ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    หนูขอรบกวนเวลาอาจารย์ ให้ช่วยเเนะนำวิธีที่จะ....

    เป็นไปได้ไหม ที่คนเราจะไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำ อะไรบ้างตลอดเวลา

    หมายถึงว่า รู้สึกว่า ไม่ค่อยรู้ตัวเลยว่า วันหนึ่งได้ทำงานอะไรไปบ้าง คือ ทำได้ นะคะ เเต่ทำเพราะว่า เคยชิน เช่น ขี่รถเครื่องออกไปข้างนอก ถามว่า รู้ไหมว่าไปไหน รู้นะ มีสติหรือเปล่า ไม่ทราบ ค่ะ เเต่ก็ไม่เคยโดนชน ขี่เร็ว ช้า บ้าง

    หนูได้อ่านหนังสือของอาจารย์ ซึ่งกล่าวว่า คนเรามีสติ 7 % ขาดสติ 93 % เเต่หนูว่า ตัวหนูน่าจะขาด 100 ค่ะ เพราะเวลาพูด / ฟังอะไร จะ มีคนบอกตลอดว่า หนูฟังไม่ได้ศัพท์ ฟังผิด ๆถูกๆ ทำอะไรก็เบลอ มั่ว ของง่ายๆ ก็ทำดูยากเเละสับสน เช่น วันเสาร์ที่ผ่านมา หนูไปองค์พระ -วัดพระปฐมเจดีย์ เพื่อทำบุญพิธีเทกระจาด กับเพื่อน อาจารย์คะ งานง่ายๆ เเค่ซื้อข้าวสาร 1 กระสอบใหญ่ เเล้ว บอกให้เเบ่งเป็น 10 ถุงเล็ก เเละเขียน ชื่อผู้บริจาค+อุทิศให้ใคร เเค่นี้ .... เเต่หนูคิด/ทำไม่ได้ ทำสับสน วุ่นวาย จนเพื่อน ตำหนิ +ไม่เข้าใจ + เซ็ง + งง +โมโห + ไม่เข้าใจ ว่า หนูทำไม ยูทำให้มันยุ่งยาก จัง

    อาจารย์คะ ตลอดชีวิต อายุ 30 ขอบ ก็ดำเนินมา มั่ว ๆ +มั่ว กว่า นี้ อย่างนี้ค่ะ อีกทั้งยังขี้ลืมเอามากๆ รู้สึกสมองไม่ค่อยจำอะไรเลย เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ นี้/ประมาณนี้ ที่เป็น มั่วของตัวเองก็ น้ำตาไหล เหมือนร้องไห้ เสียใจมาก / ขณะที่เขียนถึง อาจารย์ หนูน้ำตาไหลเป็นทางเเล้ว ค่ะ

    อาจารย์คะ ทำไม การใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มันยากจัง หลังจากที่เเม่เเละน้องสาวของหนูเกิดอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิตทั้งคู่ เเล้ว

    หนูเริ่มรู้สึก ว่า ชีวิตเดินมาทุกวันนี้ ไม่รู้เดินมาได้อย่างไร ไม่เคยคิดอะไรเลย ไม่มีอะไรในหัวเลย คิดอะไรไม่เป็นเลย
    เเฟนที่เคยคบอยู่ก็ รับไม่ได้ ว่า เฮ้อ เราจะดำเนินชีวิตคู่อย่างไรเนี่ย จะรอดเหรอ จะ ยังไงเนี่ย เราห่างกันดีไหม

    อาจารย์คะ หนูจะทำอย่างไรดีคะ กับชีวิตที่เหลืออยู่ค่ะ หนูคิดเสมอนะ ว่า ทำไมวันนั้นไม่เป็นหนูที่ไป เเทนที่จะเป็นน้องสาวที่พึ่งจะ 20 ขวบ

    ทุกคนเห็น / เจอ / รู้จัก หนู ต้องพูดว่า เธอไม่มีสติ ดูเหมือนสมองว่างเปล่า ไม่มีอะไรในหัวเลย

    อาจารย์คะ เเรกๆ หนูได้ยิน ก็เฉยๆ ยังไม่ได้รู้สึกอะไร เเป๊บเดียวก็ลืม เเต่พอเกิดเรื่องเเม่+น้อง มันไม่ใช่ เเล้ว หนูพึ่งเริ่มคิดได้ว่า ทำไม ฉันไม่เหมือนคนอื่นเหรอ ฉัน เป็นตัวประหลาด เหรอ

    หลังเกิดเรื่องเเม่ หนูก็เริ่มรู้สิก ว่า เราคิดต่างจากเมื่อก่อน พึ่งรู้ว่า พระคุณเเม่นี่ใหญ่หลวงมาก ๆ เเม่ทำให้เรา -ลูก ทุกอย่างจริงๆ ทำไมตอนเเม่อยู่ เราไม่เคยทำอะไรให้เเม่เลยได้มากที่เเม่ทำให้เลย

    อาจารย์ เป็นไปได้ไหมที่จะมีโอกาสที่จะได้คุยกับเเม่ สักครั้ง 1 หนูอยากจะขอโทษเเม่ในสิ่งที่หนูทำ/ประพฤติตัวไม่ดี ไม่เชื่อฟังเเม่ พูดไม่จริงกับเเม่ ดื้อ เถียง ..........

    อาจารย์คะ ตอนนี้หนูสวดมนต์ พยายามทั้งเช้า + เย็น ค่ะ + นั่งสมาธิ สัก 15-30 นาที อาจารย์ก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น ยังเหมือนเดิม หรือเเย่ลงอีก ตามเพื่อนบอก

    อาจารย์คะ หนูควรทำอย่างไรดีคะ หนูนึกเสมอว่า วันนี้ของปีหน้า ฉันคงไม่เป็นเเบบนี้นะ

    ขอโทษค่ะ ถ้าเรื่องของหนูทำให้อาจารย์เสียเวลาค่ะ


    คำตอบ
    ถามไปว่าทำอย่างไรดีกับชีวิตที่เหลืออยู่ตอบว่าทำอย่าง ที่เคยทำ คือตั้งใจสวดมนต์ทั้งเช้าและเย็น พยายามสวดให้ได้ทุกวันสวดด้วยใจจดจ่อ ต้องรู้ความหมายของบทที่สวด(หาหนังสือที่มีคำแปลมาอ่าน) สวดช้า ๆ ชัด ๆ ให้คำสวดมนต์ซึมเข้าไปถึงใจหลังสวดมนต์เสร็จ ต้องนั่งสมาธิ 15-30 นาทีทุกวัน และสุดท้ายหลังนั่งสมาธิแล้วเสร็จให้อุทิศบุญกุศลที่ตนมีให้กับแม่และน้อง สาวที่ตายไปทำให้ได้เช่นนี้ทุกวันโดยมีสัจจะคุมใจ แล้วการสวดมนต์และนั่งสมาธิจะศักดิ์สิทธิ์เกิดมรรคผลที่เป็นกุศลได้ง่าย

    ผู้ถามประสงค์จะได้พูดคุยกับแม่สักครั้ง มีโอกาสเป็นได้หากกำจัดความอยาก (ตัณหา) ให้หมดไปจากใจ แล้วพัฒนาจิตตนเองให้มีศีลห้าคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่นและพัฒนาจิตจนตั้งมั่น เป็นสมาธิในฌานนำจิตออกจากฌานแล้วอธิษฐานขอพบและได้พูดคุยกับแม่

    สุดท้าย เมื่อใดที่ผู้ถามปัญหาปฏิบัติได้ตามคำแนะนำจนเข้าถึงมรรคผลแห่งธรรมได้แล้ว สภาวะจิตในวันนี้ของปีหน้าไม่เหมือนกับวันที่เขียนปัญหาถามไป
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ดิฉันได้เรียน ศาสตร์การตั้งและเปลี่ยน ชื่อ-นามสกุล เนื่องจากหวังจะยึดเป็นสัมมาอาชีพในยามไม่มีงานทำ เนื่องจากลูกยังต้องเรียนอีกเกือบ 10 ปี บ้านก็ยังต้องผ่อนอีกเป็น 10 ปี แต่เคยฟังท่านอาจารย์สนอง บอกว่า การประกอบอาชีพเกี่ยวกับการเปลี่ยนวิบากของคนอื่นนั้นไม่สมควร ตายแล้วจะไปสู่อบาย ไม่ทราบว่าดิฉัน เข้าใจผิดหรือไม่ ตอนนี้เริ่มรู้สึกลังเลและหากดิฉันจะยึดอาชีพการตั้ง หรือ เปลี่ยน ชื่อ - นามสกุล จะเป็น เหตุปัจจัยในการสร้างเวรกรรมให้กับตัวดิฉันเองหรือไม่ แต่อาจารย์ผู้สอนบอกกับดิฉันว่า เป็นการสร้างบุญใหญ่ ที่ทำให้คนได้ออกจากวิบาก

    ดิฉันรบกวนขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ด้วยค่ะ ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
    ศาสตร์แห่งการตั้งชื่อถือว่าเป็นความเห็นถูกทางโลก พระพุทธะมิได้ห้ามฆราวาสมิให้ประพฤติ

    คำว่า “ วิบาก ” หมายถึงผลของกรรม ถ้ามีกุศลวิบากเกิดขึ้นนั่นแสดงว่า เป็นผลที่บุคคลได้ประกอบกุศลกรรม ตรงกันข้ามถ้ามีอกุศลวิบากเกิดขึ้น นั่นแสดงว่าเป็นผลที่บุคคลได้ประกอบอกุศลกรรม

    ฉะนั้น การเปลี่ยนชื่อให้ผู้อื่น มิได้เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับกุศลวิบากนั้น แต่หากผู้ถูกเปลี่ยนชื่อ เชื่อว่าเปลี่ยนชื่อแล้วเกิดผลดีกับชีวิต นั่นเป็นความเชื่อที่ไม่กอร์ปด้วยเหตุผล ผู้เสนอให้ผู้อื่นเปลี่ยนชื่อเป็นต้นเหตุแห่งการสร้างโมหะ (บาป) ให้กับผู้ที่เห็นคล้อยตาม ดังนั้นผู้ใดประสงค์จะนำพาชีวิตของตนเองให้ออกจากความหลง ต้องเลิกประกอบอาชีพในลักษณะเช่นนี้
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    หนูมีความสงสัยค่ะว่าในขณะนี้มีหนังสือที่ขายดีมากคือ"เดอะซีเคร็ต"ที่ พูดถึงเรื่องของพลังความคิดของมนุษย์ว่าสามารถ เหนี่ยวนำสิ่งที่เราต้องการได้เพราะความคิดมีพลังงาน ถ้าเราสามารถสร้างมโนภาพให้สิ่งที่เราต้องการฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกได้ เราจะได้ทุกสิ่งที่เราต้องการ ท่านอาจารย์ว่ามีจริงหรือไม่คะ


    คำตอบ
    เป็นจริงครับ ดังพุทธะวจนะที่ว่า “ มโนปุพฺพฺตมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา ” ซึ่งมีความหมายว่า จิตเป็นรากฐานของสิ่งทั้งหลายจิตประเสริฐกว่าสิ่งทั้งหลาย สิ่งทั้งหลายสำเร็จด้วยจิต นักปราชญ์ชาวจีนที่ชื่อว่า เมิ่งจือ ผู้อุบัติขึ้นหลังพุทธกาลได้กล่าวยืนยันว่า “ หากปรารถนาสิ่งไร ต้องได้สิ่งนั้น ” และเช่นเดียวกันในยุคปัจจุบัน ผู้ตอบปัญหาได้พิสูจน์แล้วว่าพุทธวจนะเป็นจริงได้กับผู้ที่มีศีล มีธรรมคุ้มครองใจอยู่เป็นปกติ
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    เนื่องจากดิฉันเองรู้ว่าเงินของญาติธรรมนั้น เพื่อการสร้างบ่อน้ำ แต่เมื่อไปถวายพระท่านมาบอกว่าจะต้องนำเงินไปเพื่อเป็นค่าขนส่ง ดิฉันเป็นกังวลว่าจะผิดความประสงค์ผู้บริจาค จึงได้เรียนให้พระนำเงินไปสร้างบ่อน้ำด้วย เพื่อต้องการให้เป็นไปตามประสงค์ อันที่จริงดิฉันไม่ต้องการรับทราบเรื่องที่พระนำไปใช้อย่างอื่นเลย แต่เมื่อรู้แล้วก็ไม่รู้จะคัดค้านอย่างไร จึงต้องพูดไปอย่างนั้น
    ถาม วิธีแก้ปัญหา ดิฉันควรจะนิ่งไม่ตอบรับหรือปฏิเสธใช่มั้ยคะ กรุณาแนะนำด้วยค่ะ

    2) ดิฉันไม่ต้องการได้รับบาปไปกับพระรูปนี้
    ถาม กรุณาแนะนำวิธีทำบุญเพื่อไม่ต้องรับกรรมอันนี้ได้มั้ยคะ หรือเราจะนำเงินส่วนตัวของเราจำนวนเท่ากับหรือมากกว่าเงินบริจาคตามข้อ 1 นำมาชดใช้เพื่อสร้างบ่อน้ำแทนนั้น จะได้ไม่ต้องมีกรรมติดตัวไปได้มั้ยคะ ขออาจารย์กรุณาแนะนำวิธีอธิษฐานด้วยค่ะ .

    3) ดิฉันไม่ต้องการทำบุญแล้วได้บาป ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ กล้าทำบุญ ขณะนี้มีภารกิจการเรี่ยไรเงินทำบุญ 2-3 รายการ ตั้งใจว่าออกพรรษานี้จะปิดรับบริจาคทุกรายการ และจัดส่งเงินถวายพระและโรงเรียน (พระรูปเดิม)
    ถาม หลังจากนี้ ดิฉันจะปฎิเสธการร่วมบุญกับพระรูปนี้ทุกอย่าง จะเป็นการบาปรึไม่คะ เพราะท่านจะติดต่อมาเสมอ (ดิฉันจะพิจารณาการทำบุญจากหนังสือวิธีสร้างบุญบารมี ของสมเด็จพระญาณสังวรค่ะ)

    4. ดิฉันเพิ่งเริ่มการวิปัสสนากรรมฐานเมื่อต้นปีนี้ ได้ปฎิบัติแล้วรู้สึกเหมือนมีชีวิตใหม่ และตั้งใจจะเจริญสติภาวนาให้ได้ขั้นสูงเท่าที่จะปฎิบัติได้
    ถาม อนิสงฆ์ผลบุญนี้ จะทำให้กรรมต่างๆหมดสิ้นไป หรือเบาบางได้หรือไม่ อาจารย์กรุณาแนะนำหนังสือที่ดิฉันควรอ่านด้วยค่ะ เกี่ยวกับเรื่องกรรมค่ะ

    กราบขอบพระคุณ ที่ท่านอาจารย์เมตตาตอบข้อสงสัย และขออำนาจสิ่งศักดิ์ปกปักรักษาอาจารย์และครอบครัวด้วยค่ะ...

    คำตอบ
    (1) ผู้ใดบริจาคทรัพย์เป็นทาน เพื่อจุดประสงค์ดีงามใดก็ตาม หากผู้บริจาคไม่เอาจิตไปตามดูตามรู้ในทรัพย์ที่บริจาคผู้นั้นได้บุญเต็มร้อย ฉะนั้นเมื่อนำเงินของญาติธรรมไปถวายพระแล้วพระนำไปใช้ในกิจการใดเป็นเรื่อง ของพระ ผู้ตอบรับไม่ควรคอยรับหรือปฏิเสธ เพราะมีโอกาสเป็นบาปเกิดขึ้นจากการทำบุญนั้น

    (2) บาปเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมถูกเก็บฝังอยู่ในใจของผู้ทำกรรม ถึงแม้จะนำเงินส่วนตัวไปถวายใหม่ก็เป็นส่วนของใหม่มิสามารถลบล้างบาปเก่าให้ หมดไปได้ บาปจะหมดไปได้ด้วยการชดใช้หนี้บาปมิใช่บาปหมดไปด้วยการอธิษฐาน ดูวิธีจัดการบริหารหนี้เวรกรรมให้เว็บไซด์ ข้อ 728

    (3) การทำบุญเพื่อให้ได้บุญเต็มร้อยต้องทำบุญด้วยมีปัญญาเห็นถูกตามธรรมเป็น เครื่องสนับสนุน ผู้ใดมีศรัทธาก่อนทำบุญทรัพย์ที่ใช้ทำบุญเป็นทรัพย์บริสุทธิ์ และสุดท้ายผู้รับทรัพย์ที่ถวาย (ปฏิคาหก) เป็นผู้บริสุทธิ์การทำบุญในลักษณะนี้ ผู้ถวายได้อานิสงส์มากได้อานิสงส์แห่งบุญที่บริสุทธิ์ ฉะนั้นต้องตัดสินใจด้วยตัวเองวา จะทำอย่างไรต่อไปกับการทำบุญในลักษณะที่บอกเล่าไป

