จิตพุทธะสว่างขึ้นได้ในชั่วปัจจุบันขณะจิตเดียว

อสุภะ
...น่าแปลกเนาะน้อง บ.บีม
ที่พวกเราพากันหลงกับหนังกำพร้า
มันอาจจะหนาไม่ถึงมิลด้วยซ้ำ
หนังกำพร้า....ขาวๆเนียนๆ
พอลอกหนังกำพร้า...ออกมา....
...ทุกคนก็มีเนื้อแดงๆเหมือนกัน
หมดเลยความสวย...ความหล่อ
เราโดนธรรมชาติ...มันหลอกซ้ำหลอกซ้อน

เคยให้ค่าความสวยหล่อยังไงไว้
สัญญา....มันก็เก็บค่าไว้แบบนั้น
ซึ่งมันไม่เคยจริง....
แบบไหนเรียกสวย... แบบไหนเรียกไม่สวย
โดนผัสสะลูกกะตาหลอกไม่พอ
ยังมาโดนสัญญาที่ปรุงแต่งสังขารอีก
จะออกจากพ้นตัณหามันไม่ง่าย
ต้องหยุดดู....เพื่อเห็นความจริง
เพราะเราไม่ได้มองโลกภายนอกจริงๆ...
...เราเห็นแค่ของในจิต... เห็นแค่โลกในใจเรา

บางทีมันความจริงของธรรมชาติทั้งหมด
อาจจะถูกปิดบังไว้แค่เส้นผม
มันทำให้พวกเราหลงไปเกิดตายนับชาติไม่ถ้วน
กันเลยทีเดียว
เพราะงั้น...ไม่ง่ายที่จะเห็นธรรมชาตินี้
ถึงจะเห็น....ธรรมชาติของผัสสะได้
จากการทดลองวิจัยของนักวิทยาศาตร์
แต่กลับไม่มีทางออก....
....มีแต่ปัญญาของพระพุทธองค์
...ที่ทรงเห็นธรรมชาติ.... พร้อมชี้ทางออกให้ด้วย
จะว่าไป.... ได้เกิดเป็นคน
มีศรัทธาในพระพุทธองค์
ได้เห็นทางออกจากวงจรพวกนี้....จนออกไปได้
...คิดดูดีๆนี่...พวกเราโชคดี
ยิ่งกว่าถูกหวยแจ็ตพอต 60 ล้าน
แบบเทียบกันไม่ได้เลยนะฮับ

 

คุณแนนอยากทดสอบใช่ไหมครับ ผมตั้งข้อสังเกตให้นิดนึงนะคับ มันมี 2 กรณี
1 ทางวิปัสสนาเพียวๆ ยกเอาผมมาเพ่งในจิต เขาจะเห็นอะไรบ้างในผมนั้น อันนี้มันเรื่องความละเอียดอ่อนเลยแต่สุดแล้วแต่ว่าจะเห็นอย่างไร คำถามคือ เขารู้ได้ยังไงว่า มันคือธาตุ ที่สลายหายไปเป็นอย่างอื่น
2 ทางวิทยาศาสตร์เห็น จากภาพปกติขยายเข้าไปเรื่อยๆ เห็นภาพชัดละเอียดขึ้นจนเห็นสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ใช่ผม ขยายไปเรื่อยๆ จนเห็นการยึดจับของโมเลกุล ขยายไปเรื่อยๆ จนเห็นอะตอม ขยายไปเรื่อยๆ จนเห็นความเปลี่ยนแปลงพลังงานในระดับอิเล็กตรอน และขยายต่อไปจนมันมีแต่ความว่างเปล่า
ข้อสังเกตคือ 2500 ปีที่แล้ว รู้ได้ยังไง จนถึงปัจจุบันก็ยังมีคนรู้ โดยที่ไม่ต้องเรียนหรือมีควาใรู้ทางวิทยาศาสตร์
ลองตรองดูแบบความจริง จะเห็นบางอย่าง นิมิตหรือไม่นิมิต ช่างมันแต่ต่อให้ไม่เรียกว่านิมิต มันก็คือนิมิตอยู่ดี
อ้อแล้วทั้งสองอัน 1 กับ 2 อันก็รู้ว่ามันเกิดจากอะไรเช่นเดียวกัน ช่างน่าแปลกยิ่งนัก

