ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    IMG_5142.JPG IMG_5143.JPG IMG_5144.JPG IMG_5145.JPG IMG_5146.JPG IMG_5147.JPG IMG_5148.JPG IMG_5149.JPG
    (Nov 19) สภาพัฒน์ เผย GDP ไตรมาส 3/61 โต 3.3% ชะลอตามอุปสงค์ต่างประเทศ คาดทั้งปีนี้โต 4.2% ปี 62 โต 3.5-4.5% : สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/61 ขยายตัว 3.3% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวถึง 4.6% เป็นไปตามอุปสงค์ภาคต่างประเทศ ขณะที่อุปสงค์ในประเทศปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

    ขณะที่สภาพัฒน์ ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยทั้งปี 61 มาที่เติบโต 4.2% หรืออยู่ที่กรอบล่างของคาดการณ์เดิมที่ 4.2-4.7% เนื่องจากคาดว่าการส่งออกทั้งปีจะขยายตัวเหลือเพียง 7.2% จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวได้ 10% ส่วนการนำเข้าคาดว่าจะเติบโต 16.2% จากเดิมคาดไว้ที่ 15.4%

    ส่วนในปี 62 คาดการณ์ GDP จะเติบโตในกรอบ 3.5-4.5% โดยการส่งออกน่าจะขยายตัว 4.6% และนำเข้าจะเติบโตราว 6.5%

    Source: อินโฟเควสท์ โดย กษมาพร กิตติสัมพันธ์/รัชดา/ศศิธร

    เพิ่มเติม
    - Presentation
    http://www.nesdb.go.th/ewt_dl_link.php?nid=8432&filename=QGDP_report

    - แถลงข่าว สศช. ศก.ไตรมาส 3
    http://www.nesdb.go.th/ewt_dl_link.php?nid=8431&filename=QGDP_report

    - ภาวะ ศก.ไตรมาส 3
    http://www.nesdb.go.th/ewt_dl_link.php?nid=8430&filename=QGDP_report

    - English version
    http://www.nesdb.go.th/ewt_dl_link.php?nid=8429&filename=QGDP_report
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    IMG_5150.JPG
    (Nov 19) สุขภาพศก.'สหรัฐ-จีน' หลังสงครามการค้าส่อยืดเยื้อ: ท่ามกลางกระแสข่าวที่ว่า จีน ได้ส่งหนังสือตอบกลับข้อเรียกร้องของสหรัฐก่อนหน้านี้ ที่ต้องการให้จีน ปฏิรูปนโยบายการค้า ซึ่งเป็นการดำเนินการที่จะช่วยให้สหรัฐและจีน เปิดฉากการเจรจาการค้าครั้งใหม่ และยุติการทำสงครามการค้าระหว่างกันได้ จนทำให้ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันพฤหัสบดี (15พ.ย.)ตามเวลาสหรัฐ ปรับตัวขึ้น ท่ามกลางการคาดหวังของนักลงทุนในตลาดว่าสหรัฐและจีนจะผ่าทางตันกรณีพิพาททางการค้าระหว่างกันได้ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 208.77 จุดหรือ 0.83% ปิดที่ 25,289.27 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น28.62 จุดหรือ 1.06% ปิดที่ 2,730.2 จุดและดัชนีแนสแด็ก บวก 122.64 จุดหรือ 1.72% ปิดที่ 7,259.03 จุด แหล่งข่าวไม่ได้เปิดเผย รายละเอียดเกี่ยวกับเนื้อหาของหนังสือตอบกลับจากจีนฉบับดังกล่าว และยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า คำตอบของจีนจะสร้างความพึงพอใจต่อรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์หรือไม่ แต่ล่าสุด นายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐ เปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐ ยังคงมีแผนที่จะปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในเดือนม.ค. พร้อมกับแสดงความเห็นว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน อาจทำได้แค่เห็นพ้องร่วมกันในกรอบการดำเนินงานด้านการค้า เมื่อผู้นำทั้งสองประชุมสุดยอดร่วมกัน ในช่วงปลายเดือนนี้

    นายรอสส์ กล่าวด้วยว่า สหรัฐยังคงมีแผนที่จะปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 25% ในวันที่ 1 ม.ค.ปีหน้า คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งการออกมายืนยันเรื่องนี้ของนายรอสส์ มีขึ้นหลังจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์ส รายงานข่าวว่า นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) ได้กล่าวต่อบรรดา ผู้บริหารในแวดวงอุตสาหกรรมของสหรัฐว่า รัฐบาลสหรัฐตัดสินใจชะลอการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เอาไว้ชั่วคราว แต่โฆษกของ นายไลท์ไฮเซอร์ ออกมาปฏิเสธรายงานข่าวนี้ในเวลาต่อมา

    มีการคาดการณ์กันว่า ปธน.ทรัมป์ และปธน.สี ของจีนจะพบปะกันนอกรอบการประชุมจี20 ที่ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค. เพื่อเจรจาแก้ไขความขัดแย้งทางการค้า ระหว่างกัน ซึ่งสหรัฐ ระบุก่อนหน้านี้ว่า การเจรจาการค้าจะไม่เกิดขึ้น จนกว่าจีนจะยื่นข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมในการปฏิรูปนโยบายการค้าเสียก่อน

    จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา มีความเป็นไปได้สูงที่ การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังคงดำเนินต่อไป คำถามที่ตามาคือ แล้วเศรษฐกิจของทั้ง2ประเทศยังคงแข็งแกร่งพอที่จะรับมือการทำสงครามการค้าระหว่างกันหรือไม่ เริ่มจากสหรัฐ ล่าสุด สำนักงานวิจัยทางการเงิน (โอเอฟอาร์) สังกัดกระทรวงการคลังสหรัฐ เปิดเผยว่า เสถียรภาพทางการเงินโดยรวมของสหรัฐ ยังคงมีความเสี่ยงในระดับ ปานกลางในปีนี้ ขณะที่ความเสี่ยงในตลาดยังอยู่ในระดับสูง

    โอเอฟอาร์ ระบุในรายงานประจำปี ที่ยื่นต่อสภาคองเกรสของสหรัฐว่า จากการรวบรวมดัชนีชี้วัด 6 กลุ่ม ที่เฝ้าติดตามการความเสี่ยงทางการเงินของประเทศพบว่า ภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางการเงิน ของสหรัฐยังคงอยู่ในระดับปานกลาง โดยตัวชี้วัดความเสี่ยงในระบบเศรษฐกิจมหภาค ประกอบด้วย ปัจจัยชี้วัดอัตราเงินเฟ้อ ความเสี่ยงทางการเงิน และความสมดุลภายนอกของสหรัฐพบว่า ยังมีความเสี่ยง ในระดับปานกลาง แต่เพิ่มสูงขึ้น จากมุมมองภาพรวมของเมื่อปีที่แล้ว

