จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    "ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น"


    "ผู้ประมาทไม่ระลึกนึกถึงความตาย ย่อมเตรียมจิตไม่ทัน แต่ผู้ที่ระลึกนึกถึงความตาย หมั่นแสวงหาอริยทรัพย์ไว้ด้วยจิตมั่นคง กำหนดรู้อยู่เสมอว่า จิตนี้จักต้องโคจรจากร่างกายเมื่อตายแล้ว จักตรงไปยังสถานที่ใด บุคคลผู้นั้นจึงได้ชื่อว่าถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทในชีวิต"

    "หมั่นตรวจสอบจิตให้ดีๆ อย่าให้มีความเศร้าหมองค้างอยู่ในใจ ไม่ว่าอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง พอใจ หรือไม่พอใจ จัดว่าเป็นกิเลสที่ทำให้จิตเศร้าหมอง ถ้าหากเจ้าไม่อยากสู่ภพสู่ชาติอีกต่อไป มองอารมณ์ของจิตเอาไว้ให้ดีๆ และหมั่นทบทวนจุดหมายปลายทางของจิต คือกำหนดอารมณ์พระนิพพานไว้เสมอ รู้หนทางโคจรของจิต หนทางใดซึ่งไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ก็จงหมั่นตัดอารมณ์นั้นให้หลุดออกไปจากใจ"


    พระราชพรหมยานมหาเถระ
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
  2. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976

    ขออนุโมทนาสาธุ กับ คุณ ก้องด้วยนะค่ะ ที่ท่านได้เข้าถึงจุดนี้ได้ท่านเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า และคําสั่งสอนของท่าน และได้น้อมนํามาปฏิบัติ และได้เห็นประจักษ์เกิดขึ้นกับตนเองแล้ว ทั้งสุขและทุกข์เป็นแค่ อารมณ์ที่จรมา สติติดแนบในอารมณ์ต่างๆที่จรมาและใช้ปัญญาค้นคว้าหาเหตุปัจจัยตัว ก่อภพ ก่อชาติได้เห็นตามความเป็นจริงโดยไม่มีความสงสัยแล้วเพราะผู้ปฏิบัติจะต้องเห็นด้วยตนเอง...เพราะความสงสัยนั้นคือ จิตยังไม่รู้ในความเป็นจริง ผู้เขียนเป็นคนใช้กายและจิตน้อมมาปฏิบัติ แต่ไม่ได้มีควาเข้าใจในปริยัติธรรมมาก เพราะเป็นคนลงมือทํามากกว่าการอ่าน นี่ก็เป็นผลดีที่ทุกๆท่านได้นําความรู้ดีๆมาแบ่งปันทั้งการตอบและการถามทางธรรมะ ขออนุโมทนาสาธุในธรรมะของคุณก้อง และครูลูกพลัง และครูพี่ภู ตลอดทั้งครูผู้ถามมา สาธุค่ะ
     
  3. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การเรียนทางโลก ไม่มีวันที่จะสิ้นสุดถึงจะเรียนแม้แต่วิชาที่ขึ้นไปบนอาวกาศได้ ก็ไม่พ้นทุกข์ เพราะวิชาแก้ทุกข์ก็มีอยู่วิชาเดียวเท่านั้น คือ"วิชาธรรม" ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้ก็คือ ผู้เรียนรู้จิตใจของตนเอง...ไม่ใช่ไปเรียนรู้จิตใจของคนอื่น เพราะคนอื่นไม่มีใครมาช่วยเราได้เพราะทุกข์เกิดแก่ใครก็ต้องแก้เอง เพราะผู้ก่อทุกข์นั้นคือเราเอง...จึงต้องเรียนรู้วิชาแก้ทุกข์ก็คือ"วิชาธรรมนั้นเอง"ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของจริงที่ผู้ปฏิบัติตามสามารถแก้ทุกข์ หรือดับทุกข์ได้ เพราะแก้ที่เราเอง ก็มีใจที่เราต้องคอยสอดส่องดูว่า อะไรมากระทบก็รู้ รู้ในที่นี่คือ รู้ว่าจิตใจเราต้องการอะไร เพราะบางคนมีอาหารกาย แต่ก็ไม่เคยให้อาหารใจเลย จิตใจก็มีแต่โหยหิว อยากไม่เคยมีเมืองพอ อยากรู้ อยากเห็น อยากทําโน้น อยากทํานี่ อยากเป็นนั้น อยากเป็นนี่ อยากจนตายก็ไม่เคยอิ่มพอ ท่านจึงสอนให้เรากลับมามองดูจิตใจของเราๆท่านๆเองว่าอยากจะกลับมาเกิดอีกไหม? ถ้ายังไม่ได้ศึกษาวิชาธรรมนั้น หรือยังไม่เข้าใจตนนั้นแหละถึงไม่อยากก็จะต้องกลับมาแน่ และจะมาแบบไหนนั้นก็แล้วแต่เราๆท่านๆจะปรารถนา เพราะจิตนั้นเหมือนเมล็ดพืชที่รออุหภูมิที่เหมาะสม เมล็ดพืชนั้นก็งอกออกดอกออกผลทันที่ แต่ถ้ามีแต่เมล็ดและอุหภูมิไม่เหมาะ เมล็ดก็งอกไม่ได้ เพราะไม่มีเชื่อที่จะให้เกิดนั้นเอง กิเลสก็ฉันนั้น เพราะผู้จะมาเกิดหรือไม่เกิดอีกนั้นยอมรู้แก่ใจของตนเอง...สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2013
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุกับธรรมาทานของคุณเพ็ญUKด้วยครับ
    เริ่มมีเพื่อนพูดธรรมะที่ไหลออกมาจากจิตบ้างแล้ว
    เธอไหลมานานแล้ว แต่ไม่อยากโชว์ออฟ
    ผู้ที่หาจิตตนพบย่อมพบธรรมภายในจิตตนเอง
    นั่นแหล่ะ! ปัญญาย่อมเกิดกับจิตผู้นั้นด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วย่อมพูดธรรมไม่ได้
    อาจจะพูดได้ แต่ไม่มั่นใจ มั่นใจนะ..ไม่ใช่ยึดมั่นถือมั่น คนละเรื่องกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 พฤษภาคม 2013
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เธอจะขำทำไมเนี๊ย เดี๋ยวก็ดีแตก เอ๊ย ความแตกกันพอดี
    คนเราเนี๊ยนะ เปลี่ยนอะไรภายนอกได้ทุกอย่าง แต่ถ้าเปลี่ยนภายในคือจิตตนยังไม่ได้
    ยังไงๆ คำพูดหรือพฤติกรรมก็ย่อมออกมาจากจิตของผู้พูดหรือสิ่งที่แสดงออกมาเสมอ
    (ผมมิได้หมายถึงคุณนะ)
     
