จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    กลาง
    คือความสมดุลย์ หรือบางคนชอบพูดคำว่า บาลานซ์
    ไม่หนักไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ไม่เขวไปทางซ้ายหรือทางขวา
    ไม่แอ่นหลังหรือคว่ำหน้า มันอยู่ตรงกลางๆ แม้แต่ความรู้สึกของคนเรา
    ถ้าหากวางกำลังใจให้เป็นกลางเข้าไว้ เราจะรู้สึกนิ่งๆ สบายๆ ธรรมดาๆ การวางกำลังใจนี้ต้องมีสติเข้ามาช่วยหล่อหลอมไปด้วยจึงจะทำให้ความเป็นกลางอยู่ได้อย่างหนักแน่น มั่นคง และถูกตรง
    ความเป็นกลางทำให้เกิดสุข สังเกตุจาก เมื่อมีเรื่องภัยพิบัติเข้ามา บางคนเชื่ออย่างปักใจเลยทำให้ทุกข์
    บางคนไม่เชื่อเลยไม่แคร์ ต้องการเอาชนะว่ามันไม่เกิดแน่
    พอไม่เกิดก็มีการปรามาสเกิดขึ้น นี่ก็ทุกข์อย่างหนึ่ง
    แต่หากเราอยู่กลางๆ เกิดก็เกิด ไม่เกิดก็ไม่เกิด
    เตรียมของเล็กๆน้อยๆไป แล้ววางใจให้สบายๆ มันก็ไม่ทุกข์
    ความเป็นกลางช่วยขจัดตัวอัตตาได้ดีทีเดียว
    เราไม่ได้ดีไปกว่าใคร เราก็เท่าเทียมกัน เราไม่ใช่เทพมาจากไหน
    เราก็ไม่ได้เลวไปกว่าใคร ทุกคนมีดีเลวเหมือนกัน ค่อยๆขจัดมันไป
    ความเป็นกลาง ทำให้เห็นในมุมกว้าง 360 องศา
    อีกทั้งยังมองเห็นอะไรๆที่เป็นกลางๆไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
    ไม่มีความกังขากับสิ่งใดๆ คำพูดของใคร หรือจิตผู้ใด
    เพราะได้มองเห็นและเข้าใจแบบกลางๆ แบบไม่ยึดติด
    ไม่มีอะไรค้างคาในจิตตน ไม่สับสน ไม่มองอะไรในแง่ร้ายหรือดี
    เพราะมันไม่มีอะไรที่ดีหรือร้ายไปซะทีเดียว
    ความเป็นกลาง ทำให้เราวางตัวได้อย่างสบายๆ ไม่สุดโต่ง
    หรือภาษาชาวบ้านก็คือ ไม่เวอร์ โดยเฉพาะเราผู้เดินตามรอยพระบาท
    ขององค์ศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ควรสำคัญตนว่า
    เป็นผู้เก่งแล้วดีแล้ว เป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้ จริงๆแล้ว
    เรามันก็เป็นมนุษย์ดีๆนี่เอง เป็นมนุษย์ที่ธรรมดา
    ไม่ใช่มนุษย์ไม่ธรรมดา เราเดินตามทางแห่งพระศาสดาได้ปูไว้ให้
    ต่างเพียงนิดกับท่านอื่นคือเขาเดินนอกทางแค่นั้นเอง
    แม้แต่ในหลวงของเรายังได้ตระหนักเห็นถึงความเป็น กลาง
    ได้อย่างน่าทึ่ง ดูตัวอย่างจาก นโยบาย พอเพียง ของพระองค์
    ทีนี้เราก็จะเห็นถึงอะไรที่เป็นกลางแล้วมันดีทั้งนั้น แถมสบาย ไม่เครียด ไม่เดือดร้อน สุข จึงเกิดได้อย่างง่ายดาย
    ดังที่ข้าพเจ้าได้เขียนไปว่า
    อยู่...ให้ไม่ไร้ค่า
    อย่าง...มีสติ
    พอ...ดิบพอดี
    เพียง...เพื่อคำว่า สุข
    ฉะนั้น เราเอาคำว่า กลาง มาวางไว้ในจิตให้บ่อยๆ
    แล้วรอยยิ้มจะเกิดขึ้นในจิตนะท่านเอ๋ย
    โมทนาสาธุ​
     
  2. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การทําอะไรๆบ่อยๆจนกลายเป็นนิสัย หรือ ความเคยชินต่อสิ่งนั้น ก็จะทําให้จิตติดแนบอยู่ในความทรงจํานั้น คือ จิตโดนฝึกมาแบบไหน ก็จะได้แบบนั้น ยกตัวอย่างผู้เขียนได้มีโอกาสได้ไปเยี่ยมไข้ ย่า ที่โรงพยาบาลแล้วก็ได้เจอยายคนหนึ่งแกนอนอยู่ข้างเตียงของย่า แต่ผู้เขียนได้สังเกตุดูอาการแล้วมันแปลกๆมาก เพราะแกไม่รู้จักอะไรแล้วคือ จิตแก ทํางานมามาก แกเอามือแก ทําท่าจับอะไรสักอย่าง แล้วอีกมือหนึ่งก็ดึง อยู่อย่างนั้นโดยไม่หยุดคือแกทําโดยอัตโนมัติเลย ผู้เขียนเห็นดังนั้นจึงถามคนที่เฝ้าไข้ ว่ายายทําไหม?ยายแกทําอย่างนี้จ๊ะ...ญาติคนเฝ้าไข้บอกกับผู้เขียนแก"สาวไหม"นะคํานี้บางท่านอาจจะไม่เข้าใจคือเป็นคําพูดของคนอีสาน คือ แกชอบ"เลี้ยงหมอน" คือตัวไหม แล้วแก ก็มีหน้าที่ทําไหมนั้นเอง แกคงทําเป็นอาชีพแล้ว พอผู้เขียนได้ฟังดังนั้น เกิดความสงสารแกมาก เลยเดินเข้าไปใกล้ๆแก แล้วบอกแกว่า"ยายพุทธโธ พุทธโธ"แต่แกก็ไม่รู้เรื่องไม่ฟังเอาแต่ทําอย่างนั้นรํ่าไป และเหตุการณ์ในครั้งนั้นผู้เขียนไม่เคยลืมเลย จึงขอนํามาเล่าสู้กันฟังค่ะ เพราะจิตเป็นของฝึกได้ว่าแต่เราจะฝึกเขาไปแบบไหน? ก็ตามเราจะเป็นคนทําเองเหมือนกับเราขี่ม้าก็จะบังคับม้าไปตามทางที่เราต้องการ... ขอให้ยายคนนั้นจงไปสู่สุคติและไปตามแต่คุณยายชอบเทอญ.
     
  3. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    เหตุให้เกิดญาณสัมปยุตธรรม (ปัญญา) ๗ ประการ คือ

    ๑ ชอบสอบสวนทวนถามปัญหาต่างๆ เสมอ

    ๒ ชอบสะอาดทั้งกายและใจตลอดจนวัตถุเครื่องใช้สอยต่างๆ

    ๓ หมั่นรักษ์อินทรีย์ ๕ มีสัทธินทรีย์เป็นต้น

    ๔ ชอบหลีกเลี่ยงให้พ้นจากบุคคล ไม่มีปัญหา

    ๕ ชอบสมาคมกับบัณฑิตผู้มีปัญญา

    ๖ ชอบพิจารณาธรรมที่ลึกซึ้งเสมอ

    ๗ ชอบในการน้อมจิตแสวงธรรมสอันทำให้เกิดปัญญา.
     
  4. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    คติธรรมจาก หลวงปู่ จันทร์ กุสโล(หรือพระธรรมดิลก) วัดธรรมเดจีย์หลวง เชียงใหม่.
    *ความร้อนอบอ้าวจะมาก่อนฝน ความลําบากยากจนจะมาก่อนความสุข*
    *โลกนี้แจ่มใสสําหรับคนใจกว้าง โลกนี้เวิ้งว้างสําหรับคนใจดํา*
    *วาจาอ่อนหวานลูกหลานใกล้ชิด วาจาเป็นพิษญาติมิตรห่างไกล*
    *อดีตจะหมดจดอนาคตจะสดใส ต้องแก้ไขที่ปัจจุบัน*
    *ถ้าถือคนบ้า ถ้าท้าคนเมา ถ้าเข้าคนผิด จะเป็นพิษแก่ตน*
     
  5. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    ฮ่า.........เราคิดว่าหนังมหา(กาบ) เรื่องนี้จบบริบูรณ์ไปแล้ว
    ป๊อบคอลลล + โค๊กZERO ก็หมดแล้ว
    เราถือโอกาสนี้ ขอขมากรรมท่านด้วยค่ะ เพราะอ่านแล้ว “ปวดใจแท้” งง
    ก-ฮ (ธรรมน้อยปะทะธรรมใหญ่ไม่ได้ หรือ ไม่ควรแม้แต่จะคิดเอามาปะทะกัน)


    เราเป็นคนไม่มีสังกัด .... บางครั้งก็อยู่ในคอก บางครั้งก็อยู่นอกคอก หรือบางทีก็เข้าวัง.....!!ไปตามวาระที่ยังห่อหุ้มด้วยกายอุลตร้า.....!!!อยู่ เพียงแต่ จิตเรา มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเหมือนดั่งน้ำบริสุทธิที่โฉลมใจอยู่ตลอด..way
    เรามาเพื่ออยากรู้คำว่าแพ้ ว่าชนะ รู้...ปล่อยว่าง....??และเห็นว่าท่านน่าจะเป็นผู้ที่ขยายเหตุแห่งธรรมนี้ได้ดี และก็โมทนาสาธุกับทุกธรรมที่ท่านได้กล่าวมา๑๑๑

