ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย เกษม, 13 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    หมี่กึง เนื้อเทียม สูตรโบราณหาเรียนยาก


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=heFryZy4bl8]YouTube[/ame]
    อัปโหลดเมื่อ 11 ต.ค. 2010​
     
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เนื้อที่ทำจากข้าว


    อัปโหลดเมื่อ 23 เม.ย. 2011​
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ผลิตภัณฑ์อาหารเจ


    เผยแพร่เมื่อ 15 ก.ค. 2012​

    ผลิตภัณฑ์อาหารเจ และชานมไข่มุก บริษัท ไท่อี้ อาหารเพื่อสุขภาพ จำกัด 22 หมู่ 6 ถ.พุทธมณฑลสาย 7 ต.หอมเกร็ด อ.สามพราน จ.นครปฐม 73110 โทรศัพท์ (034)326-868, (034)326-869 โทรสาร (034)311-902 บริษัท ไท่อี้ อาหารเพื่อสุขภาพ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย อาหารเจ อาหารเพื่อสุขภาพ ชานมไข่ม สอบถามรายละเอียดโดยตรงได้ที่ 034-326868
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    สินทรัพย์งานวิจัย โปรตีนเกษตร


    เผยแพร่เมื่อ 22 พ.ย. 2012​
     
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    กบนอกกะลา - ถั่วเหลืองเมล็ดสารพัดนึก


    อัปโหลดเมื่อ 13 ม.ค. 2011​
     
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    การแปรรูปถั่วเหลือง


    เผยแพร่เมื่อ 18 พ.ย. 2012​
     
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    อานิสงค์ 10 ประการ ของการไม่กินเนื้อสัตว์


    [ame]http://www.youtube.com/watch?v=BQkhn4qEgdk#t=99[/ame]
    อันตรายจากการกินเนื้อสัตว์

    จากการสำรวจอายุเฉลี่ยและสุขถาพอนามัยของประชากรในแต่ละส่วยของโลกพบว่า ในกลุ่มประชากรที่กินเนื้อเป็นอาหารหลัก ไม่พบผักเลยหรือกินแต่น้อย จะมีอายุสั้นมากแก่เร็วและเต็มไปด้วยโรคภัยร้ายแรงคุกคามอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับกลุ่มประชากรที่กินแต่อาหารพืชผักเป็นหลัก พบว่ามีอายุยืนร่างกายแข็งแรง และปราศจากโรคภัยร้ายแรงใดๆ ฉะนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่า " การกินเนื้อสัตว์เป็นเหตุบั่นทอนอายุให้สั้นลง ทำลายสุขภาพให้เสื่อมโทรม และก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆขึ้น " จากผลการวิเคราะห์เนื้อสัตว์ของสถาบันโภชนาการพบอันตรายที่สำคัญยิ่ง 5 ประการดังนี้คือ

    1. เลือดและเนื้อของสัตว์เป็นพิษ ก่อนที่สัตว์จะถูกฆ่าโดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ๆ ซึ่งมีจิตสำนึกค่อนข้างสูงเช่น วัว ควาย หมู สัตว์เหล่านี้จะเกิดความกลัวสุดขีดและพยายามต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ในช่วงเวลานั้นชีวะเคมีในตัวสัตว์จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายเกิดขึ้น ฮอร์โมนที่เป็นพิษจำนวนมากจะถูกขับออกมาโดยเฉพาะ สารแอดรีนาลิน พิษของฮอร์โมนนี้จะแพร่กระจายแทรกซึมเข้าไปในเส้นเลือดและเนื้อทุกส่วน แม้ว่าสัตว์นั้นจะตายไปแล้ว แต่ว่าพิษนั้นยังคงอยู่ต่อไป สารแอดรีนาลินนี้สามารถพบได้ในร่างกายของคนเราด้วยเช่นกัน มันจะหลั่งออกมามากในขณะที่บุคคลผู้นั้นเกิดอารมณ์โกรธเกลียด เครียดแค้น หรือตกใจกลัวสุดขีด เพราะฉะนั้นคนที่อารมณ์รุนแรงและตึงเครียด โมโหร้าย เจ้าอารมณ์ มักมีสุขภาพร่างกายไม่ดี ใบหน้าหมองคล้ำ ป่วยเป็นโรคต่างๆเสมอ แก่เกินวัยและตายเร็ว ตรงกันข้ามกับคนที่มีจิตใจดี อารมณ์ดี จะมีใบหน้าสดใส ร่าเริง แก่ช้า อายุยืน และสุขภาพอนามัยดี

    สถาบันโภชนาการประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า " เนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าตาย เต็มไปด้วยเลือดที่เป็นพิษและสารพิษอื่นๆมากมาย " พบว่าหลังจากที่สัตว์ตายไป 2 - 3 ชั่วโมงเนื้อสัตว์จะเป็นกรดมากขึ้นทุกขณะ กรดนี้คือน้ำเนื้อซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทรับรสอยู่ที่บนลิ้น ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเนื้อมีรสชาดอร่อย ฉะนั้นผู้ที่ปรุงอาหารเนื้อจึงไม่นิยมนำเนื้อไปล้างน้ำ เพราะจะทำให้มีรสจืด แต่กรดในน้ำเนื้อมีฤทธิ์กระตุ้นสมอง กระตุ้นจิตใจ และอารมณ์ ให้มีความรุนแรงฉะนั้นชนชาติที่ นิยมกินแต่เนื้อสัตว์จะมีความก้าวร้าวรุนแรง จ้องประหัตประหารล้างผลาญ คิดสร้างสรรอาวุธขึ้นมาทำลายล้างซึ่งกันและกัน นับวันยิ่งทวีความโหดร้ายรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้วิจัยพบว่าในเนื้อสัน 1 กิโลกรัมจะมีกรดยูริคอยู่ถึง 30 กรัม กรดยูริคในเนื้อมีสารยูเรียซึ่งเข้าไปสะสมในร่างกาย สารนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ยากแก่การขับถ่ายและไม่สามารถสลายตัวได้ง่าย ส่วนที่ตกค้างก็ถูกส่งไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย โดยจับเป็นผลึกอยู่ตามกล้ามเนื้อไขข้อและกระดูกทำให้เป็นโรคไต โรคเก๊า โรคไขข้ออักเสบ ฯลฯ

