ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    หนูกราบขอบพระคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ และหนูก็มีเรื่องรบกวนสอบถามอาจารย์ด้วยค่ะ อาจารย์ช่วยอนุเคราะห์หนูด้วยนะคะ

    1. ตอนนี้หนูมีความทุกข์ใจอย่างมากๆค่ะ ตัวหนูเป็นคนที่สนใจธรรมะมา 5 ปี แล้วค่ะ หนูเคยดีใจที่ตัวหนูตาสว่างได้เร็วเพราะหนูมาสนใจธรรมะเมื่ออายุยังน้อย ประมาณยี่สิบต้นๆ แต่หนูไม่ทราบจริงๆว่าทำกรรมใดไว้ เลยทำให้ ณ ตอนนี้หนูต้องทุกข์ใจอย่างมากมาย มันอาการว่าเหมือนมีอีกความคิดหนึ่งที่ไม่ดีต่อพระพุทธศาสนาทั้งที่หนูไม่ ได้คิดมันเลย หนูพยายามรู้ตามก็เริ่มเห็นว่าความคิดนี้จะผุดขึ้นมาตอนหนูไม่มีสติค่ะ เป็นมาเกือบปีแล้วค่ะ ทำให้ตัวหนูท้อแท้และสิ้นหวังมากๆ แต่หนูก็ไม่ท้อถอยค่ะ พยายามสู้กับจิตใจตัวเอง สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน พยายามนั่งสมาธิทุกคืน ถือศีล 8 ที่บ้านมา 2 ครั้งแล้วค่ะ แต่บางวันเหมือนเราจิตตกค่ะความท้อแท้ก็เข้ามาจู่โจม (หนูสังเกตตัวเองว่าจะเป็นมากๆในเวลากลางคืนจนบางคืนฝันร้ายค่ะ) แต่ก็พยายามนั่งสมาธิแผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เคยทำตามที่อาจารย์แนะนำท่านอื่นๆว่าให้ถือเทียนแพไปขอขมากับพระประธานหนูก็ ทำแล้วค่ะ และรู้สึกว่าดีขึ้นบ้าง หนูสันนิษฐานเองค่ะว่าอาจเกิดจากกรรมที่ช่วงแฟนเก่าหนูบวชเป็นพระและหนูเคย ทำให้เขาร้อนรุ่มเรื่องหนูค่ะ ตอนนี้เท่าที่ทำได้ก็คือแผ่เมตตาให้เขาค่ะ พอคิดได้เช่นนี้หนูก็ตั้งหน้าตั้งตารับผลกรรมและพยายามทำแต่กุศลกรรมค่ะ หวังว่าสักวันผลกรรมนี้จะหมดสิ้น ขอเรียนถามอาจารย์ว่าความคิดที่ไม่ดีจะทำให้หนูบาปไหมคะ

    สิ่งที่หนูเป็นน่าจะเกิดจากกรรมอันนี้หรือเปล่า และหนูดำเนินมาถูกทางหรือเปล่า (ที่ต่อสูกับจิตใจตนเองและพยายามทำแต่กุศลกรรม)

    2. ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่หนูตั้งใจจะรักษาศีลและหลีกเลี่ยงทางที่นำไปสู่ความ เสื่อมทุกทางเท่าที่ตัวหนูจะระลึกรู้ได้ แต่ตอนนี้หนูทำงานอยู่ที่ธนาคารค่ะ ถือว่าเป็นอาชีพที่ถูกต้องในทางธรรมหรือไม่คะ เพราะเงินเดือนเราก็มาจากการเก็บดอกเบี้ยคนอื่น ( ถือเป็นการเบียดเบียนหรือไม่) อาจารย์ช่วยยกตัวอย่างอาชีพที่ดีในทางธรรมด้วยค่ะ

    ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงล่วงหน้านะคะขอให้อาจารย์ได้ สะสมบารมีจนถึงสิ่งที่อาจารย์หวังค่ะ บางครั้งที่หนูนั่งสมาธิหนูแผ่ส่วนกุศลให้อาจารย์ด้วยค่ะ เพราะหนูถือว่าอาจารย์เป็นผู้มีพระคุณต่อหนูอย่างสูงคนหนึ่ง

    คำตอบ
    (1) ความคิดที่เป็นอกุศล ผู้ใดคิดแล้วบาปจะถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตของผู้ทำกรรม การขอขมากรรมในเรื่องนี้
    1. นำดอกไม้สดหรือพวงมาลัยดอกไม้สดรวมทั้งธูปเทียน ไปขอขมากรรมต่อพระรัตนตรัยจึงจะถูกตรงที่สุด
    2. หลังจากขอขมากรรมแล้ว ต้องพัฒนาใจให้มีศีล 5 ข้อคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น
    3. ก่อนนอนสวดมนต์ แล้วต่อด้วยการบริกรรม “ พุทโธๆๆๆ ” นาน 15-30 นาที ทุกวัน แล้วอุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อย ๆ จนกว่าความคิดอกุศลจะหมดไปจากใจ

    (2) อาชีพดีในทางธรรมต้องเป็นอาชีพที่ไม่ผิดศีลและไม่ผิดธรรม เช่นอาชีพที่ทำเกี่ยวกับสังฆทาน พวงหรีดงานศพโรงบรรจุศพ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้แสงสว่าง อาหารสำเร็จรูปที่เป็นมังสวิรัติ ฯลฯ
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1)ท่านอาจารย์เคยตอบคำถามไว้ว่ากรณีที่เราเข้าไปข้องเกี่ยวกับคนที่กำลัง ใช้กรรมของเขาอยู่ เราจะต้องรับผลของกรรมนั้นๆ ของเขาด้วย ต.ย เช่น อาจารย์เคยต้องปวดขาเพราะไปช่วยนวดขาให้ครูบาอาจารย์ที่กำลังเจ็บขาอยู่
    ขอเรียนถามว่า ถ้าเราทำบุญกุศลทุกครั้งแล้วอุทิศส่วนกุศลที่เราทำให้กับเจ้ากรรมนายเวรของ ญาติพี่น้องของเรา ที่กำลังมีความทุกข์เพราะกรรมมาถึงนั้นเราจะต้องได้รับกรรมนั้นจากเจ้ากรรม นายเวรของญาติเราหรือไม่ค่ะ

    2) กรณีมีญาติที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ติดการพนันบอล จะมีวิธีอย่างไรที่จะสามารถช่วยดลจิตใจให้เขาเห็นผิดชอบชั่วดีบ้างไหมค่ะ พยายามชักชวนให้ฟังธรรมเพื่อจะได้มีปัญญารู้เห็นเอง ก็ยังมาบ้างไม่มาบ้าง ยังไม่เกิดศรัทธาจากตัวเองจริงๆ

    กราบขอบพระคุณค่ะ

    คำตอบ
    (1) หากไม่ประสงค์ให้เวรกรรมที่ไปช่วยคนอื่น เข้ามาถึงตัวเอง ต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองด้วย

    (2)หากผู้ถามปัญหาพัฒนาตัวเองให้ดีจากศรัทธาได้เมื่อใด จึงจะมีโอกาสชี้ทางถูกผิดให้เขาฟัง แล้วโอกาสที่จะทำให้เขาเปลี่ยนพฤติกรรมจากไม่ดีมาเป็นพฤติกรรมดีย่อมมีโอกาสเป็นไปได้
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    เมื่อช่วงก่อนสิ้นเดือนที่ผ่านมา ผมได้ถูกให้ออกจากงานอย่างกระทันหัน เหมือนกับว่าถูกใส่ความ โดยดูจากสถานการณ์และบุคคลแวดล้อมแต่ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่ถึงแม้เป็นเรื่องจริงผมก็ให้อภัยครับ และวันถัดมาคุณพ่อก็ต้องเข้าโรงพยาบาล เพื่อรอผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก และในระหว่างที่คุณพ่อพักฟื้น ผมก็ไปสัมภาษณ์งานใหม่ ไม่กี่วันถัดมา ก็ทราบว่าไม่ผ่านโดยคนที่รู้จักกันในบริษัทที่ไปสัมภาษณ์ บอกว่า คุณสมบัติดีเกินไป หากเข้าไปแล้วผลงานจะเข้าตากรรมการจะทำให้เจริญก้าวหน้าในงานแล้วจะทำให้ลูก น้องคนอื่น ๆ ไม่สามารถก้าวหน้าในงานได้ ซึ่งพิจารณาเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนถูกตัดหนทางในการประกอบอาชีพ แต่ยังจะมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มเกิดขึ้นอีก

    ทุกวันนี้ผมยังมีคุณแม่ที่ป่วยเป็นอัมพาตมาประมาณ 10 ปี ที่ต้องดูแล (ค่าใช้จ่ายดูแลต่อเดือนเกือบ 3 หมื่นบาท) รายได้ที่ได้มาไปกับการดูแลรักษาพยาบาลผู้มีพระคุณเกือบทั้งหมดบางส่วนก็ไป ทำบุญ ส่วนตัวเองแทบไม่ได้ใช้เลย มาเจอปัญหาตนเองถูกให้ออกจากงานและคุณพ่อมาป่วยเพิ่มอีกคนและจะต้องมีค่าใช้ จ่ายที่ต้องดูแลไปอีกนานคาดว่าอีกเป็นล้านบาท ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมได้ปันเงินบางส่วนไปช่วยเหลือหลาย ๆ คนหลายแสนบาท พอถึงเวลาที่ตนเองเจอปัญหาคนเหล่านั้นก็ไม่สามารถช่วยอะไรผมได้เลย

    ผมอยากขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนเกิดจากกรรมอะไร แล้วผมควรจะแก้ไขปัญหาอย่างไรดีครับ เพื่อให้ปัญหาทุกอย่างคลี่คลายครับ

    จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เข้าใจได้ลึกซึ้งมากขึ้นเลยว่าการเกิดเป็นทุกข์ การมีชีวิตอยู่ก็เป็นทุกข์

    ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าด้วยครับ และขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงครับ
    ด้วยความเคารพอย่างสูง

    คำตอบ
    ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากเหตุทำกรรมเบียดเบียน ที่ผู้เป็นลูกประพฤติปาณาติบาตร่วมกับพ่อแม่ เมื่ออกุศลกรรมให้ผลพ่อแม่จึงต้องรับอกุศลวิบากด้วยการเจ็บป่วย ลูกได้รับอกุศลวิบากทำให้เสียงานเสียทรัพย์ ประสงค์จะแก้ไขปัญหาให้หมดไป โปรดดูวิธีบริหารจัดการหนี้กรรมในเว็บไซด์ข้อ 728
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    หนูมีปัญหาค่ะ เป็นมานานหลายปีแล้ว ร่างกายหนูมีปัญหา แล้วพาลไปเกิดอาการลบหลู่ศาสนาด้วยค่ะ

    หนูมีแฟน และมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งระดับหนึ่ง ทำให้ร่างกายบางส่วนค่อนข้างมีความรู้สึกไวบางทีอยู่ๆมันก็จะรู้สึกคันๆ
    ยุกยิกๆ ขึ้นมาเฉยๆ ทีนี้ คนเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก เวลาหนูไปที่ไหนๆก็ต้องพบเจอผู้คน ทั้งหญิงชาย แต่ร่างกายมันรู้สึกตลอดเวลา หนูรู้สึกแย่ๆ เวลาอยู่ใกล้ๆคนอื่นค่ะ

    แล้วเหมือนว่าเราจะคิดว่าความคิดของเราไปเหนี่ยวนำกระแสความคิดของ คนอื่น ซึ่งจริงๆหนูก็ไม่ทราบว่ามันบังเอิญหรือเปล่าว กับผู้หญิง หนูก็รู้สึกว่าเค้าอาจจะรู้สึกด้วย ทีนี้ กับผู้ชายก็ยิ่งแย่ไปใหญ่ ที่บ้านหนูก็มีพระ เวลาอยู่ต่อหน้าพระ ไหว้พระ มันก็เป็น ยิ่งห้ามมันยิ่งไม่หยุด หนูกลัวตกนรกมากๆ บางทีใส่บาตรมันก็เป็น เวลาผ่านเจ้าที่ ก็เหมือนเราไปลบหลู่เค้าเช่นกัน เรียกง่ายๆว่า เป็นตลอดเวลา มีวิธีไหนที่จะทำให้ร่างกาย กับจิต เรานิ่งได้ตลอดไปคะ หนูเคยหาจิตแพทย์ มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย เหมือนแก้ที่ปลายเหตุ แต่สาเหตหนูก็ยังแก้ไม่ได้ เหมือนตัวเราสกปรกน่ารังเกียจตลอดเวลา บางทีก็จิตหลอนๆกลัวจะถูกข่มขืนต่างๆนาๆ

    ขอความกรุณาชี้แนะด้วยค่ะ

    คำตอบ
    สิ่งที่บอกเล่าไปเป็นการเจ็บป่วย (อาพาธ) ชนิดหนึ่งในยุคปัจจุบันคนเจ็บป่วยด้วยเหตุสี่อย่างคือ ออกกำลังไม่สม่ำเสมอเพียรมากเกินไปฤดูกาลเปลี่ยน และเกิดจากกรรมไม่ดี สามเหตุแรกรักษาให้หายได้ง่ายส่วนเหตุสุดท้ายผู้ทำกรรมไว้ก่อนต้องชดใช้ อกุศลวิบากจนกว่าจะจบสิ้นดูการบริหารจัดการกรรมในเว็บไซด์ข้อ 728 เพิ่มเติมแล้วต้องไปขอขมากรรมต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคยประพฤติทุศีลไว้ ก่อน แล้วพัฒนาจิตให้มีศีล 5 คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม 7 วัน 10 วันแล้วสุดท้ายอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอ หากประพฤติได้เช่นนี้โอกาสที่ปัญหาดังกล่าวจะหมดไปย่อมเกิดขึ้นได้
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    เนื่องด้วยดิฉันเป็นคนยึดมั่นถือมั่นเป็น อย่างมาก และเข้าใจผิดว่าทำดีแล้วต้องได้ผลกลับมาดีเสมอ โดยลืมคิดว่าทำดีก็ได้ดีตอนที่กระทำแล้ว จนกระทั่งดิฉันพบความผิดหวังในตัวบุคคลหนึ่งอย่างรุนแรง ก็ได้หันมาหาคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อดับทุกข์ และรู้แจ้งมากกว่า ใช้ความคิดเห็นด้วยกับคำสอนเพียงอย่างเดียว เหมือนอย่างที่ได้อ่านหนังสือของท่านอาจารย์ว่าสำคัญที่ภาวนามยปัญญา ดิฉันระลึกถึงคำนี้มาโดยตลอด แต่ดิฉันไม่สามารถลืมเรื่องที่บุคคลหนึ่งกระทำกับดิฉันได้ แม้ดิฉันจะกล่าวอโหสิกรรมและบอกกับเขาว่าขอให้เราจบกันไปแต่โดยดี ดิฉันเพียรภาวนาดูจิต ดูกายมาโดยตลอด ส่วนใหญ่จะได้สมถะมากกว่า วิปัสสนา ซึ่งดิฉันใคร่ดับทุกข์โดยสิ้นเชิงมากกว่า ไม่ทราบว่าเป็นกรรมเก่าของดิฉันที่กระทำกับเขามาก่อนหรือในชาติก่อนๆดิฉัน ไม่ได้บำเพ็ญศีลมาก่อนเลยไม่มีบารมีพอที่จะทำได้สำเร็จเร็ววัน ดิฉันีเลยจุดธูปต่อหน้าพระพุทธรูปเสมือนเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า

    ดิฉันได้อธิษฐานขออโหสิกรรมต่อเขาและผู้หญิงคนนั้น เพื่อเป็นอภัยทานแด่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า มีสิ่งที่แปลกประหลาดมากในคืนนั้นดิฉันพยายามจะนึกถึงเขาและเรื่องราว หรือปรุงแต่งความคิดถึงเขาต่างๆนาๆที่เคยกระทำ ปรากฎว่าดิฉันกลับนึกไม่ออก นึกได้แต่ชื่อเขาเท่านั้น พอนานวันเข้าก็นึกได้บ้างแต่ไม่นานนัก ดิฉันดูจิตดูความรู้สึกก็หายไป ดิฉันจะเอ่ยคำว่าอโหสิกรรมทุกครั้งที่คิดถึงเขาและระลึกได้ว่าดิฉันได้กล่าว อธิษฐานอโหสิกรรมต่อหน้าพระพุทธรูปซึ่งดิฉันได้เพียรสวดมนต์ทุกคืนค่ะ ใคร่รบกวนถามดังต่อไปนี้

    1. ดิฉันเคยทำกรรมกับเขาไว้ในชาติก่อนๆใช่มั้ยค่ะถึงได้ยังทุกข์ทรมานกับสิ่ง ที่เขากระทำไว้
    2. การที่ดิฉันไม่สามารถระลึกถึงเขาได้ในคืนอธิษฐานเป็นเพราะสาเหตุใด
    3. ถ้าดิฉันเพียรดูจิต ดูกาย ดูเวทนา และถือศึล ให้ทาน และภาวนาอยู่เป็นนิจ

    ดิฉันจะสามารถบรรลุถึงมรรคผลตามคำสอนของพระพุทธเจ้าชาตินี้ไหมค่ะถ้าชาติ ก่อนๆดิฉันไม่เคยกระทำมา
    ตั้งแต่ที่ดิฉันเพียรติดตามหนังสือธรรมทานของอาจารย์สม่ำเสมอ อ่านทุกวันและเพียรดูจิตดูกาย เลิกเพ่งโทษผู้อื่น ทำให้จิตใจดิฉันนิ่งกว่าแต่ก่อน ทุกข์น้อยลง มองบุคคลอื่นๆด้วยจิตใจอ่อนโยนขึ้น ความตระหนี่น้อยลงมาก ตั้งแต่พยายามให้ทานหลากหลายโดยไม่เลือก จากที่เคยดูแลบิดามารดามาตลอด ตอนนี้ก็ทำดีกว่าเก่ามากขึ้น

    ต้องขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ให้ธรรมะเป็นทานมาโดยตลอด นับว่าดิฉันมีบุญบ้าง จะพยายามทำตามคำแนะนำของท่านอาจารย์ตลอดไปค่ะ ถ้าดิฉันมีบุญขอได้มีโอกาสพบท่าน ดิฉันจะพยายามหาโอกาสเข้ากรุงเทพเพื่อพบท่านในงานธรรมะต่างๆค่ะ