    หากทุกสิ่งเป็น.... คือสิ่งสมมุติหมด งั้นลองสมมุติว่า ท่านกับเรามาเป็นพี่น้องกัน
    ท่านเป็นพี่ เราเป็นน้อง(ที่ไม่ค่อยได้ดั่งใจเล้ย คิด ทำ พูด ไม่ได้ดั่งใจซักอย่าง สรุป ขัดแย้ง)
    แข่งกันวิ่งกลับบ้าน (เวลานั้นจะค้ำแล้ว ถ้าถึงบ้านค้ำก็จะไม่ได้เข้าบ้านหละ) ใครถึงบ้านก่อนได้ที่หนึ่ง start.....ปิ้ววววว....น้องสะดุดล้มหัวขมำ จมกองขี้...วัว (บรรยากาศ ตจว.)
    พี่หันมาเหลือบมอง ด้วยใจลึกๆข้างในมันมีอะไรบางอย่าง? (จะเหยียบซ้ำเลยดีไหม...?)
    (หรือจะปล่อย(วาง)....เพราะเห็นว่าเนื้อตัวก็เลาะอยู่แล้ว (พอใจพี่แล้ว)
    น้องรู้ตัวว่าไม่ได้ที่หนึ่งแถมยังต้องตัวเลาะอีก แต่ก็ขอให้ได้กลับถึงบ้านก่อนค้ำและก็ไม่อยากให้พี่เหยียบซ้ำอีก(เด่วเสียเวลาเพราะคิดว่าแพ้หรือชนะก็ถึงบ้านเหมือนกัน ส่วนที่หนึ่งนั้นได้มาแล้วก็แค่ภูมิใจ(no center) คนแพ้ก็แค่เสียใจ(no center) เพราะฉะนั้นหากทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติ มันก็คือ เศษขยะที่สักวันเราต้องทิ้งมันหรือมันต้องทิ้งเรา.....ก็เท่านั้น
    หากแม้นว่ามีเวลากลับบ้าน(หลังเดียวกันแค่ก่อนค้ำ) จะเสียเวลาดูสิ่งสมมุติกันอยู่ไย...
    จะเดินหรือวิ่งก็ต้องใส่ด้วยความเมตตา+ให้อภัย+ปล่อยวาง= (ว่างอย่างแท้จริง) ที่หนึ่งที่สองถึงบ้านเหมือนกัน....แม้นบ่อ

    ****วันนี้สิ่งที่คิดอาจจะดีสำหรับวันนี้ พรุ่งนี้สิ่งที่คิดวันนี้อาจจะไม่ดีสำหรับวันที่ไม่ใช่วันนี้****​

    (ว่าแล้วววคุยกับเราเวียนหัวเปล่าๆ สาธุ สาธุ สาธุ)
     
  6. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154

    จะยึกยัก หรือยึดเยื้อ ก็ไม่สำคัญเท่ากับการปล่อยหรอกครับ

    ดังนั้น หากโรงเรียนนี้ เป็น "โรงเรียนของหนู มณีตรี คำภีร์"

    ควรจะต้อง ชั่งหัวมัน แต่ไม่จำเป็นที่จะต้อง นั่งนึก และ นอนนึก

    หากเพราะ สั่นไหว จะอุทานเป็นเกาเหลา ม่วนจังกุ

    ซ้ำยังเสีย พลังจิต เปล่าๆ เพราะการอยากรู้ คำแปล

    โอ้..ตำเรือ(อตร.) ^^

    สติ คือ การระลึก
    สัมปชัญญะ คือ การรู้ชัด

    แล้วจะ สบายห่วงหด
     
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    คิดสิ่งใดคิดให้เป็นธรรมะ


    มีแม่ชีคนหนึ่งแกไม่ค่อยดีเท่าใด คือ แกเป็นโรคประสาทนิดๆ หน่อย ๆ

    แกไปหาท่านเจ้าคุณพุทธทาส แล้วแกก็บอกท่านว่า ดิฉันนี้มันไม่ค่อยดี ดิฉัน

    เป็นโรคประสาท ท่านเจ้าคุณก็บอกเขาว่า เออ...ก็ดีแล้วที่รู้ตัวว่าเป็นโรคประสาท แม่ชี

    ถามท่านว่าจะรักษาอย่างไร ท่านเจ้าคุณบอกว่า กวาดขยะซิ ตื่นเช้ามาทำเรื่อยๆไป.

    แม่ชีนั้นก็ทำตาม กวาดเช้า กวาดเที่ยง กวาดเย็น ไม่ได้นอนหลับพักผ่อน กวาดแต่ขยะเท่า

    นั้น ไม่ไปยุ่งกับใคร ท่านเจ้าคุณเอางานกวาดวัดให้ทำอย่างเดียว...ท่านบอกว่ากวาดขยะที่

    หินโค้ง...กวาดตามใต้ต้นไม้ ใบไม้แห้งมีอยู่ตรงไหนก็กวาดตรงนั้น แม่ชีก็ทำตามด้วยความ

    ตั้งใจกวาดแต่ขยะทั้งวัน เมื่อกวาดนานๆเข้าจิตใจดีขึ้นโรคประสาทที่เป็นมันก็หายไปอาศัย

    การกวาดขยะนี่แหละ แล้วการกวาดขยะนี้นี่ก็ได้ออกกำลังกายไปด้วย กวาดมากออกกำลัง

    กายมากกลางคืนก็เพลียนอนหลับสนิท ไม่ต้องท่านยาระงับประสาท ต่อมาแม่ชีก็หายจาก

    โรคประสาทเป็นปกติเหมือนคนธรรมดา แม่ชีก็เกิดปัญญา ได้ใช้ยารักษาโรคประสาทของ

    ท่านพุทธทาสนี้กวาดวัดตามปกติที่เคยทำ แต่ตอนนี้แม่ชีได้ทำสติไปด้วยกวาดไปด้วยเป็น

    การปฏิบัติไปเลย ลานวัดก็สะอาด จิตใจของแม่ชีก็มีแต่ความสุขและขอทำหน้าที่กวาดวัด

    ทุกๆวัน. สมัยที่ผู้เขียนยังเด็กอยู่จะเห็นแม่กวาดข่วงบ้านทุกเช้ามืดตอนนั้นก็คิดอยู่ในใจว่า

    แม่ทำไมต้องตื่นแต่เช้ามากวาดข่วงบ้านก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่คั้นเมื่อตัวเองเริ่มรู้ผลของ

    การปฏิบัติบ้างแล้วจึงร้องอ๋ออย่างนี้เอง แล้วก็นำมาปฏิบัติตามเหมือนที่แม่เคยทำมาแล้วก็บอกกับ

    น้องๆถึงเรื่องนี้ให้นำความรู้ที่แม่ทิ้งไว้ให้มาปฏิบัติตามรอยของแม่ และทุกวันนี้ผู้เขียนก็ได้

    นำมาใช้เป็นประจำไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ตรงไหนก็จะทำสติอยู่ตลอดเวลา และมองทุกสิ่งทุกอย่าง

    คิดทุกอย่างให้เป็นธรรมะ. สุดท้ายยารัษาโรคประสาทที่ท่านเจ้าคุณบอกกับแม่ชีนั้นได้ผล

    เป็นธรรมะรักษาโรค ยาขนานนี้ถ้าผู้อ่านทุกท่านจะนำไปปฏิบัติบ้างก็ไม่ห่วงนะจึงขอฝากไว้

    และขอกราบขอบพระคุณท่านเจ้าคุณพุทธทาสเจ้าค่ะที่ให้ธรรมะโอสถนี้ไว้.สาธุ สาธุ สาธุ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2013
  8. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    คติธรรมของหลวงปู่ จันทร์ กุสโล.
    *ดูตัวเราคอยเฝ้าดูความคิด ดูญาติมิตรให้พินิจความดี*
    *หลงอามิสมืดมิดมัวตา หลงปริญญาเพิ่มมานะทิฐิ*
    *ขับรถช้าๆเทวดาคุ้มครอง ขับรถคะนองผีจองเฝ้าป่าช้า*
    *หญิงชายจะไร้เพศ ถ้าปฏิเสธศีลธรรม*
    *โลกนี้ไม่มีปัญหา ถ้าศึกษาให้รู้ความจริง*
    *สิ่งที่ได้มาเปล่าคือความเฒ่าชรา สิ่งที่ต้องแสวงหาคือคุณค่าของชีวิต*
    *โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่ นอกจากความเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง*
     
  9. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    โมทนาสาธุ กับธรรมทานของครูดัชเป็นอย่างยิ่งค่ะ และจะน้อมนำไปเป็นแนวทางให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป สาธุๆ :cool:
     
  10. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    ‎( ธรรมะ วันนี้ สำหรับคนที่ทุกข์ )

    ทุกข์ เพราะยึด นั่นแหละทุกข์

    ทุกข์เพราะ หลงนั่นก้อทุกข์

    ทุกข์เพราะ รัก เป็นทุกข์อีก

    ทุกข์เพราะ โลภ ก้อเป็นทุกข์

    ทุกข์เพราะ โกรธ ก้อเป็นทุกข์

    แก้ทุกข์แก้ที่ใจ เพียงแค่ "วาง" ไม่ยึด ไม่มีอะให้ให้ยึด แม้แต่ตัวเราก้อไม่มี แล้วจะยึดอะไร ไม่มีรัก ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง ตอนเกิดมาก้อไม่มีอะไรมา แล้วจะยึดสิ่งที่มาเติมทีหลัง เพื่ออะไร ? ยึดเงินทอง หน้าที่ การงาน ลาภ ยศ ชื่อเสียง รูปร่างหน้าตา ทุกอย่างล้วนสมมติ จริงๆแล้วเรามีเพียง ดวงจิต ที่ผ่านมาไม่รู้กี่ภพชาติ ก้อยังมาวนเวียนใช้กรรมอยู่นี่ เพราะยึดตัวกูของกู ปลดทุกข์ง่ายๆ แค่ "วาง"
    มันก้อว่าง เมื่อว่าง ก้อไม่มีอะไรให้ทุกข์ นี่แหละคือแก่นแท้ ของความสุขชั่วนิรันดร์

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป

    ผึ้ง จบ.124
     
  11. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    อดีตเป็นธรรมเมา อนาคตเป็นธรรมเมา จิตตั้งอยู่ในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบันละในปัจจุบัน

    ตัดตัณหา ตัดกิเลส ตัดมานะทิฐิ ตัดความยึดมั่นถือมั่นของตนให้เสร็จลงก็สงบได้อดีตมัน

    ล่วงไปแล้วไม่ต้องคำนึงถึง ถือเอาบุญเอาบาปในปัจจุบัน เราทำบุญทำบาป บุญบาปอันนี้

    แหละพาหมุนไปในปัจจุบัน อดีตผ่านไปแล้วเป็นมาแล้วอย่าไปคำนึงถึงเอามาเป็นอารมณ์

    อดีตอนาคตตัดออกให้หมด อตุตาหิ อตุตาโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งของตนให้ตั้งอยู่ใน

    ไตรสรณคมณ์ตลอดชีวิตเอาพุทโธ เป็นมรรคเป็นอารมณ์ของใจ มี พุทโธ ธัมโม สังโฆเป็น

    อารมณ์ของใจ อย่าให้เป็นธรรมเมา เมาคิด เมาอ่าน เมาอดีต เมาอนาคต ใช้การไม่ได้

    ตัดอดีต อนาคตลงให้หมดจิตดิ่งในปัจจุบันรู้ในปัจจุบัน วางในปัจจุบันแจ้งอยู่ในปัจจุบัน

    ละในปัจจุบัน วางในปัจจุบันแจ้งอยู่ในปัจจุบัน ตั้งความสัตย์ลงไปว่า เวลานี้เราจะทำจิตใจให้

    สงบ อย่าไปคิด อดีต อนาคต ผ่านไปแล้ว เอาปัจจุบันนี้แหละเป็นที่ตั้ง.


    ธรรมะของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ. กราบหลวงปู่แหวนด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2013
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    หน้าที่ของเหล่า "จิตบุญ"
    คืออะไร???


    ทำบุญทำกุศลตามแต่โอกาสอำนวย แต่เน้นทำบุญภายใน(จิตทรงฌาน)
    สวดมนต์ไหว้พระ(เน้นจิตสงบ) ฟังเทศน์ฟังธรรม(เจริญปัญญา)

    หน้าที่หลัก ก็คือ ช่วยเหลือตนเองให้ได้ก่อนหรืออกจากทุกข์ของตนก่อน
    เมื่อตนเองรอดหรือพ้นทุกข์แล้ว ถึงจะไปสงเคราะห์หรือช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป
    โดยเฉพาะเจริญมหาเมตตา หรือรักแบบไม่ยึดติด ช่วยเหลือหรือสงเคราะห์กัน
    ไม่ช่วยเหลือเฉพาะในหมู่ญาติของตนเท่านั้น ให้ความสำคัญเท่ากันทั้งหมด
    โดยเฉพาะทรงฌานเป็นนิจ จูงมือกันกลับบ้าน ใครจะด่า ก็ช่างหัวมัน
    เพราะทำดีโดนด่า ดีกว่าโดนด่าแล้วไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่มีประโยชน์
    โดนด่ามันไม่เจ็บหรอก ถ้าหากเราไม่มีอัตตาหรือมานะ
    แต่ตาย-เกิดหรือเกิด-ตาย นับชาติไม่ถ้วนกันนี่สิ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ
    ทุกข์ข้ามภพชาติทีเดียว

    หน้าที่ของจิตบุญ ก้มหน้าก้มตา ช่วยกันขนดวงจิตขึ้นข้างบนให้มากที่สุด(เท่านั้น)
    หรือเท่าที่จะทำได้ ตามที่อายุขัยของตน
    ไม่ใช่ไปต่อร้อง ต่อเถียง หรือขัดแย้งกับใครเขา ไม่ใช่ไปด่า ไปว่าใครเขา
    คนดี-คนชั่วนั้น ไม่มีอยู่จริง มีแต่บัญญัติหรือสมมุติตั้งกันขึ้นมาเองทั้งนั้น
    พวกที่เห็นแต่ความเลวของคนอื่น แต่ไม่เห็นความเลวของตนเอง จงพึงสังวร
    เห็นมีแต่คนที่หลงมาเกิดแล้ว บางท่านทำดี บางท่านทำไม่ดี ก็ว่ากันไป
    ส่วนที่จะมาลงโทษเขาเหล่านั้น ก็คือ กฎแห่งกรรม ไม่ใช่หน้าของเราๆท่านๆ
    ไม่ว่าพี่ภูหรือใครจะดีหรือเลว อย่าหลงไปวิภาควิจารณ์ อย่าหลงไปด่าหรือชมกัน
    อย่าหลงไปดูคนอื่นดีหรือเลวให้เสียเวลา
    ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกฎแห่งกรรม ไม่ใช่หน้าที่ของพี่ภูหรือใครเขา

    เพราะธรรมชาตินี้ ต่างมีที่มา ที่ไปแทบทั้งสิ้น
    เช่น ทำไมเรียกว่าดิน ทำไมเรียกว่าหิน ทำไมเรียกว่าแร่ เพชร พลอย ทองคำ
    ทำไมเรียกว่าสัตว์ ทำไมเรียกว่าคนเราหรือใครเขา เป็นต้น

    จิตบุญ พยายามทรงฌานให้เป็นปกติเข้าไว้ เพราะมันเป็นฝ่ายบุญ ฝ่ายกุศล
    กิเลสเกิดน้อยกว่าตกฌาน
    หรือคอยหมั่นเจริญสติภาวนาเป็นนิจ เพราะบุญภาวนาถือว่าเป็นบุญใหญ่ คือบุญภายใน(จิต)

    เอาเท่านี้ก่อน พร่ำมากเดี๋ยวคนเบื่อ
    อย่าไปคิดว่าพี่ภูมาสอนสั่งผู้ใดหรือใครเขานะ มิบังอาจเพราะตนเองยังมีขันธ์ ยังสกปรกอยู่
    เพราะฉะนั้น ขอให้ขยันดูแต่จิตตนเอง แต่ฝ่ายเดียว

    กระทู้จะไม่ยุ่งหรือโลกจะไม่ยุ่ง เพราะถ้าหากพวกเรา ต่างคนต่างกลับบ้าน คือดูจิตของตนเอง
    ยกเว้นแต่ ครูจิตบุญที่ยังคงตามติด ตามดู+รู้จิตและตามแก้ไขลูกศิษย์ของตนเองอยู่
    อันนี้ถือว่าเป็นหน้าที่ของครูจิตเกาะพระ แต่ถ้าไม่ใช่ ขอให้ดูแลจิตใครจิตมัน
    อย่าไปล่วงเกินจิตของผู้อื่น มันจะยุ่งและวุ่นวาย

    คนไม่ทุกข์ เพราะว่าจิตมีธรรมะ เมื่อจิตเข้าใจ+เข้าถึงธรรมะ ทุกข์มีอยู่จริง แต่มิอาจทำอะไรจิตใจเราได้

    ขอให้ทุกท่านจงมีแต่ความสุขกาย สบายใจและเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ

    สตินะ..สติ จิตบุญ(จิต)รอดไปแล้ว ยังเหลือแต่สตินี่แหล่ะ ที่ยังไม่ค่อยจะรอดกัน เพราะชอบตกฌาน
    เตือนกันหลายรอบแล้วนะ โดยเฉพาะจิตที่ชอบวิ่งตามจิตคนอื่น ระวังๆหน่อย
    อย่าให้ต้องลงชื่อในกระทู้นะ..


    สวัสดีและราตรีสวัสดิ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มกราคม 2013
  13. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]



    คำสอน สมเด็จองค์ปฐม

    คนผิดคนถูกไม่มี มีแต่มาตามกรรม แล้วก็ไปตามกรรมเท่านั้น คิดให้ได้-คิดให้ตก เป็นตามความเป็นจริง จิตก็จักสบายไม่เดือดร้อนไปด้วยกรณีใดๆ ทั้งปวง ดังนั้น อาการไม่ดิ้นรน ไม่เดือดร้อนไปกับกรณีใดๆ ทั้งปวง จัดว่าเป็นของดีให้รักษากำลังใจจุดนี้เอาไว้ว่า จิตเราจักไม่เดือดร้อนกับเรื่องของใครทั้งหมด จักเป็นหรือจักตาย ก็ไม่เดือดร้อนปล่อยวางภาระที่จักต้องไปรับผิดชอบกับเรื่องคนอื่นเขาเสีย ให้เห็นเป็นปกติธรรมของโลก มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง จิตที่มีความร้อนระงับได้แล้ว เป็นจิตที่เข้าถึงพระนิพพานได้โดยง่าย

    ธรรมที่นำไปสูความหลุดพ้น เล่ม ๑๕
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ. ธรรมะของหลวงปู่ขาว อนาลโย

    อย่าลืมตน ให้สำนึกตน ให้ดูตน อย่าไปดูผู้อื่น อย่าเพ่งโทษผู้อื่น ใครทำไม่ดีก็เป็น

    โทษของเขา โทษของผู้อื่น ใครทำไม่ดีก็เป็นโทษของเขา โทษของผู้อื่น จะได้รับความ

    ทุกข์ก็แม่นตน ได้รับความสุขก็แม่นตน เขาทำดี เขาก็ได้รับความสุขของเขาเอง ให้ดูตน

    ดูทุกอริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ให้ฝึกตน ให้มีสติกับตน ให้เร่งทำเมื่อร่างกายให้

    โอกาส เมื่อร่างกายยังดีอยู่ ยังแข็งแรงอยู่ ทำความเพียรก็ได้อยู่ ครั้นแก่มากเหมือนปู่นี่

    ก็บ่ทันแล้ว เครื่องมันเก่าแล้วจะทิ้งคือมันไปกับเจ้าของแล้วซื่อ ๆ ก็ทำท่าจะล้มแล้ว

    บ่ไหวแล้ว.กราบหลวงปู่ขาวด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2013
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,537
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    อาชีพครูแสนเลิศประเสริฐสุด
    เป็นประดุจเข็มทิศมีแสงส่อง
    แนะชี้ทางชีวิตและประคอง
    นักเรียนท่องสู่โลกไปในธรรมธาร
    สู่จุดหมายแหล่งสุดท้ายแห่งวัฎฎะ
    สอนให้ละโลภโกรธหลงปลงสังขาร
    ถึงดินแดนแสนไกลแห่งนิพพาน
    ขอกราบกรานสํานึกคุณของคุณครู
    catt1
    กราบแทบเท้าท่านอาจารย์ภูและคุณครูเพ็ญเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2013
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,537
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    โพธิธรรมทีปนี.....(พระอริยสัจ ๔ .........>พระจตุราริยสัจธรรม)