    แพทย์พบว่าไตของคนกินเนื้อ ต้องทำงานมากกว่าคนกินผักถึง 3 เท่า เพื่อขับสิ่งสกปรกและสารพิษในเนื้อที่กินเข้าไป แม้ว่าขณะอยู่ในวัยหนุ่มสาวจะไม่แสดงอาการผิดปกติ แต่พออายุมากขึ้น ไตที่ต้องทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานานๆย่อมไม่อาจจะทนไหว อาการเจ็บป่วยจึงเริ่มปรากฏให้เห็น เช่น โรคไตพิการ ไตวาย นิ่วในไต โรคเก๊า และโรคไขข้อ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการจับเป็นผลึกของกรดยูริค ภายในส่วนต่างๆของร่างกายนั่นเอง ทุกวันนี้คนเราตกอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์และอาหารดัดแปลงต่างๆ เมื่อร่างกายสะสมพิษเข้าไว้มากๆในที่สุดก็ต้องเจ็บป่วย ครั้นแล้วก็กลับพากันกินยาซึ่งสกัดจากสารเคมีเข้าไปรักษาความเจ็บป่วยนั้น บางครั้งยาที่คิดว่าจะช่วยรักษาความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น กลับให้ผลแทรกซ้อนข้างเคียง ทำให้อาการของโรคย่ำแย่ลงไปอีก บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันมาปฎิบัติตนกันใหม่ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

    2. สารเคมีในเนื้อสัตว์ นับตั้งแต่สัตว์ถูกฆ่า ตัดชำแหละเป็นชิ้นๆ แยกประเภทนำบรรจุเข้าตู้แช่แล้วขนส่งไปยังตลาดจำหน่าย เนื้อสัตว์ต้องตกค้างอยู่เป็นเวลาหลายวัน เพื่อรอผู้บริโภคมาซื้อไป กว่าจะถูกปรุงเสร็จเป็นอาหารก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ตามธรรมดาเนื้อสัตว์จะคงความสดอยู่ได้ไม่นานก็จะแปรสภาพ สีจะกลายเป็นสีเทาอมเขียว ดังนั้นในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์จึงมีการใช้สารเคมีช่วยยืดอายุการเน่าเสีย และเจือสารรักษาสีให้เนื้อมีสีแดงดูสดนาน สารเคมีเหล่านี้ทางการแพทย์พบว่าเป็นตัวการทำให้เกิดโรคมะเร็งขึ้นได้ ปัจจุบัน ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ใช้สารเคมีและฮอร์โมนผสมลงในอาหารสัตว์เพื่อเร่งการเจริญเติบโต ทำให้สัตว์อ้วนท้วนโตเร็ว เนื้อสัตว์ที่ได้จะมีสีสรรน่าซื้อแต่การกระทำดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคได้รับสารพิษต่างๆมากมาย

    เมื่อบริโภคเนื้อนั้นเข้าไปเป็นประจำ มีการฉีดเซรุ่มและยาปฎิชีวนะต่างๆ เพื่อป้องกันโรคระบาดสัตว์ ผู้ที่รับประทานเนื้อเป็นประจำร่างกายมักมีการต้านยา เมื่อเจ็บป่วยยาที่กินจึงไม่ค่อยได้ผล เช่นเดียวกับการใช้ยาฆ่าแมลงศัตรูพืชมากๆ แมลงเหล่านั้นก็จะมีความต้านยามากขึ้นเรื่อยๆ ยาที่มีความรุนแรงในขนาดเดิมจะใช้ไม่ได้ผล แมลงกลับจะทวีจำนวนมากขึ้นๆ ปัจจุบันได้พบข้อผิดพลาดนี้จึงมีการเสนอให้ป้องกันและกำจัดศัตรูพืช โดยวิธีการรักษาสมดุลย์ของสัตว์ที่กินแมลงศัตรูพืชนั้นๆ เป็นอาหาร นักวิทยาศาสตร์อังกฤษและอเมริกาพบว่า คนกินเนื้อเป็นประจำทำให้แบคทีเรียในลำไส้เล็กจะทำปฎิกริยากับน้ำย่อยของร่างกายทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งในลำไส้ โรคนี้พบมากในกลุ่มคนที่กินเนื้อสัตว์เป็นประจำ เช่นแถบอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก แต่แพทย์ไม่พบเลยในกลุ่มคนที่รับประทานแต่อาหารพืชผักผลไม้ หรืออาหารมังสวิรัติ เช่น ในประเทศอินเดีย เป็นต้น

    ในอเมริกาคนเป็นมะเร็งลำไส้มาก เพราะต่างนิยมบริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก ส่วนคนใน สก๊อตแลนด์กินเนื้อมากกว่าคนประเทศอังกฤษ 20 % สถิติการป่วยเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ของคนในสก๊อตแลนด์ก็มากกว่าคนในอังกฤษเป็นอัตราส่วน 20% เช่นกัน แม้แต่น้ำมันจากสัตว์ เมื่อได้รับความร้อนจะเกิดสารแมททิลคอลเรนทีน สารนี้ทำให้เกิดโรคมะเร็งในคน แต่ไม่พบสารนี้ในน้ำมันพืชเลย ปัจจุบันจึงไม่นิยมเอาน้ำมันจากสัตว์มาปรุงอาหารรับประทาน ในเนื้อย่าง 1 กิโลกรัมจะมีสารโซไพรินเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ถึง 600 มวน ซึ่งทำให้คนเป็นมะเร็งได้เช่นเดียวกัน มีการพิสูจน์พบว่าในเนื้อวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้าที่ฉีดพ่นด้วย ดี.ดี.ที ก็จะพบสาร ดี.ดี.ที อยู่ด้วยในเนื้อวัวนั้นเป็นปริมาณที่ก่อให้เกิดอันตราย ซึ่งสาร ดี.ดี.ที นี้สามารถทำให้เป็นหมัน มะเร็ง และโรคตับ จากการทดลองของมหาวิทยาลัยไอโอวายืนยันว่า "สาร ดี.ดี.ที ในร่างกายของคนส่วนใหญ่ได้รับมาจากเนื้อสัตว์ นักวิทยาศาสตร์พบว่าเนื้อสัตว์สามารถเก็บกักสาร ดี.ดี.ที ไว้ได้ในปริมาณมากกว่าพืชผักผลไม้ ใบหญ้าถึง 13 เท่า"