    คำตอบ
    (1) ตอบว่าใช่ ผลกรรมที่ทำแล้วได้ถูกเก็บสั่งสมไว้ในจิตวิญญาณ เมื่อจิตนิ่งกำลังของสติจะไประลึกรู้ถึงกรรมที่เคยทำไปซึ่งดับ (อนัตตา)ไปแล้วตามกฎไตรลักษณ์ จิตที่มีอวิชชาไม่ปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จิตจึงยึดไว้เป็นอุปาทาน ความทุกข์ใจจงเกิดเป็นผลตามมา

    (2) เพราะในคืนที่อธิษฐาน กำลังของอธิษฐาน (ความตั้งใจมั่นในสิ่งที่ปรารถนา) มีมากกว่า กำลังของกิเลส(อุปาทาน) การระลึกถึงกรรมที่ทำในอดีตจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้

    (3) ผู้ใดประพฤติเหตุได้ถูกตรงตามธรรม พร้อมทั้งบุญเก่าส่งผล อาทิใจนิ่งจากอารมณ์ปรุงแต่ง การลดลงของความตระหนี่เพียรดูใจตนเองมากขึ้น เลิกเพ่งโทษคนอื่นฯลฯ เหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ถึงผลปฏิบัติที่ถูกทาง ผู้ไม่ประมาท เพียรไม่สร้างอกุศลกรรมใดๆ ให้เกิดขึ้นใหม่ ผู้ไม่ประมาทเพียรกำจัดอกุศลกรรมที่มีอยู่ให้หมดไป ผู้ไม่ประมาทเพียรทำความดีทุกรูปแบบให้เกิดขึ้น และผู้ไม่ประมาทเพียรรักษาความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่ หากผู้ถามปัญหาปฏิบัติได้ดังนี้ ความสุขที่เกิดจากมีจิตเป็นอิสระย่อมเกิดขึ้นแน่นอน ผู้รู้เลือกทางชีวิตสู่อิสรภาพด้วยการประพฤติเช่นนี้
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ดิฉันเป็นคนที่มีเงินไม่มากนัก ปกติดิฉันจะมีบาตรเล็กๆ ใบหนึ่งเอาไว้ใส่เงินที่แบ่งมาทุกวัน โดยตั้งใจว่าเงินนี้จะเป็นไปเพื่อบำรุงพระศาสนาและเพื่อผู้อื่นที่ยากไร้ กว่า แต่วันหนึ่งดิฉันได้ทราบว่าผู้มีพระคุณที่เป็นเหมือนแม่คนที่ 2 ผู้ที่ตอนนี้กำลังดูแลแม้แท้ๆ ของดิฉันอยู่ด้วย กำลังมีความลำบากเรื่องเงิน ถึงขนาดไม่ค่อยจะมีพอซื้ออาหารทานอย่างเพียงพอ ส่วนตัวดิฉันเองก็ไม่มีมากพอที่จะเจียดให้จึงนำเงินในบาตรนี้ออกมาเพื่อให้ ท่านไว้ใช้จ่าย ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นจำนวนแค่นิดหน่อย อยากถามว่าทำแบบนี้เป็นบาปหรือไม่คะ ถือว่านำของสงฆ์ไปใช้ในการส่วนตัวหรือเปล่า

    และคำถามอีกข้อหนึ่งนะคะ ระยะนี้รู้สึกว่าทำอะไรก็ลำบาก ขัดสน เงินทองไม่พอใช้ คิดอะไรก็ไม่สมหวังคล่องตัวเหมือนเมื่อก่อนสักเท่าไหร่ ไม่ทราบว่าจะทำบุญหรือทำอย่างไรดีคะ ที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นกว่านี้ ดิฉันอยากมีกำลังพอที่จะเป็นแรงช่วยบำรุงพระศาสนา และดูแลผู้มีพระคุณให้ได้มากกว่านี้ รู้สึกว่าตัวเองเกิดมาเสียชาติเกิดอย่างไรก็ไม่รู้ค่ะ เกิดมาแค่เอาตัวเองรอดไปวันๆ ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้เกิดขึ้นเลย แค่หน้าที่ตัวเองในความเป็นลูก เป็นหลาน เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พบพระอริยเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งดูตาปริบๆ ระบายมาตั้งยาว ขอรบกวนท่านอาจารย์เพียงเท่านี้ค่ะ

    บุญใดที่ดิฉันได้ทำมาทั้งอดีตชาติ และปัจจุบันชาติแม้จะน้อยนิดปานใดก็ขอเป็นแรงเล็กๆ อีกแรงหนึ่งให้ท่านอาจารย์มีบุญบารมียิ่งๆ ขึ้นไปและประสบสิ่งที่ท่านอาจารย์มุ่งหวังไว้ทุกประการ

    ขอบคุณค่ะ

    คำตอบ
    ไม่ถือว่าเป็นบาป เพราะมิได้ประพฤติผิดไปจากเจตนาเดิมที่ตั้งใจไว้ ในอันดับที่สองของการออมเงิน ว่าออมเงินเพื่อบำรุงพระศาสนา และเพื่อผู้อื่นที่ยากไร้กว่า

    วิธีแก้ปัญหาในตอนถัดไป คือต้องปรับแก้ไขตัวเองด้วย

    1. บริโภคใช้สอยมักน้อย เท่าที่ชีวิตดำรงอยู่ได้

    2. บริโภคให้สอยแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ (สาระ) กับชีวิตเท่านั้น

    3. ทุกอย่างที่บริโภคใช้สอย ต้องทำให้มีขึ้นด้วยตัวเอง โดยไม่ซื้อหา ฯลฯ

    เหล่านี้จะทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ จากประสบการณ์ตรงของผู้ตอบปัญหา ได้นำพาชีวิตผ่านพ้นวิกฤตข้าวยากหมากแพงที่เกิดขึ้นในห้วงของสงครามโลกครั้ง ที่สอง ซึ่งโหดร้ายกว่าที่เกิดขึ้นในปัจจุบันด้วยการประพฤติตนตามที่เสนอแนะมาข้างต้น
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. หากมีเวทนาเกิดขึ้นขณะปฎิบัติ เรากำหนดปวดหนอเป็นเวลานานอาการนั้นไม่หายไป เราจะกลับมาที่พองยุบได้หรือไม่ หรือต้องกำหนดที่เวทนานั้นจนหมดเวลาคะ( เวลาปวดจะมีอาการไม่สบาย ใจจะสั่น ร่างกายจะสั่นน้อยๆ คะ )

    2. เวลาเดินจงกรมจะง่วงมากคะ ควรวางสายตาอย่างไรคะในเวลาเดินจงกรม เพื่อให้อาการง่วงนั้นหายไป เวลานั่งสมาธิจะมีอาการง่วงช้ากว่าการเดินจงกรมคะ หรือว่าเราควรบริกรรมขณะเดินอย่างเร็วๆคะ

    3. ดิฉันมีอาชีพเป็นครูคะ ในชั่วโมงที่ไม่มีสอน หรือเวลาที่สั่งงานให้เด็กทำ ( ดิฉันจะคอยตอบคำถามเด็กในห้องตลอดไม่ได้ไปไหน ) ดิฉันจะมาเปิดเวปไซต์ ธรรมะ เพื่อศึกษา ถือว่าเป็นการคอรัปชั่นเวลาหรือไม่คะ ( ที่บ้านเปิดอินเทอร์เน็ตไม่ได้คะ)

    4. การแผ่เมตตาเพื่อลดโทสะนั้น ดิฉันมักจะแผ่เมตตาด้วยคำบริกรรม ที่ว่า เมตตาคุณนัง อรหังเมตตา ให้ตัวเองเวลาที่โกรธ และเมื่อพบคนที่ไม่พอใจ ทำถูกหรือไม่คะ

    สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณในความเมตตาที่ท่านอาจารย์ที่มีต่อพวกเราทุกคนคะ

    คำตอบ
    (1) หากกำหนดว่า “ ปวดหนอ ๆๆๆ ” เป็นเวลานานแล้วอาการปวดยังไม่หายไป ต้องกำหนดต่อไปไม่หยุด แม้จะเป็นร้อยครั้งหรือหลายร้อยครั้งก็ยังต้องทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการปวดจะดับไปตามกฎของไตรลักษณ์ ในขณะที่ทุกขเวทนายังไม่ดับไป ต้องไม่นำจิตกลับมาจดจ่ออยู่กับอาการพอง-ยุบ ของผนังหน้าท้อง

    (2) ควรเลิกเดินแล้วใช้วิธีแก้ความง่วงในหนังสือสนทนาภาษาธรรมเล่ม 8 ข้อ 117 และสนทนาภาษาธรรม เล่ม 6 ข้อ 66 มาแก้ปัญหา

