เรื่องเด่น ตามรอยหลวงพ่อเงิน พุทธโชติ (กลุ่มหลวงพ่อเงิน)

ทรงพระเจริญ

ข้าวรพุทธเจ้า เอามโนและศิระกราน
นบพระภูมิบาลบุญดิเรก เอกบรมจักริน
พระสยามินทร์พระยศยิ่งยง เย็นศิระเพราะพระบริบาล
ผลพระคุณ ธ รักษา ปวงประชาเป็นสุขศานต์
ขอบันดาล ธ ประสงค์ใด จงสฤษดิ์ดัง
หวังวรหฤทัย ดุจถวายชัย ชโย

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ...ยิ่งยืนนาน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้าฯ ...หมู่มวลสมาชิกเวบพลังจิต (กลุ่มหลวงพ่อเงิน)

 

ขอพระองค์ทรงพระเจริญฯ ยิ่งยืนนาน

 

ทรงพระเจริญ
ทรงพระเจริญ
ทรงพระเจริญ

 

เจ๊ตุ้ม รบกวนช่วยดูจอบองค์นี้ให้หน่อยครับ ทันหลวงพ่อเงินมั้ยครับ

 

เก็บจากเฟสมาฝากครับ

ขอบพระ คุณคุณธี โพทะเล ครับ

 

เนื่องจากพิมพ์ที่มองเห็นในรูปเป็นจอบใหญ่ มีการหล่อไม่เต็มและตื้น แบบนี้แจงรายละเอียดได้ยากมากๆ การที่จะบอกว่าเป็นพระแท้ เก๊ ก็ไม่สามารถบอกได้อีกครับ จะฟันธงว่าเก็ก็จะกลายเป็นใจจืดใจดำเกินไปครับ เอาเป็นอันว่า ศึกษาการหล่อแบบโบราณ จากด้านล่าง เพื่อพัฒนาต่อยอดในองค์ต่อๆ ไปนะครับ

วิธีการหล่อพระรูปหล่อลอยองค์ แบบโบราณ...แบบใช้ก้านชนวนติดต้นช่อเทียน

ขั้นตอนการเตรียมการ
1. ขั้นแรกช่างก็ต้องปั้นหุ่นดินพระต้นแบบ ขึ้นมาก่อน.....เพื่อ
2. นำไปทำแม่พิมพ์ต้นแบบ... ....สำหรับ
3. หล่อหุ่นเทียนแม่แบบอาจเป็นร้อยหรือเป็นพันองค์ ตามจำนวนที่ต้องการ....