    ปัจจุบันเกษตรกรใช้ยาฆ่าแมลงในปริมาณที่มาก ฉะนั้นผักที่มีใบห่อหุ้มเป็นชั้นๆ เช่น ผักกาดขาว ผู้ปรุงควรดึงเปลือกชั้นนอกออกทิ้งไปสัก 2 - 3 ใบ ส่วนกระหล่ำปลีดอกควรนำไปล้างในน้ำที่ละลายด้วยเกลือป่นเล็กน้อย ผักที่เก็บกักปริมาณยาฆ่าแมลงไว้มาก ควรล้างให้นาน โดยปล่อยน้ำให้ไหลตลอดเวลา เพื่อล้างยาฆ่าแมลงออกให้หมดก่อนนำไปปรุงอาหาร ขอแนะนำว่าควรเลือกซื้อผักที่ปลูกโดยวิธีธรรมชาติและปลอดสารพิษมาปรุงอาหาร (Organized Grown And Non-Pesticide) หนังสือพิมพ์ชิคาโคทรีบูน (Chicago Tribune) ได้ตีพิมพ์เรื่องการเลี้ยงดูอย่งผิดธรรมชาติใน อุตสาหกรรมปศุสัตว์ว่า "เป็นการทำทำลายสมดุลย์ชีวเคมีในร่างกายของสัตว์ เช่นอุตสาหกรรมเลี้ยงไก่ ลูกไก่ที่เกิดใหม่จะถูกฉีดกระตุ้นด้วยยาอาหารและสารเคมีต่างๆ เพื่อเร่งการเจริญเติบโต สัตว์จำนวนนับหมื่นๆ ชีวิตถูกจำกัดให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่คับแคบ ชีวิตที่น่าสงสารทั้งหมดอยู่ในกรงขนาดจิ๋ว เป็นการเลี้ยงในระบบขั้นบันได เมื่อสัตว์มีขนาดโตขึ้นก็จะเลื่อนลงมาตามชั้นที่จัดวาง สัตว์ถูกเลี้ยงให้อยู่ในพื้นที่จำกัด เพื่อให้ตัวโตไขมันมากมีเนื้อเยอะ ทุกชีวิตไม่มีโอกาสได้เห็นแสงอาทิตย์แสงจันทร์ ไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์หรือการออกกำลังกายเลย ไก่จึงขาดความแข็งแรงตามธรรมชาติ จะพบว่าไก่จำนวนมากที่เลี้ยงโดยวิธีดังกล่าวมีรูปร่างวิปริตผิดธรรมดามีเนื้องอกขั้นร้ายแรงเกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ การเลี้ยงสัตว์ในลักษณะเช่นนี้เป็นการเลี้ยงดูที่ผิดธรรมชาติอย่างยิ่ง เนื้อสัตว์ที่ได้จึงเต็มไปด้วย สารเคมีที่เป็นพิษเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้บริโภค"

    3. โรคจากสัตว์ มนุษย์มีความรู้เรื่องสุขอนามัย แต่ยังคงเจ็บป่วยเป็นโรคได้ สัตว์เลี้ยงต่างๆ หากินคลุกคลีอยู่กับพื้นดินกินอาหารไม่เลือกจึงมักติดเชื้อและโรคต่างๆ เสมอ ในชนบทเมื่อหมู ไก่ วัว สัตว์เลี้ยงตายลงก็ยังนำไปปรุงอาหารโดยไม่อาจรู้ได้เลยว่าสัตว์นั้นตายด้วยโรคอะไร เชื้อโรคบางชนิดไม่อาจถูกทำลายด้วยความร้อน ผู้บริโภคจึงได้รับเชื้อโรคจากสัตว์ที่ป่วยนั้นเข้าไปโดยตรง ในโรงงานอุสาหกรรมชำแหละเนื้อสัตว์ จะพบสัตว์ที่มีเนื้องอกผิดรูปร่างอยู่เป็นจำนวนมาก เนื้อสัตว์สำเร็จรูปบางประเภททำมาจากส่วนต่างๆของสัตว์ โดยนำมาบดรวมกันแล้วผสมสีเจือกลิ่นเครื่องเทศแล้วบรรจุเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร ปรากฎว่านักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองเอาตับของสัตว์ที่เป็นโรคไปเลี้ยงปลา ปลาเหล่านั้นก็เกิดเป็นโรคเช่นกัน ชาวอเมริกาบริโภคเนื้อสัตว์มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก พบว่าประชากร 1 คนในจำนวนทุกๆ 2 คน จะต้องเสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจและที่สำคัญไขมันคลอเลสเตอรอลจากสัตว์ ไม่สามารถสลายตัวในร่างกายของมนุษย์