    โพธิธรรมทีปนี
    ว่าด้วยธรรมวิเศษ หรือพระจตุราริยสัจธรรม หรืออริยสัจ ๔ เชื่อมโยงถึงหลักการและวิธีปฏิบัติเพื่อให้รู้แจ้งแทงตลอด
    โดย พระพรหมโมลี
    (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)

    "ข้าพเจ้า ผู้มีน้ำใจศรัทธาเลื่อมใส ใคร่จะให้พระสัทธรรมคำสั่งสอนแห่งสมเด็จพระชินวรโลกนาถศาสดาถาวรตั้งมั่น อยู่ชั่วกาลนาน จึงได้อุตสาหรจนา (โลกทีปนี. มุนีนาถทีปนี, วิปัสสนาทีปนี, โลกนาถทีปนี, ภาวนาทีปนี,โพธิธรรมทีปนี, ภูมิวิลาสินี, วิมุตติรัตนมาลี, กรรมทีปนี,วิปัสสนาวงศ์) ขึ้น แล้วได้ประสบบุญกุศลซึ่งอำนวยผลประโยชน์ให้อันใด ด้วยเดชะแห่งบุญกุศลนั้น ขอสรรพสัตว์จงประสบความสุขสำรวญจงทั่วกัน"
    พระพรหมโมลี
    (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)

    ประณามพจน์
    นมตฺถุ รตนตฺตยสฺส

    ข้าพเจ้า ขอถวายนมัสการแด่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ พระองค์ผู้ทรงมีพระมหากรุณาแผ่ไปในไตรภพและพระนพโลกุตรธรรมอันล้ำเลิศ กับทั้งพระอริยสงฆ์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐด้วยเศียรเกล้าแล้ว จักขออภิวาทนบไหว้ บรรดาท่านบูรพาจารย์ทั้งหลาย ผู้ทรงไว้ซึ่งญาณและพระคุณอันบริสุทธิ์ ด้วยคารวะเป็นอย่างยิ่งแล้ว จักรจนาเรียบเรียงกถา ซึ่งตั้งชื่อว่า โพธิธรรมทีปนีเพื่อแสดงถึงธรรมเป็นที่ตรัสรู้ คือพระจตุราริยสัจธรรมอันเป็นธรรมวิเศษ ซึ่งปรากฎมีในบวรพุทธศาสนา ฉะนั้น ขอเหล่าชนผู้มีปัญญาทั้งหลาย จงตั้งใจสดับอรรถวัณนาของข้าพเจ้า ซึ่งจัำกพรรณนาในโอกาสต่อไปนี้ด้วยดี เทอญ

    อารัมภบท

    เบื้อง วชิรบัลลังก์อาสน์ ซึ่งมีความสูงถึง ๑๔ ศอกภายใต้พระมหาโพธิพฤกษมณฑล อันมีลำต้นสูงตั้งแต่โคนถึงค่าคบประมาณได้ ๕๐ ศอก และมีสาขาเป็นพุ่มตลอดถึงยอด ก็สูงขึ้นไปประมาณได้อีก ๕๐ ศอกนั้น ขณะนี้มีพระมหาสมณเจ้าผู้มีศักดาใหญ่พระองค์หนึ่ง ผู้ซึ่งทรงคู้พระเพลาเข้าเป็นบัลลังก์สมาธิ กำลังตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติมั่นเฉพาะพระอานาปานสติกรรมฐานอยู่อย่างแน่วแน่ โดยมีพระประสงค์ใคร่จักได้ตรัสแด่พระสยมภูโพธิญาณเสวยพระพุทธสมบัติ องค์พระมหาสมณเจ้าวงศ์กษัตริย์ผู้มีบุญญาภินิหารนั้น พระองค์ทรงนิสีทนาการสมาธิท่ามกลางวชิรบัลลังก์ ทรงยังลำต้นพระมหาโพธิพฤกษ์อันงามประดุจท่อมเงินให้สถิตอยู่เบื้องหลังแห่ง พระองค์ ทรงรุ่งเรืองด้วยพระรัศมีโอภาสไพโรจน์อร่าม งดงามด้วยพระสุวรรณประภาอันพวยพุ่งออกจากพระวรกายเป็นอัศจรรย์

    ด้วยว่าเพลานั้น เป็นยามสนธยามหามงคลสมัย แห่งไพสาขบุรณมีดิถีเพ็ญ พระจันทร์เสวยวิสาขนักขัตฤกษ์ ฉะนั้นจึงปรากฎว่าเป็นยามสนธยามหามงคลสมัยอันอร่ามไพโรจน์ได้ด้วยรัศมี ๓ ประการ ซึ่งบังเกิดมาจวบบรรจบขึ้นในขณะเดียวกันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก คือ

    ๑. พระสุริยมณฑล อันแผดแสงเป็นสีแดงจ้าดวงกลมโตโอภาสด้วยสหัสรังสี ในยามสุริยายอแสงสันธโยบาตนี้ ก็ค่อยเคลื่อนคล้อยต่ำตกลงไปทีละ้น้อยๆ ในปัจฉิมทิศ คือทิศตะวันตก แลดูประหนึ่งกงแห่งจักรแก้วอันงามเพริศแพร้ว ซึ่งกำลังค่อยๆ เคลื่อนแคล้วจมลงไปในขีรสาครทะเลน้ำนม

    ๒. พระจันทรมณฑล อันส่องแสงเป็นสีนวลอร่ามไพโรจน์จำรัสด้วยศศิรังสี ในยามนี้ก็ค่อยโผล่ผุดขึ้นมาทีละน้อยๆ ในป่าจีนทิศแห่งโลกธาตุและดูประหนึ่งกงแห่งจักรเงินอันงดงามน่าเพลิดเพลิน เป็นที่เจริญนัยนาและดวงใจ ซึ่งกำลังค่อยๆ โผล่ผุดผอ่งขึ้นมาในอัมพรประเทศ

    ๓. พระสุวรรณประภามณฑล คือพระรัศมีสีทองเหลืองอร่าม อันพวยพุ่งออกมาจากพระวรกายแห่งพระมหาสมณเจ้า ซึ่งกำลังทรงเข้าที่จำเริญพระสมาธิภาวนาในยามนี้ ก็รุ่งเรืองโอภาสพรรณรายงดงามจับตาเหลือที่จักพรรณนา ปรากฎมีขึ้นในบริเวณมหาโพธิพฤกษมณฑล ณ ท่ามกลางโลกธาตุ แลดุประหนึ่งว่า เพลานี้สถานที่บริเวณมหาโพธิพฤกษมณฑลนั้นกำลังจมอยู่ในกนกธาราสายธารน้ำทอง

    ก็ รัศมีทั้งผอง กล่าวคือรัศมีแห่งพระสุริยายอแสงสันธโยบาตก็ดี รัศมีแห่งดวงนิสากรพระจันทร์อันแจ่มจำรัสก็ดี รัศมีแห่งพระสุวรรณประภามณฑล อันพวยพุ่งออกมาจากพระวรกายแห่งพระมหาสมณเจ้าผู้ทรงเข้าที่จำเริญพระสมาธิ ภาวนาก็ดี รัศมีทั้ง ๓ ประการเป็นอัศจรรย์นี้ จักปรากฎบังเกิดมีขึ้นโดยพร้อมเพรียงกันในยามเดียวกันนั้น ย่อมเป็นภาวการณ์ที่หาได้โดยยากยิ่งเป็นหนักหนา ฉะนั้นกาลนี้จึงได้เรียกว่า "มหามงคลกาล"

    เมื่อมหามงคลกาลพลันปรากฎขึ้นเป็นอัศจรรย์เช่นนี้ ก็ย่อมจะเป็นนิมิตมงคลชี้ให้รู้ทีเดียวว่า ในไม่ช้านี้แล้ว จักมีองค์สมเด็จพระประทีปแก้วสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลกอย่าง เที่ยงแท้

    ก็แลใครผู้ใดหรือ คือผู้มีพุทธบารมีจักได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในขณะมหามงคลกาลครั้งนี้

    พระศรีศากยมุนีโคดม

    ท่านผู้มีพระพุทธบารมีสมควรที่จักได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะมหามงคลกาลครั้งนี้นั้น ก็มิใช่ท่านผู้วิเศษอื่นไกลที่ไหนโดยที่แท้คือพระมหาสมณเจ้าองค์ที่สถิตอยู่ เหนือวชิรบัลลังก์อาสน์ ภายใต้มหาโพธิพฤกษ์ ซึ่งกำลังทรงจำเริญพระสมาธิภาวนามีพระรังสีสุวรรณพวยพุ่งออกมาจากพระวรกาย เป็นอัศจรรย์นั่นเอง! ชีวประวัติโดยย่อของพระองค์ท่านก่อนที่จะมาสถิตจำเริญพระสมาธิภาวนาอยู่ ณ เบื้องวชิรบัลลังก์อาสน์นี้ก็มีอยู่ว่า

    องค์พระมหาสมณเจ้าผู้มีพุทธบารมีอันยิ่งใหญ่นี้ เดิมทีเป็นพระราชกุมารในขัตติยวงศ์ ทรงพระนามว่า "สมเด็จเจ้าฟ้าชายอังคีรสราชกุมาร" หรืออีกพระนามหนึ่งว่า "สมเด็จเจ้าฟ้าชายสิทธัตถราชกุมาร" โดยทรงเป็นพระโอรสแห่งสมเด็จพระสิริมหามายาราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าสุทโธทนมหาราชผู้ทรงเป็นนฤบดีจอมชนแห่งกรุงกบิลพัศดิ์บุรี ด้วยอำนาจพระพุทธบารมีที่พระองค์ทรงสร้างสมมาแต่อดีตชาติเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ แล้ว ฉะนั้นเมื่อทรงจำเริญวัยวัฒนาการขึ้น จึงให้ทรงบังเกิดดวงปัญญามากมายไปด้วยสิริสมบัติใหญ่ โดยมิได้ทรงอาลัยไยดี แต่ลำพังพระองค์เดีียวท่องเที่ยวไปในราวอรัญ ทรงบากบั่นกระทำความเพียรเพื่อที่จักบรรลุธรรมวิเศษ คือพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณเป็นสามารถ ด้วยวิธีการอันหลากหลาย แทบว่าพระชนมชีพจักวางวายปลิดปลงลงเป็นหลายหน แต่พระองค์ทรงพลีพระชนม์เข้าแลกกับพระโพธิญษณโดยการบำเพ็ญอยู่นานถึง ๖ พรรษา ก็หาได้บรรลุธรรมวิเศษสมประสงค์ไม่ ในที่สุดจึงทรงเลิกกระทำความเพียรอย่างอุกฤษฎิ์นั้นเสีย หันมาบำเพ็ญเป็นมัชฌิมาปฏิปทาโดยทรงพระอุตสาหะจำเริญพระสมาธิภาวนา สถิตอยู่เหนือวชิรบัลลังก์อาสน์อันมีปรากฎขึ้นด้วยบุญญาธิการภายใต้มหาโพธิ มณฑล เริ่มต้นตั้งพระหฤทัยเป็นสัตยาธิษฐานว่า

