จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    @ช่วงนี้พลังงานลบมีมาก

    จิตตกกันมาก มีสิ่งกระทบจิตมาก
    เพราะฉะนั้น ขอให้จิตบุญหรือผู้ปฎิบัติทั้งหลาย คอยหมั่นสร้างกำลังใจตนให้พร้อมอยู่เสมอ
    อย่าประมาท เพราะสิ่งกระทบ หรือสิ่งทดสอบจิตนั้น ชอบมาตอนเราเผลอหรือจิตตก
    ขอให้เตรียมจิตพร้อม เพื่อความไม่ประมาท
    พยายามเกาะกลุ่มกับผู้ปฎิบัติด้วยกัน หนึ่งกลุ่มควรมีผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งพอเป็นที่ปรึกษาให้เราได้
    จะเป็นกลุ่มใหญ่หรือเล็กไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่นำพากันเจริญจิตใจให้สูงยิ่งๆขึ้นไป
    อย่าชวนกันไปท่องทางโลกมากนัก ปล่อยให้ร่างกายเขาท่องไปกับทางโลกแบบมีสติก็พอ
    เพียงแต่ผู้ปฎิบัติต้องชาญฉลาดอยู่กับขันธ์๕หรือร่างกายนี้ให้ได้อย่างมีความสุข

    สิ่งที่จะเตือน หรืออยากเน้นย้ำกับพวกเราว่า แยกหน้าที่ระหว่างทางโลกกับทางธรรมให้เด็ดขาด
    อย่ามาปะปนกัน เดี๋นวจะมั่วเดี๋นวจะทุกข์

    ตราบใดผู้ปฎิบัติยังตัดขันธ์๕ โดยเฉพาะจิตบุญที่ตัดตัววิญญาณขันธ์ หรือจิตปัญญา(ตัวรู้ของจิต)
    ยังไม่ได้ ก็ย่อมมีทุกขเวทนาทางจิตนิดหน่อย แต่ไม่มาก กลับมาเร็วกว่าผู้ไม่ปฎิบัติ

    พยายามอย่าส่งจิตออกนอก พยายามมีสติอยู่กับจิตตลอดเวลา
    จิตตกกันบ่อย เพราะเราประมาทกันเอง ตราบใดที่พวกเรายังมีสติไปทาง จิตไปทางอยู่แบบนี้
    การปฎิบัติมันก้ไม่ไปถึงไหน มีสุขสลับกับทุกข์อยู่อย่างนี้ เพราะเรายังตัดอัตตาตัวละเอียดยิ๊บๆไม่ได้นั่นเอง
    สังขารขันธ์หรือตัวเจตสิกหรือธรรมารมณ์หรืออาการของจิตต่างๆนั้น ย่อมมีผลต่อจิตใจของผู้ปฎิบัติอยู่ดีและไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงเลย
    เพราะเรายยังเอา ยังแคร์ความรู้สึกนึกคิดของตนอยู่ พี่ภูขอเรียกว่า คราบมนุษย์

    อย่าหยุด การสร้างกำลังใจ การสร้างกำลังใจมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี เช่น
    กำลังใจเล็กน้อย ได้แก่ ทำบุญทำทานต่าง
    กำลังใจขนาดกลาง ได้แก่ สวดมนต์ไหว้พระ ฟังเทศน์ฟังธรรม ให้ธรรมาทาน
    กำลังใจสูง ได้แก่ การภาวนา

    โดยเฉพาะ(ขอแนะนำจิตบุญทั้งหลาย) การภาวนาอย่าให้ขาด
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งยวดนั่นก็คือ ทรงอารมณ์เอกัคคตรมณ์ ซึ่งเป็นผลทำให้การสำรวมจิตตนได้ดีเยี่ยม
    ขอให้ดูตัวอย่างเหล่าบรรดาพระอริยสงฆ์ อาชีพหลักของท่านคือ สำรวมจิต จิตตั้งมั่น
    เพราะในขณะที่จิตตั้งมั่นอยู่นั้น จิตปราศจากนิวรณ์หรือกิเลสหรือสิ่งที่รบกวนจิต เป็นจิตบริสุทธิ์คือจิตตั้งอยู่แต่ฝ่ายบุญกุศล
    แต่อย่าไปยึดติดกับคำว่าบุญกุศล แต่ทำเป็นปรกติ
    โดยเฉพาะ ผู้ที่ปรารถนานิพพาน จิตต้องไม่หน่อมแน้มนะ
    จิตต้องเข้ม คือมีทั้งสติ(ระดับสัมปชัญญะ)และปัญญาเพรียบพร้อมแทบจะตลอดลมหายใจก็จะดีมากเลย

    โดยเฉพาะ จิตบุญเมืองไทย หรือจิตบุญที่ไปเที่ยวเมืองไทยชั่วคราว เห็นกลับมาหมดแรงกันทุกรายไป
    ความคิดเห็นส่วนตัว การปฎิบัติที่เมืองนอกนั้นจึงดีกว่ามาก มีหลายปัจจัย
    เช่น อากาศ สภาพแวดล้อม ค่าครองชีพ อยู่ท่ามกลางผู้คนมากโดยเฉพาะกลุ่มพลังลบ จิตไม่สร้างสรรค์สักเท่าไหร่ เป็นต้น
    ขอให้กลับมาไวๆ อย่าทำจิตตกบ่อย เพราะจะมีผลต่อร่างกาย เช่น ประสาทเครียส โรคต่างๆมักจะเล่นจำพวกคนเหล่านี้ พึงระวังใหห้ดี
    ถ้าคนเราจิตตก จิตใจไม่ดีอย่างเดียว อย่างอื่นก็หมดความหมาย
    อย่าพยายามส่งจิตออกนอก เพราะมันตรงกับไตรลักษณ์ของพระพุทธเจ้า
    คือโลกไม่เที่ยง โดยมีร่างกายเป็นศูนย์กลางแห่งทุกข์ และเราไปบงการให้ได้ดั่งใจเราก้ไม่ได้
    นั่นตรงกับคำว่า อนัตตาพอดีเลย
    จำไว้ ความสุขที่แท้จริงนั้นก็อยู่ภายในจิตตนเองนี่แหล่ะ มิใช่ภายนอกจิต
    พระที่ไหนก็จะเทศน์แบบนี้แหล่ะ ไปกี่วัดๆก็แบบนี้แหล่ะ

    สรุปว่า สติ+จิต เท่ากับ สมาธิและปัญญา
    จิตไม่เป็นสมาธิ เป็นฌานหรือเป็นเอกัคคตารมณ์นั้น ย่อมไม่มีปัญญา หรือมีแต่ไม่พอที่จะนำพาเราออกจากทุกข์ของตนได้

    พวกเรามาปฎิบัติธรรมก็เพื่อสิ่งเหล่านี้ก็คือ ยอมรับกฎแห่งธรรมดา
    หรือยอมรับสิ่งที่เป็นไปของธรรมชาติ แต่ถ้าใครยอมรับยังไม่ได้ก็ทุกข์ไปเป็นธรรมดาก็เท่านั้นเอง

    เพราะล้วนทุกธรรมเห็นมีแค่เกิดและก็ดับ เท่านั้นเอง นอกนั้น..ไม่มี

    โมทนาสาธุทุกท่านที่ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ปฎิบัติตามพระพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้าทั้งหลาย..สาธุ
    และขอให้ทุกท่านที่อ่านธรรมาทานนี้ ขอให้มีแต่ความสุขกายสบายใจ ขอให้ร่ำรวยทั้งทางโลกและทางธรรม

    จาก...สมาคมจิตเกาะพระ
    (ปรารถนาอยากให้ทุกท่านหลุดพ้น อยากเห็นทุกคนมีแต่ความสุข)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2013
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    @อย่าใช้พลังจิตเปลือง

    พยายามหาแต่สิ่งดีๆ หาแต่สิ่งที่เป็นมงคลชีวิตเข้าหาตน
    ไม่สร้างบุญกุศล ไม่ละกิเลสตน ก็อย่าไปทำบาป หรือเอากิเลสมาเพิ่ม
    ที่มีอยู่นี้(คือกิเลส) ที่แบกกันอยู่นี้(อัตตามานะ) ไม่พอใช่ไหม จะเอาอีกใช่ไหม
    ทุกข์แค่นี้มันน้อยเกินไปใช่ไหม

    ทุกคนรู้นะว่า ตัวทุกข์คืออะไร สุขทุกข์เกิดที่ไหน ทุกคนจะตอบได้หมด
    เคยสงสัยตนเองไหมว่า...แล้วทำไม เรายังมีทุกข์อยู่
    ไม่มีคนอยากได้หรอกความทุกข์น่ะ ยกเว้นความสุข
    แต่พระอรหันต์ท่านไม่เอาทั้งทุกข์ทั้งสุข แม้นกระทั่งไม่ไปยึดติกกับคำว่า บุญกุศลเลย
    อย่าลืมนะ คำว่านิพพานนั้น แปลว่าไร อย่าเอาแต่แปล ให้เอาจิตเข้าไปถึงให้ได้
    อย่าเอาแต่ท่องตำรา แบกตำรา เพราะเวลาทุกข์มันมาเยือนทีไร เห็นเปิดตำราไม่ทันทุกทีไป
    เอาจิตอย่างเดียว สนใจจิตตนเองอย่างเดียว ขอเน้นคำว่าจิตตนนะ จิตคนอื่นช่างเขาปะไร