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713

    ...หลวงปู่มั่นตอนที่ท่านไปอยู่ที่ถ้ำสาลิกาท่านเล่าว่าปวดท้องรับประทานยาอยู่

    หลายวัน... รับประทานยา ก็ไม่หาย จนที่สุดก็ตัดสินใจไม่รับประทานยาอีกต่อไป ใช้

    ธรรมโอสถแทน ถ้าพิจารณาปล่อยวางร่างกายได้ โรคก็จะหายไปเอง ท่านก็เลยนั่ง

    สมาธิกำหนดจิต แยกธาตุแยกขันธ์ แยกจิตออกจากกัน ปล่อยวางเวทนา จะทุกข์จะ

    เจ็บปวดขนาดไหนก็ปล่อยมันเป็นไป ปล่อยให้แสดงอาการเต็มที่ จนจิตสงบรวมลงเป็น

    หนึ่ง พอถอนออกมาอาการเจ็บท้องก็หายไปหมด บางทีเกิดจากความเคลียด เกิดความ

    อยากให้มันหาย ยิ่งอยากให้หายแต่ไม่หายยิ่งเคลียดใหญ่ ก็ยิ่งเจ็บใหญ่ ความเคลียดไป

    เสริมความเจ็บทางร่างกายให้มีมากขึ้น ร่างกายก็เลยปั่นป่วน เพราะในตัวมันเองก็ไม่

    ค่อยปกติอยู่แล้ว ยังมีจิตมายุ่งกับมันอีก ก็เลยยิ่งปั่นป่วนใหญ่ พอจิตไม่ไปยุ่งกับมัน ปล่อย

    ให้มันดูแลของมันไปเอง ให้ฟื้นธรรมชาติ พอถึงเวลามันก็ฟื้นขึ้นมาเอง.

    -ถาม อย่างนี้ก็ไม่ต้องทานยา?

    -ตอบ เท่าที่เล่าให้ฟังก็เป็นอย่างนี้ ทานยามาหลายวันแล้วไม่ได้ผล อาจจะเป็นเพราะ

    ยาไม่ถูกกับโรคก็ได้. คัดจากหนังสือกำลังใจ ๓๐ โดยพระจุลนายก (สุชาติ อภิชาโต)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2013
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โอ้โห! กรุณาอย่าพูดแบบนี้เลย เดี๋ยวงานเข้า
    ผมนั่นหรอ ยังมีความเลวอยู่มากครับ
    หลวงพ่อฤาษีฯสอนว่า อย่าไปเที่ยวตามหาความดีของตน
    แต่ท่านให้ตามหาความเลวของตนเอง ถ้าหาเจอแล้วก็ฆ่ามันทิ้งซะ
    หรือให้กำจัดงูภายในบ้านของตนเอง งูใครงูมัน สติใครสติมัน จิตใครจิตมัน
    จะต้องกำจัด จะต้องดูแลกันเอง ทำแทนกันไม่ได้

    คุณจะดีก็ด้วยตัวของคุณเอง มิได้เกี่ยวอะไรกับผมเล๊ยยย ป๊าดดดด
    บอกแล้วห้ามชม ยอมให้ด่าอย่างเดียว เพราะจะได้เช็คจิตตนเองไปด้วย
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พออ่านๆไป ธรรมาทานนี้จะต้องไปโดนใครแน่ๆ
    ธรรมะแท้เขาไม่มีหางนะคุณ หางธรรมะหมายถึงธรรมโดนใจ คือแทงใจดำ
    คุณกล่าวก็ชอบแล้ว
    ศีลและธรรมจะหยาบหรือละเอียดนั้น ขึ้นอยู่กับจิตหยาบหรือละเอียดของคนๆนั้น