ขั้นตอนการหล่อ
เมื่อมีแม่พิมพ์ต้นแบบแล้วช่างจะหลอมเทียนขี้ผึ้งผสมชัน(เพื่อเพิ่มความเหนียวและแข็งให้เทียนขี้ผึ้งเมื่อตอนที่ขี้ผึ้งเย็นตัวลง)จนเหลวแล้วเทลงในแม่พิมพ์ต้นแบบ รอจนขี้ผึ้งเย็นตัวลงจนแข็งดีแล้วก็จะถอดแบบแม่พิมพ์ออกแล้วนำเอาหุ่นเทียนมาทำการตกแต่งดูความเรียบร้อย..ซึ่งในขั้นตอนนี้เองที่ทำให้พระรูปหล่อแบบโบราณอาจจะมีรูปลักษณะแตกต่างกันไปบ้างเล็กน้อย แต่พิมพ์ทรงโดยรวมยังคงเหมือนกัน.....หลังจากนี้...ช่างก็จะนำเอาแท่งเทียนกลมๆ เรียกว่าก้านชนวน ติดเข้าที่ใต้ฐานองค์หุ่นเทียนทุกองค์ เพื่อเป็นสายชนวนให้น้ำโลหะแล่นเข้าถึงหุ่นเทียน....ในขั้นตอนนี้ทำให้เราสามารถใช้เป็นจุดสังเกตพระแท้หรือเทียมได้ในระดับหนึ่ง...คือพระแท้หล่อโบราณมักจะมีก้านชนวนใหญ่เพื่อให้น้ำโลหะแล่นเข้าถึงหุ่นเทียนได้โดยสะดวก (...ต่างจากพระทำเทียมสมัยใหม่ที่ใช้การฉีดที่มีแรงดันสูง....จะมีก้านชนวนเล็กกว่ามาก แต่เดี๋ยวนี้เขาก็อาจจะหักเหลี่ยมเราอีกทีด้วยการทำก้านชนวนให้ใหญ่ขึ้นได้ ) ....เมื่อติดหุ่นเทียนพระกับก้านชนวนจนหมดทุกองค์แล้ว....จึงนำหุ่นเทียนพระที่มีก้านชนวนไปติดกับแกนชนวนใหญ่ต้นช่อ ตามจำนวนที่ช่างหล่อถนัดและสะดวกที่จะหล่อ (ที่เราพบเห็นส่วนมากจะเจอแบบช่อเก้าองค์ซะเป็นส่วนใหญ่...แต่ผมคิดว่าตอนหล่อจริงจำนวนมากๆช่างน่าจะติดช่อมากกว่าเก้าองค์ ).....เมื่อติดหุ่นเทียนพระที่มีก้านชนวนไปติดกับแกนชนวนใหญ่ต้นช่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะถึงขั้นตอนการพอกหุ่นเทียน..โดยการนำเอามูลโคสดที่ผ่านการละลายในน้ำแล้วกรองเอาเศษกากอาหารโคที่หยาบๆออกจนหมด แล้วผสมกับดินละเอียด (ส่วนมากก็จะนำเอาดินจอมปลวกเพราะละเอียด+หาง่าย) เพื่อให้น้ำมูลโคข้นขึ้นคล้ายขี้โคลน....จากนั้นก็จะใช้แปรงขนอ่อน เช่นแปรงขนกระต่าย จุ่มน้ำโคลนมูลโคมาทาที่หุ่นเทียนพระ ทาพอกไปหลายๆครั้งทีละชั้นๆ พอชั้นแรกแห้งก็ทาพอกชั้นต่อไปให้หนาขึ้นเรื่อยๆตามความต้องการของช่างหล่อ...เมื่อได้ความหนาตามต้องการแล้ว...ก็จะนำดินผสมทรายพอกทับห่อหุ้มต้นช่อเทียนที่ทาน้ำมูลโคแล้วอีกชั้นหนึ่ง..โดยในชั้นนี้จะทำการพอกจนมั่นใจว่าแข็งแรงเพียงพอ ก็จะนำมาเข้าลวด...คือเอาลวดพันยึดทั่วต้นช่อหุ่นเทียนพระทั้งหมดเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ป้องกันหุ่นเทียนแตก...เสร็จแล้วก็ต้องพอกดินหุ้มลวดไปอีกชั้นจึงนำไปตกแดดให้แห้ง....