    พอแร๊ะ คุณเต๋าโบราณ ไม่ชอบคนบ่นมาก ฮ่าๆ ท่านชอบอ่านสั้นๆ สมาธิสั้น?ไม่รุ๊
    แต่จิตของท่านดีมากนะ จิตอ่อนลงมากกว่าเก่า สงสัยไปบ้านสบายใจบ่อย

    (ท่านจิตภู)..ฝากกราบท่านจิตโตด้วยนะครับ...สาธุ


    ภาพปริศนาธรรม?
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Gling.jpg
      Gling.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65 KB
      เปิดดู:
      30
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2013
  3. kongkiatm

    kongkiatm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,263
    ขออนุโมทนา สาธุ

    ชอบภาพปริศนาธรรมจัง เมื่อไม่กี่วันมานี้ก็พิจารณาเรื่องนี้อยู่ น้ำกลิ้งบนใบบอน พร้อมกับกำลังภาวนาพระคาถาเงินล้านของหลวงพ่อฤาษี ทำให้ได้เห็นอะไรมากมายของตัวบทพระคาถา ตัวบทพระคาถาส่งผลให้เข้าสู่พระนิพพานได้ครับ แต่ขอให้ทำด้วยความเคารพสูงสุดด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2013
  4. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    หมื่นแสนองค์พระศาสดา ก็ไม่มีผล
    หากเราทุกคนไม่เจริญกุศลให้ถึงพร้อม
    หลายร้อยล้านธรรมคำสอน คงต้องตกตะกอน
    หากไม่นำคำสอนมาน้อมลดละบาปทั้งปวงให้หมดสิ้น
    หลากหลายพระอริยะบนแผ่นดิน สูญเปล่าสิ้น
    หากเราทอดทิ้งการชำระจิตตนให้พ้นจากกิเลสทั้งปวง

    credit: ธุดงคสถานสู่แสงธรรมองค์สมเด็จพระปฐมบรมครู
    บ้านวังพระธาตุ ต.ไตรตรึงษื อ.เมือง จ.กำแพงเพชร


    ******************************

    คำกล่าวนี้ ถูกต้องชัดเจนยิ่งนัก
    การชำระจิตตนให้พ้นจากกิเลสทั้งปวง
    ใครทำใครได้ ทำเอง ได้เอง ไม่มีใครช่วยใครได้
    เวลาเหลือน้อยลงทุกที อย่าประมาทกับชีวิต
    รีบๆทำกัน ก่อนที่จะไม่มีเวลา

    ขอบุญรักษา พระคุ้มครอง ทุกๆท่าน
    ขอให้มีพระพุทธเจ้าในจิต ให้ได้ตลอดเวลา

    ด้วยจิตคารวะ

    ปาราเมศ...นิวเวป จบ.14

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2013
  5. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนาสาธุค่ะ ครูพี่ภู ที่ท่านได้ออกมาชี้แจงธรรมะที่เป็นคติธรรม ที่ท่านปรารถนาดีต่อ พวกเราชาวจิตเกาะพระทุกๆท่าน เพราะสภาพของจิต คือ ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย และจะต้องมีการรับรู้อารมณ์ อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าจิตไม่มีสติ เป็นหนึ่งเดียวจิตนั้นก็จะวิ่งไปตามกระแสโลกได้ง่าย และกระแสส่วนใหญ่ ก็เป็นขั่วลบมากเสียกว่า เพราะจิตจะต้องอาศัยธรรมมารมณ์ โดยตอนแรกผู้จะได้ก็ต้องสร้าง"ตัวสติ"ก่อนนั้นแหละ เพราะถ้าสติอ่อนเมื่อไหร่ ก็เผลอสติได้ทันที่ทันได...เพราะจิตไวมาก ผู้เขียนก็เป็นมาแล้ว เพราะถ้าความเพียรอ่อน ก็จิตตกได้ทันที่ เพราะเราก็ยังไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน จิตก็จะต้องโหยหิวในอารมณ์ที่มายุแย่อย่างแน่นอน เหมือนคนที่กําลังหิวข้าว แล้วมีคนเอาข้าวมาวางไว้ตรงหน้าใครจะไม่กินละ? แม้แต่ท่านผู้บรรลุในมรรคผลนิพพาน ท่านก็ยังต้องสร้างตัว"สติ"อยู่ตลอดเวลาเหมือนหลวงปู่หลวงตาที่ท่านเป็นพระอรหันต์ท่านก็ยังทําความเพียรตลอดเวลา... แล้วพวกเราๆท่านๆละ ก็ต้องทําตัวนี้อย่างไม่ลดละในความเพียร จึงจะชนะตัวกิเลสได้..จึงขออนุโมทนาสาธุ ในธรรมทานของครูพี่ภูเป็นอย่างสูงค่ะ สาธุค่ะ
     
  6. izeberry

    izeberry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2010
    โพสต์:
    340
    ค่าพลัง:
    +1,482
    blog นี้ น่าจะอยู่ที่ blog ธรรมะ

    เห็นคุยแต่ธรรมะ.....อิ
     
  7. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    เป็นคนขี้เกียจมากกว่าค่ะ สมาธิสั้นรึเปล่าไม่รู้ แต่เผลอสติบ่อยๆ นั่งเป็นหลับ...
    ล่าสุด...15 กันยายน ที่ผ่านมา ไปบ้านสบายใจ ท่านเทศน์เรื่องคนขี้เกียจพอดี ฮามากกกกก ไกลแค่ไหน...เหนื่อยแค่ไหนก็ยังอยากไปค่ะ...

    เรื่องขี้เกียจนี่แก้ยากจริงๆ ค่ะ วันก่อน...น่าจะวันที่จะไปบ้านสบายใจนั่นแหละ ตื่นแต่เช้าแล้วก็นอนต่อ ๆๆๆๆ จนสุดท้ายได้ยินเสียงถอนหายใจ เฮ้อ... เลยต้องลืมตาตื่น ไม่รู้ใครมาถอนหายใจอยู่ใกล้ๆ (นอนคนเดียว...ปิดห้อง) คงเหนื่อยกะการปลุก... ระอา 555
     
  8. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681

    [​IMG]


    ธรรมสวัสดีครับ ยินดี และดีใจที่คุณ izeberry แวะเข้ามาอ่านในกระทู้
    "จิตพร้อม?..รับภัยพิบัติ"ของพวกเราที่กำลังคุยกัน
    เน้นหนักอาจจะเห็นว่าเป็นธรรมะ ซึ่งมันก็ใช่เลย

    สิ่งที่เราคุยกันคือ ธรรมะ คือการฝึกจิต ให้รู้ตัว ทั่วพร้อม และเข้าใจถึงธรรมชาติ
    ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะดี หรือไม่ดี ภัยธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างร้ายแรง
    หรือเบาบาง หรืออาจจะไม่เกิดภัยใดๆขึ้นเลยก็เป็นได้ ไม่มีใครสามารถบอกได้

    แต่เพื่อความไม่ประมาท สิ่งที่เราทุกคนจะทำได้และกำลังทำอยู่คือ การฝึกจิต
    ให้พร้อมที่จะรับมือได้ทุกสถานการณ์ ด้วยความมีสติ ไม่ตื่นตระหนก และรับมือ
    กับสิ่งที่เข้ามาได้อย่างถูกต้อง และปลอดภัย

    เพราะถ้าเราไม่ฝึกจิต ให้มีสติ ที่รู้ตัว ทั่วพร้อม เมื่อมีเหตุใดๆเกิดขี้น อาจจะตกใจ
    หรือสติแตกไปเลยก็ได้ ซึ่งนั่นก็จะทำให้เกิดการสูญเสียที่ไม่อาจคาดคิด
    ก็เป็นได้

    การฝึกและเรียนรู้ธรรมะอย่างเข้าใจและรู้แจ้งนั้น สมมติว่าเมื่อเกิดเหตุร้ายแรงขึ้น
    และเราอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น เราอาจจะมีสติมากกว่าคนอื่น และอาจจะมีสติ
    และความพร้อมที่จะสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ด้วย แต่ถ้าสมมติว่าร้ายแรง
    ถึงขั้นตายหมดในกลุ่มนั้น อันนี้สมมตินะครับ อย่างน้อยคนที่ได้รับการฝึกสติมาดีแล้ว
    จิตเขาจะเกาะติดกับพระอยู่ตลอดเวลา หรือที่เราเรียกว่า "จิตเกาะพระ"นั่นเอง
    ซึ่งก็จะตรงตามที่หลวงพ่อฤๅษีฯหรือพระอริยะสงฆ์ทั้งหลายสอนนักสอนหนาว่า
    ถ้าจิตเราอยู่กับพระ แม้ยามจะตายลง จิตนั้นก็อย่างน้อยได้ขึ้นสู่ภพภูมิเบื้องบน
    หรืออย่างน้อยก็สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา อย่างกลางก็ชั้นพรหม แต่ถ้าจิตคนนั้น
    ถึงขั้นจิตโสดาบันขึ้นไป ก็อาจจะเข้านิพพานเลยก็ได้

    แต่ถ้าคนที่ถึงคราวเคราะห์นั้นๆ ไม่เคยฝึกสติ ไม่เคยเรียนรู้ธรรม ไม่เคยมีศีลใดๆ
    ก็อย่าหวังว่าจะได้ขึ้นสู่ภพภูมิเบื้องบน รับรองว่าลงเบื้องล่างล้านเปอร์เซ็นต์