     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุ ในธรรมาทานของคุณtjsด้วยครับ
    ที่กล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว ดีแล้วครับ
    และขอโมทนาบุญกับคุณปริณภูมิมาณ.ที่นี้ด้วยนะครับ
    แต่ถ้าไม่มีผู้ใดตอบ คุณก็ตอบเสียเองเลยนะครับ คุณwatjojo ท่านรออ่านอยู่ครับ
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ก้าวแรกแห่งทุกข์
    ของมนุษย์นั่นก็คือ การเกิด
    เด็กทารกเมื่อคลอดจากครรภ์มารดา สังเกตให้ดี..จะกำมือทุกคน
    กำมือ หมายถึงกำความดี/ความชั่ว เพราะทุกคนเกิดมาย่อมมีกรรมนำมาเกิด
    แต่จะเลิกกำมือก็ต่อเมื่อดับขันธ์(ตาย)
    ในระหว่างที่เด็กเริ่มจำความได้ ก็เริ่มรู้จักคนรอบข้างว่าคนนั้นคนนี้คือใคร เป็นอะไรกับเรา
    นั่นก็หมายความว่า เราเริ่มจำหรือจิตเริ่มกำ/ยึดในอุปาทานของตนตั้งแต่วันที่เริ่มจำความ
    จิตเริ่มเข้าไปยึดติด/ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งสมมุติทั้งหลายทั้งปวงทีละเล็กที่ละน้อยไปแล้วนั้นเอง
    แต่พอคนเราดับขันธ์(ตาย)มือก็เลิกกำ(แบมือ) แต่จิตไปกำหรือยึดติดกับสิ่งสมมุติทั้งปวงแทน
    ผู้ที่มิได้ปฎิบัติธรรม หารู้ไม่จิตเราไปหลงยึดติด/ยึดมั่นถือมั่นร่างกายตนหรืออุปาทานของตน
    โดยมิรู้ตัว หารู้ไม่ร่างกายตนหรืออุปาทานของตนนั้น อีกไม่นานก็จะต้องกลับคืนสู่สภาพธรรมชาติ
    หลักใหญ่ใจความมันอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่จิตไปยึดหรือไม่ยึด ปกติธรรมชาติแห่งจิตมันจะเข้าไปยึด
    แต่ถ้าไม่ให้จิตไปยึดติดกับทุกสิ่งสมมุติ เราจะต้องเจริญสติภาวนาจนกว่าจิตจะมีปัญญาเป็นของตน
    เมื่อจิตเรามีปัญญา เราก็รู้ความจริงของชีวิต และค่อยๆปล่อยวางกับสมมุติทั้งหลายทั้งปวงได้ทีนิด
    จิตเป็นผู้ทำหน้าที่ละ/ปล่อย/วาง จิตทำหน้าที่บันทึกกรรมต่างๆในขณะยังมีชีวิต
    และเลิกบันทึกก็ต่อเมื่อเราสิ้นอายุขัย
    สำหรับจิตที่สามารถละ/ปล่อย/วางได้ เป็นจิตที่ฝึกมาเป็นอย่างดี จิตประเภทนี้มักไม่มีความทุกข์
    แต่ถ้าจิตปล่อยวางไม่ได้ เป็นจิตที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนจิต จิตประเภทนี้ก็ยังเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป
    สำหรับผู้ที่จะออกจากทุกข์ของตนเอง เราก็ต้องรู้จักก้าวแรกของการออกจากทุกข์กันเสียก่อน
    นั่นก็คือ เจริญกรรมฐานหรือเจริญสติภาวนา หมายถึงการทำจิตของตนให้นิ่งเป็นสมาธิก่อน
    พอจิตของเรานิ่งเป็นสมาธิ อานิสงส์แรกที่เราได้นั่นก็คือ ความสุขหรือความสงบใจ
    แต่จะออกจากทุกข์ได้อย่างถาวร ทั้งที่เรายังมีกายหยาบ ก็ต้องแยกจิตออกมาจากขันธ์๕เด็ดขาด

    สรุปแล้ว พวกเราว่า..ร่างกายหรือจิตใจ อย่างไหนสำคัญกว่ากัน
    แต่สำหรับผู้เจริญ/ผู้ที่มีสติปัญญาย่อมรู้ว่าสิ่งใดสำคัญกว่า เตรียมพร้อมสิ่งใดก่อน
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    หยุดตรงนี้ที่เธอ..ขันธ์๕
    ฉันขอลาก่อนชาตินี้ และจะไม่ขอหวนกลับคืนมาใหม่อีกต่อไป
    พอกันทีกับขันธ์๕ กิเลสเอ๋ย ตัณหาเอ๋ย อุปาทานเอ๋ย เราคงเป็นเพื่อนกันมานับชาติไม่ถ้วน
    คงจะเป็นชาติสุดท้ายที่เราได้พบเจอกัน
    เธอ(ร่างกาย)เกิดมาจากธรรมชาติ คือธาตุทั้ง๔คือดิน-น้ำ-ลม-ไฟ รวมกันเรียกว่า ขันธ์๕
    เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "รูป" มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เรียกว่า โลกมนุษย์
    แต่ฉัน(จิต)ก็เกิดมาจากธรรมชาติเหมือนกัน คือจิตประภัสสร

    ณ เวลานี้ฉันได้พบเจอตัวตนเสียงจริงของตนแล้ว นั่นก็คือ จิตในจิต มิใช่เจตสิกในจิต(แยกให้ออก)
    วันนี้ฉันรู้แล้วว่าเธอ(กายหยาบ)คือใคร(กิเลส=ทุกข์)มาจากไหน(ธาตุทั้ง๔)จะไปไหน(ตาย=สมบัติโลก)
    ฉันกับเธอขอให้สิ้นสุดกันชาตินี้นะ คือชาติสุดท้ายของเราทั้งสอง
    เมื่อฉันพบเจอตัวจริงภายใน(จิตในจิต)แล้ว ฉันรู้ก็เพราะว่าปัญญานำพาให้พบเจอธรรมในจิต(จิตธรรม)
    จิตธรรมนี้จะนำไปสู่ความรู้จริง/รู้แจ้งแทงตลอด ซึ่งเกิดมาจากสติปัญญาของเธอ(กายหยาบ)
    ฉันจะจุติที่แห่งใหม่ ที่ดีกว่า ไร้กิเลส ไร้ทุกข์ ไร้รูป ไร้นาม ไร้ความรู้สึก ไร้ความทรงจำ ไร้ความคิดนึก
    ถึงอย่างไร ฉันและเธอพบกันหรือพลัดพรากจากกันอย่างแน่นอน แล้วฉันจะค่อยๆเคลื่อนออกไป
    จุติไปตามแรงบุญแรงบารมี โดยเริ่มต้นที่วิมานบนดินก่อน และสิ้นสุดแห่งปลายทางที่วิมานแก้ว
    ที่สถิตย์อยู่บน...(ผู้อ่านเติมเอง)

    (เพลงประกอบธรรมะ เพลงนี้ให้ฟังกันเฉยๆ อย่าคิดมากกันนะจ๊ะที่รัก!)
    หยุดตรงนี้ที่เธอ :'(