    เมื่อสะสมมากขึ้นจะจับเป็นก้อนแข็งตัวในหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดแคบลง เป็นเหตุให้เส้นเลือดตีบ หัวใจจึงทำงานหนักในการสูบฉีดโลหิต หากมีไขมันอุดตันในเส้นเลือดเมื่อเส้นเลือดสูบฉีดแรงจะทำให้เส้นเลือดในสมองแตก และเป็นอัมพาต ในปี พ.ศ. 2504 วารสารทางการแพทย์อเมริการายงานว่า อาหารธัญญพืชทั้งหมดสามารถป้องกันโรคหัวใจได้ 90 ถึง 97% นักวิทยาศาสตร์และนักโภชนาการกล่าวว่ากากและเส้นใยของอาหารพืช ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในเส้นเลือดลงได้ ด๊อกเตอร์ยูดี รีจีสเตอร์ หัวหน้าภาควิชาโภชนาการแห่งมหาวิทยาลัยโรมาลินดา ในรัฐแคลิฟอเนียร์ได้ทดลองให้ผู้ป่วยรับประทานแต่อาหารประเภทถั่วและธัญญพืชต่างๆ ปรากฏว่าระดับไขมันคลอเรสเตอรอลลดลงทั้งๆที่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังกินเนยในปริมาณมากอยู่ก็ตาม การบริโภคเนื้อซึ่งไขมันสูงก็มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจสูงขึ้นด้วย นักวิจัยท่านหนึ่งได้พบว่า หากจำนวนคลอเรสเตอรอลในเนื้อสัตว์ลดลง 1 % อัตราการเป็นโรคหัวใจในประชากรจะลดลงถึง 2 % คลอเรสเตอรอลในไขมันสัตว์ไม่สามารถละลายได้ง่ายในร่างกายของมนุษย์ มันจะสะสมอยู่ตามผนังของเส้นเลือดนานๆเข้าจะทำให้ภายในเส้รเลือดเล็กแคบ เป็นเหตุให้เลือดไหลผ่านได้น้อย

    ภาวะอันตรายคือ เส้นโลหิตอุดตัน หรือ เส้นโลหิตเกิดแข็งตัว หัวใจต้องทำงานหนักในการสูบฉีดเลือดเป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูง ป่วยเป็นโรคหัวใจ และหัวใจวายได้ อาหารและไขมันจากพืชไม่มีสารคลอเรสเตอรอลอยู่เลย ปัจจุบันจึงนิยมประกอบอาหารด้วยน้ำมันพืชเทานั้น ในเนื้อสัตว์ยังมีธาตุโซเดียมสูง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคหัวใจ โรคหมดกำลังวังชา โรคกระเพาะ โรคเบาหวาน ผัก ผลไม้สดๆ ซึ่งเก็บมาใหม่ๆ เป็นอาวุธที่มีอานุภาพ จะต่อสู้โรคต่างๆได้หลายชนิด การออกกำลังกายประกอบกับการหายใจ การนอนหลับพักผ่อน ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ดื่มน้ำสะอาดและรับแสงแดดดีๆ สิ่งเหล่านี้ประกอบกันทั้งหมดจะทำให้สุขภาพดีขึ้นได้

    4. การเน่าเสียเร็ว ในทันทีที่สัตว์ตายลง ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย สารโปรตีนในตัวสัตว์จะจับกันเป็นก้อนพร้อมกับปล่อยเอ็มไซม์ที่มีพิษออกมาทำให้เนื้อเน่าเสียอย่างรวดเร็ว ต่างไปจากพวกพืชผักซึ่งมีโครงสร้างของผนังเซลล์ ไม่สลับซับซ้อนมีความมั่นคงทำให้ขบวนการเน่าเสียเป็นไปอย่างช้ามาก หากนำเนื้อสัตว์มา 1 จานและผักสด 1 ต้น นำมาตั้งวางไว้ ภายในวันเดียวเนื้อจะเริ่มบูดเน่า แต่ผักแม้จะทิ้งเป็นเวลาหลายวันก็จะเพียงเฉาลง ผักเหล่านี้เมื่อนำไปแช่น้ำก็จะกลับฟื้นสดขึ้นดังเดิม เนื้อสัตว์ใหญ่หากทิ้งไว้จะพบตัวพยาธิและมันจะโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายของคนพร้อมกับแพร่พันธุ์ทวีจำนวนมากขึ้นจนน่ากลัว เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิตัวตืด พยาธิใบไม้ พยาธิตัวจี๊ด พยาธิปากขอ ฯลฯ

    ส่วนผักผลไม้เราจะพบตัวหนอนที่เป็นศัตรูพืชบ้าง แต่ตัวหนอนเหล่านี้เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ ก็จะกลายเป็นผีเสื้อ แมลงวันทองหรือแมลงอื่นๆ ไม่ใช่พยาธิอย่างในเนื้อสัตว์ เนื้อสัตว์ต้องผ่านขั้นตอนที่ยาวนานเริ่มจากสัตว์ถูกฆ่าที่โรงฆ่าสัตว์ แล้วนำไปชำแหละแยกประเภทส่วนต่างๆ นำเข้าแช่ในห้องเย็นเพื่อจัดลำเลียงส่งไปยังตลาด ตามห้างร้าน ขณะที่วางขายก็จะต้องอยู่ในตู้แช่แข็งตลอดเวลาเพื่อยืดอายุการเน่าเสียให้นานที่สุด เมื่อแม่บ้านซื้อไปแล้วใช้ไม่หมดก็ต้องเก็บเข้าตู้เย็นไว้อีก ลองนึกดูว่าเนื้อสัตว์ที่ปรุงอาหารให้เรารับประทานเข้าไปในแต่ละมื้อจะอยู่ในสภาพเช่นไร แน่นอนที่สุดทันทีหลังจากที่เรารับประทานอาหารเข้าไปแล้ว แน่นอนที่สุดทันทีหลังจากรับประทานอาหารเข้าไปแล้ว เนื้อก็จะเริ่มบูดเน่าอยู่ภายในร่างกายของเรา ร่างกายต้องใช้เวลา 3 - 5 วันเนื้อสัตว์ที่กินเข้าไปจึงจะถูกขับถ่ายออกมาได้หมด

