ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    1. หนูเรียนถามปัญหาของตนเองค่ะ สามีหนูไม่มีงานทำ เพราะ พิษเศรษฐกิจ , มีหนี้สินเยอะ , มีเพื่อนหญิงแยะ และเป็นคน มีอัตตาของตนเองสูง (คิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ เช่น มองโลกในแง่ร้าย , ไม่เคยไว้วางใจใคร , ชอบตำหนิหนูและลูก (ข้อนี้ หนูคงมีความดีไม่พอเขาเลยยังไม่เกิดศรัทธา อาทิเช่น จิตที่เป็นเมตตา , อุเบกขารมณ์ของหนูเอง) โทสะเยอะชอบเพ่งโทษคนอื่น ชอบก่นด่า พูดจาไม่ไพเราะ และที่สำคัญคือ “ ธรรมารมณ์ ” ยังไม่ก่อเกิด

    ข้อดี : สามี ไม่กินเหล้า , ไม่สูบบุหรี่ มีศีล คือ ไม่มักได้ ไม่อยากได้ พูดตรงกับใจ กินน้อย พูดน้อย แต่ นอนเยอะ การรับผิดชอบช่วยเหลืองานบ้านในครอบครัวผ่านที่เกือบ 80 % (มักน้อย , สันโดษ)

    คำถาม จากข้อมูลดังกล่าว หนูต้องสร้าง เหตุแบบไหนค่ะ กับอนาคตที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าทางโลก โดยประคับประคอง “ นาวาของครอบครัวตนเอง ; พ่อ-แม่-ลูก ” ให้ถึงฝั่งของ อริยบุคคล ขั้นต้น (ของหนูเองเพราะต้องฝึกตนให้ดีพร้อมก่อนค่ะ) ”

    2. หนูต้องยอมรับกับชะตากรรมตนเอง ถูกต้องใช่ไหมค่ะ จะได้ใช้หนี้กรรมหนี้เวรให้จบกันไปในชาตินี้และเราจะ ขออโหสิกรรม ต่อสามี และมีบทเอ่ยอย่างไรค่ะ และสร้างเหตุให้ตรงอย่าง ไรค่ะ จาก การ “ ปฏิบัติธรรม ” นั่ง สมาธิ , เดินจงกลม ทุกๆวันเช้า-เย็น หลังจากว่างเว้นจากธุระการงาน มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสัมมาทิฏฐิ จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง รู้จริง “ พัฒนาจิต ” ตนเองได้ระดับหนึ่ง (คิดไปเองน่ะค่ะ) อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด “ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ” แต่เมื่อเจอครูบาอาจารย์ที่บ้าน (สามี) สติกระเจิงเกือบจะทุกครั้งเลยค่ะ ก็เป็นข้อสรุปว่าสอบไม่ผ่าน เพราะเราไปเพ่งโทษเขา เนื่องจากขาดเมตตา และอื่นๆ สาระสำคัญคือ “ รู้จักตนเอง ” ยังไม่ถ่องแท้ค่ะ เลย ต้องแพ้จิตใจของตนเอง เฮ้อ ! เมื่อไรความดีงาม ของเราจะถึงพร้อม เมื่อนั้นศรัทธาจากตัวสามีและลูกก็คงจะก่อเกิด อธิษฐานไว้ และสร้างเหตุให้ตรง จำไว้ (ปฏิบัติให้ได้น่ะ เตือนตนเองอยู่เนืองๆค่ะ) เมื่อเจอบททดสอบ บางครั้งก็ผ่าน แต่หลากหลายครั้งก็ไม่ผ่าน (กับสามีเจ้าประจำ) อย่าติดสมมุติ เป็น อย่างนั้นใช่ไหมค่ะ ยากจังค่ะ หากรู้ใจตนเองชนะตนเองได้ คงผ่านทุกสิ่งใช่ไหมค่ะ

    ท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกป้องคุ้มครองอาจารย์ให้มีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ

    ด้วยความรักเคารพศรัทธายิ่ง

    คำตอบ
    (1) เหตุที่จะทำให้สังคมครอบครัวดำรงอยู่ได้และมีความสุขผู้เป็นสมาชิกของครอบ ครัว โดยเฉพาะผู้ทำหน้าที่เป็นผู้นำครอบครัว ต้องเป็นคนที่มีศีลแล้วครอบครัวถึงจะดำรงอยู่ได้ ส่วนครอบครัวจะสงบสุข สมาชิกของครอบครัวต้องบริโภคใช้สอยมักน้อย บริโภคใช้สอยแต่สิ่งอันเป็นสาระ และมีความสันโดษไม่นำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น พัฒนาตัวเองให้มีเมตตา และไม่เป็นทาสของอบายมุข

    อนึ่ง การจะไปให้ถึงฝั่งของการเป็นอริยบุคคลในยุคสมัยนี้ ต้องปฏิบัติจิตตภาวนาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดสังโยชน์สามตัวแรก (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ให้หมดไปจากใจ การเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลขั้นต้นจึงจะเกิดขึ้นได้

    (2) ผู้รู้ยอมรับความจริง ยอมชดใช้หนี้เวรกรรมให้หมดไปโดยดุษณี และไม่สร้างหนี้กรรมใหม่ให้เกิดขึ้น การปฏิบัติจิตตภาวนาเป็นบุญใหญ่สุด ทุกครั้งที่ปฏิบัติแล้วเสร็จต้องอุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นให้กับเจ้ากรรมนาย เวร
    เรื่อย ๆ ไป

    อนึ่งผู้ถามปัญหาเป็นผู้มีโชคดี มีครูบาอาจารย์อยู่ใกล้ตัวไม่ต้องเดินทางไปหาครูบาอาจารย์ในที่ห่างไกลให้ เสียเวลา ปัญหาที่บอกเล่าไปต้องแก้ด้วยการ เจริญขันติบารมีและพรหมวิหาร 4 ให้มีกำลังกล้าแข็งได้เมื่อใดแล้ว ปัญหาจึงจะจมลงได้ เมื่อเจอบททดสอบแล้วบางครั้งผ่านได้นับว่าแก้ปัญหาได้ถูกตรง แต่ต้องทำให้ความถี่ของการสอบผ่านเพิ่มมากขึ้น ด้วยการเจริญคุณธรรมสองข้อดังที่กล่าวมาข้างต้นให้มีกำลังมากยิ่งขึ้น จนสามารถสอบผ่านได้ทุกครั้งจึงจะเรียกว่าแก้ปัญหาได้สำเร็จ หลังจากนั้น จึงไปขอขมากรรมต่อครูผู้อยู่ใกล้ พร้อมทั้งอุทิศบุญกุศลให้กับครูผู้มีพระคุณที่ทำให้ผู้ถามปัญหามีความเจริญ งอกงามในจิตวิญญาณ จนสามารถต้านกระแสของกิเลสได้
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    หนูเคยเจอท่านแล้วสองครั้งแต่ไม่กล้าเข้าไปสอบถาม ครั้งแรกที่บ้านท่านอาจรย์ ดร.สนอง
    ครั้งที่สอง ที่ดอยเวียงแก้ว จ.เชียงราย
    หนูกับแฟนวางแผนจะแต่งงานกันในปีหน้า แฟนดิฉันเค้าทำร้านแว่นตา และเค้าก็ถือศีล 5
    หนูและแฟนที่เราคบกันได้เพราะว่าเราทั้งคู่ศึกษาธรรมมะ เหมือนกัน ในงานแต่งงานดิฉันจึงไม่
    อยากเลี้ยง เหล้า แต่ทั้งทางญาติและพ่อ แม่ ของทั้งสองฝ่ายต้องการอยากให้เลี้ยงตามแบบสังคม
    ทั่วไป ถ้าหนูและแฟน ไม่จัดงานเลี้ยง แต่พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายไม่พอใจ จะเป็นบาปมั้ยค่ะ

    กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง

    คำตอบ
    เป็นบาปกับคนที่ไม่พอใจ แต่เพื่อความเข้าใจในเรื่องของกรรมและการให้ผล ผู้ที่ริเริ่มให้มีการเลี้ยงสุราเกิดขึ้น ถือว่าเป็นจำเลยบาปที่หนึ่ง เมื่อกรรมให้ผลจะเป็นผู้ขาดสติสัมปชัญญะรุนแรงกว่าผู้อื่น ผู้มาร่วมงานแล้วดื่มสุราเป็นจำเลยบาปที่สอง ผู้ที่ไม่เห็นด้วยแต่จำใจต้องทำให้มีการเลี้ยงสุราเกิดขึ้น (กตัตตากรรม) เป็นกรรมที่มีเจตนาอ่อนหรือมิใช่มีเจตนาเช่นนั้นจะให้ผลต่อเมื่อไม่มีกรรม อื่นใดให้ผล ฉะนั้นต้องเลือกบริหารจัดการชีวิตเอาเองว่าจะรักษาสังคมครอบครัวหรือจะยอม รับบาปเพียงเล็กน้อย ก็เลือกปฏิบัติตามที่เห็นควรเถิด..
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    หนูจะมีเซนส์อย่างหนึ่งค่ะ จะเหมือนคนตายเวลาครึ่งหลับครึ่งตื่น บางทีเหมือนถูกเหวี่ยงแรงๆบางทีก็หมุนเคว้ง เหมือนถูกทุ่มบ้าง บางทีก็เห็นแขนตัวเองบ้าง ถ้ามีเรื่องหนักหน่อยก็เป็นนาน ถ้าไม่หนักมีปากเสียงธรรมดาก็แป็ปเดียว พอรู้สึกตัวจะหมดแรงเหนื่อยค่ะ เคยไปปฏิบัติธรรม สวดมนต์ก็ไม่หายไม่อยากเป็นเลยเป็นครั้งแรกประมาณ10กว่าปี หลังจากบวชชีพรามหมณ์แก้บนให้แม่ มีคนจะเอาปืนมายิงค่ะ พอจะมีเรื่องก็จะเตือนแบบนี้ทุกครั้งไม่รู้จะถามใคร

