัฐบาลต่าง ๆ ก็มักจะถูกดึงความสนใจและทรัพยากรต่าง ๆ ออกไปจากสิ่งที่เป็นปัญหาจำเป็นเร่งด่วนอย่างแท้จริง "ดูเหมือนจะมีปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ สะสมอยู่ แต่รัฐบาลส่วนใหญ่ก็ไม่มีนโยบายที่ดีมารับมือ" ครุกแมน กล่าวและว่า เฟดเหลือช่องว่างให้ลดดอกเบี้ยลงได้อีกไม่มาก ส่วนนโยบายการคลังถ้าเตรียมให้พร้อม ก็ยังจะพอมีพื้นที่ (ให้รับมือ) เหลืออยู่บ้าง แต่ในช่วงเวลานี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะเห็นการตอบสนองอย่างฉับไวได้ ดังนั้น จึงเดิมพันได้เลยว่า โลกจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นมาอย่างแน่นอน

    ครุกแมน วิเคราะห์ด้วยว่า กลุ่มยูโรโซนเผชิญกับภาวะชะลอตัว ที่อีกนิดเดียวก็จะเป็นการถดถอยแล้วอย่างชัดเจน และไม่เหลือเครื่องมือที่จะนำมาใช้ จะลดดอกเบี้ยลงอีกก็ไม่ได้แล้ว เพราะอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันก็ตกอยู่ในแดนลบอยู่แล้ว "ยุโรปกำลังเป็นจุดอันตรายที่อาจจะรุนแรงขึ้นเทียบเท่ากับจีน" ครุกแมนทำนาย

    อนึ่ง "Recession" คือ "ภาวะถดถอย" ทางเศรษฐกิจ โดยเทคนิค คือ การเปรียบเทียบอัตราการขยายตัวของ GDP ในแต่ละไตรมาส เทียบกับไตรมาสก่อนหน้านั้น ถ้าติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน ก็ถือว่าเป็นเศรษฐกิจถดถอย

    ด้าน นางคริสติน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวในงานสัมมนาเดียวกันว่า รัฐบาลนานาประเทศควรเตรียมความพร้อมรับมือกับพายุเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ จากเหตุปัจจัยหลัก 4 ประการ ซึ่งได้แก่ ความขัดแย้งทางการค้าและการตั้งกำแพงภาษี การเพิ่มความเข้มงวดด้านการเงิน ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเบร็กซิทและผลกระทบที่จะตามมา รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน

    นายไมเคิล สโตรแบค หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนระดับโลกของธนาคารเครดิต สวิส เปิดเผยว่า เครดิต สวิส ได้ปรับลดมุมมองต่อหุ้นทั่วโลกสู่ระดับ Neutral จากเดิมที่ระดับ Overweight ซึ่งการปรับลดมุมมองดังกล่าวมีสาเหตุจากการที่ตลาดเผชิญความเสี่ยงระยะสั้นจากหลายปัจจัย รวมถึงความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และความตึงเครียดทางการเมืองในยุโรป พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นตั้งแต่ในช่วงต้นปีนี้ ถูกผลักดันจากการปรับการประเมินมูลค่าหุ้นใหม่ มากกว่าที่เกิดจากแนวโน้มผลประกอบการที่สดใส

    "ถึงแม้ว่า เรายังคงคาดการณ์ว่า ผลตอบแทนโดยรวมจากการลงทุนในหุ้นทั่วโลกยังคงน่าดึงดูดใจในปีนี้ แต่เราก็ยอมรับว่า มีความเสี่ยงระยะสั้นหลายประการ"

    http://www.thaitribune.org/contents/detail/310?content_id=34617&rand=1550237000
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2019
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    shutterstock_576156805-696x422.jpg
    (Feb 15) สู้ศึกกาแฟจีน Starbucks เปิดร้านใหม่ในเซี่ยงไฮ้ ขายมากกว่ากาแฟ มีอาหาร- ค็อกเทลร่วมด้วย: Starbucks ในจีนเปิดร้านใหม่ เน้นขายอาหาร ค็อกเทล และเบเกอรี่

    Starbucks ประกาศเปิดร้านใหม่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ โดยใช้ชื่อว่า all-day dining cafe จุดเด่นคือไม่ได้ขายเพียงแค่กาแฟเท่านั้น แต่มีมีเมนูอาหารบรันช์ (Brunch = อาหารที่รวบระหว่างมื้อเช้ากับมื้อกลางวัน) รวมถึงเครื่องดื่มค็อกเทล และเบเกอรี่สูตรดั้งเดิมจากอิตาลี

    Belinda Wong ซีอีโอของ Starbucks ในจีน บอกว่า นี่คืออีกก้าวที่สำคัญของ Starbucks ในจีน “เพราะนอกจาก Starbucks จะบริการกาแฟพรีเมี่ยมแล้ว ทางแบรนด์ก็ไม่หยุดที่จะส่งนวัตกรรมอาหารเพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจให้กับลูกค้าอีกด้วย”

    อย่างไรก็ตาม ร้านกาแฟของ Starbucks ที่ขายค็อกเทลและอาหารในร้านไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยเปิดแล้วในปีที่ผ่านมาในสหรัฐอเมริกา

    คู่แข่งตัวฉกาจของ Starbucks ในจีนคือ Luckin Coffee

    ถ้าถามว่าใครคือศัตรูเบอร์ 1 ของ Starbucks ในจีน

    คำตอบก็คือ Luckin Coffee สตาร์ทอัพสายกาแฟที่มาแรงที่สุดของจีน โดยจุดเด่นของสตาร์ทอัพรายนี้ คือการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ รวมถึงการหั่นราคากาแฟที่รุนแรง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ล่าสุด Luckin Coffee ได้ตั้งเป้าเพิ่มสาขาอีกกว่า 2,500 แห่งทั่วประเทศจีน เรียกได้ว่าเตรียมตัวโค่นจำนวนสาขาของ Starbucks จีนในไม่ช้านี้

    โดย Thongchai Cholsiripong

    Source: Brandinside.asia
    https://brandinside.asia/starbucks-china-all-day-dining-cafe/
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1550297626640.jpg

    เปิดหนังสือ ‘กรมวิชาการเกษตร’ ถึงคกก.วัตถุอันตราย สรุปความก้าวหน้ามาตรการจำกัดใช้สารเคมีอันตราย 3 ชนิด ‘พาราควอต-คลอร์ไพริฟอส-ไกลโฟเซต’ เหตุผลยื้อต่ออายุ -เร่งพิจารณาออกประกาศฯ 5 ฉบับ กำหนดเงื่อนไข ก่อนแบนถาวร
    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.isranews.org/isranews/73842-paraquat-73842.html
    #isranews #สำนักข่าวอิศรา

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    MOREMOVE

    #มอร์มูฟเป็นข่าว คนเดียวก็เลี้ยงไม่ไหวแล้ว!! ทั้งๆ ที่รัฐบาลจีนใช้มาตรการร้อยแปดดำเนินการกระตุ้นจำนวนประชากรเกิดใหม่ แต่ชนชั้นกลางของจีนยังเมิน ไม่พร้อมมีลูกคนที่สอง เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรสูงเกินรับไหว
    การไม่สามารถเพิ่มจำนวนประชากรเกิดใหม่สร้างความปวดหัวให้รัฐบาลจีนอย่างมากเนื่องจากประเทศกำลังขาดทรัพยากรมนุษย์ในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ โดยจากข้อมูลพบว่า ปัจจุบันมีประชากรจีนที่มีอายุเกิน 60 ปีกว่า 17% ของประชากรจำนวนกว่า 240 ล้านคนทั้งประเทศ ซึ่งทำให้มีการคาดการณ์ว่า ตัวเลขผู้สูงอายุในจีนจะขึ้นไปอยู่ที่ 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศในปี 2593 และภายในปี 2573 ตัวเลขของประชากรจีนจะลดลงซึ่งไปเติมเชื้อความกลัวว่า #จีนจะแก่ก่อนจะรวย
    อย่างไรก็ตาม เมื่อ 3 ปีก่อน รัฐบาลจีนได้ผ่อนปรนมาตรการลูกคนเดียวที่มีมายาวนานถึง 4 ทศวรรษเพื่อหวังกระตุ้นให้มีเด็กเกิดใหม่มากขึ้นในประเทศ แต่รัฐบาลจีนต้องผิดหวังกับความเป็นจริง โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเผยให้เห็นว่า ในปี 2561 มีตัวเลขเด็กเกิดใหม่เพียง 15.32 ล้านคน ลดลงจากเดิมในปี 2560 ประมาณ 2 ล้านคน
    จากการสำรวจในปี 2560 พบว่า มากกว่า 50% ของครอบครัวในจีนไม่อยากมีลูกคนที่สอง และหนึ่งในสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายที่ตามมาเป็นเงาตามตัว.
    -------------------------------------
    อ่านต่อ : https://voicetv.co.th/read/Eghovgha...tjGbUWD2GxX_ILgeW4IS4N21TQReYasi5VExVP2sh-7s8

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    FB_IMG_1550297968431.jpg
    (Feb 16) เตรียมส่งทีมตรวจสอบมาตรฐานแบงก์ปล่อยกู้-หวั่นหนี้เน่าพุ่ง ธปท.ขยับคุมสินเชื่อรถยนต์ : "แบงก์ชาติ" เตรียมส่งทีม ตรวจสอบธนาคาร มุ่งเป้าสินเชื่อรถยนต์ หลังพบยอดปล่อยกู้พุ่งทุบสถิติรอบ 6 ปี หนี้เสีย เพิ่มต่อเนื่อง เน้นดูมาตรฐานสินเชื่อ พฤติกรรมชำระเงิน ครอบคลุมไปถึงภาระหนี้ต่อรายได้ คาดสรุปผลสอบภายในไตรมาส 2 นี้ ก่อนพิจารณาออกกฎคุม ขณะ สินเชื่อบ้านยังพุ่ง ล่าสุดนิวไฮรอบ 4 ปี เหตุเร่งอนุมัติก่อนเกณฑ์ "แอลทีวี" บังคับใช้

    ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมส่งผู้ตรวจสอบเดินสายตรวจสอบธนาคารพาณิชย์ ซึ่งดำเนินการเป็นประจำ ทุกปี โดยรอบนี้จะมุ่งเป้าไปที่สินเชื่อรถยนต์ ซึ่งถือเป็นการเข้าตรวจสอบเฉพาะด้าน (Target Examination) หลังจากพบว่า ช่วงที่ผ่านมาสินเชื่อกลุ่มนี้ขยายตัวร้อนแรง โดยในปี 2561 มีอัตราการเติบโตสูงถึง 12.56% ขณะที่หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.66%

    นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภายในไตรมาสแรกปีนี้ ธปท.จะส่งผู้ตรวจ ของ ธปท. เข้าไปทำTarget Examination ในส่วนสินเชื่อรถยนต์ ทั้งการเข้าไปดูเรื่องการปล่อยสินเชื่อ มาตรฐานการให้สินเชื่อ และครอบคลุมไปถึงการปล่อยสินเชื่อ จากการดูภาระหนี้ต่อรายได้ของผู้กู้ รวมทั้งความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ด้วย

    สาเหตุที่ต้องตรวจด้านนี้เป็นการเฉพาะ เนื่องจากที่ผ่านมาเริ่มเห็นเอ็นพีแอลสูงขึ้น โดยในปี 2561 เอ็นพีแอล เร่งขึ้นมาอยู่ที่ 1.66% จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 1.60% เช่นเดียวกันสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM)ที่อยู่ในระดับสูงที่ 7.11% ซึ่งเป็นผลมาจากการเร่งปล่อยสินเชื่อในส่วนของสินเชื่อรถยนต์ในปีที่ผ่านมา ทำให้สินเชื่อเติบโตค่อนข้างสูง

    สินเชื่อรถยนต์พุ่งรอบ6ปี

    โดยสินเชื่อรถยนต์ มียอดสินเชื่อคงค้างปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1 ล้านล้านบาท คิดเป็นการขยายตัวถึง 12.6% หากเทียบกับปี 2560 ที่ขยายตัวเพียง 8.4% ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดหากเทียบกับสินเชื่ออุปโภคบริโภคอื่นๆ และการเติบโตสินเชื่อรถยนต์ที่ 12.6% ถือเป็นการกลับมาเติบโตเป็นเลขสองหลักอีกครั้ง ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2555 ที่มีมาตรการสินเชื่อรถยนต์คันแรก ที่สินเชื่อมีการขยายตัวสูงถึง 39%

    ดังนั้นเอ็นพีแอลที่เร่งตัวสูงขึ้นมา ประกอบกับสินเชื่อที่ขยายตัวสูง จึงเป็นสิ่งที่ธปท.ต้องติดตาม และให้ผู้ตรวจ เข้าไปดูในรายละเอียดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งเบื้องต้น ผู้ตรวจของธปท.ก็เริ่มทยอยเดินสายเข้าไปพูดคุยกับกรรมการผู้จัดการ หรือซีอีโอ ของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงบริษัทลูกของ ธนาคารที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อรถยนต์แล้ว เพื่อรับฟังแนวนโยบาย การบริหารความเสี่ยง กลยุทธ์การดำเนินงานในส่วนสินเชื่อรถยนต์ เพื่อดูทิศทางและให้เห็นถึงความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อรถยนต์มากขึ้น

    สำหรับการเข้าตรวจสอบคาดว่าจะแล้ว เสร็จภายในไตรมาส 2 ปีนี้ หลังจากนั้น ธปท. จะนำผลการตรวจสอบ พร้อมข้อมูลต่างๆมาประมวลผลอีกครั้ง ว่าท้ายที่สุดแล้ว เห็นความเสี่ยงในสินเชื่อรถยนต์หรือไม่ ก่อนที่จะพิจารณาการเข้าไปดูแลในอนาคต

    "ในส่วนของการเข้าไปดูแล หรือการออก มาตรการมากำกับ ขณะนี้อาจจะเร็วไปที่จะพูด แบบนั้น เพราะก่อนที่เราจะตัดสินใจก็ต้องเข้าไปตรวจก่อน ไม่ได้ปักธงว่าจะออกสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากำกับเหมือนกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพราะต้องทำความเข้าใจกับแบงก์ก่อน สิ่งที่ห่วงอาจจะไม่มีอะไรก็ได้"

    สินเชื่อบ้านโตสุดรอบ4ปี

    อีกด้านที่ธปท.ก็ติดตามต่อเนื่อง คือ สินเชื่อบ้าน หลังธปท.ได้มีการออกมาตรการกำกับการปล่อยสินเชื่อบ้านไปแล้วเมื่อไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากพบว่า เอ็นพีแอลของสินเชื่อที่อยู่อาศัย ยังอยู่ในระดับสูง โดยสิ้นปีก่อน อยู่ที่ 3.25%

    ทั้งนี้ หากดูยอดการปล่อยสินเชื่อบ้านช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมา พบว่า อยู่ที่ 5.7 หมื่น ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมาจากการเร่งการปล่อยสินเชื่อ เร่งโอน เร่งขาย ก่อนที่มาตรการธปท.จะมีผลบังคับใช้ ทำให้สินเชื่อบ้านที่ผ่านมาขยายตัวสูงอยู่ที่ 7.8% หากเทียบกับปี 2560 ที่ผ่านมาที่ขยายตัวเพียง 5.5% ดังนั้นก็เป็นสิ่งที่ธปท.ต้องมอร์ติเตอร์สินเชื่อ 2ด้านนี้มากขึ้น

    ส่วนแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อบ้านช่วงไตรมาส 1ปีนี้ เชื่อว่ามีแนวโน้มที่จะเห็นการขยายตัวของยอดปล่อยสินเชื่อใหม่เติบโตขึ้นได้ หากเทียบกับไตรมาส 4 ที่ผ่านมา เพราะถือ เป็นช่วงโค้งท้ายก่อนที่มาตรการมีผล

    อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นธนาคารพาณิชย์บางแห่ง มีการปรับตัวบ้าง เพื่อรับกับเกณฑ์ใหม่ของธปท. โดยเฉพาะหากดูยอดปล่อยสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน( LTV)ที่มีการปล่อยเกิน 100% พบว่า สัดส่วนเริ่มปรับลดลง โดยล่าสุดอยู่เพียง 19% หากเทียบกับก่อนหน้าที่มีสัดส่วนสูงกว่า 20%

    ทั้งนี้ หากดูเอ็นพีแอลโดยรวมของธนาคารพาณิชย์ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.93% เพิ่มขึ้นหากเทียบกับปีก่อนที่เอ็นพีแอล อยู่ที่ 2.91% ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อเอสเอ็มอีที่เอ็นพีแอลยังปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยยอดคงค้างเอ็นพีแอล ปีก่อนอยู่ที่ 4.43 แสนล้านบาท โดยปรับ เพิ่มขึ้น 1.4 หมื่นล้านบาท หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หรือขยายตัวราว 3.3% ซึ่งพบว่าปีนี้ถือเป็นปีแรก ที่เอ็นพีแอลมีการขยายตัวเหลือเลขหลักเดียว จากก่อนหน้าที่ขยายตัวเป็นเลขสองหลักมาโดยตลอด นับตั้งแต่ ปี 58-60 เป็นต้นมา ซึ่งสอดคล้องกับหนี้ที่เข้าสู่ การปรับโครงสร้างหนี้ ที่สัดส่วนที่มีแนวโน้ม ลดลง ล่าสุดลดลงที่ 16% จากก่อนหน้าที่อยู่ในระดับสูงที่ 20% ดังนั้นก็ถือเป็นสัญญาณที่สะท้อนให้เห็นว่า เอ็นพีแอลเริ่มนิ่งมากขึ้น

    "เอ็นพีแอล"ส่อเพิ่มขึ้น

    อย่างไรก็ตาม แม้หนี้เสียใหม่ๆจะมีทิศทางชะลอตัวลง แต่โดยรวมแล้ว เชื่อว่าเอ็นพีแอลโดยรวมปีนี้ ก็น่าจะปรับเพิ่มขึ้นได้ หากเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจาก ด้วยฐานสินเชื่อที่คาดจะขยายตัวขึ้นในปีนี้ น่าจะทำให้ฐานเอ็นพีแอลใหญ่ขึ้นด้วย บวกกับการที่ ธนาคารพาณิชย์ปรับการบริหารเอ็นพีแอลใหม่ โดยการนำเอ็นพีแอลมาบริหารเอง แทนการขายออก อาจมีส่วนทำให้เอ็นพีแอลปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เชื่อว่า เอ็นพีแอลปีนี้ไม่น่าเกินระดับ 3%

    ส่วนภาพรวมสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ โดยรวมขยายตัวอยู่ที่6.0% โดยเพิ่มขึ้นหากเทียบกับปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 4.4% ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ขยายตัวขึ้น โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการขยายกิจการ การลงทุนต่อเนื่อง ทั้งในและต่างประเทศ ส่วนภาคธุรกิจขยายตัวได้ดีในธุรกิจค่อนข้างใหญ่ เช่นภาคบริการ และภาคพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ที่ยังขยายตัวได้ดี

    ขณะที่แนวโน้มปี 2562 คาดว่าสินเชื่อน่าจะยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของธนาคารพาณิชย์ที่คาดสินเชื่อปีนี้จะขยายตัวได้ 6-7% โดยเฉพาะมาจากการลงทุนในโครงการลงทุนของภาครัฐ และเอกชน ในเมกะโปรเจคต่างๆ

