จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    ส่งการบ้านแล้วครับ

    สบายใจจัง
     
  2. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    "พ่อขอให้ข้อคิดไว้นิดหนึ่งว่า...

    เมื่อทำได้ขนาดไหนก็ตาม จงอย่าคิดว่าเราดีหรือเราเก่ง

    ถ้ายังไม่ตายเข้านิพพานเพียงใด คำว่าดีหรือเก่งยังไม่มีกับเราแน่

    เพราะยังมีร่างกายเป็นตัวทรมานเราอยู่ ยังมีหนาว ร้อน ป่วย

    กระทบกับอารมณ์ที่ไม่พึงใจ เป็นต้น จึงชื่อว่าดีหรือเก่งไม่ได้"


    พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
     
  3. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027

    ปุจฉา-วิสัชนา​


    พอดีว่า..กำลังฝึกทิ้งตัวรู้ กับ ตัวที่ไปถูกรู้...พอเห็นหัวข้อนี้แล้ว จู่ๆ มันก็มีคำถามผุดขึ้นมาว่า....

    ปุจฉา....เอ..หากผู้ถูกรู้เป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก หลาน ที่เสียชีวิตไปแล้ว จะทิ้ง(วาง) ง่ายกว่าผู้ที่กำลังมีชีวิตอยู่หรือไม่หน๋อ...อีกอย่างผู้ที่อยู่ห่างกัน จะทิ้ง(วาง) ง่ายกว่าผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกันมั้ยหน๋อ???

    เชิญวิสัชนากันได้ตามอัธยาศัยเถิด....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 พฤศจิกายน 2013
  4. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    วิสัชนา...

    ปุจฉาสำหรับเรื่องนี้นั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ....

    ถ้าตอบแบบทางโลก ก็คงจะมีคนใช้คำว่า "ใจดำ" จะทิ้งได้ไง ตามมาด้วยปัญหาและข้อขัดแย้งแบบ โลกๆ อีกร้อยแปด .
    ..

    เราจะขอตอบแบบทางธรรม ซึ่งเกิดจาก ความเข้าใจและเข้าถึงสัจธรรม ในระดับนึง ที่เกิดขึ้นในจิตของเราเอง ด้วยปัญญาอันน้อยนิด...

    การที่จิตจะวางเรื่องนี้ ง่าย หรือ ไมง่าย นั้นขึ้นอยู่กับ จิตมีความรู้ความเข้าใจหรือเข้าถึงใน คำว่า "สักกายทิษฐิ" มากหรือน้อยเพียงใด?

    ความรักความเคารพในตัวบุพพการี ... ยังมีอยู่เต็มเปี่ยม และเปี่ยมล้นไปด้วย ความกตัญญูรู้คุณ พร้อมที่จะทดแทน พระคุณ
    ความรักนั้นคงไม่ต้องพูดถึง เป็นความรักที่เทอดทูนท่านอยู่เหนือเกล้า เหนือกระหม่อม เปี่ยมไปด้วย พรหมวิหาร4 ที่มีต่อท่านทั้งสอง
    ที่เป็นบุพพการีของเรา ในชาตินี้ ...แม้กระทั่งปลายเล็บ อะไรที่จะเป็นการทำให้ท่านท้้งสองทุกข์ใจ มันไม่มีอยู่ในจิตเรา
    นั่นคือ สิ่งที่เรากล้าพูดได้ว่า เรามีความดีอยู่อย่างเดียว ติดตัวมาตั้งแต่เกิด คือ ความกตัญญูรู้คุณ ผู้มีพระคุณ ...
    แต่นอกเหนือจากนั้น เราไม่ได้มีดีอันใดเลย ..


    พ่อแม่ ให้ชีวิตเรา ให้การศึกษาเรา ซึ่งก็คือ ความรู้ทางโลกที่นำมาใช้ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ แต่ความรู้ที่เป็นแก่นแท้ ที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้
    ท่านไม่สามารถให้เราได้ เพราะท่านเองก็ยังดิ้นรน เพื่อหาทางพ้นทุกข์เช่นกัน ....เราถึงต้องตั้งจิตมุ่งมั่น ขอเดินตาม คำสั่งสอน ของ พระพุทธองค์
    ขอเดินตาม ครูบาอาจารย์ที่พ้นแล้ว ...และนั่นคือ จุดเริ่มต้น ที่ จิตเราได้เรียนรู้ความจริง ของการเกิดมาเป็น ชีวิตมนุษย์ อย่างถ่องแท้ ...
    ว่าเราเป็นใคร?