    ทีนี้ก็อยู่ที่ว่า ท่านทั้งหลาย อยากจะทำอะไร อยากจะเรียนรู้ธรรม อยากจะฝึกจิต
    อยากจะเรียน วิชา "จิตเกาะพระ" เพื่อความมีสติ เพื่อหลุดพ้นและรู้แจ้งแทงตลอด
    หรืออาจจะไม่สนใจใดๆ เห็นเป็นเรื่องไร้สาระ เราก็ไม่ว่ากัน เพราะสิ่งเหล่านี้
    พระท่านบอกว่า "ใครทำใครได้"

    ถ้าท่านใดสนใจ อยากจะศึกษา อยากจะรู้ว่า "จิตเกาะพระ" เป็นอย่างไร ดียังไง
    ก็ขอกราบเรียนเชิญ ทุกๆท่าน เข้ามาศึกษา หาความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์
    เล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นธรรมทานได้นะครับ

    กระทู้ "จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ" ยินดีต้อนรับ กัลยาณมิตรทุกท่าน ขอเพียงให้ท่าน
    ได้ลองอ่านและติดตามดูสักระยะ ต่อไปท่านก็อาจจะเป็น ผู้มีสติ ที่รู้ตัว ทั่วพร้อม
    และเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้เข้ามาช่วยกัน ให้ผู้คนได้ดวงตาเห็นธรรม ได้นำพาผู้คน
    กลับสุ่พระนิพพาน ตามแนวทางคำสอนของ
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    และแนวทาง จิตเกาะพระ ที่พวกเรากำลังศึกษาฝึกปฏิบัติเรียนรู้อยู่ด้วยก็ได้

    ขอเจริญในธรรม และให้มีพระพุทธเจ้าในจิตให้ตลอดเวลา​


    ขอแสดงความนับถือ....ด้วยจิตคารวะ

    ปาราเมศ...นิวเวป จบ.14
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2013
  9. iamprateep

    iamprateep เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    448
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,685
    ช่วงนี้พิจารณาธรรม คือ"นิพพานัง ปรมังสุขขัง" ... "พระนิพพาน เป็นบรมสุขอย่างยิ่ง"
    ได้ชัดเจนดีครับ ... ดึงจิตกลับบ้านใด้บ่อยมากขึ้น เพราะคำบริกรรมและพิจารณาตามนี้ครับ

    เพื่อนๆจะทำดูด้วยก็อนุโมทนาครับ ยิ่งโลกเราวุ่นวายมากๆ ภัยธรรมชาติรายรอบเช่นนี้ด้วย

    "ไปพระนิพพานกันเถิดครับ ปลอดภัยที่สุด ไม่มีที่ใดเสมอแล้ว" ... พยายามกันต่อไปครับ
    ผมเองก็จะพยายามครับ ...


    ^__^
    _/]\_

    .....................................................................................................
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เข้าใจบนความไม่เข้าใจของผู้อื่น

    นี่แหล่ะน๋า พระถึงสอนธรรมะในจิตว่า เธอต้องเข้าใจบนความไม่เข้าใจของผู้อื่น
    ธรรมะตรงนี้มันแจ่มแจ้งเหลือเกิน ใครก็ตามที่มีสติปัญญาพร้อม ย่อมเข้าใจทันที
    ไม่ต้องเสียเวลาแปล ไม่ต้องเสียเวลาวิปัสสนา เข้าใจทันที ไม่มีข้อสงสัยใดๆ

    จะบอกให้เมื่อก่อนที่ผมจะมาปฎิบัติเนี๊ย ผมไม่เอาธรรมะ ใครพูดเรื่องเกี่ยวกับธรรมะจะหันหน้าหนี แต่ไม่คิดปรามาส
    ไปทางโลกสุดๆเหมือนกัน ศีลมีกี่ข้อขาดหมด แต่นิสัยไม่ชอบการเบียดเบียน ใจบุญ อยากเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ
    ทำบุญก็ไม่ทำ สวดมนต์ก็ไม่สวด ฟังเทศน์ก็ไม่เอา ยิ่งภาวนาก็ไปกันใหญ่ ไม่เอาเลย ไม่รู้อะไรไปปิดบังตาบังใจ

    แต่พอมาวันนี้ สลัดทิ้งเลย หันหลังให้กับทางโลกเลย เพราะเดินเกือบจะสุดซอยโลกแล้ว
    ทุกข์ไง๊ พอเห็นทุกข์วิ่งหางจุกก้นเลยเรา ไม่เห็นทุกข์ก็ไม่เห็นธรรม พอเห็นธรรม ตัวทุกข์ยิ่งมองเห็นเด่นชัดเลย
    เมื่อก่อนผมเป็นคนสุดโต่ง เป็นคนเชื่อมั่นตนเองสูง นึกว่าเราเก่ง เจ๋งง่ะ เพราะถือว่ามีความรู้รอบเอวสูง
    ท้ายสุดก็ไปไม่รอด ก็เลยหาทางว่ามันเกิดอะไรขึ้น คือหาต้นเหตุแห่งทุกข์ ใครก็ช่วยเราไม่ได้
    ตอนแรกเวลามีทุกข์ มีคนแนะนำให้ไปถือศีล๘(บวชเนกขัมมะ) ไปนุ่งขาวห่มขาว
    ห่มไปงั้นแหล่ะ เพราะจิตยังเต็มไปด้วยความทุกข์เต็มอัตตา ทกข์เกิดเพราะทำธุรกิจไม่ได้ดั่งใจที่ตนแพลนไว้
    ทั้งๆที่เราเป็นคนที่ติดตามและตามติดกับงาน เป็นคนบ้างาน ว่าอย่างนั้นเถ๊อะ งานบนหน้าตักตนไม่มี
    ทำจนไม่รู้เวร่ำเวลา ปล่อยให้เข็มนาฬิกาหมุนไปอย่างนั้นแหล่ะ ทำงานไม่สนใจเวลา
    สนใจแต่งานว่า เมื่อไหร่มันจะเสร็จ ลืมบอกไปว่าทำไมถึงบ้างานขนาดนั้น เพราะไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือน
    จะบ้าหรอ มนุษย์เงินเดือนจะไปขยันทำไม ทำมากก็ได้เท่าเดิม ไม่มีใครบ้าทำขนาดนั้นหรอก นอกจากงานตนเอง

    นี่ไง ผมเอาอดีตมาตั้งโจทย์ แล้วเอาปัจจุบันมาแก้ไข โดยเฉพาะสิ่งที่ตนเอง(เคย)ผิดพลาด
    ไม่มีมนุษย์หน้าไหนหรอก ที่เกิดมาแล้วจะเพอร์เฟคร้อยเปอร์เซนต์
    มีดี มีชั่ว สลับกันไปบ้าง ไม่มีคนผิดหรือคนถูกจริงๆหรอก มีแต่หลงมาเกิดกัน มีแต่หลงนินทาว่าร้ายกัน
    สรุปแล้ว ไม่มีมนุษย์หน้าไหนจะหนีพ้น คำว่า โลกธรรม ๘
    เพราะฉะนั้น โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติจะต้องก้าวข้ามให้ได้ อย่าไปสนใจ ให้สนใจแต่จิตตนเอง
    เพราะข้างในจิตเป็นบุญ เป็นกุศล แต่สิ่งภายนอกหรือร่างกายของคนเรานั้นล้วนเต็มไปด้วยกองทุกข์
    แต่ถ้าใครไม่ลงมือปฎิบัติเองย่อมไม่รู้แน่ ย่อมมองไม่เห็นธรรมตามพระพุทธเจ้าทรงสอนสั่งเป็นแน่แท้
    ด้วยเหตุนี้ อย่าเพิ่งไปเชื่อหรือไม่เชื่อพระธรรมของพระองค์ จนกว่าเราจะลงมือปฎิบัติธรรมเอง มาพิสูจน์พระธรรมของพระองค์ร่วมกัน
    พิสูจน์ไม่ยาก มันยากตรงจะหาอะไรมาพิสูจน์ เพราะในเมื่อผู้ปฎิบัติยังเข้าไม่ค่อยจะถึงตัวปัญญา
    ถึงเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่ถึง เดี๋ยวจะหาว่าดูถูกกันอีก แต่ปัญญาแบบติดๆดับๆ เราจึงเกิดอาการรู้มั่งไม่รู้มั่ง ปล่อยวางได้บ้างไม่ได้บ้าง เป็นต้น
    วิธีแก้มีอยู่ทางเดียว นั่นก็คือ เจริญปัญญาให้ต่อเนื่อง เมื่อไหร่เราเจริญปัญญาได้ต่อเนื่อง เราจะรู้สึกว่ามีกำลังใจอย่างท่วมท้นเลยทีเดียว
    จิตเข้ม เพราะปัญญาเข้ม จึงมีผลทำให้จิตปล่อยวางได้ง่ายดาย เหมือนมีเครื่องทุ่นแรง
    เครื่องทุ่นแรงของผู้ปฎิบัตินั่นก็คือ ปัญญาของตนเอง เมื่อตัวปัญญาของเราเกิด จิตก็สว่างหรือญาณหยั่งรู้ของตนก็เกิดขึ้นได้ เป็นต้น