    (4) กรรมทั้งที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรม มิเคยหมดสิ้นไปจากใจของผู้ใดได้ แต่ทำให้เบาบางลงได้ ด้วยการปฏิบัติธรรมฐานจนเข้าถึงธรรมที่นำสู่การเป็นอริยบุคคลนับแต่พระ โสดาบันไปจนถึงพระอรหันต์ แล้วดับรูปนามเข้าสู่ภาวะนิพพานกรรมในส่วนที่เหลือทั้งหมดจึงตามให้ผลไม่ได้ จัดเป็นอโหสิกรรมด้วยประการเช่นนี้ ดังนั้นการอ่านหนังสือ จึงมิใช่การบริหารจัดการกรรมที่ถูกต้องตามแนวของพระพุทธะ
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    หนูเคยสนใจเรื่องการนั่งสมาธิมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้วค่ะ แต่ขณะนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากการอ่านหนังสืออิงนิยาย เกี่ยวกับเรื่องการรู้เห็นอดีตชาติ เลยลองดูเพียงเพื่อความสนุก จนกระทั่งได้บังเอิญพบพระรูปหนึ่งซึงมีคนรู้จักนิมนต์มาที่บ้าน หนูเข้าไปกราบท่าน ท่านก็ทักว่า การนั่งสมาธิมิใช่เพื่อเหาะเหินเดินอากาศได้ ซึ่งเรื่องนี้หนูไม่เคยได้บอกใครให้ทราบเลย เมื่อฟังแล้วก็ตกใจจึงเลิกนั่งสมาธิไปเลย เมื่อจบการศึกษาหนูก็บังเอิญเข้าร่วมสังสรรค์กับเพื่อน มีการจับฉลากแลกของที่ระลึกกัน หนูได้หนังสือธรรมมะมาหนึ่งเล่ม คล้ายธรรมมะสำหรับเด็กมีการสอนให้รักษาศีล 5 แล้วให้จดเป็นรายงานว่าวันนี้เราประพฤติดีอย่างไร ผิดศีลอย่างไร หนูอ่านแล้วรู้สึกดี จึงทำตาม ซึ่งจากนั้นมาก็ได้หันมาสนใจธรรมมะมากขึ้น หลังจากที่ทำงานมาแล้วได้สร้างกิจการหนึ่งของตนเอง ซึ่งประสบผลไม่ดีเท่าที่ควรนัก เครียดและนอนไม่ค่อยหลับจึงกลับมานั่งสมาธิอย่างจริงจังอีกครั้ง หลังจากนั้นก็มีผู้เข้ามาแนะนำเป็นคนรู้จักกัน บอกให้นึกถึงองค์เทพท่านนั้น ท่านนี้

    การนั่งสมาธิก็หันไปสู่เพื่อการรู้เห็นอย่างที่ว่าอีกครั้ง ซึ่งก็มีนิมิตต่าง ๆ มาให้หนูสนใจโดยตลอด จนกระทั่งได้ไปทำบุญที่วัดหนึ่งพบพระ ได้สนทนากัน ท่านว่า อย่าไปรู้เห็นเรื่องพวกนั้น ซึ่งไม่ได้ประโยชน์ หนูก็เชื่อ หลังจากนั้นก็หันมาค้นคว้าการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ปัจจุบันได้ตามดูใจตนเองโดยตลอด รู้สึกว่าอยู่ที่ไหนก็สบาย ไม่ค่อยโกรธเลย นั่งสมาธิเป็นประจำค่ะ อาการง่วงไม่ค่อยมี ปกติขณะนี้หนูรักษาศีล ไม่นอนที่สูง ต้องการฝึกขันติในตนเองทำเช่นนี้มาเกือบปี ก็เป็นปกติดี มีวันหนึ่งหนูมาพิจารณาว่านั่งสมาธิแล้วปวดหลัง ซึ่งปกติแล้วตนเองจะเป็นคนเล่นโยคะบ่อย แต่ช่วงหลังก็ไม่ค่อยได้เล่น เพราะข้อจำกัดหลาย ๆ อย่างค่ะ เลยมองว่าการนอนพื้นอาจจะมีส่วนทำให้ปวด จึงลองมานอนบนเตียงอีก ตอนเช้าอากาศแจ่มใส รู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งมาก หนูขึ้นมานั่งพิจารณาอสุภะกรรมฐาน ซึ่งเพิ่งเริ่มทำ มีรูปสภาพศพประเภทต่าง ๆเก็บไว้ นั่งไปซักพักเกิดเมื่อยหลังจึงกลับไปนอนที่เตียง แต่ใจยังไม่ง่วงตั้งใจว่าหลับตาจะลองนอนพิจารณาซึ่งไม่เคยนอนกรรมฐานมาก่อน เมื่อหลับตาก็ปรากฎเป็นภาพซึ่งเห็นแต่ไกลทันที ในภาพเป็นคล้ายกลุ่มเมฆหมุน ๆตัวเราจะพุ่งไปตรงภาพที่เห็น หัวใจถูกบีบอย่างแรงเหมือนจะตาย หนูกลัวมากจึงรีบลืมตาขึ้น กลับมาพิจารณาซักพักแล้วหลับตาอีกครั้ง ทุกอย่างเป็นเหมือนสักครู่นี้ จึงรีบลืมตาใหม่ เช้าวันนั้นจึงเลิกภาวนาไปเลย

    เหตุการณ์นี้ผ่านมาไม่กี่วันค่ะ ตอนนี้เมื่อนั่งภาวนาไปใจยังนึกถึงเหตุการณ์นั้นอยู่ รู้สึกว่ากลัว เมื่อนั่งสมาธิใจมันสั่น ๆ อาจารย์คิดว่า
    1. หนูควรแก้ปัญหาอย่างไรเพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม เหตุการณืที่เกิดนั้นเกิดได้อย่างไรทั้งที่หนูไม่เคยจะน้อมจิตไปเพื่อการ อย่างที่ว่าเลยค่ะ
    2. หนูควรฝึกไม่นอนที่สูงเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะเหตุไรคะ
    3. ในการพิจารณาอสุภะกรรมฐานอย่างที่ทำอยู่ดีแล้วหรือไม่ อย่างไร ขอคำแนะนำเพื่อความก้าวหน้าด้วยค่ะ
    คุณแม่บังเอิญมาเห็นรูปศพที่หนูเก็บไว้ ท่านก็กลัวมาก อาจารย์มีคำแนะนำเพิ่มเติมอย่างไรบ้างคะ

    ขอกราบขอบพระคุณที่ท่านอาจารย์จะช่วยทำให้ความสว่างเกิดขึ้นในใจหนูเพิ่ม ขึ้นอีกล่วงหน้าค่ะ


    คำตอบ
    ก่อนตอบคำถามควรฟังคำบอกเล่าจากผู้รู้ว่าในพุทธศาสนา ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุที่ทำให้เกิด และผู้ใดทำเหตุได้แล้ว ย่อมมีผลเกิดตามมาแน่นอนนี่คือสัจธรรมในพุทธศาสนา การที่พระสงฆ์ทั้งสองรูปท้วงติง ท่านท้วงติงด้วยการใช้ปัญญาเห็นถูกตามธรรมของพระพุทธะ ผู้ใดหวังความก้าวหน้าในจิตวิญญาณ ต้องเชื่อแล้วทำให้ได้ตามคำบอกเล่าที่ท่านแนะนำ แล้วการเข้าถึงธรรมในพุทธศาสนาจึงจะเกิดขึ้นได้

    (1) หากหวังความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ต้องมีศีลคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วฝากตัวเป็นศิษย์กับกัลยาณมิตรผู้รู้ผู้มีประสบการณ์ในทางธรรม เมื่อใดผู้ปฏิบัติธรรมเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ความกลัวใด ๆ จะหมดไปสิ้นเชิง ผู้ถามปัญหาไม่เคยคิดจะปฏิบัติธรรมแต่ต้องทำเพราะบุญบารมีเก่าที่ทำไว้แต่ อดีตชาติส่งผล

    (2) การปฏิบัติธรรมสามารถทำได้ในทุกอิริยาบถ เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม พูด ฟัง ฯลฯ ให้เลือกอิริยาบถที่เหมาะสมกับสรีระของผู้ปฏิบัติแล้วมรรคผลจึงจะก้าวหน้า