    เรา คือ จิตดวงเดียวที่ท่องเที่ยวไป เราแค่มาอาศัย ธาตุ4 ขันธ์ 5 ที่ประกอบขึ้นเป็นรูป ร่าง แบบนี้ ได้มาจุติอยู่ กับ พ่อ และ แม่
    ในชาตินี้ แค่ชั่วคราวทุกอย่างที่เรามีอยู่ อาศัยอยู่ ในโลกใบนี้ ... มันมี ก็เหมือนไม่มี ...
    เพราะจริงๆแล้ว เรานั้น คือ จิตดวงเดียว เท่านั้นจริงๆ ที่มาอยู่ในโลกแค่ชั่วคราว เท่านั้น หมดเวลาของเรา หรือว่า กายหยาบนี้ ตายลง
    เราก็จะไป จิตเป็นผู้ไป ... ความรู้ที่เกิดขึ้นในจิต ตรงนี้ นั้น เป็นความรู้ ที่เกิดจากการปฏิบัติ ตาม ธรรมะของพระพุทธองค์ ความเข้าใจ
    ตรงนี้สามารถทำให้ จิตละวาง อุปทานขันธ์ ได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ ...


    วางอุปาทานขันธ์5 ของเรา ก่อน แล้วก็เลยวางอุปาทานขันธ์ ในจิตเรา ที่มีต่อคนใกล้เคียงได้ ไม่ยาก ...
    ไม่ใช่ว่า ไม่รัก ไม่ใช่ว่าขาดเมตตา แต่กลับเป็น ความเข้าใจในสัจธรรม มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ว่า พ่อ แม่ ...
    ท่านก็คือ ดวงจิต ดวงหนี่ง เหมือนกับเรา ที่เวียนกลับมาเกิดในโลกนี้ ตามกระแส บุญ และ กรรม ของท่าน เมื่อจิตเราเข้าใจตรงนี้ อย่างถ่องแท้ ...
    สักกายทิษฐิ มันลด ระดับลงไป อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งสำหรับ เราเอง และ คนรอบข้าง รวมทั้ง สัตว์ สิ่งของ วัตถุใดๆ ที่แวดล้อมเราอยู่
    ความห่วงใย ความผูกพัน ความยึดมั่นถือมั่น มันลดลงมากๆ ... เราจะรู้ได้ทันทีเมือเราต้องเผชิญ กับ ปัญหา อุปสรรค ที่มีเข้ามาถึงเรา ....
    คำว่า "กฏของกรรม" "กฏของธรรมดา" มันกระจ่างเข้ามาในจิตเองโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องอธิบาย ... มันจบเลย ด้วยสองคำนี้ ...
    จิตเราหยุดนิ่งสนิท ทันที ด้วยสองคำนี้ ...ไม่มีคำว่า ฟุ้งซ่าน ลังเลสงสัย คิดต่อ ปรุงแต่งต่อ ใดๆทั้งสิ้น ...
    เราพูดอย่างนี้ได้ เพราะเราเจอมาแล้ว กับเหตุการณ์จริง คนใกล้ตัว และ ทรัพย์สิน ถึงแม้ว่า จะยังไม่ถึงกับเสียชีวิต ก็ตาม
    ...เมื่อจิตเข้าถึง ความเป็นธรรมดาได้ มันสามารถวางทุกสิ่งทุกอย่างได้เอง ...นั้่นเพราะ จิตวางด้วยปัญญา



