ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันเป็นคนชอบปาร์ตี้มาก รู้สึกว่าสนุกมากเหลือเกินในตอนนั้นได้เต้นได้เฮฮากับเพื่อนๆ แต่พออีกวันนึงเวลาแฮงค์หรือสร่างเมาแล้วก็จะมีความรู้สึกสับสนฟุ้งซ่าน เหมือนคนบ้า คิดประมาณว่าไม่น่ากินเลยไม่ดีเลย เสียเงินแล้วก็ประพฤติไม่ดีด้วยเพราะอยากจะรักษาศีล5แต่ทำผิดศีล พอเจอเพื่อนชวนนิดนึงก็ใจอ่อนทุกที บางครั้งตัวเองก็อยากกินเองด้วย ชอบเที่ยวน่ะค่ะแต่ก็ชอบศึกษาธรรมะไปด้วยเหมือนกับว่ามันค้านในตัวเอง เวลาเที่ยวจะสนุกแค่เวลานั้นพอเที่ยวสร่างเมาอีกวันนึงก็จะรู้สึกว่าตัวเอง ทำผิด เป็นความสุขที่ไม่แท้จริงทำอย่างไรจะตัดให้ขาดได้เสียที

    1.ประมาณ2เดือนเคยสาบานว่าจะเป็นลูกพระพุทธเจ้าจะเลิกกินเหล้า แต่กลับไปเที่ยวอีกรู้ว่าการผิดสัจจะอย่างนี้จะส่งผลรุนแรงมาก จะแก้ไขได้อย่างไรพระพุทธเจ้าจะให้อภัยเราไหมคะ ใจจริงในชีวิตที่เหลือนี้ไม่อยากจะแตะต้องอบายมุขแล้วแต่อีกใจมันก็เหมือน ว่ายังบังคับตัวเองไม่ได้น่ะค่ะ สูบบุหรี่ผิดศีลไหมคะ

    2.การที่เวลาเราทุกข์แล้ว เราภาวนาว่า ทุกข์หนอๆ หรือ โมโหหนอ หรือ หงุดหงิดหนอ อย่างนี้ไม่เป็นการคิดลบหรือคะแล้วจิตจะไม่บันทึกหรือว่าเราคิดแต่เรื่อง ร้ายๆมันค้านจากที่อ่านหนังสือ the top secret น่ะค่ะของหมอสม นะค่ะ

    3.ดิฉันอยากไปปฎิบัติธรรมมานานหลายปีแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้ไปเสียที อาจารย์มีที่ไหนแนะนำบ้างไหมคะ ตอนนี้ที่ดิฉันทำบ่อยๆ แทบทุกวันเลยคืออ่านหนังสือธรรมะ ฟังเสียงธรรม และแผ่เมตตา บางทีนั่งรถเมล์ก็จะแผ่ให้ทุกคนที่อยู่บนรถด้วยอย่างนี้ได้ไหมคะ

    4.ดิฉันอ่านหนังสืออาจารย์ที่บอกว่ามนุษย์มี 5 จำพวก รู้สึกว่าตัวเองเป็นเกือบทุกจำพวกเลย

    5.ดิฉันอ่าน the secret เล่มหน้าปกคุณแอฟ ที่ลูกศิษย์อาจารย์ถามเรื่องหมอดู อาจารย์บอกว่าเวลาตกฟากนั้นเอามาใช้ได้จริงถ้าใครเกิดเวลาใดก็จะสามารถ พยากรณ์ได้ แต่อาจารย์เคยบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อเรื่องดวงไม่ใช่เหรอคะดิฉันก็เลย สับสนนิดหน่อยนะคะ ต้องขอโทษด้วยที่สงสัยมาก

    ขอบพระคุณอาจารย์ที่ตอบปัญหาขออนุโมทนาด้วยค่ะ
    ผู้อยากเลิกเหล้า


    คำตอบ
    (1) สัจจะเป็นคุณธรรม ที่เป็นองค์ของเบญจธรรม การประพฤติตนเป็นคนไร้สัจจะ มีผลทำให้เสียชื่อเสียง ไม่มีคนดีที่ไหนสรรเสริญเหตุที่ทำให้ประพฤติตนเป็นผู้ไร้สัจจะเพราะ ไม่มีศีล 5 คุมใจและใจตกเป็นทาสของอบายมุข (ทางแห่งความฉิบหาย) หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะแก้ไขปัญหานี้ให้หมดไป ต้องดับที่ต้นเหตุ คือประพฤติตนให้เป็นผู้มีศีล 5 คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น และต้องนำตัวออกห่างจากอบายมุข

    การสูบบุหรี่ไม่ผิดศีล แต่ผิดธรรมตรงที่มีจิตเป็นทาสของสารเสพติดที่มีอยู่ในบุหรี่

    (2) คำว่า “ ภาวนา ” หมายถึงการทำให้สิ่งดี (สติ) เกิดขึ้นหรือหมายถึงทำสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น คือให้จิตมีสติเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นการภาวนาคำว่า “ ทุกข์หนอ ” “ โมโหหนอ ” “ หงุดหงิดหนอ ” จึงเป็นวิธีหนึ่งในการพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น การคิดพูดทำแล้วทำให้มีสติเพิ่มมากขึ้นจึงไม่ถือว่าเป็นการคิดพูดทำที่คิดลบ

    (3) “ อยากไปปฏิบัติธรรมมานานหลายปีแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ไปเสียที ” ผู้ตอบปัญหาจึงไม่มีที่ปฏิบัติธรรมไหนๆแนะนำ เพราะโอกาสปฏิบัติธรรมไม่มีกับผู้ถามปัญหา

    อนึ่งการแผ่เมตตาให้กับใครผู้ใด ผู้นั้นต้องมีเมตตาอยู่ในใจให้ได้ก่อน เครื่องวัดการมีเมตตาคือ จิตไม่ตกเป็นทาสของโทสะ โมโห หงุดหงิด ฯลฯ ผู้ใดไม่มีเมตตาอยู่ในใจการแผ่เมตตาของผู้นั้นถือว่าเป้นโมฆะ คือผู้ถูกแผ่ให้ไม่ได้รับเมตตา

    (4) ใช่แล้ว มนุษย์ทุกคนมีความประพฤติที่เคยชินเป็นสันดาน (อุปนิสัย) ครบทั้งห้าอย่าง เหตุเพราะจิตสั่งสมเน้นหนักไปทางด้านใดมากกว่า อุปนิสัยเน้นหนักนั่นแหละเป็นตัวบ่งชี้ที่มาของจิตวิญญาณสู่การเกิดเป็น มนุษย์ และเป็นตัวบ่งชี้ไปของจิตวิญญาณว่าจะไปเข้าอาศัยอยู่ในร่างของภพภูมิไหน ทั้งนี้เป็นไปตามแรงผลักดันของกรรมที่ถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตนั่นเอง

    (5) ที่ผู้ตอบปัญหาพูดว่า เวลาตกฟากนั้นเอามาใช้ได้จริง กับผู้ที่ยังมีสภาวะของจิตเป็นปุถุชน แต่ผู้มีดวงตาเห็นธรรมแล้วสามารถลิขิตชะตาชีวิตให้ดีได้ ด้วยการกระทำเหตุดีในปัจจุบันด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้า จึงไม่ให้เชื่อเรื่องดวงนั้นถูกต้องแล้ว เพราะเมื่อใดกรรมดีให้ผลจะส่งผลให้ชีวิตของบุคคลเปลี่ยนมาเป็นวิบากดีได้
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันมีอาชีพทำบัญชี โดยตำแหน่งหน้าที่นี้ ต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเสียภาษี ของบริษัทฯ ( ยื่นภาษีบางส่วนและหลบภาษีบางส่วน) ดิฉันพอทราบว่า ส่วนที่หลบภาษีนั้นคงเป็นบาป แต่ดิฉันต้องทำเพราะอยู่ในหน้าที่ มิได้เต็มใจและไม่อยากทำ ครั้นจะไม่ทำก็หมายถึงต้องออกจากงาน ดิฉันไม่สบายใจเป็นอย่างมากกับงานนี้ จึงเรียนถามท่านอาจารย์ว่า

    1 ) ดิฉันจะบาปไหมค่ะ เพราะดิฉันไม่เต็มใจและไม่อยากทำเลย ถ้าบาป ดิฉันจะบาปมากไหมค่ะ ระหว่างดิฉันผู้ลงมือปฎิบัติ กับ เจ้าของบริษัทฯ ผู้สั่งการ ใครจะบาปมากกว่ากันค่ะ แต่คงเป็น ตัวดิฉันแน่ที่บาปมากกว่า เพราะเห็นบริษัทฯเติบโตและรวยขึ้นเรื่อยๆ แต่ตัวดิฉันกลับแย่ลงเรื่อยๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ

    2 ) บาปมากน้อย ขึ้นอยู่กับ ตัวเงินมากน้อย ที่หลบภาษี หรือเปล่าคะ หรือขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาที่ทำ ( ทำมาร่วม 10 ปีแล้ว )

    3 ) ผลของกรรมนี้ จะได้รับในลักษณะไหนค่ะ ( ข้อนี้สำคัญและสงสัยมากช่วยตอบให้ด้วยนะค่ะ ถ้าชดใช้ได้ดิฉันจะชดใช้ได้ด้วยวิธีไหนค่ะ )

    4 ) ถ้าดิฉัน ยังจำเป็นต้องทำงานนี้อยู่ ( เพราะอายุมากแล้ว และ มีปัญหาครอบครัว มี่ภาระมาก ) ดิฉันควรทำอย่างไรดีค่ะ ท่านอาจารย์ข่วยแนะนำให้ด้วย ดิฉันตั้งแต่ทราบเรื่องนี้ก็ทำงานไป ด้วยความทุกข์ และวิตกกังวลในเรื่องกรรมนี้อยู่ทุกวัน คิดจะออกจากงานอยู่ทุกวัน แต่ยังหางานใหม่ไม่ได้สักที

    เมื่อปีที่แล้ว ดิฉันเป็นทุกข์มากเรื่องงาน จึงไปปฎิบัติธรรม ที่วัดอัมพวัน ถึงได้ทราบว่า ที่ดิฉันทำบัญชีหลบภาษีอยู่นี้มันเป็นบาป หลังจากนั้นดิฉันถึงเข้าใจว่า ทำไมยิ่งทำงาน งานถึงยิ่งมากและมีปัญหาให้เครียดอยู่ตลอดเวลา เงินเดือนก็ไม่ได้มากมายกว่าใคร แต่มาคิดดูอีกที ในวงการนี้ เค้าก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น ทำไมเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นๆ ก็เห็นเค้าเจริญรุ่งเรืองดี

    ตอนนี้ดิฉันกำลังหางานใหม่ทำอยู่ แต่ยังไม่ได้ จึงจำเป็นต้องทนทำไปก่อน


    คำตอบ
    (1) เมื่อรู้ว่าเป็นอกุศลกรรมแล้วยังประพฤติอยู่ถือว่าเป็นบาป ส่วนจะบาปมากหรือน้อยอยู่ที่ความถี่ของการประพฤติและยังอยู่ที่ประเภท ของอกุศลกรรมที่ทำ

    ผู้ใดสั่งผู้อื่นให้ประพฤติอกุศลกรรมถือว่าเป็นจำเลยบาปที่ หนึ่งผู้ปฏิบัติตามคำสั่งเป็นจำเลยบาปที่สอง ผู้เห็นดีด้วยเป็นจำเลยบาปที่สาม บาปมิได้วัดกันที่ความมีมากในวัตถุ แต่วัดกันด้วยความมากน้อยของกิเลสที่สั่งสมอยู่ในใจ

    (2) ตัวเงินที่เลี่ยงภาษีมากก็บาปมาก ตัวเงินที่เลี่ยงภาษีน้อยก็บาปน้อย ประพฤติเลี่ยงภาษีมายาวนานบาปมากกว่า ประพฤติเลี่ยงภาษีมาไม่ยาวนาน

    (3) ทรัพย์สูญหายด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือหลายวิธีร่วมกัน อาทิ ถูกโจรลักขโมย ถูกน้ำพัดพา ถูกไฟไหม้ ทำตกหล่น หลงลืมทิ้งไว้ เล่นหุ้นแล้วขาดทุน ทำกิจการแล้ววิบัติฯลฯ การชดใช้หนี้บาปต้องให้ทรัพย์เป็นทานอยู่เสมอ ให้ทรัพย์กับผู้มีคุณธรรมสูง ให้ทรัพย์เป็นทานแก่คนหมู่มาก เช่นตั้งโรงทานฯลฯ

    (4) แนะนำให้ประพฤติตนตามข้อ (3) อยู่เสมอตามโอกาสที่เปิดให้แต่ต้องไม่เบียดเบียนตัวเอง
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    "พระพุทธะมิได้สอนให้หนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหา ด้วยการใช้สติปัญญาแก้ปัญหาให้หมดไป....ด้วยการดูให้เห็นถูกตรงว่าปากของคน มีทั้งพูดดีและพูดไม่ดี ที่เขาพูดไม่ดีเพราะใจของเขามีความคิดเป็นอกุศล(บาป) เก็บสั่งสมไว้เมื่ออกุศลสั่งให้ปากพูด จึงพูดออกมาไม่ดี."