    "ถ้า กมลสันดานแห่งอาตมะนี้ ยังไม่พ้นจากอาสวกิเลากามคุณตราบใด ถึงแม้มาตรว่าหฤทัยและเนื้อหนังทั้งเอ็นสมองอัฐิจะแห้งเหือด ตลอดถึงเลือดและมันข้นจนทั่วสรีรกายก็ดี ธรรมวิเศษล้ำเลิศอันใดที่เป็นวิสัยอันบุคคลจะพึงได้ด้วยเรี่ยวแรงและความ เีพียรแห่งบุรุษ เมื่อยังไม่บรรลุถึงธรรมวิเศษอันนั้น การที่อาตมะจักคลายจากพับแพนงเชิงสมาธิบัลลังก์นี้เป็นอันไม่มี! อันยังมิได้บรรลุซึ่งพระโพธิญาณแล้วไซร้ อาตมะจักไม่ทำลายสมาธิบัลลังก์วิเศษนี้เลยเป็นอันขาด อาตมะคงเพียรให้บรรลุโพธิธรรมเสวยพระพุทธาภิเษกสมบัติบนวชิรบัลลังก์อาสน์ นี้ให้จงได้"

    ทรงตั้งพระหฤทัยเป็น สัตยาธิษฐานดังนี้แล้ว ก็ทรงจำเริญพระสมาธิภาวนาเรื่อยมา บังเกิดสมาธิญาณแก่กล้ามีสุวรรณประภาพวยพุ่งออกจากพระวรกาย จวบจนถึงสมัยพระสุริยายอแสงเป็นมหามงคลกาลในขณะนี้

    ครั้นล่วงเข้า ราตรีปฐมยาม พระองค์ผู้มีสมาธิภาวนาอันแก่กล้า ก็สามารถยังฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้น ได้บรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ = ญาณเครื่องระลึกถึงชาติก่อนได้ คือในขณะนี้พระองค์ทรงสามารถระลึกชาติในอดีตหนหลังได้ตั้งแต่ ๑-๒ ชาติ ๑๐-๒๐ ชาติ ๑๐๐-๑,๐๐๐ ชาติ ๑๐,๐๐๐-๑๐๐,๐๐๐ ชาติเรื่อยไป จนถึงสังวัฏฏกัป-วิวัฏฏกัป-สังวัฏฏ-วิวัฏฏกัปเป็นอันมาก โดยทรงรู้อย่างแจ้งประจักษ์ว่า ในชาตินั้นพระองค์เกิดในประเทศนั้น มีชื่อและโคตรอย่างนี้ มีผิวพรรณและมีอาหารอย่างนั้น ดังนี้เป็นต้น

    ครั้นล่วงเข้า ราตรีมัชฌิมยาม พระองค์ก็ได้บรรลุจตูปปาตญาณ = ญาณเครื่องรู้แจ้งในจุติและอุบัติเหตุแห่งสัตว์ทั้งหลาย คือในขณะนี้พระองค์ทรงสามารถเห็นสัตว์ทั้งหลายที่กำลังจุติตายไปและกำลัง อุบัติเกิดขึ้นใหม่ในโลกทั้งหลาย โดยทรงเห็นอย่างแจ้งประจักษ์ ด้วยอำนาจแห่งทิพยจักษุอันบริสุทธิ์วิเศษกว่าสามัญมนุษย์จักษุวิสัยว่า สัตว์ทั้งหลายได้พากันล้มตายลงไปแล้ว ต่างผู้ต่างก็ไปเกิดในสภาพต่างๆ กัน เลวบ้าง ประณีตบ้าง มีผิวพรรณงามบ้าง ไม่งามบ้าง ถึงซึ่งความสุขบ้าง ทุกข์บ้าง แตกต่างกันไป ตามสมควรแก่กรรมแห่งตนที่ได้กระทำไว้

    ครั้นล่วงเข้า ราตรีปัจฉิมยาม พระองค์ก็ทรงหยั่งพระญาณลงพิจารณาในปัจจยาการอันเป็นวิธีการที่ถูกต้อง ซึ่งพระบรมสรรเพชญพุทธเจ้าทุกพระองค์เคยกระทำมา โดยทรงพิจารณาพระปฏิจจสมุปบาทธรรมอันล้ำลึก ในกรณีที่พระองค์จักทรงได้มีโอกาสพิจารณาพระปฏิจจสมุปบาทธรรมอันล้ำลึกนี้ ก็โดยสาเหตุที่พระองค์ทรงสิ้นความสงสัยในสันดานพระองค์เอง และทรงสิ้นความสงสัยในสันดานสัตว์เหล่าอื่น อันเป็นผลแห่งญาณก่อนๆ ที่ได้ทรงบรรลุมาแล้ว คือ

    เมื่อพระองค์ได้ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณในตอนปฐมยามนั้น ไ้ด้ทรงเห็นพระองค์เองจุติจากชาตินั้นไปเกิดในชาติโน้น จุติจากชาติโน้นมาเกิดในชาตินี้ แต่งทรงเ้ฝ้าตายเกิดอยู่อย่างนี้หลายชาติหลายภพ เป็นนักหนา เมื่อทรงเห็นโดยประจักษ์อย่างแจ้งชัดเช่นนี้ ความสงสัยในสันดานของพระองค์ในกรณีที่ว่า "พระองค์เองต้องทรงตายเกิดอย่างซ้ำซากอย่างนั้น" ตลอดกาลอันยาวนนานจริงหรืไม่? ความสงสัยดังนี้ ย่อมจะหมดไปโดยแท้ นี่แหละเรียกว่า ทรงสิ้นความสงสัยในสันดานของพระองค์เอง ด้วยอำนาจแห่ง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

    เมื่อพระองค์ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณในตอนมัชฌิมยามนั้น ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายซึ่งกำลังตายและกำลังเกิดกันมากมายนักหนาทุกเวลา นาที ในสถานที่ต่างๆ กันเป็นอลหม่าน เมื่อทรงเห็นโดยประจักษ์อย่างแจ่มชัดเช่นนี้ ความสงสัยในสันดานแห่งสัตว์เหล่าอื่นในกรณีที่ว่า "สัตว์เหล่าอื่นต้องตายเกิดและเกิดตายกันอยู่เสมอ" ตลอดเวลาไม่ว่างเว้นเป็นเวลานานแสนนานจริงหรือไม่? ความสงสัยดังนี้ย่อมจะหมดไปโดยแท้ นี้แหละเรียกว่าทรงสิ้นความสงสัยในสันดานของสัตว์เหล่าอื่น ด้วยอำนาจแห่งจุตูปปาตญาณ

    เมื่อพระองค์ทรงสิ้นความสงสัยในสันดานแห่งพระองค์และสันดานแห่งสัตว์เหล่า อื่น ซึ่งมีความเกิดความตายอยู่เป็นประจำซ้ำซากดังกล่าวมาแล้ว ก็ทรงสังเวชสลดพระหฤทัย จึงทรงหยั่งพระญาณลงพิจารณาปัจจยาการหรือปฏิจจสมุปบาทธรรมอันล้ำลึก คือในชั้นแรกทรงปรารภ ชรามรณะ ความแก่และความตายขึ้นเป็นอารมณ์ปฐมเหตุก่อนแล้วก็ทรงทราบเป็นลำดับต่อไปว่า

    ชรามรณะ มีได้ก็เพราะชาติ
    ชาติ มีได้ก็เพราะ ภพ
    ภพ มีได้ก็เพราะ อุปาทาน
    อุปาทาน มีได้ก็เพราะตัณหา
    ตัณหา มีได้ก็เพราะเวทนา
    เวทนา มีได้ก็เพราะผัสสะ
    ผัสสะ มีได้ก็เพราะสฬายตนะ
    สฬายตนะ มีได้ก้เพราะ นามรูป
    นามรูป มีได้ก็เพราะวิญญาณ
    วิญญาณ มีได้ก็เพราะ สังขาร
    สังขาร มีได้ก็เพราะอวิชชา

    แล้วจึงทรงพิจารณาซึ่งที่ดับแห่งสภาวธรรมเหล่านี้สืบต่อไปว่า

    เมื่ออวิชชาดับสูญแล้ว สังขารก็ดับตาม
    เมื่อสังขารดับสูญแล้ว วิญญาณก็ดับตาม
    เมื่อวิญญาณดับสูญแล้ว นามรูปก้ดับตาม
    เมื่อนามรูป ดับสูญแล้ว สฬายตนะ ก็ดับตาม
    เมื่อสฬายตนะดับสูญแล้ว ผัสสะ ก็ดับตาม
    เมื่อเวทนาดับสูญแล้ว ตัณหาก็ดับตาม
    เมื่อตัณหาดับสูญแล้ว อุปาทานก็ดับตาม
    เมื่ออุปาทานดับสูญแล้ว ภพก็ดับตาม
    เมื่อภพดับสูญแล้ว ชาติก็ดับตาม
    เมื่อชาติดับสูญแล้ว ชรามรณะก็ดับตาม