 

ฮั่นแน่ เสือซุ่ม พูดที แซงโจ จอ หอ ไปแสนขุม

ติดก็ตรง สร้อย ควอยหยอดนี่แหละ

 

เรื่องนิมิต มันน่าสนุกน่าสนใจพอๆกับอภิญญาปาฏิหาริย์เลยค่ะ เป็นเรื่องดึงดูดทำให้คนอยากเข้ามาลองภาวนาบ้าง

ส่วนแนนคงไม่เลือกไปลองละค่ะ แต่อยากฟังประสบการณ์ของคนอื่นฟังเป็นความรู้ไป

แค่ได้ฟังได้อ่านก็สนุกละ

 

นิมิต หมายถึงเครื่องหมายในเวลาทำกรรมฐาน คือเครื่องหมายสำหรับให้จิตกำหนดจับเป็นอารมณ์แล้วพิจารณาจนติดตาติดใจ

 

นิมิต ที่เกิดขึ้นในระหว่าง ภาวนา และ ทรงการภาวนา อันนี้ มีอยู่ สามนิมิต ด้วยกัน เกิดขึ้นจริงในการภาวนา มีญาณ 9 ใช้งานได้ในนิมิตนั้น ๆ เป็นเรื่อง เป็นราว เป็นการ เป็นงาน แต่ต้องใช้เป็นด้วย นึกจะใช้ทั้งที่มีนั้น ไม่มีทางใช้ได้ คนเข้าฌาน ได้แต่ ญาณ 9 ไม่ได้ มีมาก ดังนั้น ถึงเข้าใช้ได้ ก็ต้องฝึกการใช้ ลหุสัญญา ให้เป็นด้วย ที่สำคัญ ที่เรียนมาจากครูอาจารย์ ท่านสอนไว้ ถ้าต้องการทำ ฤทธิ์ ให้อาศัยปัญจมฌาน เป็นบาทฐานในการใช้ ญาณ 9 วิธิขั้นตอนแต่ละญาณ นั้นไม่เหมือนกันเป็นไปตามอำนาจของกรรมฐานที่ฝึก บางกรรมฐานได้ ญาณมาก 1 ก็มี ไม่ใช่ว่า กรรมฐาน เดียว จะได้ ญาณ เดียว นะบางกรรมฐาน ได้หลาย ญาณ ยกตัวอย่าง พระอริยะจูฬปันถก ท่านสำเร็จเป็ฯพระอรหันต์ ด้วยบาทแห่ง ฌาน เป็น ปฏิสัมภิทาบุคคล นิรมิตกายได้ทั้งมากและน้อย เรียกว่า มโนมยิทธิ กรรมฐานที่ท่านฝึกนั้น สงเคราะห์ในกรรมฐาน ได้หลายกอง ผลการฝึกมีมากกว่า มโนมยิทธิ ดังนี้เป็นต้น ดังนั้น ท่านที่เห็น นิมิต แล้วมีภาพปรากฏในนิมิต นั้น ๆ โดยเฉพาะ ถ้าปรากฏภายใน ปฏิภาคนิมิต แล้ว เชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าเป็นไปตามนั้น อย่างเช่น การระลึกชาต อาศัยปฏิภาคนิิมิต ใน อาโลกกสิณ ก็ได้ โอทาตกกสิณก็ได้ อานาปานสติ ก็ได้ อรูปฌาน ก็ได้ กายคตาสติ ก็ได้ แม้บท พุทธคุณ ก็สามารถได้ เห็นรูปทิพย์ เสียงทิพย์ และ ความเป็นทิพย์ ทั้งสิบประการได้ เช่นกัน