    อ่านแล้วเกิดคำถามค่ะว่า เราเข้าใจว่าที่เขาพูดไม่ดีออกมาเพราะใจเขามีความคิดเป็นอกุศลและยกให้เขา เป็นครูของเรา ซึ่งหลังจากนี้แล้วเราควรปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้ได้ชื่อว่า ไม่หนี ปัญหา คะเพราะเรายังต้องทำงานร่วมกับเขา ปฏิสัมพันธ์กับเขาเป็นปกติเหมือนเดิม (ให้อภัย แล้วคิดว่าเป็นกรรมของเขาเองและเป็นกรรมที่เราต้องชดใช้) หรือควรอยู่ห่าง ๆ (ไม่คบคนพาล) เกี่ยวข้องกันเฉพาะเรื่องงานก็พอคะ?

    กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะที่ได้ให้ปัญญาและสัมมาทิฐิแก่หนูและ ทุก ๆ คนที่เข้ามาอ่านในเว็บนี้ค่ะ

    คำตอบ
    เมื่อใดที่มีความเห็นถูกว่า “ เขาเป็นครูของเรา ” เราต้องขอบใจคนที่พูดดีว่าเราจะพูดเช่นเขา ส่วนคนที่พูดไม่ดีก็เป็นครูสอนเราว่าจะไม่พูดอย่างเขาแต่หากสิ่งที่เขาพูด ไม่ดีนั้นมีอยู่ในตัวเรา เราต้องปรับปรุงแก้ไขให้หมดไป เขาผู้พูดดีและเขาผู้พูดไม่ดีจึงมีอุปการคุณแก่เราจึงต้องตอบแทนคุณ (กตเวที) ด้วยการทำความดีแล้วอุทิศผลแห่งความดีให้เขาอยู่เสมอ เช่นเดียวกันต้องคบเขาที่พูดไม่ดีว่าเป็นเพื่อนร่วมงานของเรา ด้วยการพูดกับเราในเรื่องงานที่เกี่ยวข้องกัน อย่างตรงไปตรงมา และพูดเท่าที่จำเป็น
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. หนูมีปัญหาอยู่เป็นประจำ คือ หนูกลัวที่จะต้องสวดมนต์ หรือต้องนั่งทำสมาธิแทบทุกครั้งเลย รู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว ยิ่งเวลาหลับตาทำสมาธิยิ่งกลัวใหญ่ โดยเฉพาะเวลาอยู่ในห้องพระ จนทุกวันนี้ก็แก้ไม่หายสักที ทำอย่างไรดีคะ ทั้ง ๆ ที่อยากทำมาก ๆ

    2. เกี่ยวกับการนั่งสมาธิ หนูอ่านในหนังสือการปฏิบัติวิปัสสนา เริ่มต้นโดยกำหนดลมหายใจ เข้า - ออก ด้วย พุท - โธ แล้วใช้จิตตามดูลมหายใจ หนูอยากทราบว่าการใช้จิตตามดูลมหายใจ หมายถึง เราคิด หรือ เห็น ว่าลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูก ใช่ไหมคะ แล้วหลังจากนั้นถ้าสมาธินิ่งอยู่ที่ปลายจมูกแล้ว บางทีอาจจะไม่มีคำปริกรรมก็ได้ แล้วหลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไปถ้าใจมันนิ่งแล้ว


    คำตอบ
    (1) เกิดความกลัวในขณะสวดมนต์หรือนั่งสมาธิ เหตุเกิดเพราะ ไม่ได้สวดมนต์ด้วยใจที่จดจ่ออยู่กับบทสวดหรือนั่งสมาธิทำให้จิตขาดสติ จึงไปรับสิ่งไม่ดีภายนอกมาปรุงเป็นอารมณ์ที่ทำให้เกิดเป็นความกลัว หรือในกรณีที่สองไม่รู้จริงในสิ่งที่ทำให้เกิดความกลัว

    ผู้ถามปัญหาประสงค์จะขจัดความกลัวให้หมดไปจากใจต้องดับ ที่ต้นเหตุ คือพัฒนาจิตให้มีสติคุม เช่น เวลาได้ยินเสียงให้มีจิตจดจ่ออยู่กับเสียงที่เข้าหู เวลาที่ตาเห็นภาพให้จิตจดจ่ออยู่กับภาพที่เห็น เวลาที่ลิ้นสัมผัสรส ให้มีจิตจดจ่ออยู่กับรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ที่เข้ามาสัมผัสลิ้นฯลฯ ฝึกจิตให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เข้ากระทบ(สัมผัส) เมื่อนั้น แล้วความกลัวจะไม่เกิดขึ้นขณะสวดมนต์เพราะมีจิตจดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์หรือ นั่งสมาธิจะมีจิตจดจ่ออยู่กับกรรมฐานที่นำมาใช้เป็นองค์บริกรรม

    วิธีแก้ปัญหาความกลัวในกรณีที่สอง คือพัฒนาจิตให้มีสติได้แล้วสมาธิก็จะเกิดขึ้น ใช้จิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ไปพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ด้วยการให้จิตตามดู กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นว่าดับไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดเกิดปัญญาเห็นแจ้งขึ้น ความกลัวจึงจะหมดไปได้

    (2) ไม่ใช่ใช้สมองคิด แต่ใช้จิตจดจ่ออยู่กับลมที่กระทบจมูกเมื่อหายใจเข้า จิตจดจ่ออยู่กับลมที่กระทบจมูกเมื่อหายใจออก เมื่อใดที่จิตจดจ่ออยู่กับลมที่กระทบจมูกและจิตไม่เคลื่อนออกไปรับกระทบอื่น ใดมาปรุงเป็นอารมณ์เรียกสภาวะเช่นนี้ว่า จิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิเมื่อใดที่จิตเข้าถึงความตั้งมั่นแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) ได้แล้ว คำบริกรรมหายไปแต่มีอารมณ์ของฌานเกิดขึ้นแทนที่ ให้สังเกตุว่าเมื่อจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นฌานสิ่งกระทบภายนอกไม่สามารถ ทำให้จิตเกิดอารมณ์ขึ้นได้ หากมีสภาวะเช่นนี้เกิดขึ้น และประสงค์จะพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งต้องลดกำลังของสมาธิลงมาอยู่ใน ระดับจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วใช้จิตตามดู กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นว่าดำเนินไปตามกฎของไตรลักษณ์ปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้นได้
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ลูกฝึกสติมาพักใหญ่ โดยส่วนมาฝึกสติกับชีวิตประจำวันค่ะ เห็นอารมณ์ สภาวะที่เกิดขึ้นในความคิด ปัจจุบันต้องการทำชีวิตทางโลกให้ประสบความสำเร็จ เพื่อให้ได้ดูแลพ่อแม่ให้สมบูรณ์ และจะพาท่านเข้าทางธรรม เพื่อส่งท่านให้สุดทางในที่สุดค่ะ ด้วยชีวิตทางโลก บางครั้งเห็นความโลภ ความอยาก การคิดดีคิดไม่ดี ความคิดที่ไม่ดี มักผุดขึ้นมาเมื่อสติรู้ทัน ก็เห็นความทุกข์ แต่ก็เลือกปฎิบัติและทำดีค่ะ

    การฝึกสติ ตอนนี้เกิดสภาวะที่เข้าใจว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงให้รักษาศ๊ล เมื่อมีความคิดจะพูดโกหก ก็มีสติรู้ว่านี่ กำลังจะพูดเท็จ ก็ปรับการพูดใหม่ หรือการกระทำต่างๆจะมีสติคคอยเตือนบ่อยครั้ง แต่ในความรู้สึกที่ระลึกรู้ จนตอนนี้มีสภาวะไม่อยากทำอะไร เนื่องจากมีในความรู้สึกลึกๆเหมือนกับว่าไม่อยากทำไรที่ทำให้จิตเกิดการสาน ต่อ ผูกพันธ์ พันธนาการ จนก่อภพก่อชาติ ทั้ง ดี ไม่ดี เป็นการก่อภพ ชาติของจิตนั้น จนบางครั้งตอนนี้รู้สึก มีสภาวะในความรู้สึกที่ไม่ทราบจะอธิบายอย่างไร แต่รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก มีความรู้สึกต้องการบวช หรือละทางโลก เพราะในเวลาที่มองเห็น สัมผัสสิ่งใดรู้สึกว่ามีแต่เพียงความว่าง มีเพียงดวงจิตที่รับรู้เท่านั้น ปรุงแต่ง ความรู้สึกให้เราทุกข์ มองว่าสวย หรือการพูด บางครั้งมองภาพผู้คนทั่วไปเหมือนไม่มี แต่ยังวนเวียนอยู่ที่เดิม ในหน้าที่การงานที่ต้องการจะขยัน จะอ่านหนังสือ จะทำงานโน่นนี่ให้ดีกลับมีความรู้สึกมันว่างเปล่า มีการหน่วงใจไม่อยากทำ หรือทำไม่เต็มที่

    จึงอยากเรียนถามท่านอาจารย์ช่วยเมตตา ชี้ทางแก่ลูกด้วยเถิดต่อสภาวะอารมณ์ที่เป็นอยู่นี้ ต่อหน้าที่การงาน หรือขณะจิตสภาวะนี้

    ขอบพระคุณค่ะ

    คำตอบ
    ผู้ใดประสงค์ความสำเร็จในทางโลก ต้องประพฤติเหตุ ๓ อย่าง
    ๑. พัฒนาตนเองให้เป็นคนเก่ง คือมีความรู้ มีความสามารถ ในหน้าที่การงานที่ตนทำและยึดเป็นอาชีพเลี้ยงชีวิต
    ๒. พัฒนาตนเองให้เป็นคนดี มีคุณธรรม ด้วยการประพฤติจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ จริยธรรมลูกที่ดีของพ่อแม่ จริยธรรมศิษย์ที่ดีของครูอาจารย์ จริยธรรมข้าราชการที่ดีของรัฐ จริยธรรมพนักงานที่ดีของบริษัท จริยธรรมราษฎรที่ดีของบ้านเมือง ฯลฯ
    ๓. พัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที ต่อผู้มีอุปการคุณ อาทิ กตัญญูต่อพ่อแม่ กตัญญูต่อครูอาจารย์ กตัญญูต่อแผ่นดินเกิด ฯลฯ

    เมื่อทำเหตุให้ถูกตรงสามอย่างนี้ได้ครบถ้วน และประพฤติอยู่เสมอ ผู้นั้นย่อมประสบความสำเร็จในชีวิต

    เหตุที่พระพุทธะบัญญัติไตรสิกขา (ศีล-สมาธิ-ปัญญา) อันเป็นคุณธรรมนำชีวิตผ่านพ้นความทุกข์ ต้องมีศีลเป็นพื้นฐานของใจให้ได้ก่อน การปฏิบัติสมถภาวนา แล้วทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจึงจะเกิดขึ้นได้

    เรื่องที่บอกเล่าไปทั้งหมด เป็นสภาวะของจิตที่ยังมีกำลังปัญญาเห็นแจ้งไม่กล้าแข็ง ฉะนั้นจะให้ปัญหานี้ผ่านพ้นไปได้ ต้องรักษาศีล ๕ ให้มีอยู่กับใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วเร่งความเพียรเจริญจิตภาวนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีสัจจะเป็นฐานรองรับการปฏิบัติ แล้วการบรรลุมรรถผลแห่งการปฏิบัติธรรมจึงจะเกิดขึ้นได้
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูได้ติดตามผลงานธรรมทานจากท่านอาจารย์มาโดยตลอด พยายามให้ศีลคุมใจให้ได้อย่างน้อย ศีล5 ไม่โกรธ และให้อภัยบุคคลที่ก่อความเดือดร้อนให้กับหนู ตอนนี้มีเรื่องกลุ้มใจเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องการงาน ตลอดตั้งแต่เรียนจบและทำงานมาเป็นเวลา 12 ปีแล้ว หนูต้องรับภาระงานหนัก งานที่ต้องแก้ปัญหา โดยเฉพาะงานที่บุคคลอื่นได้สร้างปัญหาให้หนูแก้ไขมาโดยตลอด ย้ายสถานที่ทำงานไปก็มาเจอแต่บุคคลที่เอาเปรียบ ปล่อยให้หนูทำงานและแก้ปัญหาที่ยุ่งยาก หนูระลึกเสมอว่างานอาชีพครูเป็นงานที่มีค่าสามารถทำประโยชน์ให้กับบุคคลอื่น โดยเฉพาะนักเรียน ผู้ปกครอง หนูเลิกมองเรื่องผลตอบแทนมานานแล้วค่ะ เพราะว่าหนูอยากสะสมคุณงามความดีมากกว่า ฝ่ายบริหารก็รู้ปัญหาของหนูแต่ก็ทำได้แค่ย้ายคนที่ไม่ทำงานไปอยู่กับงาน สบายๆ ขณะที่ยังให้หนูแบกภาระอยู่เหมือนเดิม หนูไม่ได้เครียดเพราะงานหนัก หนูเครียดเพราะหนูทำงานไม่ทัน กลัวทำงานไม่ทันเวลาที่กำหนด ทั้งที่หนูก็นำงานไปทำที่บ้านมาโดยตลอด ในขณะที่บุคคลที่สร้างปัญหาให้หนูกับได้ไปทำงานที่สบาย ทิ้งภาระให้หนูแก้ปัญหา หนูควรจะทำอย่างไรต่อไปค่ะ ตอนนี้หนูเครียดมาก

    ขอคำแนะนำค่ะ ขอขอบพระคุณค่ะ


    คำตอบ
    การให้อภัยเป็นเรื่องของทาน การไม่โกรธเป็นเรื่องของเมตตา ศีล ๕ มิได้บัญญัติไว้เพื่อการนี้

    คนดีชอบแก้ปัญหา คนไม่ดีชอบสร้างปัญหา ฉะนั้นดูให้ออกว่า ผู้ถามปัญหาเป็นคนประเภทไหน?