    พอมาอ่านหนังสืออาจารณ์ดีใจมากค่ะ หนูเคยจุดธูป คนที่จะเอาปืนมายิงค่ะ(หลังเซนส์)มีอันเป็นไปหมดทุกคนเลย พวกนี้เป็นน้องเมียน้าค่ะ เว้นพี่สาวคนโตที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ลูกของน้าขโมยของแม่ก็เลยให้เขาเอามาคืนแต่เด็กไม่ยอมรับน้องเมียน้าก็เลย เขามาทะเลาะกันตีกันพวกเขาอยู่กันหลายคน พอตอนเย็นแฟนเขาเลยจะเอาปืนมายิงอยู่2คนกับแม่กลัวมาก(น้าไม่อยู่)ตอนเช้า เลยย้ายห้อง(เช่า)หลังจากนั้นไม่ถึงเดือนมีอันเป็นไปหมด ป่วยตาย1 ติดคุก3ป่วย1และจำไม่ได้อีก2รู้สึกไม่มากเลยคะ

    ตอนนั้นคิดว่าบังเอิญเวลานึกไม่ดีกับใคร จะเป็นจริงมีหมอดูเคยทักห้ามแช่งใครปาปค่ะ มาอ่านเจอในหนังสืออาจารณ์กลัวมาก จะถอนคำแช่งอย่างไรค่ะตอนนี้ผิดศีลไป 2 ข้อ 2-3กรรมตามทัน ผู้ชายฐานะดีมาก มีครอบครัวแล้ว(หนูไม่เคยมีครอบครัวหรืออยู่กินกับผู้ชาย) เขาไม่เคยรับผิดชอบ หนูไม่เคยรบกวนเขาเลย เป็นลูกจ้างเขา(มีร้าน12สาขาโรงเรียนด้วย) เป็นคนตะหนี่มากรวมถึงลูกจ้าง ไม่มีมีใครชอบปากจัด ชอบเหน็บแนม ชอบพูดแดกดัน ตอนนี้เขาเป็นความดันปากเบี้ยว(อายุ35) พูดเรื่องเวรกรรมให้ฟังก็ไม่สนใจ ให้ไปปฏิบัติธรรมก็ไม่ไปอยู่ที่ใจ สวัสดิการพนักงานไม่มี ถ้ามีประกันสังคมเขากลัวจ่ายภาษีเยอะ และเดือนหนึงเขาบอกว่าต้องจ่ายเยอะ (หยุดเกินวันหยุดวันละ300 บางที 5 เปอร์เซน ทั้งเดือนช่างซอยไม่มีเงินเดือน ช่างสระไดร์มีเงินเดือน) ตอนนี้เขาเรียนโทจบเขาทิ้งหนูแล้วค่ะ คบปีกว่าหนูต้องทนทำงานในร้านเขาอีกสักพัก ทรมานมากกรรมตามทันเร็วอ่านธรรมะตลอดคิดว่าเขาตามมาทวง

    ขอโทษนะคะที่เขียนยาวมาก
    1อกุศลวิบากกับ เวรกรรมเหมือนกันไหมคะ
    2อาชีพเสริมสวยเป็นสัมมาชีวะหรือเปล่า
    3เซนส์ของหนูทำอย่างไรหายคะ แล้วคืออะไร

    ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ

    คำตอบ
    (1) คำว่า “ อกุศลวิบาก ” หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นจากกรรมไม่ดีที่เคยที่ไว้แต่ปางก่อน คำว่า “ เวรกรรม ” หมายถึงการกระทำที่เป็นการปองร้ายกัน ดังนั้นสองคำนี้จึงเป็นคนละอย่างกัน เวรกรรมเป็นเหตุอกุศลวิบากเป็นผล

    (2) เป็นสัมมาอาชีวะในทางโลก เพราะเป็นอาชีพที่ไม่ผิดกฎหมาย หากมองในทางธรรม อาชีพเสริมสวย เป็นมิจฉาอาชีวะ เพราะเป็นเหตุทำให้คนหลงผิด มีจิตยึดติดในความงามที่ไม่เที่ยง (อนิจจตา) ของรูปร่าง ร่างกายเป็นสิ่งคงทนอยู่ไม่ได้ (ทุกขตา) เหตุเพราะร่างกายมีเกิด-มีดับ และในที่สุดร่างกายต้องตายไป (อนัตตา) ไม่มีตัวไม่มีตนแท้จริง ผู้ใดหลงยึดติดความสวยงามของรูปร่างต้องทนกับความทุกข์ในที่สุด

    (3) เซนส์ที่บอกเล่าไป คือนิมิตของจิตที่มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับหนึ่งเท่านั้น เซนส์มิได้ทำให้เจ้าของพ้นไปจากความทุกข์ ผู้ใดประสงค์ให้เซนส์หมดไปต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติและกำลังของปัญญา เห็นแจ้งกล้าแข็ง แล้วใช้สติสัมปชัญญะที่พัฒนาได้ตามดูเซนส์ที่เกิดขึ้นดำเนินไปตามกฎ ไตรลักษณ์ จนกว่าเซนส์จะดับไปและไม่กลับมาเกิดขึ้นได้อีก
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    วันนี้ผมได้ขับรถชนสุนัขตายที่ สี่แยกไฟแดง โดยไม่มีเจตนา ผมเองไม่เห็นสุนัขที่วิ่งผ่านตัดหน้ารถผม เพราะสายตาขณะนั้นจับจ้องมองที่สัญญาณไฟที่ลอยอยู่ด้านบนสลับกับมองกระจก หลัง ซึ่งขณะนั้นเป็นไฟเขียวอยู่จึงต้องรีบเหยียบคันเร่ง ผมเองเพิ่งได้เห็นสุนัขนั้มปรากฎอยู่หน้ารถ จึงพยายามเหยียบเบรกแต่ไม่สามารถหยุดรถได้ทัน ทำให้ชนและทับร่างของสุนัขนั้นตาย ผมรู้สึกไม่สบายใจมากเนื่องจาก มีความรู้สึกว่าทำไมผมถึงไม่เห็นสุนัขตัวนั้นที่กำลังวิ่งตัดหน้ารถ

    คำถาม
    1.ผมควรทำบุญอย่างไร เพื่อช่วยให้ไม่มีกรรรมกับสุนัขตัวนั้น
    2.กรรมที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์นี้โดยไม่เจตนา ผมมีความผิดในเรื่องใดบ้าง และต้องรับกรรมนั้น มากน้อยเพียงใด

    กราบขอบคุณอาจารย์มากครับ


    คำตอบ
    (1) ต้องทำบุญอยู่เรื่อย ๆ (ดูบุญกิริยาวัตถุ 10) แล้วอุทิศบุญกุศลที่ตนมีให้กับสุนัขที่ตายไป อุทิศไปเรื่อย ๆจนกว่าจิตของผู้ถามปัญหาไม่กลับมาระลึกถึงเรื่องนี้ต่อไป

    (2) กรรมที่ทำด้วยการไม่มีเจตนา ไม่ถือว่าเป็นกรรม แต่เป็นวิบากกรรมของสุนัขเองที่อกุศลกรรมส่งผลให้ต้องมาตายด้วยวิธีการเช่น นี้ ฉะนั้นผู้ขับรถชนสุนัขตายโดยไม่มีเจตนาในการทำกรรม จึงไม่มีความผิดในเรื่องใดเลย แต่หากเมื่อใดจิตระลึกถึงสุนัขที่ถูกชนแล้วทำให้จิตเศร้าหมองถือว่าเป็นบาป
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    1. เมื่อนั่งสมาธิจนจิตตั้งมั่นจนสงบไประดับหนึ่งแล้ว กำหนดพุทธานุสติ “ อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธฯ. ” ในการกำหนดครับโดยระลึกถึงคุณของพระองค์ท่าน ระลึกถึงคุณของพระองค์ เมตตา กรุณา และพระบารมีที่ยังแผ่ถึงในปัจจุบันนี้ คำถาม มีบางครั้งจิตคิดไปอยากเป็น พระพุทธเจ้า ตอนนั้นนั่งสมาธิมีสติ กำหนดรู้ตลอด พบจิตที่คิดอย่างนี้ไป ก็ตกใจนะครับ เป็นเรื่องที่ไม่เคยอยู่ในความคิดมาก่อน และจิตเกิดปิติที่อยากจะอฐิษฐานไปตามนั้น แต่ไม่ได้อฐิษฐานไปตามจิต ควรแก้ไขยังไงครับ

    2. ขอทราบวิธีปฏิบัติ ในการนั่งสมาธิ ให้เป็นเวลานานติดต่อกันครับ ให้ถึง 1 วัน 3 วัน 7 วัน ต้องหัดเริ่มจากที่ละน้อย หรือ ต้องมี องค์ประกอบการแน่วแน่ของจิต เช่น การมีสัจจะ การอฐิษฐานจิต สติ สถานที่ ใช่รึไม่ครับ ขออาจารย์แนะนำด้วยครับ

    3. การมี ศีล 5 คุมใจทุกขณะตื่น ในการการปฏิบัติต้องรู้ กาย ใจ ทุกขณะ และมีการกำหนดรู้ตลอดเวลาที่เรายังตื่นอยู่ถูกต้องรึไม่ครับ และการที่เราจะให้ใจเรามีศีลโดยอัตโนมัติ เป็น ศีลที่สมบูรณ์ของใจเอง

    ในการปฏิบัติต้องปฏิบัติอย่างไรครับ กรุณาแนะนำด้วยครับ

    คำตอบ
    (1) ความอยาก (ตัณหา) เป็นพระพุทธเจ้าเป็นกิเลสควรกำจัดให้หมดไปจากใจ ด้วยการบริกรรมว่า “ อยากหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนความอยากฯหายไป

    ผู้ใดมีจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ต้องสร้างมหาทานแล้วอธิษฐานปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า หลังจากอธิษฐานแล้วต้องสร้างเหตุให้ถูกตรง คือดำเนินชีวิตตามแนวของพระโพธิสัตว์ อาทิ บูรณะหรือสร้างศาสนวัตถุ สร้างถนนหนทาง สร้างสะพานให้ประชาชนสัญจรได้สะดวก ช่วยเหลือมนุษย์และสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ ฯลฯ ต้องใช้เวลาที่ยาวนานนับหลายสิบอสงไขยกัป ในการบำเพ็ญบารมีให้เต็มและครบถ้วน ทั้งบารมีขั้นต้นอุปบารมี และปรมัตถบารมีโดยไม่ลาพุทธภูมิไปกลางครัน โอกาสที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้าย่อมมีได้เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม

    (2) ปรารถนานั่งสมาธิเป็นเวลายาวนนานติดต่อกันหนึ่งวันสามวันหรือเจ็ดวัน ต้องถามว่าผู้ปรารถนานั่งสมาธิให้ได้ยาวนานเช่นนั่นมีจุดประสงค์ใดเพราะการ นั่งบริกรรมให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิประเดี๋ยวประด๋าว (ขณิกสมาธิ) ตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) หรือตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานั่งบริกรรมที่ยาวนานเช่นนั้น

    ผู้ใดมีสภาวะของจิตเป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ หากปรารถนานั่งสมาธิเพื่อนำจิตเข้าสู่ภาวะนิโรธสมาบัติ (ดับสัญญา ดับเวทนา) สามารถทำได้ด้วยการอธิษฐานจิตว่า จะนำจิตเข้าสู่นิโรธสมาบัตินานกี่วัน หลังจากอธิษฐานแล้วจึงทำจิตตภาวนา จนเข้าถึงสภาวะที่อธิษฐานไว้ ดังตัวอย่างของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า เข้านิโรธสมาบัตินานเจ็ดวันแล้วนำจิตออกมาสู่ภาวะปกติ เพื่อรับทานจากฤาษีสรทะ (อดีตของพระสารีบุตร) หรือพรมหากัสสปะเข้านิโรธสมาบัตินานเจ็ดวันแล้วนำจิตออกมาสู่สภาวะปกติ เพื่อรับทานจากหญิงชรายากจน ทั้งนี้ด้วยมีจุดประสงค์ให้ผู้ถวายทานเป็นคนแรก ได้รับอานิสงส์มากนั่นเอง

    (3) ต้องใช้จิตที่สงบส่องดูใจตัวเอง ว่าศีลทั้งห้าข้อมีอยู่กับใจทุกขณะตื่น มีศีลห้าข้ออยู่ครบถ้วน และเป็นศีลที่บริสุทธิ์ คือไม่มีกิเลสเจอปนให้ศีลเศร้าหมอง หากปรับปรุงแก้ไขจิตให้มีลักษณะเป็นดังเช่นนี้ได้เรียกว่าเป็นศีลที่พระอริย เจ้าพอใจ เป็นศีลที่นำไปสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิต
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    แฟนของหนูยืมเงินแม่ของหนูไปใช้เป็นเงินสินสอดของน้องชาย แล้วฝ่ายเจ้าสาวไม่คืนเงินค่าสินสอด ส่วนแฟนหนูเล่นแชร์ผ่านมือหนู แล้วมีปัญหาเรื่องงาน เขาก็เลยไปบวชช่วงเข้าพรรษา ปล่อยให้หนูรับผิดชอบเรื่องเงิน หนูจึงมีปัญหาถามท่านดังนี้
    1. หนูโทรไปทวงเงินแฟนที่บวชเป็นพระอยู่ จะบาปหรือไม่
    2. แฟนที่บวชเป็นพระเขาโทรไปทวงเงินลูกหนี้ทั้งที่ตัวเขาเป็นพระอยู่ เขาจะบาปไหม
    3.เงินส่วนที่เขายืมไปตอนแรก เราต้องทำใจหรือคะ ทั้งที่เงินเป็นของแม่หนูไม่ใช่เงินของหนู (อ่านที่อาจารย์เคยตอบ อาจารย์บอกว่า ''เวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวร') ถ้าอย่างงั้นถ้าใครมายืมเงินแล้วไม่ยอมคืน เราก็ต้องปล่อยเขาไปหรือคะ
    ทุกวันนี้ หนูพยายามมีสติให้มากขึ้น อ่านหนังสือธรรมะค่ะ ขอบพระคุณค่ะ

    คำตอบ
    (1) คำว่าบาปมีความหมายได้หลายอย่าง แต่หนึ่งในนั้นหมายถึง สิ่งที่ทำให้จิตเสื่อมลง ทำให้จิตเลวลง

    คนที่บวชในพุทธศาสนาดังที่บอกเล่าไป ไม่ควรเรียกว่าพระ จะถูกต้องมากกว่าหากเรียกว่าเป็นนักบวชในพุทธศาสนา การโทรศัพท์ไปทวงเงินนักบวชหากทำให้จิตของผู้โทรศัพท์เสื่อมลง ทำให้จิตเลวลงถือว่าเป็นบาปได้

    (2) จากที่ถามไป เขามิได้เป็นพระ เขาเป็นได้แค่นักบวชที่ยังมีกิเลสครอบงำจิต ถือว่าเป็นผู้มีบาปอยู่แล้ว และยังได้โทรศัพท์ไปทวงเงินลูกหนึ้ยิ่งทำให้มีบาปเพิ่มมากขึ้น

    (3) เงินที่เขายืมไปเป็นเงินของแม่ มิใช่เป็นเงินของผู้ถามปัญหา ผู้ที่มิได้เป็นเจ้าของเงินรู้เรื่องแล้วเดือดร้อน ถือได้ว่าไปเอาบาปของคนอื่นมาเป็นบาปของตัว ผู้ฉลาดไม่ประพฤติเช่นนั้น ผู้ฉลาดจะเอาเขามาเป็นครูสอนใจตัวเองว่าอย่าทำอย่างเขา

    อนึ่งสติของผู้ถามปัญหายังไม่กล้าแข็งพอ จึงรับเอาสิ่งกระทบเข้ามาปรุงแต่งใจให้เกิดเป็นอารมณ์ติดลบ หากประสงค์จะแก้ปัญหาให้หมดไปต้องแก้ที่ต้นเหตุคือพัฒนาตัวเองให้มีกำลังของ สติกล้าแข็งจนไม่รับเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นเรื่องของตน
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    1.ก่อนพ่อเสียประมาณ 3-4 ปี พ่อเคยบอกว่าพ่อจะป่วยและตาย ช่วงอายุ 80 ปี แต่ถ้ารอดก็จะอยู่ยาว พออายุ 79 ย่าง80 พ่อก็ป่วย นอนอยู่บนเตียงตลอด ประมาณ 3 เดือนก่อนจะเสีย แม่และหนูแอบดูพ่อตอนนอนบนเตียงคนเดียว จะเห็นพ่อพนมมือและคุยกับใครที่มองไม่เห็นอยู่ปลายเตียง ตอนแรกนึกว่าพ่อคงจะป่วยจนเบลอหรือสับสน แต่เมื่อมีคนมาปรึกษาปัญหากฎหมาย พ่อกลับตอบปัญหาได้เหมือนปกติ และช่วงก่อนพ่อจะเสีย หนูบอกพ่อว่าเรียนจบโทแล้ว พ่อดีใจและบอกว่าอีก 14 วันให้มาพาพ่อกลับบ้าน โดยให้หนูพาไปค่อยๆไป ตอนนั้นหนูไม่ทราบเลยว่าเป็นการบอกล่วงหน้า จากนั้นพ่อค่อยๆdrop ลงและก็จากไปในวันครบ 14 วันที่พ่อบอกพอดี

    ถาม-พ่อรู้วันตายล่วงหน้าได้อย่างไร คนทั่วไปที่ไม่ใช่พระอริยสงฆ์จะรู้วันตายล่วงหน้าได้หรือไม่ อย่างไร และพ่อพนมมือพูดคุยกับใคร

    2.หลังพ่อเสีย วันที่นำกระดูกใส่โกฎเข้าบ้าน ตอนกลางคืนหนูอยู่ในห้องนอนพบว่าห้องที่ไว้กระดูกพ่อมีแสงสีทองสว่างสบายตา แต่ไม่สว่างขนาดไฟนีออน ส่องเข้ามาถึงในห้องนอน และเมื่อนำกระดูกพ่อกลับมายังที่พักในจังหวัดที่ทำงาน หนูฝันเห็นพ่อเดินสำรวจชั้น 3 ที่หนูพักอาศัย เห็นเพียงเสี้ยววินาที ต่อมาฝันเห็นพ่อแบมือและหนูนำน้ำในภาชนะราดบนมือพ่อ เนื้อของพ่อค่อยเต็มขึ้น ปรากฎว่าวันรุ่งขึ้นเพื่อนหนูซึ่งไปปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธ ได้โทรมาบอกว่าอุทิศส่วนกุศลให้พ่อหนู

    จากความสงสัยในข้อ 1 ทำให้หนูสนใจปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธ วัดอัมพวัน และเรียนสมาธิ ปกติเดินจงกรม วันละครึ่งชม. และนั่งสมาธิ วันละครึ่งชม. บางวันก็มากกว่านั้น และหนูฝันเห็นพ่อได้ถามพ่อว่าได้รับบุญที่อุทิศให้หรือไม่ พ่อบอกว่าได้รับ (แต่ปากพ่อไม่ขยับ) เป็นการรับรู้ หนูตื่นมาได้โทรหาแม่ แม่บอกว่าฝันเห็นพ่อเหมือนกัน แสดงว่าหนูกับแม่ฝันถึงพ่อในช่วงเวลาเดียวกัน

    ถาม-พ่อที่หนูฝันเห็นเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเรื่องของจิตปรุงแต่ง

    3.หนูจะฝันช่วงก่อนจะตื่นในบางวันเป็นระยะเวลาเพียงวินาที เห็นเป็นภาพแล้วเป็นความนึกคิดขึ้นมา และวันรุ่งขึ้นก็เป็นไปอย่างที่ฝัน กำหนดอยากรู้ไม่ได้ เป็นความฝัน, ความรู้ที่เกิดขึ้นเอง บางครั้งเป็นคำพูดสอนบางเรื่องสั้นๆ

    ถาม-อาจารย์เคยตอบว่าเป็นเพราะคลื่นจิตคงที่ หนูยังไม่ค่อยกระจ่างคำว่าคลื่นจิตคงที่ ช่วยอธิบาย อยากทราบว่าเกิดกับทุกคนที่มีจิตเป็นสมาธิใช่หรือไม่ และความรู้ตัวนี้บ่งบอกความก้าวหน้าหรือถอยหลังของสมาธิหรือไม่ อย่างไร

    คำตอบ
    (1) พ่อรู้วันตายล่วงหน้ามีเทวดามาบอก ปุถุชนผู้ใด พัฒนาจิตจนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นฌานได้ เมื่อนำจิตออกจากฌานแล้วจึงจะสามารถรู้วันตายล่วงหน้าได้ สุดท้ายที่พ่อพนมมือนั้นท่านพูดกับเทวดา

