จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เส้นทางของการปล่อยวาง
    (จะยากง่าย เร็วช้า ก็ขึ้นอยู่ที่สติปัญญาของตนเองทั้งนั้น)

    ปัจจุบันนี้ต่างหากเล่า..คือโลกแห่งความจริง มิใช่อดีต มิใช่อนาคต
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งของเหล่านักภาวนาด้วยกันแล้วก็คือ..สติกับจิตต้องอยู่ปัจจุบัน(เท่านั้น)
    แต่ถ้าเป็นอดีตหรืออนาคตนั้น..มิใช่โลกแห่งความเป็นจริง แต่จะกลายเป็นโลกแห่งความฝัน

    เพราะฉะนั้น เส้นทางของการปล่อยวางทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็คือ..จิตของเรา
    เมื่อเรา(จิต)สามารถปล่อยวางทุกสิ่งได้หมดหรือเกือบหมดก็ตาม
    ต่อไปจะต้องปล่อยวางจิตตนเป็นสิ่งสุดท้าย
    การปล่อยวางจึงเป็นหน้าที่หลักของจิตโดยตรง มิใช่เรา(สติ)
    แต่การปล่อยวางกับสิ่งต่างๆ หรือแม้นกระทั่งจิตตนเองก็ตาม
    จิตจะต้องปล่อยวางด้วยปัญญา(เท่านั้น)

    การปล่อยวางสำหรับบางท่าน จึงไม่สามารถกระทำได้ หรือปล่อยวางได้ทันทีทันใด
    เพราะการปล่อยวางได้จริงๆนั้น เราจะต้องใช้กำลังสติปัญญาของตนเองจริง
    เพราะฉะนั้น การปล่อยวาง หรือการหลุดจากพ้นทุกข์นั้น จึงทำแทนกันไม่ได้
    จนกว่าผู้นั้นจะต้องลงมือปฎิบัติด้วยตนเอง หรือเจริญสติภาวนาเอง และปฎิบัติจนกว่าจิตจะมีปัญญาเป็นของตนเอง
    ผู้ปฎิบัติมีปัญญาน้อยก็จะปล่อยวางสิ่งต่างๆได้น้อย แต่ถ้ามีปัญญามากก็จะปล่อยวางได้มาก
    สรุปก็คือ การปล่อยวางสิ่งต่างๆจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับกำลังสติปัญญาของตนเอง

    เพราะฉะนั้น นักภาวนาทั้งหลาย จงอย่าหยุดการภาวนา จงอย่าหยุดความเพียรของตน
    จงกระทำไปอย่างสม่ำเสมอ
    เสมือนเป็นรถยนต์ แต่ถ้าเครื่องยนต์ดี เดินรอบราบเรียบอย่างสม่ำเสมอ(ไม่สะดุด)
    เครื่องยนต์จะไม่สั่นสะเทือน คนนั่งรถยนต์ก็จะสบาย
    การปฎิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน มรรคผลย่อมเจริญรอยตามจิตของผู้ปฎิบัติเอง
    นั่นก็หมายถึง การเจริญสติภาวนา หรือการเจริญสติ เจริญปัญญาของตนจะต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
    สติหรือปัญญาของเราจะต้องไม่ติดๆดับๆ โดยเฉพาะในขณะที่จิตเรากำลังเดินมรรค
    ส่วนผลจะได้เร็วหรือช้า เจริญในธรรมเท่าที่ควรหรือไม่ ก็ต้องอยู่ที่ความเพียรของเอง
    ว่าคอยหมั่นเจริญสติปัญญาให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องหรือไม่

    สรุปแล้ว การปฎิบัติธรรมจะให้ได้ผลดีนั้น เราจะต้องบ้าอยู่กับการดูจิตของตนเท่านั้น
    คือจะต้องมีความตั้งใจจริง สนใจจริงๆในการปฎิบัติ ถ้าเรารู้ตัวเองว่า..จิตยังไม่เข้าเขตวิมุตติ
    อย่าไปสนใจจิตผู้อื่นหรือสิ่งอื่นเด็ดขาด เพราะจิตต้องการกำลังสติปัญญาในการปล่อยวาง
    สิ่งภายนอกจิตเรานั้น มิใช่ของจริง(สมมุติ) แต่ความจริงก็อยู่ภายในจิตของเราเอง
    แต่ถ้าหากไม่เชื่อ ก็ลองค้นหาด้วยตนเอง

    สิ่งที่นักภาวนาทั่วไปที่จะต้องตระหนักกันให้ดี นั่นก็คือ สติกับจิต อย่าให้ห่างกันมาก
    สติห่างจิตหรือจิตห่างสติก็ตาม ไม่เป็นผลดีต่อผู้ปฎิบัติโดยตรงแน่
    เพราะปลายทางก็คือ..ทุกข์ ที่กำลังยืนรอเราอยู่ข้างหน้านั้น
    ถ้าเป็นไปได้ก็ให้ทรงเอกัคคตารมณ์(การสำรวมจิตขนาดเข้ม)ดั่งพระอริยสงฆ์ ก็ยิ่งเป็นผลดีใหญ่

    ว่าไปตามกำลังจิต กำลังใจของผู้ปฎิบัติท่านๆนั้นก็แล้วกัน
    เดี๋ยวจะหาว่าเร่งจิตมากเกินไป ดึงเกินไปอีก พยายามมองหาจุดอ่อน จุดแข็งของตนให้เจอ
    เพราะคำว่า สายกลางของแต่ละบุคคลย่อมต่างกันไป ก็ว่าไปตามกำลังใจแห่งตนเป็นก็แล้วกัน

