ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ในเรื่องของการบำเพ็ญบารมีตามที่ท่านอาจารย์ได้สอนนั้น อาจารย์กล่าวถึงการบำเพ็ญ 3 ขั้น คือ บารมีธรรมดา อุปบารมี และปรมัตถบารมี นั้น ขอเรียนสอบถามเพื่อความเข้าใจเนื่องจากความรู้น้อย

    การแยกแยะว่าบำเพ็ญบารมีแต่ละครั้งที่ลงมือทำว่าเป็นขั้นไหน ผู้ลงมือกระทำจะใช้อะไรวัดคะ กำลังของจิตใจขณะลงมือกระทำใช่ไหมคะ

    สมมุติลูกคนหนึ่งที่พ่อแม่เลี้ยงมาอย่างดี พ่อแม่มีทรัพย์มาก เมื่อลูกโตขึ้นได้ตั้งสัจจอธิษฐานว่า ขอใช้ชีวิตของตัวเองที่เหลือเพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่และเพื่อให้พ่อแม่ได้ปฏิบัติธรรม จากนั้นลูกคนนี้ทำอยู่เพียง 2 อย่าง คือ 1.สร้ างทานบารมีกับพระอรหันต์อยู่เสมอและพากเพียรทำอาชีพการงานให้เจริญก้าวหน้า เพื่อให้พ่อแม่ได้ปล่อยวางภาระทางโลกได้ง่ายและได้อยู่สุขกายสุขใจตามสมควร และ 2.พากเพียรปฏิบัติบัติธรรมกับผู้รู้นำตนเองเข้าสู่มรรคผล และทำการบริจาคเพื่อสนับสนุนการปฎิบัติธรรมแก่สาธารณชนอยู่เสมอ เพื่อตนเองพ้นทุกข์และเพื่อเปิดทางธรรมแก่พ่อแม่ เช่นนี้ลูกคนนี้ได้บำเพ็ญบารมีหลายขั้นพร้อมๆกันใช่หรือไม่คะ เพียงแต่อาจจะยังแยกแยะไม่ออกว่าทำอะไรและทำขั้นไหนบ้าง


    คำตอบ
    บารมีทั้งสามระดับให้ดูที่ความยาก-ง่ายในการบำเพ็ญ ยกตัวอย่างเช่นการบำเพ็ญทานบารมี

    ทานบารมีระดับธรรมดาได้แก่การให้ การสละ การบริจาคสิ่งของ นอกกายเป็นทาน ตัวอย่างปรุงอาหารใส่บาตร ซื้อยารักษาโรคถวายพระให้ทรัพย์แก่ผู้เดินทาง ฯลฯ

    ทานอุปบารมี เป็นทานที่ประพฤติยากขึ้นอีก เช่น บริจาคเลือด บริจาคไต บริจาคอวัยวะเป็นทาน เช่น พระเวสันดร บริจาคบุตร-ภรรยาให้กับผู้มาขอเป็นทานระดับกลาง

    ทานปรมัตถบารมี ได้แก่การให้ชีวิตเป็นทาน เช่นสมัยที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกระต่าย ได้สละชีวิตให้แก่พราหมณ์ที่ประสงค์อยากกินเนื้อกระต่าย ด้วยการกระโดดเข้ากองเพลิง เพื่อเผาย่างตัวเองให้เนื้อเป็นทานแก่พราหมณ์ผู้ขอ

    สร้างบารมีกับพระอรหันต์อยู่เสมอ รวมถึงสนับสนุนการปฏิบัติธรรมผู้ถามมิได้บอกว่าทำโดยวิธีใด หากบำเพ็ญตนต้องดูว่าเป็นทานระดับไหน ให้สิ่งของนอกกายเป็นทาน ก็เป็นการบำเพ็ญทานบารมีระดับธรรมดา

    ส่วนในเรื่องของความเพียรที่ให้กับการปฏิบัติธรรมถือว่าเป็นวิริยบารมี และต้องดูด้วยว่าเพียรระดับไหน พระนางปชาบดี (โคตมี) เดินเท้าเปล่าจากกรุงกบิลพัสดุ์ ไปจนถึงเมืองเวสาลีแคว้นวัชชีทำให้เท้าแตกเจ็บระบมเจตนาเพื่อไปขอบวชเป็นภิกษุณี ความเพียรเช่นนี้เป็นวิริยาอุปบารมี อดีตของพาหิยะกุมารกัสสปะ สภิยปริพาชก ฯลฯ ในปลายพุทธกาลของพระพุทธกัสสปะ ได้บวชเป็นพระสงฆ์เพียรปฏิบัติธรรมโดยเอาชีวิตเขาแลก และตายในที่สุด ความเพียรเช่นนี้เป็นวิริยปรมัตถบารมี
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูเริ่มติดตามผลงานของอาจารย์หลังจากที่ได้อ่าน "ทางสายเอก" ที่คุณพ่อหนูเอามาให้อ่าน ท่านสนใจธรรมมะและเริ่มปฏิบัติสมาธิหลังจากที่เกษียณแล้ว ตอนนี้ก็ประมาณสามปีได้ค่ะ ก่อนหน้านี้ก็สวดมนต์อย่างเดียว เริ่มแรกท่านบริกรรมพุธโธ แรกๆ ก็ได้ยินเสียงข้างๆ หูบอกว่าอย่านั่งถ้านั่งแล้วจะตาย แต่ท่านก็นั่ง มีอยู่ช่วงหนึ่งท่านรู้สึกเหมือนจิตจะออกจากร่าง เห็นเหมือนว่าจะตายและท่านพยายามฝืนไม่ยอม ครั้งแรกตอนนังสมาธิและอีกครั้งก่อนจะเอนตัวลงนอน(หลังจากนั่งสมาธิ) หนูเลยหาวัดชวนท่านไปเพื่อให้ท่านได้แนวทางและครูบาอาจารย์ (ท่านไม่มีใครสอนแต่นั่งเองและอ่านหนังสืออย่างเดียว) ก็ไปที่วัดที่สิงห์บุรีแต่คนเยอะมาก เริ่มไปเมื่อปีที่แล้วประมาณสองครั้งและฝึกเองต่อที่บ้าน ท่านก็เดินจงกรมนั่งสมาธิทุกวันวันละหนึ่งชม. และก็ยังอ่านหนังสือเป็นแนวทางต่อ โดยที่ไม่ได้มีโอกาสถามครูอาจารย์เพื่อรายงานและปรับปรุงผลการปฏิบัติ จึงอยากขอคำแนะนำอาจารย์ว่าแล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าที่เราทำนั้นถูกต้องแล้วหรือไม่ และอยากให้ช่วยแนะนำครูอาจารย์ที่สามารถชี้แนวทางหากต้องการจะปรึกษาค่ะ

    ส่วนตัวหนูเองยังถือว่าปฏิบัติลุ่มๆ ดอนๆ บางวันเดินนั่งอย่างละครึ่งชั่วโมงบ้าง ชั่วโมงนึงบ้าง แล้วแต่ความเพลียและนานๆ ทีก็เบี้ยวบ้างค่ะ นานๆ ครั้งก็ได้กลิ่นหอมเหมือนน้ำอบ (โดยเฉพาะเวลานั่งในห้องพระ) ครั้งล่าสุดเมื่อไปที่วัดมา จิตก็พยายามกำหนดรู้ว่ากลิ่นหนอ สักพักรู้สึกว่าลมหายใจละเอียดขึ้นแต่การหายใจเข้าออกสั้น อยากสูดลมหายใจให้ยาวก็เกรงว่าจะกลายเป็นไปบังคับตะเบ็งลมหายใจและลมหายใจที่ละเอียดจะหายไป (ขอคำแนะนำจากอาจารย์ด้วยค่ะ) และเมื่อปฏิบัติเสร็จแล้วก็มานั่งคิด ไม่แน่ใจว่าจะเป็นคุณย่าที่เสียไปนานแล้วหรือเปล่า เพราะท่านก็กินเจ ใส่บาตรและนั่งสมาธิทุกวันจนเสีย เราควรปฏิบัติอย่างไรเมื่อพบกับสิ่งนี้คะ

    สุดท้ายคือ เนื่องจากลูกสุนัข (ที่บ้านมีสุนัขหลายตัว) ป่วยด้วยพยาธิเม็ดเลือดที่เกิดจากเห็บจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดแต่ก็รอดในที่สุด ที่บ้านจึงซื้อยามาฉีดกำจัดเห็บให้ทุกเดือน แต่ยังมีเห็บอยู่บ้าง ทั้งคุณพ่อคุณแม่ก็เลยนั่งหาเห็บมาใส่น้ำมันทุกวัน (บางวันก็เผาด้วย) แม้ว่าเราต้องการช่วยสุนัขแต่การฆ่าเห็บถือว่าบาปเช่นกันใช่ไหมคะ มีวิธีไหนที่จะสามารถให้ท่านทั้งสองเลิกการฆ่าเห็บได้คะ หนูไม่คิดว่าหนูจะพูดได้ค่ะ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์และขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยอวยพรให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงและอยู่เป็นกระจกส่องใจพวกเราผู้(เริ่ม)ใฝ่ธรรมนานๆ นะคะ


    คำตอบ
    หากบารมีของผู้ปฏิบัติธรรมยังมีไม่มากพอ การปฏิบัติควรต้องมีครูบาอาจารย์ที่มีประสบการณ์เป็นผู้ชี้แนะทาง เพราะการปฏิบัติด้วยตนเอง อาจหลงทางและทำให้เนิ่นช้าในการเข้าถึงธรรมครูบาอาจารย์ที่สามารถชี้แนะแนวทางมีอยู่หลายองค์อาทิ พระมหาบุญชิต วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ พระมหาสมัย วัดทับทิมแดง ปทุมธานี พระครูเกษมธรรมทัต วัดมเหยงคณ์อยุธยา พระอาจารย์เทวัญ วัดดอยพระเกิด เชียงใหม่ ฯลฯ

    การจะเข้าถึงมรรคผลของการปฏิบัติธรรมง่ายต้องมีศีล 5 คุมใจ มีสัจจะ ลดพฤติกรรม กิน ดู ฟัง พูด อ่าน ฯลฯ ให้น้อยลง เร่งความเพียรและมีกัลยาณมิตรเป็นครูชี้นำ หลังเสร็จปฏิบัติในรอบวันต้องอุทิศบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรแก่ญาติครูอาจารย์สรรพสัตว์ ฯลฯ พร้อมทั้งปล่อยวางความคิดทุกอย่าง ก่อนนอนกำหนดลมหายใจจนกระทั่งหลับไป

    ปฏิบัติธรรมและยังฆ่าเห็บให้สุนัขสามารถทำได้แต่เข้าไม่ถึงธรรมของพระพุทธะ เพราะจิตไม่สามารถตั้งมั่นได้ด้วยศีลไม่บริสุทธิ์
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    กระผมมีข้อสงสัยในคำสอนของบางสำนักที่สอนเกี่ยวกับการอุทิศบญให้แก่ญาติ เทวดา เจ้ากรรมนายเวรและเชื้อโรค และห้ามมิให้มีเครื่องลางของขลังใด ๆ และพระพุทธรูป/พระธาตุ/ ทั้งห้ามมิให้ทำการสวดมนต์และมิให้นั่งสมาธิภาวนา ด้วยเหตุผลว่า การสวดมนต์นั้นแม้แต่บทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เป็นการสวดพระปริต เป็นการทำร้ายวิญญาณและภูตผีปีศาจต่าง ๆ ท่านจึงห้ามมิให้สวดมนต์ แต่ท่านให้ยึดถือแต่พระรัตนตรัยแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