    (2) พ่อที่หนูเห็นนั้นเป็นเรื่องจริง (สภาวะสัจจะ) มิใช่เป็นจินตนาการของจิต

    (3) ผู้ใดพัฒนาจิตจนตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌานได้แล้วคลื่นความถี่ของจิตจะคงที่ ซึ่งเป็นเหตุทำให้เข้าถึงอภิญญา ๕ (อิทธิวิธี ทิพพโสต เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และทิพพจักขุ) ได้

    คำว่า “ คลื่นจิตคงที่ ” หมายถึงช่วงความถี่คลื่นของจิตถูกพลังสมาธิปรับให้มาอยู่ในระดับความถี่ เดียวกัน ส่วนความถี่คลื่นไม่คงที่ อนุโลมด้วยคล้ายกับคลื่นในทะเล แต่ละลูกมีขนาดใหญเล็กไม่เท่ากัน
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ขณะนี้ผมอยู่ ม.3 ครับ ผมสนใจเรื่องการปฎิบัติธรรมอะครับ ผมอยากได้ อภิญญาทำยังไงครับ แล้วพ้นทุกข์ด้วยครับ ต้องนั่งสมาธิไปเรื่อยๆใช่ไหมครับ พอผมนั่งสัก 45 นาที มันปวดอะครับปวดขาอะครับ ควรทำยังไงดีครับ
    ที่จะผ่านมันไปได้ แล้วผมควรไปงมงายกับอภิญญาไหมครับ ผมยังเด็กอยู่อะครับ ยังอยากได้ญาณโลกียอยู่ ช่วยตอบคำถามทั้งหมดนี้ด้วยนะครับ ขอบพระคุณ ด.ร.สนองมากเลยครับ

    คำตอบ
    อภิญญาหมายถึงความรู้ยิ่งหรือความรู้สูงสุดอภิญญารมีอยู่หกอย่างคือ ความรู้ที่ทำให้แสดงฤทธิ์ได้ ทำให้มีหูทิพย์ ทำให้รู้ใจผู้อื่น ทำให้ระลึกชาติหนหลังได้ ทำให้มีตาทิพย์ และสุดท้ายความรู้ที่ทำให้กิเลสที่ครอบงำจิตหมดไป

    การจะพ้นไปจากความทุกข์ได้อย่างแท้จริง ต้องพัฒนาจิตให้เข้าถึงอภิญญาตัวที่หก ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาและจะเข้าถึงโลกิยอภิญญา (อภิญญาห้าตัวแรก) ซึ่งไม่ทำให้พ้นไปจากความทุกข์ได้ ต้องพัฒนาจิตให้เข้าถึงความเป็นฌาน ด้วยการปฏิบัติสมถภาวนา และบุคคลไม่ควรหลงงมงายอยู่กับความรู้ขั้นสูงระดับนี้

    ขณะนั่งสมาธิแล้วเกิดการปวดที่ขา ต้องกำหนดว่า “ ปวดหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆจนกระทั่ง อาการปวดที่ขาหายไป ให้กำหนดทุกครั้งที่มีอาการปวดเกิดขึ้น

    อนึ่งในการพัฒนาจิตให้มีคุณธรรม มิได้ขึ้นอยู่กับอายุของบุคคลแต่ขึ้นอยู่กับความมีมากหรือมีน้อยของบุญบารมี ที่ทำสั่งสมมาแต่อดีตชาติ เด็กชายทัพพะ เด็กชายโสปากะ ยังบรรลุอรหัตตผลได้ ขณะยังเป็นฆราวาสที่มีอายุได้เพียง 7 ขวบเท่านั้น
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    1. เมื่อจิตก้าวไปจนถึงที่สุดแล้วติดไม่ว่าจะเป็นจากการพิจารณาทุกขเวทนา หรือตามดูจิตกรณีอื่น ๆ ขอท่านอ. ช่วยกรุณาเมตตาให้อุบายที่จะทำให้ข้าพเจ้า หากเมื่อเดินทางถึงจุดที่สุดที่ติดแล้ว สามารถยึดมาเป็นอุบายก้าวล่วงข้ามผ่าน ซึ่งถูกจริตกับข้าพเจ้า (จริตคือไม่โลภ ไม่เชื่อง่าย แต่วิตกจริต) เพื่อให้ได้ธรรมะขั้นต่อไปด้วย (เพราะเมื่อข้าพเจ้าพิจารณาดูเช่นทุกขเวทนาที่คนปกติทนไม่ได้จนเห็นเปรียบ เสมือนเป็นแค่แก่นแกนกลางของต้นไม้หรือเส้นกราฟชีวิตหรือดวงดวงหนึ่งหรือ เส้นเส้นหนึ่ง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปข้ามผ่านไปได้แล้ว สักพักจิตก็สงบแล้วเข้าภวังค์แล้วดับวูบไปเองโดยอัตโนมัติ เมื่อจิตตื่นขึ้นมา ก็จะต้องเริ่มต้นนับหนึ่งต่อไปอีกแล้วก็เป็นอย่างเดิม วนเวียนเป็นวัฏจักรอย่างเดิมไม่รู้จักจบ ข้าพเจ้าจึงเกิดความเบื่อจิตไม่รู้จะพิจารณาไปทำไม จึงไม่มีแรงใจพิจารณาได้ตลอด ทุกข์เวทนาที่แรงกล้าเกินที่จะทนได้อยู่แล้วจึงได้เข้าครอบงำ ปรุงแต่ง และให้ดวงจิตเข้าไปยึดไว้ ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ แม้จะพยายามจนถึงที่สุดต่อสู้แต่ก็ไม่มีอุบายให้ก้าวข้ามผ่านจุดสำคัญที่สุด ไปได้ กลับทั้งเป็นสาเหตุให้ไม่อยากปฏิบัติอีก เพราะก็ต้องไปวนวัฏจักรเดิม)

    2. จากข้อ 1 บางครั้งข้าพเจ้าใช้วิธีละวางทั้งทุกข์ทั้งสุขเพราะพิจารณาเห็นเส้นเส้น เดียวเหมือนกันเลย แต่เส้นที่ปรุงแต่งเป็นความสุข นั้นไม่ยึดและดับยากกว่า เพราะเผลอไปปรุงแต่งได้ง่ายแล้วก็เกิดความชอบแล้วยึดไว้ เมื่อกลับเป็นเส้นทุกข์ซึ่งรู้สึกมันอยู่คู่กันหรือติดกันมันจึง ปรุงแต่ง ยึดติด พิจารณาไม่ทัน เส้นท้งสองมันต้องดับทั้งคู่ใช่หรือไม่ ที่พิจารณาเช่นนี้ถูกหรือไม่ อย่างไร

    3. หากข้าพเจ้าผ่านพ้นวาระเห็นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปมาแล้ว จนจิตรวมกันแล้วดับให้เห็นอย่างที่เรียนท่านอ.แล้ว ข้าพเจ้าควรพิจารณาอย่างไรต่อไป (พิจารณาเพียงเป็นเส้นแล้วดับลง หรือใช้สติมองดูเฉย ๆ ให้ข้างในทำงานเองแล้วมองดูความดับเอง โดยใช้จิตตามรู้ดูเฉย ๆ ก็พอ ซึ่งข้าพเจ้าจะสามารถเลิกพ้นความวุ่นวายได้จริง ๆ ใช่หรือไม่ )

    4. ข้าพเจ้ารับราชการเป็นนักกฏหมายที่มีอำนาจชี้ขาดคน จะมีผลกับการก้าวไปในธรรมหรือไม่ อย่างไรบ้าง และหากยังคงต้องทำงานด้านนี้ต่อไปโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้จะปฏิบัติเช่นไร เนื่องจากข้าพเจ้าอายุยังน้อย ยังขาดเขลาเบาปัญญา หากสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนถามท่าน อ.ทั้งหมดนั้น หากได้มีสิ่งใดล่วงเกินด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ต่อท่านอ.และบุคคลใด ๆก็ตามที่ได้อ่านข้อความของข้าพเจ้าทุกผู้ทุกนามขอท่านอ.และทุกผู้ทุกนาม กรุณาให้อภัยแก่ข้าพเจ้าด้วย

    คำตอบ
    (1) การจะก้าวข้ามทุกขเวทนาได้นั้น ผู้มีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็ง เมื่อเกิดทุกขเวทนาขึ้นต้องกำหนดว่า
    “ ทุกข์หนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่า ทุกขเวทนาจะหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม ส่วนผู้ที่พัฒนาจิตจนมีกำลังของสติกล้าแข็งถึงระดับที่ทำให้จิตตั้งมั่นเป็น สมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ได้แล้ว เมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้น ให้ใช้จิตตามดูทุกขเวทนา ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ คือทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้ และดับสลายในที่สุด ทุกขเวทนาจึงไม่มีตัวตนแท้จริง ตามดูไปเรื่อยๆ จนทุกขเวทนาไม่หวลกลับมาเกิดขึ้นได้อีก ผู้ใดเข้าถึงความจริงเช่นนี้ได้ ปัญญาเห็นแจ้งในทุกขเวทนาจะเกิดขึ้น จะไม่เอาจิตไปยึดอยู่กับสิ่งที่ไม่มีตัวตนที่เรียกว่าทุกขเวทนาอีกต่อไป อนึ่งปัญญาเห็นแจ้งมิได้เกิดขึ้นจากการอ่านหนังสือหรือใช้สมองคิด แต่เกิดขึ้นได้ด้วยการนำตัวเองเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้น

    (2) ที่บอกเล่าไปเป็นจินตนาการของจิต เป็นการพัฒนาจิตที่ผิดทางจึงสละทิ้งความสุขความทุกข์ไม่ได้ แต่หากจิตเห็นแจ้งว่าความสุขและความทุกข์ต้องเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจิตจะไม่เอาสิ่งที่ไม่มีตัวตนมายึดไว้กับจิต จิตจะเป็นอิสระจากความสุขความทุกข์ จิตจะปล่อยวางความสุขความทุกข์ และจิตว่างเป็นอุเบกขา พร้อมกับปัญญาเห็นแจ้งในความสุข ความทุกข์เกิดขึ้น

    (3) บุคคลจะพ้นไปจากความวุ่นวายได้ต่อเมื่อ ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติกล้าแข็ง และต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังปัญญาเห็นแจ้งกล้าแข็งแล้วใช้สติสัมปชัญญะ (สติและปัญญาเห็นแจ้ง) ที่พัฒนาได้นี้ ตามระลึกให้ทันทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิตและมีปัญญาเห็นความไม่มีตัวตนของทุก สิ่งกระทบได้แล้ว ความวุ่นวายจะไม่เกิดขึ้นกับบุคคลผู้มีจิตเป็นเช่นนี้