    ดังนั้น คำว่า ตัดห่วงร้อยรัด ตัดความผูกพัน นั้น เราขอตอบด้วย ปัญญาอันน้อยนิด ของเราว่า มันคือ
    การละ อุปาทานขันธ์ ความยึดมั่นถือมั่น ว่าสิ่งนี้ เป็นเรา เป็นของเรา จิตมันเป็นผู้ละเอง ไม่รู้ว่าจะตอบเป็นเปอร์เซนต์ ได้อย่างไร
    เพราะมันไม่สามารถวัดออกมาได้ เพียงแต่ สามารถ วัดได้จาก ความรู้สึกที่เกิดขี้น ในจิตตนเอง ก่อน และ หลัง การปฏิบัติธรรม
    (Before and After) เท่านั้นเอง ว่า ก่อนหน้าปฏิบัติธรรม มีแต่ความรู้ทางโลก ที่เต็มไปด้วย ทิษฐิมานะ ยึดไปหมด
    แต่พอมาปฏิบัติธรรม ก็ได้พยายามนำความรู้ ของพระพุทธเจ้า ป้อนข้อมูลใส่ลงไปในจิต แทนความรู้เดิม จนกระจ่างจิตในระดับนึง
    คำว่า เข้าใจในสัจธรรม ของชีวิตๆหนี่งที่เกิดขี้นมาบนโลกนี้ ...ความรักความผูกพันแบบเดิม มันวางได้แบบเข้าใจ ไม่พยายามทำให้ได้
    หรือ บังคับให้เป็นไปในแบบที่ใจเราต้องการ ไม่มีแล้ว...และพร้อมเสมอถ้า ความตายมาถึงในวินาทีนี้ ความห่วงใดๆ กับใครกับอะไร ไม่มีในจิต
    เพราะชาตินี้ เราทำหน้าที่ลูกทั้งทางโลกและทางธรรมตอบแทนพระคุณ บุพพการี ครบถ้วนแล้วดีที่สุดแล้ว แม้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่จิตเราเข้าใจ
    ในคำว่า วาสนาบารมีของแต่ละคน ไม่เท่ากัน ...

    ดังนั้น การที่จะใช้คำว่า "ทิ้งผู้ถูกรู้" ในเรื่องของผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะ พ่อ แม่ นั้น...
    ควรจะเป็นในลักษณะ ที่จิต ยอมรับ กฏของธรรมดา กฏของกรรม มากกว่า
    แล้วจิตจะ วาง ลงได้เอง วางอุปาทานว่า เขา คือ พ่อ แม่
    (สามี ภรรยา ลูก ญาติพี่น้อง)ของเรา เพราะ จริงๆแล้ว ไม่มีอะไร ที่เป็นเราเป็นของเราเลย ในโลกนี้ มีแต่ สภาวธรรม ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ไม่นาน แล้วก็ดับไปเท่านั้นเอง เมื่อเข้าใจจุดนี้ จิตเรานั้น ก็จะไม่เข้าไปก้าวล่วงเกิน กฏของกรรม ของผู้ใด แม้กระทั่งว่า คนๆนั้น จะเป็น พ่อ เป็น แม่ เรา ก็ตาม


    (*** แต่การพิจารณาช่วยเหลือในฐานะของทางโลก ถ้าหากไม่ก้าวล่วงกฏของกรรม เราย่อมทำได้ การระมัดระวัง ในการที่จะสร้างให้เกิด
    กรรมไม่ดีที่จะมี ต่อ บุคคลเหล่านั้น จะไม่มี สำหรับเราอีก ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไร จะอยู่ใกล้ หรืออยู่ไกล ก็ตาม
    เพราะนั่นหมายถึง ความปรารถนาที่จะไปนิพพาน ก็จะห่างออกไป
    ... ) เราเคารพ กฏของกรรม ตามที่ พระพุทธเจ้าท่านทรงกระทำให้เราดู
    เป็นตัวอย่าง ...การวางเฉยในกฏของกรรม จึงเกิดขึ้น จิตเมื่อเข้าใจตรงนี้ ความคิดปรุงแต่ง ใดๆ (สังขารขันธ์)ที่จะเข้ามารบกวนทำให้จิตเศร้าหมอง
    มันจะไม่เกิดขี้นเลย....

    ขอตอบตามความเข้าใจเรา ด้วยปัญญาอันน้อยนิด สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2013
  5. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอตอบสั้นๆ ว่า...
    ผู้ปฎิบัติอย่าหลงทางกันนะ เพราะการปล่อยวางนั้น เป็นหน้าที่โดยตรงของจิต มิใช่เรา(สติ)นะ
    แต่มีข้อแม้นอยู่นิดเดียวก็คือ ไม่ว่าจิตจะปล่อยวางกับสิ่งใด ด้วยปัญญาเท่านั้น
    ตรงนี้อย่าลืม สัดส่วนการปล่อยวาง หรือจิตจะปล่อยวางได้มากหรือน้อยนั้น ก็อยู่ที่ตัวปัญญาของเรามีระดับใด
    ปัญญาน้อยก็จะปล่อยวางได้น้อย แต่ถ้าปัญญาเรามีมากก็ปล่อยได้มาก แต่ถ้าปัญญาญาณ ก็ปล่อยวางหมดเลย
    ไม่มีเหลือเชื้อใดๆให้สงสัยอีกเลย จบกิจหรือจบกัน เหมือนคนทำงานมาตลอดชีวิต ปัญญาญาณจึงเหมือนเกษียณราชการ
    แค่ทรงขันธ์๕ของตนไป ส่วนมันจะแตกดับตอนไหนก็ช่างมัน เพราะไม่สนใจอะไรแล้ว นอกจากจิต
    เพราะท้ายสุด เราก็ต้องทิ้งจิตตนเข้านิพพานไป