    สุดท้าย ขอฝากนักภาวนาด้วยว่า..เราจะไปตามหาธรรมหรือความจริงจากที่อื่นกันทำไม๊
    เพราะรู้อยู่ว่าทั้งความสุข ความทุกข์ ความพอใจหรือไม่พอใจ บุญบาป กุศลอกุศล หรือธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น
    ก็อยู่ภายในจิตของตนเองทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้น ดูจิตตนเองมากๆเข้าไว้
    เพราะในขระที่เรากำลังดูจิตตนเองอยู่นั้น ทั้งศีล ทั้งสติ สมาธิและปัญญาก็มีอยู่ครบทั้งหมดเลย
    ยกเว้น คนที่กำลังตามดูจิต รู้จิตตนเองด้วยใจไม่เป็นกลางเท่านั้น เพราะเผลอสติ จิตก้ไม่เป็นกลางไปได้
    อย่าลืมนะว่า การภาวนาจิต(การดูจิต) เขาให้ทำอยู่ ๓ อย่าง ก้คือ ๑.ตามดูจิต ๒.ตามรู้จิต ๓.ด้วยใจเป็นกลาง

    ***ขอเน้น คำว่า ..ด้วยใจเป็นกลาง..
    เวลาปฎิบัติจริง ใจ(เรา)ผู้ปฎิบัติวางใจเป็นกลาง..จริงๆหรือ???


    สติของคนเรานี่สำคัญทั้งทางโลกและทางธรรมเลยทีเดียว โดยเฉพาะนักปฎิบัติ
    ตราบใดถ้าจิตยังไม่เข้าวิมุตติ เผลอสติเมื่อไหร่ กิเลสลากไปรับประทานเมื่อนั้น
     
  2. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    สมถะ ต้องพักจิตสอบอารมณ์ ส่วนวิปัสสนา จิตเดินไตรลักษณ์
    ให้รู้อริยสัจ เหนื่อยแล้วพักเข้าจิต พักจิตหายเหนื่อยแล้ว
    จิตตรวจอริยสัจอีกดังนี้ ฉะนั้นให้ฉลาดการพักจิต
    การเดินจิต ทั้งวิปัสสนาและสมถะ พระโยคาวจรเจ้าทิ้งไม่ได้
    ชำนิชำนาญ ทั้งสองวิธี จีงจะเอาตัวพ้นจากกิเลสทั้งหลายไปได้
    เป็นมหาศีล มหาสมาธิ มหาปัญญา
    มีศีลทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด
    พร้อมทั้งจิต เจตสิก พร้อมทั้งกรรมบท ๑๐

    ไม่กระทำผิดในที่ลับและที่แจ้ง สว่างทั้งภายในและภายนอก
    มีมหาสติรอบคอบหมด วิโมกข์ วิมุติ อกุปธรรม จิตบริสุทธิ์
    จิตปกติ เป็นจิตพระอรหันต์ สว่างแจ้งทั้งภายนอกภายใน
    สว่างโร่ ปุถุชนติเตียนเกิดบาป เพราะพระอรหันต์บริสุทธิ์
    กาย เป็นชาตินิพพาน วาจา ใจ เป็นชาตินิพพาน
    นิพพานมี ๒ อย่าง นิพพานมีชีวิตอยู่๑ นิพพานตายแล้ว๑...

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต..

    Cr.. FB ลูกพระพุทธ บุตรพระธรรม

     
  3. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การปฏิบัติธรรมของนักภาวนา ที่จะต้องข้ามให้ผ่านนั้นก็คือ จิตไปรู้เห็นและการรู้เห็นนี่แหละ เป็นกิเลสอย่างละเอียด เพราะทําให้การภาวนาล้าช้า เพราะรู้แล้วก็เกิดการหลงได้ ท่านผู้ปฏิบัติที่เดินมาถึงจุดนี้ ต้องอาศัยครูบา-อาจารย์ ที่ฉลาดค่อยชี้แนะไม่ให้เดินหลงทาง ที่ท่านได้กล่าวไว้"เจอผู้รู้ทําลายผู้รู้ เจอภพทําลายภพ" คือ ภพชาติก็เกิดจากการเข้าไปรู้เห็นแล้วยึดติดไว้แล้วก็ก่อให้เกิดทุกข์ตามมาได้ ถ้ามีการยึดติดสิ่งใดสิ่งนั้นก็สามารถกลับมาทําลายเราได้ เหมือนธรรมะที่หลวงปู่ชาท่านกล่าวไว้ ความสุข กับความทุกข์ เปรียบเสมือนงู ถ้าจับด้านหัวมันก็เหมือนเรามีความทุกข์ เพราะมันกัดเราเอาได้ แต่ถ้าจับด้านหางมันไว้นานๆ เหมือนเราติดสุข สุขนั้นก็กลับมาทําลายเราได้ เหมือนงูนั้นเอง...สาธุค่ะ
     
  4. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    "น้ำกลิ้งบนใบบอน"​

    ถ่ายทอดประสบการณ์การปฏิบัติธรรม
    โดย หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน


    สิ่งที่นักปฏิบัติหน้าใหม่ (หรือเก่าด้วย) กลัวกันเป็นนักหนาคือ การ “จิตตก”
    มันเป็นอาการที่กำลังใจซึ่งทรงไว้ในด้านดี เกิดพลาดท่าพลาดทาง
    เลี้ยวกลับไปหาความเลวเก่า ๆ เอาดื้อ ๆ บางคนตั้งหลักไม่ทัน
    ทำใจให้ยอมรับไม่ได้ เกิดฟุ้งซ่านคิดมาก แทบจะฆ่าตัวตายประชดชีวิตไปเลยก็มี...!