    https://www.youtube.com/watch?v=VYilwXVMcl0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 พฤษภาคม 2013
  12. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    แล้ว ไม่มีดีไปกว่ากัน
    คูรก็คิดดูเอาเองนะว่า ทำไมผมไม่ปิดกระทู้หนีไปตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เรือไททานิคล่ม
    ก็เพราะอยากนำพาจิตผู้คนออกจากทุกข์กันให้มากที่สุดก่อน ส่วนผู้ที่ออกได้แล้ว
    ท่านจะมัวนอนหลับทับบารมีตนเองกันทำไม๊ พวกคุณช่างไม่สงสารพระพุทธเจ้า
    หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำหรือหลวงปู่หลวงตาของท่านกันบ้างหรอ ลูกหลานเกิดมา
    มีกายหยาบมักเดินหลงทางกันทั้งนั้นเลย รวมผมด้วย(เมื่อก่อน) นั่งเสียเวลาพิมพ์
    ตังค์ก็ไม่ได้เพราะไม่ได้ไปหวังอะไรกับใครๆ ทำไปเพราะไปรับอารมณ์ท่านมาทั้งนั้น
    เอ๊า ลูกหลานเอ๋ย อย่ามัวเพลิดเพลินกันนัก อย่าสนุกเกินเหตุ เจ้าไม่รู้วันตายกันนะ
    แต่ถ้าไม่มีใครช่วยผม กระทู้นี้ีผมอยู่คนเดียว เหล่าจิตบุญหายหัวไปหมด ทิ้งผมอยู่คนเดียว
    ผมก็ทำไปเท่าที่มีกำลัง ตายเมื่อไหร่ เป็นอันต้องจบลง...แต่เมื่อไหร่ วันไหน ไม่เห็นผม
    ก็แสดงว่า ผมได้ตายจากพวกคุณไปเสียแล้ว
    ขอให้พวกเราพ้นทุกข์ ขอให้ละบาป บำเพ็ญแต่บุญกุศลและทำจิตให้ผ่องใสกันทุกท่าน
    สัจจะกับเบื้องบนผมไม่ทิ้งแน่ ไม่มีการเปลี่ยนแน่ นอกเสียจากความตายมาพลัดพราก
    The-enD
    [/COLOR][/SIZE][/QUOTE]

    ยังอยู่ค่ะ คุณภู แต่เป็นพวกหางแถว ("มิได้ถล่มตัว เพียงแต่เข้าใจสภาพตนเอง) พูดธรรมมะไม่เป็น หากต้องการคนแบกข้าวสาร แบกโคลนไปโบกตึก ตำนํ้าพริก เก็บผักบุ้ง เรียกได้ตลอดค่ะ อิอิ
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จ.ม.ทางบ้าน
    นักภาวนาท่านนึงที่เขียนถึงข้าพเจ้า ขออนุญาตสงวนนาม แค่อยากจะบอกกับนักภาวนาด้วยกันว่า
    ตราบใดถ้านักภาวนาลืมสติ ปัญญาย่อมไม่เกิด สรุปแล้วจิตเราไม่รู้ไม่เห็นและปล่อยวางก็ไม่ได้
    จิตปล่อยวางด้วยปัญญาเท่านั้น ผมถึงพยายามบอกกับพวกเราว่า อย่าไปติดตำรามาก ให้ปฎิบัติมากๆ
    ปฎิบัติมากๆ หมายถึงเจริญสติมากๆนั่นเอง ยิ่งสติมากตัวปัญญาก็มากตาม
    พอได้ระยะนึงจิตจะเสมือนหลอดไฟที่เขาจ่ายกระแสไฟมาให้ จากที่มืดก็จะกลายเป็นที่สว่างทันที
    จิตคนเราก็เหมือนกัน แต่ถ้าเรามีสติมากตัวปัญญาก็จะตามมาทันที บอกไม่ได้ว่า
    เจริญสตินานเท่าใดถึงตัวปัญญาเกิดหรือมากพอที่จะให้หลอดไฟติดสว่างหรือจิตรู้ธรรม
    เพราะสติปัญญา+กรรมมาตัดรอน มิให้หลอดไฟพบเจอแสงสว่างหรือดวงจิตพบแสงธรรม
    ก็ขึ้นอยู่ที่ความเพียรของนักภาวนาท่านนั้นเอง

    ปัญญาหรือธรรมที่อยู่ในจิตที่ตนเองพบหรือได้มานั้น จะกลับมาสอนตัวของเราเอง
    ลองอ่านดูนะครับ เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับบางคน....(โปรดอย่าถาม..จม.นี้ของใคร)
    (ภู...ศิราณีธรรม?)


    สวัสดีค่ะพี่ภู
    หลังจากที่...(ขอสงวนนาม)นำคำสอนของพี่มาปฏิบัติ ...ก็มองทุกอย่างเข้าใจ พยายามอยู่กับตัวเอง เพ่งโทษตัวเอง ให้จิตเห็นในจิต จิตเกิดอุเบกขา วิปัสสนาว่าทุกข์ของแต่ละคนมีอยู่ไม่เหมือนกัน แต่ละดวงจิตเกิดมาสร้างกรรมดี กรรมชั่วมาก็ไม่เหมือนกัน ตนเท่านั้นที่ต้องเป็นผู้แก้ไข ...เข้าใจและที่พี่บอกว่ากาลเวลาหรือกฏแห่งกรรมเขากำลังทำหน้าที่ของเขาเองนะ ...เข้าใจแล้ว เราไปแก้ไขและช่วยใครไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นการไปยุ่งกรรมของคนอื่นนะค่ะ ทั้งๆที่รู้ก็ต้องเฉย พี่ภูอย่าได้เป็นห่วงเลยนะ ตอนนี้...ก็ปฏิบัติตามที่พี่บอก ...จะได้กระแสความเย็นตลอดนะค่ะ ...เข้าใจตัวเองและตอนนี้เข้าใจคนอื่นด้วยดี เข้าใจว่าอยู่คนเดียวไม่ยุ่งกับใคร ก็สงบดี เห็นไหมคิดได้ปลงได้สิ่งที่เราไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นพอดี วันนี้พี่...(ขอสงวนนาม)เดินอยู่ในห้างโทรมาให้...ออกไปหา ...ก็ออกไปหา พอดีเอา..ไปให้ด้วยนะค่ะ พอดีเข้าแบงค์ไม่ทัน ว่าจะไปดอปไว้ที่ประตูบ้านพี่...นะค่ะ พอดีหรือบังเอิญก็ไม่รู้พี่...โทรมาก่อนที่...จะออกไป เลยได้ไปเจอกันในห้างสรรพสินค้า คุยกันก็เข้าใจเหตุผลของพี่...ทุกอย่าง ลืมสิ่งที่ผ่านมา ที่ได้ยิน เกิดการคิดว่ามันผ่านไปแล้วนะ ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม จิตบอกว่าการมีไมตรีที่ดีต่อกันและความสามัคคีกันเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขนะค่ะ ถ้าวิตก วิพาก วิจาร ดับไป เราก็ไม่มีอะไรที่ต้องคิดไม่ดีกับคนอื่นอีกแล้วนะคะ พรหมวิหาร4 ก็จะครบบริบูรณ์นะค่ะ ถ้าที่...เขียนเนี่ย อันไหนที่จะสอนเพิ่มขอเชิญสอนได้เลยนะค่ะ สาธุๆๆๆค่ะ