    สรุปสั้นๆเลยว่า...ไม่ว่าผู้ถูกรู้นั้นจะเป็นใคร ก็ตาม ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มี ก็ตาม
    หรือว่า ผู้ที่อยู่ใกล้กันหรือห่างกัน ก็ตาม
    มันไม่มีความสำคัญอะไรกับเราอีกต่อไปแล้ว ถ้าเราสามารถละขันธ์๕ คือรูป๑ นาม๔ ได้เด็ดขาด
    ที่เมื่อก่อนเรามีความเห็นผิดว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา (ขอให้ไปทบทวนเรื่องสังโยชน์ข้อที่๑ (((สักกายทิฎฐิ)))ของตนเอง)
    อันนี้จะขอตอบแบบ ติ๊ต่างว่าตนเอง คือผู้ละตัวผู้รู้และละตัวถูกรู้เฉยๆนะ

    เคยพูดไปหลายครั้งแล้ว ถ้าตราบใดเรายังละขันธ์๕(รูป๑นาม๔)ยังไม่ได้
    หรือละสังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์กันยังไม่ได้ เพราะธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็จะกลับย้อนมาทางเก่า
    คือกิเลสพาไปแด๊ก นั่นเอง
    แต่ถ้าพวกเราละกันได้จริงๆ คำถามหรือความสงสัยย่อมไม่เกิดกับตนเอง หรือผู้อื่นก็จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
    เร่งเจริญปัญญาให้มาก+ต่อเนื่อง อย่าไปสนใจในจริยาผู้อื่น แม้นกระทั่งคนๆนั้นคือ คนในคือคนที่อยู่รอบข้าง
    ปล่อยเป็นหน้าที่ของกายกับทางโลกเขาไป ไหนๆกายหยาบด้วยกันก็หนีกฎแห่งกรรมของกันและกันไม่พ้น
    มีสิ่งเดียวที่จะหนีจากโลกนี้ หรือเรื่องกรรม เห็นมีแต่จิตดวงเดียว ก่อนอื่นเราต้องแยกจิตตนออกมาจากทุกสิ่งก่อน
    ก็อย่างนี้แหล่ะ เป็นเรื่องธรรมดา ของผู้ยังละขันธ์๕ตนไม่เด็ดขาด เหลือตั้งสองตัว(สังขาร+วิญญาณ)
    เคยบอกหลายหนไปแล้วว่า อย่าไปพยายามละตัวสังขาร(คิดปรุงแต่ง) หรือตัวถูกรู้เลย เพราะละโดยตรงไม่ได้หรอก
    แต่จะต้องไปละตัววิญญาณขันธ์โน้น แต่มิใช่ละทางคำพูดคำจา แต่จะละได้ด้วย มรรคมีองค์แปด(ศีลสมาธิปัญญา)
    พยายามทำให้ครบ เดี๋ยวญาณก็เกิดเอง เดี๋ยวก็ละวิญญาณขันธ์ได้เอง แต่ถ้าละตัววิญญาณขันธ์ได้ตัวเดียว นอกนั้นก็ละได้หมด
    ต่อไปเราก็คือ ผู้ดู+รู้แต่ไม่ยึดเป็นตัวเป็นตน และก็อยู่เฉยๆ ถามว่ากิเลสต่างๆ ทุกข์ต่างๆ หรือรูป๑นาม๔ยังอยู่ครบไหม
    ตอบว่า อยู่ครบทั้งหมด แต่อยู่ที่กายหยาบเหมือนเดิมทุกประการ เหมือนเราไม่ได้ปฎิบัติธรรม นั่นแหล่ะ
    เพียงแต่ว่า ตอนนี้ เราคือความว่าง คือไร้ทั้งรูปทั้งนาม ตลอดไปฯ
    ต่อไปยังคงเหลือแค่ ผู้ดูอย่างเดียว มิได้ดูทื่อๆทึ่มๆนะ
    แต่ผู้ดูนี้ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้รู้ รู้แต่ไม่ยึดแล้ว จิตก็ตื่นตลอด จิตก็เบิกบานตลอด
    และก็อยู่เฉยๆ อาการคล้ายๆกับสังขารุเบกขาญาณ แถมรู้ด้วยนะว่าใครคิดอะไรอยู่
    (เจโตน้อยๆจะเกิดตรงนี้ หลังจิตกลายเป็นความว่าง)
    แต่ความจริงเรามิอยากจะไปรู้เรื่องของชาวบ้านหรอกนะ แต่ทำไม๊ ไม่อยากรู้ ก็ยิ่งมีบางอย่างมาบอกให้รู้