    ความจริงอาการ “จิตตก” หรือ “กำลังใจตก” หรือ “สมาธิตก”
    เป็นของธรรมดาที่ผู้ปฏิบัติทุกคนต้องเจออยู่แล้ว
    ไม่เห็นจะต้องเสียอกเสียใจอะไร
    ก่อนนี้เราทำความเลวอยู่ มาตอนนี้หันมาทำความเลวใหม่
    เพราะหลงกลพญามารที่มาล่อลวง ก็ไม่ได้ขาดทุนอะไรเลย
    เพราะเรามาจากที่ต่ำ การย้อนกลับที่ต่ำคือเท่าทุน มิหนำซ้ำยังกำไรประสบการณ์อีกต่างหาก...!

    เมื่อรู้ตัวก็ตั้งหน้าทำดีใหม่ ระวังไว้ว่าคราวก่อนเราพลาดตรงไหน
    ถึงเวลาอย่าให้พลาดอีก...แต่ก็นั่นแหละ เล่ห์เหลี่ยมของมารนั้น
    ยากที่เราจะระวังป้องกัน ปิดจุดนี้มันตีจุดนั้น ตั้งป้อมรับจุดนั้น
    มันเข้าตีจุดโน้น...วนเวียนไปไม่รู้จบ จนกว่าเราจะประกอบไปด้วย
    สติสัมปชัญญะสมบูรณ์พร้อมนั่นแหละ...มารจึงหลอกไม่ได้...

    อาตมาเองนั้นหกล้มหกลุกมานับครั้งไม่ถ้วน บางปีก็หลาย ๆ พันครั้ง
    อาการจิตตกของอาตมาส่วนใหญ่ เกิดจากกำลังสมาธิขาดตอน
    ทำให้นิวรณ์เข้าแทรก ชักนำจิตเข้าสู่ความรัก โลภ โกรธ หลง
    แรก ๆ ก็แย่เหมือนกัน ยิ่งคิดฟุ้งซ่านนิวรณ์ยิ่งซ้ำ กว่าจะทำใจได้
    ก็ชอกช้ำทั้งกายและใจ...

    การ “จิตตก” บ่อย ๆ เท่ากับ
    ได้ซ้อมความคล่องตัวของกำลังใจ แรก ๆ ก็มืดไปเป็นเดือน ๆ
    มาตอนหลังชักจะชำนาญกับการยกจิตขึ้นสู่จุดเดิม
    ระยะเวลาของการพลาดไปคิดเลว พูดเลว ทำเลว ก็สั้นเข้าทุกที
    จนถึงระดับหนึ่ง กำลังใจเห็นความธรรมดาของอาการจิตตก
    คือ เริ่ม “ทำใจได้” คราวนี้ก็มีพื้นฐานรองรับ...!
    เมื่อเป็นเช่นนี้กำลังใจก็จะแน่นเข้า ถึงพลาดตกลงมา
    ก็จะไม่ตกเกินกว่าจุดพื้นฐานนี้ และจะ “ฟื้นตัว” เร็วมาก
    สามารถไปสู้กับกิเลสใหม่ ถึงโดนชกร่วงอีกกี่ครั้ง
    ก็สามารถลุกขึ้นก่อนที่จะถูกนับสิบ คราวนี้แหละคุณเอ๋ย..
    .การประลองยุทธในสนามเพื่อเอาชนะกิเลสก็เริ่มสนุกสนาน
    เพราะชักจะมีลุ้นขึ้นมาบ้าง...!

    อาตมานั้นล้มลุกคลุกคลานมาตลอด มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ถูกโจมตี
    ด้วยกระบวนท่าเดียวบ่อย ๆ พลอยเกิดความชำนาญ
    สามารถทรงอารมณ์สมาธิ หนีนิวรณ์ได้ติดต่อกันโดยไม่ขาดตอนเป็นเวลาหลายเดือน
    แต่อารมณ์มันแน่นมาก ไม่อยากจะพูดจากับใครทั้งนั้น
    ซึ่ง “หลวงพ่อ” บอกว่า “ยังใช้ไม่ได้” ในเมื่อครูบาอาจารย์ท่านว่าอย่างนั้น
    ก็จำเป็นต้องพยายามกันใหม่ แต่แหม...อารมณ์ “ใช้ได้” ของ “หลวงพ่อ”
    มันยากอย่าบอกใคร ไอ้เรามันประเภทปรอท เทลงดินเป็นซึมหายวับ ถูกอารมณ์ทางโลกกลืนไปสนิท
    อารมณ์ที่ “หลวงพ่อ” ต้องการ จะต้องเหมือนกับน้ำบนใบบอน หมุนไปกับโลกทุกอย่าง แต่ไม่ติดในโลก...!