    บอกแล้ว อย่าให้พูด นี่แค่เริ่มต้นนะ จะบอกหั่ย ผมเป็นห่วงอยู่คนเดียวก็คือ คุณเต่าโบราณ
    เพราะท่านชอบฟังเทศน์ ไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ อย่างนี้แหล่ะ คนช่างคิดยาวๆ
    เดี๋ยววันหน้า ถ้ามีโอกาสพบเจอกันจะเทศน์ให้ฟัง เอามั๊ยจ๊ะ เทศน์ฟรี ไม่เก็บตังค์หรอก
    ไม่ขอไรมาก ขอน้ำขวดเดียว ถึงไหนถึงกัน เวลาไม่เกี่ยว กลางวัน กลางคืนไม่เกี่ยว ข้าวไม่กินก็ได้ปล่อยให้มันหิวไป แต่ถ้าคนไม่ทักก็หิวเลย
    เพราะเทศน์ด้วยจิตเป็นสมาธิ(ฌาน) ฟังให้ทันก็แล้วกัน ห้ามหลับคาธรรมาสน์นะ มีคนหลับคาธรรมาสน์มาแล้ว
    (คนที่หลับคาธรรมาสน์มาอ่าน หัวเราะแน่เลย) ที่พูดมาเนี๊ยผมไม่ได้โม้ เพราะผมไม่ใช่สมรักษ์ ฮ่าๆ
    เอ๊ะ อ่านแว๊บๆ ใครว่านะ blog นี้ น่าจะอยู่ที่ blog ธรรมะ เห็นคุยแต่ธรรมะ.....อิ
    นั่นน่ะจิ แต่มันก็จริงของเธอว่านะ ไปบอกผู้ดูแลเวปบอร์ดเขาจิ ผมไม่มีหน้าที่ ไม่มีสิทธิ์ ถึงอยู่ห้องไหนก็พูดธรรมะอยู่ดี
    คนนิสัยไม่ดี พูดแต่ธรรมะๆ ไม่เป็นไรเน๊อะ ขอโทษแทนเธอด้วยจ๊ะ อภัยให้กันเน๊อะ
    กระทู้นี้ ทุกท่านแสดงออกหรือแสดงความคิดเห็น หรือติ-ชมได้ตามสบายเลยจ้า
    แต่ก็ต้องขอบใจเธอคนนั้น ที่(อุตส่าห์)หลงเข้ามา อีกไม่นานนักหร๊อก เดี๋ยวเธอก็เจอทุกข์ เดี๋ยวก็พบธรรมเอง

    โมทนาสาธุกับผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบทุกท่าน เราจงมั่นใจในการปฎิบัติของตน เราจงพอใจในผลของการปฎิบัติของตน
    โดยเฉพาะ มั่นใจในพระรัตนตรัย คือต้องให้ความรักเคารพสูงสุดและด้วยความจริงใจ
    ตามที่คุณเกียรติกล่าวมานั่นแหล่ะ ถูกของท่านเลย..สาธุ

    (ขอแถมนิดนึง)

    วันนี้ ตั้งใจว่าจะ ว่าจะ..ไม่เข้ากระทู้แล้วนะ เพราะกายหยาบป่วย ทำไมต้องป่วยอีตอนไปทำงานตอนตีสามตีสี่ก็ไม่รุ๊
    ดีนะ ที่กำลังใจดี(ท่วมท้น) วันนี้ทำงานลืมป่วยไปเลย เห็นไหม ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วย อย่าให้จิตใจมันป่วยนะ
    แต่ถ้าใจมันป่วยจบเลย อย่าประมาท จงเตรียมจิตให้พร้อมไปกับกายหยาบ ก็ยิ่งดีมีประโยชน์
    จิตพร้อม จิตที่หลุดพ้นจริงๆนี่แหล่ะ เป็นที่พึ่งของตนได้จริงๆ แต่ถ้าไม่พร้อมคือยังไม่เป็นที่พึ่งของตนเองได้
    ก็ให้พวกเรายึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งสูงสุดทางจิตใจของเรา เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นที่พึ่งแก่ตนได้เลย
    ไปยึดสิ..คนอื่น ไปยึดสิ..สิ่งอื่น ดูสิว่า..จะพึ่งพาอาศัยได้จริงๆไหม...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กันยายน 2013
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    กว่าจิตจะเป็นบุญกุศล
    กว่าเราจะได้ผลของบุญกุศล


    ดูเหมือนง่าย แต่เวลาปฎิบัติยาก เพราะพบเจอสิ่งกระทบหรือบททดสอบจิตมาก
    เพื่อจิตจะนิ่งสงบได้ทีจริงๆ เหมือนดั่งพระอรหันต์นั้น มิใช่เรื่องง่ายๆ
    แต่ถ้าทำกันได้ง่ายๆ ปานนี้พระอรหันต์เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดแล้ว

    ขอกล่าวถึงการทำบุญ ก็เช่นกัน..
    เราจะไปทำบุญกับใครก็ได้ ย่อมได้บุญทั้งนั้น
    ไม่จำเป็นจะต้องทำบุญกับกลุ่มสมาคมจิตเกาะพระ
    แต่ขอให้เราทำบุญด้วยใจจริงๆของเราเองต่างหาก

    บุญกุศลนั้น ใครๆก็อยากได้ ไม่ว่าจะเป็นผีเปรต ผีสัมภเวสี หรือแม้นกระทั่งเทวดา
    คำว่า บุญ แปลว่า ความสบายใจ แต่ถ้าหากทำไปไม่สบายใจนั้น เขาไม่เรียกว่าบุญ
    ส่วนกำลังใจนั้น แปลว่า บุญบารมีแห่งตนเอง

    เพราะฉะนั้น คำสองคำนี้จึงต้องเกี่ยวข้องกันอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นพลังงานบวก
    คอยสังเกตให้ดี เวลาเราไปกราบไหว้พระอรหันต์ แค่ได้อยู่ใกล้ๆ เพียงแค่เห็นไกลๆ
    ขอให้ดูจิตใจของเราเองว่า..มีความเบิกบานใจ มีความชุ่มชื้นใจไหม
    นั่นแหล่ะ ความหมายของคำว่า บุญกุศล

    ว่างเมื่อไหร่ รู้สึกตัวเมื่อไหร่ คิดได้เมื่อไหร่ พยายามระลึกถึงบุญกุศลของตนบ่อยๆ
    พยายามสะสม หรือสร้างบุญบารมีของตนบ่อยๆ
    คิดก็ให้มันเป็นบุญกุศล พูดให้มันเป็นบุญกุศล ทำก็ให้มันเป็นบุญกุศล
    ถ้าผู้ใดกระทำได้ทั้งสามนี้ในเวลาเดียวกัน ก็นับว่าเป็นบุญเป็นกุศลอันใหญ่หลวงแล้ว
    ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้สำรวมจิตดั่งพระอริยสงฆ์ หรือพระอรหันตเจ้า
    เพราะอะไร ก็เพราะว่า..เป็นบุญเป็นกุศลแทบจะทุกลมหายใจเลยทีเดียว
    ซึ่งแตกต่างกับจิตปุถุชนเป็นไหนๆ ใช่ไหม

    คำว่า บุญกุศล ใครๆก็อยากได้ทั้งนั้นแหล่ะ เคยคิดกันไหมว่า..ทำไมถึงไม่ทำกัน
    ชอบไปเกาะบุญ เกาะบารมีผู้อื่น แต่หารู้ไม่ ของดีของทุกคนก็อยู่ภายในทั้งนั้น
    ถ้าไม่ใช่จิตใจของคนเราแล้วจะเป็นอะไร ทั้งสุขทั้งทุกข์ก็มีอยู่ที่ไหน ถ้ามิใช่ปลายทางแห่งจิตของตน

    ขอฝากเกร็ดธรรมะเล็กๆน้อยๆ แต่เพียงเท่านี้
    ขอจงมีความสวัสดี โชคดีมีชัยกับทุกท่านทั้งหลายด้วยเทอญ...สาธุ

    ปล.ผู้ปฎิบัติอย่าส่งจิตเข้าในมากเกินไป ผู้ที่ไม่ปฎิบัติก็อย่าส่งจิตออกนอกมาก
    ทั้งผู้ปฎิบัติและผู้ที่ไม่ปฎิบัติ จงคอยหมั่นชาร์ตจิต ทำจิตให้เป็นสมาธิอยู่ตลอดเวลา
    สำหรับผู้ที่ไม่ประมาทเท่านั้นที่พอจะทำได้

    จำไว้ จิตเป็นสมาธิ จิตสงบ จิตตั้งมั่น จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นฝ่ายบุญกุศล
    เพราะในขณะที่จิตเป็นสมาธิหรือนิ่งสงบนั้น ปราศจากนิวรณ์และกิเลส
    ว่าแต่ว่า เราจะได้บุญกุศลมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่ที่จิตของเราเอง
    ว่า จิตเป็นสมาธิ จิตทรงเอกัคคตารมณ์ได้นานและต่อเนื่องขนาดไหน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กันยายน 2013
  12. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    อัตตนา โจทยัตตานัง

    กฏข้อแรกของการปฏิบัติธรรมที่ได้ผล


    อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น ภาวนามากๆ ดูตัวเองมากๆ "ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น 90 % ดูตัวเองแค่ 10 %"
    คือคอยดูแต่ความผิดของคนอื่น เพ่งโทษคนอื่น คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น

    ลองกลับเสียใหม่นะดูคนอื่นเหลือไว้ 10 % ดูเพื่อศึกษาว่า
    เมื่อเขาทำอย่างนั้น คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร เพื่อเอามาสอนตัวเองนั่นแหละ
    ดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง 90 % จึงเรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่


    ธรรมชาติของจิตใจมันเข้าข้างตัวเอง โบราณพูดว่า
    "เรามักจะเห็นความผิดของคนอื่นเท่าภูเขา ความผิดของตนเองเท่ารูเข็ม"
    มันเป็นความจริงอย่างนั้นด้วย เราจึงต้องระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้มากๆ