    แล้ว ก็ทรงพิจารณาทบทวนถอยหลังลงไป เพื่อให้แน่นอนเด็ดขาดอีกสืบไปว่า "ชรามรณะ นี้มิใช่เกิดจากอะไร โดยที่แท้เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะ "ชาติ" เป็นปัจจัย คือเป็นตัวเหตุ และ "ชาติ"นี้ก็มิใช่เกิดมาจากอะไร โดยที่แท้ย่อมเกิดขึ้นมาได้เพราะ "ภพ" ..."สังขาร" นั้นมิใช่เกิดมาจากอะไร โดยที่แท้ย่อมเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย คือเป็นตัวเหตุ" เป็นอันว่า บัดนี้พระองค์ผู้มีพุทธบารมีได้ทรงค้นพบแล้วว่า ตัวเหตุใหญ่ยิ่งสุดยอดที่มีอำนาจบันดาลให้สัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตาย เกิดอยู่ในวัฏสงสารอย่างไม่มีวันสิ้นสุดนั้นก็คือ "อวิชชา"นี่เอง

    ขณะนี้ แม้ว่พระองค์จะได้ทรงค้นพบสภาวธรรมอันล้ำลึก เกินวิสัยคนธรรมดาสามัญจักมีปัญยาหยั่งรู้ได้ดังกล่าวมาแล้วก็ดี ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังไม่ได้สำเร็จธรรมวิเศษเป็นองค์สมเด็จพระสัมมา สสัมพุทธเจ้า! ฉะนั้นพระองค์จึงทรงหยั่งพระญาณลงพิจารณาตัวเหตุอันยิ่งใหญที่พระองค์ทรงค้น พบ คือ "อวิชชา" ทรงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถ่องแท้ ในที่สุดก็ทรงทราบว่า "อวิชชา" คือตัวโมหะนี้ ย่อมมีปกติครอบงำจิตสันดานทำให้มือมนปกปิดกำบังดวงปัญญามิได้เห็นแจ้งในพระ ไตรลักษณญาร และมิให้เห็แจ้งในพระจตุราริยสัจธรรม

    เมื่อทรงทราบด้วยพระญาณอันประเสริฐสุดเช่นนี้แล้ว พระองค์ผู้มีพระทัยผ่องแผ้ว ใกล้จะได้ตรัสรู้ในชั่วระยะเวลาไม่นานนี้ ก็มีพระมนัสมั่นคง น้อมตรงไปเพื่อที่จะบรรลุอาสวักขยญาณ = ญานเป็นไปที่สิ้นไปแห่งอาสวกิเลส คือในขณะนี้พระองค์ทรงกระทำวิธีการในอันที่จะกำจัดอวิชชาหรือโมหะ ซึ่งเป็นม่านมืดปกปิดกำบังดวงปัญญามิให้เห็นแจ้งในพระไตรลักษณญาณและพระ จตุราริยสัจธรรมนั้น โดยวิธีการคือทรงเจริญพระวิปัสสนาภาวนา เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์หรือรุปนาม ตามอำนาจแห่งพระไตรลักษณ์แล้ว พระวิปัสสนาญาณของพระองค์ท่านก็ก้าวหน้าเจริญขึ้นโดยลำดับๆ จนกระทั่งถึงเพลาตามพรุณสมัยไขแสงทองส่องอร่ามฟ้า พระองค์ผู้ทรงพระอุตส่าห์สร้างพระพุทธบารมีมานานก็ได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณ กำจัดอวิชชาหรือโมหะได้อย่างเด็ดขาด ทรงเห็นแจ้งในพระจตุราริยสัจโดยประจักษ์ ดังสูญสิ้นอาสวกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน สำเร็จเป็นองค์ "สมเด็จพระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุนีโคดมบรมศาสดาจารย์" ทรงเป็นผู้ควรแก่การเคารพบูชาแห่งเทวดาและมนุาย์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง.
    สิ่งที่ตรัสรู้
    โดยการติดตามกถาถ้อยคำที่กล่าวมานี้ ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายก็คงจักทราบได้เป็นอย่างดีแล้วว่า สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้คืออะไร? ถูกแล้ว สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้นั้นก็คือ พระจตุราริยสัจธรรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระอริยสัจ ๔ พระจตุราริยสัจธรรมนี่เองที่เป็นธรรมผลักดันให้พระองค์พ้นจากความเป็นบุคคล ธรรมดาสามัญ ขึ้นไปสู่ความเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยพุทธสมบัติอันประเสริฐ สุด ทั้งนี้ ก็เพราะพระองค์ทรงสามารถกำจัดตัวเหตุแห่งกองทุกข์อันยิ่งใหญ่คืออวิชชาหรือ โมหะให้ขาดหายหลุดออกไปแล้ว ทรงเห็นแจ้งชัดในพระจตุราริยสัจธรรมหรืออริยสัจทั้ง ๔ คือ

    ๑. ทุกข์
    ๒. เหตุแห่งทุกข์
    ๓. ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
    ๔. ทางให้ถึงความดับไม่มีเหลือแห่งทุกข์

    พระองค์ ทรงเห็นอริยสัจธรรมทั้ง ๔ นี้อย่างแจ้งชัดเจน โดยประจักษ์ถึงความสูญสิ้นอาสวกิเลส เป็นสมุทเฉทปหานได้โดยประการทั้งปวง เพื่อความมั่นใจในกรณีนี้ ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงทราบจากพระพุทธฎีกา ทรงพระกรุณาตรัสเล่าถึงประสบการณ์ของพระองค์เอง ตอนนี้ ไว้ใน บาลีโพธิราชกุมารสูตร และบาลีมหาวาร ดังต่อไปนี้

    เรา ตถาคตน้อมจิตไปเฉพาะต่ออาสวักขยญาณแล้ว เราตถาคตรู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงว่า "นี่ทุกข์, นี่เหตุแห่งทุกข์, นี่ความดับไมเหลือแห่งทุกข์, นี่ทางให้ถึงความดับไม่มีเหลือแห่งทุกข์.... เมื่อเราตถาคตรู้แจ้งอยู่อย่างนี้ เห็นแจ้งอยู่อย่างนี้จิตก็พ้นจากกามาสวะ -ภวาสวะ - อวิชชาสวะ ครั้นจิตพ้นวิเศษแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่าจิตพ้นแล้ว เราตถาคตรู้ชัดว่าชาตินี้สิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้วกิจที่ต้องทำได้สำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความหลุดพ้นอย่างนี้มิได้มีอีกแล้ว

    "ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย ตราบใดที่ญาณทัศนะเครื่องรู้เห็นตามความเป็นจริงของเราในอริยสัจทั้ง ๔ เหล่านี้ ยังไม่เป็นญาณทัศนะที่บริสุทธิ์สะอาดด้วยดี ตราบนั้น เราตถาคตก็ยังไม่ปฏิญญาว่า ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซึ่งอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นที่รู้กันใน มนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์

    "ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย เมื่อใดญาณทัศนะเครื่องรู้เห็นตามความเป็นจริงของเราในอริยสัจทั้ง ๔ เหล่านี้เป็นญาณทัศนะที่บริสุทธิ์สะอาดด้วยดี เมื่อนั้นเราตถาคตปฏิญญาว่าเป็นผู้ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซึ่งอนุตรสัมมา สัมโพธิญาณให้เป็นรู้กันในมนุษย์โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์" ดังนี้

    พระ พุทธฎีกาที่อัญเชิญมานี้ ย่อมเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า โพธิธรรมอันวิเศษที่พระองค์ทรงแสวงหานานและทรงได้บรรลุสมประสงค์ ณ วชิรบัลลังก์อาสน์ ภายใต้มหาโพธิพฤกษมณฑลนั้น ก็คือพระจตุราริยสัจธรรม นี่เอง! ด้วยเหตุนี้ จึงปรากฎว่าในกาลต่อมา เมื่อพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาปรารถนาจักแสดงพระธรรมเทศนาโปรดแก่สัตว์โลก พระธรรมเทศนากัณฑ์แรกของพระองค์อันมีชื่อว่า "พระธรรมจักกัปปวัตตนสูตร" ซึ่งทรงแสดงโปรดแก่พระปัญจวัคคีย์นั้น ก็มีเนื้อความเน้นหนักไปในพระจตุราริยสัจธรรมทั้งสิ้น และพระธรรมเทศนาที่ทรงแสดงในกาลภายหลังต่อมาอีกมากมาย แม้จะมีโวหารผิดแผกแตกต่างกันไปบ้าง แต่เมื่อว่าโดยใจความแล้ว ก็ย่อมมีพระจตุราริยสัจธรรมหรือโพธิธรรมเป็นจุดมุ่งหมาย ฉะนั้น จึงอาจที่จักกล่าวได้ว่า พระธรรมเทศนาของพระองค์อันมีจำนวนถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ซึ่งเรียกว่า พระไตรปิฎก นั้น ย่อมมีจตุราริยสัจธรรมหรือโพธิธรรมนี้เป็นจุดมุ่งหมาย คือย่อมมีใจความประมวลลงที่พระจตุราริยสัจธรรมนี้ทั้งสิ้น

    โดยเหตุที่พระจตุราริยสัจธรรมหรือโพธิธรรมนี้ ทรงไว้ซึ่งความสำคัญอย่างเอกอุในพระบวรพุทธศาสนาเช่นนี้ จึงเป็นการสมควรที่ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย จักได้หยิบยกเอาธรรมวิเศษสุดนี้มาศึกษาพิจารณาเพื่อเป็นเครื่องเรืองปัญญา แห่งตนเป็นอย่างยิ่งใช่หรือไม่? ก็ด้วยความตั้งใจที่จะเสนอธรรมวิเศษคือพระจตุราริยสัจธรรมหรือโพธิธรรมนี้ ให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายไ้ด้รับไว้พิจารณานี้เอง จึงได้คิดรจนาเรียบเรียงโพธิธรรมทีปนี นี้ขึ้น ตั้งใจว่าจะพรรณนาไปตามกำลังสติปัญญาอันเล็กน้อย แต่ทว่ามากไปด้วยน้ำใจอันเลื่อมใสในพระสัทธรรมคำสอนแห่งองค์พระสรรเพชญบรม ศาสดา ฉะนั้น หากท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายมีความสนใจใคร่จักทราบอรรถาธิบายเรื่อง พระจตุราริยสัจธรรมหรือโพธิธรรมนี้ว่าจะมีประการใดบ้างแล้ว ก็ขอจงมีใจผ่องแผ้วอุตสาหะติดตามต่อไปด้วยดีเถิด.

