ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ดิฉันอาศัยอยู่ที่จังหวัดน่าน ได้รู้จักกับท่านจากการฟังบรรยายทางวิทยุ เมื่อ ท่านมาบรรยายที่โรงแรมเทวราช จ.น่าน เป็นที่สิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจและต้อง การศึกษา จึงได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมโดยการอ่านหนังสือ และดาวน์โหลดเสียงจาก อินเทอร์มาฟัง นอกจากนั้นก็ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมะ เกี่ยวพับพระพุทธเจ้า มากยิ่งขึ้น เพราะท่านอาจารย์ยกกรณีตัวอย่างจะได้เข้าใจมากยิ่ง ทำให้ตนเอง พัฒนามากขึ้น (ประเมินตนเอง) คิดได้หลายเรื่อง ทำให้ทราบวิธีฝึกตนเอง และ ฝึกตนเองอยู่เสมอ กำหนดลมหายใจอยู่ตลอดเวลา สวดมนต์ ไหว้พระ แต่ไม่สม่ำเสมอ

    จะพยายามทำให้ดีต่อไป ดิฉันเป็นครูได้นำความรู้ที่ได้รับมาเล่าสู่นักเรียน ฟังเป็นประจำ เมื่อก่อนก็รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนคนทั่วไป แต่เดี๋ยวนี้ ดีขึ้นเยอะมาก รู้สึกเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น รู้ว่าควรทำอย่างไรเราจึงจะมีความ สุข ดิฉันได้ชักชวนในคนในครอบครัวมาฟังเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ฟัง สิ่งที่ดีดี ทำเป็นแบบอย่างให้ลูก ๆ ดู อ่านหนังสือของท่านให้ลูกฟัง ดิฉันมีลูกสามคน คน เล็กได้ 1 ปี 8 เดือน ปิดเทอมก็จะพากันไปนั่งสมาธิ ที่บ้านเป็นครอบครัว ใหญ่ดิฉันเป็นสะใภ้ อาศัยอยู่กับแม่ยายและน้องสาวของสามีซึ่งไม่แต่งงาน และ ยังพาคุณแม่มาเลี้ยงหลานอีกด้วย ฟังดูยุ่งมาก เมื่อก่อนก็ยุ่งใจมาก แต่ เดี่ยวนี้ไม่ยุ่งแล้ว เพราะดิฉันกำกับใจของตนเองได้ระดับหนึ่ง ซึ่งต่อทำต่อไป อีก ดิฉันได้กัลยาณธรรมที่ดีมากคืออาจารย์ ถือโอกาสการอยู่ร่วมกันมากฝึกสงบ จิตใจไปขั้นหนึ่ง ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงที่ได้พบเจอกับท่านอาจารย์และสิ่งที่ ดีดีเช่นนี้ ดิฉันตั้งใจไว้ว่าจะฝึกตนอยู่เสมอมิให้กิเลสเข้ามาครอบงำอยู่เสมอ
    ดิฉันอยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า

    1. ถ้าต้องการนั่งสมาธิในจังหวัดในภาคเหนือมีสถานที่ใดบ้าง

    2. ขอข้อแนะนำเพิ่มเติ่มอีกคะ ขอบพระคุณอาจารย์มาก

    ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูง ขออนุโมทนาสิ่งที่อาจารย์ได้กระทำด้วยคะ

    คำตอบ
    (1) วัดแพร่ธรรมาราม อ.เด่นชัย จ.แพร่ หรือสาขาของวัดแพร่ ฯ เป็นสถานที่เหมาะแก่การพัฒนาจิตวิญญาณ

    (2) ประสงค์เข้าถึงมรรคผลแห่งการปฏิบัติต้องทำใจให้เป็นผู้มักน้อย มีสันโดษ มีศีล มีสัจจะ มีความเพียรให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วการปฏิบัติธรรมจะบรรลุจุดประสงค์
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ดิฉันมีข้อสงสัยบางประการในการรักษาศีล 8 ซึ่งดิฉันกำลังฝึกปฏิบัติอยู่ ขอเรียนอาจารย์ ในการปฏิบัติของดิฉันก่อนนะคะว่าถูกต้องหรือไม่และขอคำแนะนำจากอาจารย์ด้วยค่ะ

    1. ดิฉันตั้งใจรักษาศีล5แต่ถือปฏิบัติแบบศีล 8 โดยไม่ได้รับศีล 8 จะได้หรือไม่

    2. ในชีวิตประจำวันของการปฏิบัติงานทำให้การรักษาศีลให้บริสุทธิ์เป็นไปได้ค่อนข้างยาก ดิฉันสงสัยว่าถ้าเราต้องทำงานนอกบ้าน การรับรู้ข่าวสาร ทั้งฟังและอ่าน , การแต่งตัวแต่งหน้า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะปฏิบัติอย่างไรที่จะให้กระทบกับการรักษาศีลให้น้อยที่สุด

    3. ขอคำแนะนำสำหรับการรักษาศีล 8 สำหรับผู้ที่ยังต้องวุ่นวายอยู่ในสังคมด้วยค่ะ ว่าควรจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะถือว่าปฏิบัติได้ถูกต้องและได้บุญ

    กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็ยอย่างสูงค่ะ
    ผู้เริ่มปฏิบัติ


    คำตอบ
    (1) คำว่าสมาทาน มีความหมายได้ 2 นัย คือการคือเอาเป็นข้อปฏิบัติ หรือการรับเอาเป็นข้อปฏิบัติ

    ฉะนั้น ผู้ใดรู้ว่าศีลแปดข้อมีอะไรบ้างแล้วนำทั้งแปดข้อนั้นมาถือปฏิบัติเพื่อให้เว้นจากความชั่ว สามารถทำได้โดยไม่ต้องไม่รับมาจากผู้ใด หรือตรงข้ามผู้ใดยังไม่รู้ว่าศีลแปดข้อนั้นมีอะไรบ้างต้องไปขอให้พระสงฆ์บอกศีลทั้งแปดข้อแล้วรับเอามาปฏิบัติ ก็ให้เหมือนกันคือ เว้นจากความชั่วได้

    (2) ทุกกิจกรรมที่ประพฤติทั้งในบ้านและนอกบ้าน ต่างมีผลกระทบถึงการถือปฏิบัติศีลเพียงแต่ว่าเมื่อกระทบแล้วจะทำอย่างไรให้ศีลขาด ศีลพร่องเท่าที่จำเป็น ความประสงค์ในแนวทางนี้จะสำเร็จได้ต้องพัฒนาจิตตนเองให้มีกำลังของสติสัมปชัญญะกล้ามแข็งนั่นคือสติสัมปชัญญะจะเป็นตัวทำหน้าที่คัดเลือก เอาเฉพาะส่วนที่เป็นประโยชน์ในการฟัง การอ่าน การรับรู้ข่าวสาร การแต่งตัวแต่งหน้าเท่าที่จำเป็นกับชีวิต

    (3) วันใดที่ยังต้องออกไปวุ่นวายกับสังคม ไม่ต้องปฏิบัติศีล 8 วันใดหยุดพักไม่ต้องออกงานสังคม วันนั้นให้ปฏิบัติศีล 8
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    1. เคยฟังการบรรยายของอาจารย์ว่าการปรารถนา พุทธภูมิ ใช้เวลา หลายอสงค์ไขย หากปรารถนา นิพพาน จะใช้เวลาเท่าใดค่ะ และ ฆราวาส ปรารถนานิพพานได้หรือไม่

    2. การรายงานวิชาหนึ่งของหลักสูตร ป.โท ให้กล่าวถึงผู้นำโลก ในทางโลกได้จัดทำรายงานไว้แล้ว แต่ในทางธรรม ดิฉันมีความเห็นว่าผู้นำโลก คือ พระพุทธเจ้า แต่ดิฉันบรรยายในทางธรรมไม่ชัดเป็นรูปธรรม ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยดิฉัน บรรยายความหมายที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้นำโลก ด้วยค่ะ


    คำตอบ
    (1) ปรารถนานิพพานสามารถทำได้ แต่จะบรรลุนิพพานได้เมื่อไร หรือใช้เวลายาวนานเท่าไร กำหนดไม่ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่ทำสั่งสมมาแต่อดีตชาติ อาทิ พระทัพพะมัลละบุตรและโสปากร บรรลุอรหัตตผลเมื่ออายุ 7 ขวบ กัญจนะ (พระมหากัจจายนะ) พาหิยะ พระนางเขมา ฯลฯ บรรลุอรหัตตผลขณะเป็นฆราวาสฟังธรรมจากพระโอษฐ์ และบางท่านต้องสร้างบุญบารมีต่อให้ชาติปัจจุบัน อาทิ พระมหาโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระมหาปชาบดี ฯลฯ หลังปฏิบัติธรรมแล้วจึงบรรลุอรหัตตผล

    ฆราวาสสามารถปรารถนานิพพานได้ แต่จะเข้าถึงได้ต้องทำเหตุให้ตรง คือ ปฏิบัติสมถและวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อใดเหตุปัจจัยลงตัวคือสามารถละสังโยชน์ทั้ง 10 ได้ ความปรารถนานิพพานจึงจะสัมฤทธิ์ผล