    (4) อาชีพที่ผู้ถามปัญหาได้ปฏิบัติอยู่ จะเรียกว่าเป็นอาชีพที่ดีในทางโลกได้ต้องมีความเห็นถูก ชีวิตจึงจะดำเนินไปปลอดภัย ในสมัยที่ผู้ตอบปัญหาไปปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านเจ้าโชดก (พ.ศ.2518) ท่านได้เล่าให้ฟังว่า มีผู้พิพากษาท่านหนึ่งมาปฏิบัติธรรมอยู่กับท่าน และสามารถพัฒนาจิตเข้าสู่สภาวะนิโรธสมาบัติได้ นั่นหมายความว่า ผู้พิพากษาท่านนั้นมีสภาวะจิตเป็นอริยบุคคลขั้นที่สาม ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหา มีศีลห้าข้อครบถ้วนอยู่ในใจมีบุญบารมีแต่อดีตชาติสั่งสมมามากพอ และมีความเห็นถูกตามธรรมได้แล้วความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมจะสามารถดำเนิน ไปได้

    หากผู้ถามปัญหายังมีความจำเป็นต้องทำอาชีพนี้ต่อไป โดยไม่ให้เกิดความวิบัติขึ้นกับชีวิตของตัวเอง ต้องทำอย่างเปาบุ้นจิ้น คือท่านมีเทวดาสัมมาทิฏฐิชั้นจาตุมหาราชิกาเป็นกัลยาณมิตร มีบุญบารมีสั่งสมมามาก และท่านใช้สติสัมปชัญญะในการตัดสินปัญหา ชีวิตมนุษย์ของท่านจึงอยู่รอดและปลอดจากภัยทั้งปวง ตายแล้วยังไปเกิดเป็นเทวดาทำหน้าที่เหมือนที่ยังเป็นมนุษย์
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ผมเปิดคลีนิกรักษาสัตว์ ในวันหนึ่งๆ งานของผมต้องเกี่ยวกับการกำจัดเห็บหมัดถึงประมาณ 30% เป็นต้นว่า ฉีดยาป้องกันและกำจัดเห็บหมัดให้ตัวสุนัขที่มาบริการ, การรักษาโรคบางโรคที่มีเห็บเป็นตัวนำโรคต้องกำจัดเห็บซะก่อนจึงทำการรักษา, กำจัดเห็บหมัดภายในคลีนิกและบริเวณที่พักสัตว์ป่วย รวมถึงการจำหน่ายยากำจัดเห็บหมัดให้ลูกค้า แต่ผมมีใจมุ่งหวังที่จะปฏิบัติธรรมให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งต้องมีศีล 5 ครองใจให้ได้ก่อน ดังนั้นผมจึงมีคำถามที่จะถามอาจารย์ดังนี้

    1. ถ้าผมเลิกการกระทำดังกล่าวข้างต้นเกี่ยวกับการกำจัดเห็บหมัด แต่ยังให้คำปรึกษาลูกค้าเกี่ยวกับวิธีการกำจัดเห็บหมัด และแนะนำสถานที่ที่จะซื้อยากำจัดเห็บหมัดได้ ผมยังมีความบกพร่องเกี่ยวกับการรักษาศีลหรือไม่ครับ

    2. ถ้าผมเลิกการกระทำดังกล่าวข้างต้นเกี่ยวกับการกำจัดเห็บหมัด ก็คงต้องเสียลูกค้าไปพอสมควร เพราะเขาคงไปใช้บริการกำจัดเห็บหมัดที่คลีนิกอื่น และย้ายไปรักษาโรคอื่นๆ ที่คลีนิกอื่นด้วยตามที่เขาย้ายไปรักษาเห็บ ซึ่งสัตว์ที่เคยมารักษาโรคกับผมเป็นสัตว์ที่เคยมีปัญหาเรื่องเห็บหมัด มากกว่า 50% จึงอยากจะถามความคิดเห็นของอาจารย์ว่า ถ้าผมเลิกการกำจัดเห็บหมัดก็ถือว่าสามารถรักษาศีล5 ได้ ผลบุญตรงนี้พอจะช่วยหนุนให้ผมมีลูกค้าด้านอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเห็บหมัดเพิ่ม ขึ้นได้ไหมครับ หรือผลบุญตรงนี้จะช่วยประคองไม่ให้กิจการของผมต้องล้มลงเพราะการเสียลูกค้า ตรงนี้ไปได้หรือไม่ครับ

    ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ
    ขอแสดงความเคารพ

    คำตอบ
    (1) การให้คำปรึกษาหรือแนะนำดังที่บอกเล่าไปถือว่ายังมีส่วนร่วมในกระบวนการ ทุศีลข้อปาณาติบาต สามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่จะนำจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) อันเป็นฐานนำไปสู่การพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งจะยังเกิดขึ้นไม่ได้

    (2) การเลิกอาชีพกำจัดเห็บหมัด รวมถึงเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำให้จิตวิญญาณของสัตว์อื่นๆ ต้องพรากออกจากร่าง ไม่ถือว่าผิดศีลข้อปาณาติบาต รวมถึงไม่ประพฤติทุศีลอีกสี่ข้อที่เหลือ จึงจะเรียกได้ว่าสามารถรักษาศีล 5 ได้

    ผู้ใดมีศีล 5 อยู่กับใจได้แล้ว ความมีอายุยืนปราศจากโรคความมีทรัพย์ปลอดภัย ความเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา ความมีสติตั้งมั่น ฯลฯ ย่อมเกิดขึ้นกับผู้มีคุณสมบัติเช่นนี้ และเช่นเดียวกันผู้ใดประพฤติตนเป็นผู้ให้ทานอยู่เสมอ มีศีล 5 คุมใจอยู่เสมอ และมีการปฏิบัติจิตตภาวนาอยู่เสมอ ทั้งสามนี้เป็นคุณธรรมที่นำสู่การมีชะตาดี (ดวงดี) ผู้มีชะตาดีย่อมมีความเจริญในกิจการงานและการดำเนินชีวิต
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    1. หนูเกิดและโตที่บ้านยายซึ่งติดริมนำ มีศาลปึงเท้ากง และศาลพระภูมิตั้งไว้ เมื่อยังเล็กเป็นเด็กที่ไม่กลัวอะไรแต่ มักจะเห็นอะไรแปลก ๆ เช่นเห็นดวงวิญญาณพี่ชายที่ตกน้ำเสียชีวิต เป็นดวงไฟลอยมาเข้าในรูปปั้นจำลองรูปพี่ชายซึ่งตั้งไว้ด้วยตาเปล่า เมื่อหนูทำอะไรผิดก็จะมีดวงวิญญาณในรูปของสิ่งต่าง ๆ มาสอน มาคอยให้กำล้งใจ ตอนตู๊กตาที่ตั้งไว้ศาลพระภูมิล้มหนูก็บังเอิญฝันว่าเทวดาในศาลล้มอยู่ในทิศ ทางเดียวกันและท่านทรมาณอยู่เมื่อตืนขึ้นมาดูต๊กตาก็ล้มเช่นนั้นจริง หนูก็จับตั้งขึ้น ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ได้ย้ายมาอยู่กับมารดา มีคืนหนึ่งฝันถึงปึงเท้ากงว่านำท่วมท่านลำบากอยู่และท่านบอกว่าท่านจะติดตาม คอยช่วยหนูไปตลอด หนูเลยโทรศัพท์มาที่บ้านยายปรากฏว่านำท่วมมิดบ้านท่านจริง ๆ ศาลพระภูมิเองรู้สึกหนูก็ฝันเช่นเดียวกัน หนูจึงบอกให้ทางบ้านยายอันเชิญท่านขึ้นไปไว้ในบ้าน แล้วหนูก็ตั้งใจและบอกท่านไปว่าถ้าหนูได้ทำงานแล้วจะมาสร้างให้ท่านใหม่ ต่อมาหนูได้ทำงานแต่เมื่อดูจากสภาพแล้วหนูคงไม่สามารถสร้างบ้านให้ท่านใหม่ ตามที่ตั้งใจไว้ได้เนื่องจากบ้านติดริมแม่นำในช่วงที่ถูกนำกัดเซาะมาก แม้บ้านก็ถูกนำกัดแซะจนเห็นเสาเข็มยังไม่รู้จะแก้อย่างไร ถามผู้รู้บอกว่าจะต้องใช้เงินมากประมาณศาลละ 200,000 บาท เพราะต้องลงเสาเข็มและสร้างปูนก่อขึ้นมาแล้วจึงตั้งศาลและก็คงไม่ทนเพราะนำ ก็ต้องท่วมและกัดเซาะอีก
    - หนูคงไม่สามารถสร้างศาลให้ท่านทั้งสองจุดได้หนู่จะทำเช่นไรจึงจะเป็นการชด เชยสัจวาจาที่กล่าวไปแล้วไม่สามารถจะทำได้ ชดเชยให้ท่านอย่างไรได้บ้างคะถึงจะเลิกความรู้สึกติดที่ใจไปได้สักที

    2. ก่อนที่หนูจะได้ทำงานหนูได้บอกกล่าวบนบานไว้แต่ไม่ทราบว่าบนไว้กับผู้ใดบ้าง โดยบนบวชเนกขัมมะเป็นเวลา 90 วัน ต่อมาหนูก็ได้งานจริง ๆ แต่หนูไม่สามารถไปบวชได้พร้อมกันทั้ง 90 วัน และไม่รู้ว่าบนไว้กับผู้ใดบ้าง อีกทั้งก็ไม่รู้ว่าหากนับเวลาที่ไปทยอยบวชแล้วจะเกิน 90 วันหรือยัง และเวลาหนู่ไปบวชบางทีหนูก็บวชกับพระประธานเอาเองมิได้บวชกับพระที่รับบวช เนกขัมะโดยตรงไม่รู้จะใช้ได้หรือไม่
    - หนูจะแก้ไขอย่างไรถึงจะไม่รู้สึกติดในใจว่าหนูยังติดการบวชแก้บนไว้ดังกล่าว
    - บางทีหนูฝันเห็นจรเข้ แม่บอกว่าหนูบนไว้แล้วเขามาทวง จริงหรือไม่และจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร


    3. เวลาจะเกิดเหตุการณ์ใดๆ ที่รุนแรงหรือป่วยเจ็บของคนใกล้ชิดหรือของตนเองมักจะมีนิมิตเป็นความฝันก่อน ล่วงหน้า หนูมักจะรู้ล่วงหน้าเสมอ เป็นเพราะอะไรคะ

    ขอกราบขอบพระคุณท่านอ.อย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
    (1) หากสร้างศาลไว้ที่เดิมไม่ได้ ก็ย้ายไปสร้างในที่แห่งใหม่ที่น้ำท่วมไม่ถึง เมื่อสร้างแล้วเสร็จให้จุดธูปเชิญเจ้าที่เข้าไปอยู่ในศาลใหม่ หากมีปัจจัยไม่พอสร้างศาลใหม่ได้ ให้จุดธูปบอก “ ปึงเท้ากง ” ให้ช่วยหาวิธีหรือชี้ช่องทางให้ได้มาซึ่งทรัพย์บริสุทธิ์เพื่อจะนำมาสร้าง ศาลใหม่ในที่เหมาะสมให้

    (2) การ “ บนบาน ” ในศาสนาพุทธไม่มี ผู้ใดปรารถนาความสำเร็จในสิ่งใดต้องสร้างมหาทาน อธิษฐานและทำเหตุให้ถูกตรงผู้ใดกล่าววาจาใดออกไปแล้ว ไม่ประพฤติตามที่พูด ถือว่าผู้นั้นไม่มีสัจจะ

    เนกขัมมะ เป็นการประพฤตินำตัวออกห่างจากสิ่งเย้ายวนใจการบวชเนกขัมมะ (ปกตินิยมแต่งชุดขาว) เป็นการประพฤติกายใจให้มีศีล ผู้บวชเนกขัมมะนิยมนำตัวเข้าไปปฏิบัติที่วัดหรือสำนักปฏิบัติธรรม เพราะเป็นสถานที่เหมาะสม (สัปปายะ) กว่าประพฤติอยู่ที่บ้านซึ่งไม่สัปปายะ

    ตั้งใจบวชเนกขัมมะ 90 วัน หมายถึงตั้งใจบวชฯ ต่อเนื่องนาน 90 วัน จึงต้องประพฤติให้ได้ตามที่ตั้งใจไว้ หากมีสัจจะและประพฤติได้ถูกตรงตามที่ตั้งใจ ความรู้สึกผิดในจิตจึงจะหมดไปได้

    อนึ่งการฝันเห็นจระเข้ ทั้งความฝันและจระเข้ที่ถูกเห็นเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ผู้ใดปฏิบัติจิตตภาวนา แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับสัตว์ที่เห็นปัญหาที่เกิดจากความฝันก็จะหมดไป
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    1. เมื่อปิดเปลือกตาเพื่อจะนอน (ไม่ได้ฝันค่ะ) เห็นเป็นแสงสีขาวกระพริบในลูกตา เหมือนเราเห็นดาวกระพริบในท้องฟ้าเต็มไปหมด มีอาการแบบนี้ติดต่อกันหลายครั้ง จนคิดว่าอาจมีปัญหาที่ประสาทตา กำลังคิดจะไปพบจักษุแพทย์ แล้ววันหนึ่งพอหลับตาเลยใช้วิธีจ้องไปที่แสงสีขาวจุดๆ หนึ่ง อยู่ๆ แสงสีขาวนั้นก็วิ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว และ รู้สึกว่าแสงนั้นสว่างโพลงเต็มตา เต็มหน้า จากนั้นแป๊บเดียวก็ดับมืดทันที เหมือนคนปิดสวิตไฟ หลังจากนั้นก็ไม่พบอีก
    รบกวนสอบถามอาจารย์ค่ะ ปรากฎการณ์นี้คืออะไรคะ สำหรับหนูในใจขณะนั้นคิดว่านี่คือการเกิดดับของอะไรสักอย่างค่ะ

    2. การขายเครื่องสำอาง อาชีพเสริมสวย เป็นอาชีพอันตรายไหมคะ พึ่งจะได้งานใหม่ค่ะ ในใจก็กังวลว่าจะก่อให้เกิดโมหะ แล้วอาจสร้างบาปหรือไม่ค่ะ ตอนนี้ก็ภาวนาขอพรจากพระพุทธเจ้าให้หนูได้มีอาชีพที่ถูกต้องตามธรรม ไม่อยากให้มีบาปติดตัวไป


    คำตอบ
    (1) ภาพที่ปรากฏเป็นผลที่เกิดขึ้นจาก จิตมีความตั้งมั่นเป็นขณิกสมาธิ ผู้ใดประสงค์พัฒนาจิตให้มีความตั้งมั่นที่สูงขึ้น ต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าภาพที่ปรากฏจะหายไป และไม่กลับมาเกิดขึ้นอีก

    (2) ในทางโลกถือว่าเป็นอาชีพที่ไม่ผิดกฎหมายแต่หากผู้ใดปรารถนา นำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ต้องไม่นำตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมมิจฉาอาชีวะ ตามที่ระบุไว้ในมรรค 8 เพราะการประกอบอาชีพดังกล่าว เป็นการส่งเสริมให้จิตมีโมหะเพิ่มมากขึ้น
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    กระผมได้ปฏิบัติธรรมโดยการเจริญอานาปานสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ผมไปติดตรงที่นั่งแล้วไปจับอารมณ์ที่ไม่มีตัวตนคือ รู้สึกว่าตัวหายไปและไม่รู้สึกว่าตัวเองหายใจอยู่ ผลคือทำให้นั่งสมาธิได้นานสบายและยังมีความรู้สึกว่านั่งแป๊ปเดียวแต่เวลา ผ่านไปนานแล้ว ไม่ทราบว่าจะแก้อย่างไรครับ? ติดปัญหานี้มาหลายปีแล้วครับ..


    คำตอบ
    ปรากฏการณ์ที่ผู้ถามปัญหาบอกเล่าไปเคยเกิดกับผู้ตอบปัญหาในครั้งที่ไป ปฏิบัติธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2518 โดยท่านเจ้าคุณโชดก ทราบสภาวะจิตของผู้ตอบปัญหาด้วยเจโตปริยญาณท่านบอกให้ถอนจิตออกมาจากการเสวย อารมณ์ฌาน ดังที่ผู้ถามปัญหาบอกเล่าไปให้ถอยจิตลงมาตั้งมั่นในระดับอุปจารสมาธิ แล้วใช้จิตพิจารณา สติปัฏฐาน 4 ตามกฎไตรลักษณ์ แล้ววิปัสสนาญาณจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ดิฉันมีปัญหาสงสัยว่า กรณีดิฉัน ถือว่าบาปหรือไม่ ด้วยดิฉันเคยนำเค้กที่เหลือจากคืนวันเกิด ซึ่งเหลืออยู่ในกล่องเค้ก (ทานไปชิ้นเดียว) นำมาแบ่งได้อีก 4 ชิ้นใส่บาตรในตอนเช้า ถ้าบาปต้องแก้อย่างไร

    ขอบคุณมากค่ะ

    คำตอบ
    เมื่อใดที่จิตยังระลึกได้ว่า ขนมเค้กที่ตัวเองกินเหลือไว้ แล้วนำไปใส่บาตร ถือการกระทำเช่นนั้นว่าเป็นเดนทานเมื่อใดระลึกถึงบาปก็จะเกิดขึ้น หากปรารถนามิให้บาปนั้นหวนกลับมาสู่จิตสำนึกได้อีก ต้องไปสารภาพผิดและขอขมากรรมต่อหน้าพระรัตนตรัยแล้วต้องไม่ประพฤติเช่นนั้น ให้เกิดขึ้นอีก พร้อมทั้งปฏิบัติทาน ศีล ภาวนาอยู่เสมอ แล้วโอกาสพ้นไปจากบาปที่เคยทำย่อมเกิดขึ้นได้
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    1.ดิฉันอยากทราบว่าการบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สิ่งที่เราปรารถนานั้น สำเร็จ มีอยู่จริงหรือไม่คะ เพราะตัวดิฉันเองก็เคยบนค่ะ แต่ไม่เคยสำเร็จ

    คำบนบานที่ดิฉันเคยขอไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งพระพุทธ หรือศาลพระภูมิ ที่ไม่สำเร็จดิฉันเลยไม่ได้นำสิ่งของมาแก้บน แต่รู้สึกไม่สบายใจเลย แต่ก็จำไม่ได้ด้วยว่าบนด้วยอะไร จึงอยากจะขอยกเลิกคำบนบานดังกล่าวต่อพระพุทธ และศาลพระภูมิ ควรจะทำอย่างไรคะ

    2. การนั่งวิปัสสนากรรมฐาน เวลาที่เรารู้สึกคัน เราก็ต้องคิดว่าคันหนอ คันหนอ จนกระทั่งความรู้สึกคัน นั้นหายไป แต่จะคิดอย่างไรให้การคันเกิดเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ อยากให้อาจารย์ช่วยอธิบายด้วยค่ะ และอยากให้ยกตัวอย่างการพิจารณาตามกฎไตรลักษณ์ใหด้วย เช่น การเดิน , การอดทนต่อความโกรธที่มีคนมาด่าว่า ตำหนิ , ความเจ็ดปวดทรมานจากบาดแผล ,

    ขอรบกวนอาจารย์ด้วยนะคะ เพราะดิฉันฝึกวิปัสสนาฯ จากการอ่านหนังสือค่ะ ไปวัดไม่ได้ เพราะต้องทำงานหนักทุก ๆ วัน ภาระเยอะเหลือเกิน


    คำตอบ
    (1) สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ผู้ใดพัฒนาใจตัวเองให้มีศีลและมีธรรมคุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่นผู้นั้น ศักดิ์สิทธิ์มีเทวดาคุ้มรักษาแล้ะถ้าจะให้ตัวเองมีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่ง ขึ้น ต้องพัฒนาใจให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลในพุทธศาสนา แล้วไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอกอื่นใดมาบันดาลให้ตัวเอง ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนา

    (2) ผู้ใดพัฒนาจิตได้เพียงสมาธิขั้นต้น (ขณิกสมาธิ) เมื่อเกิดอาการคัน ต้องกำหนดว่า “ คันหนอๆๆๆ ” จนกว่าอาการคันหายไป แต่หากผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงอุปจารสมาธิได้แล้วต้องใช้จิตตามดูอาการคันตาม กฎไตรลักษณ์ เมื่ออาการคันเข้าสู่ความเป็นอนัตตาคืออาการคันไม่มีตัวตนแท้จริง อาการคันจะหายไปแล้วปัญญาเห็นแจ้งในอาการคันก็จะเกิดขึ้น

    การเดินดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เช่นกัน เมื่อใดจิตเห็นการก้าวเดินของขาหยุดลง (อนัตตา) การเดินจะไม่มีแล้วปัญญาเห็นแจ้งในการเดินจะเกิดขึ้น ส่วนการอดทนต่อความโกรธ เกิดขึ้นได้กับผู้มีจิตตั้งมั่นเป็นขณิกสมาธิ ผู้ใดพัฒนาขันติให้มีอยู่กับใจจนมีมากเป็นขันติบารมีได้แล้วจึงจะสามารถอดทนต่อความโกรธได้แต่ผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง จิตเห็นความโกรธดับไป (อนัตตา) ตามกฎตของไตรลักษณ์ ความโกรธจึงไม่ใช่ตัวตน จิตปล่อยวางความโกรธ จิตเป็นอิสระต่อความโกรธ แล้วจิตว่างเข้าสู่อุเบกขารมณ์ ผู้มีปัญญาเห็นแจ้งเช่นนี้ จึงไม่จำเป็นต้องใช้ขันติบารมีมาต้านความโกรธอันเป็นบ่อเกิดของพฤติกรรมติดลบ ส่วนการเจ็บปวดทรมานเป็นทุกขเวทนาก็ดับไปตามกฎไตรลักษณ์เช่นกัน จิตปล่อยวางทุกขเวทนาเพราะไม่มีตัวตนและว่างเข้าสู่อุเบกขารมณ์ได้เช่นเดียวกัน
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    1) การที่จะบรรลุธรรมในระดับโสดาบันนั้น ศีล 5 ต้องบริสุทธิ์ไม่ด่างพร้อยเลยใช่หรือไม่คะ

    2) การที่เราใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนโดยซื้อเท่าที่จำเป็นและไม่ได้ยินดีในการซื้อ และมีความรู้สึกว่าศีลไม่บริสุทธิ์เสมอจากการที่ยังใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนอยู่ เทียบกับผู้อื่นที่ถือศีล 5 แต่ไม่ได้ซีเรียสเท่าโดยถือว่าซื้อเพราะความจำเป็น จากผู้ขายที่ไรท์แผ่นไว้ขายอยู่แล้วไม่ได้ลักขโมยจากผู้ขาย ดังนั้นศีลด่างพร้อยเล็กน้อยเท่านั้น ซื้อแล้วก็แล้วกัน ไม่คิดมาก ว่าศีลยังด่างพร้อยอยู่ ใครจะบาปกว่ากันคะ

    3) กรณีเครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัทลงซอฟต์แวร์เถื่อนให้พนักงานใช้ พนักงานด่างพร้อยในศีลข้อ 2 หรือไม่คะ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มากๆ ค่ะ ด้วยความนับถืออย่างสูง


    คำตอบ
    (1) ตอบว่าใช่ ศีลห้าด่างพร้อยหมายถึง ศีลที่มีกิเลสเจือปน ตัวอย่างเช่น พระภิกุที่ไปรับอาหารบิณฑบาตที่บ้านของนางสิริมาโสเภณีสาวงามแห่งแคว้นมคธ เมื่อภิกษุได้เห็นหน้าของสิริมาแล้วตกตะลึงมีจิตเป็นทาสของรูปที่เห็นจนไม่ เป็นอันปฏิบัติธรรม อย่างนี้ถือว่ามีศีลด่างพร้อยเพราะกิเลสเข้าครอบงำใจ แม้กาย วาจา จะมิได้ละเมิดศีลก็ตาม

    (2) ผู้ที่ไร้ท์แผ่นซีดีขายประพฤติทุศีลข้ออทินนาทานอันดับแรก ผู้ที่ไปซื้อแผ่นซีดีเถื่อนมาใช้ถือว่าได้ร่วมอกุศลกรรมทุศีล กับผู้ไรท์แผ่นซีดีมาขาย เมื่อใดที่อกุศลกรรมให้ผล ผู้ไรท์แผ่นซีดีได้รับผู้ของบาปมากกว่าผู้ไปซื้อแผ่นซีดีมาใช้

    (3) พนักงานผู้ใดใช้คอมพิวเตอร์ของบริษัทฯ ถือว่าได้ร่วมในอกุศลกรรมกับบริษัทฯจึงมีศีลด่างพร้อย แต่ด่างพร้อยน้อยกว่า
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    กระผมเป็นคนที่ติดสุรา และ บุหรี่ คือดื่มทุกวันสูบทุกวัน จะมาวันนึงกระผมคิดอยากจะเลิก(ด้วยสุขภาพแย่ลงทุกวัน) แต่พยายามยังไงก้อเลิกไม่ได้สักที ครั้งนึงก้อเลยไปจุดธูปสาบานว่า ข้าพเจ้าจะเลิกให้ได้ ถ้าเลิกไม่ได้ ขอให้ข้าพเจ้า มีชีวิตที่แย่ลง..... แล้วกระผมก้อเลิกไปได้ไม่กี่วันเอง ก้อกลับมาสูบมาดื่มใหม่อีก โดยไม่มีสติระลึกนึกถึง ตอนที่ผมได้จุดธูปสาบานไว้เลย ขอสารภาพตามตรงว่ากระผมได้สาบานไว้หลายครั้งอยู่ที่เดียว แต่พอมีปัญหาเข้ามากระทบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว เงินทอง หรือ อะไรก้อแล้วแต่ กระผมก้อ จะไม่มีสติ แวะไปดื่มสุราอีก เพราะคิดว่าเมาหลับพรุ่งนี้ตื่นมาก้อ เริ่มต้นใหม่ เป็นอย่างนี้เรื่อยๆมา จนมากระทั้งปัจจุบันนี้ ชีวิตกระผมเริ่มแย่ลงเรื่อยๆๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านฐานะทางด้านเงินทอง คนรอบข้างก้อไม่ค่อยจะยุ่งด้วยมากเท่าไหร่ แล้วอีกหลายๆ อย่าง ...... เดี่ยวนี้มีความเครียดมาก ไม่สามารถอดทนได้แม้กระทั่งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ( ที่เคยอดทนได้ ) มีอารมณ์ฉุนเฉียว

    เรียนถาม อาจารย์ครับว่า กระผมจะแก้ปัญหาชีวิตอย่างไรดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผมเคยจุดธูปสาบานเอาไว้ แล้วจะทำอย่างไรให้ชีวิตมาดีได้เหมือนเดิม

    ผมหมดปัญญาจริงๆ เลยครับอาจารย์ กระผมอยากจะขอคำแนะนำจากอาจารย์ เพราะว่าผมเชื่อเสมอว่า อาจารย์คือพูดที่รู้จริง .......

    กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับ

    คำตอบ
    จากเรื่องบอกเล่าไป ผู้ถามปัญหามีความประสงค์จะทำจิตให้เป็นอิสระจากเหล้า บุหรี่ และทำตามคำสาบานที่พูดไว้ไม่ได้ ผู้รู้ไม่เคยบอกให้ใครผู้ใดตามที่ตัวเองต้องการผู้รู้ทำได้เพียงแต่ชี้ทาง ส่วนปัญหาจะหมดไปได้ต้องแก้ด้วยตัวเองปัญหาดังกล่าวจะหมดไปได้ ต้องทำใจให้มีศีลห้าคุม แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมโดยมีความเพียรและสัจจะเป็นเครื่องสนับสนุน แล้วปัญหาที่บอกเล่าไปจึงจะหมดไปได้ ดังตัวอย่างที่จะเล่าให้ฟังว่า เมื่อปี พ.ศ. 2518 ได้มีนักศึกษาอาชีวะท่านหนึ่ง ได้ติดยาเสพติดที่เรียกว่าเฮโรอิน ได้ไปบวชเป็นภิกษุปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านเจ้าคุณโชดกปฏิบัติได้ไม่นานผล ปรากฏว่า ภิกษุองค์นั้นมีจิตเป็นอิสระจากยาเสพติดเฮโรอินได้ แล้วยังมีจิตบรรลุธรรมของพระพุทธะอีกด้วย..สาธุ
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    1. เมื่อเดือน มีนาคม 51 หนูไปปฏิบัติธรรมของยุวพุทธ ปทุมธานี คลอง 3 ภาวนายุบหนอ-พองหนอ อยู่ๆ คำบริกรรมหายไป ตัวหายไป ปรากฎดวงกลมสีขาวสว่าง เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 12 นิ้ ประมาณ2-3 วินาที เมื่อรู้ว่าคำบริกรรมหายและตัวหาย จึงได้บริกรรมยุบหนอ-พองหนอ และดวงกลมดังกล่าวก็หายไป

    ถาม อาการดังกล่าวเป็นเรื่องของสมาธิที่มากแต่สติตามไม่ทันใช่ไหมคะ หนูจึงไม่รู้ว่าคำบริกรรมหายไปตอนไหน และเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเห็นอะไร ตัวหายไป ก็กลับมาบริกรรมยุบหนอ-พองหนอต่อ ถูกต้องหรือไม่ หรือต้องบริกรรมเห็นหนอๆ จนกว่าดวงกลมสีขาวหายไป แล้วค่อยพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นลำดับต่อไปคะ การเห็นดวงกลมสีขาว กำลังอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิหรือเปล่าคะ

    2. ต่อมา 5 สิงหาคม 51 หนูได้พบหลวงตา วัดอโศการาม สมุทรปราการ หนูได้พูดคุยกับท่านเป็นเวลา 1 ชม. ท่านเมตตาเทศน์เกี่ยวกับเรื่องไม่ให้ยึดกับอดีต การวางใจกับปัจจุบัน การวางใจในการปฏิบัติงาน และความคิดไม่ดีที่อยู่ในใจ(ท่านเทศน์ตรงจุดจี้ใจดำ จนหนูสงสัยว่าเป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่าหลวงตาใช้วิธีแบบที่ท่านอาจารย์ใช้เวลาไปบรรยายธรรม) และได้ถามท่านเกี่ยวกับข้อ 1 ท่านว่า ดวงกลมก็เป็นการบริกรรม หากทำแล้วเกิดขึ้นอีก ท่านให้ถามว่า "ผู้รู้อยู่ไหน" หลังจากที่พูดคุยกับหลวงตาแล้ว หนูมีความสุข และมีอาการซู่ๆซ่าๆในตัว อารมณ์สงบ และทรงอารมณ์นั้นต่อมานานประมาณ 3 วัน