    (3) เอาเวลาราชการมาใช้ในเรื่องส่วนตัว ถือว่ามีการคอรัปชั่นเวลาครับ

    (4) ผู้ใดมีอารมณ์โกรธเกิดขึ้นกับจิตแล้ว แสดงวาจิตของผู้นั้นมีกำลังของเมตตาไม่กล้าแข็ง การบริกรรมด้วยคำว่า “ เมตตาคุณนัง อรหังเมตตา ” เป็นการดึงจิตให้มาจดจ่อ (สติ) อยู่กับองค์บริกรรม ซึ่งไม่ต่างไปจากการนับหนึ่งถึงสิบหรือนับหนึ่งถึงร้อยซึ่งมิใช่เป็นวิธี กำจัดโทสะให้หมดไปโทสะหมดไปด้วยการให้อภัยกับผู้ทำเหตุขัดใจ หากทำได้ทุกครั้งดังนี้เมตตาจะเกิดขึ้นและสั่งสมเป็นเมตตาบารมีอยู่ในจิตของผู้เข้าถึง
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    น้องชายของหนูอายุ 32ปี มัวเมาอยู่ในยาเสพติดมาเป็นเวลา 2ปีกว่าแล้วค่ะ เข้าบำบัดมา2ครั้ง (โดยไม่ได้เต็มใจไปเอง) ครั้งสุดท้ายนี้ เขาออกมาตั้งใจจะเลิก แต่ก็ยังคบเพื่อนที่มีปัญหายาเสพติดเหมือนกันอยู่ ยังไปในที่ๆไม่ดีอยู่
    หนูอยากช่วยเหลือน้องชาย เพราะสงสารทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และลูกชายวัย2ขวบของเขาเอง (ที่ไม่มีคุณแม่ดูแลแล้ว เพราะแยกทางกัน)ซึ่งกำลังจำและเลียนแบบพฤติกรรมผู้ใหญ่

    หนูพยายามทำทาน สวดมนต์และทำสมาธิอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของน้องชาย และพยายามชักชวนให้คุณพ่อ คุณแม่ทำทาน สวดมนต์และทำสมาธิด้วย ส่วนน้องชายเคยขอให้เขาบวชแต่เขาปฏิเสธ

    1. น้องชายของหนูเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคุณพ่อ คุณแม่หรือเปล่าค่ะ ที่บ้านไม่มีปัญหาอะไรเลยนอกจากเรื่องเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็จะคอยสร้างปัญหาให้ที่บ้านเดือดร้อนมาโดยตลอด โมโหร้าย ก้าวร้าวคุณพ่อ คุณแม่ เวลาเขาอยู่ที่บ้านแล้วบ้านจะไม่ค่อยมีความสุข ต้องคอยระวัง ยิ่งมีลูกชายของเขา หนูยิ่งกังวลกลัวเค้าเห็นภาพไม่ดี

    2. มีวิธีไหนที่หนูจะช่วยให้น้องชายเลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดได้บ้างค่ะ เขาตั้งใจที่จะเลิก แต่ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้อย่างที่ตั้งใจหรือเปล่า เพราะยังเต็มไปด้วยมิจฉาทิฐิจริงๆ

    3. หนูอยากชักชวนให้น้องชายปฎิบัติธรรม(เขาเคยบวชมาแล้วตอนอายุ 23ปี) แต่เหมือนเขาไม่สนใจเลย แต่ถ้าชวนทำทานก็ไปบ้างตามโอกาส

    4. หนูทุ่มเทช่วยน้องชายเต็มที่ จนความสุขและทุกข์ของหนูไปขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเขา ถ้าเขาไปทำตัวไม่ดี หนูจะเครียดและกังวลมากจนไม่เป็นอันทำอย่างอื่น หนูอยากวางอุเบกขาให้ได้ แต่ยังทำไม่ได้เลยค่ะ ทำสมาธิบางที่ก็ฟุ้งซ่านเป็นกังวล จนคุณแม่เห็นแล้วสงสารหนูแทน หนูควรทำอย่างไรดีค่ะ


    กราบขอบพระคุณมากค่ะ

    คำตอบ
    (1)เวรหมายถึงความปองร้ายกัน ความแค้นเคืองฯลฯ พฤติกรรมของน้องชายตามที่บอกเล่าไปถือได้ว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรของพ่อแม่ได้

    (2) ไม่มีใครแก้ปัญหาให้ใครได้แท้จริง แต่มีใครแก้ปัญหาให้หมดไปได้แท้จริง ด้วยการแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาให้ดับไปด้วยตัวของตัวเอง

    ดังนั้นความประสงค์ที่จะให้น้องชาย เลิกยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติดในทางโลกทำได้ด้วยการนำตัวน้องชายให้ห่างไกลจาก บาปมิตร และแหล่งที่มีการซื้อขายยาเสพติด วิธีการเช่นนี้พอจะช่วยเขาได้บ้าง

    (3) เพียงแต่บอกเจตนาที่ดีแต่มิได้ถามเป็นปัญหา จึงไม่ต้องตอบ

    (4) นอกจากเป็นเจ้ากรรมนายเวรของพ่อแม่แล้ว น้องชายยังเป็นเจากรรมนายเวรของพี่สาวอีกด้วย

    ความอยากวางใจเป็นอุเบกขานั้นอยากได้ แต่ผลสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ต้องทำเหตุให้ถูกตรง อุเบกขาเกิดได้สองแนวทาง คือพัฒนาจิตจนตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน 4 หรือพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งตามดูสิ่งที่เข้ากระทบจิต ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อสิ่งกระทบจิตเข้าสู่ความเป็นอนัตตาจิตจะปล่อยวางสิ่งกระทบ แล้วอุเบกขาจะเกิดขึ้นกับจิตได้
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. หากเราใช้เพียง ขณิกะสมาธิ เพื่อพิจารณา เวทนา ที่เกิดขึ้น ทั้งร่างจะเป็นไปได้ไหมค่ะ เนื่องจากดิฉันเป็นผู้ที่มีความฟุ้งซ่านมาก รู้สึกว่า ไม่ค่อยสามารถรวมจิตมาพิจารณา เวทนา ได้ไม่นานจิตก็จะฟุ้งซ่านไป แล้วพอรู้สึกตัวค่อยกลับมาพิจารณาใหม่ หรือว่า ควรจะฝึกจน สมาธิ แน่วแน่กว่านี้ค่อยพิจารณา

    2.ดิฉันมีเจตนาตั้งมั่น ในการดูแลร่างกายให้แข็งแรงเพื่อบริจาคเลือด ทุก ๆ 3 เดือน ก็ทำได้ดีมาระยะนึงแล้วค่ะ แต่ที่สงสัยคือ การบริจาคลือดเป็น อุปบารมี การทำทานชนิดนี้ ให้ผลอย่างไรค่ะ

    3. จากข้อสอง การให้ทานแบบนี้ เราสามารถจะอุทิศให้ผู้อื่นได้ด้วยหรือไม่ หากผู้อื่นมาร่วมโมทนาก็จะได้กุศล ด้วยใช่หรือไม่

    กราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ เป็นอย่างสูง

    คำตอบ
    (1) จากคำที่บอกเล่าไป เพียงขณิกสมาธิยังไม่สามารถนำมาแก้ปัญหาเวทนาที่เกิดขึ้นได้ ฉะนั้นควรต้องเจริญสติจนกระทั่งจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) จึงจะมีกำลังกำหนดเวลาให้หมดไปได้

    (2) การบริจาคโลหิตจัดเป็นทานอุปบารมี มีอานิสงส์ส่งผลให้ร่างกายของผู้บริจาคมีสุขภาพแข็งแรง ไม่อาพาธและมีอายุยืนยาว สามารถกำจัดกิเลสอาทิ ความตระหนี่ ให้หมดไปจากใจได้ง่ายขึ้น

    (3) บุคคลสามารถให้เลือดเป็นทานกับผู้ต้องการเลือดได้ทุกคน ผู้ใดรู้แล้วอนุโมทนาในทานอุปบารมีของผู้บริจาค เขาผู้นั้นจะได้รับอานิสงส์แห่งทานนั้นด้วย
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    มีญาติบวชเป็นพระ ท่านได้รับสังฆทานมากมาย ถ้าท่านอนุญาตให้เรานำของสังฆทาน เช่น สบู่ ยาสีฟัน ไฟฉาย เป็นต้น ให้เรานำมาใช้เป็นของส่วนตัว แบบนี้ ผู้ให้ผู้รับจะเป็นบาปหรือไม่

    ขอขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์

    คำตอบ
    คำว่า “ สังฆทาน ” หมายถึง ทางที่ให้แก่หมู่สงฆ์หากหมู่สงฆ์อนุญาตให้ฆราวาสนำสบู่ยาสีฟันไฟฉาย ฯลฯ ไปใช้เป็นการส่วนตัวได้ ผู้รับอนุญาตไม่เป็นบาป ส่วนคำว่า “ ปุคคลิกทาน ” หมายถึง ทานที่ถวายแก่สงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อสงฆ์เจ้าของทานอนุญาตให้ฆราวาสนำไปใช้ได้ ไม่ถือว่าเป็นบาปแก่ผู้รับอนุญาต
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. ถ้าหนูหมั่นปฎิบัติธรรมด้วยการให้ทาน รักษาศีล และสวดมนต์ ทำสมาธิ อุทิศบุญให้น้องชาย พร้อมทั้งอธิฐานจิตขอให้เขาเลิกยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข ยาเสพติด พร้อมทั้งมีดวงตาเห็นธรรมได้ จะสามารถทำให้เขาเลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและเลิกสร้างความเดือดร้อนให้กับ ครอบครัวได้หรือไม่ค่ะ หรือ มีการปฏิบัติธรรมแบบใด ที่จะให้
    อานิตสงค์ที่สามารถช่วยเขาและครอบครัวของหนูได้ค่ะ