    (2) พระพุทธเจ้าเป็นผู้นำโลกในทางธรรม หมายถึงเป็นผู้มีความเป็นสัพพัญญูคือรู้แจ้งในทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถใช้ปัญญารู้แจ้งส่องนำทางให้กับจิตวิญญาณของมนุษย์ เทวดาและพรหมในสุทธาวาสพ้นไปจากความทุกข์ทั้งปวงได้
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    1. หากพิจารณาผัสสะด้วยการตามดู และเห็นไตรลักษณ์ปรากฎแล้ว จิตเริ่มปล่อยวางผัสสะ เพราะเห็นว่าไม่ใช่ตัวตน จิตเข้าสู่อุเบกขารมณ์ถามว่าต้องกำหนดรู้อุเบกขารมณ์นั้นด้วยหรือไม่ และหากถึงขั้นนี้แล้ว เมื่อทำได้อย่างสม่ำเสมอ จะเกิดอะไรขึ้น (กำหนดสงสัยหนอแล้วค่ะ แต่ยังอยากเห็นภาพถนนทั้งหมด ว่าจะพาเราไปที่ใด ขอความเมตตาด้วยค่ะ)

    2. การบรรลุธรรม เกิดขึ้นในขณะนั่งสมาธิเท่านั้นหรือไม่ หรือสามารถเกิดขึ้นในระหว่างอิริยาบถปกติได้

    3. อาการที่จิตกลับไปสู่สภาวะดั้งเดิม (ตัวตนเดิมแท้) เป็นอย่างไร

    4. หลักธรรมของพุทธเซ็นไม่ได้เน้นเรื่อง ไตรลักษณ์ แต่ให้รู้โดยฉับพลัน แต่ทำไมของเถรวาทเรา ต้องมีการปฏิบัติมากเหลือเกิน ทำไมจึงดูเสมือนขัดแย้งกันได้ ทั้ง ๆ ที่เป็นพุทธเหมือนกัน

    กราบขอบพระคุณอาจารย์สนองอย่างสูงสำหรับความเมตตาที่ท่านมีให้แก่ผู้ถามคำถามทุกคน และด้วยความอดทนอย่างยิ่ง

    ด้วยความเคารพ

    คำตอบ
    (1) เมื่อเป็นผัสสะเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์จิตจะปล่อยวางผัสสะ จิตเข้าสู่อุเบกขารมณ์ ซึ่งอุเบกขารมณ์ยังต้องดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ แท้จริงแล้วอุเบกขารมณ์ก็ไม่มีตัวตนเช่นกันความเป็นอิสรภาพของจิตจึงจะเกิดขึ้นและเมื่อใดจิตเป็นอิสระจาะสังโยชน์ทั้ง 10 ได้ ความพ้นไปจากการเวียนตาย-เวียนเกิดในวัฏสงสารจึงจะเกิดขึ้นได้ นี่คือภาพถนนที่มุ่งไปสู่ความสิ้นสุดของเส้นทางเดินของชีวิต

    (2) การบรรลุธรรม (โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์) เกิดได้ในทุกอิริยาบถ อาทิ ทัพพะมัลละบุตร บรรลุโสดาบันหลังจากโกนจุกที่ 1 แล้วเสร็จ... บรรลุอรหัตตผลหลังจากโกนจุกที่ 4 แล้วเสร็จ อุปติสสะ (พระสารีบุตร) บรรลุโสดาบันขณะนั่งฟังธรรมจากพระอัสสชิ...บรรลุอรหัตตผลขณะนั่งฟังธรรมพร้อมกับถวายงานพัดให้กับพระพุทธเจ้า พระอานนท์โสดาบัน บรรลุอรหัตตผลขณะล้มตัวลงนอน ปฏาจาราบรรลุอรหัตตผลขณะตักน้ำราดล้างเท้าตัวเอง ฯลฯ

    (3) ต้องขออภัยยังไม่มีประสบการณ์จิตเข้าสู่สภาวะดั้งเดิมจึงไม่อาจให้คำตอบได้

    (4) พุทธเถรวาทและพุทธเซ็น มิได้ขัดแย้งมีจุดประสงค์เหมือนกัน แต่วิธีการเข้าถึงความรู้แจ้งรู้ถ่องแท้ในสรรพสิ่ง ต่างกัน
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หนูก็เป็นคนหนึ่งที่จบจากมหาลัยเชียงใหม่คงเคยเรียนกับอาจารย์ค่ะ แรกสุดหนูเป็นคนห่างไกลศาสนามากคนหนึ่ง หนูเกิดมาในครอบครัวที่ถือว่าดีพ่อแม่น้องดี ฐานะปานกลาง หน้าตาดี การศึกษาดี รุ้สึกว่าชีวิตนี้สมบุรณ์ จนพอวันหนึ่งหนูมีความรักซึ่งหนูจริงจังมากถึงขั้นจะแต่งงานกับชายคนนี้เค้าเป็นหมอและเป็นพ่อม้ายแก่กว่า 7 ปี เราคบกันมา 4 ปี แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้แต่งงานแต่เค้าก็พูดว่าจะแต่งงานกับหนูทุกๆปี ไม่ใช่แค่บอกหนูแต่ยังบอกพ่อแม่ของหนูด้วย เหมือนเค้าหลอกเราทั้งครอบครัว ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา หนูมีความสุข 50 ทุกข์ 50 หนูเกิดอาการเครียดมากกับนิสัยและความเจ้าชู้ของเค้า จนเมื่อเข้าปีที่ 2 หนูเกิดอาการเหมือนเป็นโรคจิต ปรากฎว่าหนูป่วยเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ คือจะคิดและวิตกกังวลตลอดเวลา หนูเป็นหนักขึ้นๆ ทุกวัน เคยคุยกับจิตแพทย์ (ผู้มีพระคุณที่รู้จักทางอินเตอร์เน็ต) ท่านก็ช่วยบอกวิธีปฏิบัติตัวว่าต้องทำอย่างไร ก็เป็นโชคดีของหนูไปที่ได้เจอท่าน แต่อาการของโรคก็ไม่หาย ยังทรมานตัวหนูเองเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
    1. แบบนี้เกิดจากอะไรค่ะ แล้วหนูต้องทำอย่างไรให้ดีขึ้น
    2. หนูจะทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากแฟนคนนี้ หรือทำให้ความสัมพันธ์ของเราดีขึ้นค่ะ ทุกวันนี้หนูสวดมนต์และแพร่เมตตาให้เค้าตลอด เผื่อว่าเค้าจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรเรา
    3. ทำอย่างไรชีวิตหนูจะมั่นคง และมีความสุขมากกว่านี้


    ปล. อาจใช้คำไม่เหมาะสมขออาจารย์โปรดอภัยด้วยค่ะ

    คำตอบ
    (1) แม้จะเรียนมาสูงแต่ความรู้ (ปัญญา) ที่พัฒนาได้มานั้น ยังเป็นความรู้ที่ไม่ถูกตรงตามความเป็นจริงแท้ จึงเอาคำพูดของผู้อื่นมามีอำนาจเหนือใจ อารมณ์เครียดวิตกกังวลอาการย้ำคิดย้ำทำจึงได้เกิดขึ้น

    วิธีแก้ไขในทางโลก หมอจะให้กินยาระงับการทำงานของระบบประสาท แต่ในทางธรรมแก้ด้วยการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งซึ่งมีพลังมากใช้ปัญญาเห็นแจ้งมาดับต้นเหตุ คือคำพูดของผู้อื่นเป็นสิ่งที่เป็นอนัตตาไม่มีตัวตนแท้จริง จิตปล่อยวางคำพูดแล้วอารมณ์ที่ติดลบ อาการที่ติดลบจะหายไปอย่างถาวร

    (2) ประสงค์จะหลุดพ้นจากเขาต้องเอาตัวเองเข้าไปสัมผัสกับซากศพบ่อย ๆ (เจริญอสุภกรรมฐาน) จนจิตตัวเองไม่ตกเป็นทาสของรูป (ร่างกาย) ความหลุดเป็นอิสระจากเขาจึงจะเกิดขึ้นได้

    สันดานของคนเป็นเรื่องที่เปลี่ยนได้ยาก การจะให้คนสองคนมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ต้องมีคุณธรรม 4 อย่างเสมอกัน คือมีความศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีการสละบริจาคเสมอกันและมีปัญญาเสมอกันถามว่าคุณจะทำได้ไหมถ้าทำได้ความสัมพันธ์ที่ดีจะเกิดขึ้นได้

    (3) ผู้ใดพัฒนาปัญญาทางโลกให้มีมาก พัฒนาทักษะให้มีมากและพัฒนาคุณธรรมให้มีมาก ความสำเร็จและความมั่นคงของชีวิตย่อมเกิดขึ้นและผู้ใดทำตัวเองให้มีศีล 5 คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่นเลิกแสวงหาความสุขจากกามแล้วไม่แสวงหาความสุขจากจิตสงบชีวิตจะมีความสุขเพิ่มขึ้น
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    1. เพื่อนสอบถามว่า เหตุใดการนั่งสมาธิแค่ช้างกระดิกหู มีบุญมากกว่าการสร้างโบสถ์ 100 หลัง