    (3) ผู้มากด้วยราคะจริต เหมาะที่จะพิจารณาอสุภะกรรมฐาน พระสุนทรีนันทาและพระนางเขมา มเหสีรองของพระเจ้าพิมพิสาร สำเร็จอรหัตตผลรวดเร็ว ด้วยการพิจารณาซากศพด้วยปัญญาอันแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ด้วยเหตุนี้ผู้ตอบปัญหาจึงแนะนำให้ผู้ถามปัญหา ทำตามตัวอย่างที่ยกมาเล่าให้ฟังด้วยการเก็บรูปศพและหมั่นดูบ่อย ๆ และหากมีโอกาสไปดูของจริงได้การบรรลุธรรมจะเกิดขึ้นเร็ว

    คำว่าบังเอิญไม่มีในพุทธศาสนาด้วยเหตุนี้จึงเป็นบาปกรรมของคุณแม่เองที่เอาใจไปอยากรู้อยากเห็นในเรื่องของลูกสาว จึงช่วยไม่ได้เพราะสัตว์โลกเป็นไปตามกรรมที่ส่งผลผลักดันให้คุณแม่ได้รับอกุศลวิบากนั้น
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    สืบเนื่องจากคำถามเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ถ้าเราตั้งใจว่าจะลงทุนไว้เพื่อไว้ให้ลูกหรือใช้ในบั้นปลายชีวิต ก็ถือว่าผิดในทางธรรมใช่ไหมคะ ดังนั้นเราควรเปลี่ยนไปลงทุนในตราสารหนี้ หรือพันธบัตรรัฐบาล จะผิดในทางธรรมหรือเปล่าคะ


    คำตอบ
    ผิดในทางธรรมหรือไม่ผิดในทางธรรมขึ้นอยู่กับใจของผู้ลงทุน

    ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสทำให้ใจขุ่นมัวด้วยบาป (กิเลส) มากกว่า การลงทุนในตราสารหนี้ หรือพันธบัตรรัฐบาล

    ในครั้งพุทธกาลยโสธนาพิมพาบอกให้ลูกราหุลไปขอมรดกที่ เป็นจักรพรรดิสมบัติจากพ่อ เพื่อจุดประสงค์จะได้เป็นกษัตริย์ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แต่พระพุทธะมอบมรดกสุดยอดคือนิพพานสมบัติให้กับราหุลจนสามารถบรรลุอรหัตตผล แล้วขึ้นไปดับรูป ดับนาม (นิพพาน) อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ด้วยเหตุนี้ผู้รู้จึงให้ปัญญาเป็นมรดกเป็นทายาทซึ่ง ดีกว่าทรัพย์มรดกที่เป็นสมบัติกำพร้าในวันข้างหน้า เมื่อทายาทจำเป็นต้องทิ้งขันธ์ลาโลก แล้วทิ้งทรัพย์กำพร้าเจ้าของไว้เบื้องหลัง
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    อธิฐานให้เลือกทางเดินชีวิตได้ไหมค่ะ

    หนูเรียนจบกฎหมายมาผ่านทั้งเนติและก็ปริญญาโทแล้ว ด้วยคะแนนที่ดีทั้งคู่ค่ะ จนทางบ้านคิดว่าถ้าสอบ ผู้พิพากษาหรืออัยการต้องได้แน่ๆ แต่พอถึงเวลาต้องสอบเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการแล้วหนูกลับไม่มีความมุ่งมั่น เลย รู้ว่าทางบ้านคิดว่ามันเป็นอาชีพที่มั่นคง มีเกรียติ แต่ตัวหนูเองกลับเฉยๆ แต่หนูก็สมัครสอบนะคะ แต่ไปสอบบ้างไม่ไปบ้าง โดยปิดทางบ้านค่ะ (แต่หนูรู้สึกเครียดมากเวลาปิดทางบ้าน) โดยพอสอบผ่านไปครั้งหนึ่งหนูก็คิดว่าจะทำเต็มที่ในครั้งต่อไป แต่พอเอาเข้าจริงก็เหมือนเดิมอีก ซึ่งทางบ้านก็ให้โอกาสเรื่อยมา จนนี่เป็นปีที่6แล้วคะ หนูก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าอะไรที่เหมาะกับตัวเอง หนูมีความทุกข์มากไม่รู้ว่าจะเลือกทางเดินชีวิตอย่างไร อะไรที่ใช่สำหรับตัวเอง จะศาล อัยการหรืออาจารย์ รู้สึกว่าตัวเองช้ากว่าเพื่อนคนอื่นมาก

    หนูจมอยู่กับตรงนานแล้วนะคะ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่อยากให้แม่เสียใจด้วย หนูอยากจะทราบว่า เราจะตั้งจิตอธิฐานให้เราพบทางเดินชีวิตที่ดีที่เหมาะกับเราจะได้ไหมคะ และถ้าได้ควรทำอย่างไร แล้วจริงไหมค่ะว่าอาชีพผู้พิพากษา อัยการ ทนายตกนรกมาก ที่ตกนรกนี้เป็นเพราะทุจริตหรือแรงพยาบาทหรือเพราะอะไรกันแน่ แล้วถ้าเราตัดสินตามพยานหลักฐานสมมุตว่าถูกตัวคนร้ายแล้วเราก็บาปด้วยหรือ ค่ะ


    คำตอบ
    คำว่า “ มโนมยา ” หมายถึง สำเร็จด้วยใจฉะนั้น ปรารถนาสำเร็จสิ่งใดในทางที่เป็นกุศล ขึ้นอยู่กับการทำเหตุให้ถูกตรงสามอย่างคือ สร้างมหาทาน อธิษฐาน และทำเหตุให้ถูกตรง

    การประกอบอาชีพที่ทำให้มีโอกาสตกนรกดังที่ถามไป จะเป็นจริงได้ต่อเมื่อ ผู้ทำสร้างหลักฐาน (ตำรวจ) ไม่ถูกตรงเป็นเท็จผู้ส่งฟ้องศาล (อัยการ) ส่งฟ้องเรื่องที่ไม่ถูกตรงเป็นเท็จ ผู้แก้ต่างคดี (ทนายความ) แก้ต่างในสิ่งที่ไม่ถูกตรงเป็นเท็จ และผู้ตัดสินคดี (ผู้พิพากษา) ตัดสินคดีที่ไม่ถูกตรงเป็นเท็จ อาชีพทั้งสี่ที่ผู้สร้างเหตุที่ไม่ถูกตรงเป็นเท็จ และผู้ร่วมกระบวนกรรมที่ไม่ถูกตรงเป็นเท็จ จึงต้องร่วมรับอานิสงส์บาปคือสร้างเหตุไปเกิดในภพนรกนั้นเป็นจริง และมีสัตว์นรกประเภทนี้อยู่มากจริงตามที่ผู้มีอาชีพเกี่ยวข้องเคยตายไปเห็น ผลงานของตนในภพนรกมาแล้ว แล้วฟื้นตื่นขึ้นมาเล่าให้ผู้อื่นฟัง พร้อมกับเลิกอาชีพของตนเองได้ก่อนตายจริง นอกจากนี้แรงพยาบาทจากผู้ถูกตัดสินให้ต้องรับโทษมีส่วนร่วมให้ผลเป็นบาปด้วย
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ได้ฟัง ถึงโสดาบันในชาตินี้ ที่อาจาร์ยบรรยาย ผ่านทาง web site อยากสอบถามอาจารย์ค่ะ ว่า
    เวลาที่พระโสดาบันมีความจำเป็นที่จะต้องละเมิดในศีล เช่น โกหก เพราะไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อนใจ หรือว่าเผลอไปพูดเพ้อเจ้อ จิตของท่านหลังทำผิดจะเป็นอย่างไรบ้าง และกรรมวิบากจะตามมาให้ผลรุนแรง ใช่ไหมค่ะ