    สุดท้ายก็เลิกถามตนเองและผู้อื่น เมื่อจิตเลิกสงสัย เราจึงเลิกตามจิต(ว่าง)ไปทั้งหมดเลย
    สงสัยผมจะตอบสั้นๆไม่เป็น แหม๊ ถ้าอยู่ใกล้ๆจะให้ฟังเทศน์ทั้งวัน ทั้งคืนเลย

    ปล.คุณณัฐชยาวดีตอบก็เข้าท่าดีนะ พี่ภูไม่ผิดหวังเลย เพราะติวเข้มมากสำหรับท่านนี้ เพราะหลวงพ่อท่านทั้งฝากทั้งฝัง(คิคิ)
    แต่ถ้าไม่ตั้งใจทำกันนะ มัวแต่ไปยุ่งอยู่กับทางโลกๆๆกันอยู่นะ เดี๋ยวพี่ภูจะขอเข้าอุเบกฯ คือไม่อยากยุ่งกับใครแร๊ะ
    ถือซะว่า ตนเองไม่มีบุญบารมี หรือวาสนามาสอนสั่งธรรมกับผู้ใด คราวนี้ก็อย่ามาตามหากันอีกนะ จะหายตามครูเพ็ญไปเลย
    ระวังนะ แนะอะไรกันแล้วไม่ปฎิบัติตาม ที่แนะนำนี่ มิใช่ให้ปฎิบัติตามผมนะ เพราะผมเองก็ปฎิบัติตามพระตถาคต หรือพระอริยเจ้าทั้งหลาย
    ผมอยากแนะสิ่งที่ตนเองปฎิบัติได้มาแล้วได้ผล ตามที่ท่านสอนในจิต

    สมาธิจิตพอตั้งมั่นได้แล้วย่อมมีปัญญารู้มากตามไปด้วย อีกหน่อยท่านนี้จะออกมาพร่ำธรรมะแทนพี่ภูแร๊ะ
    แต่ถ้าไม่ออกก็ไม่ได้นะ เคสนี้ก็ลองถามแม่นี หรือคุณเพ็ญสอง ดูดิ...โมทนาสาธุ
     
  7. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    ส่งไปทางฮอทเมลแล้วนะครับ ไม่รู้ว่าจะได้รับหรือเปล่า
     
  8. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    ..พูดเรื่องจิตแล้ว ผมว่าจิตของผมนี่น่าละอายสุด..
    ..บางครั้งก็เชื่อคนยาก แต่พอจะเชื่อก็ไปสุดๆๆ
    ..ส่วนใหญ่ยังแข็งกระด้าง ดื้อด้าน ดันทุรัง รั้น ไม่เข้าเรื่อง..
    ..เลยบางครั้งไม่อยากสนใจมัน..
    ..
    ..ยิ่งสติ สตางค์ ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเลยครับ..
    ..ชอบไปจับ ไปส่องเรื่องชาวบ้านตลอด..
    ..
    ...เหนื่อยกับมันมากๆ อิอิ
     
  9. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    ..มีพี่คนที่รู้จักว่า เค้าเคยอ่านเจอว่า นิพพาน หากอยากมาเกิดก็สามารถที่จะมาเกิดได้
    ..ผมขอถามผู้รู้ในนี้ว่า จริงหรือครับ
    ..เพราะว่าผมก็อ่านหนังสือหลวงพ่อมาหลายเล่ม หลายบท
    ..แต่ยังไม่เจอประโยคนี้เรยครับ..
    ..
    .สงสัยนะครับ เลยขอถามก่อน+55
    ..สาธุๆๆๆๆ ขอความรู้จากผู้รู้..
    ..จิตผมมันสงสัยครับ
     
  10. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    ขออนุโมทนาครับลองดูสักตั้งค่อยๆทำทิ้งมานะให้หมดทิ้งของเดิมให้หมด