    ***เจ้าของจดหมายอ่านแล้ว ก็อย่าเพิ่งต๊กใจ คิดเสียว่า..ธรรมาทานๆ(เธอได้บุญแล้ว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 พฤษภาคม 2013
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    @โดนยุงกัดแล้วแกล้งหลับ
    หลวงพ่อพระราชพรหมยานตอบปัญหาธรรม

    ผู้ถาม:- “หลวงพ่อครับ ถ้าหากว่าตอนปฏิบัติพระกรรมฐาน ถ้าเราไม่สนใจต่อร่างกายคือว่าให้ยุงกัด เสร็จแล้วเราแกล้งหลับ แต่ว่ามีสติอยู่นะครับ แล้วจะเอาจิตไปเกิดยังไงครับ…?”

    หลวงพ่อ:- “เอาใจไปเกิดที่ไหนล่ะ แกยังไม่ตายนี่ ยังไม่ตายไปเกิดได้เรอะ…?”

    ผู้ถาม:- “คือเตรียมตายล่วงหน้าครับ”

    หลวงพ่อ:- “เตรียมตายใช้ได้ แต่ยังไม่ตายนี่ ไอ้หนู มันเป็นไปไม่ได้หรอก ไอ้ยุงมันกัด ถ้าแกทนเจ็บได้ก็ถือเป็นบุญใหญ่ อย่าทำให้มันเกินคนไปเลย ทำแค่คนเขาทำน่ะพอแล้ว ยุงมันกัดเราทนไม่ไหวเราก็เข้ามุ้ง การเจริญพระกรรมฐานเขาไม่ได้จำกัดว่าจะต้องนั่งกลางแจ้งนี่ ในมุ้งก็ได้ ใช่ไหม…

    เอาแค่พอเหมาะๆ ซิ เอ็งอย่าแกล้งตายเลย ชักจะยุ่งแล้ว เดี๋ยวพระยายมท่านก็แกล้งลงนรก เอามันจริง ๆ ดีกว่า อย่าเอาแกล้ง ๆ เลย

    ถ้าหากขืนปล่อยให้ยุงกัดก็ไม่มีผล เพราะยุงกัดมันเจ็บ เจ็บแล้วจะเอาสมาธิจิตที่ไหนมา มันก็มีอย่างเดียวได้รับเชื้อโรคจากยุง รับความเจ็บจากยุง จิตมันก็อยู่ที่เจ็บ จิตที่เป็นกุศลไม่มี ในที่สุดเสียผลเปล่า

    ค่อย ๆ ทำไปนะไอ้หนู อย่าไปคิดอะไรมากเลย ถ้าคิดมากไม่เป็นผล ต้องทำแบบสบายตามปกติ กลางคืนถ้าเราไม่มีมุ้ง ยุงมันมาก เราก็ใช้เวลากลางวัน กลางวันใช้ไม่ได้มาก ใช้นิดหน่อยก็ได้

    การเจริญพระกรรมฐาน ไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิเสมอไป ถ้าเป็นสุกขวิปัสสโกก็คิดใคร่ครวญไปตามเรื่องตามราว คิดหาทางตัดกิเลส โลภะมันโลภแบบไหน ความโลภหมายถึงแย่งทรัพย์เขา ขโมยทรัพย์เขา โกงเขาเรียกว่าโลภ ถ้าหากินโดยทางสุจริตเขาไม่เรียกว่าโลภ อย่าไปนึกว่าหากินทุกอย่างเป็นโลภไปหมด ไม่ใช่นะต้องถือว่าการหากินไม่เป็นความโลภ นั่นเป็นผลจากการทำความดี โลภจริง ๆ มันต้องขโมยเขา แย่งเขา โกงเขา จิตคิดอย่างนี้จึงเรียกว่าจิตโลภ

    ต่อไปก็หาทางว่าไอ้ความโลภประเภทนั้นมันชั่ว เพราะเป็นศัตรูสร้างความทุกข์แก่ตัวเอง เราไม่ทำ ต่อมาก็ความโกรธ โกรธเป็นการสร้างศัตรู เราก็ไม่ทำ อารมณ์มันก็ตัด

    ถ้าด้านภาวนานี่ก็เหมือนกัน ไม่ต้องตั้งท่า เดินไปเราก็ภาวนาของเราเรื่อยไป ภาวนาบ้างลืมไปบ้าง นั่งรถไปภาวนาไป กระจุ๋มกระจิ๋ม นิดๆ หน่อยๆ อย่างนี้ดีมาก ถ้าแบบนี้มันจะใช้อารมณ์ได้ทุกเวลา

    และการเจริญพระกรรมฐาน ถ้ายังเก่งในมุ้งอยู่ ยังอีกนาน ถ้าไม่ถึงเวลาสงัดเราทำสมาธิไม่ได้ ยังอยู่ไกลมาก ถ้าทำจุ๋งๆ จิ๋งๆ นิดๆ หน่อยๆ ตามเรื่องตามราว นั่งคุยอยู่กับเพื่อน เพื่อนเขาลุกไปทำธุระ เราจับลมหายใจเข้าออก ภาวนา ๒-๓ คำ เพื่อนมาก็คุยกันใหม่ ดีไม่ดีทำงานทำการไป เหนื่อยๆ ก็วางปากกา วางเครื่องมือ จับคำภาวนาเสียนิด ไม่ต้องขัดสมาธิ อย่างนี้ดีไหม”

    ผู้ถาม:- “ดีครับ”