เมื่อต้นช่อเทียนที่ผ่านการเข้าลวดพอกดินแห้งดีแล้ว...ก็ถึงตอนเตรียมการหล่อพระแล้วหละ....ขั้นตอนนี้ต้องอาศัยความชำนาญจึงจะได้พระสวย และไม่เสียของมาก....เพราะต้องทำด้วยความรวดเร็ว แม่นยำ และชำนาญ เพราะบางทีอาจต้องตรงตามฤกษ์การเททองที่กำหนด.....ช่างต้องเตรียมน้ำทอง รวมทั้งโลหะต่างๆที่ผู้มีจิตศรัทธาร่วมถวายผสมหลอมรวมกันอยู่ในเบ้า ซึ่งช่างที่ดูน้ำทองเก่ง ก็สามารถรู้ว่าได้ที่หรือยัง เพราะโลหะแต่ละชนิดมีจุดหลอมละลายต่างกัน เช่นทองแดงหลอมละลายที่ประมาณ 1048 องศาเซลเซียส ทอง หลอมละลายที่ประมาณ 1064 องศาเซลเซียส เงิน หลอมละลายที่ประมาณ 961 องศาเซลเซียส ดีบุก หลอมละลายที่ประมาณ 232 องศาเซลเซียส เป็นต้น พร้อมกันนี้ช่างก็จะนำเอาต้นช่อเทียนที่ผ่านการเข้าลวดพอกดินแห้งดีแล้ว มาทำการคว่ำหุ่นสุมไฟเพื่อละลายเทียนและทำการสำรอกเทียนออกมาให้หมด เมื่อต้นช่อเทียนที่ผ่านการสำรอกเอาเทียนออกหมดแล้ว ก็ยังต้องสุมหุ่นให้ร้อนจัดต่อไปให้แน่ใจว่าไม่มีไอขี้ผึ้งหลงเหลืออยู่ แล้วจึงนำเอาน้ำทองที่สุมไฟจนหลอมเหลวรอไว้ มาเทใส่ในหุ่นต้นช่อเทียนที่ตอนนี้ไม่มีเทียนอยู่ภายในแล้ว...น้ำทองหลอมเหลวก็จะไหลแล่นเข้าไปแทนที่ว่างภายในหุ่นต้นช่อเทียน ..ถ้าเรานึกภาพเหมือนตอนดูหนังวิทยาศาสตร์...ก็จะเห็นน้ำทองแล่นไหลปรูดปราดจากฐานต้นช่อเข้าสู่ต้นแกนเทียนแล้วแยกเข้าไปตามกิ่งก้านแยกย้ายกันเข้าไปถึงองค์พระเข้าสู่ซอกหลืบลวดลายต่างๆอย่างรวดเร็ว..เพราะหุ่นต้นช่อเทียนที่ถูกสุมจนร้อนจัด...ที่ว่างภายในหุ่นที่แต่เดิมถูกขี้ผึ้งยึดครองอยู่ ถูกความร้อนละลายหายไปหมด....ก็จะร้อนจัด..จนคล้ายเป็นสุญญากาศ พอเทน้ำทองที่ฐานหุ่นช่อเทียน น้ำทองที่หลอมเหลวจึงคล้ายกับถูกดูดเข้าไปในหุ่นอย่างรวดเร็วทุกซอกทุกมุม ไม่มีการสำลักน้ำทอง.....เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการเททอง...หลังจากนี้ก็รอจนกว่าหุ่นช่อเทียนที่ตอนนี้กลายเป็นช่อพระทองไปแล้วเย็นตัวลง...น้ำทองภายในหุ่นก็จะแข็งตัวเป็นต้นช่อพระทอง.....แล้วจึงทำการทุบเอาดินที่พอกหุ่นออก ก็จะได้สัมผัสกับองค์พระเหลืองอร่ามงามบาดตาตรึงใจหรือไม่ก็แล้วแต่ฝีมือช่างเททอง...(เป็นการพิสูจน์ฝีมือช่าง)...ต่อจากนี้ก็จะนำไปตัดก้านชนวนออกจากช่อ...ก็จะได้องค์พระเป็นองค์ๆเพื่อนำไปตกแต่งด้วยตะไบเก็บรายละเอียดตามความต้องการ.. ถ้าจะหล่อพระเหรียญก็จะทำแบบเดียวกัน จะต่างกันหน่อยก็ตรงเขาจะติดหุ่นเทียนที่เป็นเหรียญเทียนตามจำนวนที่เหมาะสมที่ติดได้ ตั้งเรียงกันเป็นวงลงบนแป้นฐานเทียนกลมๆ (คล้ายๆกับทหารยืนเข้าแถวตอนเรียงหนึ่ง แต่ยืนเรียงกันเป็นวงกลม) ที่ว่างในวงกลมก็สามารถติดหุ่นเหรียญเสริมได้อีก...แล้วก็ดำเนินการไปจนถึงขั้นตอนการพอกหุ่นเทียน...เหมือนกับขั้นตอนการทำรูปหล่อ
เป็นอันเสร็จพิธีการทำพระหล่อแบบโบราณ….ด้วยวิธีการหล่อแบบต้นช่อเทียน