    ส่วนกำไรสุทธิโดยรวมของธนาคารพาณิชย์ อยู่ที่ 2.7แสนล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก ปีก่อนหน้าที่ 10.8% หลักๆมาจากการขยายตัวของรายได้ดอกเบี้ยตามการขยายตัวของสินเชื่อที่ปรับตัวดีขึ้น และการลดลงของภาระการตั้งสำรองที่โดยรวมอยู่ราว 1.4 แสนล้านบาท หากเทียบกับปีก่อนหน้าที่สำรองสูงถึง1.7 แสนล้านบาท เป็นผลมาจากการเลื่อนบังคับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่จำเป็นต้องเร่งการตั้งสำรอง

    ขณะที่แนวโน้มการทำกำไรของธนาคารพาณิชย์ปีนี้ คาดว่า ยังมีทิศทางเติบโตได้ต่อ จากปีที่ผ่านมา เพราะเชื่อว่าสินเชื่อยังขยายตัวได้ดี และถือเป็นส่วนหลักที่ทำให้กำไรเติบโตต่อได้ แม้ธนาคารพาณิชย์จะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมลดลง จากการโอนเงินผ่านดิจิทัลต่างๆที่ลดลง แต่เหล่านี้ถือเป็นสัดส่วนที่น้อย หากเทียบกับรายได้หลัก อย่างรายได้ดอกเบี้ย จากการปล่อยสินเชื่อที่มีสัดส่วนถึง 70% ของรายได้แบงก์
    Source: กรุงเทพธุรกิจ
    ข่าว ธปท. https://www.bot.or.th/Thai/PressandSpeeches/Press/News2562/n1362t.pdf
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    800x-1.jpg
    (Feb 16) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ระบุว่า การเพิ่มบทบาทของเงินสกุลยูโรในเวทีโลกจะช่วยสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB : นาย Benoit Coeure กล่าว ณ ที่ประชุม Council on Foreign Relations เมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี การใช้เงินสกุลยูโร ในหัวข้อ “The euro’s global role in a changing world: a monetary policy perspective” ว่าแม้ปัจจุบันเงินสกุลยูโรจะเป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้น โดยเป็นสกุลเงินที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากเป็นอันดับ 2 รองจากเงินสกุลดอลลาร์ สรอ. แต่การพยายามเร่งผลักดันให้เงินสกุลยูโรกลายเป็น global currency ในอดีตที่ผ่านมากลับส่งผลให้เงินยูโรค่อยๆ สูญเสีย international standing ไป โดยสังเกตได้จาก “Index of the euro’s international role” ซึ่งเป็นดัชณีชี้วัดสัดส่วนการใช้เงินสกุลยูโรเพื่อทำธุรกรรมต่างๆ ระหว่างประเทศ ได้ปรับลดลงอย่างมากนับตั้งแต่ช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 2000 เป็นต้นมา และยังคงล้าหลังเงินสกุลดอลลาร์ สรอ. อยู่อย่างมาก

    บทบาทของเงินสกุลยูโรในเวทีโลกที่ปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากจุดอ่อนในการออกแบบเชิงโครงสร้างของสหภาพยุโรปและ Economic and Monetary Union (EMU) โดยจุดอ่อนดังกล่าวประกอบด้วย
    1) การขาดความสามารถในการสร้างเสถียรภาพทั้งระดับภายในประเทศและระหว่างประเทศ
    2) ตลาดเงินยูโรโซนมีสภาพคล่องที่จำกัดและไม่มีความลึกมากเพียงพอ และ
    3) ยุโรปไม่ได้กำหนดทิศทางของภูมิภาคในเวทีโลกอย่างชัดเจนร่วมกัน

    ตนต้องการเน้นไปที่บทบาทของเงินยูโรในระดับโลก โดย ECB ยังคงเห็นเงินยูโรอยู่ในฐานะ “market-led process” ดังนั้นการมีนโยบายส่งเสริมบทบาทของเงินสกุลยูโรในเวทีโลกที่สอดคล้องกับการสนับสนุนให้เศรษฐกิจยูโรโซนเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งจะช่วยเสริมสร้างให้บทบาทของเงินยูโรในระดับโลกแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ดังกล่าวนอกจากจะช่วยสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสหภาพยุโรป ยังอาจมีผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงอาจเป็นเครื่องมือที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจโลกต่อไปในอนาคตได้อีกด้วย

    ECB กำลังหารือถึงการพิจารณาประกาศใช้มาตรการ Targeted Long-Term Refinancing Operation (TLTRO) ครั้งใหม่ โดย ECB จำเป็นต้องดูแลให้มั่นใจว่าสภาพคล่องจากมาตรการดังกล่าวจะถูกนำไปใช้อย่างถูกวัตถุประสงค์และช่วยรักษา favorable credit conditions ในยูโรโซนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเศรษฐกิจยูโรโซนในปัจจุบันชะลอตัวลงอย่างรุนแรงในวงกว้างมากกว่าที่ ECB คาดการณ์ไว้ และอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นไม่มากนัก ซึ่งการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB จำเป็นต้องปรับให้สอดคล้องกับพัฒนาการดังกล่าว

    Source: BOTSS

    - Coeure Says Boosting Euro's Global Role Could Help ECB Policy: https://www.bloomberg.com/news/arti...ting-euro-s-global-role-could-help-ecb-policy
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    MOREMOVE

    ข่าวเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2018
    อันเนื่องมาจาก #วันสิ่งแวดล้อมโลก #5มิถุนายน2561 แอดมินขอนำเสนอข่าวล่าสุดที่น่าตระหนกมากๆ #งานวิจัยมหิดลพบพาราควอตตกค้างในขี้เทาทารกสูงเกินครึ่ง ลั่นส่งผลกระทบต่อพัฒนาการเด็กตลอดชีวิต!! ที่ตลก (ร้าย) คือ แม้จะมีข้อมูลอันตรายซึ่งส่งผลต่อสรรพชีวิตมากเพียงใด #แต่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติไม่ยกเลิกการใช้สารเคมี พาราควอต คลอร์ไฟริฟอส และไกลโฟเซต ด้วยเหตุผลว่า #ข้อมูลผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพยังไม่เพียงพอ ท่ามกลางกระแสคัดค้านของคนจำนวนมาก รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุขเอง ... เพราะอะไรเดี๋ยวเล่าในตอนท้ายๆ
    Source : https://www.isranews.org/isranews…/64489-paraquat-64489.html // https://www.the101.world/banning-paraquat-in-thailand/
    โดยเรื่องนี้ ศ.ดร.พรพิมล กองทิพย์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยบนเวที สช.เจาะประเด็น 'พาราควอต : ฆ่าหญ้า VS คร่าสุขภาพ คนไทย' ความว่า ปี 2015 #ไทยนำเข้าสารกำจัดศัตรูพืชมากที่สุดเป็นอันดับ4ของโลก
    การศึกษาในสหรัฐฯพบว่า #การได้รับสารกำจัดศัตรูพืชในระหว่างตั้งครรภ์ของมารดาส่งผลต่อพัฒนาระบบประสาทของทารก
    งานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า 54.7% ของเด็กแรกเกิดที่อุจจาระออกมาเป็นครั้งแรกหรือที่เราเรียกว่า 'ขี้เทา' นั้น มีสารเคมีพาราควอตหรือยาฆ่าหญ้าที่เกษตรกรไทยใช้ในการกำจัดวัชพืช #โดยมารดาของเด็กเหล่านั้นรับเอาสารพิษเข้าไปจากอาหารที่รับประทานโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว
    ปัจจัยเสี่ยงที่ทารกจะได้รับสารเคมีจากมารดามาจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่มีการขุดดินในพื้นที่การเกษตรในช่วงตั้งครรภ์ โดยมีความเสี่ยงในการพบพาราควอตมากกว่ามารดาที่ไม่ได้ทำกิจกรรมดังกล่าวถึง 6 เท่า ขณะเดียวกัน มารดาที่ทำงานในพื้นที่การเกษตรช่วง 6-9 เดือนของการตั้งครรภ์ มีโอกาสที่จะตรวจพบพาราควอตมากถึง 5.4 เท่า
    หลายๆ ประเทศ (ตั้งแต่อังกฤษที่เป็นคนคิดค้นสารเคมีมีพิษชนิดนี้ขึ้นจนถึงประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่าง ลาว กัมพูชา) ยกเลิกการใช้สารเคมีพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสเพราะรู้ว่ามันมีโทษ
    “การที่เด็กทารกได้รับสารเหล่านั้นถือว่าเป็นอันตรายอย่างมาก #ถ้าเราไม่สามารถป้องกันให้เขาเกิดมาอย่างสมบูรณ์ได้ก็ลองคิดดูว่าอนาคตของไทยจะเป็นอย่างไร” ศ.ดร.พรพิมลกล่าว
    -----------------------------------
    อนึ่ง #พาราควอตเป็นยากำจัดวัชพืชอันดับหนึ่งของโลก ผลิตขึ้นจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ.2504 โดยบริษัทไอซีไอ (Imperial Chemical Industries) ในสหราชอาณาจักร มีคุณสมบัติทำให้ใบสีเขียวแห้งตาย จึงได้ผลดี พ่นไปพื้นที่ใด ใบหญ้าหรือวัชพืชก็หงิกงอแห้งตายสมใจผู้ใช้ เกษตรกรทั่วโลกนิยมใช้เพราะราคาถูก เห็นผลเร็ว เพียงแค่ผสมกับน้ำ แล้วพ่นใส่วัชพืช ช่วยเพิ่มผลิตผลในพื้นที่การเกษตรและสร้างความร่ำรวยให้กับบริษัทผู้ผลิตและนำเข้ามาจำหน่ายเป็นเวลานาน
    โดยเมื่อปี 2560 ประเทศไทยนำพาราควอตถึง 30,000 กว่าตัน เป็นมูลค่านับพันล้านบาท #พาราควอตละลายน้ำได้ดีจึงปนเปื้อนในแหล่งน้ำได้ง่าย
    อย่างไรก็ตาม #พาราควอตได้มีผลพิสูจน์ออกมาทั่วโลกแล้วว่าอันตรายร้ายแรง มีความเป็นพิษเฉียบพลันสูง ทำลายร่างกาย โดยเฉพาะ ตับ ไต หัวใจ ปอด แม้ในปริมาณเล็กน้อยเพียงหนึ่งช้อนชา ก็สามารถทำให้ตายได้ รวมถึงมีข้อกังวลเรื่องสารตกค้างที่อาจส่งผลต่อโรคพาร์กินสัน
    หน่วยงานหลายแห่งในประเทศไทยได้ตระหนักถึงพิษภัยของยาฆ่าวัชพืช มีการตั้งกรรมการขึ้นมาหลายชุดเพื่อพิจารณาว่าจะยกเลิกการใช้สารเคมี พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส หรือไม่ ในที่สุดที่ประชุมสามฝ่ายของผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ #มีความเห็นว่าควรสั่งแบน จากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน
    แต่สุดท้าย เมื่อ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติ 'ไม่ยกเลิก' การใช้สารเคมีพาราควอต คลอร์ไฟริฟอส และไกลโฟเซต ด้วยเหตุผลว่า ข้อมูลผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพยังไม่เพียงพอ มติดังกล่าวถูกชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า #เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทผู้นำเข้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืช และกีดกันไม่ให้ชาวบ้านใช้สมุนไพรเพื่อกำจัดวัชพืชเองได้ สุดท้ายรัฐบาลก็ยอมยกเลิกมติดังกล่าว เพราะผู้คนเห็นเบื้องหน้าเบื้องหลังของมติอันนี้.