    ขออนุโมทนากับอาจาร์ยที่มีส่วนร่วมในการสืบทอดพระพุทธศาสนาค่ะ

    คำตอบ
    ผู้พัฒนาจิตจนเข้าถึงความเป็นโสดาปัตติผล (โสดาบัน) เป็นผู้มีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย จึงไม่ประพฤติละเมิดศีลแต่ผู้ที่ยังดำเนินอยู่ในเส้นทางแห่งโสดาปัตติมรรค ยังมีโอกาสเผลอกระทำทุศีลดังที่บอกมาแล้วได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะถูกแก้ไขได้ ด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะระดับโลกุตตระให้มีกำลังกล้าแข็ง จนสามารถนำจิตข้ามพ้นการละเมิดศีลดังที่ถามไปได้
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. วันนี้ มีข่าวเรื่องเด็กม.6เล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่เกมให้คนเล่นเป็นโจร ยิ่งทำไม่ดีเท่าไรก็จะยิ่งได้คะแนนมากขึ้น แล้วเด็กคนนั้นได้เอาไปใช้ในชีวิตจริงโดยไปฆ่าคนขับรถแท็กซี่จนตาย คำถาม มันเป็นเรื่องเวรกรรมเก่าของเค้าทั้งสองคนเหรอค่ะ เป็นไปได้ไม๊ว่าเป็นการก่อกรรมใหม่ของเด็กคนนั้น คือหนูได้ฟังและอ่านผลงานของท่านมาหลายอันทำให้หนูเข้าใจว่าทุกอย่างไม่มี อะไรบังเอิญ มีเหตุที่มาทั้งนั้น แต่ถ้าหนูดูเหตุการณ์นี้แล้วอยากถามว่าเป็นไปได้ไม๊ว่าสองคนนี้ไม่มีเวรกรรม กันมาก่อน แต่เป็นกรรมใหม่ที่เด็กคนนี้ก่อมาใหม่ แล้วมีตัวอย่างไหนที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากกรรมใหม่ขอช่วยอธิบายค่ะ แล้วตัวอย่างการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ มันเข้าเงื่อนไขว่าเป็นกรรมเก่าต้องชดใช้ทุกกรณีหรือเปล่าค่ะ

    2. ถามเรื่องขั้นตอนที่ทำให้เกิดกรรม ในกรณีที่เราได้ทำให้เค้าเกิดความไม่พอใจโดยที่เหตุการณ์นั้นเราไม่ผิดแต่ มันก็ทำให้เค้าไม่พอใจ การเกิดกรรมมันเกิดขึ้นตอนที่ทำให้เค้าไม่พอใจโดยที่ไม่ได้ดูผิดถูกหรือ เปล่า ตัวอย่างเช่นการขับรถชนรถบนถนน ฝ่ายหนึ่งขับถูกตามกฏแล้วขับอย่างสุภาพแต่มีรถอีกคันขับซิ่งแล้วผิดกฏแล้ว ขับมาชนรถที่ขับดี จึงมีปากเสียงกันเพราะคนที่ขับถูกเค้าคิดว่าเค้าขับดีแต่โดนชน ส่วนอีกคันที่ขับไม่ดีไม่ยอมรับแล้วมีปากเสียงกัน ถามว่าขั้นตอนการเกิดกรรมเกิดตอนไหน เกิดตอนที่ทำให้เค้าไม่พอใจรึเปล่า ใครเป็นคนได้รับกรรมไม่ดี การเกิดกรรมต้องดูเรื่องเหตุผลว่าใครผิดถูกหรือเปล่า ถ้ากรรมเกิดตอนที่ทำให้เค้าไม่พอใจแบบนี้เราก็ดำเนินชีวิตได้ยากซิค่ะ เพราะถ้าเราไปเจอคนไม่ดีแล้วไม่อยากให้เกิดกรรมเราก็ต้องยอมลูกเดียว แล้วรอดูผลเสียที่จะเกิดขึ้นเท่านั้นเหรอค่ะ
    ขอให้ท่านช่วยอธิบายเพราะจะมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากค่ะ เพราะไม่อยากก่อกรรม แต่การยอมมันอยู่บนเหตุผลความผิดถูก ถ้าไม่ผิดให้ยอมรับให้เค้ากระทำมันทำใจยากค่ะ


    คำตอบ
    (1) หากผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตจนเข้าถึงความตั้งมั่นในระดับที่เป็นฌานได้ เมื่อนำจิตออกจากฌานแล้วจะรู้ว่าภพชาติที่สัตว์บุคคลถือกำเนิดมามีอนันต์ ซึ่งแต่ละชาติมีทั้งการประพฤติที่เป็นกุศลและอกุศล แล้วเก็บสั่งสมผลกรรมไว้ในดวงจิตมีอนันต์เช่นกัน และหากผู้ถามปัญหาได้พัฒนาจิตของตนจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว จะรู้ว่ากฎแห่งกรรมมีจริง จึงไม่มีคำว่าบังเอิญหรือความน่าจะเป็นเกิดขึ้นผู้รู้จริงในพุทธศาสนา ดังนั้นเรื่องของบุคคลทั้งสองจึงมีสาเหตุมาจากได้เคยก่อนกรรมกันมาก่อน จึงไม่มีกรรมใหม่ใด ๆ ถูกก่อขึ้นเช่นการเกิดอุบัติเหตุ การเกิดอุบัติภัยที่เกิดจากธรรมชาติ ล้วนมีเหตุที่มาจากการกระทำกรรมเบียดเบียนกันมาก่อนทั้งสิ้น

    (2) แม้ระบบประสาทจะสัมผัสได้ว่าผู้ถามปัญหามิได้กระทำผิดแต่ทำให้ผู้อื่นไม่พอ ใจ หากใช้จิตสัมผัสที่เกิดจากโลกิยอภิญญา ก็จะทราบได้ว่าแรงของอกุศลกรรมที่เคยก่อไว้แต่อดีตมีเหตุปัจจัยลงตัวเมื่อใด ย่อมให้ผลเป็นอุบัติเหตุ ดังนั้นขั้นตอนการเกิดกรรมที่ถามมาจึงเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัยลงตัวคือ คู่กรรมได้โคจรมาพบกันและแรงกรรมให้ผล

    ด้วยเหตุนี้ พระพุทธะจึงได้แนะนำว่า เมื่ออกุศลกรรมตามให้ผลแล้วต้องยอมรับความจริง แล้วชดใช้หนี้กรรมเก่าให้หมดไป และไม่สร้างหนี้กรรมใหม่ให้เกิดขึ้น เรื่องในทำนองเดียวกันนี้ ผู้ตอบปัญหาได้พิสูจน์แล้วและยอมรับโดยดุษณีว่าพุทธวจนะดังกล่าวเป็นความ จริง หากผู้ถามปัญหาพัฒนาปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้น ใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับอัตตาของตัวเองให้ได้ แล้วจะพบว่าในชีวิตประจำวันยังมีเรื่องดีๆ ที่เป็นบุญเป็นบารมีให้ทำอยู่อีกมาก แล้วจะยอมรับความจริงตามพุทธวจนะได้จะไม่เอาเวลาไปใช้ในการโต้แย้งโต้เถียง ให้เปล่าประโยชน์แต่จะเอาเวลามาพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองให้มีบุญบารมีสั่งสม เพื่อนำพาชีวิตเดินทางสู่ความราบรื่นในปรโลก ผู้รู้จริงในพุทธศาสนานิยมประพฤติเช่นนี้
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1.การทำอาณาปาณสติ และสติปัฏฐาน4 เป็นทางสายเอกทั้งคู่ใช่มั้ยคะ ที่จะไปนิพพาน
    2.สำหรับคนที่ทำอาชีพมัคคุเทศก์ เป็นอาชีพที่ดีหรือไม่ในทางธรรม

    ขออนุโมทนาบุญ

    คำตอบ
    (1) การเจริญอานาปานสติ เป็นอุบายที่ใช้พัฒนาจิตให้สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ หากพัฒนาได้สูงสุดแล้วมีฌานเป็นเป้าหมายวิธีนี้มิได้ทำให้จิตบรรลุพระนิพพาน ส่วนการเจริญสติปัฏฐาน 4 บันเป็นปฏิปทาสู่ทางสายเอกที่มุ่งตรงต่อพระนิพพานอย่างแท้จริง

    (2) อาชีพมัคคุเทศน์ เป็นอาชีพที่เกี่ยวกับนำผู้อื่นท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ และจะถือเป็นอาชีพที่ดีในทางธรรมได้ ต้องไม่นำผู้อื่นไปเล่นการพนัน ตกปลา ดื่มของเมา เที่ยวโสเภณี หรือทำปรามาสรูปเคารพในศาสนาฯลฯ
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ผมได้แจ้งความประสงค์กับเจ้าอาวาทในการสร้างพระพุทธรูป เพื่อประดิษฐานในซุ้ม ซึ่งอยู่เหนือทางเดินเข้าพระอุโบสถ แต่ปรากฏว่า ได้มีผู้มีจิตศรัทธาบางท่านได้ มาพบว่าในซุ้มนี้ยังไม่มี พระพุทธรูป จึงได้ถวายพระพุทธรูปใว้ที่วัดโดยท่านเจ้าอาวาท ไม่อยู่วัดพอดีจึงไม่มีผู้บอกกล่าว และผู้ถวายก็ไม่ทราบด้วยว่า ผมได้แจ้งความประสงค์ใว้แล้ว