    ทำตามที่ครูเกษแนะนำครับครูเกษมีไม้ตีกิเลสหลายขนานครับ

    ดีใจจังครับมีเพื่อนแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2013
  11. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    ............
    ....ไม้ตีกิเลสนี้ขอให้มีผลก่อนวัน 2 ธันวาคม นี้ยิ่งดีใหญ่เรยครับ
    ....กะว่าจะไปที่วัดตั้งแต่วันที่ 2 เริ่มฝึก 3-6 ธันวา ครึ่งกำลัง
    ....7-8 ธันวาคม เต็มกำลัง
    ....9-12 ธันวาคม แบบ ครึ่งกำลัง.
    ....พึ่งรู้ว่าที่วัดฝึกทุกวันในช่วงงานนี้
    ....
    ....แต่จริงๆไม่เห็นก็ไม่เป็นไรครับผม
    ..เพราะตั้งใจไปสะสมบุญใหญ่มากกว่า
    ..เพราะรู้จิตเรายังกิเลสเยอะ โอกาสที่จะจะเห็นได้เช่นคนที่จิตสะอาดจึงไม่มี อิอิ
    ..ยังไงๆก็สู้ๆๆอยู่แร้วครับ ไม่ยอมแพ้แน่อน
     
  12. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209

    เอ้าที่กำลังจะทำนี่ก็บุญใหญ่ถ้าทรงฌานได้ตลอด24ชม.มากมายมหาศาล

    อย่าลืมสำคัญมากทิ้งความอยากได้มโนให้หมดประมาณว่ากรูไม่เอาแล้ว

    กรูอยากหลุดพ้นผมไม่เก่งอะไรมากมายแต่ตอนเริ่มฝึกอยากได้มโนเหมือนกัน

    จึงกล้าแนะนำจิตคุณจะได้เกาะพระติดไวผมขอแนะนำเท่านี้ที่เหลือแล้วแต่ตัว

    ท่านแล้ว
     
  13. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    สาธุค่ะ ขออนุโมทนาในธรรมทานของท่านค่ะ แจ่มแจ้งจริงๆเลย เพราะท่านกล่าวแบบผู้หลุดพ้นจาก ความยึดมั่น ถือมั่น คือปล่อยวาง แบบไม่เอาตัวถูกรู้ และผู้รู้ และท่านก็เป็นแค่ผู้ดูจริงๆ เพราะจิตท่านไปอยู่เหนือ ความถูกต้องแล้ว ท่านกล่าวมาทําให้นึกถึง คําสอนของหลวงพ่อ เยื้อน ขันติพโล ท่านบอกว่า พอถึงจุดนี้ เราเหมือนอยู่ในกล่องใสๆๆ ที่เห็นหมดของที่อยู่ภายนอก แต่เราไม่ไปจับต้อง และไม่เข้ามาถึงตัวเราได้เลย แต่เราเห็นหมด จึงเป็นแค่ผู้ดูเฉยๆ ก็หวนมาถึงคําพูดที่ครูพี่ภู บอกกล่าวมาตลอดเวลา ที่ท่านได้แสดงธรรมให้ฟัง..จึงขอกล่าวอนุโมทนาสาธุ กับท่านผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยธรรมด้วยเทอญ.
     
  14. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    สาธุๆๆๆ เกรงจะทำไม่ได้เช่นท่านนะครับ อิอิ
    เรยไปหาบุญแบบนี้ก่อน อิอิ
     
  15. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 55 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 51 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    Dhammanee, Natcha@uk, therd2499, pocky_noi

    หวังว่า...คงไม่ได้เข้ากระทู้ผิดน่ะค่ะ...อิๆๆ

    ไนท์ ไนท์...ราตรีสวัสดิ์ค่ะ...
    rabbit_sleepy
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 พฤศจิกายน 2013
  16. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    เหตุการณ์บ้านเมืองเวลานี้ไม่ดี

    ไม่ต้องไปวิพากษ์วิจารณ์ว่าใครดีใครเลว เพราะกฎของกรรมเป็นของตายตัว

    จึงมิใช่ของแปลก เป็นเรื่องธรรมดาของกฎของกรรม

    นักปฏิบัติเพื่อต้องการพ้นทุกข์ จงเห็นกฎของธรรมดาเหล่านี้ให้มาก

    และยอมรับนับถือกฎของธรรมดาด้วย จิตจึงจักสงบเย็นลง ไม่โทษเขาหรือโทษใคร

    ให้เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงไว้เสมอ และจงอย่าได้มีความประมาทในชีวิต