    ซึ่งต่างจากกากใยของพืชที่จะถูกขับออกจากร่างกายได้ภายในเวลาครึ่งวัน ในระหว่างที่เนื้อสัตว์ตกค้างในลำไส้ เนื้อซึ่งกำลังบูดเน่าได้สัมผัสกับอวัยวะย่อยอาหารของเราอยู่ตลอดเวลา ทำให้ลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็กทำงานผิดปกติเป็นสาเหตุให้เกิดโรคลำไส้และโรคอื่นๆติดตามมา นายแพทย์ท่านหนึ่งได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับอาหารเนื้อสัตว์ว่า " เป็นการดีที่จะรับประทานอาหารผักด้วยความโล่งใจ สบายใจ โดยไม่ต้องเป็นกังวลว่าอาหารนั้น ปรุงมาจากเนื้อสัตว์ประเภทไหน "

    5. การขับถ่ายไม่สะดวก เนื้อสัตว์เป็นอาหารที่ไม่ค่อยมีกากหรือเส้นใย ทำให้เคลื่อนตัวไปตามทางเดินอาหารได้ช้ากว่าอาหารประเภทพืชผักถึง 4 เท่า อาหารเนื้อใช้เวลายาวนานมากกว่าจะถึงระบบขับถ่าย ในระหว่างการย่อยที่ยาวนาน กากอาหารจะถูกดูดเอาน้ำไปมากทำให้ผู้ที่นิยมรับประทานแต่อาหารเนื้อมีอุจจาระแข็ง แห้ง ถ่ายลำบาก มักป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับระบบขับถ่ายหลายอย่างเช่น โรคท้องผูกเรื้อรัง โรคริดสีดวงทวารเป็นต้น ดังกล่าวมาทั้งหมดจะเห็นว่าเนื้อสัตว์เป็นบ่อเกิดของโรคในทุกระบบของร่างกาย เริ่มตั้งแต่ระบบย่อยอาหาร ระบบทางเดินอาหารรวมไปถึงระบบขับถ่าย ล้วนมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆมากมาย เมื่อกินเนื้อทุกๆวัน ก็เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ทุกๆวัน อาหารพืชผักผลไม้มีกากและเส้นใยมาก

    เมื่อรับประทานเป็นประจำก็จะช่วยป้องกัน และยับยั้งโรคริดสีดวง โรคมะเร็งลำไส้ โรคไส้ติ่ง โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ไม่ให้เกิดขึ้น จากการสำรวจเราจะไม่เจอโรคเหล่านี้ในประชากรที่รับประทานอาหารที่มีกากใยกันมากๆเลย ในปัจจุบันนี้ชาวตะวันตกทั้งหลาย หันมารับประทานอาหารพืชผักผลไม้กันมาก ก็เพราะเหตุผลของสุขภาพอนามัยร่างกายมากกว่าเรื่องศีลธรรมความเชื่อและจิตใจ ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์แพทย์พบวิธีรักษาที่เป็นธรรมชาติที่สุดในการรักษาโรคทั้งหลายคือ เลิกกินเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาด ท่านเคยคิดบ้างไหมว่า การรักษาเมื่อเจ็บป่วยแล้วเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เป็นการสูญเสียเงินทองที่หามาด้วยความยากลำบากไปอย่างน่าเสียดาย ไม่ว่าใครก็อยากมีสุขภาพแข็งแรง อายุยืน เพราะสิ่งเหล่านี้เงินทองซื้อไม่ได้ คนเราทุกคนสร้างบ้านเรือนของเราด้วยไม้ ด้วยวัสดุอย่างดี ก็เพื่อให้มีความคงทนแข็งแรง จะได้อาศัยอยู่อย่างมีความสุข ฉะนั้นเราก็ควรสร้างร่างกายของเราด้วยอาหารที่เป็นธรรมชาติอันแท้จริงของมนุษย์ เพื่อให้ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ได้มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขเช่นเดียวกัน

    ที่มา www.96rangjai.com/naturalfoods/veget6.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2015
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    กินอยู่คือ : เมล็ดพันธุ์ ต้นทุนชีวิตเกษตรกร


    เผยแพร่เมื่อ 17 ส.ค. 2014​
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    กินอยู่คือ - เกษตรกรกลางเมือง

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=z8WGQ_CJdZ4]YouTube[/ame]
    เผยแพร่เมื่อ 30 มี.ค. 2014​
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    Foodwork อาหารเจ


    เผยแพร่เมื่อ 8 ต.ค. 2013​
     
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    อาหารเจแบบไม่จำเจ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=nM1nSF-0hvo]YouTube[/ame]
    เผยแพร่เมื่อ 1 ต.ค. 2013​
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    Top 5 อาหารเจ นานาชาติ


    เผยแพร่เมื่อ 15 ต.ค. 2012​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2015
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    อาสาพาชิม ร้านอาหารมังสวิรัติ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=yjo0ecn-7Xo]YouTube[/ame]
    เผยแพร่เมื่อ 19 ม.ค. 2015​
     
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    อาหารมังสวิรัติ @กระท่อมมังสวิรัติ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=6KJ8aoEbQ2I]YouTube[/ame]
    เผยแพร่เมื่อ 10 ก.ค. 2014​
     
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    รายการรวมพลังมังสวิรัติ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=DQEB5AkiTvE]YouTube[/ame]

    เผยแพร่เมื่อ 8 ก.พ. 2015​
     
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    มังสวิรัติ ช่วยร่างกายสดใส


    เผยแพร่เมื่อ 9 ก.พ. 2015​
     
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    หมู่บ้านมังสวิรัติ


    เผยแพร่เมื่อ 7 ต.ค. 2014​
     
  18. ด้วยรัก30

    ด้วยรัก30 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    3,894
    ค่าพลัง:
    +1,223
    โปรตีนเกษตร เก็บไว้นานก็จริง แต่ราคา ก็ยังสูงอยู่
     
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    มาทำเต้าหู้กินเองกันเถอะ