    ผมจึงขอเรียนถามเป็นข้อๆ ดังนี้

    1.คำสอนของท่านถูกต้องตามหลักธรรมหรือไม่ ปกติท่านจะยกเอาพระไตรปิฎกมายืนยันคำสอนของพระพุทธเจ้า และที่สำคัญจะยึดถือหรือเชื่อมั่นนำไปปฎิบัติ ได้หรือไม่

    คำตอบ
    การห้ามมิให้สวดมนต์ เพราะจะเป็นการทำร้ายจิตวิญญาณและภูตผีปีศาจต่าง ๆ เป็นความเห็นถูกของพระสงฆ์รูปนั้น แต่มิใช่เป็นการเห็นถูกของพระพุทธะ
    ในครั้งพุทธกาลพระสมาณโคดมสอนภิกษุที่ถูกงูกัดให้นำเอาบทสวดมนต์ขันธปริตรไปสวดก่อนนอนเพื่อแผ่เมตตาให้แก่พญางู ทั้ง 4 ตระกูล นำเอาบทสวดมนต์อาฏานาฏิยปริตรไปสวดก่อนนอนเพื่อคุ้มครองตนให้พ้นจากภัยของอมนุษย์ไม่ให้มารบกวน และเมื่อครั้งที่เมืองเวสาลีแคว้นวัชชี เกิดทุพภิกขภัย อมนุสสภัย พระพุทธะได้สอนรัตนปริตรแก่พระอานนท์ให้นำไปสาธยายรอบเมืองเวสาลีภัยจากสองเหตุนั้นจึงได้สงบลง ฯลฯ ส่วนปัญหาว่าจะยึดถือหรือเชื่อมั่นนำไปปฏิบัติได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสติปัญญาและความศรัทธาของบุคคลเป็นเครื่องตัดสิน


    2.ท่านห้ามมิให้ปฎิบัติสมาธิภาวนา โดยท่านว่า จะต้องถือศีลให้ยาวนานเสียก่อน และจะต้องตัดปลิโพธ 10 ประการก่อน จึงจะทำสมาธิได้ ท่านว่ามิฉะนั้นจะเป็นมิจฉาสมาธิ และอาจทำให้เกิดอาการวิปลาสได้

    คำตอบ
    ข้อนี้มิได้เป็นคำถามเป็นเพียงเรื่องที่บอกเล่าไป ถึงถามกลับไปว่า การถือศีลยาวนานนับเริ่มต้นจากไหน หากย้อนดูอดีตอันยาวไกลของพระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้เคยละเมิดศีลมาก่อน ต่อมาจึงได้บำเพ็ญศีลบารมีระดับต่าง ๆ มาแต่ครั้งที่ยังเสวยพระชาติเป็นพญาช้างฉันทันต์เป็นจัมเปรยยกนาคราช เป็นสังขปาลนาคราช ฯลฯ เมื่อมาปฏิสนธิเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ออกบวชยังต้องใช้เวลายาวนานถึง 6 ปีกว่าจะสำเร็จอรหัตตผลตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าและในอีกตัวอย่างได้แก่อัมพปาลี สิริมา พระเจ้าพิมพิสาร ฯลฯ ได้เลิกประพฤติทุศีลแล้วหันมาปฏิบัติธรรมจนสำเร็จเป็นอริยบุคคลได้

    ส่วนคำว่าปลิโพธ หมายถึง เหตุทำให้จิตกังวล หากตัดให้พ้นไปจากใจได้ จะทำให้การพัฒนาจิตใจบรรลุมรรคผลของการปฏิบัติได้ง่าย ผู้ที่ตัดปลิโพธไม่ได้ เมื่อฝึกสมาธิแล้วมีโอกาสทำให้จิตปรุงอารมณ์ผิดไปจากคนปรกติได้


    3.ปกติผมจะถือศึล 5 เป็นประจำ และนั่งสมาธิภาวนาตามแบบพุทโธ(บางครั้งก็กำหนดลมหายใจ/บางครั้งก็ภาวนาพุธโธ อย่างเดียว) แต่ไม่ค่อยเข้าถึงสมาธินักไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด (ผมนั่งประมาณ 1 ชั่วโมง บางครั้งนาน ๆจะรู้สึกวูปสักครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าสติตัวเองจะมั่นคงมาก เวลามีเสียงใด ๆ เกิดขึ้นก็จะรู้สึกสะเทือนเข้าไปถึงสมองหรือดวงจิตเลย บางครั้งก็รู้สึกวูปเหมือนเคลิ้มไป แต่ไม่หลับ แต่ก็ไม่มีแสงสว่างปรากฎเบื่องหน้า ถ้าปรากฎภาพก็จะเป็นภาพลางๆ เท่านั้น ขอถามว่า สมาธิที่ผมทำถูกต้องหรือไม่

    คำตอบ
    เหตุที่ยังเข้าไม่ถึงสมาธิลึก เพราะความเพียรในการปฏิบัติมีกำลังไม่มากพอสมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิต ผลที่เกิดตามมาเป็นได้หลายอย่าง อาทิอาการรวม เสียงดับลึกถึงใจ นิมิตปรากฎ ฯลฯ สิ่งที่เข่าถึงนั้นเป็นผลที่เกิดจากสมากรรมฐาน เป็นสิ่งถูกต้อง แต่ยังไม่เป็นเหตุให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ที่จะทำให้พ้นไปจากความทุกข์เพราะยังมิได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1.เรื่องการยึดถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะนั้น การกราบไหว้สักการระอื่นๆ เช่น ไหว้เจ้า ไหว้ศาล อีกทั้ง การยึดถือเครื่องลางของขลังเช่น จตุคาม เหรียญหลวงพ่อ ตะกรุด ผ้ายันต์
    เป็นการกระทำผิดหรือไม่

    คำตอบ
    คำว่าสรณะ หมายถึง ที่พึ่ง ที่ระลึก การยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนั้นดีที่สุด โดยเฉพาะพระธรรมหากเข้าไปอยู่ในจิตใจของผู้ใดได้แล้ว ชีวิตมีแต่ความเจริญและนำตนให้พ้นไปจากความทุกข์ได้

    การยึดถือเครื่องลางของขลัง ตะกรุด ผ้ายันต์ ฯลฯ เป็นเหตุเกิดจากความหลง (โมหะ) ที่มีอยู่ในดวงจิตนำพาชีวิตหลวงตายหลงเกิดอยู่ในวัฏสงสารไม่สามารถนำตนให้พ้นไปจากความทุกข์ได้ดังนั้นการยึดถือเครื่องรางของขลังในรูปแบบต่าง ๆ จึงเป็นความเห็นถูกของผู้มีโมหะครอบงำจิตใจ ตรงกันข้ามการยึดถือพระรัตนตรัยเป็นความเห็นถูกของผู้รู้ ของผู้ที่มีโอกาสพ้นไปจากความทุกข์ได้


    2.การสวดมนต์(พระปริต)เป็นการทำร้ายวิญญาณในโลกทิพย์จริงหรือไม่ และทำให้วิญญาณในโลกทิพย์อาฆาตแค้นเราจริงหรือ การสวดมนต์แทนที่จะได้บุญกลับกลายเป็นบาปเป็นจริงหรือ เมื่อก่อนผมสวดมนต์เช้า-เย็น ทั้งอิติปิโส-พาหุง ธรรมจักร ชินบัญชร แม้กระทั่งบทอุปปาตสันติ(มหาสันติหลวง) แต่ทุกวันนี้ไม่กล้าสวดเลยกลัวเป็นความผิด พระท่านว่าการสวดมนต์จะทำให้วิญญาณต่าง ๆ ได้รับทุกข์/ทำให้เจ้ากรรมนายเวรยิ่งแค้นเคืองเรา

    การที่ผมกราบเรียนท่านในเรื่องนี้ ไม่มีความประสงค์ที่จะกล่าวอ้างผู้ใดให้เสียหาย เป็นความบริสุทธ์ใจจริงๆ และผมก็เชื่อมั่นในท่านอาจารย์ว่าเป็นผู้มีความสามารถที่จะให้ความกระจ่างแก่ผมได้จึงรบกวนเรียนถามมา สำหรับผมนั้นไม่มี่ปัญญามากพอที่จะใช้วิจารณญานที่จะตัดสินได้ อนึ่ง ทุกวันนี้พุทธศาสนาในยุคกึ่งพุทธกาล มีสิ่งที่แปลกๆเกิดขึ้นมากมายทั้งคำสอนและวิธีการ ทุกๆ สำนักก็มีเหตุผลถูกต้องทั้งสิ้น ผมไม่อยากเดินผิดทาง/หลงทาง เพราะทุกวันนี้ผมเดินผิดทาง/หลงทางมามากแล้ว ไม่อยากเสียเวลาอีก และกระผมก็ปรารถนาเกิดเป็นชาติสุดท้าย (หรือน้อยที่สุด) ขอความกรุณาให้ความกระจ่างด้วยเถิด