    งานคือกิจที่ทำ ทำงานหนักคือมีงานให้ทำมาก หรือมีงานยากให้ทำ การทำงานมาก การทำงานที่ยากลำบาก ต้องใช้ปัญญาบารมี ใช้วิริยะบารมี ใช้ขันติบารมี ฯลฯ ทำจนงานสำเร็จได้ แล้วบารมีดังกล่าวจะแก่กล้าขึ้นได้ ซึ่งคนดีไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าโดยไม่ทำงานประเภทนี้ ฉะนั้นพึงดูให้ออกว่า ผู้ถามปัญหาเป็นคนประเภทไหน?

    ผู้รู้มีทัศนคติในการทำงานถูกต้อง คือการทำงานเพื่อเรียนรู้ตน ทำงานเพื่อเรียนรู้งาน ทำงานด้วยใจ ทำงานด้วยวิธีการอันเลิศโดยไม่หวังผลเลิศ ทำงานเพื่อประโยชน์มวลชน ทำงานเพื่องาน ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้ เป็นการทำงานที่ไม่เครียด ฉะนั้นพึงดูให้ออกว่า ผู้ถามปัญหาเป็นคนประเภทไหน?

    ปัญหาเรื่องทำงานไม่ทัน แก้ได้โดยเพิ่มเวลาทำงานให้มากขึ้น และลดเวลาที่ไม่จำเป็นลง ผู้ตอบปัญหามีงานให้ทำมาก จึงต้องตื่นทำงานแต่ดึก (ตีสองตีสาม) ทำงานต่อเนื่องจนสว่าง และประพฤติตนเว้นอบายมุข งานมากจึงสำเร็จได้ทันเวลา
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ด้วยเมื่อก่อนหนูมีความทุกข์เรื่องของธุรกิจ นับแต่ปี 2548 ซึ่งช่วงนั้นมีความคิดที่ไม่ถูกตรง ได้ทำการบนบาน ทั้งต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อสดวัดปากน้ำ และเจ้าที่เจ้าทางที่บ้าน ทั้งที่จดไว้บ้าง และไม่ได้จดไว้บ้าง จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง (ตามประสาคนที่มีปัญญาน้อยน่ะค่ะ) นับแต่ปัจจุบันนี้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมานับเนื่องถึงวันนี้ นับแต่ได้รู้จักกัลยาณธรรม กัลยาณมิตรเป็นครูบาอาจารย์ ผ่านทางเว็บไซด์กัลยาณธรรม ซึ่งมีความคิดเห็นที่ถูกตรง และมองว่าสิ่งที่ได้กระทำมานั้น เป็นเรื่องที่หาสาระไม่ได้ แต่ เมื่อเวลาล่วงเลยธุรกิจที่ติดขัดได้ลุล่วงและสำเร็จลงด้วยดี ด้วยเหตุปัจจัยลงตัว สัจจะที่หนูได้ติดสินบนนั้น

    คำถาม หากหนูไปขอขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนเคารพกราบไหว้สักการะ อาทิ เช่น องค์พระปฐมเจดีย์ , องค์หลวงพ่อวัดไร่ขิง และเอ่ยบทที่เราติดสินบน นั้นอย่างไรค่ะ เพื่อจะได้ไม่ติดค้างอยู่ในจิต และอนาคตจะได้เดินได้ถูกตรง คิดดี ทำดี อยู่ดีให้เป็นกุศล “ ธรรม ย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม ” สาธุ ๆ หรือใคร่ขอคำแนะนำจากอาจารย์ที่ถูก ต้องในทางธรรมด้วยค่ะ

    ท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกป้องคุ้มครองอาจารย์ให้มีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ

    ด้วยความรักเคารพศรัทธายิ่ง


    คำตอบ
    ศีลและสัจจะเป็นคุณธรรมที่นำสู่ความศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นเมื่อได้บนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้แล้ว ต้องประพฤติตนมีสัจจะ ด้วยการไม่แก้บนให้ถูกตรง และต่อไปต้องไม่ประพฤติบนบานให้เกิดขึ้นอีก

    ผู้ใดประสงค์ความเจริญในชีวิต และความเจริญในธุรกิจการงาน ต้องประพฤติตนให้เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที ต่อบุพการี ต่อผู้มีอุปการะแก่ตน ต่อแผ่นดินเกิด แผ่นดินอยู่อาศัย แผ่นดินที่ให้ความมีชีวิตรุ่งเรืองและอยู่สงบสุข ฯลฯ
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ระหว่างการปฏิบัติฝึกนั่งสมาธิ ศิษย์คนนี้ก็พบกับข้อสงสัยต่างๆนาๆที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติขอท่าน อาจารย์จงชี้แนะแนวทางให้ศิษย์คนนี้ด้วยครับ
    ปัญหาของลูกศิษย์มีดังนี้

    ๑)ตอนนี้ศิษย์อายุได้ ๒๑ ปีมีปัญหาขัดข้องใจในการปฏิบัตินั่งสมาธิ วิธีการของศิษย์ใช้วิธี "พุธ โท"ในการกำหนดระหว่างการปฏิบัติก็เกิดปรากฎการณ์ต่างๆขึ้น เรียงตามลำดับดังนี้
    ๑.ตัวเบาเหมือนในอากาศ
    ๒.ตัวเย็นจนหนาวสั่น
    ๓.เกิดทั้งข้อ ๑ และ ๒ พร้อมกัน
    ๔.ลมหายใจอ่อนลงเรื่อยๆ
    ๕.กำหนดลมหายใจไม่ได้
    ๖.ไม่มีลมหายใจออกที่ปลายจมูกเลยครับ เกิดความว่างเหมือนตัวเราและสัพสิ่งดับไปหมดแล้วแม้แต่ชีวิตของตน(แต่เกิด ขึ้นได้ไม่นานแล้วความปวดก็มาแทนที่)
    ศิษย์อยากถามเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์ ศิษย์ปฏิบัติถึงขั้นไหนแล้ว ขออาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทางในการปฏิบัติแก่ศิษย์คนนี้ด้วยคับ

    ๒)บางครั้งเวลาศิษย์อ่านหนังสือก็เกิดปรากฎการณ์ตัวเบาหรือตัวเย็นเหมือน นั่งสมาธิทำไมเป็นเช่นนั้นครับอาจารย์

    ๓)จริงหรือครับที่ว่าการนั่งสมาธิจะทำให้เราเรียนเก่งขึ้น ความจำดีขึ้น

    "สุดท้ายนี้ศิษย์ขอขอบคุณที่หนังสือของอาจารย์ที่ทำให้ศิษย์ได้พบกับ อาจารย์"


    คำตอบ
    (๑) ที่บอกเล่าไป เป็นผลของสมถภาวนา มีจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ แต่ยังเข้าไม่ถึงปัญญารู้แจ้ง

    วิถีพัฒนาจิตต่อไป คือ เอาจิตที่เป็นสมาธิมากำหนดดูอาการตัวเบา อาการหนาวจนสั่น ลมหายใจอ่อน ลมหายใจไม่มี ฯลฯ ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่ออาการตัวเบาเข้าสู่ความเป็นอนัตตา แล้วไม่หวนกลับมาให้จิตระลึกรู้ว่า อาการตัวเบาได้เกิดขึ้นอีก ปัญญาเห็นแจ้งในอาการตัวเบาก็จะเกิดขึ้น ใช้จิตตามดูอาการหนาวจนสั่นว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่ออาการหนาวจนสั่นเข้าสู่ความเป็นอนัตตา แล้วไม่หวนกลับมาให้จิตระลึกรู้ว่า อาการหนาวสั่นไม่เกิดขึ้นอีก ปัญญาเห็นแจ้งในอาการดังกล่าวก็จะเกิดขึ้น ทุกผัสสะที่เกิดขึ้นกับจิต ต้องใจ้จิตตามดูจนเห็นว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ วิปัสสนาญาณคือ ปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้น

    (๒) เป็นเพราะจิตขาดสติ จิตจึงเคลื่อนออกไปจากการอ่านหนังสือ อาการที่บอกเล่าไปจึงได้เกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่วิถีแห่งการรู้แจ้ง

    (๓) นักจิตวิทยาตะวันตก ได้ทำวิจัยแล้วได้ผลออกมาเป็นเช่นนั้นว่า จิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ส่งผลให้คลื่นสมองเปลี่ยนความถี่ ทำให้สมองมีความจำเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นอย่าปลงใจเชื่อตามหลักกาลามสูตร แต่หากประสงค์จะพิสูจน์ว่าเป็นไปตามผลวิจัยนั้นหรือไม่ ต้องปฏิบัติดูด้วยตนเอง
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ขณะที่ตนเองนั้น ได้เห็นพระพุทธรูป รูปปั้นเทป หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ มักเกิดคิดอกุศลจิตในใจ จ้วงจาบ หยาบคาย โดยที่บังคับไม่ให้คิดไม่ได้ค่ะ ทั้ง ๆ ที่โดยส่วนตัวแล้วปกติ ทั้งภายนอก และภายในใจ ก็มิได้เป็นคน หยาบคาย คิดร้าย แต่ประการใดค่ะ นับถือพุทธศาสนา และสวดมนต์ไหว้พระ เป็นประจำ (เกือบทุกวันค่ะ) ปัจจุบัน ก็พยายามนั่งสมาธิให้ได้ทุกวัน 15-20 นาทีค่ะ เคยไปปฏิบัติธรรม นานมาแล้วค่ะ ที่บ้านคุณแม่สิริ ดีมากค่ะ แล้วก็ทรมาร มากด้วย ทรมารเพราะเวลาอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป แล้วจิตจะคิดไม่ดีค่ะ ทุกวันนี้ ถวายข้าวพระพุทธตอนเช้า บางครั้งก็กราบพระแล้วไม่กล้ามองไปที่พระพุทธรูปเลยค่ะ

    รู้สึกเครียดกับสิ่งที่ตนเองเป็นมากค่ะ เพราะเป็นตั้งแต่เด็กค่ะ จำไม่ได้ว่าอายุเท่าไหร่ ทราบแต่ ตั้งแต่เด็ก ๆ เลยค่ะ (ปัจจุบันอายุ 35 ค่ะ) บางครั้งพยายามคิดว่าช่างมัน ไม่ใช่เราคิด แต่ก็ทุกข์ใจมากค่ะ ทั้งกลัวบาป ทั้งขุ่นมัวในใจ บางทีก็จิตตกไปเลยค่ะ ท้อ ๆ บ้าง โกรธตัวเองบ้าง ประมาณไม่สงบสุขค่ะ สวดมนต์ ทำสมาธิ ก็ไม่สงบสุข เพราะความคิดแบบนี้มันดังในหัวตลอด ทำให้มีอารมณ์กระทบใจตลอดค่ะ

    โดยส่วนตัว สมาธิ ไม่ค่อยดีค่ะ สนใจการทำสมาธิมาก แต่ที่ผ่านมาคิดว่า ยิ่งทำยิ่งเป็น ยิ่งสวดมนต์ยิ่งเป็น แต่ก็อยากจะพยายามทำค่ะ เพราะมีโอกาสเกิดเป็นคนแล้ว ก็อยากจะสัมผัสกับ จิตที่เป็นสมาธิ มีสติ และเข้าใจธรรมะจริง ๆ ในชาตินี้น่ะค่ะ (เพราะไม่รู้จะมีโอกาสอีกเมื่อไหร่ค่ะ :)

    ขอปรึกษาอาจารย์ดังนี้ค่ะ

    1. ขอคำแนะ หรือแนวทางในการคิด ปฏิบัติ และรักษา อาการทางจิตนี้น่ะค่ะ

    2. เป็นบาป มาก หรือไม่ค่ะ พอคะเนได้หรือไม่คะว่าเป็นผลมาจากกรรมประเภทใด

    ท้ายนี้ขออนุโมทนาบุญกับ อาจารย์ ดร.สนองด้วยนะคะ ที่อาจารย์ช่วยให้ผู้คนหลาย ๆ คน มีความสว่างไสวในการดำนินชีวิต และบุญกุศุลของอาจารย์นี้ ก็คงยิ่งตอบแทนให้ อาจารย์สมความปรารถนายิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ

    ขอบพระคุณมากจริง ๆ ค่ะ


    คำตอบ
    (๑) ต้องไปสวดมนต์สรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยหน้าพระพุทธรูป หน้าองค์เจดีย์ ฯลฯ แล้วสารภาพผิดในอกุศลกรรมที่เคยล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือผู้ทรงคุณธรรม ไว้แต่อดีต แล้วกล่าววาจาสารภาพผิดให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยกโทษให้ หลังจากนั้นต้องรักษาใจ ไม่ประพฤติล่วงเกินผู้ทรงคุณธรรมสูงอีกต่อไป หากรักษาสัจจะไว้ได้ ปัญหาดังกล่าวจะหมดไป

    (๒) ไม่ใช่การคาดคะเน เพราะทุกปรากฏการณ์ ย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิด เหตุที่ว่านั้นคือ ได้กล่าววาจาปรามาส กล่าววาจาล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีคุณธรรมสูงนั่นเอง ถามว่าเป็นบาปมากไหม ต้องตอบว่า หากบาปนี้ยังคงมีอยู่ในจิตวิญญาณ ปฏิบัติธรรมแล้วไม่สามารถเข้าถึงมรรคผลได้ เมื่อใดทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้ว ดิรัจฉานภูมิเปิดรอจิตวิญญาณให้โคจรไปสู่
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูเคยได้ยินอาจารย์บางท่านบอกว่าการถวายสังฆทานนั้น เราจะสามารถอุทิศบุญกุศลให้ได้ฉพาะผู้ล่วงลับแล้วเท่านั้น ส่วนผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่สามารถอุทิศให้ได้ด้วยการถวายสังฆทาน ต้องใช้วิธีอื่น
    หนูอยากทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ

    ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์มากค่ะ


    คำตอบ
    เป็นการพูดถูกของอาจารย์บางท่าน ที่พูดบอกเช่นนั้น แต่พูดไม่ถูกตามที่ผู้รู้เข้าถึง ผู้รู้พูดว่า บุคคลใดทำสังฆทานมาแล้ว ผู้นั้นมีบุญ ผู้มีบุญกลับถึงบ้านแล้วบอกพ่อแม่ว่า วันนี้ลูกได้ไปทำสังฆทาน ลูกขออุทิศบุญให้พ่อแม่ หากพ่อแม่กล่าววาจาว่า “ สาธุ ” พ่อแม่ก็ได้รับบุญ (ปัตตานุโมทนามัย) ที่ลูกได้ทำสังฆทานมา
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูใคร่อยากไปปฏิบัติธรรม เพื่อทำจิตตภาวนา (จัดเป็นกิเลส แค่อยากดีก็เป็นกิเลส) โดยมีครูบาอาจารย์ที่เป็นกัลยาณธรรมคอยชี้แนะ แต่คุยกับสามีแล้ว ยังไม่เห็นด้วย (หากปฏิบัติ สวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิ เดินจงกลม หลังจากว่างเว้นการงาน เช่น ช่วง 1ทุ่มครึ่ง เดินจงกลม ทำสมาธิ ฝึกโยคะ และช่วงเช้ามืด ตี4 ทำสมาธิ ขยับกายสบายชีวีวิถีพุทธ) อย่างนี้ได้ค่ะ สามีอธิบายว่า “ ทำบ้านให้เป็นวัด ” ก็ได้ ทำไมต้องไปปฏิบัติที่วัดด้วย (สามีนับถือศาสนาคริสต์) บอกว่าคนเราเกิดหนเดียว ตายหนเดียว และ บอกว่าหลักง่ายๆ พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า แค่ทำจิตให้ว่าง ห่างจากกิเลส เรื่อง กาย ; กินอาหารที่สุกสะอาด ออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และไปเที่ยว เช่น ทะเล เที่ยวสถานที่ที่เป็นธรรมชาติ มีต้นไม้ อากาศบริสุทธิ์ สัมผัสธรรมชาติให้มากที่สุด ไม่ต้องไปเดินห้างสรรพสินค้า ไม่ต้องเข้ากรุงเทพ (บ้านอยู่นครปฐม) เพราะเชื้อโรคเยอะ มลพิษแยะ เรื่อง ใจ ; ทำใจให้ว่าง ไม่ต้องไปทุกข์ ไปยึด ไปคิดอะไร ที่หาสาระไม่ได้ และก็ว่าตัวเขาจะนับถือพระที่ละกิเลส คือ ไม่รับเงิน แต่คงจะไม่ได้พบเจอ เพราะพระท่านคงจะ อยู่ในป่าเขาลำเนาไพร คงปฏิบัติจิตไม่ข้องแวะกับคนที่กิเสสหนา หนูว่าที่เขาพูดก็ถูกของเขา แต่เราก็อยากจะไปปฏิบัติ (เป็นเวลานานแล้วเหมือนกันค่ะ น่าจะ 10 ปีแล้ว) เพราะโดยอุปนิสัยแล้ว ไม่อยากจะสร้างเหตุอะไร ที่จะเกิดประเด็นขึ้นมาให้จิตขุ่นมัวค่ะ มี ครอบครัวแล้วก็ไม่อิสระน่ะค่ะ

    คำถาม 1) ต้องอธิษฐาน หรือสร้างเหตุให้ตรงอย่างไรดีค่ะ ถึงจะเป็นปัจจัยหนุนให้เราได้เข้าไปปฏิบัติธรรม สักครั้งหนึ่งในชีวิต “ ที่สถานปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ” นอกเหนือจากปฏิบัติที่บ้านน่ะค่ะ แต่ โดยเนื้อแท้แล้ว หนูก็มองว่า สถานที่ ไหนก็ได้ ขอเพียงใจเรา เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีใจที่บริสุทธิ์ ก็โอเคแล้วน่ะค่ะ (เหมือนที่ฟังอาจารย์บรรยายธรรม “ เรื่องอุบายทำให้จิตสงบ ” และอื่นๆที่เป็นสารัตถประโยชน์ ปฏิบัติให้ได้ ทำตนให้ได้เยี่ยงนั้น อานิสงส์ก็คงก่อเกิดกับตัวเราและครอบครัวของเรา )

    2) ลูกชายหนู อายุ 12 ปี ไม่ค่อยตั้งใจเรียนหนังสือ ดูแต่หนัง เล่นเกมส์ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี หนูพูดว่าเราเป็นเด็ก หน้าที่ของเด็กก็คือต้องตั้งใจเรียน หมั่นทบทวนตำรับตำราเรียน ช่วยเหลืองานบ้านพ่อแม่บ้าง และทำตนให้ลูกเห็น เรื่อง สวดมนต์ ทำสมาธิ เดินจงกลม ฝึกโยคะ และชักชวนให้ปฏิบัติ ได้สัก 1-2 วัน ก็ไม่สนใจแล้ว ท้าย สุดก็ต้องวางค่ะ แต่หนูก็คิดน่ะค่ะว่า จิตวิญญาน ของลูกก็ของลูก ของแฟนก็ของแฟน เราได้แต่ชี้แนะ และตามดู ทำหน้าที่ของภรรยาและ แม่ที่ดีของลูก อย่าให้ขาดตกบกพร่อง สิ่ง ที่ไม่ดีอย่าให้ออกไปจากตัวเรา ถือเป็นข้อปฏิบัติในชีวิตของการทำงาน , ครอบครัว , สังคมรอบตัว หนูต้องทำตนเป็น ตัวอย่าง เยี่ยงไรค่ะ ลูกถึงจะไม่หลงโลก และให้ลูกมีดวงตาเห็นธรรม มีปัญญาที่เป็น “ ภาวนามยปัญญา ”

    พร้อมนี้หนูใคร่ขอขมากรรมต่ออาจารย์ มา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ ข้าพเจ้า คุณกุลิสรา กิจบำรุงขออธิษฐานจิตถึงอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ด้วยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมที่ข้าพเจ้าเคยมีต่อครูบาอาจารย์ ทั้งที่ตั้งใจและมิได้ตั้งใจ ไม่ว่าตั้งแต่ภพไหนๆ หากเป็นกรรมที่ล่วงเกินลบหลู่ดูหมิ่น อันเป็นเหตุนำมาซึ่งโทษภัยใดๆ ทั้งปวง ข้าพเจ้ากราบขอขมาอาจารย์ได้โปรดยกโทษให้ข้าพเจ้าด้วย และด้วยกุศลนี้ขอให้ข้าพเจ้าได้มีดวงตาเห็นธรรม เกิดมาขอให้ได้พบพระพุทธศาสนา และมีความเห็นที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ทุกภพชาติด้วยเทอญ

    ท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกป้องคุ้มครองอาจารย์ให้มีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ

    ด้วยความรักเคารพศรัทธายิ่ง


    คำตอบ
    (๑) ต้องอธิษฐานให้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม แล้วสร้างเหตุให้ตรงสู่จุดนั้น ลองหาซีดีการบรรยายธรรม เรื่อง
    “ บวชอยู่ที่บ้าน ” บรรยายเมื่อ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ มาฟังดู แล้วจะเห็นแนวทางการปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมได้ที่บ้าน

    (๒) บุคคลมีชิวิตเป็นของตัวเอง ผู้รู้ไม่ก้าวล่วงไปบงการชีวิตของผู้ใด ให้เป็นตามที่ตนเองต้องการ ผู้รู้เป็นได้เพียงชี้ทางให้แก่ชีวิต เขาจะนำไปประพฤติหรือไม่เป็นสิทธิ์ของเขา เราต้องปล่อยวางแล้วพัฒนาจิตตัวเอง ให้เป็นไปตามที่เราต้องการ นั่นเป็นสิ่งถูกต้อง เมื่อใดจิตเกิดปัญญาเห็นแล้ว พัฒนาพฤติกรรมของตัวเองให้ดี ไม่เป็นคนหลงโลก จนเขาเกิดศรัทธาขึ้นเมื่อใด เขาจึงจะทำตามที่เราอยากให้เขาเป็น

    อโหสิ ไม่มีอกุศลกรรมใดๆต่อกัน จงเป็นผู้อยู่ในธรรมของพระพุทธะ แล้วนำพาชีวิตให้พ้นไปจากวัฏสงสาร
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เรื่องมีอยู่ว่าตอนนี้ปี พ่อแท้ๆขอให้หนูใช้ชื่อเช่าซื้อรถยนต์คะ แต่พ่อไปแต่งงานใหม่อีกจังหวัดหนึ่ง พ่อไม่ส่งค่างวดรถซึ่งค้างมาหลายเดือน ทางไฟแนนซ์จึงดำเนินการยึดรถ โดยที่เรื่องทุกอย่างพ่อก็รับรู้ แต่ตามรถและพ่อไม่เจอ ทางไฟแนนซ์เลยให้ตำรวจช่วยหา พ่อจึงเข้าใจผิดว่าลูกเป็นคนแจ้งความจับพ่อ หลังจากนั้นพ่อคงโกรธมาก แช่งลูกให้ญาติฟังว่า ขอให้ลูกเจริญลง ขอให้ลูกวิบัต คำแช่งหลายอย่างแช่งมาที่ลูก หนูก็ไม่สบายใจเลยคะ หนูทำผิดด้วยหรอคะ มีอีกเรื่องหนึ่งคะ ตอนไกล่เกลี่ยให้พ่อเอารถมาคืนไฟแนนซ์ คุยกันไม่รู้เรื่องเลยทะเลาะกันคะ หนูก็พลั้งปากคะ พูดไม่ดี คิดแล้วเครียดมากเลย ทำไมพ่อเราต้องแช่งเราขนาดนั้น ตัวท่านเองก็ไม่เคยมาเลี้ยงดู ทิ้งไปตั้งแต่เด็ก พอมีเรื่องก็ขอให้ช่วยช่วยแล้วเกิดปัญหา ยังมาว่าลูกอีก จะเป็นอย่างที่พ่อแช่งมั้ยคะ กลุ้มมากคะ พ่อแท้ๆ ยังทำกับลูกได้ ขอให้ท่านอาจารย์ แนะนำด้วยคะ ต้องทำอย่างไร บาปมั้ยที่หนูทำแบบนี้ มีบทสวดมนต์ทำให้หนูพ้นคำสาปแช่งได้มั้ยคะ

    ขอบคุณมากคะ ที่กรุณาตอบคำถาม


    คำตอบ
    คำพูดที่ออกจากปากของคนที่ทุศีลไร้ธรรม มีทั้งพูดดีและพูดไม่ดี เช่น พูดสาปแช่งผู้อื่น หากผู้ถามปัญหามั่นใจว่า ตัวเองเป็นคนมีศีลและมีธรรมคุ้มครองใจ แล้วใช้ขันติ ใช้สติ และใช้พรหมวิหาร ๔ มาคุ้มครองใจ คำสาปแช่งของผู้อื่น ไม่สามารถทำให้ผู้ถูกสาปแช่งวิบัติได้ จึงไม่ถือว่าเป็นบาป ตรงกันข้ามผู้สาปแช่งผู้อื่นต้องรับความวิบัติ ด้วยมีเขาเป็นผู้กระทำเหตุให้เกิดขึ้นด้วยตัวของเขาเอง

    ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องสวดมนต์บทใด เพื่อให้พ้นคำสาปแช่ง แต่ควรสวดมนต์เพื่อสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย และสวดมนต์บทโมรปริตรเพื่อป้องกันตัว และเจริญสติให้มีกำลัง แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตสงบต่อสิ่งอันเป็นอกุศลนี้
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ถูกเลิกจ้างค่ะ เจอปัญหาอย่างนี้มา2ครั้งแล้ว โดยที่เราไม่ได้ทำความผิดอะไรจริง ๆ แต่ บริษัทฯบอกว่าประสบปัญหาทางการเงินจึงต้องให้ออก
    ตอนนี้ก็เลยหางานใหม่ อยากถามอาจารย์สนองดังนี้ค่ะ

    1. สิ่งที่เกิดกับดิฉันเป็นกรรมเก่าหรือไม่คะ
    2. ถ้าใช่ดิฉันจะทำอย่างไรดีเพื่อที่สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดกับดิฉันอีก
    3. ดิฉันสนใจงานที่ต้องอาศัยค่าคอมมิชชั่นในการขายเป็นรายได้ งานลักษณะแบบนี้ เป็นงานสัมมาอาชีวะหรือไม่คะ

    กราบขอบพระคุณอาจารย์สนองที่เสียสละเวลามาตอบคำถามให้ดิฉันด้วยนะคะ แต่ดิฉันสงสัยจริง ๆ ค่ะ ขอขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ


    คำตอบ
    (๑) ตอบว่าใช่ เรื่องที่ถูกปลดออกจากงาน เป็นผลของกรรมเก่าที่ผู้ถามปัญหาได้ก่อไว้แต่อดีต

    (๒) คำว่า “ มโนมยา ” มีความหมายว่าสำเร็จด้วยใจ ผู้ใดประสงค์มีงานทำโดยไม่ถูกปลดออกจากงาน ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่งคือมีความรู้ มีความสามารถในงานที่ทำเหนือผู้อื่น และพัฒนาตนเองให้เป็นคนดีมีคุณธรรมเป็นพื้นฐานของใจ ด้วยการประพฤติจริยธรรมลูกที่ดีของพ่อแม่ จริยธรรมลูกน้องที่ดีของนายจ้าง พลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ฯลฯ แล้วต้องประพฤติตนเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีอุปการคุณ หากทำได้เช่นนี้แล้ว จะไม่ถูกปลดออกจากงาน และหากผู้ใดพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีดวงดี ด้วยการบำเพ็ญทานอยู่เสมอ รักษาศีล ๕ ให้มีอยู่กับใจทุกขณะตื่น และเจริญจิตตภาวนาอยู่เนืองนิตย์ ผู้ทำได้เช่นนี้มีดวงดีแน่นอน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ ความเป็นอมตะในการมีงานทำจะเกิดขึ้นกับผู้มีศักยภาพเช่นนี้

    (๓) ผู้รู้จริงไม่เลือกงานทำ ขอเพียงแต่ว่างานที่ทำ ต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลและไม่ผิดธรรม ต้องทำงานเพื่อให้สิ่งดีงามกับคนอื่น ให้สิ่งดีงามกับสังคมส่วนรวม ส่วนคนไม่ฉลาดในการทำงาน ประพฤติตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าวข้างต้น

    ส่วนงานที่มีเปอร์เซ็นต์ในการซื้อขาย (คอมมิสชั่น) หากเป็นงานที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลและไม่ผิดธรรม และผู้มาใช้บริการมีใจยินดีจ่ายค่าคอมมิสชั่น โดยไม่รู้สึกเสียดายหรือถูกเบียดเบียน งานนั้นถือว่าเป็นสัมมาอาชีวะ หรือเป็นสัมมากัมมันตะในทางโลกได้
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. เราชาวพุทธ ควรสวดมนต์บทไหนคะที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศานา เคยมีคนบอกว่าเราไม่ใช่พระไม่จำเป็นต้องสวดบททำวัตรเช้า - เย็น เพราะในปัจจุบันมีบทสวดมนต์มากค่ะ การที่เราเบิกบุญของเราเพื่อให้กับคนอื่นได้ไหมคะ และทำถูกต้องไหมคะ ถ้าไม่ถูกต้องควรทำอย่างไรคะ


    2. ดิฉันมีคนที่ไม่ชอบดิฉันเอามากๆในที่ทำงาน เคยเอ่ยปากว่าจะเอาดิฉันออกจากงานหากตนเองมีอำนาจ ดิฉันทราบว่าในใจลึกแล้วดิฉันก้ออยากจะเอาชนะเค้า แต่อีกใจบอกตรงๆว่าไม่อยากจองเวรกลัวจะได้เจอกันอีกชาติหน้า ทุกวันนี้พยายามทำบุญอุทิศกุศลผลบุญให้เค้าเพื่อขอให้เค้าอโถสิกรรมเราดิฉัน เพราะเราทุกข์ใจทุกครั้งที่มีเรื่องกัน

    พระพุทธะมิได้สอนให้หนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหา ด้วยการใช้สติปัญญาแก้ปัญหาให้หมดไป....ด้วยการดูให้เห็นถูกตรงว่าปากของคน มีทั้งพูดดีและพูดไม่ดี ที่เขาพูดไม่ดีเพราะใจของเขามีความคิดเป็นอกุศล(บาป) เก็บสั่งสมไว้เมื่ออกุศลสั่งให้ปากพูด จึงพูดออกมาไม่ดี."

    อาจารย์คะ ถ้าเราทำบุญ ไหว้พระสวดมนต์ทุกครั้งเราแผ่เมตตาให้เค้า สิ่งเหล่านั้นจะหายไปไหมคะ บางครั้งเราโกรธมากที่เค้าว่าเรา หรือโยนความผิดให้เรา เราก็นำเรื่องไม่ดีไปพูดอีก เราผิดมากไหมคะ เพราะเราปฎิบัติธรรม และเราควรแก้ไขอย่างไร พยายามคิดว่าเค้าเป็นครูในทุกเรื่องที่เห็น ได้ยิน แต่บางครั้งก็หลุดค่ะ

    3. คนที่เป็นหัวหน้า แล้วโยนความผิดให้ลูกน้อง คือ สิ่งไหนที่ผิดจะเป็นลูกน้องตลอด เราควรทำอย่างไรคะที่จะไม่ให้โกรธเค้า เพราะเราไม่อยากมีตัวโมหะอย่างที่ท่านอาจารย์บอกค่ะ และเราควรทำตัวอย่างไร กับเพื่อนร่วมงานเพื่อที่จะให้มีความสุขในการทำงาน ทุกวันนี้เครียดกับที่ทำงานเพราะไม่มีความจริงใจเลย มีแต่การสวมหน้ากาก

    4. การที่บุพการีของเรานำสมบัติของเราและน้องๆ ที่มีญาติฝากไว้ไห้ไปล้างผลาญหมดกับครอบครัวใหม่ ของเค้า เป็นสิ่งที่เราได้ชดให้เวรกรรมหรือเปล่าคะ

    5. การที่เราพูดแต่ในสิ่งที่ไม่ดีของบุพการีที่ทำเราบาปมากไหมคะ และเราควรทำอย่างไร เพื่อที่จะชดใช้กับหนี้เวรนั้นได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เวลานี้ น้อง 2 คนลำบากมากเป็นเพราะเค้ายังมีใจเจ็บอยู่ เค้าต้องทำอย่างไรคะ ส่วนตัวดิฉันครอบครัวมีความสุขค่ะ มีเป็นบางช่วงของชีวิตที่ลุ่มๆ ดอนๆ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากค่ะ มีปัยหาแต่เรื่องที่ทำงานอย่างเดียว



    คำตอบ
    (๑) ผู้ที่บอกว่าไม่ใช่พระ ไม่จำเป็นต้องสวดมนต์บททำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็น นั่นเป็นความเห็นถูกของเขา แต่เป็นความผิดของผู้รู้จริง ในทางโลกปุถุชน ดูความเป็นพระที่การแต่งกาย แต่ในทางธรรม ดูความเป็นพระที่สภาวะของจิตใจ พระพุทธเจ้าสอนพระสงฆ์ ให้นำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ด้วยการเจริญจิตตภาวนา และสอนฆราวาสธรรมให้แก่ฆราวาสมีชีวิตอยู่กับโลก ให้มีทุกข์เท่าที่จำเป็น ฆราวาสในครั้งพุทธกาล อาทิ อนาถบิณฑิกเศรษฐี พาหิยะลูกพ่อค้า พระนางเขมามเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร ฯลฯ ได้ประพฤติธรรมตามแบบสงฆ์ ยังสามารถบรรลุธรรมของสงฆ์ได้ โดยไม่ผิดธรรมไม่ผิดวินัยแต่อย่างใด ดังนั้นหากผู้ถามมีเวลาพอที่จะสวดมนต์ทำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็นได้ จงสวดมนต์ไปเถิด

    ส่วนเรื่องการเบิกบุญต้องเข้าใจว่า บุญเกิดจากการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ผู้ใดประพฤติแล้ว ย่อมมีบุญเก็บสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของตัวเอง มิได้เอาบุญไปฝากได้กับใครผู้ใด จึงไม่จำเป็นต้องไปเบิกบุญมาใช้ ในยามที่คิดปรารถนาที่จะอุทิศบุญให้กับผู้อื่น สามารถอุทิศให้ได้ทุกเวลาที่ปรารถนาจะให้

    (๒),(๓) ผู้ไม่มีธรรมอยู่ในใจ จิตไม่ชอบใครหรือพูดไม่ดีกับใคร สามารถทำได้เป็นธรรมดาของบุคคลเช่นนี้ หากผู้ถามปัญหามีธรรมรักษาใจ ไม่สามารถคิดไม่ดีกับใคร ไม่สามารถพูดไม่ดีกับใคร ฉะนั้นต้องดูที่ใจของตัวเองจะมีประโยชน์มากกว่า เช่นเดียวกับคนที่คิดเอาชนะผู้อื่น เป็นคนที่แพ้ใจตัวเองตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว การคาดหวังให้คนอื่นยกโทษให้ เป็นการคาดหวังที่เกิดขึ้นกับคนที่มีความเห็นผิด การโต้แย้งโต้เถียงเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี เกิดขึ้นกับใจของคนที่มีความเห็นผิด ดังนั้นผู้ใดพัฒนาปัญญาเห็นถูกตามธรรม ให้เกิดขึ้นกับใจของตนเองได้แล้ว การคาดหวังจากคนอื่น การโต้แย้งโต้เถียงกับคนอื่นจะไม่เกิดขึ้นให้จิตวิญญาณต้องมีบาปสั่งสม

    อนึ่งผู้ใดมีเมตตา สามารถแผ่เมตตาให้กับสัตว์ผู้จองเวร แล้วเวรกรรมจะไม่เกิดขึ้นกับผู้มีเมตตา คนที่ยังมีความโกรธเกิดขึ้นกับใจ ยังมิใช่ผู้มีเมตตา ฉะนั้นการแผ่เมตตาจึงเป็นโมฆะคือไม่มีผล การให้อภัยเป็นทานเป็นเหตุให้เกิดเมตตา ผู้ใดให้อภัยต่อสิ่งที่ทำให้ขัดใจได้ทุกเรื่อง ผู้นั้นไม่โกรธผู้นั้นมีเมตตา ผู้นั้นมีอารมณ์สงบและเย็น

    (๔) ผู้รู้เกิดมาเพื่อปรับปรุงแก้ไขชีวิตที่เคยทำผิดพลาดให้กลับมาดีงาม มองให้ออกว่าในวันที่เกิดมาดูโลก มิได้มีสิ่งใดติดตัวมาเกิดด้วย สมบัติต่างๆมาเกิดขึ้นในภายหลังทั้งสิ้น บุพการีจะนำสมบัติของใครไปทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา คิดให้ถูกว่าเป็นการใช้หนี้กรรมให้หมดสิ้นกันไป เพราะตายแล้ว ไม่มีใครผู้ใดนำสมบัติกำพร้านี้ไปได้ มีแต่บุญกับบาปเท่านั้น ติดตัวไปได้เมื่อตาย ผู้ฉลาดจึงไม่หวังและไม่ห่วงกับสมบัติที่เป็นกำพร้าเหล่านั้น