    ส่วนความเสี่ยงต่างๆ ในตลาด ซึ่งวัดจากการประเมินมูลค่า หลักทรัพย์ ความผันผวนของตลาดหุ้น อัตราส่วนราคาบ้านต่อรายได้ และปัจจัยชี้วัดอื่นๆอีก 6 ปัจจัย พบว่า ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่ง "เคน ฟีลัน" รักษาการผู้อำนวยการโอเอฟอาร์ กล่าวว่า ตลาดยังมีความเสี่ยงอยู่ในระดับสูง เห็นได้จากการที่ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์และความผันผวนของราคาพันธบัตร ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย

    นอกจากนี้ โอเอฟอาร์ ยังระบุด้วยว่า สหรัฐ มีความเสี่ยงด้านสินเชื่ออยู่ในระดับปานกลาง รวมทั้งความเสี่ยงจากสถานะการกู้ยืมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริงในภาคครัวเรือนและธุรกิจนอกภาคการเงินของประเทศ

    ขณะที่กระทรวงพาณิชย์จีน เปิดเปิดเผยว่า ยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตและเทคโนโลยีขั้นสูง โดยยอดเอฟดีไอ ช่วงเดือน ม.ค.-ต.ค.ปรับตัวขึ้น 3.3% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ระดับ 7.0116 แสนล้านหยวน หรือประมาณ 1.077 แสนล้านดอลลาร์

    กระทรวงพาณิชย์จีน ระบุด้วยว่า จำนวนบริษัทน้องใหม่ที่มีการลงทุนโดยต่างชาติในช่วง 10 เดือนแรกปีนี้ พุ่งขึ้น 89.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ระดับ 49,545 แห่ง และหากพิจารณาเป็นราย ภาคอุตสาหกรรมพบว่า เม็ดเงิน เอฟดีไอ ในอุตสาหกรรมการผลิตอยู่ที่ระดับ 2.20 แสนล้านหยวน เพิ่มขึ้น 12.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่เม็ดเงิน

    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    IMG_5151.JPG
    (Nov 19) กองทุนรวมปีหน้าทรงตัว : นายกสมาคมจัดการลงทุนมอง อุตสาหกรรมกองทุนปีหน้าทรงตัวเติบโตเพียง 6-7%เท่าปีนี้ เหตุปัจจัยลบยังรอบด้าน ชี้กองทุนรวมติดลบตามผลตอบแทน ยันหมดภาษี LTF ไม่กระทบตลาด

    นายวศิน วณิชย์วรนันต์ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (บลจ.)เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในกองทุนปี 2562 คาดว่า จะเติบโตในระดับทรงตัวที่ 6-7% เท่ากับปีนี้ เนื่องจากปัจจัยกดดันในตลาดตราสารทุนยังมีสูง โดยตัวเลขในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ(PVD) ยังเติบโตค่อนข้างดี ส่วนกองทุนรวม (Mutual Fund) มีแนวโน้มติดลบจากผลตอบแทนที่ติดลบ แต่ยังมีเม็ดเงินเข้ามาต่อเนื่อง ขณะที่กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) ยังคงมีการเติบโตพอสมควร

    ทั้งนี้ การลงทุนในปีหน้า มองว่า ยังไม่สดใส แต่เป็นจังหวะที่ดีในการลงทุนระยะยาว โดยปัจจัยที่ยังรอให้มีความคลี่คลายคือ สงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนที่จะมีการพบปะกันระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ในการประชุม G 20ในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ว่า จะเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งหากแนวโน้มออกมาเป็นลบ ก็จะเป็นปัจจัยกดดันการลงทุนทั่วโลกต่อ และจะยืดเยื้อต่อเนื่องไปอีกนาน นอกจากนั้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)ที่จะปรับขึ้นต่อนั้นอาจจะทำให้มีเรื่องเงินเฟ้อเข้ามากดดันการลงทุนมากขึ้น

    ขณะที่สิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) ที่จะหมดอายุในปี 2562 นั้น มองว่าไม่ได้กระทบต่อตลาดมากนัก ซึ่งสิ่งที่ต้องไปดูคือ ผู้ลงทุนปัจจุบันที่อยู่ในระบบ PVD ว่าสิ่งที่เลือกเป็นตราสารทุนเท่าไหร่ เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม หากลงทุนใน PVDแล้วยังไม่เต็ม ก็สามารถหาลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อนำไปลดหย่อนภาษีเพิ่มได้ ซึ่งปีหน้ายังมีเรื่องของ LTF ที่ยังไม่หมดอายุ ดังนั้น ควรใช้สิทธิประโยชน์ตรงนี้ก่อน ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องที่ต้องผลักดันกองทุนที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นการออมระยะยาวหรือการลงทุนระยะยาว

    อย่างไรก็ตาม สภาธุรกิจตลาดทุนไทยได้เสนอแนวทางการจัดตั้งกองทุนใหม่แทนกองทุน LTF ที่จะหมดอายุในปี 2562 โดยเสนอให้แบ่งสัดส่วนเงินลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ(อินฟราสตรักเจอร์ ฟันด์) และหุ้นในกลุ่มหุ้นยั่งยืน 50% ส่วนอีก 50% เป็นการลงทุนอิสระ และเปลี่ยนการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นการให้เครดิตภาษีแทนและต้องลงทุนระยะยาวเป็นเวลา 10 ปี

    ด้านนายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด กล่าวว่า ช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี ถือเป็นช่วงที่ผู้ลงทุนให้ความสนใจลงทุนกองทุนที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างกองทุน LTF-RMF เป็นอย่างมาก และส่วนตัวมองว่า ช่วงนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนกองทุนประเภท LTF/RMF หลังราคาหุ้นไทยปรับตัวลงมาในระดับหนึ่งแล้ว และเวลาสำหรับการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีในปีนี้เหลือไม่มากนัก หากนักลงทุนยังรีรอ และหวังว่าในช่วงสิ้นปีราคาหุ้นไทยจะปรับลดลงนั้น อาจทำให้ได้หุ้นในราคาที่แพงในช่วงสิ้นปีได้ "แนะว่าให้ทยอยลงทุนไปเรื่อยๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ประกอบกับในช่วงนี้ถือเป็นจังหวะในการเก็บกองทุน LTF/RMF ที่มีต้นทุนต่ำกว่าช่วงพีกของปีนี้มาก และหุ้นไทยเองก็ปรับตัวลงมาในระดับที่น่าลงทุนแล้ว" นายบุญชัย กล่าว

    Source: ฐานเศรษฐกิจ
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Nov 19) Special Interview: ผู้ว่าธปท. `จับตาศก.ไทยเมื่อนโยบายผ่อนคลายเริ่มหมดความหมาย` : ท่ามกลางปัญหาสงครามการค้าที่คาดจะทวีความรุนแรงไปถึงปี 2562 และทิศทางดอกเบี้ยทั่วโลกที่เป็นขาขึ้น รวมถึงการเลือกตั้งในประเทศที่กำลังจะเกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือและประมาณการผลกระทบแบบห้ามกระพริบตา