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ที่มาของอนุสาวรีย์พระเจ้าตากฯ วงเวียนใหญ่ กับศรัทธาของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
    เผยแพร่ วันพฤหัสที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2560
    ในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ผู้แทนราษฎรจังหวัดธนบุรี นายทองอยู่ พุฒพัฒน์ เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีในการสร้างอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ รัฐบาลรับเรื่องมาดำเนินการโดยกำหนดให้ตั้งอนุสาวรีย์ที่วงเวียนใหญ่ ธนบุรี หลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีกรมศิลปากรได้สั่งการให้ออกแบบมาด้วยกัน ๗ แบบ ตั้งแสดงในงานรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. ๒๔๘๐ เพื่อขอมติมหาชนร่วมบริจาคทรัพย์เป็นคะแนนเสียงใส่ในตู้ซึ่งตั้งอยู่หน้าภาพแบบนั้นๆ การนับคะแนนเสียงนับหนึ่งชิ้นเป็นหนึ่งเสียง โดยไม่คำนึงถึงค่าของเงิน

    ผลของประชามติเลือกแบบที่ ๑ ทำเป็น “เสาสี่เหลี่ยมรี โคนมีกระดานหนีบข้างละสามแผ่น ปลายตั้งรูปพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงม้า สองข้างกระดานหนีบตั้งรูปทหารมีฐานสองชั้น ชั้นบนไม่มีพนัก ชั้นล่างมีพนักสามด้าน ด้านหน้าเป็นกะได” ได้คะแนนถึง ๓,๙๓๒ คะแนน

    แต่การดำเนินงานต้องชะงักลงเพราะได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ และการเมืองภายในประเทศไทย กว่าจะกลับมาดำเนินการใหม่ก็เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๑ โดยมีนายทองอยู่ พุฒพัฒน์ และนายเพทาย โชตินุชิต สมาชิกเทศบาลธนบุรี ได้ทำการรื้อฟื้นเรื่องขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และหลังเหตุการณ์ “กบฏแมนฮัตตัน” พ.ศ. ๒๔๙๔ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้อนุมัติเงินงบประมาณในการสร้างอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน ซึ่งแบบอนุสาวรีย์ที่ปรากฏถึงปัจจุบันมิใช่แบบตามที่ลงคะแนน เป็นพระบรมรูปขนาดหนึ่งเท่าครึ่งของคนจริงที่ออกแบบปั้นโดยศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี

    TK02.jpg
    ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ขณะปั้นแบบจำลองอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน
    มีเรื่องลับแบบไม่ลับว่าทำไม จอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหลังจากยุติสงครามโลกครั้งที่ ๒ จึงสนับสนุนการสร้างอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินเต็มที่ให้เสร็จโดยเร็วไว หลังผ่านเหตุการณ์ “กบฏแมนฮัตตัน” หนังสือ “ย่ำอดีต เล่ม ๒ พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กับงานกู้อิสรภาพของชาติไทย” โดย เชาวน์ รูปเทวินทร์ พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘ มีกล่าวถึงดังนี้

    “เหตุเกิดเพราะ ‘แมนฮัตตัน’ ใครที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม หรืออ่อนแก่กว่ากันเล็กน้อยคงจะพอจดจำกันได้นะครับว่า พระบรมราชาสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ประดิษฐานอยู่ ณ กลางวงเวียนใหญ่ฝั่งธนบุรี ขณะนี้นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเมื่อ ณ วันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๗ โดยรัฐบาลของท่าน จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีของเมืองไทยในขณะนั้น เป็นผู้เริ่มดำเนินก่อสร้างขึ้น แล้วนำถวายขึ้นกราบบังคมทูลพระราชทานอัญเชิญเสด็จฯไปทรงเปิดในวันดังกล่าว

    มีคำถามว่า ได้มีเหตุข้อมูลจูงใจอันใดหรือ ที่ทำให้ท่านจอมพลคนหัวปี ‘พ่อขุนแปลก’ คิดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินขึ้นในปี พ.ศ. นั้น! น่าจะมีกรณีพิเศษอะไรซักอย่างซีน่า!

    มีเรื่องเล่ากันมาว่า เพราะเมื่อกลางปี ๒๔๙๔ ‘พ่อขุนแปลก’ เกิดประสบภัยทางการเมืองอย่างรุนแรงจากกรณี ‘กบฏแมนฮัตตัน’ จนท่านต้องหนีเข้าไปหลบภัยอยู่ในท้องพระโรงพระราชวังเดิม ฝั่งธนบุรี ที่มีพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระเจ้ากรุงธนบุรีตั้งประดิษฐานอยู่ ณ ท้องพระโรงแห่งนั้น ท่านจอม ป. พิบูลสงคราม ได้ก้มลงกราบถวายบังคมพระบรมรูปของพระมหาราชเจ้าพระองค์นี้ ขอพระบารมีของท่านเป็นที่พึ่งให้ช่วยคุ้มครองความปลอดภัย และเมื่อท่านจอมพลรอดพ้นจากวิกฤติการณ์ทางการเมืองในคราวนั้นมาได้โดยสวัสดิภาพ กลับมานั่งเอ้เตอยู่ ณ ทำเนียบรัฐบาลได้อย่างเก่าแล้ว ท่านจึงลงมือดำเนินการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีขึ้นจนสำเร็จเรียบร้อยในปีถัดมา

    กบฏแมนฮัตตันนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๔๙๔ จะเกิดขึ้นเพราะสาเหตุอะไรบ้าง ผมจะไม่เล่านะครับ เพราะเรื่องมันยาว จะสรุปสั้นๆ เพียงแค่ว่า ท่านถูก นาวาตรี มนัส จารุภา จี้ท่านเอาลงเรือเล็กขึ้นไปกักบริเวณท่านไว้บนเรือรบหลวงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นเรือปืนลำใหญ่ที่สุดของกองทัพเรือไทยในขณะนั้น ต่อมาฝ่ายรัฐบาลได้ยื่นคำขาดให้ฝ่ายกบฏยอมแพ้แล้วใช้กำลังทหารบก ทหารอากาศ เข้าปราบกบฏกลุ่มนี้อย่างรุนแรง มีเครื่องบินทิ้งระเบิดเรือศรีอยุธยาจนจมลงกลางแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ จอมพล ป. ท่านรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ เพราะมีนายทหารเรือ ๒ คน (ผมจำชื่อไม่ได้เสียแล้ว) พาท่านโดดลงน้ำหนีขึ้นไปอาศัยอยู่ในท้องพระโรงพระราชวังเดิม อันเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการกองทัพเรือขณะนั้น และเมื่อท่านย่างเท้าก้าวเข้าไปในท้องพระโรงพระราชวังหลวงเก่าดังกล่าว ทั้งๆ ที่อยู่ในสภาพเปียกม่อลอกม่อแลกชุ่มโชกไปทั้งตัว ท่านพ่อขุนแปลกก็ทรุดร่างก้มกราบถวายบังคมต่อเบื้องหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์อันตั้งเป็นประธานอยู่ ณ ที่นั้น อ้อนวอนขอพระบารมีของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนเป็นที่พึ่ง แล้วท่านก็รอดปลอดภัยชัยโยกลับมานั่งแป้นเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ได้อีกครั้งดังกล่าวมาข้างต้นนั้นแหละครับ

    ไม่ทราบว่า ข้อความที่ผมได้ยินเขาเล่ากันมาข้างต้นนั้นจะจริงเท็จประการใด แต่ท่านผู้เล่าก็มีตำแหน่งแห่งที่ในขณะนั้นใหญ่โตน่าเชื่อถือจริงๆ เพราะท่านยังได้เล่าต่ออีกว่า ต่อมา พลโท ม.ล. ขาบ กุญชร เลขาธิการนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ก็ได้รับบัญชาจากท่านจอมพล ป. ให้ติดต่อประสานงานกับกรมศิลปากร โดยเจาะจงให้ท่านศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี คณบดีคณะจิตรกรรมและประติมากรรมของมหาวิทยาลัยศิลปากรในขณะนั้น เป็นผู้อำนวยการก่อสร้างและปั้นพระบรมรูปของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทั้งหมดด้วย

    กำเนิดของพระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงมีที่มาด้วยประการฉะนี้ ความจริงความดำริเรื่องนี้ดูเหมือนจะคิดริเริ่มกันมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยรัฐบาล จอมพล ป. ยุคแรก แต่เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ขึ้น แล้วจอมพล ป. ท่านสิ้นอำนาจไปเสียก่อน”

    ทั้งหมดนี้คือคำตอบแบบไม่ลับ! ที่ว่าอยู่ๆ ทำไมท่าน จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงศรัทธาในพระบารมีของสมเด็จพระเจ้าตากสิน

    [ข้อมูลจากเอกสารประกอบ สโมสรศิลปวัฒนธรรมเสวนา “อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ และพระบารมีของพระเจ้าตาก” วันที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗]


    https://www.silpa-mag.com/history/article_5201
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Tiempo Extremo
    FB_IMG_1550301010625.jpg
    ผู้ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กรายงานเส้นทางของอุกกาบาตในเม็กซิโกกัวเตมาลาและฮอนดูรัส

    El Despertar a un Nuevo Mundo 2

    คุณเห็นเพื่อนไหม

    รายงาน

    Usuarios de redes sociales reportan el paso de un meteorito en México, Guatemala y Honduras.