    การปฎิบัติธรรม ขอให้เรานึกถึงคำว่า "มัชฌิมาปฎิปทา"(สายกลาง)เข้าไว้
    คือไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ทำให้มันพอดีๆ แต่ขอให้เน้นที่จิตสบายๆก็แล้วกัน
    อย่าไปเน้นท่าเยอะ เฉพาะตั้งท่าอาจหมดเวลาทำความดีกันพอดี(ตายก่อน)
    (เน้นท่าได้แต่ท่า แต่ถ้าเน้นจิตได้ธรรมจริงๆ)
    ลูกคนนี้ขอน้อมจิตก้มกราบแทบเท้าหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ด้วยเศียรเกล้า
    สาธุๆๆ
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ยอมรับแปลว่าอะไร..
    การปฎิบัติธรรมก็เพื่อที่จะมุ่งหวังให้จิตยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่จริงของธรรมชาติ
    เช่น ทุกคนเกิดมาแล้วจะต้องตายทุกคน เป็นต้น
    เพราะถ้าไม่ยอมรับความจริง นั่นก็แสดงว่า เราไม่ยอมรับธรรมชาติ นั่นเอง
    เพราะฉะนั้น ผู้ที่สามารถเข้าถึงกระแสจิตตนย่อมเข้าใจ+เข้าถึงสภาวธรรม
    หรือธรรมะหรือธรรมดาหรือธรรมชาติ หรือรวมกันเรียกว่า กฎไตรลักษณ์
    ของพระพุทธเจ้าของพวกเรานี่เอง เพราะนักปฎิบัติไม่ว่าจะพิจารณาธรรมอันใดก็ตาม
    สุดท้ายแล้วจะต้องตัดลงที่ไตรลักษณ์แทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะธรรมตัวสุดท้ายของไตรลักษณ์
    นั่นก็คือ อนัตตา เพราะต่างล้วนก็ไม่มีสิ่งใดๆพ้นความเป็นอนัตตาไปได้
    การปฎิบัติเผื่อจะเห็นความเป็นอนัตตาของตน จึงเป็นสิ่งมิใช่ง่ายๆ แต่ดูเหมือนง่าย
    แต่นักปฎิบัติจะต้องแยกแยะว่า สิ่งไหนเป็นเรื่องทางโลก(มายา) สิ่งไหนเป็นเรื่องทางธรรม(ความจริง)
    สิ่งไหนเป็นเรื่องของกายหยาบ(ร่างกาย) สิ่งไหนเป็นเรื่องของกายละเอียด(จิต)
    เช่น เวลาเราอ่าน/ฟังธรรมะ เมื่ออ่าน/ฟังแล้วก็ให้จิตน้อมรับ/ยอมรับ แต่ต้องทำจิตให้นิ่งก่อน
    โดยเฉพาะนักปฎิบัติที่มุ่งเน้นเอาแต่ปริยัติ แต่ไม่เน้นปฎิบัติ อย่าลืมนะ ในขณะที่เราอ่านตำรา
    หรือท่องตำรานั้นมันเป็นเพียงแต่สัญญาเท่านั้น แต่มิได้ให้เราพ้นทุกข์ได้เลย อ่านแค่รู้เท่านั้น
    แต่ชีวิตจริงนั้น เรากลับทำใจยอมรับความจริงไม่ได้เลย หรือออกจากทุกข์ของตนเองไม่ได้เลย
    อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เพราะการเล่าเรียนปริยัตินั้น เป็นแค่แนวทางให้พวกเธอเดินไปข้างหน้าเท่านั้น
    แต่ความเป็นของผ้ที่อยากจะออกจากทุกข์ของตนได้นั้น ซึ่งมีอยู่วิธีเดียว นั่นก็คือ ธรรมปฎิบัติ
    ธรรมปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นนั้น จำเป็นจะต้องนำจิตมาเดินมรรคให้ถูกต้องเท่านั้น
    แต่ถ้าพวกที่เอาแต่อ่านๆจากตำรา ท่องให้ตาย ท่องเอาเซอร์ได้อยู่ แต่มันไม่ได้ทำให้เราพ้นทุกข์
    แต่มิได้ปฎิเสธไม่เอาปริยัติ เอาเหมือนกัน แต่ต้องปฎิบัติให้เกิดผล นั่นก็คือปฎิเวธเสียก่อน
    แล้วให้เรานำปฎิเสธหรือว่าผลที่ได้จากการปฎิบัติของตนมาเทียบกับปริยัติมันถึงจะถูก
    ข้อดีก็คือ เพื่อป้องการหลงปฎิบัติ ทั้งปริยัติ ปฎิบัติ ปฎิเวธนั้น จึงมีความสำคัญเท่าเทียมกันหมด
    สรุปแล้ว ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้เลย