    คำตอบ
    คำว่า “ ปริตร ” หมายถึง คุ้มครอง ป้องกัน สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอันตราย เช่นภัยจากสัตว์ร้าย ภัยจากโจร ภัยจากอมนุษย์ ภัยจากการเจ็บป่วย ฯลฯ ซึ่งพระพุทธะแนะนำพุทธบริษัทให้เจริญอยู่เสมอแต่พระพุทธะมิได้แนะนำให้เบียดเบียนผู้อื่น ด้วยการสวดมนต์ขับไล่สวดมนต์ทำร้ายแก่สรรพสัตว์ ฉะนั้นจึงต้องพิจารณาว่า บทสวดมนต์นั้นแต่งเรียบเรียงขึ้นด้วยมีจุดประสงค์ใด การสวดมนต์บทที่ยกตัวอย่างมาให้ดูมิได้มีจุดประสงค์ร้ายต่อผู้ใด สามารถนำไปเจริญภาวนาได้โดยไม่มีภัยอันตรายใดเกิดขึ้นจากเหตุแห่งการสวดมนต์บทที่กล่าวถึงเว้นไว้แต่ว่า ผู้สวดได้สร้างอกุศลกรรมเก่าไว้แล้วเวรกรรมให้ผลผู้ทำกรรมต้องยอมชดใช้หนี้กรรมให้หมดสิ้นไป หนี้เวรกรรมจึงจะยุติลงได้
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ที่มีอันตรายต่อหญิงมีครรภ์ เมื่อประจำเดือนขาด ได้กลับไปหาหมออีกครั้ง จึงรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ คุณหมอไม่รับประกันว่าเด็กจะเกิดมาสมบูณย์ เรา สามี ภรรยาเสียใจมาก และตัดสินใจเอาเด็กออก ทุกวันนี้ได้สวดมนต์ ทำสมาธิ ทำทาน ถือศีล5 ติดต่อกันไม่หยุดได้ 4เดือนเต็มแล้ว พยายามทำทุกอย่าง เพื่อใช้กรรมนี้ ทำให้สบายใจขึ้นมาบ้าง ปัญหาคือ ระหว่างที่นอนทำสมาธิและเผลอหลับไป ฝันว่าได้ไปวัดเพื่อบวชเนกขัมมะ ขณะนอนที่วัดได้มีเด็กมาดึงเท้าให้ตื่น เป็นเด็กขวบกว่า ไม่ได้รู้สึกกลัวและไม่รู้สึกผูกพัน จากนั้นดิฉันได้ออกจากนอนสมาธิ ในวันเดียวกัน ตอนกลางคืนอ่านสนทนาธรรม 5 เกี่ยวกับแนะนำคนทำแท้งเป็นบาปจึงนึกขึ้นได้ว่า เมื่อ10ปีที่แล้วมีเพื่อนมาขอเบอร์ติดต่อสถานที่ที่ดิฉันเคยทำแท้ง เพราะเธอต้องการไปทำ ดิฉันไม่ได้ปิดบังสถานที่และให้เบอร์ติดต่อ จากนั้นได้พยายามเกลี้ยกล่อมไม่ให้เธอไปทำและจะรับเลี้ยงเด็กในท้องเธอถ้าเธอไม่ต้องการ ดิฉันไม่สามารถเปลียนใจเธอได้ ดิฉันได้ลืมเรื่องนี้ไปสนิทถึง10ปี เป็นเพราะอ่านสนธนาธรรมจึงนึกได้ ส่วนเด็กในความฝัน ความรู้สึกบอกว่าเป็นลูกของเพื่อน วันรุ่งขึ้นดิฉันรีบโทรหาเพื่อน อยากให้เพื่อนไปบวชหรือทำบุญให้เด็ก และที่แปลกคือ เพื่อนมีแผนที่จะไปทำบุญ 9 วัดใน1วัน ที่อยุธยา ดิฉันจึงร่วมอนุโมธนาบุญและจะฝากเงินทำบุญไปด้วย อยากถามว่า

    1) บาปมากมั้ยคะกับการที่เราให้เบอร์ที่ทำแท้งกับเพื่อนเพราะเพื่อนรู้อยู่แล้วว่าเรารู้ แม้เราจะไม่มีเจตนาให้เค้าไปทำแท้ง
    2) เป็นไปได้มั้ยที่ลูกที่ทำแท้งไปครั้งแรกจะกลับมาเกิดเป็นลูกของดิฉันอีกครั้ง

    สุดท้ายกราบขอบพระคุณอาจารย์และผู้จัดทำเวบกัลยาฯ มากค่ะ ที่มีเมตตาชี้แนะ ทางสว่างให้แก่ปุถุชนเช่นดิฉันและคนอื่นๆ ทุกวันนี้ดิฉันมีความมุ่งมั่นที่จะทำแต่ความดีและเกรงกลัวบาปมากค่ะ

    คำตอบ
    (1) ชี้ทางให้คนอื่นประพฤติทุศีล ถือได้ว่าผู้ชี้ทางเป็นจำเลยบาปคนที่หนึ่ง

    (2) เป็นไปได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันถูกส่งตัวเข้าไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพตั้งแต่เด็ก เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เนื่องจากกำลังสติปัญญายังอ่อนจึงหลงผิด พ่อแม่ร่ำรวยทรัพย์ ใช้เงินของพ่อแม่อย่างฟุ่มเฟือย ในบางครั้งแอบหยิบของท่านไปใช้ทีละมากๆก็มี บางครั้งใช้เพื่อสนองกิเลส บางครั้งก็นำไปช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน มารู้ตัวอีกทีว่าทำผิดศีลข้อที่ 1 ไปมากก็อายุเกือบ 30 ปี ที่รู้ตัวเพราะเกิดใฝ่ดี หันมาฝึกสติสัมปชัญญะจนเข้าใจเรื่องราวของทุกข์บ้างตามสมควร พอรู้ตัวก็รักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด ตั้งใจว่าชีวิตนี้จะไม่เบียดเบียนใครอีก รวมทั้งพ่อแม่ ต่อมาได้ขอขมาพ่อแม่โดยไม่ได้ระบุเจาะจงว่าทำอะไรผิดมา พูดรวมๆว่าหากได้ล่วงเกินท่านไม่ว่าทางกาย วาจา หรือใจ ลูกขอให้พ่อแม่อโหสิกรรมให้ลูกด้วย พ่อแม่ก็กล่าวอโหสิกรรมให้

    1. ดิฉันพ้นผิดแล้วหรือยังคะ แต่ดิฉันยังรู้สึกว่าไม่หมดสิ้นอย่างไรไม่ทราบ ก็เลยตั้งใจว่าจะใช้เงินเดือนของตัวเองค่อยๆแอบเอาไปให้ท่านใช้แม้ว่ามันจะแทบไม่มีความหมายอะไรสำหรับท่านเลย เพราะท่านร่ำรวยกว่าดิฉันมากมาย และดิฉันก็คำนวนจำนวนเงินคร่าวๆที่เคยแอบหยิบไปใช้ กะเกณฑ์ดูแล้วคิดว่าคงใช้เวลาเกือบ 10 ปีทีเดียวกว่าจะใช้หมด (แต่ก็ไม่ได้ทำให้ย่อท้ออะไรนะคะ กะว่าสู้ตายอยู่แล้วค่ะ)

    คำตอบ
    เมื่อพ่อแม่กล่าววาจายกโทษให้ถือได้ว่าพ้นจากกรรมผิดกับพ่อแม่ แต่ยังไม่พ้นกรรมผิดกับบุคคลอื่น สัตว์อื่น ที่คุณเคยได้ล่วงเกินไว้

    อย่าเพิ่งคิดสู้ตายดีกว่า ตายไปแล้วหมดโอกาสทำความดี เอาอย่างนี้ดีไหม ถ้าคุณมีศรัทธาเต็มร้อยในคำแนะนำของผู้รู้ให้พิสูจน์ด้วยตัวเอง ด้วยการเชิญพ่อแม่นั่งบนเก้าอี้ห้อยเท้าทั้งสองลงในกะละมังใหญ่ แล้วคุณใช้น้ำสะอาดล้างเท้าทั้งสองข้างของพ่อแม่ให้สะอาดหมดจด เอาผ้าที่สะอาดเช็ดเท้าของท่านจนแห้ง แล้วเอาเท้าของท่านทั้งสองวางลงบนศีรษะของคุณ พร้อมกับกล่าวคำขอขมาลาโทษทั้งหลายที่มีกับพ่อแม่และให้พ่อแม่กล่าวยกโทษให้ แล้วจึงอธิษฐานขณะที่เท้าของท่านยังวางอยู่บนศีรษะว่า “ ด้วยผลแห่งการกระทำนี้ความไม่ดีทั้งปวงของข้าพเจ้าจงปาสนาการสิ้นไปและให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงความเจริญสูงสุดของชีวิต ” หลังจากนั้นนำน้ำล้างเท้ามาดื่มมาอาบชำระล้างร่างกายของคุณให้สะอาด พร้อมทั้งรักษาใจให้มีศีล 5 คุมอยู่เป็นนิจ ปัญหามีอยู่ว่า คนที่บอกว่าสู้ตายจะทำตามคำแนะนำนี้ได้จริงหรือ


    2. ปัญหาที่ตามมาคือว่า ดิฉันจะยังไม่สามารถเป็นผู้มั่งมีในทรัพย์ได้ใช่ไหมคะ จนกว่าจะใช้หนี้เก่าหมด คือดิฉันเข้ามารับช่วงงานต่อจากพ่อแม่น่ะค่ะ ตั้งใจว่าจะอยากจะยกภูเขาออกจากอกท่าน อยากให้ท่านได้ไปปฏิบัติธรรม ก็เลยอยากจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานโดยเร็ว และอยากจะประสบความสำเร็จให้มากกว่าท่านด้วย ท่านจะได้หมดห่วงจริงๆ มันเลยเหมือนถูกขัดเส้นทางกันอยู่น่ะค่ะ อาจารย์โปรดเมตตาชี้แนะแนวทางให้ดิฉันได้ทำใหสำเร็จดังปรารถนาด้วยนะคะ

    ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
    ปรารถนาประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ต้องใช้อิทธิบาท 4 เป็นฐานของการทำงาน คือทำงานด้วยใจรัก ทำงานด้วยความพากเพียร ทำงานด้วยใจจดจ่อ ใช้ปัญญาไต่สวนงานที่ทำพร้อมทั้งประพฤติตนให้มีขันติ มีศีล มีการให้ทาน มีเมตตา คบหาแต่กัลยาณมิตรเว้นจากอบายมุข และอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรและสรรพสัตว์อยู่เสมอ คุณธรรมทั้งหมดนี้มาประชุมพร้อมกันในตัวคุณได้เมื่อใดความสำเร็จในอาชีพการงานย่อมเกิดขึ้นเมื่อนั้น
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ปัญหาในการทำสมาธิ

    ผมนั่งสมาธิเป็นประจำและนั่งประมาณ 1 ชั่วโมง ทำโดยการกำหนดลมหายใจ+พุทโธ แรกๆ ก็รู้สึกปล่อยวาง และสบาย แต่พอนั่งไประยะหนึ่ง
    ประมาณ ครึ่งชั่วโมงจะมีอาการคอแข็ง ตัวแข็งและเหมือนมีก้อนอะไรที่ศรีษะและจะปวดคอ/ไหล่มาก(เคยได้ยินอาจารย์บางท่านบอกว่า ต้องอดทนต่อความเจ็บปวด แต่ผมทนแล้วทนอีกก็ไม่ไปไหน) ไม่หายปวดเลย จึงต้องเลิกทำช่วยชื้ทางให้หน่อยครับ ทำอย่างไรดี (เหมือนหัวสมองมันตึง คล้ายเส้นประสาทจะเครียดมากเลยครับ กลัวว่าเส้นเลือดในสมองจะแตก)


    คำตอบ

    คนที่มีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็ง ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่มากนัก จึงอดทนต่อความเจ็บได้ไม่มาก ดังนั้นถ้ามีอาการตัวแข็งหรือคอแข็ง ต้องกำหนดจิตว่า “ แข็งหนอๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนอาการดังกล่าวหายไปแล้วดึงจิตกลับมาบริกรรม “ พุทโธ ” ดังเดิม
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากได้ปฏิบัติกรรมฐาน พองหนอ ยุบหนอ ของหลวงพ่อ จรัญ และได้ปฎิบัตเองที่บ้านถือศีล 8 ช่วงแรก เกิดน้ำตาไหล และเกิดตัวโยก พอปฎิบัติได้ เกือบ2 อาทิตย์ก็เกิดอาการหูอื้อและมีอาการเหมือนน้ำในหูไม่เท่ากันคือ เกิดอาการเวียนหัว เดินไปไหน นั่งที่ไหน หรือว่านอนก็รู้สึกเหมือนอยู่บนเรือคือโคลงเคลงตลอดจึงไปหาหมอรักษาด้วยยาพอหมดฤทธิ์ยาก็เกิดอาการใหม่ ก่อนที่จะเกิดอาการไม่สบายในใจคิดว่าอยากไปปฎิบัติที่วัดอัมพวันมาก