    El Despertar a un Nuevo Mundo 2

    ¿Lo vieron amigos?

    Reporten

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Tiempo Extremo

    พวกเขารายงานการผ่านของ วัตถุ เหนือกัวเตมาลา
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    104394116-GettyImages-665833826.530x298.jpg
    (Feb 15) รายงาน: พิมพ์เขียวรับมือผลเจรจาการค้าจีน-สหรัฐ : ซีซาร์ โรจาส นักเศรษฐศาสตร์ของซิตี้กรุ๊ป เชื่อว่ายังมีความไม่แน่นอนมากที่การเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะได้ผลลัพธ์เป็นการถาวร และได้คาดการณ์ถึงผลจากการเจรจาการค้าไว้ 3 กรณี ซึ่งนักลงทุนจะได้รู้ว่าแต่ละกรณีจะมีผลกระทบต่อตลาดอย่างไรและต่อภาคหรือบริษัทไหนบ้าง

    กรณีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นน้อยสุด (มีความเป็นไปได้ 5%)

    กรณีนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้ข้อตกลงการค้าแบบเบ็ดเสร็จ โดยมีการลดภาษีร่วมกัน และสหรัฐฯ มีท่าทีอ่อนลงต่อจีน กรณีนี้จะรวมถึงมาตรการที่จะลดการขาดดุลการค้า (เช่น จีนซื้อถั่วเหลืองสหรัฐฯ อย่างยั่งยืน) และรัฐบาลปักกิ่งให้คำมั่นว่าจะปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาและเปิดตลาดให้กับการลงทุนของอเมริกา

    สถานการณ์นี้ควรจะเป็นผลดีต่อตลาดเนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองเศรษฐกิจใหญ่สุดจะเบาบางลง และควรจะช่วยหนุนความเชื่อมั่นได้มาก นักกลยุทธ์ของซิตี้กรุ๊ปเชื่อว่าพัฒนาการในทางบวกเช่นนี้จะมีผลกระทบโดยรวมจำกัด ยกเว้นให้ประโยชน์แก่อุตสาหกรรมที่ได้มีความสำคัญจนถึงขณะนี้ เนื่องจากตลาดสินเชื่อได้รับรู้เป็นส่วนใหญ่แล้วต่อความเสี่ยงที่การเจรจาจะล้มลง

    นักวิเคราะห์ซิตี้คิดว่าสถานการณ์นี้จะเป็นบวกแก่หุ้นตามวงจรเศรษฐกิจ และจะทำให้หุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นประมาณ 10% ภายในปลายปี 2562 และสถานการณ์นี้น่าจะทำให้เคิร์ฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ สูงชันยิ่งขึ้น และผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวจะสูงกว่าผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นมากขึ้น ตลาดเกิดใหม่และตลาดโภคภัณฑ์จะเป็นผู้ชนะ โดยถั่วเหลือง ธัญพืช ทองแดง และน้ำมันจะมีราคาสูงขึ้น

    ทิมโมธี เธียน นักวิเคราะห์ของซิตี้ กล่าวว่า จะเป็นผลดีต่อหุ้นเครื่องจักรเช่นกัน บริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปใหญ่ ๆ อย่างคาเทอร์พิลลาร์ คัมมินส์ และอีตัน มีการซื้อขายอย่างใกล้ชิดกับการคาดการณ์ที่เกี่ยวกับการเติบโตทั่วโลก และรูปแบบความตึงเครียดทางการค้าใด ๆ ก็ตามที่ผ่อนคลายลง จะช่วยทำให้ความเชื่อมั่นดีขึ้น บริษัทอุปกรณ์ขนาดใหญ่ เช่น เดียร์ ซีเอ็นเอช อินดัสเทรียล และแอกโค จะได้ประโยชน์เป็นพิเศษ เนื่องจากราคาถั่วเหลืองสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น น่าจะทำให้ราคาข้าวโพดดีดตัวตามด้วย และจะทำให้การใช้จ่ายและอารมณ์ของเกษตรกรดีขึ้น

    กรณีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมากสุด (มีความเป็นไปได้ 55%)

    กรณีนี้มีโอกาสที่จะเลื่อนเส้นตาย แต่ยังคงเก็บภาษีและดำเนินกลยุทธ์ควบคุมจีนต่อไป กรณีนี้อาจรวมถึงการให้คำมั่นของจีนที่จะลดการขาดดุลการค้าสินค้าเพิ่มเป็น 200,000 ล้านดอลลาร์ภายในปลายปี 2563 และให้การส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าในภาคผลิตของสหรัฐฯ เข้าถึงตลาดจีนมากขึ้น นอกจากนี้น่าจะมีการสัญญาจากรัฐบาลจีนที่จะบังคับใช้ระเบียบทรัพย์สินทางปัญญาให้มากขึ้น และลดความสำคัญของแผนการ “เมด อิน ไชน่า 2025” กรณีนี้อาจเป็นเหตุผลให้มีการเลื่อนการขึ้นภาษีเมื่อทั้งสองฝ่ายหาทางทำข้อตกลงเป็นการถาวร

    กรณีนี้จะเป็นผลดีต่อตลาด (ในกรณีที่ยังไม่มีการคาดการณ์ข้อตกลงเช่นนั้นไว้แล้ว) แต่กระบวนการที่จะมีการตรวจสอบและมีข้อจำกัดเพิ่มเข้ามา อาจจะทำให้เกิดความสงสัยในระดับหนึ่ง

    นักกลยุทธ์ของซิตี้คิดว่าจะมีความเปราะบางเพิ่มขึ้นสำหรับภาคอุตสาหกรรมและจะมีบริษัทมากขึ้นที่จะน่าจะพยายามขึ้นราคาผ่านซัพพลายเชนเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันต่อกำไร

    กรณีนี้อาจหนุนให้หุ้นทั่วโลกดีดตัวขึ้นประมาณ 5% ภายในเดือนธันวาคม และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะมีแรงกดดันท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น ซิตี้กรุ๊ปเชื่อว่ากรณีนี้จะเป็นผลดีพอประมาณต่อถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์เกษตรบางประเภทและโลหะ และมีผลกระทบน้อยต่อพลังงาน

    คริสเตียน วีเธอร์บี นักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ป กล่าว่า กรณีนี้น่าจะช่วยหนุนบริษัทขนส่งจำนวนหนึ่ง เนื่องจากดีมานด์การขนส่งสินค้ากลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น และจะหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มได้ พัฒนาการนี้อาจทำให้อัตราค่าขนส่งโดยทั่วไปฟื้นตัว

    กรณีที่คาดว่าจะเลวร้ายสุด (มีความเป็นไปได้ 40%)

    ซิตี้กรุ๊ป มองว่า จะเกิดสถานการณ์ที่เป็นลบมากสุดหากสหรัฐฯ และจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้หรือไม่สามารถเลื่อนเส้นตายในวันที่ 2 มีนาคมได้ การเก็บภาษีสินค้าจีน 200,000 ล้านดอลลาร์จะเพิ่มจาก 10% เป็น 25% และคาดว่ารัฐบาลวอชิงตันจะพยายามกดดันให้เศรษฐกิจจีนตกต่ำลงอีก รัฐบาลปักกิ่งอาจเลือกตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีของตนเองต่อสินค้าที่ได้ตกเป็นเป้าในการเก็บภาษี 60,000 ล้านดอลลาร์อยู่แล้ว โดยจะขึ้นอยู่กับว่าภาวะเศรษฐกิจจีนเป็นเช่นไร

    จีนยังอาจดำเนินมาตรการที่ไม่ธรรมดา เช่น ตั้งอุปสรรคต่อการลงทุนของสหรัฐฯ หรือออกระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อบริษัทอเมริกันที่ทำธุรกิจในจีนอยู่แล้ว และยังอาจจะเลือกที่จะลดการถือครองหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ แม้ว่าความเสี่ยงนั้นอาจมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน

    สถานการณ์นี้จะมีผลกระทบในทางลบต่อการเติบโตและการค้าทั่วโลก มีแนวโน้มที่จะทำให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ผันแปร และเกิดวิกฤติความเชื่อมั่นในทางลบที่จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในการลงทุนและความเชื่อมั่นในตลาด