    แต่อย่าเอาปริยัติ คืออ่านแล้ว คิดนึกเอาเองแล้ว เข้าใจ+สรุปตามชอบใจแล้ว คิดว่าตนทำได้แน่ๆ
    แล้วนำไปเทียบอารมณ์กับผลการปฎิบัติเอง ทั้งๆที่ยังไม่เริ่มปฎิบัติกันเลย อันนี้ผิดแน่ หลงแน่ๆ
    ไม่เชื่อลองดู ยกเว้นสัพพัญญู เอาง่ายๆ พิสูจน์กันง่ายก็คือ มีคนมาด่าเรายังมีความไม่พอใจอยู่ไหม
    มีคนมาชมเรายังมีความพอใจอยู่ไหม(แต่ถ้ามีถือว่าสอบไม่ผ่าน) แต่ที่แน่ๆ คือปล่อยวางไม่หมด
    แต่นักปฎิบัติธรรมแล้ว ถ้ายังไม่เป็นอรหันต์ก็ปล่อยวางไม่หมดเหมือนกัน นี่ขนาดลงมือปฎิบัตินะ
    ก็ยังละกิเลสไม่หมดซะทีเดียว ขึ้นอยู่กับสติปัญญา/ปัญญาญาณ หรือจิตของผู้นั้น
    คนสมัยก่อน โดยเฉพาะผู้ที่ฟังพุทธวจนหรือฟังธรรมะจากพระโอษฐ์โดยตรงจากพระพุทธองค์
    แล้วมีคนได้พระโสดาบันหรืออรหันต์ก็มี ก็เพราะว่าผู้พูดคือใคร พระพุทธเจ้า? ท่านมีบุญบารมีมาก
    ประกอบกับผู้ที่รับฟังจิตก็พร้อมด้วย คนสมัยก่อนหรือคนบ้านนอกยังไม่มีความเจริญทางวิทยาศาตร์
    และเทโนโลยีมาก กิเลสคนต่างก็มีน้อย การศึกษาก็น้อย จึงเป็นเหตุมีโอกาสบรรลุธรรมสูง
    แต่กลับมาดูผู้คนสมัยใหม่นี้ ที่ทุกคนเข้าใจว่าตนเองฉลาด มีความรู้มากหรือกศ.สูงแล้ว
    แต่หารู้ไม่ ความรู้ท่วมหัว แต่ทำไมยังเป็นทุกข์อยู่ มีความโลภโกรธหลงมากยังไม่รู้ตัวกันเลย
    นี่แหล่ะ คนสมัยใหม่เข้าใจกันผิดหมดเลย คือเดินสวนกับพระพุทธเจ้าย่อมหาความสงบสุขมิได้
    เห็นมีเพียงผู้ที่เดินตาม/ปฎิบัติพระพุทธองค์ หรือเดินทางกับมนุษย์ทั่วๆไปนั้นย่อมพบแต่ความสุข
    ความเจริญ ไม่ได้เดือดร้อนหรือร้อนรนกายใจแต่อย่างใด เพราะปฎิเสธกิเลสตนและผู้อื่น
    ถามว่าผู้ที่เดินตามกระแสกิเลสแห่งตน ไม่ผิดธรรมชาติ เพราะจิตปุถุชนย่อมไหลไปตามกิเลส
    ไหนไปตามกระแสโลก เป็นธรรมดาของโลกไม่เที่ยงนี้ ย่อมมีชีวิตตกอยู่ภายใต้อำนาจกิเลส
    เป็นธรรมดา กว่าจะรู้ว่าจิตเต็มไปด้วยอวิชชาจะต้องรู้จักความทุกข์ของตนเสียก่อนจึงจะเห็นธรรม
    ความจริงของชีวิตเรา ต้องโง่มาก่อนฉลาด แต่ทำไมพวกเราไปเสียเวลา ลองผิดลองถูกทำไม
    พระพุทธองค์ก็ทำเป็นตัวอย่างให้พวกเราดูกันไปหมดแล้ว หรือพระอรหันต์ก็ทำตัวอย่างให้ดู

    เพราะฉะนั้น คนสมัยใหม่สำเร็จ/บรรลุธรรมยากก็เพราะว่า กิจวัตรวันๆนึงก็ลองย้อนกลับไปดูกันเอง
    ว่าตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน เราไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งสมมุติร้อยละ80-90% อยู่กับความจริงน้อยมาก
    เราเข้าใจตนว่ามีความรู้ทางโลกมาก เอาตัวรอดได้ ใช่ๆถูกต้องๆ แต่จิตไม่รอด จงเข้าใจไว้ด้วย
    การปฎิบัติของคนรุ่นใหม่มักจะติดEgo หรือตัวรู้ทางโลก มีอำนาจมีตำแหน่งใหญ่โต
    หารู้ไม่อัตตาตัวเบ่อเริ่มเทิ่ม!

    และนี่ไง โดยเฉพาะผู้ที่มีความรู้ทางโลกมาก มักปฎิบัติธรรมไม่ค่อยก้าวหน้านัก เพราะวางไม่เป็น
    มีกศ.สูง มีตำแหน่งใหญ่โต มีหัวโขนทางโลกเยอะๆน่ะดีแล้ว แต่มีแล้วก็ต้องวางให้เป็น
    แต่ถ้าใครวางไม่เป็น การปฎิบัติธรรมก็จะไม่ค่อยเจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร เพราะติดกิเลสหนา
    การปฎิบัติธรรมก็เพื่อหลุดพ้น/ละปล่อยวางทั้งรูปนามสมมุติ มิใช่หาเพิ่ม แต่ลดสมมุติ
    เพื่อตามหาความจริง คือตามหาจิตประภัสสร และสัจธรรมของชีวิต ว่า..คนเราเกิดมาทำไม?
    เพราะน้อยคนนักที่รู้จักที่มาที่ไปของจิตตนเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 พฤษภาคม 2013
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    มีคนมาเล่าให้ฟังว่าเวลาไปกราบหลวงตา เห็นมีคนถวายทองกันแต่ตน

    เองไม่มีปัญญาที่จะถวาย ก็น้อยอกน้อยใจ เราก็บอกเขาว่า ไม่ต้องไปน้อยใจหรอก ทำไป

    ตามฐานะของเรา ถ้ามีก็ทำไป ถ้าไม่มีก็ไม่ควรทำบุญที่สูงกว่าดีกว่าเช่นรักษาศีล...

    ...เขาบอกว่ารักษาศีลไม่ได้ เพราะพยายามหาเงินมาทำบุญ แสดงว่ายังติดอยู่กับการให้

    ทาน ก็เลยไม่สามรถก้าวขึ้นสู่ธรรมที่สูงกว่าการให้ทานได้ ให้ตามฐานะของเรา มีมากน้อย

    เพียงไรก็ให้ไป เพราะเราทำเพื่อไม่ต้องกลับมาอีก ไม่ต้องกลัวว่าจะกลับมาไม่รวย ถ้า

    กลับมารวยกลับไม่ดี รวยแล้วปล่อยยาก ปลงยาก ออกปฏิบัติยาก จะติดไปอีกนาน ถ้า

    เกิดมาแล้วจนก็จะดีกว่า ครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ยากจนทั้งนั้น เป็นลูกชาวนาชาวไร่ ไม่มี

    เงินมีทองเหมือนพวกเรา...จึงออกบวชกันได้ง่าย ปฏิบัติกันได้ง่าย พวกเราเกิดบนกองเงิน

    กองทองกันสุขสบายกัน พอจะไปอยู่วัดถือศีล ๘ ก็ทำไม่ได้ ไม่มีแอร์ ไม่มีอาหารเย็นรับ

    ประทาน ไม่มีฟูกนอน ก็เลยติดอยู่กับการทำทาน รักษาศีลได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้ารักษาได้

    น้อยก็กลับมาไม่บ่อย ถ้าเกิดแล้วก็จะสบาย อย่างน้อยพอมีพอกิน ถ้าไม่เหลือกินเหลือใช้

    เพราะชอบให้ทานกัน แต่ก็จะวนเวียนอยู่อย่างนี้จะไปไม่ถึงไหน กี่ภพ กี่ชาติ เจอพระพุทธ

    เจ้ากี่พระองค์ ก็ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เจอครูบาอาจารย์กี่องค์ก็ทำบุญกับท่านไป ทำบุญกับ

    พระพุทธเจ้าไป ไม่ขยับขึ้นไปสู่การรักษาศีล สู่การภาวนา ไม่ดูท่านเป็นตัวอย่าง ท่าน

    ภาวนากัน มีศีลกันเรากลับไม่คิดอย่างนั้น คิดเพียงว่าอยากทำบุญทำทานกับท่าน...