    พร้อมตายและซ้อมตาย เพื่อเอาจิตเข้าสู่พระนิพพานไว้ ด้วยความไม่ประมาท

    ให้จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดาให้มาก แล้วจิตจักเป็นสุข



    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม คัดลอกจากหนังสือธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน


    By: BuddhaSattha
     
  18. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ธรรมะ@ปัจจุบัน

    การปฎิบัติธรรม มิใช่ เรื่องแปลก+ใหม่
    การปฎิบัติธรรม มิใช่ เป็นสมบัติของผู้ใดผู้หนึ่ง
    การปฎิบัติธรรม มิใช่ ใครๆนึกอยากจะปฎิบัติธรรมก็ปฎิบัติกันได้ง่ายๆนะ
    เพราะผู้ปฎิบัติธรรมนั้น มีมากเหลือเกิน แต่หาผู้ถึงแก่นจริงๆนั้น กลับมีน้อย
    เพราะตามที่บอกกันไปแล้วว่า คนเราจะพูดตามภูมิธรรม ภูมิปัญญาของตน
    คือมีปัญญาแค่ไหนก็รู้เท่านั้น หรือพูดตามจิตผู้รู้เท่านั้นเอง

    การปฎิบัติธรรม มิใช่ บวชแค่กาย บวชแค่จิต ก็ต้องพูดถึงเรื่องกำลังใจแห่งตน
    การปฎิบัติธรรม จะเป็นตัวชี้วัดจิตใจของผู้ปฎิบัติโดยตรง
    การปฎิบัติธรรม มีจุดมุ่งหมายสูงสุดก็คือ หลุดพ้น
    การหลุดพ้นก็มีอยู่หลายระดับ เช่น หลุดพ้นจากทุกข์ หรือ หลุดพ้นจากวัฎสงสาร
    การหลุดพ้นจากทุกข์ ถือเป็นการหลุดพ้นอย่างหยาบ
    แต่การหลุดพ้นจากวัฎสงสารนั้น ถือเป็นการหลุดพ้นอย่างละเอียด
    เพราะต้องใช้กำลังใจมาก


    การปฎิบัติธรรม มิใช่ เรื่องง่ายหรือยาก
    ผู้ที่บอกว่ายากน่าจะหมายถึง ผู้ที่หาจุดความสงบสุขภายในแห่งตนยังไม่พบ
    ส่วนผู้ที่หาจุดความสงบสุขภายในแห่งตนพบแล้ว ก็มักว่าง่าย เป็นต้น
    ถ้าผู้ใดหาจุดความสงบของตนพบแล้ว นั่นก็แสดงว่า เราก็สอบผ่านกรรมฐานเบื้องต้น
    นั่นหมายถึง สมถะ เพราะต่อไป ผู้ปฎิบัติทุกคนจะต้องสอบวิปัสสนา คือกรรมฐานเบื้องสูง
    อานิสงส์ของสมถะหรือสมาธิจิตนี้ก็คือ ความสงบ หรือปิติ+สุข แต่ถ้ามากไปกว่านี้ก็สุขจากฌาน
    คือในขณะที่จิตทรงฌานอยู่นั้น ถือได้ว่าเป็นความสุขอย่างยิ่ง อาจรองลงมาจากนิพพานก็ว่าได้
    สุขจากฌานเป็นอารมณ์สุขละเอียดกว่าจิตที่เป็นสมาธิธรรมดา หรือจิตทรงสมาธิขั้น อุปจารสมาธิ
    ผู้ปฎิบัติธรรมก็อย่าให้จิตไปติดค้างสิ่งใดๆที่กล่าวมาแล้วนี้นะ เพราะถ้าจิตติดอะไร สิ่งใดแล้ว เป็นอันว่า
    การเจริญกรรมฐานของผู้นั้น ต้องหยุดซะงักไปชั่วคราว ต้องรอครูบาอาจารย์มาช่วยสอบอารมณ์
    หรือถ้าไม่มี หรือมีแต่ไม่ยอมเชื่อคำครู งั้นก็ต้องรอปัญญาของตนเกิดโน้นแหล่ะ ถึงจะหลุดออกมากันได้