    งานเป่ายันต์เกราะเพชรของ “หลวงพ่อ” มักจะมีควบกับการกวนข้าวทิพย์ อาตมาช่วยงานกวนข้าวทิพย์มาตั้งแต่ครั้งแรก
    หน้าที่ประจำคือขูดมะพร้าวด้วยกระต่ายไฟฟ้า ไอ้กระต่ายมหาภัยนี้ใคร ๆ ก็กลัว เพราะพลาดนิดเดียวเป็นได้แผลเหวอะหวะ
    อาตมาเลยต้องเหมามาทุกงาน และเจ็บตัวทุกงานซิน่า...!

    โรงเรียนวัดในขณะนั้นยังเป็นโรงเรียนรัฐบาล ไม่ได้เปลี่ยนเป็นโรงเรียนราษฎร์อย่างทุกวันนี้
    อาจารย์ที่คุมหอพักนำนักเรียนหญิงมาช่วยขูดมะพร้าวและคั้นกะทิ
    วงพิณพาทย์ตีเพลงมัน ๆ ให้จังหวะอย่างคึกคัก
    เป็นการช่วยให้ทำงานอย่างมีชีวิตชีวาและไม่เหน็ดเหนื่อย
    “อายุสิบห้าก็มาเป็นสาวรำวง มาใส่กระโปรงวับ ๆ แวม ๆ...”
    พอเขาขึ้นเพลงนี้เท่านั้นก็ได้เรื่อง...! บรรดานักเรียนทั้งหลาย
    ทั้งโห่ทั้งเฮ ส่งเสียงกรี๊ดกันเป็นที่สะใจ ที่ทนไม่ไหวก็ออกรำเฉิบ ๆ
    ไปตามจังหวะเพลงด้วยความมันสุดขีด
    การงานถูกทิ้งชั่วคราว หันมารำวงกันเป็นที่สนุกสนาน
    กองเชียร์ก็ตะเบ็งเสียงเชียร์กันสุดหัวใจ...!

    เด็กสาวอายุ ๑๕ – ๑๖ นับร้อย ๆ คน ตะเบ็งเสียงพร้อม ๆ กันนั้น
    มันจะแสบแก้วหูสุดทนขนาดไหนก็สุดที่จะบรรยายถูก
    จิตของอาตมาที่ชำนาญต่อการ “หนีโลก” ก็วูบเข้าสู่อารมณ์เคยชิน
    ละวางสิ่งต่าง ๆ ภายนอกทั้งปวง จดจ่ออยู่กับอารมณ์เดียวภายใน
    สรรพสำเนียงต่าง ๆ ขาดจากใจโดยสิ้นเชิง...! ประหลาดแท้...?
    ทุกครั้งพออารมณ์ถึงที่สุด จิตจะไม่รับรู้อารมณ์ภายนอกเลย
    แต่คราวนี้มันรู้ทุกอย่าง และถ้าอะไรจำเป็น จิตจะคลายออกมาเพื่องานนั้น
    โดยเฉพาะ พอเสร็จก็ดิ่งกลับจุดเดิม บังคับมันขึ้นได้ลงได้ดังใจ
    เหมือนกับการเปิดปิดประตูอย่างไรก็อย่างนั้น นี่กระมัง... น้ำกลิ้งบนใบบอน...?

    จับจิตตัวเองดู เห็นเป็นวงกลมใสสะอาดหมุนวนโดยรอบ
    เหมือนมีเกราะแก้วคุ้มจิตจากนิวรณ์ ถ้าจำเป็นก็เปิดเกราะออกมารับรู้
    โลกภายนอก ไม่จำเป็นก็ปิดเกราะกั้นนิวรณ์ไว้ ปล่อย กาย วาจา
    ทำหน้าที่ของโลกไปตามเรื่อง มีสติกำกับอยู่ตลอดเวลา
    อารมณ์หนักเบาจากภายนอกกระทบไม่ได้เลย...

    หลังจากฝึกซ้อมจนชำนาญอาตมาก็เข้าใจ มันเป็นสมาธิสำหรับใช้งานนั่นเอง

    สามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง โดยไม่มีใครรู้ว่าเรากำลังทรงอารมณ์สมาธิอยู่...
    ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็ยังไม่ใช่ที่พึ่งของเรา เพราะอารมณ์โลกีย์ประมาทเมื่อไรพังเมื่อนั้น... จงระวัง...จงระวัง...!

    ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๓๓
    หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ วัดท่าขนุน
     
  5. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=OReU5Pwl-FE&sns=em]ฝึกใจไว้รับวิกฤต-พระไพศาล - YouTube[/ame]
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089

    [​IMG]

    กรรมของใคร (ของเราทั้งนั้น)
    ใครเป็นผู้ทำ (เราทำเองทั้งนั้น)
    เมื่อเกิดทุกข์ (ก็รับไปเองสิ จะไปโทษใคร)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กันยายน 2013
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    หยุด! ทำร้ายกายใจของตน
    โดยการหยุดความรู้สึกนึกคิด
    พยายามทำจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ
    ปล่อยวางกันเถอะนะ..พวกเรา
    แบกกันไป..ทำไม
    ..กิเลสมันร้อน อัตตามันหนัก..​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กันยายน 2013
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    กระทู้ไร้..ดอกบัว
    ไม่เห็นดอกบัวบานนานมากแล้ว
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    K. MANEETREE
    ฝากธรรมะมาครับ