    (๕) บาปมากหรือบาปไม่มากขึ้นอยู่กับความเห็นของคน แต่ที่แน่ๆ ผู้ใดอกตัญญูต่อผู้มีอุปการคุณ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ความวิบัติในชีวิต และความวิบัติในการทำงานย่อมเกิดขึ้น
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันได้เข้าอบรมกับสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งได้อธิบายว่าการที่จะเข้า วิปัสสนาได้ต้องมีพลังจิตสะสมจากสมาธิสมถะทำจนได้ฌาณสี่ ก่อนจะเข้าภวังค์,ภวังค์ฌาณและอรูปฌาณนี้จะต้องผ่านจุดพลังอำนาจ ซึ่งการจะวิปัสสนานั้นต้องได้ฌาณสี่ และมีวสีเข้าวิปัสสนาณ.จุดพลังอำนาจถึงจะ เข้าวิปัสสนาได้จริง ไม่ใช่คิดเดาเอาเอง คือต้องมีกำลังสั่งสมมากพอ จนเกิดสมาธิมาก พอ ที่จะเห็นตาในหรือตาทิพย์เกิดนิพพิทาญาณและทวนกระแสเข้าไปปฏิบัติวิปปัสนา ได้จริงๆ

    ในกรณีที่คนที่ได้จุดพลังอำนาจหรือจุดระหว่างปลายประสาทของกายหยาบและกาย ละเอียด นี้ไม่เจริญวิปัสสนาก็อาจจะใช้ด้านการทำฤทธิ์ รักษาโรค เป็นต้น จุดพลังอำนาจ เป็นตำแหน่งก่อนเข้าภวังค์ ต้องทำสมาธิบ่อยๆเพื่อสะสมให้เกิดกำลัง

    ขอเรียนถามอาจารย์ว่า จุดพลังอำนาจตำแหน่งนี้คืออะไรคะ ถ้าเราไม่สามารถสัมผัส จุดนี้ คือผ่านเข้าภวังค์ไปเลยโดยส่วนมากโดยไม่รู้ตัว

    วิปัสสนาจำเป็นต้องใช้กำลังสมาธิตื้นมากไหมคะ

    ขออนุโมทนา เป็นการถามเพื่อความเข้าใจไม่ต้องการเปรียบเทียบใดๆ


    คำตอบ
    จุดพลังอำนาจเป็นสมมติบัญญัติ ที่เกิดขึ้นจากความรู้ไม่จริง (อวิชชา) ของคนที่มีความเชื่อเช่นนั้น ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนาจนจิตเข้าสู่ความตั้งมั่นระดับฌาน จิตไม่สามารถรับสิ่งกระทบภายนอกใดเข้ามาปรุงเป็นอารมณ์ การพัฒนาวิปัสสนาญาณไม่อาจเกิดขึ้นได้ แต่หากผู้ใดถอนจิตออกมาจากความเป็นฌาน โอกาสพัฒนาวิปัสสนาญาณให้เกิดขึ้นกับจิตจึงจะมีได้

    สมาธิที่นำพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง เป็นสมาธิระดับจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ผู้ที่ชำนาญแล้วอาจใช้สมาธิระดับต้น (ขณิกสมาธิ) ไปพัฒนาปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้นย่อมทำได้
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูเป็นคนที่ถามเรื่องเกี่ยวกับลูกศิษย์ของตนเองที่เป็นร่างทรงค่ะ คือหลังจากที่ได้ส่งจดหมายถามอาจาร์ยอีกฉบับนั้น ก็เกิดเรื่องมากมายเนื่องจากศิษย์คนนี้เขาเพี้ยนก้าวร้าวมากให้เพื่อนมาหา เรื่องน้องสาวหนูที่โรงเรียนเขาเรียนที่เดียวกัน ทั้งกลั่นแกล้ง พูดจาทำร้ายจิตใจ จนน้องสาวหนูร้องไห้แทบทุกวัน ซึมเศร้า หนูสอนให้เขานั่งสมาธิ ตั้งใจสวดมนต์ แผ่เมตตาให้ทุกคนรวมทั้งแฟนเขา(ลูกศิษย์หนู) ที่บอกว่าเพี้ยนไปเป็นคนละคน หนูสงสารน้องมากหลายครั้งโกรธคนเหล่านั้นมากมาย เพราะตลดเวลาหนูกับน้องดีกับลูกศิษย์คนนี้มาตลอด เราถูกอบรมมาภายใต้การสอนของบรรพบุรุษให้โอกาสแก่ผู้ด้อยกว่า ช่วยเหลือคนที่เขาเดือดร้อน รักและศรัทธาในคุณงามความดี แต่สิ่งที่หนูกับน้องสาวถูกกระทำในเวลานี้ จากคนที่เราให้โอกาส ช่วยเหลือเขา และศรัทธาว่าความดีงามที่เราทำจะช่วยให้เขามองเห็นคุณค่า และเป็นคนดี กลับเป็นการถูกระรานจากคนพาลรอบตัวเขา มีแต่ความวุ่นวายกังวลใจจากการระรานของเพื่อนๆ เขา หนูทางของหนูกับน้องต้องไม่สะทกสะท้านแบบที่อาจาร์ยบอกหนูประจักษ์แก่ใจ แต่หลายครั้งท้อแท้เหลือเกิน อยากรบกวนถามอาจาร์ยดังต่อไปนี้นะคะ

    1. เมื่อท้อแท้หนูพยายามนึกถึงแต่ตอนที่เขาเป็นคนดี แต่เหมือนกับตัวเองต่อต้านคัดค้านกันในใจ ว่ามันใช่หรือที่การเขาเป็นเช่นนี้ เพราะองค์หรือวิญญาณที่มีผลต่อ พฤติกรรม และจิตใจเขา

    2. มีอะไรพิสูจน์ได้ว่าที่เขาเป็นอยู่เช่นนี้เป็นเพราะวิญญาณหรือองค์ที่เขา เรียกมาทำให้เขาเป็นเช่นนี้

    3. น้องสาวหนูเขาสวดมนต์ ทำสมาธิ แผ่เมตตาขอพรพระพุทธองค์ให้ความรักของเขากับร่างทรงนี้กลับมาเป็นเหมือนเดิม หนูไม่รู้หรอกว่าสมหวังไหม รู้แต่ว่าคนเราทำสิ่งใดไม่ควรหวังสิ่งตอบแทน แต่ครั้งแรกที่หนูได้นั่งกรรมฐานเปิดโลกนั้น อาจาร์ยที่นำบอกว่าจิตของหนูรับกระแสพระพุทธองค์ ขณะนั้นรู้ไม่รู้สึกใดๆ ในร่างกายเหมือนไม่รับรู้อาการใดของร่างกายมีแต่ดวงแก้วสว่าง และรู้สึกเย็นปิติอย่างบอกไม่ถูก หนูไม่ทราบว่าใช่หรือไม่ใช่อย่างไร แต่ขณะนั้นเขาบอกให้ตั้งจิตอธิฐานขอพรหลังจากนั้นไม่ถึงเดือนก็สมปรารถนา ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไร เพราะหนูเชื่อว่าคนเรากระทำสิ่งใดไม่ควรหวังผลตอบแทน ท่านช่วยแนะนำว่าสิ่งต่างๆ ที่หนูบอกในข้อนี้เป็นเช่นไร แล้วน้องหนูขอพรแล้วเขาจะมีโอกาสสมหวังหรือไม่อย่างไร เป็นไปได้หรือที่เราขอเพื่อความสมหวังได้

    4. ทุกครั้งที่ทำสมาธิ หรือสวดมนต์นั้น หนูสวดมากมักจะให้ท่านช่วยให้หนูครองสติทำแต่ความดี อย่าให้จิตใฝ่หาความชั่วเพราะคิดว่าคนเราจะกระทำสิ่งใดต้องไม่หวังสิ่งตอบ แทน แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องลูกศิษย์กับน้องสาว หลายครั้งจิตใจนึกอาฆาตเพื่อนลูกศิษย์ที่มาระรานน้องตัวเอง อย่างไม่หยุด ต้องเตือนตัวเองและต่อสู้กับตัวเองใจจิตใจ เหมือนคนๆ เดียวแต่อีกคนคิดแต่สิ่งร้ายๆ อีกคนคิดถึงกรรมและควบคุมสติ มันช่างอึดอัดทรมาน นี่เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบของผู้ที่เลือกทางเดินเดียวกับพระโพธิสัตว์ หรือเปล่าคะ

    5. ทำไมในหนังสือสวดมนต์ต่างๆ ถึงบอกว่าเมื่อสวดมนต์แล้วขอพรคิดสิ่งใดจะสมปรารถนา มันจริงเท็จประการใด หนูสงสัยมากเพราะไม่เคยขออะไรแต่เมื่อเกิดเรื่องราวนี้หนูจึงขอพรบ้างให้ เรื่องทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ให้หนูเห็นหนทางนำพาเขากลับมาเป็นคนดีคนเดิมได้ แต่ท่านอาจาร์ยบอกไม่ได้เขาต้องสวดมนต์ นั่งสมาธิเอง หนูมีหนทางใดที่จะช่วยเหลือเขาได้บ้างคะช่วยชี้นำแนวทางให้หนูที

    6. ถ้าหนูขอพรจากพระพุทธองค์ ให้น้องสาวหนูสมหวังในความรักได้หรือไม่ เพราะตลอด 30 ปี หนูขอพรตอนนั่งสมาธิเท่านั้น(ขอให้สอบบรรจุข้าราชการครูได้) ได้จริงดังปรารถนา เป็นครั้งแรกที่ขอเพื่อชีวิตตัวเองและก็ไม่แน่ใจว่าควรขอเพราะความเชื่อว่า ทำสิ่งใดไม่ควรหวังสิ่งตอบแทน สวดมนต์ก็บอกว่าสวดเพื่อความมีสติไม่วุ่นวาย นั่งสมาธิก็เพื่อความสงบของจิตใจไม่ฟุ้งซ่าน และส่งผลถึงความจำ หนูเชื่อเช่นนี้มาตลอดเริ่มงง ไขว่เขวเมื่อตอนที่นั่งกรรมฐานแล้วเปิดโลก แล้วรู้สึกปิติอย่างบอกไม่ถูก พอวันนี้ก็เลยอยากได้ความกระจ่างจากท่านอาจาร์ย ว่าแท้จริงเป็นเช่นไร

    7. บ่อยครั้งเหลือเกินที่หนูฝันเห็นพระพุทธชินราชทั้งที่ไม่เคยไป แต่มีโอกาสไปเมื่อหลังจากนั่งกรรมฐานเปิดโลก เมื่อเห็นท่านจริงๆ ปิติอย่างบอกไม่ถูกขนลุก ความรู้สึกสงบมากๆ และฝันถึงพระเก่าๆ องค์ใหญ่พอเห็นในหนังสือเหมือนที่ฝันจึงหาว่าท่านอยู่ที่ใด คือที่สุโขทัย ภาพเหมือนในฝันมากๆ หนูจำท่านได้ทุกรายละเอียด เป็นเพราะอะไร ส่วนมากฝันว่ากราบท่านหรือได้อยู่ข้างๆท่าน หรือเป็นเพราะหนูประทับใจในความงามของท่าน แต่น่าแปลกหนูไม่เคยเห็นท่านมาก่อนฝันก่อนตั้งแต่ช่วงอายุ 18 เห็นจะได้

    8. หนูไม่ค่อยเข้าใจเรื่องทรงเจ้าแต่ทุกข์ใจเรื่องลูกศิษย์ จึงไปปรึกษาร่างทรงที่น่าศรัทธาคนหนึ่ง ที่น่าศรัทธาคือเขาไม่รีดไถเงินคนมาหา และจากการไปหลายครั้งหนูสังเกตว่าเขาทักทายสภาพจิตใจของหนูได้ถูกต้อง มากกว่า 70% แล้วสังเกตคนที่เขาทุกข์มากมายไม่เคยต้องจ่ายเงินนั่นเงินนี่ แต่จะแนะนำแนวทางของธรรมะ ทำบุญตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา สวดมนต์ไหว้พระ (ถ้าเป็นร่างทรงที่อื่นช่วงนี้หละคือช่วงกอบโกยเงินบางคนจ่ายหลักหมื่น สำหรับหนูแล้วหากคนไม่มีจะกินเขาทุกข์จะหาที่พึ่งแบบนี้คงไม่มีโอกาสสำหรับ เขา หนูเองก็ถูกเรียกเงินจากร่างทรงที่ว่านี้เหมือนกันแต่มีสติพอที่จะคิดเพราะ มีหลายอย่างที่รู้สึกว่าไม่ใช่) ร่างทรงที่ว่านี้เขาสามารถทำให้หนูเชื่อใจเขาได้แต่ก็ยังมีความไม่แน่ใจ เพราะว่าเป็นเรื่องที่หนูไม่เข้าใจ เหมือนองค์ไร้เหตุผลที่ทำร้ายลูกศิษย์หนูการเป็นองค์เทพมาเพื่อช่วยร่างมิ ใช่หรือคะ แต่ตอนนี้ลูกศิษย์หนูถูกทำลายทุกอย่าง อนาคตการเรียน ความรัก ทำร้ายจิตใจพ่อแม่ และปู่ ย่า ตา ยาย คนรัก และครูที่รักและหวังดีกับเขา ร่างทรงที่หนูไปหาเพราะหนูไม่รู้ว่าจะได้ความกระจ่างไหม แต่หนูก็อยากได้คำตอบ ว่าควรทำอย่างไรต่อกับสิ่งมองไม่เห็น เขาต้องการอะไร ทำไมเราคุยกับเขาให้รู้เรื่องไม่ได้หรือ ร่างทรงบอกหนูว่าเขาให้บอกแค่ว่าเดี๋ยวลูกศิษย์หนูก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ต้องรอหลังเดือนเมษายน ให้น้องหนูอดทน องค์ของลูกศิษย์หนูต้องการทดสอบหนูกับน้องสาว ทดสอบอะไร ทดสอบทำไม หนูก็ไม่เข้าใจ แล้ว ลูกศิษย์หนูไม่บาปหรือเขาก้าวร้าวกับบุพการี หนูไม่อยากเห็นเขาเป็นบาป หนูไม่เชื่อเต็มร้อยว่าเขาไม่รู้สึกตัวเลยถ้าเป็นเพราะวิญญาณ ลูกศิษย์หนูจะบาปไหมคะที่ก้าวร้าวกับบุพการี กับหนูที่เป็นครูเขา และก็กับญาติผู้ใหญ่ที่เลี้ยงเขามา หนูสงสารเขาไม่อยากให้เขาทำบาปอีก แค่นี้ชีวิตเขาก็แย่มากพอแล้ว