    กรณีนี้ ควรแก้ปัญหาอย่างไรจึงจะได้บุญและไม่บาป ผมไม่ต้องให้การทำบุญ เป็นเรื่องขอความไม่สบายใจและแข่งขัน

    ขั้นแรกได้ปรึกษากับท่านเจ้าอาวาทเพื่อว่าจะได้บอก กับผู้มีจิตศรัทธาท่านนั้นว่า ผมเป็นผู้แจ้งความประสงค์สร้างพระพุทธรูปใว้แล้ว แต่ยังไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อไปถึงจะช่วยให้ ศรัทธาของผู้มีจิตศรัทธาถวายพระพุทธรูปไม่หม่นหมองลงไป หรือมีทางออก ที่ดีกว่า ขอคำแนะนำในการปฏิบัติครับ

    กราบขอบพระคุณ

    คำตอบ
    เรื่องนี้ต้องปรึกษาเจ้าอาวาสวัด แล้วนำความจริงไปบอกกล่าวกับผู้ที่นำพระพุทธรูปมาถวายว่า ที่ซุ้มประตูนั้นได้มีผู้แสดงความจำนงสร้างพระพุทธรูปไว้ก่อนแล้วและเจ้า อาวาสได้รับปากไว้ก่อนแล้วว่าเห็นควรให้สร้างได้ ส่วนผู้นำพระพุทธรูปมาถวายภายหลังจะตัดสินใจประการใดเป็นเรื่องระหว่างผู้ ถวายพระพุทธรูปกับเจ้าอาวาสต้องปรึกษากัน
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. ที่เขาว่าหากบวชก่อนแต่งงาน พ่อแม่จะได้บุญ แต่บวชหลังแต่ง พ่อแม่ และภรรยา และลูก จะได้บุญด้วย ถูกหรือไม่คะ
    2. การที่สามีจะบวชตลอดชีวิต ก่อนบวชต้องขออนุญาต ภรรยาก่อน จริงหรือไม่คะ
    3. การที่เขาไปบวชตลอดชีวิต นั้นหมายว่า ทิ้ง/หนี ความรับผิดชอบครอบครัว ภรรยา ลูก หรือ คะ
    การกระทำดังกล่าวก็น่าว่าจะเป็นกรรมใหม่ ที่เขาสร้างให้ ภรรยาและลูก หรือเปล่าคะ นอกเสียจากภรรยาและลูกยินยอม และอนุโมทนา ด้วยจึงจะไม่เป็นการสร้างกรรมใหม่ ใช่ไหมคะ

    คำตอบ
    (1) ถูกตามที่เขาว่า แต่ผู้เป็นพ่อ แม่ ภรรยา และลูก ต้องอนุโมทนาในการบวชนั้นด้วยจึงจะได้บุญ

    (2) จริง ต่อเมื่อภรรยาต้องอนุญาตให้บวชได้ ไม่จริงหากขออนุญาตแล้วภรรยาไม่อนุญาตก็บวชไม่ได้ ตามวินัยสงฆ์ที่พระพุทธะบัญญัติไว้

    (3) ตอบว่าใช่ ถือว่าละทิ้งความรับผิดชอบต่อครอบครัวแต่หากทุกคนในครอบครัวอนุญาต แล้วอนุโมทนาด้วย จึงจะไม่เป็นการสร้างอกุศลกรรมให้เกิดขึ้น
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    เนื่องจากในการปล่อยสัตว์ เช่น ปลา หอยขม นก หรือ อื่น ๆ ตอนปล่อยเราตั้งใจปล่อย แล้วก็อธิษฐาน ตามปกติ อยากทราบว่าถ้าเราปล่อย สัตว์ชนิดนั้นไปแล้ว แล้วถ้าเราไปกินสัตว์ชนิดนั้นอีกอาจจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามจะเป็นบาป หรือเปล่าค่ะ คือว่าสงสัยมานานแล้วแต่ว่ายังหาคำตอบไม่ได้ค่ะ รบกวนท่านอาจารย์ได้โปรดได้ให้ความกระจ่างด้วยนะค่ะ

    ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพที่แข็งแรง เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ยังไม่รู้ ไปนาน ๆ น่ะค่ะ


    คำตอบ
    ปล่อยสัตว์เช่น ปลา หอยขม นก ตัวใดให้เป็นอิสระแล้ว อธิษฐานไม่กินสัตว์ตัวนั้นอีก ถ้าไปกินสัตว์ตัวที่ปล่อยไปถือว่าผิดคำอธิษฐานเป็นบาปที่เกิดจากการถูกจอง เวรด้วยสัตว์ที่ถูกกิน

    หากปล่อยปลา หอยขม นก แล้วอธิษฐานไม่กินสัตว์ชนิดที่ปล่อยนั้นอีก หากไปกินภายหลัง เป็นบาปที่ผิดคำอธิษฐาน
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    รู้สึกดีใจและปลื้มปิติเป็นอย่างมาก จนน้ำตาแทบจะไหลหลั่งออกมา ข้าพเจ้าเพิ่งจะเข้ามาทำความรู้จักกับท่านอาจารย์เมื่อวานนี้ ศึกษาหัวข้อจาก "หมวดสนทนาธรรม" เป็นความจริง ทุกคำตอบ ใคร่เรียนปรึกษา ดังนี้ค่ะ :

    ทุกข์ของมนุษย์ เกิดจากการปรุงแต่ง แท้จริงแล้วมันก็เป็นธรรมชาติ เพียงแค่ทำจิตอิสระ และพิจารณาไตรลักษณ์ "ทุกขณะจิต มันก็เป็นของมันเช่นนั้นแล" จะว่ายาก มันก็ยาก จะว่าง่าย มันก็ง่าย พิจารณาตามรู้ดูจิต จนจิตถึงพุทธะ ในระหว่างวัน จนจิตดับ กายดับ สาธุ สาธุ สาธุ อธิษฐานจิต ขอให้มีดวงตาเห็นธรรม สำเร็จมรรคผลนิพพานในปัจจุบันชาตินี้ด้วยเทอญ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้เป็น "ไตรลักษณ์" จริงๆคะ ดั่งสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ตรัสรู้ไว้ "อริยสัจ 4"

    ในฐานะที่เป็นมนุษย์ตนหนึ่ง ข้อปฏิบัติ คือ ศีล 5,มรรค 8, บุญกิริยาวัตถุ 10 ให้ถึงพร้อม ตามรู้ ดูจิต ให้ จิต สะอาด สว่าง สงบ จนอิสระ สาธุ สาธุ

    ข้าพเจ้า มักชอบพิจารณาข้อธรรม จากครูบาอาจารย์ และนำมาพิจารณาเป็นสติ มหาสติ เพื่อให้เกิดปัญญา และมีสติอยู่กับปัจจุบันทุกขณะจิต ไม่ส่งจิตออกนอก หากรู้ก็ดึงกลับ ให้มีสติอยู่ อย่าให้จิตส่ายไปตามอารมณ์ที่มากระทบ ทางอายตนะ

    ข้าพเจ้าใคร่ขอคำแนะนำ จากสิ่งที่ชี้แจงดังกล่าวแล้วนั้น ข้าพเจ้าพึงปฏิบัติจิตเช่นใด เพื่อการพัฒนาทางปัญญา

    กราบขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยเป็นอย่างสูง

    คำตอบ
    นำจิตที่เห็นถูกตรงตามที่บอกเล่า เอามาดูกิเลสที่ผูกมัดใจให้ต้องเวียนตาย-เวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสาร (สังโยชน์ 10) ว่ายังมีกิเลสตัวใดหลงเหลือหรือมีอำนาจคุมใจ ต้องใช้ปัญญาเห็นถูกตรงกำจัดให้หมดไปจากใจ นั่นคืองานที่ผู้ปรารถนาอิสรภาพของใจต้องทำเพื่อนำจิตเข้าถึงธรรมสูงสุดของ พระศาสนา คือพระนิพพานนั่นเองเป็นเบื้องสุด
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. ถ้าหากว่าหนู สวดมนต์ นั่งสมาธิ อธิฐานขอพรทุกวัน จะทำให้สิ่งที่ต้องการเกิดผลหรือไม่คะ (ขอในทางที่ดี)
    2. ในหนังสือคือต้องนึกภาพ จินตนาการให้ภาพชัดเจนอยู่ในจิตใต้สำนึก ยอมรับว่าทำยากคะเพราะเรานึกไม่ออกจริง ๆ แต่ก็นึกเท่าที่ทำได้ โดยไม่สนใจเลยว่า จะถูกต้องหรือไม่ อย่างนี้ใช้ได้ไหมคะ
    3. ในระหว่างที่ตั้งใจนึกภาพ รู้สึกว่าจะมีความคิดที่เป็นลบแทรกเข้ามา ทำให้จินตภาพของเราไม่ต่อเนื่อง (อีกอย่างคือกลัวความคิดของตัวเองด้วยค่ะ บางอย่างก็ไม่ดีมาก ๆ แต่เราไม่ตั้งใจ มันคิดของมันเอง)จะทำอย่างไรดีคะ (กลัวว่าที่เราไม่ต้องการมันจะเกิดขึ้นแทน)