    ขออนุญาติแชร์ธรรมจ้า.....^___^

    "ใจเบ่งบาน ดั่งดอกบัว ที่บานเบ่ง
    จิตไม่เคว้ง เพราะว่าเร่ง สร้างรากใบ
    ธรรมมิสูญ สิ้นหายจาก เกสรไซร้
    เวลาไป ใยผึ้งน้อย คอยรอรัง
    นามเคยเยือน ถิ่นสถาน นิพพานใกล้
    ว่างวางนิ่ง ดิ่งลงทิ้ง กิเลสใจ
    หล่นร่วงลง ปลงจากทุกข์ ท้อเหนื่อยหาย
    เฉยเมยกาย จะทลาย ช่างหัวมัน"


    ______/\_/\______สาธุ มณีตรี......อุลตร้า ******************************
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2013
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ทุกข์เพราะ..มีร่างกาย
    ทุกข์เพราะ..มีจิต มีเจตสิก


    คนเราส่วนใหญ่มีอยู่ ๒ ทุกข์ คือ ทุกข์กายกับทุกข์ใจ
    ทุกข์กายนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ทุกข์ใจนี่สิ มิรู้วาง คือวางไม่เป็น
    คือทุกข์เป็นอย่างเดียว แต่หาทางออกจากทุกข์ไม่เป็นหรือไม่ได้ นั่นเอง
    แต่ถ้าคนเราฉลาดสักนิด หยุดคิด หยุดเรื่องราวของทางโลกบ้างก็จะดีมาก
    แล้วหันมาสนใจและปฎิบัติตามพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    หรือมาดูว่าพระสงฆ์สาวกว่าทำไม จึงพ้นทุกข์ เพราะท่านปฎิบัติตาม เดินตามพระพุทธเจ้ากันนั่นเอง

    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปสงสัยว่าทำไม..คนส่วนใหญ่จึงมีความทุกข์มากมาย
    โดยเฉพาะคนที่เป็นชาวพุทธ ที่จริงแล้วน่าจะไม่มีทุกข์หรือทุกข์น้อยที่สุด
    เหตุเพราะไม่สนใจพระธรรมหรือคำสอนของพระองค์
    กราบพระก็แล้ว ตักบาตรทำบุญสุนทานก็แล้ว บริจาคเงินสร้างพระ สร้างวัด สร้างโรงพยาบาลก็แล้ว
    ทำมาทุกอย่างบุญภายนอก ทำจนไม่มีทรัพย์จะทำแล้ว แต่เหตุไฉนเรายังมีความทุกข์อยู่
    บุญก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วนบาป นำมาหักลบกลบหนีกันไม่ได้
    ความสุข ความทุกข์ก็เหมือน คนละส่วนกัน
    เพราะฉะนั้น ทำบุญภายนอกจึงไม่เกี่ยวกันการพ้นทุกข์ แต่บุญนั้นจะมีผล คือบุญจะนำพา
    หรือเป็นบันไดบุญให้เราพ้นทุกข์ได้ในอนาคต นั่นหมายความว่า บุญจะนำพาหรือดลจิตให้เราอยากปฎิบัติ

    ตราบใดเรายังมีชีวิตเท่ากับยังมีโอกาสสะสม สร้างบุญกุศล หรือสร้างบารมีของตน
    อย่าหายใจทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ อย่าเอาสติกับจิตไปกับทางโลกมากนัก
    เพราะในขณะที่เราปล่อยกาย ปล่อยใจไปกับทางโลกอยู่นั้น จิตของเรานั้นกำลังไปยึดติดสิ่งต่างๆโดยมิรู้ตัว
    มารู้ตัวอีกทีก็เจริญกรรมฐานหรือทำสมาธิ คือได้มีเวลาหยุดนิ่ง หยุดคิดถึงรู้ตัวว่า
    จิตเราได้ถูกกิเลสครอบงำไปหมดสิ้นแล้ว เหมือนเป็นอาณัติหรือเป็นทาสกิเลสตนไปแล้ว
    จิตตนกลายเป็นกิเลสตนไปแล้วก็ยังไม่รู้ตัว กิเลสพาให้เกิดตัณหาและอุปาทานตามมามากมาย
    ทุกวันนี้เราแยกกันออกไหมว่า อันไหนคือร่างกาย อันไหนคือกิเลส อันไหนคือทุกข์
    ขอสรุปความเองว่า ทั้งหมดนั่นแหล่ะ ก็คือตัวเรา
    ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มิได้แยกความดี ความชั่วตนเอง แต่มักชอบไปแยกหรือดูคนอื่นเลวหรือชั่วซะมากกว่า
    ลืมไปว่าตนเองก็(เคย)ดีหรือชั่วเหมือนกัน เพราะมีกิเลส มีตัณหา มีอุปาทานเหมือนๆกัน
    แล้วจะไปสนใจผู้อื่นทำไม ใครจะดีหรือชั่วก็ไม่เกี่ยวกับตน แต่ถ้าภาษานักภาวนาก็จะพูดว่า
    ผู้อื่นจะดีหรือชั่วก้ไม่เกี่ยวมรรคผลของตน
    มิได้มาสอนใครๆ กรุณาอย่าเข้าใจผิด มาสนทนาธรรมให้กันฟังเฉย
    เพราะข้าพเจ้าก็เคยดี เคยชั่วมาก่อนเหมือนกัน ไม่มีผู้ใดดีหรือเลวไปกว่ากัน
    แต่ปัจจุบันนี้ว่าฉันยังประพฤติ ปฎิบัติชั่วอยู่หรือไม่ ตรงนี้สิ น่าคิด
    แต่ถ้าใครปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ย่อมไม่ทุกข์ โดยเฉพาะทุกข์ใจ
    พระพุทธเจ้าท่านให้ชาวพุทธประพฤติ ปฎิบัติแค่ ๓ อย่าง ก็คือ...
    ๑.ละบาป ๒.ทำแต่ความดี หรือภาวนา ๓.ทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอ
    จิตจะผ่องใสไม่ได้ ถ้าปัจจุบันเรายังละบาปไม่ได้ ทำภาวนาไม่ได้
    ฯลฯ