 

สัปดาห์หลังๆมานี้ เวลานั่งสมาธิพอเริ่มแนบแน่นมันมักจะมีอาการกล้ามเนื้อทั้งตัวกระตุกเบาๆแบบเหมือนปลาตอด รัวๆนับไม่ถ้วนทั้งตัวเลย แต่สติก็ตามดูไอ้ยิบๆทั้งตัวไม่ปล่อยสักจุดเลย บทมันจะหยุด มันก็หยุดกระตุกทั้งตัวพร้อมกัน ...เงียบบบ

เมื่อเช้าลองนั่งก็ยังเป็นอยู่...แต่มันดีตรงเอามาเจริญสติตามดูอาการได้ดีเลย เพราะมันชัดมาก

 

เมื่อไหร่ ลูก สิ วะ จะ สมัครเป็น พุทโธเลียน ฮับ

สมัครเหอะ ( ดูมือ ๆ )

พอจิตรู้ไม่เกิน สกลกาย แล้ว รับรองเลยฮับ
มาถูกทางจน โจ จอ หอ ที่นี่!! ไปเลย ไม่ต้อง
ต่อรองกับ กิเลน อีก

พุทโธเลียน มีจริงๆ ปรารภแต่ โลกุตระ สุญญตา
เท่านั้น

ไม่อายใคร

เขาไม่ให้อาหาร ก็ ยืนขอ อยู่ตรงนี้แหละ ตายก็ตายไป

 

มีถึง 6 นั่นแหล่ะ ใช้เป็นก็ได้ สัมผัส6 หรือฝรั่งเขาเอามาให้เท่ห์ ซิ๊กเซ้น

พอเจอคำว่า ซิ๊กเซ้น อุยยยย ชาบู ชาบูใหญ่

มันต่างจากการมโนทึกทักเอาเอง ก็คือ ความแม่นยำ

 

จะเอฟซี จริง ก้ไปหาไปหาฟังเสียงท่าน ตรงๆ

 

ปฏิภาคนิมิต มันเหมือนนั่งดูทีวี หรือลืมตาเห็นปกติ บอกได้ในรายละเอียด
แต่เป็นการหลับตาดู ในจิต พุดง่ายๆ ก้เหมือนดูด้วย ตาทิพย์
นี่แค่เพียง ขั้น สมถะ นะ ยังไม่พูดต่อ ว่ามันขึ้นวิปัสนาที่ตอนไหน

แค่จะให้นิมิตเป็นปฏิภาค มันใช้เวลา สัปปายะ สงบ วิเวก
มันจะมีอะไรให้ถามจุกจิกบลาๆ
แต่ถามไปก็จะยิ่งไม่ก้าวหน้า สำหรับการฝึกแบบนี้

 

คุยเรื่องตัวเองทำสนุกดีคับ ได้ไม่ได้ตัวเองก็ได้ทำ มันจะร่าเริงมากคับลุงโจว

 

นิมิตที่กำหนด จะอาศัย ตั้งฐานสมถะ เป้นวิธีฝึก ของ พวก สมถะกรรมฐาน
เวลาเชื่อมต่อลง วิปัสนา จนถึงขั้นจิตดำเนินไปเอง
ตัดสินด้วยอนิจจัง ก้เลยเรียกว่า อนิมิตสมาธิ

พวก อนิมิตสมาธิ อัปปณิหิตตสมาธิ สุญตาสมาธิ ก็เป็นแต่ชื่อบัญญัติ ในการเห็น
คนหลงพยัญชนะ หลงคำศัพย์มีเยอะ

 

ไหน เล่ามาอีก จิ๊

#ฟินจิหมอน

 