    หนูรบกวนอาจาร์ยมากมายเหลือเกิน หนูเหมือนได้คุยกับปู่ของหนูอีกครั้ง ปู่หนูเสียชีวิตตั้งแต่ปี 43 หนูสนิทกับปู่เพราะไปวัดกับปู่ตั้งแต่จำความได้ปู่เป็นมรรคทายกวัด ท่านจะสอนอะไรมากมายจนหล่อหลอมมาเป็นหนูทุกวันนี้ เล่าเรื่องพระ พาสวดมนต์ เวลาทุกข์ใจก็ปรึกษาท่าน ท่านก็จะยกตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงพบกับมารบ้างมาเปรียบให้หนูฟัง ทุกครั้งหนูก็สบายใจและสงบ ตั้งแต่ท่านเสียไปหนูก็ได้แต่จุดธูปคุยกับท่านเพราะรู้สึกว่าท่านดูหนูอยู่ ตั้งแต่วันที่ท่านอาจาร์ยได้ตอบจดหมายมา เหมือนหนูได้คุยกับปู่อีกครั้ง หนูรู้สึกว่าตัวเองเขลานักเมื่อเกิดเรื่องน้องสาวกับลูกศิษย์ตัว หนูไม่ได้ขอเป็นหลานอาจาร์ยหรอกค่ะ มิกล้าแต่ขอเป็นคนที่ศรัทธา และชื่นชมอาจาร์ย ด้วยใจจริงค่ะ

    กราบขอขอบพระคุณอาจาร์ยนะคะที่สละเวลาในการอ่านและตอบคำถาม


    คำตอบ
    (๑) เป็นเพียงบอกเล่า มิได้ถามปัญหา

    (๒) เกิดจากจิตที่มีความเห็นผิด มาใช้ร่างกายของผู้อื่น กระทำในสิ่งที่แสดงออกเป็นพฤติกรรมไม่ดี

    (๓) ปุถุชนใกล้สิ่งไหนเป็นเหมือนสิ่งนั้น ใกล้คนดีดีตาม ใกล้คนไม่ดีไม่ดีตาม ด้วยเหตุนี้ พระพุทธะจึงได้บอกความเป็นมงคลกับเทวดาว่า “ อาสวนา จ พาลานัง ..... ” ผู้ใดเชื่อในความเป็นสัพพัญญูแล้วประพฤติตามให้ได้ ความเป็นมงคลก็จะเกิดขึ้นแน่นอน

    การเห็นดวงแก้วสว่าง การเกิดปีติ เป็นกิเลสที่ขวางทางมิให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ผู้ใดกำจัดสิ่งที่เป็นวิปัสสนูปกิเลสได้ โอกาสเข้าถึงวิปัสสนาญาณย่อมเกิดขึ้น อนึ่ง พระพุทธะมิได้สอนพุทธบริษัทให้ประพฤติตนเป็นผู้ขอ แต่สอนให้พุทธบริษัททำเหตุดีให้ถูกตรงตามที่ตั้งความปรารถนา (อธิษฐาน) ไว้ เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว ความสมปรารถนาในสิ่งดีงามย่อมเกิดเป็นจริงได้

    (๔) คนที่คอยแต่หวังให้ผู้อื่นช่วย เป็นคนที่มีจิตด้อยในศักยภาพ คนที่มีจิตอาฆาต คิดแต่สิ่งเลวร้าย เหล่านี้มิใช่วิสัยจิตของพระโพธิสัตว์ จึงเอาไปเปรียบเทียบกันไม่ได้

    (๕) ผู้ประพฤติอธิษฐานเพื่อความสำเร็จในสิ่งที่ดีงาม ต้องทำเหตุให้ถูกตรง ต้องใช้เวลาสร้างบุญสร้างบารมียาวนาน เหตุปัจจัยจึงจะลงตัว แล้วคำอธิษฐานจึงจะเป็นจริงได้ ดังตัวอย่างของพระพากุละอธิษฐานไม่อาพาธ ต้องใช้เวลาทำเหตุให้ถูกตรงยาวนานถึงหนึ่งแสนกัป พระสารีบุตรอธิษฐานเป็นอัครสาวกของพระพุทธะ ต้องใช้เวลาทำเหตุให้ถูกตรงยาวนานถึงหนึ่งอสงไขยกับอีกหนึ่งแสนกัป ผลแห่งการอธิษฐานจึงจะเป็นจริงได้

    การคิดหวังช่วยคนอื่นในทางโลกช่วยได้ผิวเผิน ด้วยเหตุนี้พระพุทธะจึงได้ตรัสในทำนองที่ว่า “ ตนนั่นแหละ เป็นที่พึ่งแห่งตน ” คือ พึ่งธรรมพึ่งความดีที่มีอยู่ในใจของตน ความดีในใจจะเกิดขึ้นได้กับผู้ที่ทำความดีด้วยตัวเอง ผู้ตอบปัญหาเชื่อพระพุทธเจ้า จึงแนะนำว่า ไม่มีทางใดที่ผู้ถามปัญหาจะช่วยเขาได้อย่างแท้จริง

    (๖) ประพฤติตนเป็น “ ผู้ขอ ” มิใช่หนทางแห่งพุทธะ จึงไม่มีคำแนะนำใดเพื่อการนั้น อนึ่งการนั่งกรรมฐานแล้วเปิดโลก ทำให้ปีติและมีจิตเป็นทาสของปีติ นั่นมิได้ทำให้พ้นทุกข์ จึงควรหาทางแก้ไข เพื่อพัฒนาจิตเข้าสู่ปัญญาเห็นแจ้ง แล้วความทุกข์จึงจะหมดไปจากใจได้จริง

    (๗) ฝึกกรรมฐานเปิดโลก แล้วไปเห็นพระพุทธชินราช นั่นประพฤติผิดไปจากธรรมของพระพุทธะ การฝันเห็นสิ่งต่างๆ แล้วมีจิตยึดติดในสิ่งที่ถูกเห็น เป็นการปฏิบัติธรรมผิดทางเช่นกัน

    (๘) ผู้ใดมีจิตศรัทธาในร่างทรง ผู้นั้นมีศรัทธาที่ไม่กอร์ปด้วยเหตุผล พระพุทธะจึงไม่แนะนำพุทธบริษัทให้ศรัทธาเช่นนั้น เพราะเป็นการเปิดทางให้ความหลอกลวงเกิดขึ้น คนไม่ฉลาดนิยมประพฤติเช่นนี้ ผู้ถามปัญหาล่ะ เป็นคนประเภทไหน ตอบตัวเองได้หรือยัง?
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันได้อ่านคำถามที่ บอกว่าอาชีพขายประกันเป็นการสร้างวิบากกรรมให้ตัวเอง ดิฉันเป็นตัวแทนประกันค่ะ

    1.อยากทราบว่าทำไมเป็นเช่นนั้น เพราะในเมื่อเขาเจ็บป่วยเราก็มีเงินช่วยให้เขารักษา เพราะค่ารักษาสมัยนี้แพงมาก ช่วยแบ่งเบาภาระเขาได้ไม่ใช่หรือคะ

    2.เวลาหัวหน้าครอบครัวตาย เราก็มีเงินประกันไปมอบให้ภรรยาและลูกๆ เขาไว้เลี้ยงดูตัวเองต่อและมีทุนการศึกษาไว้เรียนในอนาคต ไม่ถือว่าช่วยเหลือเค้าหรือคะ

    3.เราสามารถนำรายได้มาให้พ่อแม่ตอบแทนท่านได้ ไม่ถือเป็นกตัญญูหรือคะ แล้วทำไมถึงเป็นอาชีพที่ไม่ดีในทางธรรม เพราะในเมื่อเราไปพูดให้คนวางแผนชีวิต เมื่อเกิดสิ่งไม่คาดฝันจะได้ไม่เจ็บตัวมากนัก ดิฉันนึกว่าเป็นการทำบุญเสียอีกน่ะค่ะ คนในวงการนี้ที่รู้จักสนิทสนมส่วนใหญ่ที่อยู่ในอาชีพนี้ได้ เพราะว่าซื่อสัตย์ ขยัน อดทนไม่เอาเปรียบลูกค้า มีสัจจะ สอนรุ่นน้องให้กตัญญู มองโลกในแง่ดี คิดบวก รู้จักบุญคุณ มีน้ำใจ ซื่อสัตย์และส่วนมากก็ชอบปฎิบัติธรรมทั้งนั้น เช่น วิปัสสนา นั่งสมาธิ บางคนก็ไปแสวงบุญที่อินเดียเป็นประจำ เช่น สร้างวัดไทยที่นั่น บริจาคเงินเป็นล้าน และยังนำธรรมะมาสอดแทรกสอนอยู่ด้วยเสมอ ดิฉันจะไปปฎิบัติธรรมก็ได้รุ่นพี่ที่นี่แนะนำค่ะ อย่างเวลาไปขายก็คิดว่าถ้าวันนึงลูกค้าเป็นอะไรใครเดือดร้อน และถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นจริงๆ เรานี้แหละเป็นคนช่วยเขา นำเงินไปให้เขาเวลาที่เขาเดือดร้อนไม่มีที่พี่งแล้วทำไมไม่ดีล่ะคะ ขออภัยด้วยค่ะสงสัยและงง งง

    4.คำถามนี้สงสัยในใจมานาน เพื่อนตัวแทนประกันหลายคนที่รู้จักนั้น รวยมากบางคนมีรายได้เป็นร้อยล้าน สิบล้านหรือบางคนก็ปีละล้านและชอบทำบุญแต่สงสัยว่าทำไมแต่ละคนเป็นโรคแปลกๆ ที่มักไม่ค่อยมีคนเป็นหรือวินิจฉัยไม่ได้คะ สังเกตุจากคนที่รู้จักน่ะค่ะ


    คำตอบ
    (๑) เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะเป็นกำหนดอันแน่นอนตายตัวของธรรมชาติ ที่เรียกว่ากฎแห่งกรรม ผู้ถามปัญหาใช้ปัญญาทางโลกมองการกระทำเช่นนั้นว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องทางโลก ซึ่งมิได้ผิดอะไรกับผู้ที่ยังพึงพอใจกับการมีชีวิตอยู่กับโลก แต่ในทางธรรม เขามองปัญหาของชีวิตยาวไกลข้ามภพชาติ จึงเห็นเหตุผล (ความจริง) ต่างกันออกไป ปัญหาจึงมีอยู่ว่า ผู้ถามปัญหาจะนำพาชีวิตไปทางไหน นั่นเป็นสิ่งที่ต้องคิดแล้วทำเหตุให้ถูกตรง

    (๒) เงินที่ได้จากการทำประกันฯ ช่วยให้เกิดความมั่นคงได้เพียงชีวิตปัจจุบัน แต่ชีวิตยังต้องเดินทางอีกยาวไกลข้ามภพข้ามชาติ เงินประกันฯ ไม่สามารถส่งผลไปถึงความมั่นคงในชีวิตหน้า ฉะนั้นผู้ใดมีจิตเป็นทาสของเงิน ผู้นั้นไม่ต่างไปจากถูกงูพิษกัด ดังในครั้งพุทธกาล ขณะที่พระพุทธะดำเนินบิณฑบาตโดยมีพระอานนท์เดินตามหลัง ท่านได้ทอดพระเนตรเห็นถุงใส่เงินที่โจรโยนทิ้งไว้ที่หัวคันนา พระพุทธได้ตรัสปุจฉากับพระอานนท์ว่า “ อานนท์ เธอเห็นงูพิษไหม ” พระอานนท์ตอบว่า “ เห็น พระเจ้าค่ะ ”

    ที่ยกตัวอย่างมาบอกเล่าให้ฟังนี้ เพื่อจะบอกว่า ใครผู้ใดมีจิตหลงติดเป็นทาสของทรัพย์ ไม่ต่างไปจากถูกงูพิษกัด ดังตัวอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันไงล่ะ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ผู้ถามปัญหาคลุกคลีอยู่กับงูพิษอย่างรู้เท่าทัน จึงไม่ถูกงูพิษกัด หรือว่าถูกงูพิษกัดเข้าแล้ว