 

ส่วนของรูปหล่อหลวงพ่อเงินในยุกนั้นจะมีการหล่ออีกแบบ ใช้ในการเทหล่อ สาม สี่ ห้า ชายครับ ลองอ่านๆกันดูเผื่อจะมีประโยชนบ้าง
การหล่อแบบเบ้าทุบ (แบบเบ้าหก) การเข้าพิมพ์ จะเข้ากันองค์ต่อองค์ หรือหนึ่งองค์หนึ่งเบ้า โดยจะต้องเตรียมหุ่นขี้ผึ้งไว้ให้ได้ตามจำนวนที่ต้องการ แล้วนำหุ่นขี้ผึ้งทาพอกด้วยดินนวล ((ดินละเอียดที่ผสมน้ำขี้วัว) ดินทรายตามลำดับ แล้วจึงเอาดินเบ้าหุ้มอีกทีด้วยการ ม้วนดินเบ้าวนเป็นวงหุ้มดินทรายให้ดี เปิดตูดไว้ ผึ่งให้แห้ง แล้วจึงเผาสำรอกเทียนออก ก็จะเหลือเบ้าพิมพ์พระพร้อมเทแบบเบ้าหก จากนั้นจึงตักโลหะหยอดเป็นองค์ๆไป กะเนื้อโลหะให้พอดี หยอดเสร็จก็ใช้ดินเหนียวปิดก้นกดลงไป ปล่อยให้เย็น ค่อยทุบดินหุ้มออกก็จะได้องค์พระเป็นองค์ๆไป จึงเป็นที่มาของการเรียกว่า เบ้าทุบ การหล่อแบบนี้ จะทำการหยอดโลหะทีละองค์ๆ ซึ่งถ้าเตรียมหุ่นให้มาก และช่างมีความชำนาญ วิธีนี้จะหล่อพระได้รวดเร็วมาก หลอมเนื้อโลหะทีละมากๆแล้วก็ ตักหยอดๆ ๆๆ ช่างที่มีความชำนาญ วันหนึ่งสามารถหล่อได้แยอะ หลวงพ่อเงินพิมพ์ขี้ตา หล่อแบบโบราณก็ใช้วิธีนี้ครับ
ดังนั้นเราจึงเห็นได้ว่าหลวงพ่อเงินพิมพ์ขี้ตา จะมีรูปทรงหลากหลาย แต่ที่ถึงยุคหลวงพ่อส่วนมากจะมีรูปทรงคล้ายๆกัน หรือเหมือนกัน ต่างกันที่เนื้อโลหะ..ทั้งนี้เป็นเพราะในยุคหลวงพ่อมีช่างหล่ออยู่หน้าวัด รับจ้างหล่อ ใครเป็นพ่อค้า คหบดี หรือว่าชาวเรือขึ้นล่อง ที่มีความศรัทธาในตัวหลวงพ่อเงิน ก็จะนำทองบ้าง นากบ้าง เงินบ้าง...แล้วแต่ฐานะกำลังทรัพย์ของแต่ละคนไปจ้างช่างหล่อแล้วจึงนำไปให้หลวงพ่อปลุกเสก.....ด้วยเหตุนี้ผมจึงคิดว่า เราควรศึกษาวิธีดูเนื้อโลหะให้แม่นเป็นอันดับแรก...เพราะถ้าเนื้อถึงยุค....โอกาสพระแท้ก็มากเกินครึ่งแล้ว

 

ค่าเทอมที่ลูกขอแม่กำลังพยายามอยู่ ลูกจ๋ารอหน่อยนะ

 

รบกวนด้วยครับ

รบกวนท่านสมาชิกด้วยครับ

 

ขอบคุณครับเจ๊ตุ้ม ที่ให้ความรู้ ผมไปเจอภาพของคุณนพมาครับพิมคล้ายกันเลยครับ แต่พี่เค้าจะเขียนบอกเป็นของห้วยเขน2456ชาวบ้านทำหลวงพ่อเงินปลุกเสก

 