    2. ดิฉันเคยสอบถามปัญหาอาจารย์และอาจารย์ตอบแล้ว(ข้อ 720) แต่ข้อความทั้งหมดที่เขียนรายงานคือ ในความคิดเห็นโดยส่วนตัว ดิฉันมอง 2 ด้าน ในทางโลกมองอย่างที่กล่าวมาข้างต้นและดิฉันเป็นส่วนหนึ่งของสังคมครอบครัวที่ยืนหันหลังให้กับระบบทุนนิยม แต่ในทางธรรมดิฉันมีความเห็นว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำโลกในทางธรรม เพราะท่านเป็นผู้มีความเป็นสัพพัญญูคือรู้แจ้งในทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถใช้ปัญญารู้แจ้งส่องนำทางให้กับจิตวิญญาณของมนุษย์ เทวดาและพรหมในสุทธาวาสพ้นไปจากความทุกข์ทั้งปวงได้ ซึ่งผู้นำในทางโลกไม่มีผู้ใดมีความอัจฉริยะ เช่นท่าน กลับตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับไปแต่ละวัน ตั้งแต่การดำรงชีพในแต่ละวันจนกระทั่งตายจากโลกไป ช่างน่าคิดว่าพระพุทธเจ้ากลับไปผู้นำโลกได้ทั้ง 3 โลก และเป็นผู้นำที่ไม่ล้าสมัย เวลาผ่านมา 2500 ปี ท่านไม่ต้องเปลี่ยนการแต่งตัว ( นุ่งจีวร ) ,ไม่ต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมทางความคิด และกระบวนทัศน์ใดเพื่อให้ทันต่อยุคสมัย ข้อปฏิบัติและคำสั่งสอนของท่านยังเป็นสัจธรรม นอกจากนี้ยังมีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่สามารถยืนยันและทดสอบได้ เพียงแต่ว่าผู้ที่จะยืนยันหรือทดสอบมีความสามารถเข้าถึงได้หรือไม่ ดิฉันจึงมีความแปลกใจว่า ในเมื่อสิ่งที่พระพุทธะท่านได้นำแบบอย่างเอาไว้อย่างดีแล้ว ผ่านห้วงเวลาการพิสูจน์มายาวนานแล้ว เหตุใด มนุษย์จึงยังหลงเลือกว่าควรจะค้นคว้าหาทางสร้างหรือคิดค้นหรือทำลายล้างกันเพื่อความเป็นใหญ่ของตัวเองหรือ แก่งแย่งชิงความได้เปรียบ เพื่อสนองความเห็นแก่ตัวของตนเอง แล้วมาชูกำปั้นว่าข้าฯนี่แน่และเก่งจริง เพียงเพื่อสนองกิเลสในห้วงชีวิตหนึ่งที่มีบุญได้เกิดเป็นมนุษย์มีอายุไม่ถึง 100 ปีนี้เท่านั้น แม้ในทางการศึกษาก็ยังค้นคิดทฤษฏีต่างๆมาสนับสนุนอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ เมื่อทฤษฏีใดไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ได้ก็เปลี่ยนแนวคิดและค้นหาทฤษฏีใหม่ แล้วเหตุใดทฤษฏีของพระพุทธเจ้าเป็นทฤษฏีถาวรไม่มีข้อโต้แย้งใด มนุษย์เราท่านจึงไม่ศึกษาและทำตัวให้เข้าถึงเพื่อพิสูจน์สัจธรรมเหล่านั้น หากศึกษาและปฏิบัติได้ทั่วทุกแห่งในโลก ความสงบ สันติสุข จะบังเกิดในโลกหล้า ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่ ขอโทษที่เป็นคำถามที่ยาวมาก ดิฉันจะไม่รบกวนอาจารย์อีกแล้วเป็นคำถามสุดท้าย


    คำตอบ
    (1) สร้างโบสถ์ 100 หลัง มีอานิสงส์สูงสุดได้เข้าถึงสวรรค์สมบัติ นั่งสมาธิแค่ช้างกระดิกหูแต่เข้าฌานได้มีอานิสงส์สูงสุดไดเข้าถึงพรหมสมบัติ

    (2) ผู้ถามปัญหายังมีความแปลกใจว่าทำไมมนุษย์จึงยังหลงเหลือหาทางค้นคว้าเพื่อทำลายกันและกัน หรือเพื่อสนองอัตตา ของตัวเอง ทำไมมนุษย์จึงไม่ศึกษาและทำตัวให้เข้าถึงสัจจธรรมของพระพุทธะ

    ความแปลกใจคือความไม่แน่ใจ คือ ความสงสัย เหล่านี้มีต้นเหตุจากความรู้ไม่จริง มนุษย์ส่วนใหญ่นิยมพัฒนาปัญญารู้ไม่จริง (สตุมยปัญญา และจินตามยปัญญา) จึงมีความเห็นเป็นคนละทางกับพระพุทธเจ้าผู้มีปัญญารู้จริงแท้

    ผู้ถามปัญหายังมีความแปลกใจ นั่นเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่า ผู้ถามปัญหายังมีความรู้ไม่จริง เมื่อใดผู้ถามปัญหาพัฒนาปัญญาจนเข้าถึงความเป็นผู้รู้จริงได้แล้ว ความแปลกใจในสิ่งที่ถามไปจะไม่เกิดขึ้น

    ในยุคสมัยนี้เป็นยุคที่จิตวิญญาณของมนุษย์ส่วนใหญ่มีพลังน้อยจิตตกเป็นทาสของโลกธรรมและวัตถุ คนส่วนใหญ่จึงตะเกียกตะกายแสวงหาสองสิ่งนี้มาประดับตัวตน ความหวังจะให้ความสงบและสันติสุข บังเกิดขึ้นในโลกหล้า ย่อมเป็นไปไม่ได้ หากประสงค์จะพิสูจน์สัจจธรรมของความรู้แจ้ง ผู้ถามปัญหาต้องสร้างเหตุให้จิตวิญญาณของตัวเองไปเกิดในยุคสมัยที่มนุษย์เกือบทั้งหมดมีจิตเป็นอิสระจากโลกธรรมและวัตถุ (ยุคพระศรีอารยเมตไตรย) ความสงบและสันติสุขในสังคมมนุษย์จะเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องคาดหวัง
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หนูอยากทราบวิธีการสอบอารมณ์ตนเองค่ะ

    เราจำเป็นต้องทราบว่าเราปฏิบัติถึงระดับไหนหรือเปล่าคะ
    หนูเกิดมาในครอบครัวปฏิบัติธรรม ใส่บาตรเป็นตั้งแต่ยังเด็ก นั่งสมาธิกับตากับยาย ไปวัดทุกวันพระ และได้ค้นพบด้วยตัวเองว่า การไม่ทำให้ตัวเองทุกข์ก็คือการหยุดคิด มีอะไรอีกหลายอย่างค่ะที่ทำให้หนูคิดว่า หนูมาต่อจากชาติที่แล้ว
    เมื่อต้นปีที่แล้ว หนูได้รับคำแนะนำจากอ.ท่านหนึ่ง ท่านเมตตาสอนให้แยก จิต สติ ความคิด ซึ่งหนูก็เริ่มปฏิบัติด้วยการตามรู้การเดินในชีวิตประจำวัน และมีแผนที่เป็นลำดับญานซึ่งรู้ได้ด้วยตนเอง และปฏิบัติต่อเนื่องเรื่อยมาตามความรู้ที่ได้ศึกษาจากการอ่าน ฟังธรรม สนทนาธรรม และปรากฏการณ์จากการปฏิบัติ

    ไม่นานมานี้ หนูฝันถึงหลวงปู่เหรียญค่ะ ท่านเอาเท้ายันไว้ไม่ให้ลงจากรถ ซึ่งในรถโค้ชคันนั้นมีครูบาอาจารย์อยู่เต็มรถ ต่อมาหนูฝันถึงพ่อ ว่าพ่อเอาซากศพผูกติดกับตัวไว้ ใครๆก็เอาศพผูกติดกับตัวไว้ เมื่อคืนก็ฝันว่ามีปลาที่เกล็ดสวยงามเหมือนมรกตบินขึ้นจากอ่างเลี้ยงปลา บินไปต่อหน้าต่อตา สูงขึ้นๆ หนูก็ถืออ่างปลาเดินตาม กลัวว่าถ้าไม่อยู่ในน้ำปลามันจะตาย แต่มันบินอย่างมีความสุขค่ะ