    เห็นความผิดของคนอื่น ให้หารด้วย 10 เห็นความผิดตัวเอง ให้คูณด้วย 10 จึงจะใกล้เคียงกับความจริงและยุติธรรม
    เพราะเหตุนี้เราจะต้องพยายามมองแง่ดีของคนอื่นมากๆ
    และตำหนิติเตียนตัวเองมากๆ แต่ถึงอย่างไรๆ เราก็ยังเข้าข้างตัวเองนั่นแหละ

    พยายามอย่าสนใจการกระทำ การปฏิบัติของคนอื่น
    ดูตัวเอง สนใจแก้ไขตัวเองนั่นแหละมากๆ
    เช่น เข้าครัวเห็นเด็กทำอะไรไม่ถูกใจ แล้วก็เกิดอารมณ์ร้อนใจ

    ยังไม่ต้องบอกให้เขาแก้ไขอะไรหรอก รีบแก้ไข ระงับอารมณ์ร้อนใจของตัวเองเสียก่อน
    เห็นอะไร คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ก็สักแต่ว่า ใจเย็นๆ ไว้ก่อน ความเห็น ความคิด ความรู้สึกก็ไม่แน่..... ไม่แน่
    อาจจะถูกก็ได้ อาจจะผิดก็ได้ เราอาจจะเปลี่ยนความเห็นก็ได้ สักแต่ว่า..... สักแต่ว่า..... ใจเย็นๆ ไว้ก่อน ยังไม่ต้องพูด

    ดูใจเราก่อน สอนใจเราก่อน หัดปล่อยวางก่อน เมื่อจิตสงบแล้ว เมื่อจิตปกติแล้ว จึงค่อยพูด จึงค่อยออกความเห็น
    พูดด้วยเหตุ ด้วยผล ประกอบด้วยจิตเมตตากรุณา
    ขณะมีอารมณ์อย่าเพิ่งพูด ทำให้เสียความรู้สึกของผู้อื่น ทำให้เสียความรู้สึกของตัวเอง
    ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร มักจะเสียประโยชน์ซ้ำไป

    เพราะฉะนั้น อยู่ที่ไหน อยู่ที่วัด อยู่ที่บ้าน ก็สงบๆ ๆ ไม่ต้องดูคนอื่นว่าเขาทำผิดๆ ๆ
    ดูแต่ตัวเรา ระวังความรู้สึก ระวังอารมณ์ของเราเองให้มากๆ
    พยายามแก้ไข พัฒนาตัวเรา..... นั่นแหละ
    เห็นอะไรชอบ ไม่ชอบ ปล่อยไว้ก่อน


    เรื่องของคนอื่น พยายามอย่าให้เข้ามาที่จิตใจเรา
    ถ้าไม่ระวัง ก็จะยุ่งกับเรื่องของคนอื่นไปเรื่อยๆ
    หาเรื่องอยู่อย่างนั้น เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเป็นเรื่องของเราหมด
    มีแต่ยินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ ทั้งวัน
    อารมณ์มาก จิตไม่ปกติ ไม่สบาย ทั้งวันๆ ก็หมดแรง


    ระวังนะ...
    พยายามตามดูจิตของเรา รักษาจิตของเราให้เป็นปกติให้มาก
    ใครจะเป็นอะไร ใครจะทำอะไร ดีหรือไม่ดี เรื่องของเขา
    แม้เขาจะทำกับเรา ว่าเรา..... ก็เรื่องของเขา
    อย่าเอามาเป็นอารมณ์ อย่าเอามาเป็นเรื่องของเรา


    ดูใจเรานั่นแหละ พัฒนาตัวเองนั่นแหละ ทำใจเราให้ปกติ สบายๆ มากๆ
    หัด-ฝึก ปล่อยวาง นั่นเอง ไม่มีอะไรหรอก

    "ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการตามรักษาจิตของเรา คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข"


    หลวงพ่อชา


    Cr...Fb สาขาวัดหนองป่าพง
     
  13. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่จะทําได้ง่ายๆ เพราะการที่จะทําความดีได้ทุกๆประเภท ต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้เสียก่อน...อย่างเช่นความขี้เกียจ ขี้คร้านอ่อนแอ่ ของเราๆท่านๆที่มีอยู่ประจํานิสัยของทุกๆท่านอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

    ถ้าเราไม่ฝืนทําความดี ก็ยากที่จะชนะมารในใจของเราไปได้...ผู้ที่ชอบทําอะไรตามใจตนเองนั้นแหละจะทําความเพียรได้ยาก...ถ้าฝืนแล้วนั้นแหละเป็นธรรม เหมือนคําที่ของปู่ชาท่านได้เทศน์ไว้"ตามใจคือตามกิเลสฝืนใจคือการปฏิบัติธรรม" เพราะทุกๆอย่างจะดีได้ต้องฝืนความรู้สึกอยากพูดไม่พูด อยากทําไม่ทํานั้นแหละนานๆเข้าก็จะเป็นการง่าย

    เพราะจิตที่ไม่ได้ฝึก ก็จะพุดจะทําตามใจตนเอง คือ เกิดมาก็มีแต่ตามใจกิเลส ไม่ได้ดังใจหน่อยก็ง้อนสามวันสี่วันไปเลย นั้นแหละนิสัยที่เป็นไปตามกิเลสพาไป...ยกตัวอย่างสมัยพุทธกาล มีพราหม์ที่เกิดมาก็เอาแต่ใจตนเอง และอะไรที่พราหม์ไม่ชอบ คือจะไม่เอาไม่ทําเลย คือเป็นคนหัวดื้อ วันหนึ่งไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็กราบถามพระพุทธเจ้าอะไรที่ข้าพเจ้าไม่ชอบจะทําเอา จะไม่ทําพระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบว่า

    "ดูก่อนพราหม์อะไรที่เจ้าไม่ชอบเจ้าไม่ทําและไม่เอา แต่เจ้าก็จะได้ คือ ความแก่เจ้าไม่อยากได้ เจ้าก็จะได้ ความเจ็บเจ้าไม่อยากได้ เจ้าก็จะได้ ความตายเจ้าไม่อยากได้เจ้าก็จะได้นั้นเอง"พราหม์ก็นิ่งเถี่ยงไม่ขึ้นเพราะเป็นความจริงนั้นเอง...คือทุกๆคนหนีไม่พ้นสักราย ตอนมีลมหายใจอยู่นี่ชิ จะรอทําความดีตอนตายคงไม่ได้แน่...สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2013
  14. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]

    กราบนมัสการหลวงปู่สังวาลย์ เขมโก

    ...คุณธรรมพระอริยบุคคล...

    เมื่อเรามีพระอยู่ที่ใจแล้วกิเลสที่เคยครอบงำจิตใจย่อมถอยหนีไป ทีนี้พอกายเราตั้งเป็นสมาธิแล้วก็เหลือแต่ใจเท่านั้นที่เราจะต้องดัดแปลงให้เป็นองค์พระ ขณะนี้ราคะของเรามันไม่มี ขอให้เราจำอารมณ์นี้ไว้ แล้วหมั่นเข้าหมั่นออกไปในอารมณ์นั้น " คือจำในอารมณ์ที่มันว่างจากกิเลสตัณหานั่นเอง "

    คราวนี้ก็ให้มีสติสัมปชัญญะกำหนดรู้อยู่เสมอ เหมือนผมกำลังพูดกับพวกท่านอยู่นี่แหละ บางทีผมก็ไม่รู้หรอกว่าใครบ้าง (มีหลวงตา เรียนถามท่านว่า เพราะเหตุใดครับหลวงพ่อ") ท่านตออบว่า "เพราะมันมีสภาพเสมอกันหมด มันเห็นเป็นเพียงของว่างๆ เปล่าเท่านั้น ไม่มีชายไม่มีหญิงอยู่ในที่นี้ แม้แต่เรากำลังทำงานอยู่ พระอริยมรรคก็ทำหน้าที่ประหารกิเลสและอนุสัยอยู่มิได้ขาด

    คราวนี้เมื่อเรารู้จักอารมณ์แล้วพยามทำความเพียรให้มาก เรื่องของธรรมชั้นสูงยังมีมาให้เราได้รู้ได้เห็นอีก อย่างท่านเป็นโสดาบันแล้ว ผมให้เมียผมไปนอนกับท่าน ท่านจะทำอะไรเมียผมไหม ไม่ทำครับ เพราะอะไร เพราะว่า พระโสดาบัน ท่านประหารสังโยชน์เบื้องต่ำได้แล้ว ท่านจึงยินดีแต่ในคู่ครองของตนไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น

    เพราะอย่างนั้นแหละ ท่านจึงกล่าวรับรองคติของโสดาบันไว้ว่ามีความเกิดอีกเพียง 7 ชาติเท่านั้น ทีนี้เมื่อเราได้ญาณแล้ว เราสามารถหยั่งรู้จิตใจของเราได้เลยว่าเราเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ หรือว่าเวลาตายลงไปแล้วไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานก็รู้ได้

    ฌานมีอยู่สมาธิจึงมีอยู่แล้ว ที่ชั่วๆ มันก็ไม่มี อย่างน้อยก็เป็นเทวดา เป็นพรหมโน้นทำความเพียรอีกหน่อยหนึ่งก็เข้านิพพาน แล้วนิพพานอยู่ที่ไหนล่ะ นิพพานก็อยู่กับคนที่ไม่มีกิเลสนั่นแหละ เราไม่ต้องสงสัยหรอก อย่างคุณเห็นแม่ชีเดินบิณฑบาตมีน้ำเลือดน้ำหนองเต็มไปหมด เมื่อมองเห็นเป็นอย่างนี้ กิเลสตัณหา ความรักความชอบใจในตัวเขาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเหตุนั้นแหละท่านจึงสอนให้สาวกพิจารณาถึงขันธ์ห้าอยู่เสมอว่า

    " ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอยู่เสมอ ผู้ใดพิจารณาถึงความตายอยู่ทุกขณะจิต ผู้นั้นย่อมไม่กลับมาเกิด แก่ เจ็บ ตาย ย่อมมีความเกิด แก่ เจ็บ ตายเพียงชาตินี้ ชาติเดียว "

    เทศน์เมื่อ วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๒๑

    ที่มา fb
    ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่สังวาลย์ ด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2013
  15. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    อะฮ่า! มีคนพูดถึงเราด้วย ปลุกเก่งเหรอ......ปลุกจิตคนนะ ชอบอ่านธรรมะบ้านนอกเหรอได้เลยจ้า ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ ถ้าถูกออกอากาศแบบนี้......ถ้ายังไม่เข้ามาปฏิบัติจิตเกาะพระ ถึงคิดอยู่ในใจก็คงเกิด.......ไฟโทสะ.....ไฟโมหะ......ไฟราคะ.....มาเป็นขบวนแล้ว......แต่ตอนที่อ่านนะ รู้สึกอารมณ์นั้นๆมันไม่มี......มีแต่ความรู้สึกว่าพี่ภูพูดจริงนะ.......ก็เราหลับคาธรรมมาสต์จริงๆนะ.....ยอมรับได้หมด จิตยิ้มบอกว่าป่วยอยู่ ยังลุกขึ้นมาปลุกจิตเราได้......และยังออกมาให้ธรรมมะ เพื่อเป็นธรรมาทานอีก น่านับถือจริงๆพี่มีแต่ให้จริงๆนะเนี๊ย ขออนุโมทนาสาธุด้วยจ้า......การปฏิบัติธรรมก็ดีอย่างนี้แร๊ะ.......ทำให้เรารู้ว่า ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า.......ตราบใดที่เรายังมีขันธ์5อยู่......สิ่งพวกนี้ก็ไม่ได้หนีไปไหน......ยังตามเารตลอดเวลา เพียงแต่เราไม่หันไปคบกับมันอีก........เพราะมันเป็นของร้อน......ร้อนเพราะไฟราคะ.....ร้อนเพราะไฟโมหะ.....ร้อนเพราะไฟโทสะ......ที่จริงแล้วของพวกนี้ที่มีอยู่ในตัวเราก็เต็มเปี่ยมอยู่แล้ว.......แล้วเราจะไปรับไฟของคนอื่นมาเพิ่มอีกทำไม......อารมณ์ของคนอื่นนะ......เขาพูดอะไรก็ช่างเขา มันอยู่ที่เขา........เรารับมาเราก็มีความเร่าร้อนเพิ่มขึ้นอีก......เผลอคนพูดนะลืมไปแร๊ะ....แต่คนรับมาสิ.......กินไม่ได้นอนไม่หลับ.......เฮ่อลองพิจารณากันดูนะจ๊ะ......ทางออกที่ดีที่สุดคือ.....กลับมาดับไฟในตัวเองดีกว่าไหม๊......เกลือเวลาเรากิน เรายังรู้ว่าเค็มเล๊ย แล้วไฟที่มันร้อนละ เราจะไม่รู้เชียวเหรอ.....ขอเรียกว่ามันไฟอารมณ์และขอให้ทุกท่านคิดตามว่า อารมณ์ที่มันไม่มีไฟนะ.........ทำอย่างไร?.........ดับแบบไหน?ทุกวันนี้ที่เกิดความวุ่นวาย เพราะหนีโลกธรรม8กันไม่ได้ ปะทะคารมณ์......กระทบกระทั่งกันอยู่ตลอดเวลา.....ถ้าได้เข้ามาปฏิบัติธรรม......เราจะเข้าไปรู้เห็นความจริง.....แล้วจะรู้ว่าเราจะไปเดือดร้อนกับสิ่งพวกนี้ทำไม.......มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นนะ.....คือมันไม่เที่ยงไง......เมื่อไม่เที่ยงย่อมไม่มีอยู่จริง......เกิดขึ้น....ตั้งอยู่.....ดับไปตลอดเวลา หาสาระ แก่นสารไม่ได้เลย ลองถามตัวเองดูซิว่า......วางใจดูทุกอย่างอยู่เฉยๆด้วยใจเป็นกลางกันนะได้ไหม.....คือรู้อารมณ์เกิด ดับให้ได้ตลอดเวลานะ.......ตอนนี้มีแต่ความเข้าใจบนความไม่เข้าใจของคนอื่นเสมอ..........และก็เข้าใจบนความเข้าใจของคนอื่นด้วยจิ.......นี่ไง๊เพราะเราเข้าใจตัวเองดีแล้ว.......เราถึงไปเข้าใจคนอื่นนะ.....เข้าใจและเชื่อว่าทุกท่านในโลกนี้......ไม่อยากมีทุกข์ เพราะทุกข์เป็นสิ่งที่ทนได้ยาก......แต่จะทำอย่างไรละ.......ถึงจะพ้นทุกข์ กันได้จริงนะ........คำตอบก็คือ ก็หันหน้าเข้ามาปฏิบัติธรรมกันซิ.......ด้วยการรักษาศีล......เจริญสติ.....เจริญภาวนา......เจริญสมาธิ บอกๆๆๆๆๆได้แต่ทำแทนทุกท่านไม่ได้จ้า ทุกท่านต้องทำด้วยตนเอง.....ตอนแรกเราต้องเข้าหาธรรมก่อน ......พอเราได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว.......ธรรมจะเข้ามาหาเราเอง....เพราะถ้าเราหยุดการปฏิบัติ จะเหมือนขาดอะไรไป........เพราะสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบเข้าสิงสถิต อยู่ในจิตใจผู้ปฏิบัติเสียแล้ว........ยิ่งเห็นผล....ยิ่งอยากทำ....ยิ่งทำ ยิ่งได้.......ยิ่งได้ยิ่งอยากทำเพิ่มขึ้นเรื่อย เรียนเอง......สอบเอง.....ตกเอง.......ผ่านเอง......เลื่อนชั้นเอง ให้ใบประกาศตนเองภูมิใจเอง เพราะการปฏิบัติธรรมต้องทำด้วยตนเองทั้งนั้น.......ขอส่งกำลังใจนี้ให้กับผู้เข้ามาอ่านกระทู้ หรือผู้ที่กำลังปฏิบัติธรรมอยู่......เปรียบได้กับพ่อค้าแม่ค้า......หาบของไปขายวันนี้ขายไม่ได้หมดกำลังใจ.....แต่ถ้าพ่อค้าแม่ค้า ที่ตั้งกำลังใจให้ตัวเอง เขาจะคิดว่าพรุ่งนี้ต้องขายได้น่า......เหมือนนักปฏิบัติธรรม.....หรือปฏิบัติจิตเกาะพระ......รวมถึงจิตบุญ......วันนี้จิตตกก็ไม่เป็นไร วันนี้มันฟุ้ง ก็ต้องให้กำลังใจตัวเองว่า......เราต้องทำได้ซิ......ท้อได้แต่อย่าถอย ขอให้บอกตัวเองว่า ทำๆๆๆๆๆๆอย่าหยุดทำสักวันต้องถึงจุดหมายที่ตั้งเอาไว้...........................................ขอแนะนำคุณเต่าโบราณว่า การปฏิบัติธรรมเนี๊ยจริงๆแล้ว บางครั้งเราต้องสวนกระแสนะ.........คือตอนที่ผู้เขียนเริ่มเข้ามาปฏิบัติธรรมใหม่ๆ นะ หลังทานข้าวเย็นเสร็จตั้งใจว่าจะสวดมนต์ ทำวัฒน์เย็นนิวรณ์เข้ามารบกวน ที่เขาเรียกว่าหนังท้องตึง หนังตาย่อนนะจ้ะ ตัวขี้เกียจออกทำงานตามหน้าที่ของเขานะจ้า บางทีก็ชนะ.....บางทีก็แพ้ เราต้องคิดว่าเพราะนิวรณ์เนี๊ย.....จะมาทำลายการปฏิบัติของเรา.....ตั้งกำลังใจฝืนทำ สวดมนต์ทั้งที่หาวนอนนั่นแหละ.....พอเราฝืนบ่อยเข้า นิวรณ์ที่เคยรบกวนเราก็จะหายไปเอง......ต้องบอกตัวเองว่ามารไม่มี บารมีไม่เกิด ทุกอย่างสำเร็จได้อยู่ที่การตั้งกำลังใจของตนเอง...............................ขอให้ทุกท่านปฏิบัติถึงซึ่งการหลุดพ้นของตนเองด้วยเทอญ สาธุๆๆๆ
     
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "เราเคยถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่า...

    ...จุดหมายปลายทางที่แท้จริงของชีวิตอยู่ที่ไหน...

    ...ตราบใดที่ยังตอบปัญหานี้ไม่ได้...ตราบนั้นเราจะต้องดำเนินชีวิตด้วยความลังแล...

    ...ไร้จุดหมายเหมือนคนเดินในที่มืด...ไม่เห็นอันตรายแม้ตั้งอยู่เฉพาะหน้า...

    ...เหมือนนกที่บินวนอยู่ในมหาสมุทรเพราะหาฝั่งไม่พบ...