    ***************************************
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,537
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    พระเจ้ามิลินท์&พระนาคเสน .......ปัญหาโต้ตอบกัน

    พระเจ้ามิลินท์ได้เสด็จเข้าไปหาพระนาคเสน แล้วได้ประทับนั่งสนทนา ฝ่ายพระนาคเสนก็สนทนาด้วยถ้อยคำอันจับจิต ทำให้พระเจ้ามิลินท์ทรงเกิดความชื่นชมโสมนัสยิ่งนักต่อจากนั้นพระเจ้ามิ ลินท์จึงตรัสถามปัญหาโต้ตอบกันดังนี้:
    พระเจ้ามิลินท์: พระผู้เป็นเจ้าพระนาคเสนผู้เจริญ ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะเจรจากับท่าน
    พระนาคเสน : มหาบพิตรจงเจรจาเถิด อาตมภาพก็ประสงค์จะฟัง
    พระเจ้ามิลินท์: ข้าพเจ้าเจรจาแล้วท่านจงฟัง
    พระนาคเสน : อาตมภาพฟังแล้ว
    พระเจ้ามิลินท์: ท่านฟังแล้ว ได้ยินอย่างไร
    พระนาคเสน: มหาบพิตรเจรจาอย่างไร อาตมภาพก็ได้ยินอย่างนั้น
    พระเจ้ามิลินท์: ข้าพเจ้าจะถามท่าน
    พระนาคเสน: จะถามก็ถามเถิด
    พระเจ้ามิลินท์: ข้าพเจ้าถามแล้ว
    พระนาคเสน: อาตมภาพก็ตอบแล้ว
    พระเจ้ามิลินท์: ท่านตอบอย่างไร
    พระนาคเสน: ก็มหาบพิตรถามอย่างไร
    เมื่อพระเจ้ามิลินท์กับพระนาคเสนถามตอบปัญหากันดังนี้แล้ว ชาวโยนก ทั้ง 500 คน ก็พากันเปล่งเสียงสาธุการ...
    **************************************
    ต่อจากนั้นพระเจ้ามิลินท์กับพระนาคเสนก็มีการถามตอบกัน ถามกลับไปกลับมาเพื่อจะทดลองปัญญาของพระนาคเสน ฝ่ายพระนาคเสนตอบได้แจ่มแจ้งหมดข้อสงสัยทุกปัญหา..พระเจ้ามิลินท์จึงอารธนา พระนาคเสนเข้าไปในวังเพื่อถามตอบในวันต่อๆมา...

    พระเจ้ามิลินท์ : โยนิโสมนสิการมีลักษณะอย่างไร
    พระนาคเสน : มีลักษณะ 2 อย่างคือ 1. ให้อุตสาหะพยายาม 2.จะถือเอาให้ได้ ( เหมือนโคกระบือที่ผูกไว้ก็จะดิ้นไปกินหญ้าให้ได้ )
    พระเจ้ามิลินท์ : ปัญญามีลักษณะอย่างไร
    พระนาคเสน : มีลักษณะตัดให้ขาด ( ตัดความสงสัย ตัดความไม่รู้ )
    พระเจ้ามิลินท์ : ข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจชัดแจ้ง ท่านจงเปรียบเทียบให้แจ่มแจ้งด้วยเถิด
    พระนาคเสน : เปรียบเหมือนคนที่เกี่ยวข้าว มือซ้ายที่ถือรวงข้าวไว้ได้แก่โยนิโสมนสิการ มีลักษณะถือเอา ส่วนมือขวาที่ถือเคียวเกี่ยวรวงข้าวตัดกระชากให้ขาดนั้นได้แก่ปัญญา อันมีลักษณะตัดให้ขาด
    พระเจ้ามิลินท์ : การที่จะบรรลุพระนิพพานได้นั้นต้องอาศัยเหตุอะไร
    พระนาคเสน : ต้องอาศัยเหตุ 3 ประการคือ 1. กุศลบารมีที่ทำไว้บริบูรณ์ 2.โยนิโสมนสิการ 3.ปัญญา
    พระเจ้ามิลินท์ : กุศลบารมีนั้นเป็นอย่างไร
    พระนาคเสน : กุศลบารมีคือศีลบารมี สติปัฏฐาน สมาธิ และปัญญาบารมีเป็นต้น
    พระเจ้ามิลินท์ : ศีลมีลักษณะอย่างไร
    พระนาคเสน : มีลักษณะเป็นที่ตั้ง คือเป็นพื้นฐานแห่งกุศลธรรมทั้งมวล เช่นอินทรีย์5 พละ5 โพชฌงค์7 สติปัฏฐาน4 สัมมัปปธาน4 อิทธิบาท4 ฌาณ4 วิโมกขธรรม8 สมาธิ1 สมาบัติ8 บุคคลจะไม่เสื่อมจากกุศลธรรมทั้งมวลก็เพราะอาศัยศีลเป็นที่ตั้งเป็นพื้น ฐาน...

    พระเจ้ามิลินท์ : สติมีลักษณะอย่างไร
    พระนาคเสน : มีลักษณะ 2 ประการ คือ 1.อปีลาปนลักขณาสติ มีความระลึกหรือสำนึกว่า สิ่งนี้ดี สิ่งนี้ชั่ว มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ ควรทำไม่ควรทำ 2.อุปคัณหณลักขณาสติ เตือนให้ระลึกถึง ให้ถือเอา หรือเลือกทำแต่สิ่งที่ดีไม่เลือกสิ่งที่ไม่ดีมาทำ
    พระเจ้ามิลินท์ : กุศลธรรมทั้งหลายมีต่างๆกัน ให้สำเร็จประโยชน์อย่างเดียวกันหรือ
    พระนาคเสน : ให้สำเร็จประโยชน์อย่างเดียวกัน คือฆ่ากิเลสให้หมดไปเช่นเดียวกัน...