    ตอนนี้หนูพิจารณาขันธ์ชัดเจนขึ้น การน้อมนำสิ่งที่สัมผัสทางทวารทั้ง 6 สู่ไตรลักษณ์และอริยสัจก็ดีขึ้น เห็นอะไรก็พิจารณาได้และปล่อยวางได้ ทำให้จิตเบาขึ้นๆ ไม่มีความโกรธ โลภ อยู่ในใจเลย โทสะ มีบ้าง แต่ก็เห็นชัดตั้งแต่มันรู้สึกจึงปล่อยวางได้ ยิ่งมาป่วยหนัก ทำให้พิจารณาความตายได้โดยไม่มีความกลัว ตอนแรกหนูไม่ได้สนใจปรากฏการณ์เหล่านี้เท่าไรคะ จนมีเพื่อนคนหนึ่งที่ถือศีล 8 เคร่งครัด มาปรามาสว่า เราปฏิบัติไม่ก้าวหน้าเนื่องจากศีล 5 เราไม่ครบ (คือเค้าไม่รู้ทางปฏิบัติเราและมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น หนูถือศีลข้อเดียวค่ะ) ก็ไม่ได้โกรธเค้านะคะ ก็แนะนำเค้าด้วยความเมตตาว่าการถือศีลนั้นก็ดี แต่มันไม่ได้เป็นมีดตัดกิเลส พี่เค้าก็ปรามาสต่อว่าครูบาอาจารย์เราเป็นใคร ครูบาอาจารย์เค้าเป็นใคร หนูเลยเงียบเสีย แต่ไม่อยากให้ใครมาปรามาสธรรมะในตัวเราเลยค่ะ เพราะของดีเราเห็น ตอนแรกไม่คิดจะอยากรู้อะไรค่ะ จะปฏิบัติไปเรื่อยๆ อาจารย์ว่าหนูควรจะรู้ระดับของตัวเองหรือไม่คะ

    ขอบคุณที่อาจารย์เมตตาตอบค่ะ
    สาธุ

    คำตอบ
    ไม่จำเป็นต้องทราบ จะหยุดคิดได้มีอยู่ 2 กรณีคือทำจิตให้ตกภวังค์(นอนหลับ) หรือพัฒนาจิตให้ไปเกิดเป็นอสัญญีสัตตาพรหม (พรหมที่มีแต่รูปไม่มีจิต)

    ผู้ใดอยากทราบระดับความรู้(ปัญญา)ของตัวเอง ผู้นั้นจะไม่รู้ แต่ถ้าผู้ใดทำจิตให้เป็นอิสระจากความอยากรู้ (ปลอดตัณหา) ผู้นั้นมีโอกาสเข้าถึงระดับของความรู้ของตัวเอง นี่คือคำตอบที่ถามไปว่าควรจะรู้ระดับของตัวเองหรือไม่ และเช่นเดียวกัน ความไม่อยากให้ใครมาปรามาสธรรมที่มีอยู่ในตัวเอง ยังเป็นความเห็นผิดเพราะในทางธรรม ไม่มีผู้ใดสามารถแก้ปัญหาเห็นผิดหรือเห็นถูกให้กับใครได้ เว้นแต่ว่า ผู้นั้นต้องแก้ปัญหาให้กับตนเอง
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ถ้าภาวนาจนเกิดปัญญารู้ว่า "จิตไม่ใช่เรา" สงสัยค่ะ ว่าตอนตาย ถ้ามีสติรู้อยู่ เฝ้าดูว่า จะเกิดอะไรต่อไป แต่จิตยังไม่ได้หลุดพ้นเนื่องจากยังมีกิเลสเหลืออยู่ อะไรจะเป็น ตัวนำไปเกิด เป็นเพราะตัวรู้ยังอยู่ใช่ไหมคะ เพราะถ้ามีตัวรู้ก็ถือว่ายังมีจิต ขอความกรุณาท่านอาจารย์ อธิบายการสร้างภพของจิตด้วยค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญในมหากุศลจิตค่ะ

    คำตอบ
    เมื่อปัญญารู้ว่า “ จิตไม่ใช่เรา ” แล้วยังเกิดความสงสัยแสดงว่าปัญญาที่นำมาใช้พิจารณาจิตนั้น
    เป็นจินตามยปัญญาแต่ถ้าเป็นเห็นแจ้ง(ภาวนามยปัญญา) ที่เกิดขึ้นในดวงจิตแล้วจะไม่เกิดเป็นความสงสัย

    ดังนั้นตัวที่จะนำจิตไปเข้าอยู่อาศัยในร่างใหม่คือความไม่รู้จริง(อวิชชา) ที่ยังมีอยู่ในดวงจิตนั่นเอง

    ผู้ถามปัญหาประสงค์จะรู้การสร้างภพของจิต ต้องไปดูเรื่องสิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น(ปฏิจจสมุปบาท)
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    1. เมื่อสัตว์เลี้ยงที่บ้านป่วยแล้วเราไม่พาเค้าไปหาหมอจะถือว่าบาปไหมคะ จะปล่อยให้เค้าไปตามกรรมของเค้า หรือว่าเราต้องช่วยเค้าให้ถึงที่สุดคะ

    2. ดิฉันมีรูปภาพพระพุทธรูปอยู่ที่บ้าน โดยจะสวดมนต์หน้ารูปภาพพระพุทธรูปอยู่เป็นประจำ อยากเรียนถามว่าจะมีเทวดาอยู่ในรูปภาพได้หรือไม่ เนื่องจากดิฉันไม่มีองค์จำลองมีแต่เพียงรูปภาพคะ

    3.ทำไมบุญที่ได้จากการเจริญวิปัสสนากรรมฐานจึงถือว่าเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคะ ทำไมอานิสงค์มันถึงได้มากมายขนาดนั้น

    4. ทำไมจึงกล่าวว่าขณะที่ตายถ้าเราคิดยังไง เช่น คิดไม่ดี ก็จะไปเกิดในอบาย แล้วถ้าคนๆนั้นเป็นคนที่ทำความดีมาตลอด แต่ขณะตายดันไปคิดเรื่องไม่ดีเข้า มันจะยุติธรรมเหรอคะ กับคนที่ทำชั่วมาตลอดแต่ขณะตายก็สวดมนต์ คิดแต่สิ่งดีๆ

    รบกวนอาจารย์ด้วยนะคะ ขอบคุณคะ

    คำตอบ
    (1) มิได้ประพฤติผิดศีล ไม่ถือว่าเป็นบาปแต่เป็นความมัวหมอง (มลทิน) ของใจที่ไม่มีเมตตากรุณา

    (2) เทวดาพวกที่ศรัทธาในพุทธศาสนาจะไม่เข้าไปอยู่ในรูปจำลองขององค์พระพุทธะ แต่จะปกป้องคุ้มครองอยู่ใกล้ ๆ

    (3) การเจริญวิปัสสนากรรมฐานถือว่าเป็นบุญใหญ่สุดเพราะปฏิปทาเช่นนี้เป็นหนทางนำพาชีวิตไปสู่นิพพานสมบัติได้

    (4) ยุติธรรม หมายถึง ความชอบด้วยเหตุผล ผู้มีความเห็นถูกตามธรรมเชื่อว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรมและเชื่อว่ากรรมใกล้ตาย (อาสันนกรรม) จะให้ผลก่อนถ้าไม่มีกรรมหนัก (ครุกรรม)และกรรมที่ทำจนเคยชิน (อาจิณณกรรม)ให้ผล

    ปัญหามีอยู่ว่า เมื่อใกล้ตายจิตระลึกได้ในกุศลกรรมแล้วจิตหลุดออกจากร่างทันที แรงของกุศลกรรมจะผลักดันจิตให้ไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในสุคติภพ ตรงกันข้ามเมื่อใกล้ตายจิตระลึกได้ในอกุศลกรรมแล้วจิตหลุดออกจากร่างทันทีแรงของอกุศลกรรมจะผลักดันจิตให้ไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในทุคติภพ
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หนูจะ อุทิศส่วนกุศล ทุกครั้งหลังจากนั่งสมาธิค่ะ ...
    คำว่า "อุทิศส่วนกุศล" เราใช้กับคนเป็นได้หรือไม่คะ หรือว่า ใช้เฉพาะกับคนตายแล้วเท่านั้น ?
    หนูต้องการให้บุญที่เกิดจากการทำสมาธิของหนูนี้ (ถึงแม้จะเป็นบุญเพียงเล็กน้อย แต่หนูก็จะเพียรทำทุกวัน) ให้กับพ่อแม่ หนูตั้งจิตอธิษฐาน แล้วใช้คำว่า อุทิศส่วนกุศล ให้กับพ่อแม่ ได้หรือไม่คะ ?

    ขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์ค่ะ


    คำตอบ
    การอุทิศส่วนกุศลจะสัมฤทธิ์ผลได้ต้องประกอบด้วยปัจจัย 3 คือ มีผู้อุทิศให้ มีบุญกุศลที่อุทิศ มีผู้มาอนุโมทนา

    ฉะนั้นคนที่ตายไป แล้วไปเกิดเป็นรูปนามใหม่ที่มีลักษณะต่างไปจากรูปนามเดิม หรือมีลักษณะเหมือนรูปนามเดิมที่เป็นทิพย์ (สัมภเวสี) รวมถึงรูปนามที่ถูกสมมุติว่าเป็นพ่อเป็นแม่ หากเขาเหล่านั้นสามารถมาอนุโมทนาบุญได้การอุทิศกุศลนั้นจะบรรลุผล

    ผู้ถามปัญหาถามไปว่าอุทิศส่วนกุศลให้กับพ่อแม่ได้หรือไม่จึงตอบว่า คุณสามารถอุทิศกุศลให้ท่านได้ ปัญหามีอยู่ว่าท่านรับรู้หรือไม่ถ้าพ่อแม่รับรู้และอนุโมทนาผลสัมฤทธิ์แห่งการอุทิศกุศลจะเกิดขึ้น
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    อาตมาภาพ ได้บวชเรียนในบวรพระพุทธศาสนา สายธรรมยุติ ณ วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม จ.ปทุมธานี เมื่อ 14 ก.ค. 2550