    ทาง “สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย” ได้รับเกียรติจาก นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษ ถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยในอนาคต ความเสี่ยงต่างๆ และการดำเนินนโยบายการเงินที่หลายฝ่ายมองว่ากำลังเข้าสู่ช่วงทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น และหมดความจำเป็นในการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย


    *** ยอมรับสงครามการค้ากระทบเศรษฐกิจไทยแผ่ว



    เดือนธันวาคมนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะทบทวนประมาณการเศรษฐกิจอีกครั้งซึ่งถือเป็นครั้งสุดท้ายของปี สำหรับปัจจุบัน กนง.ประเมินอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่ 4.4% และในปีหน้าที่ 4.2% แต่อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขหลังจากช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกอาจไม่ได้แข็บแรงมาก ซึ่งส่วนใหญ่มาจากความกังวลจากมาตรการกีดกันทางการค้า ที่ขยายวงกว้าง แม้ไทยจะไม่ใช่เป้าหมายโดยตรง แต่เป้าหมาย คือ ที่อยู่ในซัพพลายเชนเดียวกับเรา มีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างกันกับไทย ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาเราเริ่มเห็นสัญญาณสินค้าบางอย่างที่ส่งไปจีน เห็นการนำเข้าลดลง เช่น ยาง สินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางรายการ ที่เข้าไปเป็นอยู่ในซัพพลายเชนของจีน ที่เริ่มมีสัญญาณการนำเข้าช้าลงกว่าเดิม ดังนั้นเราจึงมองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะชะลอลงไปบ้าง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจแบบเปิด พึ่งพาการส่งออกมาก ทำให้มาตรการกีดกันทางการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรง อาจเป็นความเสี่ยงที่กระทบกับเศรษฐกิจไทยได้



    “วันที่ 19 ธันวาคมนี้ เป็นรอบการทบทวนประมาณการเศรษฐกิจของธปท. ซึ่งเราเห็นโมเมนตัมที่แผ่วลงเมื่อเทียบกับ 4-5 เดือนก่อนหน้า จากมาตรการกีดกันทางการค้าที่ขยายวงกว้าง ซึ่งหากมองตอนนี้ อาจทำให้ตัวเลขที่ออกมานั้นอาจจะซอฟลงไปบ้าง แต่ไม่น่าจะแตกต่างจากประมาณการเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งยังคงต้องรอดูตัวเลขในช่วงที่เหลือของปี แต่ก็ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหาสงครามการค้านั้น เราเริ่มเห็นสัญญาณสินค้าบางอย่างที่ส่งไปจีนการนำเข้าลดลงกว่าเดิม ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ เราวางใจไม่ได้ แม้ว่า ตัวเลขตอนนี้หลายประเทศจะยังไม่ถูกกระทบเท่าไหร่ เพราะหลายคนรู้ว่า มาตรการจะประกาศเมื่อไหร่ ทุกคนจึงสั่งสินค้าล่วงหน้า ทำให้ดูไม่ได้ลดลงมาก เพราะมีการสต๊อกล่วงหน้าไว้ค่อนข้างเยอะ ดังนั้นจึงมองว่า ปัญหาสงครามการค้าจะเริ่มเห็นผลกระทบที่ชัดเจนมากขึ้นในปี 2562”นายวิรไท กล่าว



    แม้ว่า ปัญหาสงครามการค้า อาจนำมาซึ่งผลในเชิงบวกกับผู้ส่งออกไทยบ้าง เช่น การส่งสินค้าบางอย่างไปทดแทนจีน หรือ สหรัฐ รวมถึงกรณีที่จีนอาจเข้ามาลงทุน ย้ายฐานการผลิตมายังไทยแทนการผลิตจากจีนซึ่งเป็นเป้าหมายโดยตรงทั้งหมด แต่ในแง่ของผลลบก็คงมีด้วยเช่นกัน หากกรณีที่จีน และสหรัฐ ไม่สามารถส่งออกไปหากันได้ ประเทศเหล่านั้นจะเริ่มหาตลาดเพื่อปล่อยสินค้า และเกิดการดรัมฟ์ราคากันได้ นั่นคือสิ่งที่เรายังต้องจับตา


    ***ความผันผวนตลาดเงินตลาดทุนโลกแรงถึงปีหน้า



    นอกจากเรื่องสงครามการค้า ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอีกเรื่อง คือ ความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนโลก ที่ปีนี้เราเห็นความผันผวนมาก ทั้งในตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร และอัตราแลกเปลี่ยน และมีแนวโน้มที่ปีหน้าจะมีความผันผวนสูงขึ้น จากการดำเนินนโยบายทางการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลักๆ เช่น สหรัฐ ที่ยังมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ยุโรป เริ่มพูดถึงการหยุดการทำนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากเป็นพิเศษ ซึ่งรวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วย ขณะเดียวกัน ยังเริ่มเห็นสัญญาณว่า อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำนานเป็นเวลานาน ส่งผลให้หนี้เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นทั้งหนี้ภาครัฐ เอกชน หนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นผลจากต้นทุนทางการเงินปรับสูงขึ้น ดังนั้น ประเทศไหนที่ฐานะด้านต่างประเทศไม่เข้มแข็ง จะอ่อนไหว และกระทบต่อค่าเงินได้มาก



    สำหรับประเทศไทย ยืนยันว่า จะได้รับผลกระทบจากความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนโลกค่อนข้างน้อย เนื่องจาก ปัจจุบันไทยมีกันชนที่ดี สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง ถึง 2.3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าหนี้ต่างประเทศถึง 1.5 เท่า ทั้งหนี้ระยะสั้นและหนี้ระยะยาว นอกจากนี้ เรายังเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และคาดว่าในปีนี้จะเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 35,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 7% ของจีดีพี ซึ่งถือว่าเป็นระดับเกินดุลที่สูงเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจเกิดใหม่ประเทศอื่น



    “แม้ไทยจะมีความมั่นคง สามารถลดแรงปะทะได้ดี เวลาที่ระบบการเงินโลก หรือ ตลาดเงินตลาดทุนโลกผันผวน แต่อยากเตือนผู้ประกอบการว่า อย่าชะล่าใจ เพราะอัตราแลกเปลี่ยน ยังมีความผันผวนได้สูง เหมือนที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เพราะความผันผวนไม่ได้เกิดจากปัจจัยในประเทศ แต่เกิดจากปัจจัยต่างประเทศที่ควบคุมไม่ได้ รวมถึงยังเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ดังนั้นการบริหารจัดการจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำต่อเนื่องถึงปีหน้าด้วย”นายวิรไท กล่าว