    พอวันที่คิดว่าพรุ่งนี้จะไปวัดอาการก็หนักขึ้นเวียนหัวมากทรงตัวแทบไม่อยู่ จึงรักษาอาการอยู่2สัปดาห์ แล้วจึงไปปฏิบัติที่วัดอัมพวัน เป็นเวลา 7 วัน(แต่อาการเดินแล้วโคลงเครงยังมีอยู่)2วันแรกเดินจงกลมแล้วรู้สึกหน้ามืดแต่ก็พยายมฝืนจนอาการหน้ามืดหายไป แต่ก็มีอาการโคลงเคลงตลอด นั่งสมาธิแล้ว 2วันแรกยังมีเวทนาอยู่บ้างโดยปวดขา

    แต่พอวันที่ 3 เป็นต้นไปไม่มีเวทนาที่ขาเลยขากลับชาจนไม่มีความรู้สึก และหายใจสั้นๆลิ้นชา ตึงที่ศรีษะมากจนเข้าสมาธิไปแล้วจะมีความรู้สึกว่าหายใจยาวขึ้นได้ แต่มีความรู้สึกว่าเครียดมากตั้งแต่เดินจงกลม เวลานั่งสมาธิไม่ว่ายุงจะกัด ก็ไม่มีความรู้สึก นั่งสมาธิบางครั้งตัวก็โยก

    พอวันที่ 5 มีอยู่ครั้งหนึ่งรู้สึกว่าศรีษะหมุนเร็วมากจนตกใจ ลืมตา ศรีษะหายหมุน แต่สมาธิยังไม่คลาย พอนอนลงแล้วกำลังเคลิ้มหลับก็มีความรู้สึกว่าตัวเองหายใจยาวและเหมือนอยู่ในสมาธิ

    วันที่ 6 พอนั่งสมาธิพอรู้ว่าเข้าสมาธิแล้วตัวโยก ก็ได้สอบอารมณ์กับแม่ชี แม่ชีบอกว่า สมาธิมันหลอกเราเพราะเราวิตก กังวล และสงสัยอยู่ตลอด แม่ชีบอกว่าบางอาการเป็นอารมณ์ของสมาธิจริง แต่บางอาการสมาธิมันหลอกเพราะหนูอ่านตำราเรื่องของการเกิดฌาณมา และหนูคิดสงสัยตลอด แม่ชีบอกว่าต้นจิตของหนูคิดอยู่ตลอด

    ตั้งแต่คืนนั้นตัวหนูเองจึงคิดว่าอะไรคือจริงอะไรคือไม่จริง มันรู้สึกสับสนมาก ว่าทำไม่ตัวเราเองจึงต้องหลอกตัวเอง และทุกคนต้องมีเวทนา แต่หนูไม่มีเวทนาเลย คืนของวันที่ 6 พอนอน อาการของสมาธิก็เข้า คือ ลิ้นชาแข็ง ไม่สบายตัว ตัวร้อน ทั้งๆที่พัดลมพัดอยู่ตลอดเวลาก็ไม่รู้สึกว่ามีลมพัด

    พอเช้าวันที่ 7 ทำวัดเช้าเสร็จพอเดินจงกลมแล้วรู้สึกว่าตัวตึงมากกำหนดยืนหนอจิตก็ไม่ลงพอนั่งสมาธิหลับตาปุ๊ปอาการของสมาธิก็มาคือขาชาไม่มีความรู้สึก เสียงกระทบก็ไม่กวนสมาธิเลย แต่มันรุ้สึกเครียด แม่ชีจึงให้ยาคลายเครียดมากินและนอนพัก พอกลางคืนเข้านอนหลับตาปุ๊ปอาการของสมาธิแบบนั้นก็เข้า จึงนอนไม่หลับและไปขอยาแม่ชีกิน จึงหลับ แต่พอรู้สึกตัวก็รู้สึกว่าตัวเองนอนอยู่ในสมาธิคือรุ้สึกไม่สบายตัว เหมือนมีอะไรไต่ตามตัว ไม่รู้สึกถึงพัดลมที่พัดมาจึงรู้สึกว่าร่างกายไม่ได้พักผ่อนและมีความรู้สึกว่าไม่อยากนั่งสมาธิเลย

    หลังทำวัดเสร็จจึงกลับบ้าน ก่อนกลับได้ถามพระครูฏีกา ใบชูเกียรติ ท่านบอกว่าอย่าไปยึดตึดจิตไม่มีตัวตน และอย่าสงสัย ถ้าเกิดอาการอย่างไรก็ให้กำหนด แล้วหนูก็ได้ลากลับบ้าน พอนอนพักแค่หลับตา อาการของสมาธิแบบนั้นก็เข้า ตอนนี้รู้สึกไม่มีความสุขเลยนอกจากอาการป่วยที่ยังไม่หาย พอหลับตานอนยังไม่ได้นอนอีก แต่หนูก็พยายามกำหนดรู้หนอ รู้หนอ เมื่อมันเข้าสู่อาการนั้น หนูเข้าใจว่าตัวเราเครียดมากจริง ๆ ไม่มีสติเลย อาการของจิตประสาทคงเริ่มเกิดขึ้น ร่างกายสั่งงานเอง ขออาจารย์

    โปรดเมตตาให้คำแนะนำให้หนูหายจากอาการนี้ด้วยค่ะรู้สึกว่าตัวเองแย่มากแต่หนูรู้อย่างเดียวว่าต้องเดินจงกลมเพื่อเพิ่มสติ

    หนูไปทำกรรมอะไรไว้ค่ะถึงได้ทำกรรมฐานแล้วเป็นอย่างนี้แต่หนูศรัทธาในพระพุทธเจ้า ชีวิตหนูขอถวายพระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธเจ้าตลอด คิดอยู่ทุกวันว่าเราจะต้องตาย หมั่นสวดมนต์ รักษาศีล 5 ยึดถือพรหมวิหาร 4 ไม่ยึดติดในรูป รส กลิ่น เสียง ไม่ยึดติดกับขันธ์ 5 ขันธ์ 5 เป็นอุปทาน ตอนหนูป่วยหนักหนูคิดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ตัวตนนี้ไม่ใช่ของของเรา ถ้าจะตายก็ตายเถิดพระชีวิตนี้หนูยกถวายพระพุทธเจ้า ทุกอย่างเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


    คำตอบ
    ฝึกสมาธิแล้วให้ผลผิดทาง คือเกิดอาการเครียดและยิ่งกินยาคลายเครียดยิ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ผิดทางธรรม แต่แก้ปัญหาถูกทางโลก พระพุทธะมิได้แก้ปัญหาความเครียดด้วยวิธีกินยาตามที่แม่ชีแนะนำ แต่พระพุทธะแก้ปัญหาอย่างที่พระครูใบฏีกา ฯ แนะนำ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาถูกทางธรรม หากคุณเชื่อคำบอกของพระครูใบฏีกาฯให้เต็มร้อยแล้วทำให้ได้ตามที่ท่านแนะนำ ปัญหาที่บอกเล่าไปจะไม่เกิดขึ้นอีกที่สำคัญอยู่ที่ตัวคุณเองปฏิบัติได้ถูกตรงตามคำแนะนำของท่านได้หรือไม่

    กรรมที่ทำคือ เอากุศลกรรมบถ 10 มาคุมใจได้ไม่เต็มร้อยผลการปฏิบัติธรรมจึงแสดงออกมาผิดเพี้ยน
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันมีข้อสงสัยขอเรียนถามดังนี้ค่ะ ลูกที่ดูแลมารดายามแก่เฒ่า หมั่นไปเยี่ยมเยียนท่านสม่ำเสมอ หาซื้ออาหารดี ๆ ให้ท่านทาน หาหนังสือ ซีดีธรรมะให้ท่านอ่านและฟัง สวดมนต์ภาวนาทำบุญก็อุทิศบุญกุศลให้ท่าน (ขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่) และบอกกล่าวบุญกุศลให้ท่านได้รับทราบด้วย ทำหน้าที่ลูกให้ดีที่สุดในชาตินี้ แต่ลึก ๆ ไม่อยากเป็นแม่ลูกกันอีก จะถือว่าเป็นลูกอกตัญญูหรือไม่


    คำตอบ
    ผู้ใดประพฤติจริยธรรมของการเป็นลูกที่ดีต่อแม่ได้ครบถ้วน ถือได้ว่าเป็นลูกกตัญญูฯ ส่วนความปรารถนาไม่ประสงค์เป็นแม่ลูกกันอีกเป็นเรื่องของจิตอธิษฐาน ไม่ถือว่าผิดธรรมของพระพุทธะบุคคลสามารถตั้งจิตปรารถนาแบบนี้ได้ ดังตัวอย่างอดีตชาติของอัมพปาลีอธิษฐานไม่ขอเกิดในท้องมาตุคามในครั้งพุทธกาลจึงเกิดแบบโอปปาติกะอยู่ที่โคนต้นมะม่วงในอุทยานของเจ้าวัชชี ต่อมาได้เลิกอาชีพโสเภณีแล้วปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหัตผลได้
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หลังจากที่ดิฉันพยามเจริญสติ ตามรู้ตามดูอารมณ์ และพิจารณาตามหลักปฏิจจสมุปบาท อยู่เกือบ 2 ปี อยู่ๆวันหนึ่ง ก็เกิดปัญญาสว่างแจ้ง เกิดความเข้าใจว่า ไม่มีอะไรที่มีตัวตนแท้จริงเลย อย่างนี้เรียกว่าได้ตวงตาเห็นธรรมรึปล่าวคะ หลังจากนั้นมาสิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ เวลาฟังธรรมรู้สึกได้ว่าเข้าใจอย่างที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน รู้สึกได้ว่ามีศีลอยู่กับตัวอย่างที่ไม่ต้องบังคับ แต่ที่สงสัยก็คือว่า ก่อนหน้านั้น เข้าใจว่าผู้ที่ได้ดวงตาเห็นธรรม แทบจะดูเป็นผู้วิเศษไปเลย ในขณะที่ตัวเองนั้นไม่ได้มีความวิเศษอะไรเลย อีกทั้งตอนที่เกิดปัญญานั้น ก็ไม่ได้เกิดในระหว่างนั่งสมาธิแต่อย่างใด แต่เกิดตอนทำงานบ้าน (ล้างถ้วยล้างชาม) ต่างหาก ตรงกันข้าม ดิฉันนั่งสมาธิยังไม่ค่อยจะถูกเลย ถ้าเป็นการเห็นธรรมจริง ดิฉันก็อยากจะเจริญให้ได้ถึงขั้นนิพพานเลย แต่ถ้าวาสนามีน้อย อาการเห็นธรรมนี้ จะยังคงติดเราไปในชาติภพอื่นหรือไม่คะ แต่ที่แน่ๆตอนนี้ หน่ายการใช้ชีวิตอย่างโลกๆมากค่ะ รู้สึกว่าจะอย่างไรการใช้ชีวิตอย่างโลกๆนี้มันก็ยังมีการเบียดเบียนอยู่ดี อยากจะบวชแล้ว แต่เหตุปัจจัยยังไม่พร้อม อธิษฐานอย่างไรดีคะจึงจะได้บวช อีกเรื่องนึงเลยนะคะ เรื่องฆ่าปลวก ดิฉันทำทั้งที่มีสติเต็มที่ ไม่อยากทำก็ต้องทำ เพราะปล่อยไว้จนบ้านเป็นรูหมดแล้ว ทำทั้งที่รู้ว่าบาป ดิฉันทำเพื่อคนทั้งบ้าน แต่ดิฉันก็คิดว่า ถ้าจะมีกรรมเพราะการกระทำนี้ ก็ขอรับไว้คนเดียว ไม่ทราบว่ากรรมที่เกิดจะหนักกว่าตอนทำอย่างไม่มีสติรึปล่าวคะ ถามมาซะเยอะเลย รบกวนอาจารย์สนองช่วยตอบเป็นทานด้วยนะคะ