    เนื่องจากต้องการปฏิบัติกรรมฐาน อยู่ป่า เพื่อหลีกเร้นและหนีสงสาร จากโลก ((ปัจจุบันจำวัตรอยู่วัดสีตลาราม(ธ) จ.ตาก)) และความที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการประพฤติในเพศฆราวาส จนเป็นเหตุให้ถูกอดีตภริยา ได้ใส่ร้ายฟ้องร้องเป็นคดีอาญา กล่าวหาว่าได้ทำการอนาจารบุตรสาว วัย 4 ขวบ ซึ่งอาตมาภาพในสมัยเป็นฆราวาสนั้น ก็ถูกอดีตภริยาและครอบครัว ได้กีดกันและไม่ให้พบลูกสาวเลยตั้งแต่ ลูกสาวอายุได้ 6 เดือน และต้องต่อสู้ฟ้องร้องกันมาตลอด 4 ปี จนลูกอายุได้ 4 ขวบ และการที่เขาไม่ทำตามข้อตกลงเลย จึงเป็นเหตุให้อาตมาภาพ ขอออกหมายจับและหมายขัง จนศาลอนุมัติตามคำขอ แล้วต่อมาก็เกิดความกลัว จึงส่งมอบลูกสาววัย 4 ขวบ ให้อาตมาภาพ และเป็นเหตุให้เขาและครอบครัว ใส่ร้ายว่าอาตมาภาพ(ฆราวาส) ทำอนาจาร ลูกสาวตนเอง นี่คือกรรม ณ ปัจจุบัน และผูกพันมาแต่อดีตในชาตนี้

    อาตมาภาพมีความซาบซึ้งในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระพุทธศาสนา จนเป็นเหตุให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ที่จะครองเพศสมณ เพื่อเจริญในธรรม ตราบเท่าที่บุญยังมีอยู่

    จึงเจริญพร มาเพื่อขอให้คุณโยม ช่วยแนะนำบุพกรรมและกรรมในปัจจุบันแก่อาตมาภาพตามความเหมาะสมด้วย

    เจริญพร
    พระภิกษุณัฐฐพล

    คำตอบ
    นักวิทยาศาสตร์เชื่อในความเป็นเหตุผล เมื่อมีเหตุเกิดย่อมมีผลเกิดตามมาหรือผลที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิด ผู้ที่เข้าถึงธรรมในพุทธศาสนารู้ว่าไม่มีแม้เพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นโดยบังเอิญทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิดทั้งสิ้น กรรมวิบาก มีจริง เป็นประสบการณ์ตรงของผู้ตอบปัญหาจึงขออนุญาตแนะนำพระคุณเจ้าว่า การจะให้ปัญหาของพระคุณเจ้าหมดไปสามารถทำได้ 4 อย่างคือ

    1. ยอมรับความจริงของบุพกรรมและยอมชดใช้วิบากของกรรมที่ตามมาทันในชาติปัจจุบัน ชดใช้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าหนี้เวรกรรมจะหมดสิ้น

    2. ทำบุญใหญ่แลกหนี้บุญใหญ่ต้องทำด้วยการปฏิบัติจิตตภาวนาแล้วอุทิศบุญที่เกิดขึ้นให้กับเจ้าหนี้เวรกรรม (อดีตภรรยาและลูกสาว) ไปเรื่อย ๆ วิธีนี้เป็นการเอาบุญของพระคุณเจ้าแลกกับหนี้บุพกรรมที่เป็นเวรต่อกัน

    3. สร้างความดีหนีหนี้ ด้วยการพัฒนาตัวเองให้มีความเพียรไม่ประพฤติอกุศลกรรมใหม่ให้เกิดขึ้น เพียรกำจัดอกุศลกรรมเก่าให้หมดไปเพียรทำความดีทุกรูปแบบให้มีกำลังหนีทันอกุศลวิบากที่จะตามมาให้ผลและสุดท้ายเพียรรักษาความดีที่พัฒนาได้ให้คงอยู่

    4. หนีเข้านิพพานด้วยการพัฒนาจิตตนเองหมดอาสวกิเลสแล้วดับรูปดับนามเข้านิพพาน

    ทั้ง 4 ข้อเป็นทางปฏิบัติของอริยบุคคล ในการบริหารจัดการนำพาชีวิตของตนเองข้ามวัฏฏะ คือข้ามไปจากความทุกข์ทั้งมวล
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    รบกวนสอบถามว่าถ้าสามีไปมีคนอื่น แต่ยังรักและผูกพันกับเราอยู่ แต่ก็ยังห่วงอีกฝ่ายไม่สามารถตัดใจได้ ผู้หญิงท่านนั้นก็ไม่รู้ว่าเค้ามีภรรยาแล้ว แต่สามีกลับมาสารภาพกับเราเอง เพราะอยากมีลูกกับผู้หญิงคนนี้ และเพราะเราไม่สามารถมีลูกกับเค้า สามีก็เลยคิดจะไปแอบมีอะไรกับผู้หญิงท่านนี้เพื่อจะได้มีลูก และเก็บผู้หญิงคนนี้ไว้ลับ ๆ โดยไม่ได้เปิดเผย แต่ขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นมีลูก แต่ก็มีอะไรกันแล้ว สามีบอกห่วงผู้หญิงคนนี้เพราะเค้ายังอายุน้อยและถูกหลอกง่าย เกรงว่าจะเจอคนไม่ดีและถูกคนอื่นหลอก แต่ถ้าเค้าไปเจอคนดีและรักกันก็เต็มใจปล่อยไป เมื่อเรารู้เรื่องก็อดหวั่นไหวเศร้าใจไม่ได้ อยากจะขอเลิกราในฐานะการเป็นภรรยา แต่ความเป็นเพื่อนก็ยังมีให้เหมือนเดิม ไม่เกลียดโกรธ แต่เค้าขอร้องไว้ว่าให้ช่วยอยู่กับเค้า เพื่อที่เค้าจะได้หยุดความเจ้าชู้ให้น้อยลง และไม่ทำร้ายผู้หญิงอีกมากมาย ที่ผ่านมาเค้าจะเจ้าชู้ก็ทะเลาะกันหลายครั้งแต่ตอนหลังเราก็ให้อภัย เพราะเค้าจะสารภาพเองเรื่องนี้เอง จับได้บ้างแต่เค้าก็จะบอกรายละเอียดจนหมด

    ประเด็นที่ถามคือ ถ้าเค้าไม่สามารถตัดใจจากผู้หญิงอีกท่าน เราควรจะตัดใจเองดีหรือไม่ เพราะไม่อยากเข้าไปในวงจรเมียหลวงเมียน้อย คือเรารู้เรื่องแล้วก็เหมือนสมรู้ร่วมคิดกับสามีในการหลอกผู้หญิงคนนั้น

    แต่เค้าขอให้เราวางเฉยปฏิบัติธรรมอะไรได้ แต่ก็ขอให้เราทำหน้าที่ภรรยาต่อ คือให้ทำอย่างนั้นเราก็ทำได้ แต่จะเป็นการสร้างกรรมกับผู้หญิงคนคนนั้นหรือไม่ เค้าบอกถึงเราจะเลิกกับเค้า เค้าก็ไม่สามารถอยู่กับใครได้เหมือนเรา ไม่มีใครที่เข้าใจและพูดคุยกันได้เปิดอกเหมือนเรา

    ขอบพระคุณค่ะ

    คำตอบ
    มนุษย์เป็นสัตว์สังคมสัตว์สัมทุกตัวตนมีวงจรกรรมหลากหลาย ที่เข้าไปมีส่วนร่วมผู้ตอบปัญหาเคยร่วมวงจรกรรมทุศีลข้อ 5 ด้วยปรารถนาพัฒนาชีวิตของตนเองให้ดีให้เป็นตัวอย่างของสังคมคนดี จึงกันตัวเองออกจากวงจรอกุศลกรรมนั้น

    ผู้ถามปัญหามีชีวิตเป็นของตัวเอง และประสงค์ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในวงจรกรรมภรรยาหลวง-ภรรยาน้อย ต้องตัดสินใจและเลือกทางเดินของชีวิตด้วยตัวเองแต่ก่อนมีการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรขอยกตัวอย่างวงจรกรรมภรรยาหลวง-ภรรยาน้อยมาบอกเล่าให้ฟังว่า ในอดีตมีลูกสาวคหบดีสองคนลูกสาวคนพี่ชื่อภัททา คนน้องชื่อสุภัททา พี่สาวออกเรือนไปแต่งงานอยู่กินกับสามีแต่ไม่มีบุตร จึงบอกสามีให้ไปขอสุภัททามาเป็นภรรยาน้อย ทั้งภรรยาหลวงและภรรยาน้อยมีจิตเป็นกุศลขวนขวายในการทำบุญให้ทานช่วยกันปรุงอาหารถวายพระที่มารับบิณฑบาตเมื่อทั้งสองตายไป ภัททาไปเกิดเป็นบาทบริจาริกาของพระอินทร์อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ส่วนสุภัททาไปเกิดเป็นเทพนารีอยู่ในสวรรค์ชั้นนิมมานนรดี