เป็นพระถอดพิมพ์มา ความตื้นของเหรียญ ความไม่คมชัดในหลักของพระหล่อช่อโบราณ ผิดสัดส่วนหลายที่เช่นด้านแขนขวาของเหรียญหล่อ(ด้านซ้ายของมือเรา) พระหล่อโบราณพิมพ์จะเพี้ยนได้ครับแต่ไม่ขนาดนี้ รอยต่อของการสร้างห่วงกลมดิ๊กเชียว ลองเทียบดูกับพระหลักแข้งติดดูนะครับ จะแยกความแตกต่างได้ง่ายมุมมองของผมมีคร่าวๆ บางส่วนแค่นี้ครับ อาจแย้งว่าคราบสวยเนื้อมีอายุ ก็ต้องบอกว่าวัตถุมงคลของหลวงปู่มีการปลอมกันก่อนปี2500 แล้วครับ แต่แนะนำให้สอบถามในหลายๆที่นะครับเผื่อได้คำตอบที่ดีกว่าครับ

บทความของ จสอ. เอนก เจกะโพธิ์ เรื่อง ประวัติ หลวงพ่อเงิน บางคลาน เทพเจ้าและเพชรน้ำเอก ของจังหวัดพิจิตร เก็บข้อมูลจากการ สัมภาษณ์ ท่านพระครู พิทักษ์ ศิลคุณ ( น้อย ) เจ้าคณะอำเภอบางมูลนาก หนึ่งในศิษย์ทีรับใช้หลวงพ่อเงินและเป็น ผู้สร้างพระหลวงพ่อเงิน ให้หลวงพ่อปลุกเสก ( ในหนังสือพระเครื่องกรุงสยาม ฉบับที่ 1 ปี2537 ของเสี่ยอุ๊ กรุงสยาม และตีพิมพ์ซ้ำใน ดัชนีพระ ฉบับที่ 5 ปี 2537 ก่อนยุคเสี่ย กอบชัย )ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็น อาจารย์ปู่ แห่งวงการพระเครื่อง แล้ว ก็ยิ่ง ทำให้ได้รับทราบว่า

พระหลวงพ่อเงิน ทุกพิมพ์ ทั้ง นิยม ขี้ตา จอบเล็ก จอบใหญ่ มีการจัดสร้าง กันหลายครั้งหลายคราว หลายวัด หลายกลุ่มบุคคล
และที่หนักกว่านั้น ก็คือ หลังจากหลวงพ่อเงินมรณภาพแล้ว ชาวบ้าน( ช่างแม้น ช่างกรุ่น ชาวบ้านบางคลาน ) ได้มีการสร้างพระหลวงพ่องเงินกันเอง เพื่อสนองดีมานด์ ตั้งแต่ปี 2492 จนถึงปัจจุบัน พระหล่านี้ก็มีอายุปาเข้าไปเกือบ 60 ปี จนเล่นเป็นแท้ ในสายยระบบสากลกันไปมากแล้วการจัดสร้าง พระรูปหล่อ หลวงพ่อเงิน ตามที่ จสอ. เอนก เจกะโพธิ์ รายงานไว้มีดังนี้ ( อ้างข้อมูลจากท่านพระครู พิทักษ์ ศิลคุณ ( น้อย ) เจ้าคณะอำเภอบางมูลนาก และ นายพริ้ง เข็มครุฑ ( บิดาเพื่อน จสอ.เอนก ) ชาววัดวังตะโก ร่วมยุคหลวงพ่อเงิน )
จากบางส่วนของหนังสือ ครับ

 

ขออุทิศ..ความดี ที่เคยทำมา แด่ ท่านแม่ของผมและ

ท่านแม่ของทุกฯท่านบนโลกใบนี้ครับ สาธุ...