    ...การปฏิบัติวิปัสสนาในแนวสติปัฏฐาน ๔ เราจะได้คำตอบ...

    ...พระธรรมคำสอนของหลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง จ. เชียงใหม่...

    ...กราบนมัสการหลวงปู่ทองโดยความเคารพ กราบ กราบ กราบ...
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ทำอาสวกิเลสให้สิ้นไปจากจิตใจ

    เมื่อกิเลสหมดทุกข์ก็หาไม่เจอ
    เมื่อทุกข์หมดหรือเบาบางลงไป จิตก็เบา กายจึงได้อานิสงส์ไปด้วย

    พอมาถึงตรงนี้แล้ว เราจะเข้าใจคำๆนี้ดีว่า..ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
    ตราบใด จิตยังเต็มไปด้วยกิเลส ความทุกข์ใจย่อมมีอยู่
    เพราะฉะนั้น ตนก็เลยยังไม่เป็นที่พึ่งแห่งตน


    แต่จริงๆแล้ว กิเลสนั้น ทุกข์นั้น มิได้หายจากเราไปไหนหรอก
    เพราะกิเลสหรือทุกขืนั้นก็อยู่ที่ขันธ์๕หรือร่างกายของเรานั่นเอง
    เมื่อจิตเป็นเปลี่ยนจากมิจฉาทิฎฐิมาเป็นสัมมาทิฎฐิ
    เมื่อความคิด ความเห็นของคนเราเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี
    โดยเฉพาะ ความคิด ความเห็นเรื่องทางร่างกายได้เปลี่ยนไป
    ก็คือ จากเมื่อก่อนมีความคิด ความเห็นว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา
    แต่ตอนนี้ความคิด ความเห็นทั้งหลายเหล่านั้นได้หายไปแล้ว
    มิใช่อ่านฟังแล้วจะมีความคิด ความเห็นตามนั้นได้เลยทันทีทันใด
    แต่ก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของคนๆนั้น
    ถ้าหากจิตเรามีสติหรือสมาธิในขณะอ่านฟังธรรมะอยู่นั้นก็จะเข้าใจได้ทันทีเลย
    แต่ถ้าไม่มีสติมีสมาธิก็อ่านฟังแล้วก็เลยไปเหมือนลมพัดสัมผัสกายแล้วก็มิได้คิดอะไร

    ถ้าหากผู้ใดไม่มาปฎิบัติธรรมก็จะไม่ทราบ จิตก็ยังเป็นมิจฉาทิฎฐิอยู่อย่างนั้น
    คือ จิตยังมีความคิดและความเห็นที่ผิดอยู่ จิตก็จะไปยึดนู้นนี่อยู่ตามปรกติ
    เสมือนคนอยู่ที่มืด หรือตาบอดมิด แต่ก็ยังพยายามจะมองหาบางสิ่งบางอย่างอยู่นั่นแหล่ะ

    ถึงจะเป็นคนตาดี หูดีก็ตาม แต่ถ้าไม่มาฝึกจิต เราก็ไม่รู้
    เมื่อจิตเราไม่รู้ตามความเป็นจริงดั่งพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
    เพราะฉะนั้น เมื่อใจคนเราบอด ความคิด ความเห็นหรือทัศนคติก็มืดบอดตามไปด้วย
    มองเห็นนะ จมูกได้กลิ่นนะ หูได้ยินนะ ทุกอย่างเหมือนกับพระอรหันต์หมด
    แต่ผิดกันตรงที่จิต จิตเป็นมิจฉาหรือสัมมาเท่านั้นเอง

    เสมือนต้นน้ำใสสะอาด ปลายน้ำก็ย่อมใสสะอาด ฉั้นใดก็ฉันนั้น
    เมื่อภายในคือจิตของคนเราดี ภายนอกคือคำพูดและการกระทำย่อมดีหรือสำรวมตามไปด้วย

    ผู้ปฎิบัติธรรมทุกท่านก็อย่าไปถ้อถอย ถ้อแท้ได้ เหนื่อยกายใจก็พัก หายเหนี่อยก็เอาใหม่
    สิ่งที่พวกเรากำลังปฎิบัติหรือที่กำลังเจริญสติภาวนากันอยู่น่ะื เขาเราเรียกว่าการเดินมรรค
    และสิ่งที่เราจะได้จากการปฎิบัติหรือภาวนานั้น เขาเรียกว่าผล
    แต่เราจะได้ผลจากการปฎิบัติของตนเองนั้น ก็ขอให้เรานึกถึงการปลูกต้นไม้ ผลไม้นั้น
    ส่วนต้นไม้จะผลิจะเจริญงอกงามดี หรือได้ผลดีนั้น ก็ขึ้นอยู่ที่เรามีความเพียรคือความขยันหรือไม่ เพียงใด
    เพราะฉะนั้นผลของการปฎิบัติของตนก็เช่นกัน ผลของการปฎิบัติธรรมนั่นก็คือ สติปัญญาในการละปล่อยวาง
    แต่ถ้าจิตเรามีสติปัญญามาก็จะละปล่อยวางได้มากตามไปด้วยกำลังสติปัญญาของตนนั่นเอง
    แต่ถ้าจิตละปล่อยวางมาก ก็จะมีผลโดยตรงกับผู้ปฎิบัตินั่นก็คือ ความทุกข์ก็จะค่อยๆเคลื่อนออกไปจากจิต
    จิตเมื่อก่อนที่เคยเป็นทุกข์หรือรู้สึกทุกข์นั้นก็จะหายไป เมื่อความทุกข์หายไป ความสุขจึงจะมาแทนที่เอง
    เสมือนความสำเร็จนั้นมักจะมาภายหลังปัญหาหรืออุปสรรค ความสุขของคนเราก็เช่นกัน

    ขอจบการบรรยายธรรมะแต่เพียงเท่านี้ก่อน เดี๋ยวจะยาวไป เกรงใจคนสมาธิสั้น
    ขอเป็นกำลังใจสำหรับคนดี หรือผู้ปฎิบัติธรรมทุกท่าน ทำไปนะความดี ปฎิบัติธรรมไป
    เพราะสิ่งที่กำลังทำกันอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นที่มืดหรือที่สว่าง ต่อหน้าหรือลับหลังก็ดี
    อย่าลืมนะ หลอกตนเองได้ แต่เราไม่สามารถหลอกผี หลอกเทวดา หลอกสิ่งศักดิ์สิทธิืได้
    คนที่อยู่เบื้องบนนั้นท่านทราบดีทั้งหมด เพราะฉะนั้นผู้ปฎิบัติที่มีความเพียรหรือความตั้งใจดีนั้น
    ย่อมได้รับผลดีตอบแทนเป็นรางวัล เป็นกำลังใจให้สำหรับผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติต่อไป
    เช่น พระธาตุเสด็จ จะเกิดกับผู้ที่รักษาศีลไม่บกพร่อง ปฎิบัติธรรมได้ผลเป็นอย่างดี
    เพราะจิตไม่มีวิจิกิจฉา หรือไม่มีความลังเลหรือสงสัยในพระรัตนตรัย
    ไม่สงสัยว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือ ไม่สงสัยในคำสอนว่าถ้าปฎิบัติตามแล้วไร้ทุกข์จริงหรือ
    ไม่สงสัยพระสงฆ์หรือสาวกของพระองค์ว่าปฎิบัติได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าจริงหรือ
    สำหรับผู้ที่ไม่ยอมลงมือปฎิบัติ ผมไม่อยากพูดคำนี้ว่า ไม่รักเคารพพระพุทธเจ้าจริง
    แต่กลับมองเห็นว่า..กำลังใจ(บุญบารมี)ของเขาไม่ถึง
    ไม่ว่ากัน เพราะเราก็เคยเป็นมาก่อน ถึงเข้าใจเป็นอย่างดี ก็เพราะด้วยเหตุนี้แหล่ะ ถึงได้แต่พร่ำไป
    ไม่รู้หรอกว่า ใครจะอ่านหรือไม่อ่าน ก็ไม่เป็นไร คือใจเรานั้นมีแต่อยากให้เท่านั้น

    โดยเฉพาะ อยากให้ทุกคนพ้นทุกข์เหมือนดั่งตนเอง
    อยากให้ทุกคนปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้น โดยเฉพาะ พระนิพพาน (สำหรับผู้ที่มีกำลังใจมาก)
    แต่ก็เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะผู้นั้นจะต้องลงมือปฎิบัติ
    แต่การเดินมรรคา ก็เหมือนผู้ที่กำลังปฎิบัติ ก็เหมือนคนที่กำลังเดินทาง
    ในระหว่างทางย่อมพบเจอปัญหาหรืออุปสรรค์(บ้าง)เป็นธรรมดา
    เพราะฉะนั้น ผู้ที่รอดพ้นถึงฝั่งนั้นจึงเป็นผู้ที่มีทั้ง..สติและปัญญา


    จึงขอเป็นกำลังใจให้กันและกันตลอดไป ตราบจนสิ้นลมหายใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กันยายน 2013
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    บินเกาะหมู่

    แต่ถ้าใครมีกำลังใจมาก สามารถบินเดี่ยวได้ก็รอดไป ปล่อยเขาไป
    แต่ถ้าตรงกันข้ามก็พยายามบินเกาะหมู่กันเข้าไว้ เอาเท่าที่ตนคิดว่าจะเกาะกลุ่มกันได้
    (มีคนหรืออะไรไม่รุ๊..บอกมาอย่างนั้น)