    คำตอบ
    ผู้ที่มีจิตเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมคือผู้ที่เห็นถูกตรงตามความเป็นจริงว่า “ สรรพสิ่งเกิดขึ้นด้วยมีเหตุทำให้เกิด เมื่อเหตุดับสรรพสิ่งย่อมดับลงด้วย ” ผลที่เกิดตามมาของผู้มีดวงตาเห็นธรรมคือจิตปล่อยวางสรรพสิ่งโลกธรรมและวัตถุใด ๆ ไม่อาจเข้ามามีอำนาจเหนือใจ ไม่สามารถทำใจให้หวั่นไหวสั่นคลอนได้ จิตจึงเป็นอิสระเข้าถึงความสุขละเอียดประณีตอยู่ทุกขณะตื่น การมีดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้นที่จิตและติดตามข้ามภพข้ามชาติได้ตราบที่ยังไม่ทิ้งขันธ์ลาโลกเข้าสู่พระนิพพาน

    การบวชกายไม่สำคัญเท่ากับการบวชใจ ผู้ใดประพฤติถูกตรงตามธรรมวินัยของพระพุทธะได้ถือได้ว่าผู้นั้นบวชใจแล้ว ส่วนผู้ใดคิดฆ่าคิดกำจัดปลวก เป็นความคิดที่ผิด (มิจฉาสังกัปปะ) หากนำความคิดที่ผิดไปปฏิบัติแล้วจะทำให้บาปเกิดขึ้นและถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตของผู้กระทำ คนที่มีดวงตาเห็นธรรมเขาไม่มีความคิดเช่นนี้แต่คนที่ยังเดินอยู่ในทางมรรคแห่งการเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมยังประพฤติทุจริตได้อยู่
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. ผมมีจิตศัทธาพระพุทธศาสนามาก ต้องการบวชเป็นภิกษุ และต้องการเดินทางสายเอกนี้ให้ถึงเป้าหมายสูงสุด แต่ว่าติดอยู่ที่ทางพ่อผมคงยังไม่เข้าใจถ่องแท้ถึงการที่ทำไมเราถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่อยากให้ผมไปบวช อยากให้อยู่ช่วยงานที่บ้านที่มีภาระอยู่มาก (ยังมีหนี้เงินหมุนเวียนเยอะ) เพราะผมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงานที่บ้าน (ผมค้าขายเสื้อผ้าที่ประตูน้ำ) แต่เขาก็บอกว่าเขาไม่ได้ห้ามนะ (กลัวเขาจะบาปที่มาขัดทางบุญ) ผมจะผิดมั้ยที่จะต้องขัดใจพระอรหันต์ที่บ้าน และเขาต้องเสียใจที่ผมจะไป (แต่ทางบ้านยังมีพี่น้องอยู่ช่วยได้แต่ยังไม่ค่อยเก่งงานเหมือนผม) คือผมต้องการไปเพราะต้องการมีศีลเป็นกำแพงกั้นในการที่จะกระทำผิด คือถ้าผมอยู่ในผ้าเหลืองแล้วคงพยายามรักษาศีลสุดชีวิต แต่ถ้าเป็นฆราวาส ผมมักจะห้ามใจตัวเองไม่ได้ในกระแสทางโลกที่ดึงดูดอยู่ (เพื่อนฝูงเยอะ ชอบกินเหล้า) เพราะผมดำเนินชีวิตทางโลกมาจนติด เพิ่งมารู้ถึงแก่นแท้ของชีวิตนี้เมื่อวันที่ผมได้ไปปฎิบัติที่วัดอัมพวันเมื่อ 4 ธ.ค. 49 (เพื่อนแนะนำให้ไปช่วยแม่ที่เป็นมะเร็ง) ก่อนแม่เสียเมื่อ 29 ธ.ค. 49 ผมจึงได้รู้สัทธรรม ผมอยากให้อาจารย์ช่วยแนะนำผมหน่อยครับว่าควรทำอย่างไรให้พ่อผมเสียใจน้อยที่สุด และผมจะบาปมากมั้ยครับ ผมเหมือนหนีปัญหาหรือป่าว เพราะอยู่ไปผมก็เบื่อทางโลกที่ใช้ชีวิตจำเจนี้มากพอแล้ว

    2. ผมดูในวัฎสงสารทั้ง 31 ภูมิ ที่พวกเราต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่นี้ แต่ไม่เห็นมีพวกนี้อยู่เลย อาทิเช่น นาค ครุฑ ยักษ์ กินรี ฯลฯ ผมเคยฟังหลวงพ่อจรัญเทศน์เรื่องป่าหิมพานว่ามีจริง แล้วพวกเขาเหล่านี้ไปอยู่ที่ภพภูมิไหนครับ

    3. เรื่องมนุษย์ต่างดาวมีจริงมั้ยครับ แล้วเค้าใช้จิตสื่อสารกันจริงมั้ยครับ ถ้ามีจริงแล้วเขาอยู่ในภพภูมิไหนครับ แล้วมาที่โลกเราทำไมครับ

    คำถามสองข้อหลังนี้อาจไร้สาระไปหน่อยไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ขอรบกวนหน่อยนะครับ เผื่อไว้ตอบพวกเพื่อน ๆ ที่มาถาม

    สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์มาก ๆ เลยครับ ผมเคารพอาจารย์มาก ๆ เพราะอาจารย์เหมือนคนจุดประกายไฟให้ผม เพราะผมบังเอิญไปหยิบหนังสือ "ทางสายเอก" ของอาจารย์มาอ่านตอนที่แม่รักษาตัวที่โรงพยาบาล ขอบพระคุณอย่างสูงครับ

    คำตอบ

    (1) เกิดมาเป็นมนุษย์ มีงานใหญ่ทีต้องทำอยู่ 2 อย่าง คือ งานภายนอกได้แก่งานที่ทำให้กับสังคมงานที่ทำให้กับครอบครัว เมื่อยังมีภาวะเป็นสมาชิกของครอบครัว ต้องทำงานภายนอกให้ดีที่สุดขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมทำงานภายในคืองานพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองให้ดีที่สุดเมื่อใดที่สุดเมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัวโอกาสทิ้งงานภายนอกไปสู่งานภายในล้วน ๆ ย่อมมีได้ ดังตัวอย่างของพาหิยะผสะกุลบุตรปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) ฯลฯได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างให้โลกได้ศึกษา

    (2) นาค ครุฑ ยักษ์ กินรี ฯลฯ มีจริง ขออภัยที่ไม่ตอบตามที่ถามเพราะจะทำให้ผู้อ่านและผู้ถามมีกิเลส (โมหะ) เพิ่มขึ้น

    (3) มนุษย์ต่างดาวมีจริงสื่อสารด้วยพลังงานจิต เขามาสู่โลกของเราด้วยจุดประสงค์ใด ผู้ตอบปัญหามิได้ถามจึงไม่ทราบ
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    สวัสดีค่ะอาจารย์ เนื่องจากดิฉันและเพื่อนๆตั้งใจว่าจะไปปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานที่จังหวัดเชียงใหม่ในช่วงฤดูหนาวปลายปีนี้ จึงขอความกรุณาอาจารย์แนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรมในจังหวัดเชียงใหม่ค่ะ

    ทั้งนี้เมื่อปฏิบัติธรรมและอุทิศบุญกุศลร่วมกันแล้ว อยากทราบว่าเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตอยู่ เช่น เป็นมนุษย์หรือเดรัจฉาน จะได้รับบุญกุศลที่อุทิศให้ไปหรือไม่ เพราะดิฉันไม่มีโอกาสเจอและให้เขาอนุโมทนาบุญด้วยตัวเองค่ะ
    แต่โดยปกติทุกวันจะนั่งสมาธิ สวดมนต์บทอิติปิโส พาหุงมหากาและชินบัญชร
    หลังจากนั้นกล่าวอุทิศบุญกุศลด้วยบท อิทัง เม แผ่เมตตา และกล่าวขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรไม่ว่าจะอยู่ในภพหรือภูมิใดก็ตามขอให้ท่านทั้งหลายยกโทษให้ดิฉันด้วย
    สุดท้ายจึงกรวดน้ำลงดินกล่าวอิมินา ปุญญะกัมเมนะ

    ถ้าดิฉันปฏิบัติดังนี้แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอยกบุญกุศลที่ทำมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติให้สรรพสัตว์ในทุกภพทุกภูมิที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
    อยากทราบว่าจะได้รับถึงกันหรือไม่คะ เพราะที่ดิฉันตั้งใจปฏิบัติมากเนื่องด้วยในชาตินี้ดิฉันได้เคยล่วงเกินหรือทำให้ผู้อื่นต้องเจ็บช้ำน้ำใจ จึงไม่อยากให้เวรกรรมส่งผลหรือเป็นโมฆะและที่สำคัญคือไม่กล้าขออโหสิกรรมกับเจ้าตัวค่ะ จึงอาศัยเลิกสร้างกรรมชั่ว ทำบุญกุศล และปฏิบัติธรรมให้มากที่สุด อย่างนี้แล้วกรรมชั่วจะตามทันมั้ยคะ (ส่วนใหญ่ดิฉันผิดศีลข้อ ๔ ค่ะ คือ ละเมิดทางวาจา นินทา ว่าร้าย โกหกบ้าง ส่วนอีก4ข้ออื่น ไม่ผิดค่ะ เคยบีบมด ตบยุงบ้าง แต่ปัจจุบันไม่ทำแล้ว)

    สุดท้ายกราบขอบพระคุณอาจารย์ที่สละเวลาตอบข้อสงสัยทางธรรมมา ณ ที่นี้ไว้ด้วยค่ะ

    คำตอบ
    สถานปฏิบัติธรรมในจังหวัดเชียงใหม่อาทิสำนักชีดอยสะเก็ด อ.ดอยสะเก็ด สำนักปฏิบัติธรรมดานัง เลนัง อ.ดอยสะเก็ด สำนักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม อ.จอมทอง สำนักปฏิบัติธรรมวัดห้วยส้ม อ.หางดง สำนักปฏิบัติธรรมวัดร่ำเปิง อ.เมือง ฯลฯ

    มนุษย์และเดรัจฉานที่ยังมีชีวิต ถ้าเขาทราบและมาร่วมอนุโมทนาบุญได้เขาก็ได้รับบุญกุศลที่มีผู้อุทิศให้ได้ ส่วนสัตว์ในภพอื่นที่ยังต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสารจะได้รับบุญที่มีผู้อุทิศให้ได้ต้องเข้าถึงเงื่อนไข 2 ข้อดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