 

ระวังนะครับ ตอนที่ท่านอยู่เราไม่ทำ ตอนเราทำ ท่านไม่อยู่ เศร้า นะ

 

http://palungjit.org/attachments/a.3149209/
เหรียญจอบใหญ่ มีการสร้างหลายครั้ง หลายวัด ขออภัยจริงๆ ครับ. พิมพ์ตื้นขนาดมองจับจุดไม่ได้เลย ผมไม่รู้ว่าจะพาท่านเข้าวัดไหนดี
แต่ถ้าผมเป็นคนขายพระละก็ ไม่แน่ครับ

แถมอีกนิด.
ประวัติการสร้างพระวัดห้วยเขนครับผม
หลวงพ่ออั้นหรือพระครูพิศิษฏ์ธรรมานุวัตรท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่9ของวัดห้วยเขน ท่านเกิดปี2480 บวชเณรปี2494 จนปัจจุบัน ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่ออ๋อยวัดหนองบัว ต้นตระกูลของท่านเป็นคนในพื้นที่ตำบลห้วยเขน หลวงพ่ออั้นเป็นหลานตาพระครูพิทักษ์ศิลคุณ(ล้อม โลหะทัศน์)เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดห้วยเขนและเจ้าคณะอำเภอบางมูลนากรูปแรก ซึ่งเป็นผู้สร้างอุโบสถหลังแรกของวัดห้วยเขน โดยโยมยายของหลวงพ่ออั้นคือยายใบ เป็นน้องสาวถัดจากพระครูล้อม (พ่อแม่เดียวกัน) และโยมตาคือ ตาพุฒ ฉิมจิ๋ว น้องเขยพระครูล้อม (ประมาณ2410-2492 หมอแผนโบราณ หลวงพ่อเงินบวชให้) เมื่อพระครูล้อมจะสร้างโบสถ์ ท่านขายที่นาของโยมพ่อและโยมแม่ส่วนหนึ่ง รวมกับเงินที่ได้จากการจำหน่ายพระของหลวงพ่อเงิน ซึ่งหลวงพ่อเงินวัดบางคลานรับเป็นองค์อุปถัมภ์สร้างโบสถ์วัดห้วยเขน หลวงพ่อเงินได้สร้างพระดังต่อไปนี้

1 พระเนื้อดินพิมพ์คะแนนมีสองแบบคือ
พิมพ์นั่งมีปรกโพธิ์ และปรกโพธิ์ติดไม่ชัด
พิมพ์ยืนประทานพร มีปรกโพธิ์ และปรกโพธิ์ติดไม่ชัด
หลวงพ่อเงินได้ผสมเนื้อพระด้วยตัวท่านเอง และพระลูกวัดช่วยกันพิมพ์พระและเผาที่
วัด บางคลาน
2 พระรูปหล่อลอยองค์โลหะขนาด 5สลึงและหนึ่งบาท(รูปหล่อของวัดบางคลาน คนพื้นที่ เรียกว่า ขนาด 6สลึง)
มีเนื้อเงิน และ เนื้อทองเหลือง มีทั้งก้นเรียบ และก้นมี อุ หล่อได้เรียบร้อย บางองค์มีรอยแต่งด้วย
3 เหรียญทองเหลืองหล่อรูปไข่หรือใบพุทรา มีน้อยพบจากชาวบ้านแถววัดห้วยเขนเพียง 5องค์ เป็นของอดีตทายกวัดห้วย เขนทุกองค์
4 เหรียญหล่อจอบใหญ่และเล็ก หาพระของแท้มายืนยันไม่ได้ คิดว่าปัจจุบันคงเล่นเป็นของวัดบางคลานทั้งหมด
ในปี2525 เมื่อมีข่าวกรุวัดห้วยเขนแตก หลวงพ่อเปรื่อง เจ้าอาวาสวัดบางคลานเดินทางมาดูเหตุการณ์ที่วัดห้วยเขน บอกหลวงพ่ออั้นว่า ท่านพกจอบใหญ่วัดห้วยเขนอยู่
5 รูปถ่ายหลวงพ่อเงิน ขนาดโปสการ์ด
พระทั้งหมดทำที่วัดบางคลานเสร็จแล้ว หลวงพ่อเงินเอาบรรทุกหลังช้างเอาไปจำหน่ายที่
วัดห้วยเขน