    นักกลยุทธ์ของซิตี้กรุ๊ปคิดว่า การเติบโตที่คาดว่าจะลดลงจะเป็นสัญญาณลบต่อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และจะกดดันต่อผลตอบแทนพันธบัตร โดยจะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวสูงกว่าผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น ซึ่งอาจเป็นอันตรายหากจีนขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ นักกลยุทธ์ซิตี้แบงก์คิดว่าหุ้นทั่วโลกอาจดิ่งลงประมาณ 10-15% ในระยะสั้น และบริษัทแอปเปิลอาจเปราะบางเป็นพิเศษเมื่อความสัมพันธ์ของจีนและสหรัฐฯ เลวร้ายลง
    Source: ข่าวหุ้น
    - Here's a blueprint for investors trading the different China-US trade war outcomes
    https://www.cnbc.com/2019/02/12/a-blueprint-for-trading-the-different-trade-war-outcomes.html
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Wealth Station

    FB_IMG_1550302957586.jpg

    IQ> บอนด์ยีลด์สหรัฐปรับตัวไร้ทิศทาง นักลงทุนจับตาเจรจาการค้า,ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ

    สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.พ. 62)--อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวไร้ทิศทางในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ
    ตลาดพันธบัตรสหรัฐจะปิดทำการในวันจันทร์หน้า เนื่องในวันประธานาธิบดี
    ณ เวลา 00.19 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.668% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 3.0%
    ราคาพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกัน
    สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนระบุว่า จีนและสหรัฐสามารถบรรลุฉันทามติในหลักการต่อประเด็นที่สำคัญในการเจรจาการค้าในสัปหน้านี้ที่กรุงปักกิ่ง
    ซินหัวระบุว่า ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันเกี่ยวกับประเด็นการถ่ายโอนเทคโนโลยี, การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา, ดุลการค้า, ภาคบริการและการเกษตร รวมทั้งการหลีกเลี่ยงการสร้างอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี
    นอกจากนี้ จีนและสหรัฐยังได้เจรจาในรายละเอียดเกี่ยวกับการทำบันทึกความเข้าใจ (MoU) ทางด้านการค้าและเศรษฐกิจ
    ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงกล่าวในวันนี้ว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความคืบหน้าที่สำคัญในสัปดาห์นี้ และทั้งสองฝ่ายจะยังคงเจรจาต่อไปที่กรุงวอชิงตันในสัปดาห์หน้า
    "สัปดาห์หน้า ทั้งสองฝ่ายจะพบกันอีกครั้งที่กรุงวอชิงตัน ผมหวังว่าคุณจะยังคงใช้ความพยายามบรรลุข้อตกลงที่ได้ชัยชนะทั้งสองฝ่าย และได้ผลประโยชน์ร่วมกัน" ปธน.สี จิ้นผิงกล่าวต่อคณะเจรจาการค้าของสหรัฐ
    ปธน.สี จิ้นผิงยังกล่าวว่า จีนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการแก้ข้อขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐ
    นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ทวีตข้อความในวันนี้ ระบุว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในสัปดาห์นี้มีผลลัพธ์ที่ดี
    ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 95.5 ในเดือนก.พ. โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 93.0 หลังจากแตะระดับ 91.2 ในเดือนม.ค.
    การดีดตัวของดัชนีความเชื่อมั่นได้รับแรงหนุนจากการยุติการปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐ (ชัตดาวน์) และการที่ธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
    ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเป็นการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค 500 รายต่อภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่ ฐานะการเงินส่วนบุคคล, ภาวะเงินเฟ้อ, การว่างงาน, อัตราดอกเบี้ย และนโยบายรัฐบาล

    --อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ โทร.02-2535000 อีเมล์: kongkiat.k@infoquest.co.th--

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทำไมเฟดเปลี่ยนท่าที ไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย

    Wealth Station

    IQ> เฟดยันตัวเลขยอดค้าปลีกซบ,การผลิตภาคอุตฯวูบ ไม่ได้บ่งชี้ศก.ชะลอตัวมากกว่าคาด

    สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.พ. 62)--นายราฟาเอล บอสติค ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา กล่าวว่า การเปิดเผยตัวเลขยอดค้าปลีก และการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่น่าผิดหวัง ไม่ได้เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวมากกว่าที่คาดไว้
    "ผมยังไม่เห็นข้อมูลที่บ่งชี้ว่าเราจะอยู่ที่ระดับแนวโน้ม หรือต่ำกว่า และขณะนี้เศรษฐกิจก็อาจปรับตัวสูงกว่าแนวโน้มในปีนี้ โดยอาจอยู่ในช่วง 2.3-2.5% ซึ่งแม้ต่ำกว่าระดับในปีที่แล้ว แต่ก็ยังคงสูงกว่าระดับศักยภาพ ซึ่งอยู่ต่ำกว่า 2%" นายบอสติคกล่าว
    ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เฟดคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงในปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งได้รับการกระตุ้นจากการใช้จ่ายของรัฐ และมาตรการปรับลดอัตราภาษี
    นายบอสติคยืนยันว่า แม้มีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอ แต่เขาก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองของตนเอง หรือการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหนึ่งครั้งในปีนี้
    กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกดิ่งลง 1.2% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2552 ซึ่งขณะนั้นเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวจากภาวะถดถอย
    นักวิเคราะห์คาดว่ายอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนธ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย.
    การทรุดตัวของยอดค้าปลีกในเดือนธ.ค.ได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของยอดขายในสินค้าทุกหมวด
    นอกจากนี้ เฟดรายงานว่า การผลิตในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐปรับตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ปีที่แล้ว โดยได้รับผลกระทบจากการร่วงลงของการผลิตรถยนต์ และเครื่องจักร
    เฟดเปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐร่วงลง 0.6% ในเดือนม.ค.
    ทั้งนี้ การผลิตภาคอุตสาหกรรมเป็นการวัดการปรับตัวของภาคการผลิต, เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค

    --อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ โทร.02-2535000 อีเมล์: kongkiat.k@infoquest.co.th--

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Wealth Station
    FB_IMG_1550303370797.jpg
    ขายราว 30 ตันในสองสัปดาห์ ขายฉลองตรุษจีนหรือไง
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แรงงานจีนประท้วงมากขึ้นเพราะเศรษฐกิจถดถอย แต่รัฐต้องการควบคุม แปลและเรียบเรียงโดย พัชณีย์ คำหนัก 15 ก.พ. 2562
    a6fee9c2ccca03697c80a26d21d789fd.jpg

    แรงงานทั่วประเทศจีนกำลังประท้วงเรียกร้องสิทธิต่างๆ สืบเนื่องมาจากสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย แต่ต้องเผชิญกับการเจ้าหน้าที่รัฐตอบโต้ด้วยการควบคุมกักขัง ที่มาภาพประกอบ: CreditSue-Lin Wong/Reuters

    ปักกิ่ง - คนงานโรงงานทั่วประเทศจีนกำลังประท้วงเรียกร้องค่าจ้างที่ยังค้างจ่ายที่มาด้วย "เลือดและเหงื่อ” คนขับรถแท็กซี่ประท้วงหน้าหน่วยงานราชการเพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิบัติต่อแรงงานให้ดีขึ้น คนงานก่อสร้างก็ขู่กระโดดตึกตาย หากไม่ได้ค่าจ้าง

    การเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศจีนกำลังถดถอยในรอบเกือบสามทศวรรษ แรงงานชาวจีนหลายพันคนกำลังจัดประท้วงขนาดย่อม เพื่อเรียกร้องให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย ค่าชดเชยและลดชั่วโมงการทำงาน เจ้าหน้าที่รัฐตอบโต้คนงานที่ประท้วงด้วยการควบคุมกักขัง และกรณีล่าสุดจับกุมนักเคลื่อนไหวที่มีชื่อเสียงหลายคนในเเมืองเซินเจิ้นทางตอนใต้ของประเทศเมื่อปลายเดือน ม.ค. 2019

    การประท้วงของคนงานดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการท้าทายภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว ส่งผลให้นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีนที่มุ่งเดินตามนโยบายขาย “ความฝันของจีน” ด้วยวิสัยทัศน์สร้างความมั่งคั่งและสังคมที่ยุติธรรม


    คลิปคนงานก่อสร้างประท้วงค่าจ้างค้างจ่ายที่ไซต์ก่อสร้างจังหวัด Anhui เดือน ก.พ. 2019

    เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ครอบครัวชาวจีนมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองวันตรุษจีน ซึ่งเป็นวันหยุดสำคัญที่สุดของปี คนงานจำนวนมากกล่าวว่า พวกเขาต่างต้องดิ้นรนเพื่อใช้จ่ายสิ่งจำเป็นเช่นอาหารและค่าเช่าบ้าน

    “ไม่มีใครสนใจพวกเราอีกแล้ว” นาย Zhou Liang วัย 46 ปี ผู้ร่วมประท้วงนอกโรงงานอิเล็กทรอนิกส์แห่งหนึ่ง ณ เมืองเซินเจิ้นเมื่อเดือนที่แล้ว (ม.ค. 2019) เขากล่าวว่า นายจ้างเป็นหนี้เขากว่า 3,000 เหรียญ “ผมเสียสละชีวิตร่างกายทำงานให้บริษัท” เขากล่าว “และตอนนี้ผมไม่สามารถซื้อข้าวได้แม้แต่ถุงเดียว”

    องค์กรที่จัดทำจดหมายข่าวแรงงานจีน (China Labor Bulletin) ในฮ่องกง ซึ่งติดตามการประท้วง บันทึกสถิติไว้ว่า มีจำนวนข้อพิพาทแรงงานอย่างน้อย 1,700 ครั้งเมื่อปี 2018 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมเมื่อปีก่อน ประมาณ 1,200 ครั้ง ตัวเลขนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของจำนวนข้อพิพาททั้งหมดที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ เพราะมีความขัดแย้งอีกจำนวนมากไม่ได้ถูกรายงานและนายสีพยายามเซ็นเซอร์อย่างเข้มข้น

    เจ้าหน้าที่รัฐได้กักขังประชาชนไปแล้วกว่า 150 คนนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2018 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากปีก่อนหน้า รวมทั้งครู คนขับแท็กซี่ คนงานก่อสร้างและนักศึกษาฝ่ายซ้ายที่นำการรณรงค์ต่อต้านการละเมิดของโรงงาน