    2. มีวิธีใดบ้างค่ะ ที่จะดึงน้องชายออกจากบาปมิตรและสถานที่อโคจร ให้เขามีสัมมาทิฐิ ละอายและเกรงกลัวต่อบาป เพราะเพื่อนที่คบอยู่ตอนนี้มีแต่คนพาลที่จะชักจูงไปในทางที่ผิด ชอบชวนไปดื่มเหล้าและเที่ยวกลางคืนทั้งนั้น ไม่มีกัลยาณมิตรเลย ห้ามไม่ให้คบ ไม่ให้ไปก็ไม่ได้ค่ะ ทำอย่างไรเขาถึงจะเลิกคบคนพาล และพบเจอแต่กัลยาณมิตรค่ะ

    3. มีวิธีใดบ้างค่ะ ที่จะทำให้ครอบครัวหนู โดยเฉพาะน้องชายหันมาปฏิบัติธรรม คิดดี ทำดี พูดดี ได้มีโอกาสเจริญสมาธิ วิปัสสนา ครอบครัวหนู โดยเฉพาะน้องชายกับ พ่อ แม่ของหนู มักจะทะเลาะเบาะแว้ง มีปากเสียงกันรุนแรง หนูเป็นทุกข์ใจในทุกๆวัน ไม่ทราบจะแก้ไขอย่างไรดีค่ะ

    ท้ายสุดนี้ขอกราบขอบพระคุณอาจาร์ยเป็นอย่างสูง ที่มีความเมตตาช่วยชี้ทางสว่างให้กับผู้ที่มีความทุกข์ทุกคน
    และขอให้บุญกุศลนี้ส่งผลให้อาจาร์ยมีความเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ

    คำตอบ
    (1) อธิษฐานหมายถึงการตั้งใจมั่นหรือการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวในทางดำเนินเพื่อให้ บรรลุจุดมุ่งหมายของตน ผู้ถามปัญหาสามารถอธิษฐานได้แต่จะบรรลุจุดมุ่งหมายได้ต่อเมื่อน้องชายต้อง เห็นดีด้วย แล้วพัฒนาจิตตนเองให้ทำเหตุถูกตรงเพื่อนการพ้นไปจาปัญหานั้น

    (2) วิธีแก้ปัญหาเช่นนี้ในทางโลก ต้องนำตัวผู้สร้างปัญหาออกห่างไกลจากบาปมิตรไปอยู่ในหมู่กัลยาณมิตร หากเป็นกัลยาณมิตรผู้มีบุญบารมีมาก โอกาสที่น้องชายเปลี่ยนใจให้มาอยู่ในทางที่ดีจึงจะมีความเป็นไปได้

    (3) ผู้ถามปัญหาต้องพัฒนาจิตตนเองให้มีธรรมคุ้มครองใจจนพ่อแม่และน้องชายศรัทธา ได้เมื่อใดแล้วปัญหาดังกล่าวจึงจะแก้ไขได้
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. สามีหนูทำงานประจำ และเริ่มมาทำอาชีพเสริมด้วยการเปิดร้านเช่าพระบูชา ซึ่งได้มาด้วยความสุจริต แต่หนูยังมีความกังวลด้วยถือว่าพระเป็นของสูง แล้วหากนำมาทำเป็นธุรกิจ อาชีพนี้ถือเป็นบาปหรือไม่คะ

    2. ปัจจุบันหนูมีร่างกายที่ซูบผอม ซึ่งอาจเกิดมาจากผลกรรมที่เคยทำไม่ดีไว้ แต่ก็ยังคงทำการงานได้ตามปกติอยากให้อาจารย์ช่วยแนะแนวทางการแก้ไข เพื่อให้ร่างกายมีความแข็งแรงธาตุทั้ง 4 ในร่างกายมีความสมดุลขึ้นกว่านี้ เพียงพอกับเวลาที่เหลืออยู่ของชาตินี้ ที่จะปฏิบัติให้เกิดสติปัญญาในทางธรรมได้ตามกำลังวาสนาบารมีของตนได้อย่าง เต็มที่ โดยไม่มีอุปสรรคทางกายมาเบียดเบียน

    ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง ที่มีเมตตาช่วยชี้แนวทางสว่างให้กับทุกๆคน และขอให้อาจารย์เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ


    คำตอบ
    (1) บาปหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์ในการประกอบอาชีพ หากมีเจตนาเพื่อให้ตนมีศรัทธานำไปไว้เป็นที่ระลึกและบูชาคุณงามความดีของพระ พุทธะ หรือบูชาคุณงามความดีของเกจิอาจารย์ไม่ถือว่าเป็นบาป แต่หากมีเจตนารมณ์ต่างไปจากนี้เช่นบูชาในอิทธิปาฏิหาริย์ บูชาเพื่อให้ตัวเองร่ำรวย บูชาเพื่อให้ตนเองอยู่ยงคงกระพัน ฯลฯเหล่านี้ในทางธรรมถือว่าเป็นบาป

    (2) ต้องทำเหตุให้ถูกตรงคือสร้างมหาทานด้วยการให้อาหารเป็นทานอยู่เสมอ เช่นสร้างโรงทาน เลี้ยงพระอย่างน้อยเจ็ดวันให้ยาว แรงกรรมจะส่งผลเป็นความสมบูรณ์แข็งแรง
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ชีวิตผมที่ผ่านมาไม่ใช่คนดีมาก ทำให้ต้องปวดหัวใจกับคนที่บ้าน เป็นคนกังวลมาก ขี้สงสาร ขี้กังวล สงสารคนไปหมด เลยต้องรับภาระทำงานหลายอย่าง ทำให้ชีวิตต้องเป็นแบบนี้ ผมเป็นลูกคนโต ต้องพยายามห้ามไม่ให้น้องๆ ทะเลาะกัน เพราะสงสารคุณแม่ ใจจริงผมอยากทำตัวแบบอาจารย์ สอนคน เมตตาคน แต่ตัวเองสมาธิก็ไม่ได้เรื่อง จิตใจว้าวุ่น ไม่เป็นตัวของตัวเอง ทุกข์กับทางบ้านตลอด ผมอยากทราบอดีตชาติ ไปทำอะไรกับคนทางบ้าน ทำให้ผมต้องมากังวลตลอด นิสัยขี้สงสาร ไม่อยากให้มีปัญหา

    กลัวคุณแม่ทุกข์ อยากได้อาจารย์เป็นกัลยมิตร หาทางส่วางผมให้หน่อยครับ คิดว่าเมตตาคนทุกข์ลำบากซะคน ต้องทนทุกข์ลักษณะแบบนี้ เป็นเวลาเป็น สิบ ๆ ปี จนบางทีไม่เข้าใจตัวเองเลยทำไมมารับภาระแบบนี้ ถ้ารู้อดีตชาติทำอะไรมา เมื่อไหร่หมด ผมยอมรับ แต่ทุกวันนี้ไม่ทราบว่าเวรกรรมจะหมดเมื่อไหร่ มันยาวนานแค่ไหน ทุกข์มากจริงๆ ครับอาจารย์ แล้วอยากให้อาจารย์ชี้แนะการปฏิบัติให้ผมด้วย เวรกรรมนี้น่ากลัวมากจริงๆ ผมขอสมัครเป็นศิษย์อาจารย์ด้วยคนครับ สงสารลูกศิษย์คนนี้อีกคนนะครับ


    คำตอบ
    การไปรู้กรรมในอดีตชาติไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ให้หมดไป ผู้เห็นถูกใช้ผลของกรรมในปัจจุบันมาเป็นครูสอนใจว่าตัวเองได้สร้างอกุศลกรรม ไว้ก่อน เมื่อกรรมส่งผลเป็นอกุศลวิบกผู้ทำกรรมจำต้องรับและชดใช้หนี้กรรมนี้ จะได้ชดใช้หนี้เวรกรรมให้หมดสิ้นกันไปในชาตินี้

    ผู้มีความเห็นถูกเห็นว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้มีพระคุณ เพราะเขาได้ทำให้เราได้สร้างขันติบารมี ทำให้เราได้สร้างสัจจบารมีและยอมใช้หนี้ที่ตัวเองได้ก่อไว้

    ผู้เห็นถูกเห็นว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้มีประสบการณ์มากขึ้น ฯลฯ

    สุดท้ายผู้ถามปัญหาประสงค์เป็นศิษย์ของผู้ตอบปัญหา เรื่องนี้เป็นได้ต่อเมื่อผู้ถามปัญหาต้องเห็นถูกตามธรรมมีจิตเป็นอิสระต่อ ความเห็นผิดใดๆ ได้แล้วความเป็นครูเป็นศิษย์เกิดขึ้นเมื่อนั้น
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ครั้งหนึ่ง หนูได้เคยมีโอกาสได้สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84พรรษาที่จ.จันทบุรี ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้เมตตาชี้แนะและตอบข้อสงสัยให้หนู แต่ครั้งนั้นด้วยความปิติดีใจที่ได้สนทนากับท่านอาจารย์จึงลืมที่จะขออโหสิกรรมกับท่านอาจารย์ เนื่องด้วยหนูเคยรู้สึกสงสัยในบางคำตอบของท่านอาจารย์ที่เคยมีผู้ถาม แต่ก็รู้ว่าเพราะตัวเองยังพัฒนาจิตของตนได้ไม่ดีพอที่จะพิสูจน์ในสิ่งที่ท่านอาจารย์ได้ตอบเอง (เป็นคนมีความเพียรน้อยเองค่ะ) หนูจึงกราบขออโหสิกรรมในกาย วาจา ใจ ที่เคยล่วงเกินต่อท่านอาจารย์ด้วยนะคะ