    คำตอบ
    (1) นอกจากอธิษฐานแล้วยังต้องทำเหตุให้ถูกตรงด้วย

    (2) จะให้เทพปรากฏชัดเจน อยู่ในจิตสำนึกได้ต้องพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ให้ได้ก่อน ด้วยการปฏิบัติสมถภาวนา

    (3) หากสติยังมีกำลังไม่กล้าแข็ง เมื่อความคิดติดลบเกิดขึ้นต้องกำหนดว่า “ คิดหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าความคิดที่ติดลบจะหายไป แต่หากพัฒนาวิปัสสนากรรมฐานจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้วให้ใช้ปัญญาเห็นแจ้ง พิจารณาความคิดที่ติดลบ ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เมื่อความคิดที่ติดลบเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ปัญหาดังกล่าวจะหมดไป
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ตั้งแต่ดิฉันได้ย่างเข้าสู้เส้นทางธรรม ดิฉันได้พบความสุขสงบที่แท้จริงค่ะ จากเมื่อก่อนคิดว่าถ้าประสบความสำเร็จ หรือได้ในสิ่งที่ตัวเองหวังไว้ นั่นแหละความสุข แต่ปรากฎว่าการที่จิตใจกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงตามกระแสกิเลสมันไม่ใช่ความ สุขสงบที่แท้จริง แตกต่างกับจิตใจที่นิ่งๆไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่รับสิ่งกระทบภายนอกมาปรุงแต่ง ซึ่งนั่นคือความสุขสงบที่แท้จริงค่ะ ดิฉันขอรบกวนเรียนถามในข้อสงสัยดังนี้ค่ะ
    การที่บุคคลหนึ่งไม่ได้ตั้งใจมีลูกกับบุคคลหนึ่ง(ไม่ได้แต่งงาน) แล้วต้องจำใจให้เด็กเกิดมาและรับผิดชอบ ต้องอยู่ร่วมชีวิตกัน ดิฉันใคร่ขอเรียนถามว่า กรณีเช่นนี้ หมายถึงบุคคลทั้งสองเคยร่วมชีวิตกันในอดีตชาติ หรือเป็นกรรมใหม่ที่ทั้งสองได้ร่วมกันกระทำใหม่ขึ้นชาตินี้ แล้วดวงจิตวิญญาณของเด็กก็เกิดจากการกำหนดให้เกิดกับพ่อแม่แบบนี้หรือเปล่า เพราะท่านอาจารย์เคยกล่าวว่าศาสนาพุทธไม่มีคำว่าบังเอิญ

    ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ในความกรุณาค่ะ

    คำตอบ
    การที่บุคคลทั้งสามต้องมาเกิดเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นเรื่องของกรรมเก่าที่เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม จึงบังเกิดผลให้มาความสัมพันธ์ในลักษณะเช่นนี้
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ผมเป็นคนที่พูดแบบขวานผ่าซาก พูดแบบมะนาวไม่มีน้ำ บางครั้งพูดตรงแต่ไม่ถนอมน้ำใจผู้อื่น แต่ไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ พฤติกรรมการพูดแบบนี้ของผมมักเป็นสาเหตุให้ภรรยาไม่พอใจบ่อยๆ บางครั้งก็ทะเลาะเถียงกัน กระผมจึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่าพฤติกรรมการพูดของผมผิดหลักสัมมาวาจาในมรรค๘ หรือไม่ครับ และผมต้องปรับปรุงตัวเองแล้วใช่ไหมครับ ต้องยึดหลักอะไรหากต้องการปรับปรุงตัวเองตรงนี้

    กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่กรุณาให้คำแนะนำ

    คำตอบ
    ผู้ถามปัญหามีสัมมาวาจาในมรรค 8 ได้แก่ วจีกรรมไม่เท็จ ไม่หยาบ ไม่ส่อเสียด ไม่เพ้อเจ้อ แต่คำพูดของผู้ถามไม่เป็นวาจาสุภาษิตตรงที่พูดไม่ถูกกาละเทสะ พูดไพเราะอ่อนหวานและพูดไม่มีจิตเมตตา
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    หนูมีคำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนั่งสมาธิคือ หนูฝึกสมาธิกำหนดพองยุบมาเป็นระยะเวลา ประมาณ 2 ปี เมื่อเดินจงกรมกำหนดยืนหนอ ก็เกิดร้อนที่หน้าแข้ง หนูก็กำหนดให้ร้อนหายไปไม่ได้ เมื่อกลับจากวัดมาปฎิบัติที่บ้าน ทุกวันเวลาตรงกันประมาณ 1 ทุ่มไม่ว่าหนูจะอยู่ที่ทำงานหรือบ้าน หรือนั่งดูทีวี ที่ไหนก็ตามขาหนูจะต้องร้อนขึ้นมา ตอนแรกหนูนึกว่าเป็นอุปาทาน แต่ตอนหลังหนูพิสูจน์ แล้วว่าไม่ใช่ หนูไม่ได้เดินจงกรมหรือนั่งสมาธิทุกวัน บางทีหนูก็ขี้เกียจ เหนื่อยบ้าง อยากดูทีวีบ้าง แต่พอถึงเวลาถ้าหนูไม่ได้ปฎิบัติ ขาหนูก็จะร้อนจี้ดขึ้นมา จนหนูต้องไปสวดมนต์ ทำให้หนูต้องสวดมนต์และไปปฏิบัติจนถึงวันนี้ ถ้าไม่มีสัญญานความร้อนเกิดขึ้นกับตัวหนู หนูคงเลิกปฎิบัติเอาสบายไปแล้ว เพราะหนูเป็นคนไม่มีวินัยเท่าไร ประเด็นคือหนูมีความสงสัย ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้

    หนูพยายามถามคนที่สามารถตอบ หนูก็ไม่เข้าใจ ถามแม่ชีบอกให้กำหนด หนูก็ไม่เห็นหาย ถามในเน็ต หนูก็ไม่เข้าใจในภาษาธรรมมะเท่าไหร่ หนูก็เลยอยู่ร่วมกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็น ชีวิตประจำวันไป บางคนบอกหนูมีกรรม เจ้ากรรมนายเวรมาทวง หนูว่าตามหลักที่หนูศึกษาธรรมะก็ใช่ เพราะทุกคนก็มีกรรม แต่ถ้าเค้าเป็นสัญญาเจ้ากรรมนายเวร หนูก็อยากให้เค้าปรากฎหนูจะได้ขอ อโหสิกรรมตรงตัวไปเลย แต่หนูก็อฐิษฐานไม่ขึ้น ก็ไม่เห็นใครมาปรากฏ บางทีหนูก็คิดว่าหนูไปเผาใครหรือไม่ความร้อนจึงเกิดขึ้น บางเวลาถ้าหนูโกรธหรืออารมณ์ไม่คงที่ ความร้อนก็ขึ้นมาครึ่งตัว เหมือนหนูเดินอยู่ในกองไฟ แต่ที่สำคัญเหงื่อก็ไม่ออก หนูก็ไม่ได้ทุรนทุรายอะไร ก็รู้ว่าร้อนมากร้อนน้อยก็เท่านั้นเอง

    ทุกครั้งที่หนูนั่งสมาธิที่วัดหนูมีเวทนามาก ปวดจนขาแทบแตก ร้อนจนขาเป็นไม้หนูก็เอาชนะเวทนาไม่ได้ทุกครั้ง บางทีเพื่อนหนูหรือคนอื่น นั่งเป็น ชั่วโมงได้สบาย บางทีหนูก็ได้ยินเค้าบอกว่านั่งสมาธิต้องเย็นสบาย แต่ของหนูร้อน ล่าสุดหนูอดทนต่อสู้กับเวทนาที่เกิดขึ้นปรากฎว่า ความร้อนท่วมสูงขึ้นมาครอบหนูตั้งแต่หัวจน ทั่วตัว หนูไม่เคยรู้สึกมากขนาดนี้ไม่ไช่ไฟลวกหนูแต่ความร้อนครอบร่างกายหนูเท่าส่ม ไก่ที่ครอบเรา พอหมดเวลาที่หน้าอกหนูก็เย็นแผ่ซ่าน ที่เท้าหนูก็มีไอเย็นเป็นแท่งเสียบเข้าที่เท้า พอกลับบ้านตั้งแต่นั่นมาหนูรู้สึกว่าตัวเองมีไอเย็นที่อุ้งมื่อตลอด บางทีหนูเห็นไอร้อนไอเย็นในตัวหนูพร้อมกัน