    ถาม ที่หลวงตาให้ถามว่า "ผู้รู้อยู่ไหน" หมายความว่าอย่างไรคะ เป็นวิธีการแตกต่างจากที่ท่านอาจารย์ให้ใช้การพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างไร และที่เกิดอาการซู่ๆ ซ่าๆ มีความสุข นั่นเป็นอาการของปิติใช่ไหมคะ เหตุใดอาการปิติทรงอยู่ได้นานถึง 3 วัน

    ด้วยความเคารพอย่างสูง

    คำตอบ
    (1) ตอบว่าใช่ คำบริกรรมหายไปขณะที่จิตขาดสติ จึงไม่สามารถระลึกในคำที่นำมาใช้บริกรรมได้ เมื่อตัวหายไปแล้วทำให้จิตกลับมาสู่การมีสติเหมือนเดิม จึงระลึกได้ในคำบริกรรม พองหนอ-ยุบหนอ ได้อีก นั่นเป็นอีกตัวบ่งชี้จิตยังมีกำลังสติไม่กล้าแข็งนัก ต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” ไปจนกว่าสิ่งที่ถูกเห็นหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม และหากจิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ได้เมื่อใดต้องใช้จิตพิจารณาดวงกลมสีขาวที่เกิดขึ้นว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เมื่อสิ่งที่ถูกเห็นผันเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ปัญญาเห็นแจ้งในการปรากฏของดวงกลมสีขาวก็จะเกิดขึ้น

    (2) “ ผู้รู้อยู่ไหน ” ตามที่หลวงตาถามนั้น มีจุดประสงค์ให้ใช้จิตตามดูสิ่งที่ปรากฎจนเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งที่ถูกเห็นก็จะเกิดขึ้น นั่นคือผู้รู้อยู่ไหน ก็อยู่ที่ปัญญาเห็นแจ้งนั่นเองและไม่ต่างจากที่ผู้ตอบปัญหาเคยชี้แนะไว้

    อนึ่งอาการซู่ซ่ามีความสุข คือปีติที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นวิปัสสนูปกิเลสที่คอยขัดขวางผู้ปฏิบัติมิให้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง ผู้รู้ฟังแล้วก็ให้สงสารผู้ถามปัญหา ที่รู้ไม่ทันกิเลสมาร จึงเอาจิตไปชื่นชมยินดีกับกิเลสตัวร้ายนานถึงสามวัน
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    1.จิตอิสระ มีความแตกต่างกับ จิตว่างอย่างไรคะ ผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง คืออะไร และเห็นเป็นอย่างไรจึงเรียกว่าเห็นแจ้ง

    2.ฌาน คือ อะไร

    3.อยากให้อาจารย์ช่วยเรียงลำดับขั้นในการฝึกปฏิบัติธรรม ตั้งแต่เริ่มขั้นแรก จนถึงขั้นสุดท้ายให้ด้วยค่ะ

    4.หลังจากหนูสวดมนต์สั้น ๆ เสร็จแล้ว แผ่เมตตา แล้วจะทำสมาธิ การทำสมาธิจะต้องบอกหรือกล่าวคำอะไรก่อนหรือไม่ และหลังจากออกสมาธิ ต้องแผ่ส่วนกุศลอีกครั้งไหมคะ เพราะตอนแรกเราแผ่เมตตาไปแล้ว ถ้าหากหนูเริ่มนั่งสมาธิด้วยการภาวนา พุธโธ ตลอดระยะเวลา 15 นาที แล้วก็พอ ถือว่าเป็นการทำสมาธิที่ถูกต้องไหม จะได้บุญไหมคะ

    5.พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประเทศไทยไหมคะ

    6.การที่พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน ท่านต้องการจากไปเอง หรือเป็นเพราะร่างกายถึงแก่เวลาอันควร จึงจากไป

    7.คำสวดมนต์ต่าง ๆ ใครเป็นผู้คิดค้น

    8. 2 - 3 เดือนก่อน หนูออกหัดค่ะ เกือบตายอยู่ 4 - 5 ครั้ง ในช่วงไม่ถึงเดือน เพราะหายใจไม่ได้ ตอนที่หายใจไม่ได้รู้สึกกลัว คิดแต่ว่าจะทำยังไงถึงจะสามารถหายใจให้ได้ ไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย เพราะมันตกใจมาก ๆ อยากทราบว่าถ้าเกิดในช่วงเวลานั้นหนูตายขึ้นมาจริง ๆ หนูจะตกนรกใช่ไหมคะอาจารย์ เพราะจิตไม่ได้คิดถึงสิ่งที่ดี ๆ

    9.คราวต่อไปถ้าหนูเกิดเฉียดตายขึ้นมาอีก หนูควรจะปฏิบัติตนอย่างไรดีคะ

    รบกวนด้วยค่ะ

    คำตอบ
    จิตอิสระ หมายถึงจิตที่เป็นอิสระจากสิ่งที่เข้ากระทบจิต จิตรู้ทันจึงไม่รับเอาสิ่งกระทบใดๆ เข้าปรุงอารมณ์และจิตอิสระสูงสุดก็คือ จิตที่ปราศจากกิเลสที่ผูกมัดใจ (สังโยชน์10) ให้ต้องเวียนตาย-เวียนเกิดในวัฏสงสาร

    จิตว่าง หมายถึงว่างจากการปรุงอารมณ์ เช่นการมีจิตตั้งมั่นแน่วแน่เป็นฌาน สิ่งกระทบภายนอกใดๆ ไม่สามารถทำให้จิตของผู้ทรงฌานเกิดอารมณ์ขึ้นได้ บุคคลประเภทนี้จึงถูกเรียกว่ามีจิตว่าง

    ปัญญาเห็นแจ้งคือเห็นสิ่งต่างๆ ถูกตรงตามที่เป็นจริงแท้ คือเห็นสรรพสิ่งเกิดขึ้น แล้วมีการดับไปเป็นธรรมดา หรือหมายถึงเห็นสรรพสิ่งไม่มีตัวตนแท้จริงเพราะมีการดับสลายในที่สุด หรือเห็นแจ้งว่าความไม่รู้จริง(อวิชชา) หมดไปจากใจได้เมื่อใด การเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสารจะไม่เกิดขึ้นได้อีกฯลฯ

    ฌานคือ สภาวะของจิตที่มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) หรือคือสภาวะของจิตที่มีความสงบประณีตนั่นเอง

    การปฏิบัติธรรมมีสองอย่างคือ การพัฒนาจิตให้สงบเป็นสมาธิ (สมถภาวนา) และพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาภาวนา) การสวดมนต์เป็นการฝึกจิตให้มีสติ การฝึกจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ต้องนำเอากรรมฐานที่เหมาะกับจริตอย่างใดอย่างหนึ่งในกรรมฐาน 40 มาเป็นองค์บริกรรมให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วต่อด้วยการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งด้วยการพิจารณาสติปัฏฐาน 4 (กาย เวทนา จิต ธรรม) ให้เห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ การพัฒนาปัญญาเห็นแจ้งในปัจจุบันนิยมไปปฏิบัติตามสำนักปฏิบัติธรรมที่เหมาะ สม

    บุญกุศลที่มีอยู่ในจิตของผู้ใดแล้ว สามารถอุทิศให้กับผู้อื่นได้ทุกเวลาตามจิตปรารถนา

    การทำสมาธิที่ถูกต้องปฏิบัติได้หลายวิธี แต่ทุกวิธีต้องเข้าถึงความมีจิตตั้งมั่นอยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบัน ถ้าไม่ได้ผลตามนี้เรียกว่าปฏิบัติไม่ถูกต้อง ผู้ใดมีจิตตั้งมั่นได้แล้วเรียกว่าเป็นผู้มีบุญได้

    ที่ถามว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประเทศไทยไหมคะตอบว่าไม่เคยเสด็จมาประเทศไทยเพราะสมัยนั้นยังไม่มีประเทศไทย

    คำว่านิพพาน ตามความรู้แจ้งของพระพุทธโคดม หมายถึงการดับรู้ดับนามจึงไม่มีรูปนามต้องเวียนตาย-เวียนเกิดในวัฏสงสารได้ อีกส่วนการตายนั้นดับได้แต่รูปเพียงอย่างเดียวไม่ถือว่านิพพาน

    คำสวดมนต์ต่าง ๆ คิดขึ้นโดย พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า เทวดา สงฆ์สาวก ฯลฯ

    เป็นไปได้หากจิตคิดชั่ว ตายแล้วมีโอกาสไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิ ส่วนจะถึงนรกหรือไม่ขึ้นอยู่ประเภทของความชั่วที่จิตระลึกได้ก่อนตาย หากประสงค์ไปเกิดในภพที่ดี ควรพัฒนาจิตให้มีสติอยู่เสมอ แล้วสุคติภพย่อมเป็นที่หวังได้
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ช่วงนี้พยายามทำดี ทำใจให้มีเมตตา พยายามถือศีล ให้ได้ 8 ข้อ แต่จะผิดข้อพูดทุกครั้ง ช่วงก่อนๆ อดทนทำกับครอบครัวดี วันนี้เกือบทำครอบครัวแตก ทะเลาะค่ะ กับพ่อแม่น้อง พ่อก็ให้อภัยมา ท่านบอกว่างี้ค่ะ ส่วนแม่ไม่คุยด้วยเลย ขอโทษทั้ง 3 คนแล้ว หนูจะทำยังไงให้เลิกทำบาปนี่ได้ซะทีค่ะ หนูบาปมากเลยใช่มั๊ยค่ะ

    กรุณาตอบด้วยค่ะ

    คำตอบ
    ต้องหมั่นให้อภัยบ่อยๆ ให้อภัยกับทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจใหม่ๆ ทำได้ยากไม่เป็นไร แต่เมื่อให้อภัยบ่อยๆ จนมีกำลังของเมตตาเพิ่มขึ้นโทสะก็จะลดลงไปได้เอง และหากเมื่อใดใจเมตตามีเต็มร้อย โทสะก็ไม่สามารถแสดงตัวให้ปรากฏได้อีกต่อไป ... พิสูจน์ดูสิแล้วจะประจักษ์แจ้งด้วยตัวเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...