    ป้าชอบกินเต้าหู้ แต่เต้าหู้ที่ขายตามตลาดสดทั่วไป ไม่ถูกใจ บางทีแช่น้ำจนเริ่มจะบูด ซื้อมาเก็บไว้ในตู้เย็นไม่เท่าไหร่ เป็นเมือกลื่นต้องทิ้ง เคยคิดจะทำเต้าหู้กินเอง ไปหาข้อมูล ก็พบว่า ถ้าจะทำเต้าหู้แข็ง เราต้องใช้ดีเกลือ แต่ถ้าจะทำเต้าหู้อ่อน เราต้องใช้ ผงหินอ่อน ภาษาจีนเรียก "เจี๊ยะกอ" ภาษาทางเคมีคือ "แคลเซียมซัลเฟต"

    [​IMG]
    เต้าหู้แข็ง​

    วันนี้ป้าทดลองทำเต้าหู้แข็งกินเอง แบบง่ายๆ เพราะได้สูตรการเตรียมดีเกลือมาจากเวปไซด์บ้านสวนพอเพียง จริงๆ แล้วดีเกลือหาซื้อได้ตามร้านขายยาจีน หรือยาแผนโบราณ แต่จะไปงงตรงมีดีเกลือไทย และดีเกลือฝรั่ง เท่าที่ค้นหามาพอแยกแยะได้อย่างนี้นะคะ ดีเกลือไทย คือ โซเดียมซัลเฟต มีสูตรเคมีว่า Na2SO4 ดีเกลือฝรั่ง คือ แมกนีเซียมซัลเฟต มีสูตรเคมีว่า MgSO4.7H2Oหรือบางคนอาจรู้จักในชื่อของ Epsom salts ทั้งสองอย่างนี้อ่านแล้วก็พอรู้ แต่ว่าถ้าจะให้ชี้ชัดไปว่า แล้วตกลงว่าเต้าหู้แข็งต้องใช้ดีเกลือไทย หรือดีเกลือฝรั่ง ป้าก็หาไม่เจอนะคะ ส่วนมากก็จะบอกว่า ใช้ "ดีเกลือ" เวปของไทย เวปไหนๆ ก็บอกแค่นี้

    ปัญหานี้หมดไปเมื่อเราสามารถเตรียม "ดีเกลือ" ได้เอง โดยวิธีง่ายๆ และใช้เวลาประมาณ 10 วัน โดยไม่ต้องสนใจว่ามันจะดีเกลืออะไร เพราะเรามั่นใจว่ามันกินได้แน่นอน ....เริ่มจาก

    [​IMG]
    วิธีการทำดีเกลือ​

    อุปกรณ์มีในรูปข้างบน ตะกร้าแดงๆ คือตะกร้าใส่ขนมจีน 1 กิโลที่ขายตามร้านขนมจีนทั่วไป ถ้าไม่มีอะไรก็ได้ ที่เป็นช่องว่างเพื่อให้น้ำตกลง สู่ถ้วยใบเล็ก แต่ช่องต้องไม่ใหญ่จนเกลือหล่นลงไป ตะกร้านี้ป้าอ้อใส่เกลือเม็ดที่นายปัทม์ซื้อมาฝากจากนาเกลือเวลาไปทำสวนพชร ก็ใส่ไปเต็มตะกร้า กาลาะมังหรือถาดใบใหญ่สุด ใส่น้ำประมาณ 3/4 ของภาชนะค่ะ ถ้วยใบเล็กไม่ต้องใส่อะไร เป็นถ้วยเปล่าๆ ในรูปที่เห็นเป็นน้ำ นั่นคือ "น้ำดีเกลือ" ที่ป้าทำไว้สิบกว่าวันแล้ว อุปกรณ์สุดท้าย คือถุงพลาสติกใบใหญ่ที่สามารถจะห่อภาชนะทั้งหมดไว้ด้วยกัน

    [​IMG]
    วิธีการทำดีเกลือ​

    ภาพข้างบนคือวิธีการทำ "น้ำดีเกลือ" เราวางซ้อนกันไว้แบบในรูปนะคะ จากนั้นผูกถุงพลาสติกให้แน่น หรือให้อากาศเข้าน้อยๆ เพื่อว่าน้ำในถาดที่เราใส่ไว้จะระเหย จากนั้นจะควบแน่นผ่านตะกร้าที่เราใส่เกลือไว้ แล้วตกลงเป็นน้ำลงในถ้วยเล็กๆ น้ำที่ได้ในถ้วยขาวนั่นคือ "น้ำดีเกลือ" ที่เราจะนำไปทำเต้าหู้แข็ง ทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องธรรมดาๆ ประมาณ 10 วัน จะได้ "น้ำดีเกลือมาประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ ถ้าอยากได้เยอะๆ ก็ตั้งทิ้งไว้นานๆ ค่ะ

    [​IMG]
    วิธีการทำดีเกลือ​

    ผูกแล้วตั้งทิ้งไว้ ไม่ต้องไปลุ้นมันเหมือนป้าอ้อนะคะ เพราะป้าอ้อก็ลุ้นมาแล้ว เหตุว่าไปอ่านที่ไหนๆ เขาก็บอกว่า "ดีเกลือ" เป็นผงสีขาว มีรสเค็มและขม ป้าเปิดดูทีไรก็ไม่เห็นมันมีอะไรนี่หว่า จะเป็นผง เป็นน้ำก็ไม่มี...ผ่านไปห้าวันแหละ จะได้ของเหลวใสๆ รสเค็มจนขมแหละค่ะ ป้าชิมมาแล้วเหมือนกัน เวลาผ่านไปสิบวัน เร็วเหมือนรายการอาหารนะคะ...เราก็มาเตรียม "ถั่วเหลือง" กันค่ะ ไปซื้อถั่วเหลือง...เน้นว่าถั่วเหลืองนะคะ ไม่ใช่ถั่วเขียวเราะเปลือกแล้วสีเหลืองๆ กิโลละประมาณ 30 บาทค่ะ ซื้อมาทำเล่นสักครึ่งกิโลก็ได้ ทดลองดู