    หนูอ่านหนังสือของอาจารย์หลายเล่ม อาจารย์ใช้ภาษาที่คนธรรมดาที่อยู่ในสังคมปัจจุบันเข้าใจง่าย อาจารย์บอกว่าการปฎิบัติจะก้าวหน้าต้องมีครูบาอาจารย์นำทาง หนูก็เชื่อว่าหนูเป็นศิษย์มีอาจารย์แต่ปัจจุบันท่านวางอุเบกขาหนูไม่สามารถ สนทนาสอบอารมณ์กับท่านได้ หนูเลยปฎิบัติไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเรื่องตึงที่หน้าผากซึ่งแรงมากและหนูก็กำหนดหายไม่ได้ เค้าหายก็หายไปเอง เค้าร้อนเค้าก็หายไปเอง หนูก็ทำไปเรื่อย ๆ แต่หนูก็อยากสอบอารมณ์เพื่อความสงสัยจะได้หายไป หนูลองค้นหาแล้วว่ามีใครเหมือนหนูมั่ง ก็มีคล้าย ๆ แต่น้อยมากไม่ตรงกับหนูซะทีเดียว หนูไม่อยากปรุงแต่งแต่หนูก็เป็นคนขี้สงสัย

    อาจารย์เมตตาช่วยสอบอารมณ์หนูให้ด้วยได้มั้ยคะว่า ที่หนูปฎิบัติเป็นอย่างไร หนูให้สัจจะถวายลมหายใจกับพระพุทธเจ้าไปแล้วว่าหนูจะมีความเพียร มีพระองค์เป็นสรณะ ขอให้หนูเจอผู้มีบุญบารมี่มาเมตตาหนูทางธรรม


    คำตอบ
    คำว่าศีลบริสุทธิ์หมายถึงศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ไม่มีมลทินเจือปน จึงเป็นศีลที่พระอริยเจ้าพอใจ ผู้ใดมีศีลบริสุทธิ์คุมใจและมีสัจจะอยู่กับใจทุกขณะตื่น เมื่อใจปรารถนาความสำเร็จในสิ่งใดย่อมเข้าถึงความสำเร็จในสิ่งนั้น ฉะนั้นอกุศลวิบากที่เกิดขึ้นกับผู้ถามปัญหาจะผ่านพ้นไปพ้นต้องประพฤติถูกตรง ด้วยการแก้ไขที่ใจตัวเอง
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ข้าพเจ้าได้แสงสว่างแห่งธรรม จากท่านอาจารย์ ทำให้ชีวิตดีขึ้น อยู่ด้วยธรรม อยู่กับปัญหาต่างๆ ด้วยสติ ด้วยคำสอน เตือนสติ ให้แก้ปัญหาที่ตัวเองให้มองทุกอย่างเป็นเรื่องดี โดนด่าก็ดี จะได้มองตัวเองต้องปรับปรุง โดนโกงก็ดี จะได้ชดใช้กรรมใช้หนี้ ทำดีแล้วยังไม่ได้ดี เพราะยังดีไม่พอ ยังไม่ถึงเวลาต้องทำดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป กำจัดกิเลสให้ลดน้อยลงทุกวัน อยู่อย่างพอเพียง สงบ ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อครอบครัว ที่ทำงาน และสังคม ทำโดยไม่หวังผลตอบแทน
    ขอรบกวนอาจารย์ถามปัญหาดังนี้

    ข้าพเจ้าเคยทำผิดพลาดพาลูกชายคนโตไปปลูกถ่ายไขกระดูก เนื่องจากเป็นโรคเลือด เชื่อคุณหมอซึ่งบอกแต่ผลดีว่าหาย 70 เปอร์เซ็นต์ ข้าพเจ้าเสียลูกชายจากการทำดังกล่าว ลูกชายทรมานมากจากการรักษา เราอยู่กันที่โรงพยาบาลนาน 6 เดือน ข้าพเจ้าทั้งเสียใจทั้งแค้นใจที่ตัวเองไม่น่าพาลูกไปทำ ทำให้ลูกต้องเจ็บ ต้องตาย ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานมาแค่ไหน สติที่เผลอคิดแวบไปถึงวันเวลาดังกล่าว ต้องเจ็บปวดทุกครั้ง สงสารลูก คิดถึงลูกข้าพเจ้ารู้ว่าไม่ถูกต้อง ไม่ควรคิดถึงสิ่งที่ผ่านมา ไม่ควรยึดติดกับลูก และเชื่อกับที่อาจารย์บอกว่า ทุกอย่างไม่มีคำว่าบังเอิญ ข้าพเจ้ารู้ว่าลูกต้องชดใช้กรรม ข้าพเจ้าก็ต้องชดใช้กรรมร่วมกับลูก อาจารย์ช่วยเตือนสติแรงๆ ให้ข้าพเจ้าหลุดจากโปรแกรมนี้ด้วยเถิด ข้าพเจ้าสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ทุกวัน เช้า และก่อนนอน ใส่บาตรทุกวันเสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุด ทำสังฆทานทุกเดือน อุทิศบุญกุศลให้ลูกทุกวัน บริจาคให้เด็กยากจนมูลนิธิซี.ซี.เอฟ ทุกเดือน ให้ทาน ทำบุญกริยวัตถุ 10 สม่ำเสมอ ฟังธรรม พูดถึงธรรมเสมอๆ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเสมอ นึกถึงความตาย สักวันข้าพเจ้าต้องตาย ขอทำความดี แต่สิ่งที่เป็นตราบาปครั้งนี้ข้าพเจ้าปวดร้าวอยู่เสมอ แม้จะได้ธรรมะเยียวยาให้อยู่ได้ ข้าพเจ้ายอมรับว่าสติยังอ่อน จะต้องไม่เผลอแวบคิดถึงเรื่องดังกล่าว

    ขอความเมตตาจากอาจารย์ช่วยสั่งสอนด้วยเถิด

    คำตอบ
    คนโง่เอาใจฝากไว้กับอดีต แม้เป็นอดีตที่หอมหวานก็ยังเรียกว่าโง่ หากเป็นอดีตที่ขมขื่น แล้วยังยินดีเอาใจเข้าผูกติดเป็นทาสเรียกว่าผู้นั้นโง่เง่า (โง่มาก)

    ส่วนคนฉลาดเอาใจไว้กับปัจจุบัน เห็นคนอื่นทำไม่ดีไม่ทำตามเห็นคนอื่นทำดีย่อมทำตาม คนฉลาดจึงมีความดีคุ้มรักษาใจ จึงอยู่เป็นสุขผู้ถามปัญหาอยากเป็นคนประเภทไน เลือกเอาตามใจปรารถนา
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. การแผ่เมตตา และการแผ่ส่วนกุศล ต่างกันอย่างไรคะ และกระทำในวาระใดได้บ้างคะ
    2. การกล่าวอนุโมทนาบุญ ผู้ทำบุญเป็นผู้กล่าว หรือผู้ที่รับทราบการทำบุญของผู้อื่นเป็นผู้กล่าวจึงจะถูกต้องคะ

    กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
    (1) ผู้ใดมีเมตตา ผู้นั้นมีใจไม่โกรธ ไม่หงุดหงิด ไม่รำคาญ ฯลฯ มีแต่ความสงบและเย็นเป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจ ผู้มีเมตตาแล้วแผ่เมตตาให้กับสัตว์บุคคลผู้มีจิตคิดร้าย มิอาจเข้ากระทบกับผู้มีเมตตาได้

    ส่วนคำว่ากุศลหรือบุญเป็นสิ่งเดียวกัน ผู้ประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 เป็นผู้มีกุศลสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณ ผู้มีกุศลสามารถอุทิศให้กับสรรพสัตว์ได้ในทุกโอกาส สัตว์ใดมาอนุโมทนา สัตว์นั้นมีความสุขจากกุศลที่ตนเองได้รับ

    (2) ผู้รับทราบการทำบุญของผู้อื่น เป็นผู้กล่าวคำอนุโมทนาบุญจึงเกิดขึ้นกับผู้อนุโมทนาได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...