    หากปฏิบัติตนให้มีศีลทั้งห้าข้อ คุมใจได้ทุกขณะตื่นแล้วหันมาปฏิบัติธรรมคนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้เอาปัญญาเห็นแจ้งไปกำจัดกิเลส (สังโยชน์10) จนหมดไปจากใจได้ แล้วทิ้งขันธ์ลาโลกเข้านิพพานได้แล้วกรรมชั่วที่ทำไว้ทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่ไม่สามารถตามให้ผลได้ และหากยังไม่ทิ้งขันธ์ดังเช่นพระมหาโมคคัลลานะองค์อรหันต์สะอุปาทิเลสนิพพานยังถูกโจรทุบได้
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. หนูเพิ่งเริ่มต้นรักษาศีล 5 พอเริ่มต้นก็พบว่าตัวเองมักผิดศีลข้อวาจาเป็นประจำ จึงตั้งใจรักษาเป็นพิเศษ ทำให้พูดน้อยลง แต่พอเปิดปากพูดนิสัยเก่าก็ออกมาอีก คือตามนิสัยเก่าจะพูดไม่ค่อยเพราะและโผงผางหน่อย ท่านอาจารย์โปรดเมตตาแนะวิธีเปลี่ยนแปลงให้ตนเองเป็นคนมีวาจาไพเราะด้วยนะคะ

    คำตอบ
    วิธีแก้ปัญหาชั่วคราวไปไหนมาไหนให้อมน้ำไว้ในปาก ถ้าจำเป็นต้องพูดให้มีสติระลึกว่า จะพูดดี พูดเป็นสัมมาวาจา คือพูดไม่เท็จพูดไม่หยาบ พูดไม่ส่อเสียด พูดไม่เพ้อเจ้อเมื่อระลึกได้เช่นนี้ แล้วให้บ้วนน้ำในปากทิ้งหรือกลืนลงไปในลำคอแล้วจึงพูดตามที่ตั้งใจไว้

    ส่วนวิธีการแก้ปัญหาเรื่องการพูดไม่ดีให้หมดไปอย่างถาวร ต้องปฏิบัติธรรมจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดโปรแกรมจิตที่ติดลงให้หมดไป ด้วยการพิจารณาทุกความคิดที่ติดลบทุกความคิดที่ไม่ดีให้ดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์เหลือไว้แต่ความคิดดีความคิดที่เป็นบวกอยู่ในจิตสำนึก เมื่อจิตสำนึกสั่งให้ปากพูด จะมีแต่คำพูดดี ๆ ออกมาจากปากตามโปรแกรมจิตดีที่มีอยู่


    2. เวลาที่พยายามทำสมาธิ(นั่งนิ่งๆแต่ยังลืมตา) จะรู้สึกเหมือนมีแสงสว่าง เหมือนโลกสว่างกว่าเดิม แต่ภายในร่างกายมีอาการสั่นเหมือนกับมีระลอกคลื่นเคลื่อนไหวไปมาภายในร่างกาย เป็นเพราะอะไรคะ เกี่ยวกับกิเลสเก่าหรือเปล่าคะ

    คำตอบ
    เป็นกิเลสที่เกิดขึ้นกับจิตที่เริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิ


    3. การที่ทุกคนมีเจ้ากรรมนายเวรหลายคน และเจ้ากรรมนายเวรแต่ละคนถูดเบียดเบียนด้วยการกระทำที่แตกต่างกัน เจ้ากรรมนายเวรแต่ละคนต้องการการชดใช้ที่แตกต่างกันหรือไม่คะ หมายถึงว่าบางคนอาจจะต้องการให้ปฏิบัติธรรมให้ บางคนต้องการให้ทำทานให้ อย่างนั้นหรือเปล่าคะ หรือว่าการปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นกุศลสูงสุดนั้นได้ครอบคลุมทุกอย่างไว้ทั้งหมดแล้ว หนูไม่ค่อยเข้าใจเรื่องสมบัติทิพย์ที่จะอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรจึงขอเรียนรบกวนถามท่านอาจารย์

    คำตอบ
    กรรมที่บุคคลกระทำเบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่นมีหลายชนิดที่แตกต่างกันบุคคลสามารถบริหารจัดการหนี้เวรกรรมได้ 4 วิธีคือ
    - ยอมรับความจริงแล้วใช้หนี้เวรกรรมจนหมดไป
    - ทำกรรมที่เป็นบ่อเกิดแห่งบุญแล้วอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร
    - ทำความดีให้ยิ่งใหญ่เพื่อให้หนี้เวรกรรมตามไม่ทัน และสุดท้าย
    - พัฒนาจิตจนเข้าถึงอรหัตผลทิ้งรูปทิ้งนามเข้านิพพานหนี้เวรกรรมที่เหลือทั้งหมดเป็นอันยกเลิก
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ในภพภูมิปัจจุบันนี้ ดิฉันรู้สึกดีใจและปิติมากที่ได้มาพบเจอท่านในชาตินี้เพราะแต่ก่อนนี้ดิฉันไม่ได้เดินทางสายธรรมเท่าไร แต่พอได้อ่านหนังสือของท่านและฟังเสียงของท่านเกือบทุกวันทำให้จิตใจหันเข้าหาธรรมะมากยิ่งขึ้น

    ทุกวันนี้ดิฉันได้นำทางให้ลูกๆสร้างสมบารมีโดยให้ตื่นเช้าใส่บาตรทุกวัน (คนโต อายุ 10 ขวบ,คนเล็กเพิ่งอายุ 5 ขวบค่ะ) และฝึกต้องให้มีศีล 5 คุมจิตใจ เพราะดิฉันรู้ว่าถ้าเค้าเดินทางสายทางธรรมแล้วจะนำพาชีวิตและดวงจิตของเค้าไปสู่ภพภูมิที่ดี เพราะดิฉันกว่าจะค้นพบทางเดินนี้ก็อายุมากแต่ก็คิดว่ายังพอมีบุญที่ได้มาพบท่านอาจารย์ดร.สนอง

    ดิฉันเพิ่งไปฝึกกรรมฐานที่วัดแห่งหนึ่งค่ะ และมาเริ่มฝึกเองที่บ้าน แต่จะต้องไปฝึกปฏิธรรมอีกตามสถานที่ที่ท่านอาจารย์แนะนำเพิ่มให้มากขึ้นอีกค่ะ

    ปัจจุบันครอบครัวทำธุรกิจเกี่ยวกับ 5 อาชีพที่ท่านอาจารย์บอกกว่าตกอยู่ในอบายภูมิมาก ดิฉันกับสามีมีแนวคิดเดียวกันพยายามเก็บเงินใช้หนี้ให้ลดน้อยลง และจะทำอาชีพที่ไม่ต้องเสี่ยงกับอบายภูมคือปลูกต้นไม้ขาย ,ขายสมุนไพร(รวมทั้งแจกหนังสือธรรมะด้วย) คือใช้ชีวิตให้พอเพียงที่สุด และต้องนำพาครอบครัวปฏิบัติธรรมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในภพภูมินี้ (ซึ่งมันยากมากในการปฏิบัติธรรมแต่ถึงยากอย่างไร ชีวิตที่เหลือนี้ก็ ขออธิษฐานให้ได้สร้างบุญกุศลและปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุด) เพราะชาตินี้ทำกรรมหนักไว้ ทุกวันนี้ดิฉันระลึกถึงคำสอนของท่านอาจารย์อยู่เสมอ และเสียงของท่านก็ดังอยู่ในจิตของดิฉัน (ถึงแม้ดิฉันจะไม่ได้ไปกราบท่านอาจารย์ใกล้ๆ แต่ท่านอาจารย์เคยบรรยายว่าไม่ต้องเจอผมก็ได้ แต่ปฏิบัติตามที่ผมแนะนำ ไม่ต้องเชื่อผม แต่พิสูจน์ด้วยตนเองแล้วธรรมะจะนำทางไปสู่ภพภูมิที่ดี)

    ท่านอาจารย์ไม่ต้องตอบหรอกน่ะค่ะ เพียงแต่ดิฉันอยากจะเขียนถึงความรู้สึกที่ปิติที่ได้มาพบเจอท่านอาจารย์ในภพนี้ ถ้าการเขียนนี้ไม่ถูกไม่ควร ก็ขออนุญาตกราบท่านอาจารย์ขออโหสิกรรมให้ดิฉันด้วยน่ะค่ะ


    คำตอบ
    สาธุ...ที่เริ่มเห็นทางสว่างของชีวิต ผู้ใดเอาธรรมะของพระพุทธะบรรจุไว้ในใจได้แล้ว ชีวิตมีแต่ความเจริญ กรรมไม่ดีมีกับผู้ตอบปัญหายกเลิกต่อกันพร้อมนี้บุญบารมีของผู้ตอบปัญหาจงมีแต่ท่านจงทุกประการเทอญ
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันมีความคิดอยากบวชเป็นแม่ชีคะ อยากเรียนถามดังนี้

    1. การบวชชีในปัจจุบันกับการบวชเป็นภิกษุณีในอดีต เหมือนกันไหมคะ และการเป็นแม่ชี มีข้อปฏิบัติเหมือนพระสงฆ์ไหมคะ

    2. อ.มีวัดที่ไหนพอจะแนะนำไหมคะ ดิฉันอยากบวชในวัดที่สงบ มีการฝึกในสายวิปัสสนากรรมฐาน ไม่อยากบวชในวัดที่มีแต่การแก่งแย่งแข่งขัน ที่มองทุกอย่างเป็นตัวเงินไปหมด

    3. มีคนเคยบอกว่าการเป็นแม่ชี ถ้าจะบวชได้ต้องมีเงิน ไม่งั้นจะอยู่ไม่ได้ เพราะต้องซื้ออาหารทานเอง จริงหรือเปล่าคะ แล้วอย่างงี้เราจะละทางโลกได้อย่างไร เพราะต้องขวนขวายหาแต่เงินมาเลี้ยงตัว


    คำตอบ

    (1) ชี คือ อุบาสิกา ที่นุ่งขาวห่มขาว โกนผม โกนคิ้วสมาทานศีล 8 และรักษาศีล 8

    การบวชเป็นชีต่างจาการบวชเป็นภิกษุณีในครั้งพุทธกาล ซึ่งต้องถือปฏิบัติคุณธรรม 8 ประการ อย่างเคร่งครัดตลอดชีวิต เมื่อบวชเป็นภิกษุณีแล้วต้องประพฤติคุณธรรมขั้นพื้นฐาน เช่นไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมยไม่มีเพศสัมพันธ์ไม่อวดคุณวิเศษที่ตนไม่มี และยังต้องประพฤติธรรมเพื่อนำคนให้หลุดพ้นไปจากการเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสาร

    ส่วนการบวชเป็นพระสงฆ์ต้องสมาทานและรักษาศีลถึง 227 ข้อ จึงต่างจากชีซึ่งรักษาศีลเพียง 8 ข้อ ชีต้องประพฤติฆราวาสธรรมหรือประสงค์ประพฤติธรรมของนักบวชเช่น ภิกษุณีสงฆ์หรือภิกษุสงฆ์ก็สามารถประพฤติได้