    กรรมคือการกระทำทำดีเรียกว่ากุศลกรรมเมื่อใดที่กรรมให้ผลจะให้ผลเป็นกุศลวิบาก ดังตัวอย่างของภัททากับสุภัททา ส่วนกรรมไม่ดี(อกุศลกรรม) เมื่อทำแล้วจะให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ดังตัวอย่างของอิสิทาสี ซึ่งอดีตกรรมเคยไปยุสามีให้ขับไล่ภรรยาหลวงให้ออกจากบ้านชาติที่มาเกิดอยู่ในครั้งพุทธกาล กรรมชั่วให้ผลแต่งงานแล้วจึงต้องเป็นหม้ายถึง 3 ครั้ง ด้วยสามีทั้งสามคนปฏิเสธที่จะอยู่ร่วม

    ฉะนั้นผู้ถามปัญหาจะเลือกทำกรรมชนิดใด ต้องบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเอง ผู้ตอบปัญหาเป็นได้เพียงผู้ชี้ทางทั้งดีและไม่ดีให้เลือกเท่านั้น
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หนูขอคำแนะนำด้วยค่ะ เรื่องการปฎิบัติตัวในสังคม เนื่องจากในสังคมที่ทำงานของหนูนั้น มีหนูเพียงคนเดียวที่ค่อนข้างจริงจังในการปฎิบัติธรรม นอกนั้นจะปฎิบัติเพียงตามโอกาสและประเพณีเท่านั้น และบางคนก็จะสนใจในเรื่องวัตถุมงคลไปเลย พอหนูปฎิบัติธรรมได้สัก 1 ปี ผ่านมานั้น หนูรู้สึกอยากปลีกตัวและเลิกพูดคุยกับเพื่อนๆ ที่ทำงาน
    เพราะเรามักจะพูดคุยแต่เรื่องไร้สาระ ครบเครื่องหมดเลยค่ะทั้ง พูดเสียดสี พูดเพ้อเจ้อโปรยประโยชน์ ถึงแม้นจะเป็นการพูดคุยหยอกล้อกันเล่นๆ ไม่ได้มีประสงค์ร้ายต่อกันก็เถอะ ปัญหาคือ พอหนูทำตัวสันโดษ ก็กลายเป็นคนแปลก แตกแยกจากคนอื่น มีแต่คนบอกให้ทำตัวเหมือนเดิมเพราะอย่างไรเราก็ยังอยู่ในสังคม
    (คือยอมรับนะคะว่า หนูเองก็เป็นหัวโจกตัวฮาของกลุ่มเลยนะคะ) หนูก็เลยไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ทำตัวเหมือนเดิมก็รู้สึกว่าจะทำให้เราปฎิบัติธรรมได้ไม่เต็มที่และไม่ก้าวหน้าเลย พยายามเดินทางสายกลาง แต่ทุกครั้งที่จบการสนทนากับเพื่อนๆ ก็รู้สึกเป็นทุกข์ พอแยกตัวออกห่าง ก็กลายเป็นเหมือนคนแปลกหน้ากันอีก
    ขอท่านอาจารย์แนะนำทางสว่างเป็นวิทยาทานให้หนูด้วยค่ะ


    สุดท้ายนี้ ขอท่านอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง สำเร็จ มรรคผล นิพพาน ดั่งใจปราถนาค่ะ

    คำตอบ
    คำว่า “ ครบเครื่อง ” สำหรับอกุศลวจีกรรมมี 4 อย่าง คือ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดหยาบ พูดเพ้อเจ้อ

    ในครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าได้สอนเณรราหุล ให้สำเหนียกอยู่เสมอว่า “ จักไม่กล่าวเท็จ แม้เพียงประสงค์จะให้หัวเราะเล่น ” และมีอยู่ครั้งหนึ่งพระพุทธะได้เสด็จหมู่บ้านพราหมณ์ชนบทห่างไกลที่ชื่อว่าหมู่บ้านสาละ ซึ่งอยู่ในแคว้นโกศล พระพุทธะได้ตรัสกับหมู่พราหมณ์ในความหมายที่ว่า กุศลกรรมบถ 10 เป็นทางดำเนินไปสู่สวรรค์อกุศลกรรมบถ 10 เป็นทางสู่นรก

    ฉะนั้น ผู้ถามปัญหามีชีวิตเป็นของตัวเอง จึงต้องเลือกด้วยตัวเองวาจะนำพาชีวิตไปบนเส้นทางใด ผู้ตอบปัญหามิบังอาจตัดสินใจแทนใครได้ ผู้ตอบปัญหาเป็นได้เพียงผู้ชี้ทาง
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    1. เงินที่ได้มาจากการถุกลอตเตอรี่ ถ้านำมาทำบุญจะถือว่าบาปไหม แล้วการได้เงินมาดังนี้ถือว่าเป็นเงินที่ไม่บริสุทธิ์หรือเปล่าคะ

    2. บ้านดิฉันไม่มีห้องพระ อยากเช่าพระพุทธรูปมาให้ในห้องนอน แต่เคยได้ยินมาว่ามันไม่ควร เนื่องจากเทวดาจะไม่เข้ามา และอีกอย่างดิฉันเป็นผู้หญิงบางครั้งต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง มันไม่สมควรหรือเปล่าคะ อาจารย์ ตอนนี้ในห้องจะมีแต่รูปของพระพุทธรูป และพระสงฆ์ที่ดิฉันรักและเคารพ

    3. ดิฉันต้องขับรถประจำ เวลาขับรถหรือรถติด ดิฉันจะสวดมนต์ แต่ไม่ได้ยกมือขึ้นประนม เพราะต้องจับพวงมาลัย อย่างนี้จะถือว่าได้ไหมคะ เพราะทุกครั้งที่สวดมนต์เราต้องยกมือขึ้นประนม ดิฉันไม่ค่อยสบายใจกลัวว่าจะเป็นการหลบหลู่

    4.การฝึกแบบมโนมยิทธิมีหลักการอย่างไรหรือคะ ดิฉันเคยมีโอกาสได้เข้าไปเรียนแต่ไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของการทำอย่างนี้ ปกติดิฉันจะนั่งวิปัสสนากรรมฐาน เดินจงกรม ตามปกติ

    ขอบคุณคะอาจารย์

    คำตอบ
    (1) สังคมใดอนุญาตให้กิจการล๊อตเตอรี่เป็นสิ่งถูกกฎหมาย เงินที่ได้จากการถูกรางวัลจึงเป็นเงินบริสุทธิ์ตามที่สังคมบัญญัติ แต่การซื้อขายล๊อตเตอรี่เป็นเหตุแห่งอบายมุข นำความเสื่อมมาสู่ชีวิตได้

    ฉะนั้นการได้เงินจากการถูกรางวัลจึงเป็นเงินที่ไม่บริสุทธิ์ในทางธรรม ผู้ใดนำเงินที่ไม่บริสุทธิ์ไปทำบุญ อานิสงส์ที่เกิดขึ้นจึงได้บุญที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นบุญที่มีบาปเจือปน

    (2) เอาพระพุทธรูปมาไว้ในห้องนอน เพื่อจุดประสงค์กราบไหว้สวดมนต์ก่อนนอน เป็นการกระทำที่ไม่สมควร ผู้ใดศรัทธาในพุทธศาสนา สามารถส่งใจไปกราบไหว้และสวดมนต์บูชาคุณพระรัตนตรัย ต่อหน้าพระพุทธรูปในโบสถ์ใดโบสถ์หนึ่งที่คุ้นเคย หรือต่อองค์พระแก้วมรกตที่ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์วัดพระแก้วในพระบรมมหาราชวังก็สามารถปฏิบัติได้

    (3) มนุษย์ทำกรรมได้ 3 ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ เมื่อใจมิได้คิดลบหลู่ การสวดมนต์ทางวาจา กับทางใจสามารถทำได้

    (4) มโนมยิทธิ หมายถึง การมีฤทธิ์ทางใจ เป็นโลกิยอภิญญาตัวที่ 2 ในวิชชา 8 มโนมยิทธิเกิดได้กับผู้มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ (สมถกรรมฐาน) ผู้ตอบปัญหาไม่แนะนำผู้ใดให้ตั้งเป้าหมายพัฒนาจิตเพื่อให้เกิดฤทธิ์ทางใจเพราะไม่ทำให้พ้นไปจากทุกข์ได้ แต่ผู้ตอบปัญหาแนะนำให้ฝึกวิปัสสนากรรมฐานเพื่อเป้าหมายของการเกิดวิปัสสนาญาณ แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดกิเลสให้หมดไปจากใจได้เมื่อใดแล้ว วิถีแห่งการพ้นไปจากทุกข์จึงจะเกิดขึ้นได้
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    1- เคยขโมยเงินคุณพ่อไปใช้แบบที่เราอยากใช้ ทีนี้สิ่งนี้มันตามวนเวียนมาในหัวสมองจนรู้สึกว่ายังผิดอยู่ประจำ อยากหาทางหรือวิธีชดใช้กรรม แต่ไม่อยากสารภาพกับคุณพ่อ อาจาร์ยช่วยแนะนำให้ทีค่ะ

    2- มีวิธีทำอย่างไรให้เราทำงานแล้วมีความสุขทั้งๆที่ไม่ชอบระบบการทำงาน นิสัยเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย

    3- ถ้าเป็นคนติดการโกหกเพื่อทำให้เราหลุดพ้นออกจากความทุกข์ มีวิธีไหนที่จะแก้ได้บ้างค่ะ

    รบกวนอาจาร์ยแค่ 3 ข้อค่ะ กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
    (1) ผู้ใดวิ่งหนีห่างจากความจริง ผู้นั้นไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ฉะนั้นผู้ถามปัญหาประสงค์จะให้อกุศลกรรมทุศีลข้อ 2 ที่เคยทำไว้กับคุณพอให้หมดไป ต้องอยู่กับความจริงยอมรับความจริงแล้วนำพวงมาลัยดอกไม้สดไปสารภาพความผิด ที่เคยไปขโมยเงินของท่าน เมื่อใดที่คุณพ่อเอ่ยปากยกโทษให้ คุณจึงจะพ้นจากความผิดที่ทำนั้นได้ และต้องไม่ขโมยเงินของท่านอีก

    (2) เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุผู้ถามปัญหามีปัญญาเห็นผิด หากประสงค์จะให้ปัญหานี้หมดไปต้องแก้ไขที่ตัวผู้ถามปัญหาเอง ด้วยการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง นำตัวเองเข้าฝึกวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อผู้ฝึกเกิดปัญญาเห็นแจ้งขึ้นแล้วจะเห็นว่า ระบบการทำงานนิสัยเพื่อนร่วมงานนิสัยของเจ้านายล้วนต่างเป็นครูผู้มีพระคุณ สอนใจให้เราได้เรียนรู้ และมีประสบการณ์ชีวิตเพิ่มมากขึ้น

    (3) พระพุทธะเป็นผู้มีความเป็นสัพพัญญูคือรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง พระพุทธะบัญญัติศีลข้อ 4 ไว้ ให้กับมนุษย์และเทวดาผู้ปรารถนามีความสุขนำไปประพฤติปฏิบัติ ด้วยการเว้นจากการประพฤติวาจามุสาวาทได้แล้วโทษที่เกิดทางวาจาจะไม่มี
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ผมได้ฝึกสมาธิมา อยากทราบว่าการดูจิตและการฝึกสมาธิ ควรจะฝึกอย่างไร และฝึกควบคู่กันไปได้หรือไม่ คือเวลาผมสมาธิแบบอานาปานสติ ก็จะรู้แต่อยู่กับแต่ลมหายใจเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ไปดูจิตแต่อย่างได แต่เมื่อผมออกจากสมาธิแล้ว เราก็ดูจิตเราว่าตอนนั้นเรากำลังรู้สึกอย่างไร เช่น ฟุ่งซ่าน โกรธ สามารถฝึกควบคู่กันอย่างนี้ได้หรือไม่ครับ หรือผมควรจะฝึกสมาธิให้ดีเสียก่อนครับ แล้วค่อยมาฝึกดูจิต เพราะการดูจิตเป็นการวิปัสนาแล้ว อยากทราบว่าถ้าสมาธิเรายังไม่ดีแล้วมาวิปัสสนา มันจะเกิดผลเสียหรือไม่ครับ

    คำตอบ
    สมาธิคือความตั้งมั่นของจิต จิตที่มีสมาธิเป็นจิตที่ไม่ฟุ้งซ่านด้วยการไปรับสิ่งกระทบจากภายนอกเข้ามาปรุงอารมณ์ สมาธิไม่ต้องฝึก แต่สมาธิจะเกิดได้ด้วยการฝึกจิตให้มีกำลังของสติเพิ่มขึ้น องค์ภาวนาที่ใช้ในการฝึกจิตให้มีกำลังของสติ ได้แก่ กรรมฐาน 40 โดยเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งที่เหมาะกับจริตของตัวมาเป็นองค์ภาวนา เช่น อานาปานสติ เป็นกรรมฐานที่เหมาะกับผู้มีโมหจริต หรือมีวิตกจริต

    สำหรับผู้ฝึกใหม่ ต้องใช้จิตที่ตั้งมั่งจวนแน่วแน่(อุปจารสมาธิ) ไปตามดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิต เช่น อารมณ์ฟุ้งซ่านอารมณ์โกรธ อารมณ์ปวด ฯลฯ จนเห็นว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดอารมณ์ที่เกิดขึ้นดับไป (อนัตตา) จิตจะเห็นแจ้งชัดว่า อารมณ์ไม่ใช่ตัวตน จิตจะวางอารมณ์แล้วความเห็นแจ้งในอารมณ์จะเกิดขึ้น

    ด้วยเหตุนี้จึงควรฝึกจิตให้ตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิให้ได้ก่อนแล้วจึงค่อยตามดูจิตในภายหลัง
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ผมได้เริ่มพยายามปฏิบัติธรรมตามสติปัตฐาน4 มาเกือบ 1 ปีแล้ว โดยฝึกอาณาปานสติแบบนั่งสมาธิ วันละ 20 นาที และพยายามมีสติระลึกรู้ขันธ์5 อยู่ทุกครั้งที่มีสติ และพยายามรักษาศีล5 ให้ดีที่สุด ไม่นานมานี้ไ ด้พบเรื่องแปลกอยู่เรื่องหนึ่ง คือ ตอนที่นอนในห้องนอนคนเดียวตอนกลางคืนนั้น หลายครั้งเมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นกลางดึกจะได้ยินเสียงคนคุยกันหลายคน บางครั้งได้ยินชัดมากเหมือนคุยกันอยู่ในห้องเลย (ทั้งๆที่นอนคนเดียว) บางครั้งก็เป็นเสียงผู้หญิงไพเราะมาก แต่แปลกที่ผมพยายามฟังอยู่หลายครั้งก็ฟังไม่ออกว่าเป็นภาษาอะไร คล้ายภาษาไทยแต่ไม่ใช่ เหมือนเขมร พม่า หรือ บาลี ก็ไม่ทราบได้

    มีอยู่ครั้งหนึ่งผมตื่นมาได้ยินเสียงอีก จึงตั้งสติให้มั่นแล้วตั้งใจฟังอยู่พักหนึ่งก็ฟังไม่รู้เรื่องแม้จะได้ยินขัดเจน ก็ปรากฏแสงสีขาวเล็กๆ (เหมือนใครเอาไฟฉายเล็กๆมาส่องหน้า) จนผมหมดสติหลับต่อไป ผมคิดเอาว่าอาจจะเป็นเทวดา หรือ เจ้าที่ จึงได้นำผลไม้มากราบไหว้เพื่อแสดงความนับถือ

    ขอเรียนถามอาจารย์ว่า เป็นไปได้ไหมครับว่าเป็นเทวดา หรือ เจ้าที่ แล้วทำไมเราจึงได้ยินพวกเขาคุยกันตอนตื่นนอนกลางดึกเท่านั้น เขาตั้งใจมาให้เราเห็นหรือไม่ และควรจะทำอย่างไรต่อไปดีครับ เพราะหลายครั้งรู้สึกกังวลทำให้นอนไม่หลับบ่อยๆ หากเป็นเทวดาจริง การเซ่นไหว้ด้วยอาหารจะทำให้ท่านพอใจ และไม่มารบกวนเราได้ไหมครับ ก่อนที่จะฝึกสติก็ไม่เคยเจอแบบนี้ เป็นเพราะจิตเราเริ่มนิ่งหรือเปล่าครับ ทำให้สามารถสัมผัสได้มากขึ้น ขอบคุณมากครับ


    คำตอบ
    เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของอมนุษย์ที่อยู่ในอีกมิติหนึ่งผลที่เกิดเนื่องมาจากเหตุที่ผู้ถามปัญหาได้พัฒนาจิต จนความถี่คลื่นจิตไปตรงกับความถี่คลื่นในมิติเดียวกันกับเขา จึงสัมผัสกันได้ในลักษณะที่เรียกว่าทิพยโสต ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของคนที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาจิตได้ระดับหนึ่ง สิ่งที่ควรทำทุกครั้งที่ได้ยินเสียง คือกล่าวคำอุทิศบุญไปให้เขาว่า “ ด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ข้าพเจ้าอุทิศบุญให้ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงเป็นสุข ” เมื่อทำเช่นนี้แล้ว คุณก็จะมีเขาเป็นเพื่อนต่างมิติ
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    คือว่าป้าผมคนหนึ่งครับ ชวนผมไปรับธรรมะที่สถานธรรม ป้าผมบอกว่าเป็นการรับธรรมะโดยตรงจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์เคยได้รับรู้เรื่องแบบนี้หรือไม่คับ ขอท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะผมด้วยนะครับว่าเรื่องนี้มีจริงหรือไม่ แล้วผมควรจะทำอย่างไร

    ขอกราบขอขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงครับ...