    เหตุการณ์ความไม่สงบทำให้พรรคคอมมิวนิสต์อยู่ในสถานะที่อึดอัด ตั้งแต่ยุคสมัยของเหมาเจ๋อตง พรรคฯ คอยปกป้องคุ้มครองคนงานไม่เว้นแต่ละวัน แต่หลายคนกล่าวโทษเจ้าหน้าที่พรรคที่ไม่ปกป้องสิทธิแรงงาน

    เมื่อมีการประท้วงเพิ่มขึ้นหลายเท่า นายสี ซึ่งเป็นผู้นำที่มีอำนาจสูงสุดของจีนนับตั้งแต่เหมา เขาพยายามสร้างความมั่นใจให้กับพนักงานว่า เขาเข้าใจสภาพที่เป็นอยู่ของพนักงาน โดยกล่าวว่า "คุณเป็นคนขยันมากเหมือนผึ้งที่ตะลอนไปมา โดนแดดโดนฝน” เมื่อเขาเดินทางไปยังกรุงปักกิ่งเพื่ออวยพรพนักงานส่งของ ให้มีความสุขในปีใหม่ เป็นข่าวเด่นในสื่อของรัฐ

    แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การที่ประชาชนมอบความไว้วางใจให้แก่พรรคฯ และนโยบายขาย “ความฝันของจีน” ของนายสี อาจเกิดสถานการณ์ที่ย่ำแย่ลง หากคนงานไม่ได้รับความช่วยเหลือ

    “หากครูปฏิเสธที่จะสอน คนขับรถบรรทุกหยุดส่งสินค้า คนงานก่อสร้างหยุดงาน ความฝันจะเป็นจริงได้ยาก” ไดอาน่า ฟู ผู้ช่วยศาสตราจารย์ การเมืองในเอเชีย แห่งมหาวิทยาลัยโตรอนโตกล่าว

    เหตุการณ์ความไม่สงบยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น บริษัทที่บริการจัดส่งอาหารและบริการแชร์รถจักรยาน เนื่องจากคนงานบ่นเรื่องการทำงานที่เหน็ดเหนื่อยและค่าแรงต่ำ

    นายสี ซึ่งขึ้นสู่อำนาจเมื่อปี 2012 เผชิญกับปัญหาและอุปสรรคที่หลากหลายที่สร้างความยุ่งยากในการบริหารจัดการและเปลี่ยนผ่านไปสู่การสร้างระบบเศรษฐกิจไฮเทคโนโลยี ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักธุรกิจลดลง ตลาดที่อยู่อาศัยติดขัด และความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ ยังคงมีอยู่

    รัฐบาลกล่าวว่า ปี 2018 เศรษฐกิจขยายตัว 6.6% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 2533 ผู้เชี่ยวชาญหลายคนสังเกตเห็นได้จากยอดขายอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง กิจกรรมการผลิตของโรงงานซบเซา และอัตราการเติบโตดังกล่าวแท้จริงอาจต่ำกว่านี้

    จากการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจทำให้นายสีรู้สึกตึงเครียด เขาพยายามที่จะคลี่คลายความตึงเครียดด้วยการกระตุ้นบริษัทต่าง ๆ จ่ายเงินเดือนให้คนงานผู้มีรายได้น้อยตรงเวลา คณะรัฐมนตรีของจีนกล่าวว่า รัฐบาลต้องการให้บริษัทจัดการกับค่าจ้างค้างจ่ายให้เรียบร้อยภายในปีหน้า

    การประท้วงของแรงงานในประเทศจีนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไปและเพื่อหลีกเลี่ยงการประท้วงที่ยืดเยื้อ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมักกดดันให้ธุรกิจต่างๆ ระงับข้อพิพาท แต่บริษัทต่างๆ ไม่เต็มใจหรือไม่สามารถทำได้

    นายสีได้เพิ่มอำนาจกำกับดูแลองค์กรสหพันธ์แรงงานจีน (ACFTU) - องค์กรแรงงานที่ถูกพรรคควบคุม จะต้องไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้แก่สมาชิกกว่า 300 ล้านคน แต่หลายครั้งมักเข้าข้างฝ่ายบริหาร นายสียังได้บ่อนทำลายกลุ่มองค์กรผู้สนับสนุนแรงงานที่ไม่แสวงหากำไร ซึ่งในอดีตให้คำแนะนำแก่คนงานและช่วยเจรจาต่อรองร่วม

    ในการปราบปรามองค์กรสนับสนุนแรงงานในเซินเจิ้นเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กักตัวผู้สนับสนุนสิทธิแรงงาน 5 คนด้วยข้อหา "ทำลายความสงบเรียบร้อยของประชาชน" ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่คลุมเครือ และมักใช้กับผู้วิจารณ์รัฐบาล

    ในสภาพที่ไม่มีสหภาพแรงงานอิสระ คนงานบางคนหันไปใช้มาตรการรุนแรงเพื่อยุติข้อพิพาทด้วยตัวเอง

    ในกรณีของนายหวัง เสี่ยว วัย 33 ปี คนงานก่อสร้างเริ่มเบื่อหน่ายกับการล็อบบี้นายจ้างให้จ่ายค่าจ้างค้างจ่าย $2,000 ซึ่งเป็นค่าตอบแทนในโครงการก่อสร้างในจังหวัดทางตะวันออกของมณฑลซานตง ด้วยเหตุนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขาจึงหันไปใช้โซเชียลมีเดียขู่ว่าจะกระโดดตึกสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่ดูแลโครงการ

    “ผมปีนขึ้นไปถึงหลังคาอาคารและเตรียมกระโดด เพื่อที่จะได้เงินเร็วขึ้น” เขาให้สัมภาษณ์ (นายหวางไม่ได้ทำตามคำขู่ของเขา)


    ที่มาเรียบเรียงจาก
    https://www.nytimes.com/2019/02/06/world/asia/china-workers-protests.html

    ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
    www.facebook.com/tcijthai
    https://www.tcijthai.com/news/2019/2/labour/8770

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2019
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ... “ฟองสบู่บ้านคอนโด อเมริกา กำลังจะระเบิด ซ้ำรอย 2008 อีกครั้ง ?”
    FB_IMG_1550304871229.jpg
    ... จากกราฟนั้นจะเห็นว่า “ราคาบ้านและอสังหาริมทรัพย์ของปีที่แล้ว 2018 เข้าปี 2019 นี้นั้นราคาสูงกว่าในปี 2008 ที่เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์” มากนัก ที่ตอนนั้นลามไปสู่จากอสังหาริมทรัพย์ไปหาภาคการเงิน จากอเมริกาไปทั่วโลก ที่แปลว่ากำลังสู่โซนอันตราย “ก่อนฟองสบู่แตกอีกครั้ง”
    ... แต่นักลงทุน ก็ยังชะล่าใจเพราะเชื่อว่าปัจจัยอื่นๆยังคงเอื้ออุ้ม เช่น
    ... “รายได้ส่วนบุคคล” และ “ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล” รวมถึงรายได้ส่วนบุคคลที่หักรายจ่ายแล้ว” จะเพิ่มขึ้นดังนั้นพวกเขาเชื่อว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างการเพิ่มขึ้นของราคาบ้านและการเพิ่มขึ้นของรายได้นั้นยังคงแข็งแกร่งอยู่” ( รายได้ที่เพิ่มมากขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะบริษัทขึ้นเงินเดือนให้พนักงาน ก็เพราะนโยบายของ ทรัมป์ ที่ลดภาษีบริษัท บรรษัทขนาดใหญ่ เพราะกระตุ้นการกลับมาจ้างงานในประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่จีรังยั่งยืนระยะยาว ตัวเลขในตลาดหุ้นนั้นผลประกอบการและเงินปันผลน้อย ดังนั้นเงินที่เพิ่มเป็นเงินฟรีจากทรัมป์ระยะสั้น )
    ... นอกจากนั้น “ตัวเลขเศรษฐกิจอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า “ตลาดที่อยู่อาศัยมีการชะลอตัว” ก็จริงแต่การชะลอตัวนี้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับในอดีตและไม่ใช่จากภาพรวมที่กว้างขึ้น” ( แม้จะเริ่มการเติบโตจะชะลอตัวลงกลัวฟองสบู่แตก แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก )
    ... เขายังมองแบบสบายใจอีกว่า การเคลื่อนไหวของ “อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นของเฟด จากปีที่แล้ว 2018” นั้นไม่ได้ขัดขวางการขยายการสร้างโครงการต่างๆของอสังหาริมทรัพย์
    ... แต่นักวิเคราะห์บางสายมองว่าการที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ยังพุ่งสูงเกินระดับวิกฤติครั้งที่แล้วที่ผู้คนยังชะล่าใจ ปล่อยให้มีการสร้างบ้านคอนโดมีเนียมมาเรื่อยๆแบบช้าๆ ไม่ยอมหยุดสร้าง อาจจะเป็น “ความเงียบก่อนพายุใหญ่” ที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกครั้งแบบในปี 2008 ก็ได้
    .
    ... The Case-Shiller Home Price Index has seen a small lull in price activity lately. If you look closely at the chart, you will see that there is a general lull in price activity for a few months out of the year (Housing bubble bursting in 2008, notwithstanding). Then, like clockwork, there is a move higher in the index:
    … If you looked at this chart and worked under the assumption that history repeats itself, then you would be working under the assumption that the price index will pick back up and start moving higher again in just a few more months' time
    .
    .
    https://seekingalpha.com/article/4230449-u-s-real-estate-market-bubble-burst-just-getting-started

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประชาชนเกาหลีเหนือให้ ‘ยาไอซ์’ แทนอั่งเปาช่วงเทศกาลตรุษจีน เพื่อลืมเรื่องแย่By เหมียวฝึกหัดหมายเลข 24 -16/02/2019