    *บินเกาะหมู่*
    มีจุดประสงค์ก็เพื่อให้ช่วยเหลือกันและกัน(ทางธรรมะ) มิใช่ให้บินไปตายหมู่ 555+


    สำหรับผู้ที่ยังไปกับทางโลกอยู่
    นั่นก็แสดงว่า..จิตใจยังมีความยินดีกับทางโลก ยังชอบวิ่งตามกระแสโลก ถือว่ายังเป็นผู้ประมาทอยู่มาก
    เพราะเราไม่เคยรู้มาก่อนว่า..ในขณะที่เรา(จิต)วิ่งไปตามกระแสโลกกันอยู่นั้น
    กระแสจิต(พลังจิต)ของเราจะถูกดูดหรือกลืนกินไปกับกระแสโลกไปเรียบร้อยแล้ว
    เสมือนโลกใบนี้ จะต้องให้เป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติ
    ภาษาสมมุติของเหล่านักภาวนาเรียกว่า กฎธรรมดา หรือกฎไตรลักษณ์ของพระพุทธเจ้า
    เห็นมีแต่เอกบุรุษผู้หนึ่งพยายามค้นหากฎธรรมชาตินี้จนเจอ คือเดินสวนกระแสโลกหรือกระแสกิเลสของมวลมนุษย์ได้

    เวลาจิตตก คิดอะไร ทำอะไรก็ไม่ดี จำไว้..ถ้าเกิดเช่นนี้อีกเมื่อไหร่ ให้แก้ที่จิต คือทำสมาธิทำจิตให้นิ่งมากที่สุด
    แต่ถ้าใครพอทำได้ก็ทำอยู่ที่จิต ทำอยู่ที่บ้านตนเองก็ได้ การแก้ไขปัญหาต้องแก้ให้ถูกจุด คือแก้ที่ต้นเหตุ คือจิตตนเอง
    ไม่ใช่มีปัญหาหรือไม่สบายใจพากันไปปล่อยนกปล่อยปลา นั่นเป็นการแก้ไขปัญหาปลายเหตุ
    ทุกวันนี้คนเราส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ แก้ปัญหาไม่ถูกจุด ก็เลยไม่จบสักทีนึง

    (ปล่อยเขาไปเห่อ ถ้าใครจะคิดไปทางโลก) สนใจจิตตนเองดีกว่า

    ถึงเข้าใจว่า ทำไม..พระพุทธเจ้า ถึงได้ตั้งอธิษฐานจิตให้พระพุทธศาสนาอยู่ให้ครบ ๕,๐๐๐ ปี
    เป็นเพราะพระองค์ทรงมีมหากรุณาธิคุณล้นเกล้า ล้นกระหม่อม
    ตามที่ข้าพเจ้าเข้าใจ นั่นก็คือ พระพุทธคุณ ก็คือคุณงามความดีของพระพุทธเจ้านั้น หาประมาณมิได้จริงๆ
    เป็นเพราะพระมหาเมตตาของพระองค์ท่านนี่เอง
    โดยเฉพาะ ผู้ปฎิบัติจะต้องพึงระลึกนึกถึงในพระพุทธคุณให้มาก
    เพื่อแสดงความกตัญญู เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณที่พระองค์ทรงมีพระธรรมหรือคำสอนฯให้กับพวกเรา

    เมื่อผู้ปฎิบัติพบจิตตนเองแล้ว แสดงว่ามีสติมีปัญญา ตัวปัญญาจะนำพาจิตไปพบธรรม
    เมื่อจิตของผู้ปฎิบัติพบธรรมแล้ว ย่อมมีความกตัญญููต่อพระองค์มาก
    นั่นก็คือ คอยหมั่นระลึกนึกถึงพระพุทธคุณให้มากๆ เพราะถ้าผู้ปฎิบัติทำได้ก็จะได้รับพลังพระพุทธคุณ(พลังพุทธะ)มาก
    พลังพุทธะที่ว่านี้ เสมือนเป็นกำลังใจให้เราทำอาสวกิเลสให้สิ้น จึงเป็นไปได้สูงมาก
    พยายามเข้าให้ถึงก็แล้วกัน เสมือนเรายกเครื่องยนต์ใหม่ เมื่อก่อนจาก๔สูบ แต่เดี๋ยวนี้ ๑๒ สูบ(V12) หรือ ๒๔ สูบ(V24)
    บอกแล้วมันแรงผิดกัน

    ในการปฎิบัติธรรมก็เช่นกัน จะต้องใช้กำลังใจสูงมากพอสมควร แต่ถ้ามีกำลังใจไม่มากก็ไปไม่รอดหรือไปไม่ไกล
    เราจะมาอาศัยลำพังกำลังใจของตนเองนั้นก็มีอยู่แค่เนี๊ย บางวันก็มีกำลังใจมาก บางวันก็จิตตกบ้าง

    เพราะฉะนั้น จำเป็นเหลือเกินผู้ปฎิบัติจะต้องพึ่งพาอาศัยพลังแห่งพุทธะที่ว่านี้ด้วย

    (ขอให้ดูจิตพระอริยเจ้า จิตท่านจะไม่หนีห่าง หนีหายไปจากพระพุทธเจ้าเลย โดยเฉพาะพระพุทธคุณ)
    จิตท่านถึงได้มีกำลังมาก ไปไกลกว่าจิตคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ


    ภาพปริศนาธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • BRDS.jpg
      BRDS.jpg
      ขนาดไฟล์:
      2.6 KB
      เปิดดู:
      28
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กันยายน 2013
  19. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    ชอบเรียน ย่อความ ค่ะ ไม่ชอบ เรียงความ อ่านแบบลวกๆ จับใจความได้แค่...
    รวมๆ แล้วดี อนุโมทนา แต่เก็บรายละเอียดไม่ได้... อย่าถือสานะคะ

    รู้ว่า เจตนาดี ก็โมทนา ในกุศลเจตนานั้น ของทุกท่าน

    ส่วนเรื่องที่จะเทศน์ จนหลับ อันนี้ ขอบอกว่า ไม่เทศน์ก็หลับแล้วค่ะ (เคยอ่านเจอว่า พวกฟังเทศน์แล้วหลับ มีเชื้อสาย นาค...ชอบนอน)
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุ
    คุณเต่าโบราณก็อย่าไปคิดมาก
    ผมก็บ่นของผมไปเรื่อย อ่านดีๆเห่อ จะพบเจตนาดีมีแต่ให้ลูกเดียว
    ส่วนใครจะคิดดีหรือไม่ดีก็ช่างเขา แต่ขอให้จิตเราคิดดีเป็นบุญกุศลก็พอแร๊ะ
    ตัวของเราเองนี่แหล่ะจะรู้ดีที่สุดเลย ไม่ต้องไปถามใครๆ

    ที่ผมบอกว่าฟังเทศน์จากผมหลับคาธรรมาสน์นั้น ไม่ใช่หมายถึงคุณแพทคนเดียว มีอีกหลายท่าน
    เหตุที่หลับเพราะซึ้งในธรรม หรือว่าสนทนาธรรมกันดึกเกินไป ก็ไม่รุ๊ 555+
    แต่ก็มีอยู่คนเดียวที่ชอบฟังธรรมจนดึก สู้ตายเลยนั่นก็คือ คุณเพ็ญ(ยูเค)

    อย่างนี้แหล่ะ ที่เขาเรียก พูดมากก็ผิดมาก คนที่ทำงานมากย่อมผิดพลาดมาก เป็นธรรมดา
    แต่ถ้าล่วงเกินจิตผู้ใดไปก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยจ้า

    แหม๊ ผมฟังเทศนืฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ก็ยังหลับเลย ผมแซวกันเล่นเฉยๆ
    พวกเธอก็อย่าหลงไปวิ่งตามมันเหนื่อย เป็นป้ายรถเมล์ดีกว่า รถคันไหนนึกจะจอดก็จอดไป ส่วนคันไหนนึกจะไม่จอดก็เลยไป
    เพียงแต่เราเป็นผู้ดูเฉยๆ
    ที่กล่าวตรงนี้ สำหรับผู้ปฎิบัติถึงมรรคผลก็จะเข้าใจได้ทันที

    ระดับจิตต่างกันไปตามสติปัญญาของคนเรา
    เพราะฉะนั้น ถ้าจิตผู้ใดยังไม่ถึงมรรคผลย่อมจะเอนเอียงเป็นธรรมดา
    พูดน้อยก็ไม่รู้เรื่อง แต่จะพูดมากไปก็จะเป็นการล่วงเกินจิตกัน จิตตรงนี้จะต้องยกยอให้มากสักหน่อยถึงจะดี
    เพราะทดสอบจิตไปในตัว แต่จะทดสอบจิตได้เฉพาะลูกศิษย์ตนเท่านั้นนะ ขืนไปทดสอบมั่วๆกับทุกคนมีหวัง...ตายแน่

    แต่ถ้าจิตถึงมรรคผล เขาเล่นกันแรงมาก ทดสอบจิตกันแรงมาก (ลองไปหาอ่านเอาเอง)
    เช่น พระอาจารย์ของแม่ชีทศพร คือพระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม เป็นต้น

    แต่ก็ขอโมทนาสจิตคุณแพทด้วย ที่พัฒนาดีขึ้นไปตามลำดับ หลังจากขยันวางตัวถูกรู้หรือสิ่งที่ถูก
    และพยายามวางตัวรู้ไปตามลำดับสติปัญญาของตนเอง

    และขอโมทนาสาธุกับจิตคุณเต่าโบราณด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กันยายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...