    (๓) เหตุที่ไม่ดีในทางธรรม เพราะผู้ถามปัญหา พูดวางแผนให้คนมีความมั่นคงในชีวิตนี้เท่านั้น แล้วเมื่อต้องทิ้งขันธ์ลาโลกไปสู่การมีชีวิตอยู่ในภพหน้า มั่นใจไหมว่าได้พูดวางแผนให้เขามีความมั่นคงในชีวิต ไม่ลงไปเกิดต่ำกว่ามนุษย์ในวันข้างหน้า

    อนึ่ง คนที่เข้าปฏิบัติธรรมมีมาก แต่คนที่สามารถปริวรรติจิตใจจนเข้าถึงธรรมของพระพุทธะได้ มีอยู่จำนวนน้อย ในครั้งที่ผู้ตอบปัญหาไปปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านเจ้าคุณโชดก คณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ ท่านพูดกับผู้ตอบปัญหาว่า “ คนที่เข้ามาปฏิบัติธรรมร้อยคน ได้ธรรมะของพระพุทธะกลับไปเพียงสองคน นับว่าโชคดีแล้ว ” ฉะนั้นที่บอกว่า คนในวงการที่ผู้ถามปัญหารู้จักสนิทสนมส่วนใหญ่ เป็นผู้มีคุณธรรม มีการบริจาค (ทาน) เป็นล้าน นั่นเป็นสิ่งถูกต้องที่พึงกระทำ เพราะทำแล้วได้บุญ แต่ท่านเหล่านั้นมั่นใจได้ไหมว่า เป็นผู้มีศีลมีธรรมกำกับใจ ผู้ใดมีศีลผู้นั้นไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ผู้ใดมีศีลผู้นั้นไม่คอรัปชั่น ไม่ใช้โทรศัพท์ของหน่วยงานมาใช้ในเรื่องส่วนตัว ไม่เอางานส่วนตัวไปทำในเวลาของหน่วยงาน ผู้ใดมีศีล กาย วาจา ใจ ไม่ละเมิดในลูกเมียของคนอื่น ไม่เสพสังวาสกับโสเภณี ผู้ใดมีศีลผู้นั้นพูดไม่เคลื่อนไปจากความจริง ผู้ใดมีศีลผู้นั้นไม่บริโภคเครื่องดื่มที่สารแอลกฮอล์เจือปน และเช่นเดียวกัน ผู้ใดมีธรรมผู้นั้นไม่ประพฤติอกุศลกรรม ฯลฯ ขออภัยที่เขียนตอบยืดยาว ด้วยมีเจตนาเป็นเสมือนกระจกส่องผู้อ่าน ให้เห็นสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเอง

    (๔) การเป็นโรคแปลกๆ นั่นเป็นผลของกรรมที่ประพฤติทุศีล เป็นความลับที่เขามิได้บอกให้ใครผู้รู้ ปุถุชนผู้มิได้พัฒนาจิตจึงหลงเข้าใจผิดคิดว่า เขาเป็นคนมีพฤติกรรมดีงาม แต่การกระทำของเขาไม่สามารถหลอกใจมนุษย์ผู้พัฒนาจิตได้ ไม่สามารถหลอกตาเทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกาได้ ฉะนั้น ความลับของมนุษย์จึงมิได้มีกับเทวดาในชั้นนี้
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    วันนี้ดิฉันได้ไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่เมืองทองธานี หลังจากนั้นที่บริเวณหน้าห้องสักการะจะมีอาจารย์หลายๆ ท่านดูฮวงจุ้ยให้ฟรี ดิฉันและน้องสาวจึงดูแต่ว่าเมื่อดูเสร็จแล้วเกิดความไม่สบายใจเนื่องจากต้อง แก้หลายอย่าง เช่นห้องน้ำมีสามห้องก็ไม่ถูกทิศทั้งหมดต้องทุบทำใหม่หมดย้ายที่ใหม่เลย ห้องนอนเปิดประตูจากนอกบ้าน เค้าบอกว่าประตูบ้านควรมีแค่บานเดียวคือประตูทางเข้าเพราะฉะนั้นให้ทุบประตู ห้องนอนอีกประตูแล้วโบกปูนทับประตูเก่าเพื่อเข้ามาเปิดในบ้านให้ได้ ถ้าดิฉันไม่ทำรับรองว่า ยังไงไม่มีทางรวยจะมีแต่จนหรือถ้าไม่เชื่อก็คอยดูต่อไป สามีก็จะมีภรรยาน้อยแน่นอน ดิฉันจึงเกิดความไม่สบายใจจึงอยากจะเรียนถามว่า

    1 ดิฉันถามเค้าว่าจะแก้โดยการปฎิบัติธรรมเช่น นั่งสมาธิหรือวิปัสนาได้หรือไม่ เค้าก็บอกว่าการปฎิบัติธรรมช่วยได้แค่10เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ถ้าจะแก้ได้จริงต้องทำตามที่เขาบอกจึงจะดี ถ้ายังทำไม่ได้เลยก็แนะนำว่าต้องหาซื้อเครื่องรางไปใส่ที่บ้าน หลายอย่างเหมือนกันค่ะประมาณสิบกว่าอย่าง ของมีขายอยู่หน้างาน แต่ราคาค่อนข้างแพงดิฉันไม่มีเงินซื้อหรอกค่ะ รวมๆกันอาจจะหลายพันเลย เพราะของบางอย่างนั้นราคาถึง2000บาท การปฎิบัติธรรมแก้เรื่องฮวงจุ้ยไม่ได้ตามที่เขาบอกหรือเปล่าคะ

    2ได้อ่านหนังสือท่านอาจารย์สนองเรื่องวิธีอยู่เหนือดวง แต่วิธีอยู่เหนือฮวงจุ้ยนี้เรื่องเดียวกันหรือเปล่าคะใช้ด้วยกันได้หรือ เปล่าคะ ฮวงจุ้ยมีผลทำลายชีวิตเราถึงขนาดนั้นเลยหรือ

    3 ทุกวันนี้ดิฉันภาวนาพุทโธ และ ยุบหนอพองหนอ เดินหนอ นอนหนอ ต้องเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งเลยหรือเปล่าคะแต่ดิฉันชอบทั้งสองวิธี

    ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากที่ให้ความเมตตาตอบคำถามค่ะ
    ขออนุโมทนา

    คำตอบ
    (๑) จริงอย่างที่ผู้ดูฮวงจุ้ยพูด แต่ไม่จริงหากปฏิบัติธรรม จนเข้าถึงมรรคผลแห่งธรรมได้ ปัญหามีอยู่ว่าผู้ถามปัญหาจะเชื่อคำพูดที่ออกจากปากของปุถุชน หรือจะเชื่อคำพูดที่ออกจากปากอริยบุคคลผู้เป็นอริยสาวกของพระพุทธะ

    (๒) หากผู้ถามปัญหาได้อ่านหนังสือเรื่อง “ วิธีอยู่เหนือดวง ” แล้วทำให้ได้ตามที่บอกไว้ในหนังสือ ฮวงจุ้ยไม่สามารถให้ผลดีหรือร้ายกับบุคคลผู้มีคุณธรรมเช่นนั้นได้ เรียกว่าอยู่เหนือฮวงจุ้ยก็ได้หากประสงค์จะเรียก

    (๓) เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เลือกประพฤติเพียงวิธีเดียวที่เหมาะกับจริต จะเป็นวิธีไหนก็ตาม หากปฏิบัติถูกตรง ผลที่ออกมาคือ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ และจิตต้องเกิดปัญญาเห็นแจ้ง
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. ตามที่อาจารย์ได้แนะนำให้สวดพระพุทธคุณต่อหน้าพระพุทธรูป เจดีย์ ฯลฯ นั้น สามารถสวดต่อหน้าพระพุทธรูปที่บ้านได้หรือไม่คะ หรือต้องไปตามสถานที่ที่เราเคยทำเหตุไว้คะ (เนื่องจากไม่ทราบว่าตนเองเคยทำเหตุไว้ ณ ที่ใด) แต่ผลปัจจุบัน แค่เดินผ่านพระพุทธรูป รูปปั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายทั้งปวง ก็เกิดคิดอกุศลขึ้นมาแล้วค่ะ

    2. รู้สึกวิตกกังวลมากค่ะ และก็เหนื่อยกับความคิดแบบนี้ด้วยค่ะ หากความคิดไม่ดีดังกล่าวนั้นเป็นผล ที่เกิดจากกรรมที่ได้กล่าวล่วงเกินในอดีต ซึ่งปัจจุบันตนเองมิได้มีเจตนา และไม่ปรารถนาที่จะคิดเช่นนั้นอีก แต่ไม่สามารถจับความรู้สึกได้ค่ะว่า ก่อนจะคิดแบบนี้รู้สึกยังไง จึงได้กล้าคิดอกุศลเช่นนี้ได้และไม่สามารถ สกัดกั้นความคิดได้ทันค่ะ ถึงอย่างนั้นแล้วก็ยังถือว่าเป็นการสร้างบาปกรรมเดิม ๆ ต่อไปอีกเช่นนั้นหรือคะ แสดงว่าสิ่งที่ได้รับนั้น นอกจากจะเป็นการรับกรรม แล้ว ยังทำกรรมใหม่เพิ่มเข้าไปในตัวอีกใช่หรือไม่คะ

    3. นอกจากการสวดพระพุทธคุณแล้ว (ซึ่งจะปฏิบัติตามคำแนะนำของอาจารย์ค่ะ) มีวิธีอื่น ๆ อีกด้วยหรือไม่คะ จะทำทุกอย่างที่สามารถจะทำให้พ้นจากบาปกรรมนี้ได้ค่ะ

    ขอขอบพระคุณอาจารย์ในการตอบคำถามอย่างยิ่งค่ะ
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้อาจารย์สมความปรารถนาทุกประการค่ะ

    คำตอบ
    (๑) การสวดมนต์สรรเสริญคุณพระพุทธ จะสวดต่อหน้าองค์พุทธรูป ณ ที่ใดๆย่อมทำได้ หรือไม่มีพระพุทธรูปอยู่ต่อหน้า แต่มีจิตระลึกถึงและมีจิตตั้งมั่นก็ย่อมทำได้

    (๒) หากผู้ถามปัญหาศรัทธาในคำชี้แนะได้เต็มร้อย และนำไปปฏิบัติให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้แล้ว ความคิดที่เป็นอกุศลจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ตรงกันข้ามหากประพฤติไม่ได้ผลดังที่บอกมา บาปกรรมย่อมเกิดเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นพึงดึงจิตให้มาระลึกรู้อยู่กับปัจจุบันขณะ

    (๓) เพียงหนึ่งวิธีที่แนะนำถูกตรงตามธรรม แล้วยังประพฤติไม่ได้ ก็ไม่สามารถนำวิธีอื่นมาแก้ปัญหาได้อีก ต้องปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือ เอาศีล ๕ มาคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่นได้แล้ว จึงลงมือปฏิบัติจิตตภาวนา
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. ตอนนี้ไม่ได้อยู่กับคุณแม่ เพราะทะเลาะกันพยายามหลายครั้งแต่ก็ไม่ดีขึ้น จึงแยกออกมาอยู่เองกับครอบครัว แต่ก็พยายามที่จะเลี้ยงดูท่านโดยการส่งเป็นเงินไป เพราะไม่อยากจะทะเลาะและทำให้ท่านเสียใจ อย่างนี้จะบาปหรือไม่ ช่วยแนะนำด้วยค่ะ

    2. อยากทราบถามว่า การที่เราใส่บาตรกับพระท่านที่ยืนบิณฑบาตรที่เดียวในตลาด ถือว่าเป็นการทำบุญหรือไม่
    ถูกต้องหรือไม่

    ขอบคุณค่ะ

    คำตอบ
    (๑) เป็นบาปตรงที่ประพฤติโต้แย้ง โต้เถียงผู้มีอุปการคุณ แต่เป็นบุญตรงที่เลี้ยงดูแม่ด้วยการส่งเงินไปให้

    (๒) ถูกของภิกษุที่ประพฤติ แต่ไม่ถูกของสงฆ์ที่ประพฤติถูกตรงตามธรรมวินัย การโปรดสัตว์ด้วยการโคจรบิณฑบาตของพระพุทธเจ้า ของพระอัครสาวก ของพระมหากัสสปะ ฯลฯ ท่านเดินบิณฑบาตตามลำดับบ้าน ภิกษุยืนบิณฑบาตประจำอยู่ ณ ที่เดียว ด้วยเหตุมีอาพาธไม่ถือเป็นบาป แต่หากมีเหตุมาจากความขี้เกียจเดิน หรือเดินไปยังที่อื่นแล้วได้อาหารบิณฑบาตน้อยกว่า อย่างนี้ถือว่าเป็นบาป
     

แชร์หน้านี้

Loading...