    ***เชื่อลงทุน-บริโภคฟื้น เลือกตั้งหนุนเศรษฐกิจโต



    ในวันนี้เศรษฐกิจไทย ทั้งการลงทุนในประเทศ และการบริโภคมีแนวโน้มดีขึ้น สะท้อนจากการขยายกำลังการผลิต ผนวกกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จึงเป็นแรงส่งต่อการบริโภคในประเทศที่สำคัญ นอกจากนี้ ยังมีแรงส่งสำคัญจาก การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ ที่บางโครงการเป็นลักษณะการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ทำให้การลงทุนภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัวตามไปด้วย แม้ในปีนี้ บางโครงการจะล่าช้าไปบ้าง แต่เมื่อโครงการใหญ่หลายโครงการเข้าสู่การประมูลแล้ว จึงมองว่า จะเดินหน้าต่อแน่นอน



    ทั้งนี้ หวังว่า การเลือกตั้ง จะไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรที่มีผลกระทบรุนแรง เช่น หากมีรัฐบาลใหม่ และนำโครงการที่อนุมัติไปแล้วกลับมาทบทวนก็จะทำให้เศรษฐกิจสะดุด แต่หากสานต่อโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ต่อไป ก็จะเป็นแรงส่งต่อเนื่องให้กับเศรษฐกิจไทยได้


    *** 4 ปัจจัยสำคัญต่อนโยบายการเงิน



    ด้านอัตราดอกเบี้ยนั้น หลังจากที่ ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ช่องว่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐเริ่มกว้างมากขึ้นนั้น แต่ไทยยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามเมื่อเช่นประเทศอื่นๆ ซึ่งเรื่องนี้ ผู้ว่า ธปท. ได้ชี้แจงว่า ในกรอบการดำเนินนโยบายการเงิน มี 4 เรื่องที่ กนง.ให้ความสำคัญ



    อันดับแรก คือ การใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น ซึ่งที่ผ่านมาเงินเฟ้อของไทยค่อนข้างต่ำ จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหลายเรื่องที่ทำให้ระดับเงินเฟ้อยังคงต่ำต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง หรือแม้กระทั่งเรื่อง e-commerce ที่ทำให้อำนาจการต่อรองราคาลดลง ขณะเดียวกัน ราคาพลังงานและอาหารสด ยังคงผันผวน แต่อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังคงเชื่อว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมาย ที่ 1-4%



    ส่วนเรื่องสอง คือ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย เป็นไปตามศักยภาพของระบบเศรษฐกิจหรือไม่ และมีความเข้มแข็งมากน้อยเพียงใด ซึ่งปีนี้ เห็นว่าเศรษฐกิจไทยของไทยเติบโตเกิน 4% ซึ่งปัจจุบันปีนี้ ประมาณการเศรษฐกิจไทยที่ระดับ 4.4% ปีหน้าที่ 4.2% ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจที่ขยายตัวเกิน 4% จะเป็นครั้งแรกที่เศรษฐกิจเติบโตมากกว่า 4% สองปีต่อเนื่อง ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเข้มแข็งมาก แต่ก็ต้องจับตาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการกีดกันทางการค้าด้วย



    ประเด็นที่สาม ที่กนง.ให้ความสำคัญมากขึ้น คือ เมื่อสภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจน เรื่องเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาวเป็นเรื่องที่จะต้องให้ความสำคัญ เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ย ที่อยู่ระดับต่ำต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจสร้างผลข้างเคียง สร้างจุดเปราะบาง สร้างพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยไม่สนหรือคำนึงถึงความเสี่ยงเท่าที่ควร พวกนี้หากไม่ดูแลจะเป็นจุดเปราะบางในระบบการเงิน ที่อาจนำไปสู่วิกฤติของระบบการเงินได้ในอนาคต ซึ่งที่ผ่านมาเราเห็นในหลายมิติ เช่น การขยายตัวของสหกรณ์ออมทรัพย์ คนย้ายเงินฝากไปสหกรณ์โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง หรือ การลงทุนในตราสารบางประเภท โดยไม่คำนึงถึง ความเสี่ยง หรือแม้กระทั่งการกู้ยืมเพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพื่อหวังผลตอบแทนในเรื่องของค่าเช่าเพิ่มขึ้น ราคาอสังหาริมทรัพย์จึงเพิ่มขึ้น รวมทั้งที่ผ่านมา เห็นการให้สินเชื่อที่รับความเสี่ยงเกินควร ให้สินเชื่อท็อปอัพเกินกว่าราคาบ้านที่จะซื้อ พวกนี้เป็นลักษณะ ผลข้างเคียงที่เกิด จากดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน และประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร ดังนั้นในการทำนโยบายการเงินจะต้องชั่งน้ำหนักในหลายๆเรื่องประกอบด้วย



    และประเด็นสุดท้าย ความสามารถในการทำนโยบายทางการเงินในอนาคต หรือ โพลิซีสเปรด วันนี้อัตราดอกเบี้ยไทยอยู่ที่ 1.5% เกือบจะต่ำสุดในประวัติการณ์ เพราะเมื่อหลังวิกฤติเศรษฐกิจอัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับต่ำสุดที่ 1.25% ณ วันนั้นเศรษฐกิจแย่มาก ติดลบทั้งโลก ของเราติดลบ 0.9% แต่ในวันนี้อัตราดอกเบี้ยเราอยู่ 1.5% ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นระดับต่ำ ดังนั้น หากมองในอนาคต หากมีเหตุการณ์ที่เป็นความเสี่ยง เครื่องมือนโยบายการเงินเราจะมีข้อจำกัด เพราะเรามีอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำมาก จึงเป็นการมองว่าจะทำอย่างไรที่จะสร้างกระสุนในมือไว้ใช้สำหรับอนนาคต แต่การทำนโยบายการเงินของเราต้องชั่งน้ำหนักหลายอย่าง



    แต่อย่างไรก็ตาม กนง.ยังคงมองว่า นโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อไป แต่การดำเนินโยบายที่ผ่อนคลายมากจะทยอยลดความจำเป็นลง


    Source: E-finance

    https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?ref=A&id=WEF3Nk9YVHhaWms9
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    IMG_5152.JPG
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แนวร่วม BRN กลับใจ


    ผบ.ตร. ไทย-มาเลเซีย ร่วมลงนามความร่วมมือการปฏิบัติราชการ แก้ปัญหาคนสองสัญชาติ ต้องเลือกสัญชาติเดียวเท่านั้น


    ------------------------------------------------------


    เมื่อวันที่ 14 พ.ย.61 ณ รร.อินเตอร์คอนติเนนตัล ราชประสงค์ พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย (ผบ.ตร.ไทย) และ นาย ตันซรี ดาโต๊ะ ศรี โมฮาหมัด ฟูซี บิน ฮาลัน ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาเลเซีย (ผบ.ตร.มาเลเซีย) ลงนามความร่วมมือในมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมระหว่างสองประเทศ โดยเห็นพ้องในการยกระดับความเข้มข้นของจุดตรวจตามแนวชายแดน และเพิ่มมาตรการในการลาดตระเวน เพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชญากรสองสัญชาติที่หนีการจับกุมจากประเทศของตนเอง


    พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ประเทศไทย และ โมฮัมหมัด ฟูซี บิน ฮารูน ผบ.ตร.ประเทศมาเลเซีย ลงนามความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม 9 ด้าน ได้แก่ การก่อการร้าย การลักลอบค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การลักลอบค้าอาวุธ การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนตามแนวชายแดน ความคืบหน้าในการส่งของกลาง (ยานพาหนะที่ถูกโจรกรรม) ระหว่างสองประเทศ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจและคอมพิวเตอร์ การกระทำความผิดในน่านน้ำและการกระทำอันเป็นโจรสลัด รวมถึงเรื่องการพัฒนาบุคลากร การฝึกอบรมด้านต่างๆ


    ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทั้งสองประเทศ เห็นตรงกันว่าการยกระดับมาตรการด้านการรักษาความปลอดภัยตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศ สามารถป้องกันการการกระทำควาผิดที่อาจะเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อกังวลเกี่ยวกับบุคคลสองสัญชาติที่กระทำความผิดในประเทศหนึ่งแล้วข้ามชายแดนไปหลบซ่อนอีกประเทศหนึ่ง เพื่อหนีการจับกุม


    “มันเป็นปัญหาที่เราพยายามแก้ไขมาโดยตลอด เช่น อยู่ประเทศไทยชื่อ สมชาย ไปอยู่มาเลเซียใช้ชื่อ ดาโต๊ะ หรือ อะไรก็แล้วแต่ ทำให้เขาหาไม่เจอ มันก็เป็นปัญหาเหมือนกัน เพราะมันยากต่อการทำงานของเขาเหมือนกัน แต่ที่ผ่านมาเราก็ได้รับความร่วมมือจากทางมาเลเซียมาโดยตลอด” พล.ต.อ.จักรทิพย์ แถลงต่อผู้สื่อข่าว


    ขณะที่ โมฮัมหมัด ฟูซี บิน ฮารูน ผบ.ตร.มาเลเซีย ยอมรับว่า ปัญหาเรื่องอาชญากรสองสัญชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และเป็นปัญหาใหญ่สำหรับสองประเทศ ที่ต้องเร่งดำเนินการ สำหรับมาตรการใหม่ในการจัดการกับอาชญากรสองสัญชาตินั้น ทางมาเลเซียจะร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการจับกุมอาชญากรเหล่านั้น แล้วส่งกลับไปดำเนินคดีในประเทศที่กระทำความผิด


    “เราจำเป็นจะต้องให้เขาเลือกว่าเขาจะถือสัญชาติไหน ให้เลือกถือเพียงหนึ่งสัญชาติเท่านั้น โดยให้ยกเลิกอีกสัญชาติหนึ่ง แล้วดำเนินคดีตามกฎหมายประเทศที่บุคคลสัญชาตินั้นๆ ถือ ซึ่งเราหวังว่าจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ในเร็ววันนี้ อาจจะเดือนหน้า หรือ ปีหน้า” ผบ.ตร.มาเลเซีย กล่าว


    “เช่นเดียวกับอาชญากรที่กระทำความผิดในประเทศมาเลเซีย และพยายามหนีการจับกุมมากบดานอยู่ในประเทศไทย ที่ผ่านมาเราได้ทำการระบุตัวบุคคลผู้กระทำความผิดเหล่านั้นไปบ้างแล้ว และได้แจ้งให้ตำรวจไทยดำเนินการจับกุม และส่งกลับไปดำเนินคดีในประเทศมาเลเซีย ซึ่งความร่วมมือลักษณะนี้จะกระทำต่อเนื่องต่อไป” ผบ.ตร.มาเลเซีย กล่าวเพิ่มเติม


    นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทั้งสองประเทศ ยังได้หารือกัน ในเรื่องกลุ่มก่อการร้ายทางจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย รวมถึงการลักลอบค้าอาวุธ การลักลอบค้ายาเสพติด และการค้ามนุษย์ ว่าได้มีปฏิบัติการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นตามแนวชายแดนของสองประเทศ และยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ยังสามารถควบคุมสถานการณ์การค้าอาวุธอยู่ได้


    “เรื่องไอเอส เราระวังป้องกันอยู่แล้ว เชื่อว่า สมาชิกไอเอสจากมาเลเซียที่พยายามจะเข้ามายังประเทศไทยมีน้อยมาก เต็มที่ของเราเป็นแค่ทางผ่าน เป็นที่พักพิงชั่วคราว ไม่ได้มีตัวตนมาอยู่จริง ซึ่งเรื่องนี้เรามีการหารือกันมาตลอด และยืนยันว่าเป็นเรื่องภายใน ส่วนที่อยู่ในประเทศเรามันเป็นแค่ผู้ก่อการร้าย” พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าว


    “เราได้มีการหารือในเรื่องการลักลอบค้าอาวุธ กลุ่มก่อการร้ายไอเอส บุคคลสองสัญชาติ และการลักลอบค้ามนุษย์ และเรามั่นใจว่าเราสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ จากความสัมพันธ์อันดีกับตำรวจไทย” ผบ.ตร.มาเลเซีย กล่าว


    นอกจากนี้ ผบ.ตร.มาเลเซีย ได้กล่าวขอบคุณทางสำนักงานตำรวจประเทศไทยที่ได้ช่วยในการติดตามจับกุมอาชญากรสัญชาติมาเลเซีย และดำเนินการส่งกลับประเทศมาเลเซีย รวมถึง การส่งกลับของที่ถูกโจรกรรมจากประเทศมาเลเซีย โดยได้ระบุถึงรถยนต์หลายคันที่ถูกขโมยมาจากประเทศมาเลเซีย ที่ถูกจับกุม ยึด และส่งกลับประเทศมาเลเซียมาโดยตลอด


    การประชุมระหว่างตำรวจไทย มาเลเซีย ระดับบริหาร จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยสองฝ่ายจะสลับกันเป็นเจ้าภาพ โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งที่ 25 วัตถุประสงค์สำคัญเพื่อพบปะหารือและกำหนดมาตราการในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมด้านต่างๆ ร่วมกัน


     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Wudhichai Maitreesophone


    ข้อตกลงการสร้าง Buffer Zone ให้เป็นเขตปลอดทหาร ตามข้อตกลง ตุรกี-รัสเซีย น่าจะถูกยกเลิกไปโดยปริยาย เพราะผู้ก่อการร้ายกลุ่มต่างๆ ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของกองทัพตุรกี สหรัฐและซาอุดิอาระเบีย ได้เข้าควบคุมการบริหารผู้ก่อการร้ายเกือบทุกกลุ่มแล้ว