    เราก็เอาถั่วเหลืองมาแช่น้ำค่ะ สัก 200 กรัม ภาษาชาวบ้านก็ 2 ขีดนะคะ แค่นี้ก็เยอะแล้ว แช่สัก 4-6 ชม. อย่าข้ามวันข้ามคืน เพราะว่าถ้านานขนาดนั้นถั่วมันจะเน่า แต่ป้าขี้เกียจก็ใช้วิธีลัด เอาน้ำร้อนเทแล้วแช่ไว้ค่ะ ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ไปเติมน้ำธรรมดาลงไป แช่ต่อให้ถั่วเหลืองนิ่ม วิธีแบบนี้จะร่นเวลา เหลือประมาณ 2 ชั่วโมง ก็สามารถนำมาใส่เครื่องปั่นได้แล้ว

    [​IMG]

    ป้าไม่ได้ถ่ายรูปตอนปั่นไว้นะคะ มันไม่ยาก ใช้น้ำประมาณ 1 ลิตร ตักถั่วใส่เครื่องปั่น แล้วใส่น้ำลงไป อาจจะแบ่งปั่น 2 ครั้ง เพื่อให้ถั่วละเอียด ตรงนี้ก็ค่อยๆ ปรับเอาคิดว่าไม่ยากนะคะ

    [​IMG]

    นำน้ำถั่วเหลืองพร้อมกากที่เราปั่นมากรองด้วยผ้าขาวบางนะคะ พับผ้าขาวบางสักสองทบ เพื่อให้กรองได้ละเอียดยิ่งขึ้น มีเคล็ดลับนิดนึงจะบอก เวลาเราคั้นน้ำถั่วเหลืองด้วยมือนี่มันจะเหลวๆ แล้วจะเสียดายคั้นออกไม่หมด ไม่ต้องตกใจค่ะ ให้เอาหม้อหรือกาละมังอะไรก็ได้ ใส่น้ำเปล่ามาไม่ต้องเยอะ แล้วเอาผ้าขาวบางพร้อมกากที่เราคิดว่าคั้นไม่หมดไปคั้นต่อในน้ำสะอาด คราวนี้น้ำถั่วเหลืองที่ติดอยู่ในกากก็จะออกเกลื้ยง แล้วนำน้ำในกาละมังนี่มาผสมลงในน้ำถั่วเหลืองที่เราคั้นเสร็จแล้ว

    ข้อควรระวังคือ อย่าใช้น้ำเปล่าเยอะ เพราะจะทำให้น้ำเต้าหู้ที่เราตั้งใจให้ข้น เจือจางลง ก็ประมาณดูให้ดี ตรงนี้ถ้าใครอยากกินน้ำเต้าหู้ก็ตักเก็บไว้ ใส่น้ำตาลลงไป ก็จะเป็นน้ำเต้าหู้คั้นใหม่สด ไม่ผสมนมผง แต่ถ้าจะทำเต้าหู้อย่าใส่น้ำตาลนะคะ หยิบเกลือใส่ไปนิดหน่อยได้ค่ะ

    [​IMG]

    นำน้ำถั่วเหลืองที่ได้ตั้งไฟ หม้อที่ป้าใช้มันมอมแมมหน่อยนะคะ เพิ่งทดลองทำเป็นครั้งแรก ยังคิดๆ ว่า น้ำที่ได้จะใช่ "น้่ำดีเหลือ" หรือเปล่า เดี๋ยวจะได้รู้กันค่ะ ตั้งไฟให้เดือด ใช้ไปปานกลาง ไม่ต้องแรงนะคะ เดี๋ยวจะไหม้ก้นหม้อแล้วน้ำเต้าหู้จะเหม็นเขียว ไม่หอมอ่อนๆ ระวังตอนเดือดด้วยค่ะ ตอนเดือดให้หรี่ไฟลงอ่อนๆ ไม่งั้นจะล้น เสียหายและเสียเวลาต้องมาเช็ดเตากันอีก หมั่นคนและช้อนฟองทิ้ง พอเดือดแล้วก็ต้มต่อไปอีกสัก 2 นาที เอาให้เดือดชัวร์ๆ ปิดไฟและปล่อยให้อุ่นๆ ค่ะ

    [​IMG]

    คราวนี้ถึงบทบาท "ดีเกลือ" แล้วนะคะ ตักน้ำดีเกลือใส่หม้อน้ำถั่วเหลือง ที่เราต้มให้กลายเป็นน้ำเต้าหู้ ป้าอ้อใส่ไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ+1 ช้อนชา ที่รู้เพราะว่าใช้ช้อนตวงนะคะ ทีนี้ถ้าใครไม่มีก็กะๆ เอาค่ะ ค่อยๆ ใส่น้ำดีเกลือแล้วคนให้เข้ากัน จะเกิดปฏิกริยาน้ำดีเกลือจะจับสารโปรตีนในน้ำถั่วเหลือง ให้แยกออกจากน้ำ เหมือนในรูปนะคะ ใครเคยซื้อน้ำเต้าหู้มากินแล้วตั้งทิ้งไว้นานแล้วมันเสียแหละค่ะ แต่อันนี้ไม่เสียค่ะ เป็นปฏิกริยาที่เกิดขึ้น ป้าล่ะลุ้นแทบแย่ แบบว่าอยากรู้ไงคะ ว่าน้ำที่ได้จากการเตรียมเกลือ ใช่น้ำดีเกลือหรือเปล่า

    [​IMG]

    นำน้ำเต้าหู้ที่จับตัวมาใส่ตะแกรงหรือตะกร้าหรืออะไรก็ได้ค่ะ ที่น้ำสามารถผ่านลงไปข้างล่างได้ จัดไปตามรูปทรงที่เราอยากให้เต้าหู้เราเป็นแหละค่ะ รองใต้ภาชนะที่ว่านี้ด้วยผ้าข้าวบางสะอาด ผืนที่เราใช้กรองน้ำเต้าหู้แหละ ง่ายดี แต่ซักให้สะอาดก่อนนะคะ ยกเทลงไปค่ะ แล้วเอาชายผ้าข้าวบางห่อตลบกลับมาคลุมไว้ จากนั้นหาอะไรหนักๆ ทับ เหตุผลคือเราต้องการให้น้ำไหลทิ้งไป เหลือแต่ตัวเต้าหู้ตรงนี้ไม่งงนะคะ ประยุกต์เอาค่ะ ป้าอ้อถ่ายภาพไม่ละเอียด ทำไปถ่ายรูปไป เย็นแล้วด้วย รูปออกมาไม่ค่อยดีค่ะ