    (2) วัดที่มีความสงบคงหาไม่ได้เพราะมีชีจำนวนมากยังเห็นผิดไปจากธรรมของพระพุทธะ ยังมีภาวะของจิตเป็นปุถุชนยังหวั่นไหวสั่นคลอนด้วยโลกธรรมและวัตถุจึงยังมีพฤติกรรมเข่งขัน แก่งแย่งชิงดียังเอากิเลสออกแสดงให้กันและกัน ฉะนั้นการเฟ้นหาวัดเพื่อไปบวชเป็นชีไม่สำคัญเท่ากับการพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองให้มีกำลังของสติสัมปชัญญะกล้าแข็งรู้ทันกิเลสใช้กิเลสเป็นได้ประโยชน์จากกิเลส และจิตไม่ตกเป็นทาสของกิเลสนี่คือสิ่งที่ผู้รู้เสนอแนะให้ผู้ถามปัญหานำไปคิดพิจารณาและตัดสินใจบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเอง

    (3) จริงกับคนที่ได้บอกเล่าให้คุณได้ยินได้ฟังแต่ไม่จริงสำหรับผู้รู้ เพราะเคยได้ยินอยู่บ่อย ๆจากปากของภิกษุสงฆ์ที่ได้รับสมมติให้เป็นผู้จัดแจกอาหาร (ภตตุทเทสกะ) ว่าหลังจากภิกษุสงฆ์และสามเณรจัดอาหารลงในบาตรเรียบร้อยแล้วอนุญาตให้อุบาสก อุบาสิกาผู้ประพฤติศีล 8 นำไปรับประทานได้ฯลฯ จึงไม่มีความจำเป็นสำหรับชีที่ต้องใช้เงินซื้ออาหารมาเพื่อรับประทานเอง เพราะยังมีอาการเหลือจนรับประทานได้ไม่หมด
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    บางครั้งเราก็รู้สึกเหมือนภาวะนิพพาน(หมายถึงความสงบ ความว่าง ความที่รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าเอาน่าเป็น อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ ไม่ได้หมายถึงนิพพานแบบพระอรหันต์นะคะ) อยู่ตรงหน้าเรานี่เอง แต่บางครั้งก็เหมือนหาไม่เจอซักที อาจารย์คะ ถ้าเราก็ไม่รู้ว่าเรามีบุญบารมีเก่ามากน้อยเพียงไร เราอาจจะจัดอยู่ในประเภท ไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้ในชาตินี้ อย่างนี้ก็เป็นไปได้ว่า แม้เราจะพรากเพียรทั้งชีวิต เราก็ไม่อาจบรรลุธรรมได้เลยใช่มั้ยคะ แค่คิดถึงชีวิตที่จะต้องเกิดอีกมันก็ทุกข์แล้วล่ะค่ะ แต่จะน้อมรับในสิ่งที่อาจารย์สอนนะคะ ว่าให้ยอมรับในผลของกรรมแล้วก็ยินดีที่จะชดใช้

    อาจารย์คะ ถ้าปกติงานของหนู มันอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์ (ทำสื่อการเรียนการสอน) แทบจะไม่ได้เจอใครเลย แทบจะเหมือนการจำศีลเลยล่ะค่ะ ตอนทำงานหนูก็ไม่ได้คิดร้ายใคร อย่างนี้มันเกิดบุญที่จะเอาไปอุทิศได้มั้ยคะ หรือถ้าบางครั้งเรามีโอกาสได้ตอบคำถามที่มีคนปรึกษามา (ปัญหาทางโลกบ้างทางธรรมบ้าง ตอบไม่มากหรอกค่ะเท่าที่ปัญญาจะตอบได้) แต่เราก็มีความสุขกับการที่ได้ช่วยเหลือตรงนั้น อย่างนี้มันเกิดบุญที่จะเอาไปอุทิศได้มั้ยคะ อย่างนี้ในแต่ละวัน ถ้าก่อนนอนเราละลึกถึงความสุขที่เกิดจากความดีที่เราทำในแต่ละวัน (เล็กบ้างใหญ่บ้าง) แล้วเราก็อุทิศทุกวันเลยได้มั้ยคะ เราจะอุทิศบุญให้ประเทศจะได้ด้วยหรือเปล่าคะ


    คำตอบ
    ความรู้สึกที่บอกเล่าไปยังไม่ใช่ผลที่เกิดจากปัญญาเห็นแจ้ง มันเป็นเพียงความสงบที่เป็นผลมาจาก การมีจิตเข้าสู่ความตั้งมั่น (สมาธิ) ระดับสูง ยังมีความเห็นผิดในผู้รู้ตรวจวัดได้ ผู้เห็นผิดยังมีโอกาสส่งจิตออกไปรับสิ่งกระทบที่จะเกิดในอนาคตมาปรุงเป็นอารมณ์ แล้วทำให้ใจเป็นทุกข์

    ฉะนั้นความเห็นที่วา “ แม้จะพากเพียรปฏิบัติธรรมให้มากเพียงไร ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมในชาตินี้ ” ยังเป็นความเห็นผิดอยู่ผู้เห็นถูกเห็นว่า “ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มรรคผลแห่งธรรมย่อมเกิดตามมาให้ผู้ปฏิบัติเข้าถึงได้ ”

    คนที่ชอบคิดเปรียบเทียบกับผู้อื่น เปรียบเทียบกับสิ่งที่อื่นที่เป็นสมมติของโลก ปฏิบัติธรรมได้ผลยาก เพราะทำตัวเองให้เป็นคนช่างสงสัย (น้ำชาล้นถ้วย) ส่วนการช่วยเหลือคนอื่น เป็นบุญกิริยาวัตถุ 10 ผู้ใดทำแล้วให้ผลเป็นบุญ ผู้มีบุญสามารถอุทิศบุญได้ทุกวัน อุทิศให้มนุษย์และอมนุษย์ที่อยู่ในประเทศนั้นได้แต่ไม่สามารถอุทิศและเกิดผลได้กับสิ่งที่ถูกสมมติว่าประเทศได้
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ควรเริ่มจากสมาธิไปหาสติ หรือควรเริ่มจากฝึกสติไปหาสมาธิ ดิฉันเคยนั่งสมาธิแล้วเกิดเป็นมิจฉาสมาธิ โชคดีที่ได้พบกัลยาณมิตร จึงมีวันนี้ ท่านแนะนำให้สวดมนต์ ดิฉันก็ทำตามและได้ผลดี วิธีคือให้ปากกับใจตรงกันในทุกคำบริกรรม ตอนนี้ดิฉันไม่ได้อยู่ใกล้ชิดท่าน ก็พยายามสวดมนต์เป็นประจำและปรับมาเป็นสวดในใจบ้าง แต่สวดแล้วรู้สึกหนักสมองข้างซ้ายมาก รู้สึกขาดสติ ตอนที่สวดก็รู้จิตฟุ้ง มีเพียงบางขณะที่จิตเกิด สงบเป็นสมาธิ ดิฉันอยู่ต่างประเทศ สังเกตว่าฝรั่งเค้าเรื่มจากสติไปหาสมาธิ ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ไปบีบจิตมากนัก

    ดิฉันเคยฝึกจากสมาธิไปหาสติ แต่จากเหตุและผลข้างต้น


    คำตอบ
    สมาธิฝึกไม่ได้ ฝึกจิตให้มีสติได้เมื่อใดแล้วสมาธิคือความตั้งมั่นของจิต จะเกิดตามมาเป็นอัตโนมัติ

    เมื่อระลึกได้ว่า จิตขาดสติ ควรตั้งใจนำจิตมาจดจ่อ (สติ) อยู่กับบทสวดมนต์ให้มากสวดมนต์ให้มีเสียงดัง กล่าวคำสวดได้ชัดเจนและไม่เร็วจนเกินไป แล้วสมาธิในการสวดมนต์จะเกิดขึ้นที่ผู้ถามสังเกตเห็นฝรั่งเขาเริ่มจากสติไปหาสมาธิ นั้นทำได้ถูกต้องแล้วควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูมีความตั้งใจอยากจะซื้อที่ดินเป็นที่ทำกินแก่ผู้มีพระคุณ คือหนูปฏิบัติธรรมกับท่าน ทีผ่านมาหนูพยายามเกื้อกูลท่านมาตลอด ท่านก็อนุโมทนาบุญมาตลอดและอวยพรให้ประสบผลสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม

    แต่ก็ไม่ทราบว่าทำไมภายในจิตใจกลับไม่เต็ม รู้สึกหิวโหยเสียด้วยซ้ำไปในบางเวลา บางครั้งนอนหลับอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเหมือนมีใครมาบอกว่าอย่ามัวแต่นอน ตื่นขึ้นมาพัฒนาพลังชีวิตเดี๋ยวนี้ แล้วหนูก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาฝึกสติต่อทันที และบางครั้งหลับๆอยู่ก็รู้สึกกลายๆว่าตัวเองเหมือนเปรตอย่างงั้น คือรู้สึกว่าจิตใจหิวกระหาย อยากทำบุญใหญ่อยู่ตลอดเวลา ทุกวันนี้เงินทองเก็บไว้เพื่อสร้างกุศลเพียงอย่างเดียว ไม่อยากจะเอาไปทำอย่างอื่นเลย ใจมันหิวบุญมาก แต่ถึงกระนั้นเวลานึกจะทำบุญใหญ่จิตใจก็ยังกังวลอะไรบางอย่างซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร ส่วนใหญ่หนูจะพยายามตั้งสติ และดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่จิตใจ ทำไมจะทำบุญแต่จิตใจกลับอึมครึม พยายามจะพิจารณาว่านี่สัญญาเก่าหรือเปล่า หนูอาจจะเคยไปเบียดเบียนใครมาก็ได้ ทำให้จิตใจพร่อง ก็คิดเอาเองว่าเราไม่ควรย่อท้อ ยิ่งต้องเร่งทำให้มากขึ้นอีกด้วย

    ขอเรียนถามท่านอาจารย์หนูเป็นอย่างนี้เพราะอะไรคะ หนูเคยทำผิดอะไรมาหรือเปล่าคะ หรือเป็นเพราะมีใครต้องการให้พัฒนาจิตใจให้มากก็เลยมาเตือน หรือเป็นเพราะใครต้องการรับบุญกุศลจากหนูหรือเปล่า จึงเป็นเช่นนี้

    ท่านอาจารย์โปรดเมตตาชี้แนะสิ่งที่เป็นอยู่ และโปรดบอกทางด้วยค่ะ หนูอยากพัฒนาชีวิตให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ

    คำตอบ

    เหตุเพราะจิตยังพร่องจากบุญกุศล ฉะนั้นจึงแนะนำให้ผู้ถามปัญหา ประพฤติบุญกิริยาวัตถุ10 อยู่เสมอ โดยเฉพาะบุญที่เกิดจากการปฏิบัติจิตตภาวนา ซึ่งให้ผลเป็นบุญใหญ่สุด ควรปฏิบัติให้มาก
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. การบรรลุมรรคผลนิพพานนั้นเป็นเรื่องที่ต้องสร้างบารมียาวนานหลายกัลป์ เลยหรือปล่าวคะ เพราะได้อ่านหนังสือของพระในสมัยปัจจุบัน บางรูปได้บอกว่า เรื่องของการบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในชีวิตนี้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่คะ