    มีรายงานจากทางตอนเหนือของเมือง Hama ว่า นอกจากจะไม่ถอนกำลังออกจากเขต Buffer Zone แล้วผู้ก่อการร้าย FSA กลุ่ม Jaish Al-Izza ยังยกกำลังขนาดใหญ่เตรียมเข้าโจมตีีฐานปฏิบัติการของกองทัพซีเรียที่หมู่บ้าน Khirba และหมู่บ้าน Zaleen ในจังหวัด Hama ด้วยกำลังขนาดใหญ่ หวังจะสร้างชื่อเสียงด้วยการทำลายฐานปฏิบัติการของทหารรัฐบาลซีเรียวันเดียว 2 ฐาน โดยเข้าโจมตีจากด้านใต้ และด้านตะวันตกของทั้งสองหมู่บ้าน เมื่อลงมือโจมตีด้วยอาวุธหนัก และกำลังจะเข้าบดขยี้ด้วยกำลังทหารราบ ก็กลับเจอกับสิ่งที่ไม่ได้คาดฝันไว้ล่วงหน้า เพราะที่ตั้งของทั้งสองฐานสองหมู่บ้านนั้น ได้ผูกติดไว้ภายใต้การคุ้มครองของ หน่วยขีปนาวุธแบบ Guided Missiles ที่ตั้งอยู่บนเนินสูงหน้าผาหิน ซึ่งมองเห็นการเข้าตี และที่ตั้งอาวุธหนักที่ผู้ก่อการร้ายใช้ยิงโจมตีฐานของทั้งสองหมู่บ้าน จึงถูกหน่วยขีปนาวุธของกองทัพซีเรียยิงถล่มใส่อย่างไม่ยั้งมือ ผู้ก่อการร้ายจีฮัสดิส ต้องบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก จึงต้องลากซากศพ และผู้บาดเจ็บออกไปให้พ้นจากรัศมีการยิงของหน่วยขีปนาวุธบนเนินเขาหน้าผาหิน ที่ให้ความคุ้มครองฐานระดับหมู่บ้านทั้งสองฐานอยู่ และที่ผ่านมาได้ปิดลับไม่ให้ฝ่ายตรงกันข้ามรู้ว่ามีหมัดเด็ดที่หนักหน่วง และเด็ดขาดเก็บซ่อนไว้บนเนินเขาสูง


     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    The Public Post


    กษัตริย์ซาอุฯ เรียกร้องประชาคมโลกหยุดยั้งโครงการขีปนาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน

    https://www.publicpostonline.net/19425


     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ช่างศุภวิชญ์ จูเปรมปรี


    16:00 #ศูนย์กลางพายุดีเปรสชัน 33W อยู่ที่พิกัด N8°30′ E131°00′ ในทะเลฟิลิปปินส์ ความเร็วลม 30 น็อต ความกดอากาศ 1002 hPa

    #คาดว่าจะขึ้นฝั่งฟิลิปปินส์ วันพรุ่งนี้


     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    China Xinhua News


    ชาวจีนเศร้า…ทหารหนุ่มกู้ระเบิดเสียตาสองดวงและมือสองข้าง นอนอยู่รพ.ยังไม่มีใครกล้าบอกความจริง

    .

    นับเป็นการสูญเสียที่น่าสลดใจและน่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ “ตู้ฟู่กั๋ว” ทหารหนุ่มชาวจีนวัย 27 เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา

    .

    โดยขณะที่เขากำลังปฏิบัติภารกิจเก็บกู้ระเบิดบริเวณชายแดนที่เขตปกครองตนเองเหวินซานมณฑลยูนนาน ระเบิดก็ได้ระเบิดขึ้น เขาจึงเอาตัวเองกันระเบิดไว้เพื่อไม่ให้เพื่อนในทีมคนอื่นเป็นอันตรายด้วยสัญชาติญาณของความกล้าหาญ ส่งผลให้เขาต้องสูญเสียมือและดวงตาทั้งสองข้างไป

    .

    หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตู้ต้องนอนปิดตารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทหาร แต่เนื่องจากเพื่อนฝูงและครอบครัวกลัวเขาจะทรุดจึงยังไม่ได้บอกความจริงกับเขาทั้งหมด ปัจจุบันเขานอนปิดตาไว้และเริ่มทำใจยอมรับความจริงที่ต้องสูญเสียมือคู่นี้ไป แต่ยังคงไม่รู้ความจริงที่เจ็บปวดยิ่งกว่าว่าตนจะไม่สามารถมองเห็นโลกใบนี้ได้อีกต่อไป

    .

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ชาวเน็ตจีนรู้สึกสงสารและขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลชีวิตของเขาและครอบครัว


     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สถานการณ์โลก ด้านความมั่นคง


    นายกฮุนเซนประกาศว่า: ไม่มีวันที่จะให้ต่างชาติเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศ หลังมีข่าวแว่วมาว่าพี่จีนกำลังตะล่อมวิ่งเต้นขอตั้งฐานทัพเรือในจังหวัดเกาะกง/....(*)ในเมื่อป๋าฮุนประกาศเสียงแข็งแบบนี้คงจะตะโกนบอกต่างชาติกันถ้วนหน้าไม่เฉพาะแค่จีน..คงจะถึงพญาแร้งด้วย


     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thairath


    มาถึงจุดนี้ ขสมก.หนี้สินแสนล้าน มีรถเมล์เอกชนร่วมให้บริการประมาณ 4 พันคัน 9 เดือนแบ่งรายได้ 105 ล้านบาท เสนอขอขึ้นค่าตั๋ว ถ้าไม่เห็นใจอาจหยุดวิ่ง!


     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    The Public Post


    ครั้งแรก “วอชิงตันโพสต์” เปิดภาค “ภาษาอาหรับ” ทุ่มพื้นที่ข่าวให้ “คาช็อกจี”

    https://www.publicpostonline.net/19420


     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    IMG_5154.JPG
    (Nov 19) เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/2018 ชะลอกว่าคาดที่ 3.3%YOY อีไอซีปรับลดประมาณการทั้งปีโต 4.2% : สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานตัวเลข GDP ของไทยในไตรมาส 3 ปี 2018 ขยายตัว 3.3%YOY (เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า) หรือเติบโต 0.0% หากเทียบกับไตรมาสก่อนแบบปรับฤดูกาล ทำให้เศรษฐกิจไทย 3 ไตรมาสแรกของปี 2018 ขยายตัว 4.4%YOY