    ในวิปัสสนากรรมฐานที่หนูปฏิบัติอยู่ หนูเน้นการดูจิตค่ะ แต่สังเกตว่าถ้าไม่มีสมาธิพอจะดูจิตไม่ทัน

    ที่หนูสงสัยและต้องรบกวนถามท่านอาจารย์คือ

    1.ที่หนูทราบคือสมาธิมีหลายระดับ แต่ไม่ใช่ทุกคนใช่ไหมค่ะที่สามารถเข้าถึงระดับฌาน ได้แม้จะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แต่ถ้าหนูไม่สามารถเข้าสมาธิถึงฌานได้หมายความว่าหนูไม่เคยทำมาก่อนในอดีตชาติหรือเพราะยังเพียรไม่พอหรือทั้งสองอย่างคะ และจริงๆแล้วจำเป็นหรือเปล่าคะที่หนูต้องเข้าสมาธิถึงระดับฌานได้ และมีความเป็นไปได้แค่ไหนคะ สุดท้ายถ้าหนูอยากเข้าฌานเพื่อพิสูจน์ด้วยตนเองจะไม่ถือเป็นวิปัสสนูปกิเลส หรือคะ

    2.ช่วงนี้ หนูมักจะวางอุเบกขาไม่ได้กับเหตุการณ์บ้านเมืองที่มีนักการเมืองไม่ดี ชาวบ้านลำบากทั้งที่ท่านอาจารย์ก็เคยชี้แนะแล้วว่าผู้รู้ต้องพัฒนาจิตตนก่อน ไม่ควรเข้าไปยุ่งในกรรมของคนอื่น แต่หนูก็บริจาคเงิน+ยา ช่วยผู้ชุมนุมอยู่บ่อยๆเพราะสงสารที่ต้องไปตากแดดตากฝนกลางถนนและลึกๆคือ เกลียดคนโกงค่ะ พี่ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ด้วยกันก็เช่นกัน แต่ตอนนี้หนูเริ่มรู้สึกกลัวว่าเผื่อชาติหน้าหากต้องมาเกิด(แต่จริงๆไม่อยาก เกิดแล้วค่ะ) ต้องมาเจอพวกคนโกงอีกก็เลยบอกพี่ๆและแฟนว่าเราอย่าไปบริจาคช่วยเขาสร้างเวร กรรมกันอีกเลย รอกฏแห่งกรรมลงโทษเองดีกว่า แล้วที่หนูและพี่ๆทำบุญบริจาคไปแล้วจะแก้อย่างไรดีคะ สุดท้ายทางโลกเราต้องวาง เลือกทางธรรมอย่างเดียงแม้จะห่วงอนาคตประเทศชาติใช่ไหมคะ

    อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะค่ะ เพราะหนูตั้งใจว่าจะขออนุญาตนำคำตอบของท่านอาจาย์ไปเผยแผ่และอ้างอิงกับญาติ ธรรมทั้งหลายค่ะ



    คำตอบ
    ให้อโหสิแล้วปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง มิใช่พัฒนาจิตให้เกิดความตั้งมั่นเป็นสมาธิในฌาน การพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งไม่จำเป็นต้องพัฒนาจิตให้เข้าถึงความเป็นฌาน คนที่เกิดมาในยุคสมัยนี้ จำเป็นต้องพัฒนาจิตให้เกิดสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ให้ได้ก่อน แล้วปัญญาเห็นแจ้งจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้

    (1) อยากเข้าฌานได้ไม่ใช่วิปัสสนูปกิเลส แต่เป็นกิเลสตัวที่เรียกว่า ตัณหา ผู้ใดมีจิตอยู่ใต้อำนาจความอยาก (ตัณหา) ฌานและญาณจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้

    (2) ผู้ใดเอาจิตเข้าไปร่วนกระบนกรรมของคนอื่น เมื่อกรรมให้ผลเป็นวิบาก ผู้ร่วมกระบวนกรรมต้องเป็นผู้รับวิบากนั้น ด้วยเหตุนี้ผู้รู้จึงไม่เข้าไปร่วมในกระบวนกรรมของใครผู้ใด แต่ผู้รู้เอาการกระทำของคนอื่นมาเป็นครูสอนใจตนเองว่าหากเขาทำดีเราจะทำ อย่างเขา และหากเขาทำไม่ดีเราจะไม่ทำเช่นเขา

    สิ่งที่ผู้ถามปัญหาเคยร่วมกระบวนกรรมกับเขาไปแล้วถือ ว่าบาปได้เกิดขึ้นและถูกเก็บสั่งสมไว้ในจิตวิญญาณแล้ว หากประสงค์จะไม่ให้บาปประเภทนี้มีกำลังกล้าแข็งมากยิ่งขึ้น ต้องหยุดตัวเองไม่เข้าไปร่วมกระบวนกรรมใด ๆ กับเขา แล้วหันมาพัฒนาจิตตนเองให้เป็นอิสระต่อสิ่งกระทบทั้งปวงได้ นับว่าเป็นสิ่งดีที่ควรทำ และหากจะให้ดียิ่งขึ้นต้องพัฒนาจิตตนเองให้เป็นอิสระจากสังโยชน์ 10 ได้แล้วนั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่มนุษย์ เทวดา พรหม ผู้หวังอิสรภาพของชีวิตได้ยึดถือปฏิบัติกัน

    สุดท้ายอนุญาตให้นำคำตอบไปเผยแพร่อ้างอิงกับญาติธรรมได้
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    หนูได้สวดพระคาถาชินบัญชรได้ประมาณ 2 เดือนแล้วค่ะ หลังจากสวดมนต์เสร็จก็แผ่เมตตาและสวดอุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่และเจ้ากรรมนาย เวร หนูเพิ่งทำบุญทำทาน สนใจเรื่องธรรมะเมื่อต้นปีค่ะ ทุกสิ้นเดือนก็จะบริจาคเงินที่รพ.สงฆ์หรือบริจาคเงินซื้อโลงศพที่มูลนิธิ ร่วมกตัญญูข้างวัดหัวลำโพง แต่จะเขียนชื่อพ่อแม่เสมอค่ะ

    แต่เมื่อเช้านี้หนูได้อ่านหนังสือพัฒนาจิตของอาจารย์ค่ะ แล้วรู้สึกง่วงก็เลยนอนแล้วก็ฝันเรื่องที่กังวลอยู่(ไม่ใช่เรื่องที่อ่าน ค่ะ) หลังจากนั้นก็หลับโดยไม่ฝัน สักพักก็เกิดเป็นแสงสว่างไปทั่วแล้วเริ่มมีลูกกลมๆสีเหลืองอมน้ำตาลเป็นภาพ มัวๆจึงเข้าใจไปว่าเป็นลูกแก้วที่เวลาคนนั่งสมาธิแล้วเห็นกัน แต่เกิดความสงสัยว่าใช่หรือไม่ เพราะไม่ค่อยได้นั่งสมาธิ แล้วหนูก็รู้สึกเหมือนจิตดิ่งลงไป แล้วภาพที่เห็นก็ชัดขึ้นปรากฏเป็นรูปดวงตาค่ะ พร้อมกับเกิดคำถามขึ้นมาว่า อะไรเนี่ย ทันทีทีเกิดคำถามขึ้นในใจหนูก็ได้ยินเสียงเหมือนเป็นเสียงสวดมนต์ขึ้นที่หู ซ้ายแต่ไม่รู้ว่าเป็นสวดมนต์บทไหน จึงนึกขึ้นว่า ไม่ได้แล้วต้องรีบตื่น เพราะรู้สึกว่าหนูยังไม่ได้ฝึกการนั่งสมาธิที่ถูกต้องเลย จึงคิดว่าไม่ควรเห็นหรือได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้น จึงตื่นแต่ค่อยๆลืมตาเพราะรู้สึกว่าหนักตัว ขยับตาและตัวลำบากค่ะ

    จึงอยากถามว่า เหตุการณ์ที่หนูได้เจอมันคืออะไรคะ หนูควรจะไปฝึกสมาธิเลยหรือไม่ (ตอนนี้ยังเรียนไม่จบค่ะ) ขอให้ช่วยแนะนำสถานที่สำหรับคนที่ไม่รู้วิธีนั่งสมาธิด้วยค่ะ (หนูพักแถวพาต้าปิ่นเกล้าค่ะ)

    ท้ายนี้ หนูขออนุโมทนาบุญที่ท่านอาจารย์ที่มีเมตตาช่วยตอบคำถามคลายข้อสงสัยของ สมาชิกกัลยาณธรรมทุกท่านด้วยค่ะ
    ขอกราบขอบพระคุณค่ะ