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยากจะออกจากทุกข์ หรือบรรลุธรรม หรือมีดวงตาเห็นธรรม
    หรือเห็น รู้ เข้าใจหรือเข้าถึงพระธรรมหรือคำสอนของพระพุทธองค์ได้นั้น
    เราจำเป็นจะต้องเข้าให้ถึงกระแสจิต หรือพบจิตของตนเองก่อน
    นั่นก็แสดงว่า เราจะต้องสอบให้ผ่านกรรมฐานเบื้องต้นก่อนนั่นเอง
    ถ้าผ่านแทบไม่ต้องไปถามใคร เพราะเราก็ตอบตนเองได้ว่า ขณะนี้ ขณะที่จิตเป็นสมถะ
    หรือเป็นสมาธิ หรือทรงฌานนี้อยู่ มันทุกขืหรือสุข หรือทุกข์หายไปคำว่าสุขมาแทนที่
    หรือมีทุกข์สลับสุข หรือความทุกข์เหลือน้อยลงไป เป็น
    นั่นแสดงว่า สมถะหรือสมาธิจิตที่ได้นั้น ถือเป็นการชำระล้างหรือขัดเกลากิเลสออกจากจิตตน
    สติแค่ระลึกรู้สึกตัวเฉยๆ สติเกิดขึ้นบ้าง ดับหรือเปลอไปบ้าง ก็ขอให้เป็นเรื่องธรรมดา
    มิได้เสียหายอะไร สติถือเป็นฝ่ายดี ซึ่งทรงกรรมฐานถือว่าเป็นฝ่ายบุญ กุศล คือบุญใหญ่


    สติหรือศีล ถือเป็นการชำระล้างกิเลสตน เบื้องต้น
    สมถะหรือสมาธิ ถือเป็นการชำระล้างกิเลสตน ขนาดกลาง
    ส่วนวิปัสสนาหรือปัญญานั้น ถือเป็นการชำระล้างกิเลส เบื้องสูง
    ส่วนวิปัสสนาญาณหรือปัญญาญาณนั้น ไม่ต้องไปล้างจิตเขาแล้ว
    เพราะจิตได้ถอนอนุสัยกิเลสต่างๆ หรือกล่าวอีกนัยยะนึงก็คือ จิตออกจากจิต
    หรือปฎิบัติธรรมไปจนกว่า มีทั้งศีลสมาธิปัญญาครบแล้ว สมดุลย์แล้ว

    คำว่า ญาณ ก็จะโผล่ออกมาเอง
    ญาณ จะอยู่ตรงกลาง ระหว่าง ตัวถูกรู้ (คือจิตปัญญาไปรู้ ไปเห็นมา) กับ ตัวผู้รู้เอง(คือจิตหรือวิญญาณขันธ์ของตน นั่นเอง)



    ภูทยานฌาน
     
  19. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    ..
    .รับข้อมูลไปเมื่อวาน
    .วันนี้เริ่มภาคปฏิบัติวันแรก ไงก็สู้ๆอยู่แล้วครับ
    .เพื่อการพ้นทุกข์
    .เมื่อคืนจุดธูปบอกลาพักการปฏิบัติแบบเดิมชั่วคราวต่อหน้้าหิ้งพระแล้ว
    ..
    ..ตกกลางคืนฝันแปลกๆมาเรย
    ..คล้ายดั่งเจ้ากรรมนายเวรท่านจะมาให้เห็น ถือดาบยาวมาสองมือเลย
    ..แต่ในฝันตัวเองนั่งกำลังปักธูปอยู่..

    ..แล้วก็มีเสียงพูด ถามว่าปักธูปหรือยัง
    ..ผมก็บอกไปว่าปักแล้วครับ
    ..
    ..ทีนี้ท่านผู้นั้นก็จ้องธูปที่ผมกำลังปัก มีพลังงานวิ่งไปตัดดับธูปเลย
    ..แต่ก็ยังมีธูปอันอื่นๆที่ปักก่อนหน้านั้น ตั้งเรียงอยู่
    ..แต่ในฝันผมก็ไม่กลัวเท่าไหร่ครับ
    ..เพราะรู้สึกว่ามีคนคอยช่วยอยู่..
    ..
    ..ผมหากินกับความฝันอีกแร้วครับ..
    ..เห็นแปลกๆดีก็เลยมาเล่าให้ฟังครับ
    .......................................
    ..มีอะไรก็แนะนำบ้างนะครับ
     
  20. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    ประเดิมยกครูทำบุญร่วมสร้างสมเด็จพ่อเลยหรอครับดีๆๆๆๆๆครับเห็นอยู่2ราการของพี่เตอร์ผมกะว่ากำลังหาดูวันจันทร์จะได้ไปโอนทำบุญบ้างเลยไปเห็นพอดี

    ขออนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...