    Analysis:
    - เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ชะลอจากอุปสงค์จากต่างประเทศเป็นสำคัญ โดย GDP ไทยในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 7 ไตรมาสที่ 3.3%YOY ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 4.6%YOY นำโดยมูลค่าการส่งออกสินค้าที่แท้จริงในรูปสกุลเงินบาทในไตรมาสที่ 3 ที่หดตัว -0.1%YOY จากการขยายตัวในไตรมาสที่ 2 ที่ 6.8%YOY เป็นผลมาจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญที่เริ่มชะลอตัว โดยหลายประเทศมีอัตราการเติบโตของ GDP ในไตรมาสที่ 3 ที่ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้า ทั้ง ยูโรโซน ญี่ปุ่น จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ นอกจากนี้มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยยังเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอีกด้วย สำหรับภาคการท่องเที่ยวก็มีการชะลอตัวเช่นกัน โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวที่ 2.7%YOY ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 9.1%YOY มีสาเหตุมาจากการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในไตรมาสที่ 3 ที่หดตัว -8.8%YOY ลดลงจากการขยายตัวในระดับสูงที่ 21.3%YOY ในครึ่งปีแรก

    - การบริโภคภาคเอกชนเร่งตัวตามยอดขายรถยนต์นั่งเป็นหลัก สำหรับการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 3 เติบโตสูงสุดในรอบ 22 ไตรมาสที่ 5.0%YOY เร่งขึ้นจากการขยายตัวที่ 4.5%YOY ในไตรมาสก่อนหน้า โดยสินค้าหมวดสินค้าคงทนที่เติบโต 10.6%YOY โดยเฉพาะยอดขายรถยนต์นั่งที่เติบโตถึง 27.0%YOY เร่งขึ้นจาก 25.1%YOY ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การเติบโตของการบริโภคในกลุ่มไม่คงทนซึ่งเป็นตัวแทนการบริโภคของครัวเรือนส่วนใหญ่ทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า โดยทรงตัว 0.0%YOY ชะลอลงจากการเติบโตในไตรมาสที่ 2 ที่ 0.9%YOY สะท้อนถึงการบริโภคภาคเอกชนยังคงพึ่งพาผู้มีรายได้สูงเป็นหลัก สำหรับการบริโภคภาครัฐยังสามารถขยายตัวได้ดีเช่นกัน โดยขยายตัว 2.1%YOY เร่งขึ้นเล็กน้อยจาก 2.0%YOY ในไตรมาสก่อนหน้า

    - การลงทุนในภาพรวมยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2018 การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องที่ 3.9%YOY เร่งขึ้นจาก 3.7%YOY ในไตรมาสก่อนหน้า นำโดยการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักร และการลงทุนในสิ่งก่อสร้างที่เร่งตัวขึ้นเป็น 3.4%YOY และ 5.4%YOY ในไตรมาสที่ 3 ตามลำดับ จาก 3.3%YOY และ 3.0%YOY ในไตรมาสก่อนหน้าตามลำดับ ขณะที่ด้านการลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ 4.2%YOY ชะลอลงจาก 4.9%YOY ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรโดยเฉพาะการนำเข้าเครื่องบิน ทั้งนี้ การลงทุนภาครัฐยังคงนำโดยการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่ขยายตัวที่ร้อยละ 9.9%YOY เร่งขึ้นจาก 8.9%YOY ในไตรมาสก่อนหน้าซึ่งเป็นการเร่งขึ้นในด้านการก่อสร้างเป็นสำคัญ

    Implication:

    - อีไอซีปรับลดประมาณการ GDP ปี 2018 ลงเหลือ 4.2% จาก 4.5% ในประมาณการครั้งก่อน ตัวเลข GDP ที่ออกมาในไตรมาสนี้ชะลอลงค่อนข้างมากจากไตรมาสก่อนหน้า อีไอซีมองว่าสาเหตุหลักมาจากการหดตัวของการส่งออกสินค้าและการชะลอลงของภาคการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ ส่งผลให้ GDP ทั้งปีของไทยในปี 2018 นี้น่าจะมีค่าเฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ราว 4.2%YOY

    - อุปสงค์จากต่างประเทศในระยะต่อไปน่าจะมีการฟื้นตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3 สำหรับด้านการส่งออกสินค้าของไทย อีไอซีมองว่ายังมีโอกาสขยายตัวได้ตามการค้าโลกที่ยังเติบโต ทั้งนี้ ทิศทางการส่งออกของหลายประเทศในเอเชียในเดือนตุลาคมมีสัญญาณดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เช่น จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ เวียดนาม และสิงคโปร์ เป็นต้น อย่างไรก็ดี อัตราการเติบโตของการค้าโลกอาจไม่ได้อยู่ในระดับสูงเหมือนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2018 จากปัจจัยสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เริ่มมีผลกระทบต่อสินค้าส่งออกที่เกี่ยวข้องแล้ว และมีความเสี่ยงที่จะส่งผลต่อเนื่องและรุนแรงขึ้นในระยะถัดไป ในด้านสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยที่ได้รับผลกระทบชั่วคราวจากการลดลงของนักเที่ยวจีนนั้น คาดว่าจะทยอยฟื้นตัวและจะเห็นภาพการฟื้นตัวที่ชัดเจนในตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2019 เป็นต้นไป หลังภาครัฐได้ออกมาตรการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวแล้ว รวมถึงภาคการท่องเที่ยวไทยยังได้ปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ที่ยังคงรักษาระดับการเติบโตได้ดีในไตรมาสที่ 3 ที่ 7.7%YOY เร่งขึ้นเล็กน้อยจากการเติบโตในครึ่งปีแรกที่ 7.4%YOY อย่างไรก็ตาม การลดลงของนักท่องเที่ยวจีนที่มีการใช้จ่ายต่อหัวโดยเฉลี่ยราว 5.5 หมื่นบาทต่อคนต่อทริป ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวชาติในอาเซียนที่เข้ามาทดแทนในช่วงหลัง ที่ใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ราว 3.1 หมื่นบาทต่อคนต่อทริป ส่งผลให้การเติบโตด้านรายได้จากการท่องเที่ยวอาจชะลอลงกว่าในช่วงก่อนหน้าที่การเติบโตของนักท่องเที่ยวจีนอยู่ในระดับสูง

    - การลงทุนในประเทศยังคงขยายตัวได้แม้การส่งออกชะลอตัว แม้ว่าในอดีตที่ผ่านมาการเติบโตของการลงทุนภาคเอกชนจะค่อนข้างอิงอยู่กับสภาวะของการส่งออกเป็นหลัก แต่ในไตรมาสนี้ภาคเอกชนมีการเร่งลงทุนมากขึ้นแม้การส่งออกจะชะลอตัวลงชัดเจน อีไอซีวิเคราะห์ว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในด้านอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนการลงทุนของประเทศนอกเหนือไปจากการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในส่วนที่ได้อานิสงส์จากโครงการเมกะโปรเจกต์ด้านคมนาคมของภาครัฐที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่เริ่มเห็นความสนใจจากภาคเอกชนชัดเจนมากขึ้น สะท้อนจากตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่เพิ่มขึ้นสูงมากกว่าเท่าตัวในช่วงครึ่งปีแรก และยอดการจดทะเบียนบริษัทที่เติบโตสูงขึ้นในเขต EEC ในกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าน่าจะเป็นการลงทุนเพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง เช่น ธุรกิจอสังหาฯ การก่อสร้าง เป็นต้น