    คำตอบ
    สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นภาพลวงใจ เกิดกับจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิชั่วขณะ หากนำตัวเองเข้ารับการฝึกปฏิบัติธรรมจะทำให้จิตมีกำลังของสมาธิเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความจำดีขึ้น เรียนเก่งขึ้น สถานที่ฝึกที่อยู่ไม่ไกลจากพาต้าปิ่นเกล้า แนะนำให้ไปฝึกที่ยุวพุทธิกสมาคม
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ผมมีข้อสงสัยคือ ผมได้ไปปฎิบัติธรรม ที่วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี โดยทางวัดจะให้ผู้ปฏิบัติรับศิล 8 ขณะรับศิลผมคิดว่าจะขอปฏิบัติแค่ศิล 5 เท่านั้น เพราะตัวผมมีกลิ่นตัว จึงใช้น้ำยาระงับกลิ่นกาย ขณะใช้ก็ไม่คิดว่าเป็นของหอม เพราะต้องการแค่มิให้กลิ่นตัวของเราไปทำลายสมาธิของผู้อื่น ไม่ทราบว่า จะมีผลอย่างไร


    คำตอบ
    มีเจตนารับเพียงศีล 5 มาปฏิบัติ ให้กล่าววาจาสมาทานศีลเพียงห้าข้อแรกก็มิได้ผิดอะไร ส่วนเรื่องยาระงับกลิ่นกายหากผู้ถามปัญหาประสงค์ไม่ให้กลิ่นเข้าไปรบกวน ประสาทของผู้ปฏิบัติธรรมอื่น ๆ ควรเลือกให้สารที่ไม่ส่งกลิ่นรุนแรงเช่น คนโบราณนิยามใช้สารส้มแก้ปัญหาแบบเดียวกันนี้
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1.ปัจจุบันการดำเนินชีวิตนั้นค่อนข้างจะมีความสับสนมาก เพราะจะยึดถือการดำเนินชีวิตโดยดูจากคนรอบข้าง ซึ่งคนรอบๆข้างส่วนใหญ่ก็จะเดินไปตามกระแสกิเลสตัณหา ถึงแม้เราไม่ได้ ใกล้ชิดกับคนกลุ่มนั้นมากแต่ด้วยได้ดูได้เห็น มันก็เก็บมา คิดโดยอัตโนมัติ จึงหาแบบอย่างการดำเนินชีวิตของคนปัจจุบันนั้นยากผมคิดแบบนี้ถูกมั้ยครับ

    2.ผมได้เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองคือจะพยายามห่างคนพาล( เพื่อน,ญาติ ที่มีพฤติกรรมเป็นคนพาล)ให้มากที่สุด และพยายามเลือกสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อที่จะทำให้เราเป็นคนคิดดี ทำดี พูดดี
    การกระทำของผมไม่ได้เป็นการหนีปัญหาใช่มั้ยครับ ผมทำเพื่อระวังใจตัวเองไม่ให้ไหลไปกับความชั่ว

    3.ในใจผมยังมีคำปรามาส ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่( พระรัตนตรัย พระอริยะเจ้า) ผู้มีคุณทั้งหลาย ทั้งๆที่ใจไม่ได้ยินดีกับคำปรามาสที่อยู่ในหัวเลยเป็นแค่คำๆที่เหมือนห้าม จิตคิดก็ยิ่งยุให้คิด
    ทุกครั้งจะกล่าวขออภัยทุกครั้งในใจ ผมจึงพยายามนั่งสมาธิ อบายมุขต่างๆก็ลด ละ เลิก ให้พยายามคิดแต่สิ่งดีๆ ทุกอย่าง ผมสังเกตตัวเองเลยว่า เพราะมีสิ่งไม่ดีในใจมากเราจึง คิดพูดทำแต่สิ่งไม่ดี แบบนี้ผมเข้าใจถูกมั้ยครับ การที่เราพยายามคิดดี ทำดี พูดดี ให้ฝังในจิตใจบ่อยจะทำให้ของเก่าที่ไม่ดีในใจหมดไป ใช่มั้ยครับ

    4.ทำไมพอเราเริ่มจะหันมา คิดดี ทำดี พูด ดี แล้วมักจะหมดกำลังใจยังไงไม่รู้ครับเพราะใจมันมักจะยังมีสิ่งไม่ดีในใจยัง อยู่เสมอเลยครับ แต่ก็ฝืนความรู้สึกไปในทางที่ดีเสมอ

    5.จะทำอย่างไรให้การ คิดดี ทำดี พูดดี ให้สามารถมีอยู่ในใจทุกขณะตื่นแม้เจออุปสรรคก็ไม่ท้อแท้

    ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร ที่ชี้ทางสว่างให้ครับ

    คำตอบ
    สาธุ...สัมมาทิฏฐิบางเรื่องได้เกิดขึ้นกับผู้ถามปัญหา

    (1) เป็นความคิดถูกของผู้ถามปัญหา ผู้รู้คิดวาแบบอย่างการดำเนินชีวิตของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เขาเหล่านั้นล้วนเป็นครูสอนใจไม่ให้เราประพฤติตามแนบที่เขาได้ทำให้ดู ชีวิตของเราจะไม่สับสนอย่างเขา

    (2) สำหรับผู้ที่มีสติสัมปชัญญะไม่กล้าแข็งการจะไม่เสวนากับคนพาลเป็นสิ่งที่ควร ทำ แต่ในทางธรรมสอนให้เรารู้ว่าบุคคลไม่สามารถหนีใจตัวเองได้พ้น ดังนั้นเขาจะไม่ปลีกตัวออกห่างจากคนพาล แต่จะพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองให้มีกำลังสติปัญญากล้าแข็งแล้วอยู่ร่วมกับ สิ่งกระทบที่ไม่ดีเหล่านั้นได้ โดยจิตไม่รับเอาสิ่งกระทบไม่ดีเข้ามาปรุงให้เกิดเป็นอารมณ์ติดลบ นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาของผู้รู้เขาแก้ปัญหาที่ตัวของเขาเอง ผู้รู้จึงไม่หนีปัญญาด้วยการนำตัวออกห่างจากคนพาล

    (3) คนดีทำดีได้ง่ายทำชั่วได้ยาก คนชั่วทำชั่วได้ง่ายทำดีได้ยาก บุคคลทำกรรมได้สามทาง คือ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ความคิดเป็นเรื่องของมโนกรรม ผู้ใดประสงค์มีจิตคิดเป็นกุศล ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติกล้าแข็ง แล้วนำสติมาเป็นตัวหยุดความคิดชั่ว นำสติมาเป็นตัวทำให้เกิดความคิดดีให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ

    สุดท้าย แม้ทุกพฤติกรรมที่ทำให้เกิดขึ้นใหม่ล้วนแต่เป็นกุศลกรรมก็มิได้หมายความว่า อกุศลกรรมเก่าที่ฝังอยู่ในจิตวิญญาณจะหมดไปแต่กุศลกรรมใหม่ไปทำให้อกุศลกรรม เก่าเจือจางลง

    (4) ผู้รู้นิยมเจริญความเพียร ๔ อย่างให้เกิดขึ้นอยู่เสมอด้วยการ
    - เพียรระวังบาปอกุศลที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น
    - เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป (ใช้ไตรลักษณ์เป็นเครื่องมือ)
    - เพียรทำกุศลใด ๆ ที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น
    - เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ให้คงอยู่

    หากผู้ถามปัญหาเชื่อแล้วทำตามที่ผู้รู้เสนอแนะ จนสามารถเอาชนะใจตนเองได้เมื่อใดแล้ว ปัญหาดังที่ถามจะหมดไป

    (5) ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติจนเป็น “ มหาสติ ” และพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นถูกตรงตามที่เป็นจริง จนเป็น “ มหาปัญญา ” ได้แล้วจิตจะไม่เป็นเช่นกระโถน รองรับกิเลสทั้งปวง (ขยะ) เข้ามาปรุงแต่งใจให้เกิดเป็นความเศร้าหมองได้
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    มีอยู่ช่วงหนึ่งผมฝึกสติ แต่ก็ไม่ได้เอาจริงมาก แต่ผมรู้สึกเหมือนว่าความจำผมไม่ดี จำอะไรไม่ค่อยได้ ที่เคยจำได้ก็ลืมแบบดื้อเลยครับ แม้แต่ไอที่ไม่น่าลืมก็ลืมในบางส่วน แต่ช่วงนั้นผมฝึกประมานว่าไม่เอาอะไรใส่สมองเลย เห็นอะไรแล้วก็ไม่ใส่ใจ ให้มันผ่านๆไป ไม่เก็บมาคิด อย่างเมื่อก่อนผมอ่านหนังสือธรรมะมาก จำได้เยอะสามารถอธิบายเพื่อนได้ แต่ตอนนี้ผมจำที่อ่านได้แค่บางส่วนเท่านั้น บางทีต้องใช้เวลานึกอยู่นานมาก

    1.อยากถามว่าอาจเป็นเพราะผมฝึกสติหรือป่าวครับ เพราะการไม่ใช้ฝึกใช้สมอง ไม่ใช้เชื่อมโยงข้อมูล เลยทำให้จำอะไรไม่ค่อยได้
    2.หรือมีทางเป็นไปได้ไหมครับที่ผมไปลบหลู่ครูบาอาจารย์ เลยทำให้จำอะไรไม่ได้ (นี้เคยไปอ่านเจอมานะครับ)
    3.แล้วมีวิธีแก้หรือป่าวครับ หรือวิธีฝึกจำ เพราะใครก็บอกว่าฝึกสติจะทำให้เราเห็นอะไรชัด จึงทำให้จำได้ดี