    การกรองแบบนี้ ภาษาโบราณเค้าเรียกการ "ทับน้ำ" คือทับให้น้ำ มันออก สมัยก่อนเวลาเขาโม่แป้งสด คือถ้าต้องการ "แป้งข้าวเจ้าสด" ก็จะนำข้าวสารมาแช่ แล้วโม่ผลมกับน้ำ กรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วหาครก หรืออะไรหนักๆ มาทับไว้ ให้น้ำตกลง ที่เหลือในผ้าข้าวบางคือตัวแป้ง

    [​IMG]

    ภาพข้างบนคือเต้าหู้แข็งที่เราได้มานะคะ หอมอร่อย ป้าลองชิมดูแล้ว เค็มนิดๆ ออกตัวว่าภาชนะป้ามันไม่ค่อยน่าดู ป้าทำใส่ตะกร้าขนมจีนที่มีในบ้าน คราวหน้าจะหากระบะสวยๆ มาทำ รูปทรงเต้าหู้ป้าจะได้ออกมาแจ่มๆ เผื่อเอาไปแจกให้ใคร จะได้น่าดู

    [​IMG]

    ป้าจัดการแปลงรูปเป็นต้มจืดเต้าหู้ ณ บัดนาว กินกับน้ำพริกกระปิ ชะอมชุบไข่ทอด ปลาทูทอด วันนี้มีขมิ้นขาวของโปรดป้าอ๋อยด้วย อิ่มอร่อยและมีสุขภาพดีกับการทำอาหารกินเองนะคะ

    By sng97 - พฤษภาคม 26th, 2012

    ที่มา มาทำเต้าหู้กินเองกันเถอะ | บ้านสวนพชร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2015
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ‘ลิลี เจมส์’เผยความงามภายในของ‘ซินเดอเรลลา’

    [​IMG]

    เป็นที่น่าจับตามองอย่างมากว่า ภาพยนตร์เรื่องซินเดอเรลลาฉบับคนแสดงจริง ที่ได้นางเอกสาวชาวอังกฤษอย่าง ลิลี เจมส์ มารับบทเจ้าหญิงจากเทพนิยายของเด็กผู้หญิงทั่วโลกนี้ จะโกยรายได้ไปเท่าไร หลังจากที่เปิดตัวแรงมาก จนกลายเป็นหนังที่ทำรายได้ในวันเปิดตัว มากที่สุดในไทยประจำปีนี้ไปเป็นที่เรียบร้อย

    ด้าน ลิลี เจมส์ ได้พูดถึงตัวละครที่เธอต้องมาเล่นว่า คติประจำใจของซินเดอเรลลาก็คือ “จิตใจดี และมีความกล้าหาญ” ซึ่งเป็นสิ่งที่แม่ของเธอบอกเอาไว้ก่อนที่จะเสียชีวิต โดยลิลีบอกว่า นิสัยแบบนี้ของซินเดอเรลลานี่แหละ ที่เป็นหัวใจสำคัญของหญิงสาวในทุกวันนี้

    “มันเป็นความแข็งแกร่งที่มาจากภายใน ความเข้มแข็ง และเมตตาอย่างสง่างาม แถมเธอยังพบความสนุก และความสุขในชีวิตได้ ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ขนาดนั้น” ลิลี เจมส์พูดถึงบทนางเอกก้นครัวที่เธอได้รับแล้ว ก็บอกว่าพอได้อ่านบทว่าซินเดอเรลลาเป็นคนแบบนี้ จึงทำให้เธอรู้สึกเข้มแข็งขึ้นมาจริงๆ แล้วก็รู้สึกว่าซินเดอเรลลาเป็นผู้หญิง ในแบบที่เธออยากจะเป็น จึงทำให้มีแรงบันดาลใจในการเล่น

    ลิลี เจมส์ เป็นนักแสดงสาววัย 25 ปี ที่โด่งดังมาจากซีรีส์ยอดฮิตเรื่องดาวน์ตัน แอบบีย์ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ออกปากว่าเพราะบท “เลดี้โรส” ในเรื่องดาวน์ตัน แอบบีย์นี่แหละ ที่ทำให้เธอได้ก้าวเข้าไปเล่นหนังใหญ่ในบทซินเดอเรลลา ที่โด่งดังไปทั่วโลกนี้

    แต่ถึงจะเป็นดาราใหญ่ระดับโลกไปแล้ว แต่ ลิลี เจมส์ ก็บอกว่าไม่อยากย้ายไปอเมริกา เพราะที่นั่นไม่ใช่ตัวเธอโดยสิ้นเชิง เพราะเธอเป็นสาวลอนดอน แล้วก็รักที่นี่มากจนนึกภาพตัวเองออกจากอังกฤษไปไม่ได้เลย แล้วตอนนี้เธอก็มีงานรอให้ไปออดิชั่นเยอะแยะไปหมด อย่างเช่นหนังสยองขวัญคอมเมดี้เรื่อง “ไพรด์ แอนด์ พรีจูดิส แอนด์ ซอมบีส์” ที่เธอต้องรับบทเป็นนักล่าซอมบี้

    มารอลุ้นกันต่อไปว่าหนังที่สร้างจากเทพนิยายเรื่องดังนี้ จะประสบความสำเร็จขนาดไหนทั้งในบ้านเรา และทั่วโลก

    คมชัดลึกออนไลน์ วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2558

    ที่มา www.komchadluek.net/detail/20150324/203471.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...