    เพระาได้บุญเย้อะ...คิดเท่านั้นเอง....คัดจากหนังสือกำลังใจ ๓๐โดย...

    ...พระจุลนายก (สุชาติ อภิชาโต) กราบขอบพระคุณค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2013
  17. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    - ถาม -ปีติที่เป็นวิปัสสนูต่างกับปีติธรรมอย่างไร?

    - ตอบ - คำว่าวิปัสสนูหมายถึงความหลง คิดว่าตัวเองบรรลุ ก็อาจจะเกิดปีติแบบ

    หลอกๆได้ แต่ไม่ใช่ความจริง เป็นเพียงจินตนาการยังไม่ได้พบของจริง ยังไม่ได้พิสูจน

    กับของจริง ถ้าไปพิสูจนี่ก็อาจจะเจอความทุกข์ขึ้นมาได้ เมื่อเกิดความทุกขึ้นก็จะรู้ว่ายังไม่

    บรรลุ อย่างอรหันต์นกหวีดไง คิดว่าบรรลุแล้วก็เกิดปีติขึ้นมาก็เลยเป่านกหวีดบอกเพื่อนให้

    รู้...พอเกิดทุกข์ขึ้นมา ก็เลยรู้ว่ายังไม่บรรลุ......กราบขอบพระคุณท่านพระอาจารย์เจ้าค่ะ.

    ...โดยพระจุรนายก (สุชาติ อภิชาโต) คัดจากหนังสือกำลังใจ ๓๐.





     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2013
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโทษครับ เดือดร้อนไปถึงนางฟ้าชาลีเลยหรอนี่ 555+
    ใครจะกล้าว่านางฟ้าได้ แหม๊ๆๆท่าทางถล่มตนน่าดูเลยนะเนี๊ย
    ขอโมทนาสดวงจิตด้วยนะครับ เราไม่ต้องแข่งกับใคร ขอให้แข่งกับตนเอง
    โดยให้เทียบก่อนและหลังการปฎิบัติธรรมของเราเอง ว่าผลมันเป็นเช่นไร
    เราละกิเลส เราละทุกข์ เราละสุขของตนมากน้อยเีพียงใด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤษภาคม 2013
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    555+ นี่ยังไม่รู้จริง
    นี่คุณมายอผมกลางกระทู้เลยนะครับเนี๊ย
    คุณไม่ผิด แต่ผมสิต้องไม่เผลอหรือไม่ไหลตามแน่ ไม่งั้นที่ทำมาทั้งหมดก็สูญเปล่า
    ปฎิบัติธรรมก็เพื่อละความพอใจหรือไม่พอใจกันนี่แหล่ะ
    ผมขอเรียกว่า "ธรรม2มาตราฐาน" นี้ผมไม่ครบจ้า หย่ากันไปนานแร๊ะ
    คนเราเกิดมาก็มีกิเลสและย่อมหลงกันทุกคน
    แต่สำคัญอยู่ที่ว่า..ตอนนี้เรายังคบหรือละกิเลสตนเองได้เท่าไหร่แล้ว
    แต่ถ้ายังไม่ตายต้องก้มหน้าปฎิบัติกันต่อไป ถึงเมื่อไหร่ก็รู้ ตายก็รู้
    คนเราไม่เห็นจะมีอะไรเป็นสาระเลย มองดูให้ดีๆกันเห่อ
    แต่ก็น่าเห็นใจผู้ที่ยังหาทางออกจากทุกข์ตนเองไม่ได้

    วันหน้าด่าผมบ้างก็ได้นะ ผมจะได้ดูจิตตนด้วย ชมนี่มันผ่านง่าย
    แต่ด่านี่สิ ฮัมๆๆๆ ฮ่าๆ ผ่านหรือไม่ผ่าน เราเท่านั้นที่รู้แก่ใจตนเอง
     
  20. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พอดีมีคนถามปัญหาหลวงตา คือเขาปฏิบัติไปจนกระทั่งกระดูกหลุดค่ะ คือทำ

    ลายรูปแล้ว หลวงตาก็ตอบว่าทำลายรูปแล้ว จิตจะมีความว้าเหว่ ก่อนการพิจารณานาม

    ทำไมเป็นจิตว้าเหว่คะ หลวงตาตอบว่าท่านไม่ได้หมายความว่าว้าเหว่ แต่หมายถึงเวิ้ง

    ว้าง ว่างเปล่า ว่างจากกาย เมื่อปล่อยกายไปแล้ว กายก็ไม่เป็นปัญหาต่อไป จิตจะว่าง

    จากกาย พิจารณาไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะไม่ได้เป็นปัญหาแล้ว จิตไม่มีอารมณ์

    อะไรกับกาย เป็นเหมือนร่างกายของคนอื่น จะเจ็บจะปวดจะเป็นอะไรอย่างไร ก็ไม่กระทบ

    กับจิต ถ้ายังไม่ได้พิจารณาจนปล่อยวางร่างกายได้ ก็ยังมีความห่วง มีความกังวล มีความ

    ผูกพันกับมันอยู่ แต่ถ้าได้พิจารณาจนมันกลายเป็นดินไปแล้ว ก็ไม่รู้จะไปห่วงอะไรกับ

    ก้อนดินก้อนหนึ่ง ในที่สุดร่างกายก็ต้องเป็นอย่างนี้ ก็หมดปัญหาไป กายก็ว่างจากจิตไป.

    คัดจากหนังสือกำลังใจ ๓๐ โดยพระจุลนายก (สุชาติ อภิชาโต)
     

แชร์หน้านี้

Loading...