    ขอบพระคุณอาจารย์มากนะครับ

    คำตอบ
    (1) จากงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศพบว่าผู้ฝึกสติ ภาวนาแบบ T.M.** จนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้แล้วมีผลทำให้ความถี่ของคลื่นสมองเปลี่ยนจากความ ถี่ช่วงคลื่นยาวมาอยู่ในความถี่ช่วงคลื่นสั้น ซึ่งส่งผลให้ความจำของสมองเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ฉะนั้นที่ถามไปจึงมิใช่เหตุที่ทำให้ความจำเสื่อมเว้นไว้แต่ว่าโครงสร้างของ สมองเสื่อมจากการทำหน้าที่ด้วยมีเหตุอื่นที่ให้เสื่อม เช่นการดื่มสุรา การมีจิตเป็นทาสของอารมณ์หลากหลายเหตุเกิดจากความชราของเซลล์สมอง

    (2) คำถามในข้อนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความจำเสื่อมได้

    (3) ผู้รู้กล่าวว่า “ สรรพสิ่งเกิดขึ้นย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิดเมื่อเหตุดับสิ่งนั้นย่อมดับไปด้วย ” ฉะนั้นประสงค์จะแก้ปัญหานี้ต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ พระธุดงค์ที่เจริญมนต์ด้วยการทำวัตรเช้า-เย็นอยู่เป็นปกติ แม้อายุจะล่วงเข้าปีที่ 104 แล้วความจำยังไม่หลงลืม ดังนั้นเหตุที่พูดถึงในข้อ(1) จึงมิใช่ตัวการที่ทำให้เกิดปัญหาความจำเสื่อม แต่หากปัญหามาจากเหตุในข้อ (2) ผู้มีปัญหาต้องไปขอขมากรรมกับผู้ที่มีคุณธรรมสูงที่ตัวเองไปลบหลู่แล้วต้อง ไม่ประพฤติเช่นนั้นอีก ปัญหาจึงจะหมดไปได้


    **
    ประเทศทางตะวันตกในปัจจุบัน โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา มีประชาชนหนุ่มสาว นักศึกษาหันมาฝึกสมาธิกันมากเป็นพิเศษ และสมาธิที่เขาฝึกกันมาก ก็คือ TRANSCENDENTAL MEDITATION หรือที่เรียกโดยย่อว่า T.M. ซึ่งมหาฦาษีมเหศจากอินเดีย ได้นำเข้าไปเผยแผ่ไว้ในสหรัฐ เมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว ต้องเสียเงินค่าเล่าเรียน ขณะนี้มีศูนย์ฝึก T.M. อยู่ทั่วโลกประมาณ 360 แห่ง แม้ประเทศไทยเราก็มีศูนย์ T.M. เช่นกัน เพราะมีนักศึกษาไทยที่เข้าไปเรียนอยู่ในสหรัฐอเมริกานำเข้าเผยแผ่ ทั้งนี้ก็เพราะว่าเขาได้รับผลดีจากการฝึก T.M. มาแล้ว

    สมาธิแบบ T.M. นี้ ก็คล้ายกับสมาธิในพระพุทธศาสนามาก แต่ก็ไม่เหมือนกันทีเดียว ถ้าเทียบกันแล้วก็เป็นสมาธิขั้นต้นในพระพุทธศาสนา ถ้าเราได้ฝึกกันอย่างจริงจังและใช้เวลาฝึกกันติดต่อกันเป็นปีๆ เช่นนี้ ก็ย่อมได้รับผลเช่นกัน และมีผลเหนือกว่าด้วย เพราะเป็นสมาธิที่พระพุทธเจ้าทรงทดสอบได้ผลเป็นอย่างดีมาแล้ว
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    หลังจากที่ดิฉันคิดว่าตัวเองคงไม่ได้ไปฟังบรรยายธรรมที่ธรรมศาตร์แน่แล้ว เพราะดิฉันติดอบรมวันที่ 1-5 กรกฎาคม และยังไม่ได้บัตรมีสิทธิ์เข้าฟัง แต่ปรากฎว่าในวันที่ 30 มิถุนายน ดิฉันได้ทราบว่าเลื่อนวันอบรมจากวันที่ 5 เป็นวันที่ 28 และอีกไม่กี่นาทีดิฉันได้รับบัตรเข้าฟังคำบรรยายธรรม ทำให้ดิฉันคิดว่าดิฉันโชคดีมากๆ เพราะดิฉันอยู่ภาคใต้โอกาสไปกรุงเทพนั้นแสนยาก ตอนที่เข้าฟังบรรยายได้เข้าไปฟังในห้องประชุมเล็ก ไม่สามารถเห็นอาจารย์ได้จริงๆ ก็ยังคิดว่าไม่เป็นไรได้ฟังสดๆก็เป็นบุญแล้ว หลังจากนั้นตอนบ่ายท่านอาจารย์ก็เข้ามาห้องประชุมเล็ก ดิฉันกล้าเข้าไปกราบสวัสดีท่านเพราะดิฉันมาคนเดียว เกิดความประหม่า แต่ในใจก็ปลื้มปิติยินดีที่ได้โอกาสเจออาจรย์จริงๆสักที จึงใคร่เรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

    1. มันเป็นเหตุบังเอิญหรือเพราะแรงอธิษฐานของดิฉันที่ขอให้ได้พบอาจารย์และเข้า ร่วมฟังบรรยายธรรม
    2. ถ้าเราเผลอผิดศีลที่ไม่ร้ายแรงบ้างเช่น โกหกเพราะความจำเป็นหรือตัดความรำคาญบ้างจะถือว่าไม่รักษาศีลหรือเปล่า แต่ดิฉันพยายามจะมีศีลคุมใจเหมือนอย่างอาจารย์ได้กล่าวไว้ เพราะกลัวจะไม่บรรลุตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
    3. ถ้าเราแต่งงานกับคนต่างศาสนา โดยเราไม่เปลี่ยนศาสนา และเขาก็ไม่กีดกันหรือห้ามเรา แต่เขาก็ยึดมั่นในศาสนาเขาเช่นกัน จะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรมของดิฉันไหมค่ะ

    ขอขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์ค่ะ


    คำตอบ
    (1) พุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้รู้จึงไม่มีคำว่าบังเอิญทุกสิ่งเกิดขึ้นย่อมมีเหตุ ที่ทำให้เกิดเมื่อใดบุคคลมีบุญสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณ แล้วบุญให้ผลสิ่งที่บอกเล่าไปจึงได้เกิดขึ้นตามแรงปรารถนา (อธิษฐาน) ที่ผู้มีบุญตั้งไว้

    (2) ยังถือว่าเป็นรักษาศีล แต่รักษาไว้ไม่อยู่ ด้วยเหตุที่มีกำลังของสติอ่อนกว่า แรงผลักดันของกรรมที่มีกำลังเหนือกว่าในช่วงที่จิตขาดสติคุม ฉะนั้นประสงค์ไม่ให้ขาดศีล ต้องเจริญสติภาวนาอยู่เสมอ

    (3) หากบุคคลทั้งสองที่เข้ามาอยู่ร่วมสังคมเดียวกัน มีสติคุมไม่ก้าวล่วงในสิทธิส่วนตัว (ความเชื่อ) ของบุคคลผู้อยู่ร่วม ปฏิบัติธรรมจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ต้องขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สนองเป็นอย่างยิ่ง ขณะนี้ดิฉันเปลี่ยนเป็นคนใหม่เหมือนได้เกิดใหม่บนโลกอีกครั้ง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความปิติ ที่ รู้และเข้าใจตัวเองมากยิ่งขึ้นทุกขณะจิต ขณะนี้ดิฉันมีปรากฏการณ์ของชีวิต ที่คิดว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่ช่วยพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ที่มีสติอยู่ทุกข์ขณะคือ ดิฉันตรวจพบเนื้องอกที่มดลูกขนาดใหญ่ ถึง 2 ลูก แต่ดิฉันกลับไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใดเลยรู้สึกเฉยๆ กับอาการที่ตรวจพบ แต่กลับรู้สึกว่าถึงเวลานะที่เราต้องเร่งปฏิบัติแล้ว และต้องเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต

    ทั้งนี้ดิฉันขอกราบเรียนขอคำปรึกษาและกำลังใจจากท่านอาจารย์ สนอง ในเรื่องธรรมะสำหรับคนป่วย เช่นการกำหนดจิตขณะปวดเพื่อช่วยให้อาการปวดลดลง หรือ การกำหนดจิตให้สงบก่อนการเข้าผ่าตัด และการกำหนดจิตเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิตที่ต้อจากโลกนี้ไป อย่างสงบ

    ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ดร. สนอง เป็นอย่างสูง

    คำตอบ
    สาธุ..คุณทำได้ จงทำดีต่อไปด้วยการแสวงเอาธรรมะมาคุ้มครองใจ เพื่อจะได้ก้าวข้ามปัญหาที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าอย่างสง่างามด้วยทำจิต ภาวนาจนมีกำลังของสติกล้าแข็งได้แล้วเป็นสิ่งที่ควรทำ
     

แชร์หน้านี้

Loading...