    - รายได้ครัวเรือนไทยยังฟื้นตัวช้า ส่งผลการบริโภคภาคเอกชนยังเติบโตแบบไม่กระจายตัว โดยการบริโภคสินค้าไม่คงทนซึ่งสะท้อนการบริโภคของกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยและปานกลางทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า โดยเติบโต 0.0%YOY ซึ่งชะลอลงจากระดับการขยายตัวที่ต่ำอยู่แล้วในไตรมาสที่ 2 ที่ 0.9%YOY อีไอซีมองว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่รายได้ครัวเรือนไทยเติบโตในระดับต่ำ โดยในไตรมาสที่ 3 รายได้เกษตรกร และค่าจ้างเฉลี่ยของลูกจ้างขยายตัวได้ที่เพียง 1.1%YOY และ 1.8%YOY ตามลำดับ ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 1.6%YOY และ 2.0%YOY ตามลำดับ ซึ่งอีไอซีมองว่าแรงกดดันประการหนึ่งของรายได้ที่โตช้ามาจากอุปทานส่วนเกิน (slack) ที่มีอยู่ในตลาดแรงงานสะท้อนจากจำนวนชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยที่ลดน้อยลงตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เศรษฐกิจจำเป็นต้องมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องอีกสักระยะเพื่อให้ slack ลดลงและนำไปสู่การเร่งตัวของค่าจ้างต่อไป นอกจากนี้ หนี้ครัวเรือนไทยยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 77.5% ต่อ GDP ดังนั้น ด้วยรายได้ที่ขยายตัวอย่างช้าๆ และหนี้ที่ยังอยู่ในระดับสูงโดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อย ส่งผลให้แนวโน้มการใช้จ่ายภาคครัวเรือนอาจยังไม่สามารถเร่งตัวได้รวดเร็วนัก การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนในภาพรวมจึงยังคงพึ่งพาการใช้จ่ายของผู้มีรายได้สูง และความคึกคักของตลาดรถยนต์อันเป็นผลมาจากการกลับมาซื้อรถยนต์ของผู้หมดภาระจากหนี้รถยนต์คันแรกและการกระตุ้นยอดขายด้วยโปรโมชั่นและสินเชื่อ

    โดย จิรายุ โพธิราช

    Source: Economic Intelligence Center (EIC)
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ส่วนดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา กองตรวจและเฝ้าระวังสภาวะอากาศ


    รายงานการติดตามสภาวะอากาศเมื่อเวลา 19.00 น. (วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561)


    ภาคเหนือ : มีเมฆเป็นส่วนมาก ส่วนใหญ่เป็นเมฆชั้นต่ำ และเมฆฝน ตรวจพบกลุ่มฝนบริเวณ จ.เชียงใหม่ พิษณุโลก และตาก ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : มีเมฆเป็นส่วนมาก ส่วนใหญ่เป็นเมฆชั้นต่ำ และเมฆฝน ตรวจพบกลุ่มฝนบริเวณ จ. เลย หนองบัวลำภู ขอนแก่น อุดรธานี สกลนคร นครพนม ยโสธร สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และนครราชสีมา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


    ภาคกลาง : มีเมฆเป็นส่วนมาก ส่วนใหญ่เป็นเมฆชั้นต่ำ และเมฆฝนฟ้าคะนอง ตรวจพบกลุ่มฝนบริเวณ จ.ลพบุรี สระบุรี และกาญจนบุรี ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


    ภาคตะวันออก : มีเมฆเป็นส่วนมาก ส่วนใหญ่เป็นเมฆชั้นต่ำ และเมฆฝนฟ้าคะนอง ตรวจพบกลุ่มฝนกระจายทั่วทั้งภาค ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


    ภาคใต้ : มีเมฆเป็นส่วนมาก ส่วนใหญ่เป็นเมฆชั้นต่ำ และมีเมฆฝนฟ้าคะนอง ตรวจพบกลุ่มฝนบริเวณ จ.เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ กระบี่ ตรัง พัทลุง และนครศรีธรรมราช ฝั่งอ่าวไทย ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ฝั่งอันดามัน ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


    ติดตามรายงานสภาวะอากาศได้ที่ http://www.sattmet.tmd.go.th/satmet/monitoring/monitoring.html


     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Nov 19) สื่อเผยคาร์ลอส โกสน์ประธานนิสสันแจ้งรายได้ต่ำกว่าความเป็นจริงเกือบ 1 หมื่นล้านเยน : สำนักข่าวจิจิของญี่ปุ่นรายงานว่า นายคาร์ลอส โกสน์ ประธานบริษัทนิสสัน มอเตอร์ ได้แจ้งรายได้ต่ำกว่าความเป็นจริงต่อตลาดหลักทรัพย์โตเกียวเป็นจำนวนเงินเกือบ 1 หมื่นล้านเยน (88.70 ล้านดอลลาร์)


    การแจ้งรายได้ต่ำกว่าความเป็นจริงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงปี 2554-2559


    ทางด้านบริษัทนิสสันออกแถลงการณ์ยืนยันว่า นายโกสน์กำลังถูกเจ้าหน้าที่สอบสวนกรณีทำผิดกฎหมายการเงินของญี่ปุ่น ขณะที่สื่อบางรายระบุว่า นายโกสน์ได้ถูกจับกุมตัวแล้ว


    แถลงการณ์ระบุว่า นายโกสน์ และนายเกรก เคลลี ประธานกรรมการบริษัท ได้แจ้งรายได้ต่ำกว่าความเป็นจริงเป็นเวลาหลายปีต่อตลาดหลักทรัพย์โตเกียว


    นอกจากนี้ นิสสันยังเปิดเผยว่า นายโกสน์ได้ทำผิดกฎระเบียบของบริษัทหลายประการ เช่น การใช้ทรัพย์สินบริษัทเพื่อประโยชน์ส่วนตัว


    ทั้งนี้ นายฮิโรโตะ ไซกาวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของนิสสัน จะเสนอให้บอร์ดกรรมการทำการปลดนายโกสน์และนายเคลลีออกจากตำแหน่ง


    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ


    เพิ่มเติม

    - Nissan's Ghosn to be ousted over financial misconduct allegations: https://www.reuters.com/article/us-...inancial-misconduct-allegations-idUSKCN1NO0Q9
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo


    รอยแตกยังคงโผล่ไปทั่วโลก

    ตอนนี้พวกเขาปรากฎตัวในเอลซัลวาดอร์


    รูปภาพ

    IMG_5155.JPG IMG_5156.JPG IMG_5157.JPG IMG_5158.JPG IMG_5159.JPG

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo


    #Urgente

    เกือบ 3,000 คนได้รับการอพยพจากการระเบิดของ Volcano of Fire ข่าวของ Insivumeh เช้านี้นี้แสดงให้เห็นว่าการปะทุที่รุนแรงดังต่อไปนี้

     

แชร์หน้านี้

Loading...