    ผ่านมาเกือบครึ่งเดือนแล้วกับเทศกาลตรุษจีน 2019 เช่นเดียวกับประเทศเกาหลีเหนือที่มีการเฉลิมฉลองกับเทศกาลตรุษจีน เหมือนหลายประเทศในเอเชีย แต่สิ่งที่แตกต่าง คือ พวกเขาไม่ได้ให้ซองแดง หรือ อั่งเปาเหมือนประเทศอื่นๆ…

    เพราะชาวเกาหลีเหนือให้ของในเทศกาลตรุษจีนนี้ด้วย ‘ยาไอซ์’ หรือศัพท์ทางการที่เรียกว่า ‘เมทแอมเฟตามีน’ ซึ่งเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์เป็นยากระตุ้นประสาทที่รุนแรงมากชนิดหนึ่ง

    crystal-770x382.jpg



    ประเทศเกาหลีเหนือเองนั้นได้เริ่มมีปัญหาด้านสารเสพติดตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา และมีการใช้มันเพิ่มมากขึ้นในปี 1990 เนื่องจากประเทศเกาหลีเหนือกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

    โดยสารเสพติดชนิดนี้ ชาวเกาหลีเหนือเรียกมันว่า ‘Pingdu’ อีกทั้งยังมีการรายงานว่ามันเป็นที่นิยมในการให้เป็นของขวัญทั้งในวันเกิด, วันจบการศึกษา และเทศกาลอื่นๆ อย่างเช่น ตรุษจีนเป็นต้น
    รูปปั้นท่านผู้นำเกาหลีเหนือในปัจจุบัน และพ่อของเขา คิม จ็อง-อิล
    merlin_150203625_e53a3448-163f-433b-a81d-36556552303c-jumbo.jpg

    ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่ทางการรัฐบาลยังไม่ได้แก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง และ Andrei Lankov หนึ่งในอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประเทศเกาหลีเหนือ มหาวิทยาลัยกุกมิน ในเกาหลีใต้ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า

    “สารเสพติดชนิดนี้ คนเกาหลีเหนือใช้กันอย่างแพร่หลายเหมือนเป็นยาชูกำลัง เช่นพวก เรดบูล หรือเครื่องดื่มชูกำลังอื่นๆ”

    “พวกเขาจะใช้มันด้วยวิธีการฉีดเข้าเส้นเลือด หรือสูดดมเข้าไปเหมือนเป็นของธรรมดา เช่นการที่พวกเขาสูบบุหรี่ปกติในทุกๆ วัน ไม่เพียงแค่ผู้ใหญ่ที่ใช้เท่านั้น แต่รวมไปถึงเด็กในวัยมัธยมอีกด้วย”

    1550027356264-pjimage-85.jpg

    ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการที่ทางรัฐบาลเกาหลีเหนือไม่ได้ให้ความสำคัญ ด้านความเป็นอยู่ และสุขภาพของประชาชนมากพอ พวกเขาจึงเลือกที่จะใช้สารเสพติดชนิดนี้ในการรักษาโรคบางอย่างเอง

    รวมไปถึงปัญหาด้านเศรษฐกิจที่เรื้อรัง และปัญหาหนี้สิน ชาวเกาหลีเหนือจึงต้องการที่จะใช้สารเสพติดเหล่านี้เพื่อให้ลืมปัญหาต่างๆ ของพวกเขาด้วย


    https://www.catdumb.com/north-koreans-meth-456/
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Candy Bella
    FB_IMG_1550305550018.jpg
    ภาพเก่าลงสี บ่อจระเข้วัดสามปลื้มในอดีต
    ตำนานจระเข้อาละวาดกินคน "ไอ้บอดวัดสามปลื้ม"
    ... เชื่อหรือไม่ว่าสมัยก่อนนั้นเมืองไทยของเรามีจระเข้มาก หมายถึงจระเข้ตามธรรมชาติ ไม่ใช่จระเข้แบบที่เขาเลี้ยงไว้ในฟาร์มจระเข้ของสมัยนี้ ในอดีตนั้นจระเข้เมืองไทยนั้นมีมาก สามารถพบเห็นจระเข้ริมแม่น้ำบางแห่งในต่างจังหวัดได้
    จระเข้ไอ้บอดมีชื่อโด่งดังอื้อฉาวเพราะเข้ามาอาละวาดในพระนคร ได้อาละวาดกินคนตามริมแม่น้ำเจ้าพระยา เล่ากันว่าจระเข้ไอ้บอดกินคนไปแล้วหลายคน ทั้งยังอาละวาดอยู่นานเป็นปี ซึ่งตามธรรมชาติของจระเข้นั้น พอกินคนสักทีแล้วก็ไปกบดานอยู่ในที่ซ่อนเป็นเวลานาน แล้วก็ออกมาอาละวาดกันใหม่
    เหตุที่เรียกจระเข้ตัวนี้ว่าไอ้บอดเพราะตาบอดข้างหนึ่ง คนทั้งหลายจึงเรียกจระเข้กินคนตัวนี้ว่าจระเข้ไอ้บอด ข่าวจระเข้ไอ้บอดอาละวาดหนักจะอยู่ในช่วงปีพ.ศ.๒๔๘๕ แต่เรื่องราวของจระเข้ไอ้บอดนี้ไปๆมาๆก็กลับไม่ยุติว่า คุณปู่จระเข้ไอ้บอดนั้นท่านอุตสาหะว่ายน้ำมาเที่ยวจนถึงพระนคร (กรุงเทพฯ) ตั้งแต่ปีพ.ศ.ไหน เพราะมีเรื่องเล่ามาหลายกระแส แต่ที่แน่ๆคือจระเข้ไอ้บอดวัดสามปลื้มมีตัวตนอยู่จริงๆ อาละวาดอยู่ตามริมแม่น้ำเจ้าพระยาจริงๆ กินคนไปหลายคนจริงๆ
    ตำนานคุณปู่จระเข้ไอ้บอดที่คนเชื่อและจำกันมากที่สุดนั้น จะเป็นช่วงน้ำท่วมใหญ่ในปีพ.ศ.๒๔๘๕ ระยะนั้นมีจระเข้ออกอาละวาดกินคนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จระเข้ตัวนี้เป็นจระเข้ใหญ่มีตาข้างเดียว ส่วนตาอีกข้างหนึ่งบอดไป จึงเรียกจระเข้ตัวที่อาละวาดนี้ว่าไอ้บอด ซึ่งเป็นจุดสังเกตของประชาชนว่าใช่จระเข้ตัวนี้แน่ๆ
    จระเข้ไอ้บอดอาละวาดในพระนครอย่างเหิมเกริม คนที่อยู่ตามริมแม่น้ำเจ้าพระยาจะกลัวจระเข้ไอ้บอดมาก จระเข้ไอ้บอดนี้แน่ไม่แน่ก็ขนาดว่ามาอาละวาดอยู่แถบปากคลองตลาดยันสะพานพุทธไปถึงทรงวาดกันเลย อาละวาดทั้งๆที่แถบดังกล่าวเป็นย่านที่มีคนพลุกพล่าน ประชาชนพากันหวาดกลัวกันมาก ในที่สุดจึงต้องระดมกำลังกันไล่จับจระเข้ไอ้บอด
    การระดมกำลังจับจระเข้ไอ้บอดต้องทำหลายครั้ง จนกระทั่งจระเข้ไอ้บอดมาอาละวาดแถวๆสะพานพุทธ จึงมีการระดมกำลังช่วยกันจับจระเข้ไอ้บอด เล่ากันว่าล้อมจับจนจระเข้ไอ้บอดหนีเข้าไปทางวัดบพิตรพิมุข (วัดเชิงเลน) เกือบจับได้แต่ก็หลุดไปจนเข้าไปอยู่ภายในวัดสามปลื้ม (วัดจักรวรรดิ) ที่อยู่ถัดขึ้นไป

    ในที่สุดจระเข้ไอ้บอดหนีเข้าไปอยู่บริเวณใต้ถุนกุฏิพระที่วัดสามปลื้ม (วัดจักรวรรดิฯ) คนล้อมจับจระเข้ไอ้บอดซึ่งครั้งนี้ไม่พลาดแน่ จระเข้ไอ้บอดกำลังจะถูกรุมฆ่า แต่พระท่านสงสารจึงขอบิณฑบาตชีวิตไอ้บอดไว้ และขุดพื้นใต้กุฏิให้เป็นถ้ำให้จระเข้อยู่ นับแต่นั้นมาจระเข้กินคนก็กลายเป็น “ไอ้บอดวัดสามปลื้ม” เป็นตำนานจระเข้กินคนสุดดังของสยามประเทศนับแต่นั้นมา
    *******************
    วัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร หรือวัดสามปลื้ม ตั้งอยู่บนถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ใกล้กับวัดบพิตรพิมุขวรวิหาร หรือวัดเชิงเลน และเชิงสะพานพระปกเกล้าด้านมุ่งหน้าไปฝั่งธนบุรี
    ในวัดแห่งนี้ยังมีจุดเด่นอีกประการคือ มีบ่อเลี้ยงจระเข้ขนาดใหญ่ ซึ่งพระสงฆ์และเด็กวัดช่วยกันดูแล ทั้งนี้เนื่องจากราวปี พ.ศ. 2485 ที่บริเวณวัดที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยามีเรื่องราวของจระเข้กินคนตัวหนึ่งชื่อ "ไอ้บอดวัดสามปลื้ม" เนื่องจากมีตาข้างหนึ่งบอด แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าไอ้บอดวัดสามปลื้มนั้นตายลงเมื่อใด หากแต่ตำนานนี้ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน และเป็นที่มาของบ่อเลี้ยงจระเข้ภายในวัด
    เครดิตภาพจากเพจ:
    สยามพหุรงค์ โดย หนุ่ม รัตนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...