    บุคคลใดที่ยินดีในร่างกาย ในความรู้สึกนึกคิด(ธรรมารมณ์)..ย่อมมีทุกข์เป็นธรรมดา
    บุคคลใดที่ไม่ยินดีในร่างกาย ในความรู้สึกนึกคิด..ย่อมไร้ทุกข์เป็นธรรมดา

    บุคคลใดเห็นพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่ง..ย่อมปฎิบัติตาม
    ย่อมพ้นทุกข์ หรือหลุดพ้นตามพระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์สาวกของพระองค์ได้

    การปฎิบัติธรรม เน้นการละปล่อยวางกิเลสตนเป็นหลัก หรือโดยเฉพาะ รัก โลภ โกรธ หลง
    เน้นการให้อภัยเป็นหลัก เน้นแผ่การเมตตาเป็นหลัก เน้นการให้หรือเสียสละส่วนรวมเป็นหลัก

    ผู้ปฎิบัติต้องเน้นเรื่องจิตเป็นหลัก เพราะความสุข ความทุกข์ ความดีใจหรือเสียใจก็อยู่ที่นี่ทั้งหมด
    พยายามอยู่กับตนเองมากๆ พยายามสร้างสติ สมาธิและปัญญาของตนบ่อย
    เดี๋ยวก็ออกจากคราบมนุษย์ได้สักวันนึงเอง

    ขอโมทนาบุญกับทุกท่านที่ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ หรือปฎิบัติพระธรรมหรือคำำสอนของพระพุทธเจ้า
    หรือพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ขอให้ทุกท่านมีแต่ความสุข ความเจริญ โดยเฉพาะ เจริญในธรรม
    ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจมากในการปฎิบัติ โดยเฉพาะ ผู้ที่ปรารถนาความหลุดพ้นหรือนิพพานสมบัติด้วยเทอญ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กันยายน 2013
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุกับธรรมาทานด้วยครับ
    ฝากทำไม ทำไมไม่มาลงเอง
    บ้านเจ้าก็เคยอยู่ มีแต่ผู้คนเข้าๆออกๆ
    แต่พี่ภูเป็นเสมือนป้ายรถเมล์ คอยดูผู้คนหรือรถยนต์แวะเยือนหา
    บ้างก็ผ่านเลยไป บ้างก็แวะชั่วครั้ง ชั่วคราว ถาวรก็มีเหมือนกัน
    ที่พูดมิได้บ่น แต่พูดให้ฟัง(มายไซท์)

    ใครอยากมาก็มา ใครอยากไปก็ไป ไม่ว่า ไม่ตำหนิใครแล้ว หมดเวลา
    พูดทีเดียวหนเดียว..จบ

    แต่ถ้ามาเยือนบ่อยๆ หรือมาร่วมวงสนทนาสธรรม หรือร่วมลงเรือลำเดียวกันเหมือนแต่ก่อน
    พี่ภูยินดีต้อนรับจิตบุญทุกท่าน
    อดีตไม่มี อนาคตไม่ต้องพูดถึง ปัจจุบันสำคัญกว่า
    ลูกท่านพ่อ หลวงพ่อต้องรู้หน้าที่ มิใช่ให้อยากไปรู้ว่าใครจะทำอะไรที่ไหน
    ที่นี่เรือไม่มีจม คนเดียวก็จะพาย พายไปจนกว่าตัวจะตาย
    เปลี่ยนไม่ได้ สัจจะก็คือสัจจะ แต่มิได้ยึด แต่หากยึดก็มีแต่ทุกข์เท่านั้น

    ดีเหมือนกัน พี่ภูขอเชิญจิตบุญทุกท่าน เข้ามากันใหม่เห่อ มารักเมตตากันเหมือนเดิม
    ถ้ามั่นใจตนเองว่า การให้อภัยสูงสุดของทานละก้อ ขอเชิญ
    กลับมาเหมือนก็ยิ่งดีใหญ่ ถ้ามั่นใจว่าไร้อัตตา โปรดเข้า โปรดเข้าเลย
    กระทู้นี้ไม่ใช่ของพี่ภู แต่เป็นของท่านพ่อ หลวงพ่อ
    ปฎิบัติเพื่อละปล่อยวาง โดยเฉพาะกิเลสของตน

    ดีเหมือนกัน พี่ภูจึงถือโอกาสนี้ เรียนเชิญจิตบุญทุกท่าน เข้ามากันใหม่เห่อ มารักเมตตากันเหมือนเดิม
    แต่พี่ภูขออยู่กับธรรม ยอมรับทุกอย่างได้หมด เข้าใจบนความไม่เข้าใจของผู้อื่นได้เสมอ

    ขอใจที่แวะเวียนมาหากัน
    จิตบุญเก่าหรือใหม่ไม่สำคัญ ถ้ามั่นใจหรือแน่ใจว่าปลดอัตตาตัวตนมาพบกันได้ทุกเมื่อ