    คำตอบ
    ผู้ตอบปัญหาเคยได้ยินในเรื่องที่ถามไป แต่รู้ว่าไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดจะยิ่งไปกว่าความศักดิ์สิทธิ์ในธรรมวินัย ที่มีอยู่ในพุทธศาสนา ธรรมวินัยนั้นคือสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานภาคปฏิบัติ ผู้ใดปฏิบัติและเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้แล้วนั่นคือสุดยอดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถนำพาชีวิตของผู้เข้าถึงธรรมให้พ้นไปจากความทุกข์ได้

    สิ่งที่ผู้ถามปัญหาควรทำหรือพิสูจน์คือนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมและเมื่อใดที่เข้าถึงธรรมได้ก็จะรู้ว่าสิ่งที่ตอบปัญหาบอกกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริง
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ดิฉันเคยไปหาพระสงฆ์รูปหนึ่ง (จ.เชียงใหม่) ท่านเป็นพระที่มีเมตตามาก ดิฉันได้ถวายปัจจัยและอุทิศให้ พ่อ แม่ ที่เสียชีวิตไปแล้ว ท่านก็ติดต่อกับดวงจิตของ พ่อ แม่ให้โดยให้ลูกศิษย์ของท่าน(อุบาสก)ที่นั่งข้างๆท่าน เป็นตัวกลาง เมื่อสอบถามดวงจิตของพ่อ พ่อบอกว่าไม่ได้รับบุญที่ดิฉัน ทำบุญทำทานอุทิศให้เลยเพราะท่านเป็นวิญญาณเร่ร่อน ท่านอาจารย์บอกว่าดิฉันทำบุญผ่านพระสงฆ์ที่ไม่รักษาศีลบริสุทธิ์ ท่านเลยสงเคราะห์ให้และ ช่วยให้ดวงจิตของพ่อไปสู่ที่ที่สูงขึ้น ได้ยินเป็นวิมานอะไรซักอย่าง มีอาหารทิพย์ไม่ต้องเร่ร่อนอดอยาก ดิฉันสงสัยว่า บุญของพระกรรมฐานจะช่วยให้ดวงจิตของพ่อให้พ้นสภาพที่ทรมานได้หรือไม่ เพราะทราบมาว่า กรรมของใครก็ต้องรับกรรมไปจนกว่าจะหมดแรงกรรม ไม่มีใครช่วยได้ แต่ถ้าช่วยได้จะช่วยได้นานแค่ไหน


    คำตอบ
    การตาย (จุติ) แล้วเกิด (ปฏิสนธิ) ของสัตว์ในภพต่าง ๆ มีแรงกรรมเป็นตัวนำเกิด จิตวิญญาณที่ไปได้ร่างใหม่ที่มีรูปลักษณะไม่เหมือนเดิมอยู่อาศัย เช่นไปได้ร่างของสัตว์เดรัจฉาน ไปได้ร่างมนุษย์ที่มีหน้าตาไม่เหมือนก่อนตาย ไปได้ร่างของเทวดาหรือนางฟ้าฯลฯ เหล่านี้ไม่เรียกว่าเป็นวิญญาณเร่ร่อน แต่หากตายจากมมนุษย์ก่อนครบอายุขัย จิตวิญญาณจะไปโอปปาติกะเป็นสัมภเวสี ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนครบอายุขัย คือหมดแรงกรรมผลักดันให้ไปเกิดเป็นสัมภเวสี แล้วจึงจะไปเกิดในภพใดภพหนึ่งในสังสารวัฏได้

    ด้วยเหตุนี้หากเป็นวิญญาณเร่ร่อนจริง จะยังไปเกิดใหม่ไม่ได้ยังต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ไม่มีใครผู้ใดช่วยสัมภเวสีให้ไปเกิดใหม่ได้แม้จะอุทิศบุญกุศลให้ก็ตาม ดังเช่น สัมภเวสีที่อยู่ในวัดม่อนฤาษี จ.เชียงใหม่ เป็นตัวอย่าง
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ดิฉันเริ่มจากการอ่านหนังสือ ยิ่งกว่าสุขเมื่อเป็นอิสระ รู้สึกชอบและประทับใจในเนื้อหาสาระมาก จากนั้นก็ติดตามอ่านหนังสือเล่มอื่นอีก จนกระทั่งได้มาฟังบรรยายธรรมจากเวปไซต์กัลญาณธรรม จนได้เปลี่ยนแนวคิดมาตั้งใจปฏิบัติธรรมและตั้งใจดำเนินชีวิตในทางที่ดี ที่ถูกต้อง ตามคำสอนของอาจารย์ รู้สึกซาบซึ้งในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระคุณและความเมตตาของอาจารย์มากที่เป็นเหมือนผู้กระตุ้นและชี้ทาง รวมทั้งขอขอบคุณเวปไซต์กัลยาณธรรมที่เป็นสื่อที่เยี่ยมยอด โดยเฉพาะคนไทยที่อยู่ห่างไกลในต่างประเทศ อย่างดิฉัน

    ขอรบกวนอาจารย์ช่วยตอบข้อสงสัยดังนี้คะ
    1. หลังจากสวดมนต์หรือนั่งสมาธิภาวนาทุกครั้ง ดิฉันก็อุทิศส่วนบุญกุศลตามบทอิทังเม ได้แก่ พ่อแม่ ญาติ ครูอาจารย์ เทวดา เปรต สัพสัตว์ เจ้ากรรมนายเวร...จนครบ แล้วแถมต่อด้วยอุทิศให้เจ้ากรรมของแม่ และแฟน และขอให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นอโหสิกรรมให้แม่และแฟน รวมทั้งขอให้อนุโมทนาบุญกะดิฉันด้วย ไม่ทราบว่าจะดีมั้ยค่ะ เราจะเข้าไปอยู่ในวงจรกรรมด้วยหรือป่าว

    2.ดิฉันพยายามเล่าธรรมมะที่ได้ฟังให้แฟนที่เป็นต่างชาติฟังโดยใช้ภาษาอังกฤษ แต่ก็กลัวคำบางคำจะแปลผิด ไม่ว่าจะเป็นคำไทยหรือบาลี ทำให้อาจเล่าความหมายผิดเพี้ยนไป กลัวจะเป็นอกุศลกรรม ควรจะหยุดดีมั้ยคะ แต่ก็อยากให้เค้าได้รู้สิ่งดี ๆ

    3.แฟนเป็นคริสเตียนแต่ไม่เคร่ง เค้าก็ฟังสิ่งที่เราเล่า แล้วเค้าถามว่า ถ้างั้นมันต้องมีศาสนาใดที่สอนถูกและที่เหลือก็สอนผิด เพราะเค้าพูดว่าของเค้ามนุษย์ตายแล้วไม่ไปสวรรค์ก็นรก ไม่มาเป็นมนุษย์อีก ไม่รู้จะตอบยังงัยคะ เพราะไม่อยากพูดว่าศาสนาของใครดีหรือไม่ดี ถูกหรือไม่ถูก

    ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงคะ


    คำตอบ
    (1) การอุทิศบุญกุศลเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 เมื่ออุทิศบุญให้แก่สรรพสัตว์รวมถึงเจ้ากรรมนายเวรของแม่และแฟนเป็นการกระทำที่เป็นบุญ เป็นความดีจงทำต่อไป และขณะเดียวกันการขอให้สรรพสัตว์อนุโมทนาถือว่าเป็นการชี้ทางบุญให้สรรพสัตว์ได้กระทำเป็นผู้มีส่วนร่วมในวงจรกรรมดีเป็นวงจรกรรมที่เป็นบุญ ผู้ใดประพฤติแล้วปราชญ์สรรเสริญ

    (2) พูดแต่สิ่งดีงามออกจากปาก เป็นกุศลวจีกรรมและผู้ฟังได้ยินได้ฟังแล้วเกิดปัญญาเห็นถูก เกิดเป็นความชุ่มชื่นใจจงทำต่อไปแต่หากผู้ฟังได้ยินแล้ว เกิดเป็นความเห็นผิด เกิดเป็นความไม่สบายใจ แม้จะเป็นความปรารถนาดีเป็นกุศลวจีกรรมก็ตามจงหยุดไม่พูดต่อไป เพราะพูดแล้วไม่ก่อประโยชน์และยังเป็นการสร้างบาปให้เกิดขึ้นกับผู้ฟังอีกด้วย

    (3) คำว่าสอนถูกหรือสอนผิด ต้องถามว่าถูกของใครผิดของใคร ทั้งนี้เพราะมนุษย์พัฒนาปัญญาได้ไม่เท่ากัน หรือเข้าถึงความจริงได้ต่างกัน

    มนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาปัญญาได้ 3 ระดับ คือสุตมยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการได้ฟังผู้รู้บอกกล่าว หรือเป็นปัญญาที่เกิดขึ้นจากการอ่าน จินตามยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นจากการคิดดตรงตามแนวเหตุผล และภาวนามยปัญญาเป็นปัญญาที่เกิดจากการพัฒนาจิต

    สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญาเข้าถึงความจริงในระดับที่เป็นความจริงชั่วคราว(สภาวสัจจะ) ส่วนภาวนามยปัญญา เข้าถึงความจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) ได้

    ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงเข้าถึงความจริง และศรัทธาในความจริงที่บัญญัติไว้ในแต่ละศาสนาได้ต่างกัน จึงไม่สามารถพูดได้ว่าศาสนาใดสอนถูก ศาสนาใดสอนผิด

    ผู้ใดเข้าถึงปรมัตถสัจจะ ผู้นั้นไม่โต้เถียงโต้แย้งในความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ผู้ใดเข้าไม่ถึงปรมัตถสัจจะ การโต้เถียงโต้แย้งในความคิดเห็นที่แตกต่างกันจึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดาของโลก
     

แชร์หน้านี้

Loading...