สมัยนั้นมีลูกศิษย์พระครูล้อม เช่น
ทายกแดง มั่นกำเนิด (หลวงพ่อเงินบวชให้)
ทายกสังวาลย์ ศรีสังข์ ( ประมาณ2440-2515)
ทายกผู้ใหญ่โต๊ะ สุขสอน(2444-2534)
ช่วยเดินจำหน่ายพระเหล่านั้น ในราคาองค์ละหนึ่งบาท
โบสถ์เริ่มสร้างในปี2456 สร้างเสร็จปี2460

ผู้เฒ่าเหล่านี้และโยมตาพุฒเป็นผู้ให้ข้อมูลพระหลวงพ่อเงินกรุวัดห้วยเขนแก่หลวงพ่ออั้น และเป็นผู้ยืนยันหลักฐานสำคัญที่เป็นพระเครื่อง หรือรูปถ่าย ที่ท่านเคยเดินจำหน่ายหรือเคยรับจากมือหลวงพ่อเงินบางคลานในสมัยนั้นและท่านได้เก็บรักษาไว้ ตกทอดมาถึงลูกหลาน

 

สวัสดีครับ พี่เจ๊ตุ้ม และเพื่อนๆ สมาชิก ทุกท่านครับ

 

วันพืชมงคล หมายถึง วันที่กำหนดพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีเก่ามาแต่โบราณที่เสริมสร้างขวัญและกำลังใจแก่เกษตรกรของชาติ เพื่อเป็นการระลึกถึงความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อเศรษฐกิจไทย โดยมีการจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มีสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ซึ่งพระราชพิธีนี้จะกระทำที่ท้องสนามหลวง ประกอบด้วย 2 พระราชพิธีคือ พระราชพิธีพืชมงคล และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
พิธีพืชมงคล เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพืชพันธุ์ต่าง ๆ เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน เป็นต้น ฯลฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ปราศจากโรคภัย และ ให้อุดมสมบูรณ์เจริญงอกงามดี
พิธีแรกนาขวัญ เป็นพิธีเริ่มต้นการไถนาเพื่อหว่านเมล็ดข้าว มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก...วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วันพืชมงคล หมายถึง วันที่กำหนดพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีเก่ามาแต่โบราณที่เสริมสร้างขวัญและกำลังใจแก่เกษตรกรของชาติ เพื่อเป็นการระลึกถึงความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อเศรษฐกิจไทย โดยมีการจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มีสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ซึ่งพระราชพิธีนี้จะกระทำที่ท้องสนามหลวง ประกอบด้วย 2 พระราชพิธีคือ พระราชพิธีพืชมงคล และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
พิธีพืชมงคล เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพืชพันธุ์ต่าง ๆ เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน เป็นต้น ฯลฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ปราศจากโรคภัย และ ให้อุดมสมบูรณ์เจริญงอกงามดี
พิธีแรกนาขวัญ เป็นพิธีเริ่มต้นการไถนาเพื่อหว่านเมล็ดข้าว มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก...วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 

รุ่นนี้มีหลักการเล่นหาหรือเปล่าครับ...

 

ยังนะครับเพราะว่าราคายังไม่แรง เหรียญจอบปี. 15 หมดอย่างรวดเร็วจึงสร้างเพิ่มขึ้นมาอีก แต่ป้องกันการสับสนจึงเพิ่มเลข สองเพื่อให้เป็นจุดสังเกตุ
ส่วนหลักการสังเกตุนะครับ แนะนำให้เอาทั้งสามเหรียญมาเรียงชิดกัน แล้วดูขอบตัดจะมีเส้นอยู่ครับจะเหมือนกันทั้งหมด. เพราะเป็นตัวปั้มตัดตัวเดียวกัน ส่วนเหรียญต่อไปก็ง่ายขึ้นครับ

 

สวัสดีเช้าวันเสาร์ครับทุกท่าน

 

เนื้อครู ครับ ขอบคุณพี่เจ๊ตุ้ม ครับผม

**********
ผมโชคดี ที่ได้สัมผัส อย่างไกล้ชิด /ขอบพระคุณพี่เจ๊ อีกครั้งครับ