    2. การได้พบพระอริยบุคคลเป็นเรื่องที่ต้องมีบุญกุศลมาก่อนหรือไม่คะ


    คำตอบ
    (1) ใช่ คนที่จะบรรลุธรรมสูงสุดได้ต้องสร้างและสั่งสมบารมีมายาวนานเป็นกัลป์

    ที่พระสงฆ์บางรูปกล่าวไว้ในหนังสือที่ผู้ถามปัญหาไปอ่านเจอว่า “ การบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในชีวิตนี้ ” เป็นเรื่องจริงกับคนที่มีบารมีสั่งสมมาจากอดีตชาติอันยาวไกลและมีมากพอจนแสดงผลได้

    (2) ต้องมีบุญกุศลสั่งสมมาก่อน จึงสามารถพบและได้สนทนาธรรมกับอริยบุคคลได้
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1.ทุกครั้งที่มีการสอบเพื่อน ๆของหนูจะนำโน๊ตย่อติดตัวเข้าไปด้วยทุกครั้งเลยค่ะ และหากได้โอกาสที่อาจารย์คุมสอบไม่เห็นเห็นก็จะหยิบขึ้นมาดู เพื่อนๆเค้าทำแบบนี้เกือบหมดทุกคนในห้องเลยค่ะ ส่วนอาจารย์ที่คุมสอบบางทีก็จงใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นั่งหันหน้าเข้าข้างฝาปล่อยให้นักศึกษาลอกกันค่ะ หรือบางคนก็แอบเอาโน๊ตย่อเขึ้นมาดูค่ะ ตัวหนูเองไม่เคยทุจริตในการสอบค่ะและหนูเองเป็นคนเรียนไม่เก่งหัวไม่ดีและหนูยอมรับเลยค่ะว่าตัวเองก็เป็นคนไม่ได้ตั้งใจเรียนอะไรมากมาย ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น แล้วทุกๆ ครั้งที่ผลการสอบออมาหนูจะได้คะแนนน้อยที่สุดในห้องเรยค่ะ ประมาณว่าเป็นฐานเวลาตัด curveคะแนนของห้องค่ะ แต่หนูก็ไม่สนใจ เพียงแต่ก็ยังสับสนในตัวเองว่าที่จริงแล้วเราควรจะทุจริตเหมือนที่เพื่อน ๆทำหรือป่าว เพราะมีเพื่อนหลาย ๆ คนที่ทำแบบนี้จนได้เกรดเฉลี่ยสูงๆอาจารย์ในคณะก็รักใคร่ จบด้วยเกียรตินิยม สร้างความภาคภูมิใจให้พ่อแม่ หนูจึงอยากถามอาจารย์ว่าการที่อารจารย์จงใจยอมให้นักศึกษาทุจริตในการสอบนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นความหวังดีที่อยากจะช่วยนักศึกษา นั่นเป็นบุญหรือบาปคะ และการที่ทุจริตในการสอบเพื่อให้ได้เกรดสูง ๆ หวังจะให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวเราและมีการงานที่ดีทำได้เงินเดือนสูง ๆ แล้วเอาเงินเดืนั้นมาเลี้ยงพ่อแม่ นั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ ?

    คำตอบ
    นักศึกษาประพฤติทุจริตในการสอบ ถือว่าเป็นบาปอาจารย์ผู้คุมสอบหวังช่วยเหลือลูกศิษย์ ด้วยการทำเป็นไม่เห็นศิษย์ประพฤติทุจริตเป็นอาจารย์ที่ไร้คุณธรรม และยังเป็นการส่งเสริมศิษย์ให้ชั่วมากขึ้นอาจารย์จึงบาปมากกว่า การกระทำของอาจารย์แบบนี้ ไม่ต่างไปจากความหวังดีของลูกที่คิดตอบแทนคุณของพ่อ ด้วยการสืบทอดเจตนาธรรมทุจริตค้ายาเพื่อนำเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว จนในที่สุดถูกจับได้พร้อมยาบ้าจึงต้องถูกพิพากษา นำพาชีวิตตนเองเข้าไปอยู่ในเรือนจำตามรอยบิดาผู้มาชีวิตวิบัติ ที่ถูกฆาตกรรมจากผู้ร่วมกระบวนกรรม



    2. มีอยู่ครั้งหนึ่ง เพื่อนสนิทของหนูเค้าไม่ยอมส่งงานอาจารย์ อาจารย์ก็โทรมาตามงานจากเค้า แต่เค้าโกหกอาจารย์ไปว่าเค้าได้ส่งไปแล้วและเพื่อนคนนั้นก็หนีไปเที่ยวต่างจังหวัด และระหว่างที่เค้าอยู่ต่างจังหวัดนั้นเองอาจารย์ได้โทรไปบอกให้เค้ามาส่งงานอีกในวันรุ่งขึ้น เพราะอาจารย์บอกว่าได้กลับไปหางานของเค้าแล้วแต่หาไม่พบ ถ้าหากไม่มีงานชิ้นนั้นส่งอาจารย์ๆ ก็ตัดเกรดให้เพื่อนหนูไม่ได้ เพื่อนคนนั้นจึงได้โทรมาขอร้องให้หนูทำงานให้เค้าแล้วเอาไปส่งที่อาจารย์ท่านนั้น แต่หนูไม่ยอมทำให้เพื่อนเพราะหนูไม่อยากมีส่วนในการโกหกอาจารย์เพราะอาจารย์ท่านนั้นเป็นคนดีมีศีลธรรม เพื่อนของหนูเค้าเลยไปไหว้วานให้เพื่อนอีกคนนึงทำส่งให้ หลังจากนั้นไม่นานก็มีเพื่อนอีกคนนึงมาต่อว่าหนูว่าเป็นเพื่อนสนิทกันอะไรที่ช่วยกันได้ก็น่าจะช่วยหากไม่เหลือบ่ากว่าแรง หนูก็เรยรู้สึกผิดและสับสนว่าตัวหนูเป็นคนแล้งน้ำใจกับเพื่อนสนิทเกินไปหรือเปล่าคะอาจารย์ ?

    คำตอบ
    การคบเพื่อนเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นกับชีวิต ต้องคบทุกคนเป็นเพื่อน แต่เพื่อนใกล้ชิดเพื่อนสนิทต้องเป็นคนดีที่เรียกว่า กัลยาณมิตร เพื่อนดีไม่นำพาชีวิตไม่ตกต่ำ เพื่อนดีจะป้องกันขัดขวางไม่ให้เราทำชั่วและชักชวนให้เราทำดี ทำแล้วต้องไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลและไม่ผิดไปจากธรรม

    เป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่ผู้ถามปัญหามีเพื่อนสนิทเป็นคนพาลหากยังคบหาใกล้ชิด โอกาสที่เพื่อนพาลจะพาประพฤติผิดย่อมเกิดขึ้นได้ฉะนั้นการไม่ร่วมมือกระทำความชั่วกับเพื่อนที่เป็นคนไม่ดี ไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่แล้งน้ำใจสำหรับคนดี แต่ถ้าคนชั่วทำตามคนพาลที่ขอร้องให้กระทำความผิดถือว่าผู้ให้ความร่วมมือเป็นคนมีน้ำใจชั่วแล้วในที่สุดตัวเองก็จะกลายเป็นคนชั่วคนพาลตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ในมงคลสูตรข้อแรก พระพุทธะจึงได้ตรัสกับเทวดา ที่มาขอให้บอกความเป็นมงคลว่า “ อเสวนา จะพาลานัง บัณฑิตตานัญจะ เสวนาฯ ” ผู้ใดทำได้แล้วความเป็นมงคลจะเกิดขึ้นกับชีวิต



    3.หากหนูทำการปฎิบัติธรรมถือศีล สวดมนต์และนั่งวิปัสสนาอานิสงค์ของการปฎิบัตินั้นจะสามารถ ทำให้หนูอธิฐานจิตโน้มน้าวให้พ่อแม่ของหนูหันมาสนใจการปฎิบัติธรรมฝักใฝ่ในพุทธศาสนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน และสามารถบรรลุธรรมในชาตินี้ได้หรือไม่คะ และหากหนูสนใจแต่การปฎิบัติธรรมจนละเลยเรื่องความก้าวหน้าของชีวิตการงาน แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ทางโลกโดยซะทีเดียว และอาจทำให้พ่อแม่เป็นห่วง อย่างนี้ถือว่าหนูทำบาปต่อบุพการีหรือเปล่าวคะ ?


    คำตอบ
    เพียงแค่การสวดมนต์ และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานยังไม่ถือว่ามีพลังบุญกล้าแข็งพอ ที่จะทำให้พ่อแม่บางคนศรัทธาแล้วหันมาสนใจปฏิบัติธรรมได้ หากเมื่อใดผู้เป็นลูกปฏิบัติธรรมจนจิตเข้าถึงธรรมบรรลุความเป็นอริยบุคคลได้แล้วโอกาสที่พ่อแม่จะหันมาสนใจและฝักใฝ่อยู่ในธรรมย่อมเกิดขึ้นได้ ดังตัวอย่างของพระสารีบุตรเปลี่ยนความเห็นผิดของนางสารีผู้เป็นแม่ให้กลับมาเห็นถูกและนับถือพระพุทธศาสนา

    ผู้ที่สนใจพุทธศาสนาและนำตัวเองเข้าประพฤติได้ถูกตรงตามธรรมย่อมเข้าถึงธรรมได้ในชาตินี้ ตามระดับของธรรมทีตัวเองปฏิบัติได้อาทิ ประพฤติจริยธรรมพ่อแม่ได้ถูกตรงครบถ้วน คุณธรรมของการเป็นพ่อแม่ที่ดีย่อมเกิดขึ้น ประพฤติตนมีงานดีทำมีเงินใช้ ใช้เงินอย่างประหยัดแต่พอดี และไม่ทำตัวเป็นหนี้ เขาย่อมเข้าถึงธรรมที่นำสู่ความสุขแบบฆราวาสได้ ประพฤติสมถภาวนาจนจิตเข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิจิตย่อมเกิดความสงบสุขประพฤติวิปัสสนาภาวนา จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ โอกาสเป็นอริยบุคคลย่อมเกิดขึ้นได้ฯลฯ

    ผู้ใดประพฤติงานภายนอกที่ทำให้กับสังคมได้ถูกตรง ไม่ทำให้เกิดเป็นความเสียหาย ไม่ถือว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ในทางโลก ส่วนงานภายในคืองานบริหารจัดการชีวิตตัวเองให้ดี ไม่ถือว่าทำชีวิตให้เสียหายส่วนเรื่องที่บุพการีเป็นห่วงนั้นเป็นเรื่องของเขา พระพุทธะมิได้สอนให้ไปแก้ไขผู้อื่น แต่สอนให้ดูตัวเอง ปรับแก้ไขตัวเองให้ดี ฉะนั้นผู้ถามปัญหาจึงต้องพิจารณาคำชี้แนะจากผู้รู้ แล้วตัดสินใจนำพาชีวิตไปด้วยตัวเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...