    พี่ภูจะรออยู่ทุกเมื่อ ทุกครา รอทุกคน มิหนีหายไปไหน
    ขอเชิญเลย ถ้าทำเพื่อผู้อื่นจริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กันยายน 2013
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=3CxulgHSIa4]ฉันยังเหมือนเดิม - YouTube[/ame]

    ฟังเพลง..อย่าไปคิดมากกันอีกหล่ะ
    ทวิภพมันจบไปแล้ว มันก็แค่บทละคร
    ผู้ปฎิบัติต้องไม่วิ่งตามสิ่งที่กระทบจิต
    ระวังตัวเจตสิกจะกลับมาทำร้ายใจตนเอง

    วันนี้...ขออนุญาตเป็นดีเจสักวัน

    ยังระลึกนึกถึง(จิตบุญ)ทุกท่าน
    ..ฉันยังเหมือนเดิม..
     
  13. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =============

    กราบอนุโมทนา สาธุครับ ท่าน พ่อภู
    กระทู้จิตเกาะพระ ไม่เคยหายไปไหน ยังอยู่ในจิตเสมอ เข้ามาอ่านทีไรจะพบเจอ ธรรมะดีๆเสมอเพื่อประเทืองปัญญาตนครับ สาธุ
     
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เกิดเป็นมนุษย์ต้องรู้จักบุญคุณ ต้องไม่ลืมถึงที่มาแห่งความสำเร็จที่เกิดกับตน
    ต้องรู้จักกตัญญูกตเวที ต้องรู้หน้าที่ของตน

    นานแล้วที่ไม่ได้โพสแสดงความเห็นอะไร แต่ก็จะเข้ามาอ่านธรรมะดีๆจากท่านพ่อภูและจิตบุญอื่นๆหลายๆท่านที่ร่วมโพสเอาไว้ ครับ

    ขออนุโมทนาอีกครั้งกับธรรมะดีๆ สิ่งดีๆที่กระทู้แห่งนี้มีให้อ่าน มีให้เห็นเสมอมาครับ

    ขอบคุณครับ สาธุ
     
  15. kantinanna

    kantinanna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +1,819
    สาธุค่ะ
     
  16. kantinanna

    kantinanna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +1,819
    ลูกขอกราบ กราบ กราบเจ้าค่ะ
     
  17. kantinanna

    kantinanna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +1,819
    สาธุๆๆๆๆค่ะ
     
  18. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    การเสด็จอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้านั้น จะมีปรากฏขึ้นได้ในโลกแต่ละครั้งแต่ละหน ย่อมเป็นไปโดยยาก
    ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาอันยาวนานจึงจะมีสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาตรัสพระองค์หนึ่ง
    ที่เป็นเช่นนี้เพราะการที่จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้านั้น จะต้องเป็นบุคคลสำคัญที่เรียกว่า “วิสิฎฐบุคคล” คือ
    เป็นบุคคลที่พิเศษอย่างยิ่ง ได้สร้างสมอบรมบ่มบารมีมาเพื่อพระปรมาภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ
    คือ เพื่อจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ และพระบารมีนั้นได้อบรมบ่มบำเพ็ญมาเป็นเวลานานหลายอสงไขย มหากัป
    จนถึงที่สุดแห่งพระบารมีที่เต็มเปี่ยมแห่งพระโพธิญาณ จึงจะเสด็จมาอุบัติขึ้น
    ในโลก ได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมโลกนาถ
    แล้วจึงทรงเมตตาประทานประโยชน์มหาศาลให้แก่สัตว์โลกทั้งหลาย
    ด้วยการแนะนำให้รู้จักหนทางหลีกพ้นจากวัฏสงสาร ซึ่งเป็นภัยใหญ่แห่งชีวิต

    แต่ด้วยเพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายถูกอวิชชาเข้าครอบงำ
    จึงทำให้ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงความน่ากลัวแห่งภัยในวัฏสงสารนั้นได้
    ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงอุบัติตรัสรู้ขึ้นในโลกนี้แล้วได้ทรงพระเมตตาสั่งสอนให้มองเห็นภัยในวัฏสงสารนั้นแล้ว
    ปฏิบัติตามจนนำตนให้พ้นออกจากภัยใหญ่นั้นเข้าสู่แดนเกษมคือพระนิพพาน ดังนั้น “วิสิฎฐบุคคล” เช่น พระพุทธเจ้านั้น
    จะมาปรากฏอุบัติขึ้นในโลกแต่ละพระองค์นั้นเป็นเรื่องยากเป็นอย่างยิ่ง ดังพระบรมพุทโธวาทที่ทรงแสดงไว้ว่า

    “การอุบัติบังเกิดขึ้น แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลก”

    “ภิกฺขเว อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ, ทุลฺลโภ พุทฺธุปปาโท โลกสฺมึ,
    ทุลฺลโภ มนุสฺสตฺต ปฏิลาโภ, ทุลฺลภา สทฺธาสมฺปตฺติ,
    ทุลฺลภา ปพฺพชฺชา, ทุลฺลภํ สทฺธมฺมสฺสวนํ”

    “ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย !
    ขอเธอทั้งหลายจงรักษาตนให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด

    การที่จะได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้นในโลกเป็นสิ่งที่หาได้โดยยากยิ่ง
    การที่จะได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เป็นสิ่งที่หาได้โดยยาก
    การที่เป็นมนุษย์แล้วถึงพร้อมด้วยศรัทธาก็เป็นสิ่งที่ทำได้โดยยาก
    การที่เป็นผู้มีศรัทธาจะได้มีโอกาสบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาก็เป็นสิ่งยากยิ่ง
    และการที่จะได้มีโอกาสสดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นก็เป็นสิ่งที่หาได้โดยยากในโลก”​

    Cr.. Fb ลูก พระสุธรรม
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089

    โมทนาสาธุกับคุณก้องด้วยครับ
    คำว่า ครู เสมือนเป็นผู้ให้ ให้แต่สิ่งดีงาม โดยเฉพาะธรรมะ
    ข้าพเจ้า หรือครูท่านอื่น มิได้คิดหวังสิ่งสักการะ หรือสิ่งตอบแทนใดๆทั้งสิ้น
    ครูหรือผู้ให้ มิได้ไปยึดติดกับศิษย์หรือผู้รับ และศิษย์หรือผู้รับก็มิควรไปยึดติดกับครูหรือผู้ให้ เช่นกัน
    ส่วนศิษย์หรือผู้รับ จะทำหน้าที่ต่อครูหรือผู้ให้อย่างไรนั้น ก็ตามแต่ใจปรารถนาของตนเถิด

    ครูหรือผู้ให้ก็ยึดหลักแนวทางในการปฎิบัติตามพระพุทธเจ้า คือปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    แต่อยากให้ศิษย์หรือผู้รับ ยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะ หรือเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสูงสุดของจิตใจตน
    โดยเฉพาะ พระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ขอให้ยึดหลักแนวทางในการปฎิบัติ
    พยายามเดินสายกลางให้จงได้ คือนำจิตตนมาเดินมรรคมีองค์๘ พยายามเดินให้ถูก+ตรงมรรค
    แต่ถ้าเจริญมรรคเป็นประจำ ก็ทำให้เจริญยิ่งๆขึ้นไปอีก

    เพราะธรรมที่ผุดขึ้นภายในจิตใจของตนนั้น จะกลับมาสอนตนเอง
    ในขณะผู้ปฎิบัติที่จิตกลายเป็นตัวปัญญาแล้ว ผู้อื่นย่อมสอนยาก เพราะติดตัวรู้
    แต่จะออกจากตัวรู้ของตนได้นั้น ก็ต้องรอธรรมะที่ผุดมาจากจิตตนเอง
    สติรู้ตัว ปัญญารู้แจ้ง ส่วนธรรมจะนำพาออกจากจิตตัวรู้ของตนเอง หรือเรียกว่า วิญญาณขันธ์
    วิญญาณขันธ์ เป็นนามตัวละเอียดที่สุด จะต้องใช้กำลังใจมหาศาล เราถึงจจะออกมาจากตรงที่ว่านี้ได้
    ตราบใด เจริญปัญญายังติดๆดับๆกันอยู่แบบนี้ ผู้เจริญที่มีปัญญาก็จงพินิจ พิจารณากันดูเถิด
    ถ้าเจริญปัญญาไม่ต่อเนื่อง เราก็จะแพ้กิเลสตนก็เท่านั้นเอง กิเลสมันเก่งกว่าจิตหลายล้านเท่า
    สังเกตดู กิเลสของคนเราจะดึงให้ลงต่ำอยู่เรื่อย บางทีก็โดนจิตตนหรอกบ้าง
    มิให้ประกอบคุณงามความดี หรือให้เราหย่อนในการปฎิบัติ แต่ถ้าหย่อนเมื่อไหร่ก็เสร็จมันเมื่อนั้นแหล่ะ
    ถึงแนะ ถึงพยายามเตือนกัน บอกกันอยู่เสมอๆว่า..พยายามสร้างกำลังใจให้พร้อมอยู่เสมอ
    อย่าประมาท เผลอสติไม่ได้ แต่ถ้าเผลอเมื่อไหร่ ก็เท่ากับเผลอใจไปกับกิเลสทันทีเลย
    และสุดท้ายปลายทางนั่นก้คือ ทุกข์จนได้
    เพราะฉะนั้น กำลังใจ(บุญหรือบารมี)ของตนนั้นสำคัญมาก โดยเฉพาะ..ผู้ปฎิบัติ
    เอาให้จริง ปฎิบัติให้จริง รับรองสำเร็จมรรคผลทุกคน เพราะทุกสิ่งสำเร็จที่ใจตนเอง

    ขอให้ผู้เจริญทุกท่าน จิตถึงพระรัตนตรัย มีธรรมะนำทางชีวิต
    ตัดสินใจหรือแก้ปัญหาด้วยสติปัญญา อย่าใช้อารมณ์นำหน้า เพราะชีวิตจะวิบัติ
     
  20. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ตัวอย่างของคนดี ในสังคมไทย....

    เรื่อง....

    ความกตัญญู กับ การให้โดยไม่หวังผลตอบแทน


    <iframe src="https://www.facebook.com/video/embed?video_id=421074778003408" width="640" height="480" frameborder="0"></iframe>​

    ดูแล้ว น้ำตาซึม เป็นเรื่องจริง....ชีวิตจริง
    ทีเกิดขี้นในสังคมไทย เคยอ่านเรื่องนี้มาก่อน เป็นบทความ เรื่องสั้น
    แต่ตอนนี้ ได้นำมา ทำเป็น ภาพยนตร์สั้นๆ ยิ่งทำให้เห็นภาพชัด ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...