ชัดแบบลืมตามองภาพ ไม่ต้องหลับตาให้เมื่อยตุ้ม เห็นแบบตามอง แล้วเห็นเลย

ต้องบอกก่อนว่า ปวีฝึกเป็นกายคตาสตินะคะ (ตามครูที่สอน ท่านไม่ให้แยกสมถะทาง วิปัสสนาทาง) นิมิตที่ได้จิตจะพินาไตรลักษณ์ไปในตัว คลายความหลง ความเป็นเราออก ไม่ใช่คลายแค่กาย จิตเห็นจิตก้อเห็น รายละเอียดมีเยอะ อันนี้ละไว้นะคะ เราใช้แค่นิมิตอสุภะให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่นิมิตไปเป็นพระศรี ปกป้องโลก อะไรแบบนั้นนะคะ

 

ไม่ต้องฝึกอสุภะก้อได้ กายคตาสติแบบ ลพ.เทียนก้อได้
ส่วนตัวก้อสอนแม่ฝึกแบบ ลพ.เทียน เอากายนำไปจับความไหวของจิต แต่จะไม่ให้แม่ฝึกรู้จิตตรงๆ เพราะโอกาสเข้าไปเพลินเวทนาสูงมาก

อะไรที่จิตยึดไว้ เช่นนั่งดูหนังนานแล้วปวดขา ความปวดที่จิตยึดไว้ก้อเป็นสมถะ ไม่ต้องเพ่งก้อได้

แต่ละคนถูกใจ สน. การสอนแบบไหน เขาไปตามวาสนา ตามจริตของเขาเนอะ

 

ผมชอบประเด็นที่คุณพี่ @หมูไม้ละ5 โพสต์ระบุไว้ตรงนี้มากครับ… เรียบง่าย ชัดเจน และ โดนใจครับ … สาธุครับ _/|\_

อ๊ะๆ อ๊ะๆ (^ ^) “… แต่อยากโดนจับปืน …” อ๊ะๆ อ๊ะๆ



คุณพี่ @หมูไม้ละ5 ต้องเข้มแข็งนะครับพี่!!! … เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ …



คุณพี่ @หมูไม้ละ5 ต้องเห็นธรรมชาตินี้ของผัสสะให้ได้นะครับ!!! เนี๊ยนเนียน (^ ^)

 

... รู้และเข้าใจธรรมชาติของผัสสะ และ อดทน นะครับ _/\_

 

อดทนนี่มันคือต้องหลงมีอัตตาตัวตนนะ
ฮับ
ถ้าไม่ยึดในอัตตาตัวตน ก็ไม่มีผู้อดผู้ทน
ที่สุดของพุทธะมีแค่นี้ฮับ
ลองพินาดูคับ

 

ผมพิจารณาแล้วเห็นว่าอย่างนี้ครับ (^ ^) คนทุกคนสามารถที่จะละ หรือ สละ จากอัตตา และ ตัวตนได้หรือไม่ครับ? คนแต่ละคนนั้นก็มีความแตกต่างกัน… หากว่ายังไม่ถึงที่สุดของความเป็นพุทธะ [ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้สิ้นยึดจากอัตตา และ ตัวตนแล้วไซร้] ก็จงอดทนต่อกิเลส [ความโลภ โกรธ หลง] ที่มายั่วยวนให้ได้ครับ _/|\_

... อย่าว่าแต่ปุถุชนคนธรรมดาเลย… แม้แต่พระอริยบุคคลในระดับพระโสดาบัน ก็ยังลุแก่อำนาจของกิเลสเลยครับ ท่านก็ยังไม่สามารถละกามราคะ และปฏิฆะได้เลย… นางวิสาขาผู้ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะ (เลิศกว่าผู้อื่น) ในด้านการถวายทานก็มีบุตรชาย 10 คน บุตรสาว 10 คน … แล้วมันจะแปลกอะไรหากว่าคุณพี่ @หมูไม้ละ5 จะรู้สึก “… อยากโดนจับปืน …” ครับ _/|\_ ผมถึงได้โพสต์ระบุไว้ว่า... เราควรรู้และเข้าใจธรรมชาติของผัสสะ และจง อดทน ครับ _/\_