    พระเจ้ามิลินท์ : สติเกิดขึ้นด้วยอาการเท่าไร
    พระนาคเสน : ด้วยอาการ 17 อย่างคือ
    1.อภิชานโตสติ สติของคนที่ระลึกชาติได้และสติของพระอานนท์ได้ฟังพระสูตรจากพระพุทธเจ้าครั้งเดียวก็จำได้เป็นต้น
    2.กุฎุมพิกายสติ สติของคนทั่วไปมักหลงลืม จำได้เฉพาะทรัพย์สมบัติของตนเท่านั้น
    3.โอฬาริกวิญญาณโตสติ สติของผู้มีความรู้กว้างขวาง และสติของผู้บรรลุพระโสดาบัน
    4. หิตวิญญาณโตสติ สติของคนที่เคยมีความสุขมาก่อนและระลึกถึงความสุขแต่ก่อนนั้นว่าเคยมีความสุขอย่างนั้นๆ
    5. อหิตวิญญาณโตสติ สติของคนที่เคยตกทุกข์ได้ยากมาก่อน และระลึกถึงความทุกข์ยากแต่ก่อน
    6. สภาคนิมิตตโตสติ สติของคนที่เห็นคนอื่นเหมือนพ่อแม่ญาติพี่น้องของตนตายและสัตว์เลี้ยงมีวัวควายเป็นต้นของตนตายไป
    7. วิสภาคนิมิตตโตสติ สติของคนที่ระลึกถึงสีสัน วรรณ กลิ่น รส ของผลไม้ว่ามีกลิ่นรสอย่างนั้นอย่างนี้ และของผู้ระลึกถึงสัมผัสอันอ่อนกระด้างว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
    8. กถาภิญญาณโตสติ สติของคนที่หลงลืมต้องมีผู้อื่นคอยเตือนจึงระลึกได้
    9. ลักขณโตสติ สติของคนที่เป็นเจ้าของโค พอเห็นเครื่องหมายที่โคของตนจึงระลึกได้
    10.สรณโตสติ สติของคนที่หลงลืม เมื่อมีคนมาพูดว่าท่านได้ทำสิ่งนั้นไว้ ท่านลืมไปแล้วหรือ จงคิดดูให้ดีเถิด แล้วจึงระลึกได้
    11. มุทธโตสติ สติของคนจดบันทึกเรื่องต่างๆไว้กันลืม พอลืมก็ไปดูที่จดบันทึกไว้จึงระลึกได้
    12.คณนาโตสติ สติของคนที่ระลึกได้ด้วยการนับ
    13. ธารณโตสติ สติของคนที่ระลึกได้ด้วยการท่องจำ
    14. ภาวนาโตสติ สติของคนที่ระลึกชาติได้ด้วยปุพเพนิวาสานุสสตญาณ ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง
    15. โปตถกนิพันธนโตสติ สติของคนที่ระลึกได้ด้วยการอ่านจากการที่เขาบันทึกไว้ในคำภีร์
    16. อุปนิกเขปนโตสติ สติของคนที่เห็นทรัพย์สมบัติแล้วจึงระลึกได้ถึงทรัพย์นั้น
    17. อนุภูตโตสติ สติของคนที่ระลึกได้ถึงรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ ที่เคยรู้มาแล้วเป็นต้น...
    ********************************
    พระเจ้ามิลินท์ : ที่ท่านกล่าวว่าคนทำชั่วจยอายุ 100 ปี เมื่อใกล้ตายจะระลึกถึงพระพุทธคุณเพียงครั้งเดียว ตายไปก็เกิดในสวรรค์ได้ และว่าคนที่ทำปาณาติบาตเพียงครั้งเดียวก็ไปนรกได้ ทั้งสองอย่างนี้ไม่น่าเชื่อ
    พระนาคเสน : ย่อมเป็นได้ เช่นก้อนหินน้อย ที่คนวางลงในน้ำย่อมจมลงทันที แต่ถ้าวางไว้ในเรือใหญ่แล้ว แม้ก้อนหินมากก็ไม่จมน้ำ ก้อนหินอุปมาเหมือนความชั่ว เรืออุปมาเหมือนความดี ความชั่วมีน้อยถ้าไม่มีความดีรองรับไว้ คนที่ทำความชั่วน้อยก็ตกนรกได้ ความชั่วแม้มีมากแต่ถ้ามีความดีมากกว่ารองรับไว้ คนที่ทำชั่วแม้มากก็สามารถไปสวรรค์ได้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงสอนให้วิดเรือคืออัตภาพให้เบาจะได้แล่นถึงฝั่ง( พระนิพพาน ) เร็ว...
    พระเจ้ามิลินท์ : คนที่รู้ว่าบาปแล้วยังขืนทำ กับคนที่ไม่รู้ว่าบาปแล้วทำลงไป ทั้งสองคนนี้ ใครบาปมากกว่ากัน
    พระนาคเสน : คนไม่รู้ว่าบาปทำลงไปบาปมากกว่า
    พระเจ้ามิลินท์ : อำมาตย์ของข้าพเจ้า คนที่รู้ว่าผิดแล้วขืนทำ ข้าพเจ้าลงโทษเป็นสองเท่า เพราะถือว่ารู้แล้วยังขืนทำ
    พระนาคเสน : อุปมาเหมือนคนที่รู้ว่าก้อนเหล็กร้อนแล้วจับก้อนเหล็กนั้น ส่วนอีกคนไม่รู้ว่าก้อนเหล็กร้อนแล้วจับ ทั้งสองคนนั้นใครจะร้อนกว่ากัน
    พระเจ้ามิลินท์ : คนที่ไม่รู้ว่าก้อนเหล็กร้อน แล้วจับนั่นแหละ จะร้อนมากกว่า
    พระนาคเสน : คนที่ไม่รู้ว่าบาปแล้วทำบาปก็จะบาปมากกว่า เช่นเดียวกับคนที่ไม่รู้ว่าก้อนเหล็กร้อนจับก้อนเหล็กย่อมร้อนมากกว่า ฉะนั้น...
    ********************
    พระนาคเสน : มหาบพิตร พระองค์ถามปัญหามานี้ก็เป็นวลาพอสมควรแล้ว
    พระเจ้ามิลินท์ : ข้าพเจ้าทราบแล้ว เพราะเวลาล่วงเข้ามัชฌิมยาม คนทั้งหลายจุดประทีปสว่างอยู่
    จึงตรัสแก่อำมาตย์และราชบริพารทั้งหลายว่า พระภิกษุองค์นี้มีปัญญามาก ตอบปัญหาได้แจ่มแจ้งชัดเจน จึงทรงถวายผ้ากัมพลมีราคาแสนหนึ่งแก่พระนาคเสน แล้วตรัสว่า ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าพเจ้าจะถวายภัตตาหาร 108 สำรับแก่ท่าน พร้อมทั้งปวารณาว่า หากท่านมีความต้องการสิ่งใดก็จงบอกแก่ข้าพเจ้าๆจะจัดถวายให้
    พระนาคเสน : มหาบพิตรอาตมภาพเลี้ยงชีวิตพอสมควรอยู่แล้ว
    พระเจ้ามิลินท์ : ข้าพเจ้าทราบแล้ว แต่ว่านิมนต์ท่านรักษาตัวท่านกับตัวข้าพเจ้าด้วย
    พระนาคเสน : พระองค์ตรัสว่า ให้อาตมภาพรักษาตัวไว้กับให้รักษาตัวพระองค์หมายไว้ หมายถึงอย่างไร
    พระเจ้ามิลินท์ : เพื่อแก้ข้อกล่าวหา พระนาคเสนตอบปัญหาให้พระเจ้ามิลินท์พอพระทัยแล้ว แต่เสียทีที่กระทำ หาได้ลาภสักการะไม่ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่าการที่ท่านรับไทยธรรมไว้เป็นการรักษาตัวท่านเอง และเป็นการรักษาตัวข้าพเจ้าจากคำกล่าวหาว่าพระเจ้ามิลินท์เลื่อมใสในการตอบ ปัญหาของพระนาคเสนแล้ว แต่ไม่ได้ถวายไทยธรรมอะไรเลย ฉะนั้น ขอท่านจงโปรดรับไทยธรรมเถิด
    พระนาคเสน : ถ้าเช่นนั้น ก็ตามพระราชอัธยาศัยเถิด
    พระเจ้ามิลินท์ : ข้าพเจ้าต้องการบวช แต่ถ้าจะออกบวชก็กระทำได้ยาก เพราะข้าศึกจะติดตามฆ่า เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงยังไม่บวช
    ...ต่อมา..ในที่สุดพระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสและทรงสร้างวิหารถวายพระนาคเสน ทั้ง ทรงมอบราชสมบัติให้พระราชโอรสแล้วทรงออกผนวช บำเพ็ญสมณธรรมจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์.

    ....++++ ในมิลินทปัญหานี้มีปัญหาถามตอบรวมถึง 108 ปัญหา พระอาจารย์กล่าวพรรณาไว้ในลังกา โดยพระปิฎกจูฬาภัยเถระเป็นผู้แต่งขึ้นเมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไปได้ประมาณ 500 ปี ได้มีการถ่ายทอดเป็นฉบับภาษาบาลีในประเทศไทย พม่า ลังกา เท่านั้น ฉบับที่สมบูรณ์ที่สุดคือฉบับของประเทศไทย+++++++/โดยกรมศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ 2543

    ******************************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,537
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    พระมหากัสสปเถระ.........พระภัททกาปิลานีเถรี

    *****ในกัปที่ 91 นับถอยหลังจากภัทรกัปนี้ สมัยของพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้านางภัททกาปิลานีได้บังเกิดเป็นนาง พราหมณีภรรยาของเอกสาฎกพราหมณ์(พราหมณ์ผู้มีผ้าผืนเดียว)สมบูรณ์ด้วยคุณธรรม แต่ขัดสนยากจนมาก..วันหนึ่งพระวิปัสสีพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม... แต่พราหมณ์ทั้งคู่มีผ้าห่มเพื่อออกนอกบ้านเพียงผืนเดียวจึงตกลงกันว่าให้ สามีไปฟังธรรมกลางคืน ภรรยาไปตอนกลางวัน ดังนั้นเมื่อภรรยาฟังธรรมในตอนกลางวันวันนั้นแล้วจึงส่งผ้าให้สามีไปฟังธรรม ตอนกลางคืน สามีฟังธรรมเกิดความปิติมาก..ในเวลาปฐมยาม(หัวค่ำ-4ทุ่ม) คิดพับผ้าถวายพระพุทธเจ้า..แต่ยับยั้งไว้เพราะคิดว่าถ้าไม่มีผ้าผืนนี้ห่ม ออกนอกบ้านตนและภรรยาก็จะไม่อาจออกนอกบ้านได้ ..และในเวลามัชฌิมยาม(4ทุ่ม-ตี2)ก็ยังเกิดความเสียดายอีก..แต่ในเวลา ปัจฉิมยาม(ตี2—6โมงเช้า) ได้ตัดสินใจเด็ดขาดเอาชนะความตระหนี่ พับผ้านั้นเข้าน้อมถวายแทบพระบาทของพระพุทธเจ้า ถอยออกมาแล้วปรบมือ 3 ครั้งร้องว่า”ชิตํ เม ชิตํ เม –เราชนะแล้วๆ”..ทันใดนั้นพระเจ้าพันธุมราชซึ่งประทับนั่งอยู่หลังม่านไม่พอ พระทัย จึงให้คนไปสอบถามสาเหตุที่พราหมณ์ทำเช่นนั้นพราหมณ์ชี้แจงว่า”ทหารผู้กล้า ขึ้นช้าง ถือดาบและโล่ห์เอาชนะข้าศึกได้ยังไม่น่าอัศจรรย์.. ส่วนเราเอาชนะจิตที่ตระหนี่ได้ ถวายผ้าห่มแด่พระศาสดา..นั้น น่าอัศจรรย์กว่า” พระราชาทรงเลื่อมใสในพราหมณ์นั้นประทานผ้าให้พราหมณ์ 1 คู่ แต่เมื่อพราหมณ์ได้ผ้าแล้วกลับถวายพระพุทธเจ้าอีก พระราชาเห็นดังนั้นก็ทรงประทานผ้าให้พราหมณ์อีก..พราหมณ์ก็ถวายพุทธเจ้าอีก เช่นนี้.ตั้งแต่.2 คู่...4 คู่..จนถึงคู่ที่ 32 จนพราหมณ์เห็นว่าสมควรเก็บไว้ 2 คู่(สำหรับตนและภรรยา) เพื่อมิให้พระราชาต้องพระราชทานผ้าให้อีก..จึงถวายพระพุทธเจ้าเพียง 30 คู่ เมื่อกลับถึงบ้าน นางพราหมณีได้อนุโมทนาต่อการกระทำบุญของสามี ทั้งสองจึงประสบความด้วยความเจริญและสุขสมบัติในภพต่างๆตลอดมา.

    กาลต่อมาเอกสาฎกพราหมณ์และภรรยา ได้เกิดเป็นพระราชาและพระมเหสีแห่งกรุงพาราณสี ได้นิมนต์ปัจเจกพระพุทธเจ้า 8 องค์ เพื่อถวายภัตตาหารและอาราธนาให้เข้าสู่มณฑปแก้วประดับทองซึ่งสร้างถวายด้วย ทรงเลื่อมใส..ต่อมาพระองค์และพระมเหสีได้สวรรคตลงและต่อมาต่างได้เกิดเป็น กุฎุมพีที่ร่ำรวยมากและได้แต่งงานกันในที่สุด..วันหนึ่งภรรยาได้ทะเลาะอยู่ กับน้องสาว..บังเอิญปัจจเจกพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งได้เข้ามาเพื่อบิณฑบาตร.. น้องสาวใส่บาตรแล้วว่า”ขอให้นางห่างไกลคนพาลเช่นนี้เถิด”..ภรรยากุฎุมพีโกรธ มาก..ไม่ต้องการให้พระได้ฉันอาหารนั้น จึงแย่งบาตรของท่านเททิ้งแล้วเอาโคลนใส่แทน..น้องสาวรีบห้ามว่า”ท่านทำเช่น นั้นไม่สมควรเลย ทำบาปกรรมหนักมาก”..เหล่าชนใน ณ ที่นั้นก็พากันติเตียน นางละอายแก่ใจจึงรีบขอบาตรคืนมา แล้วล้างบาตรอย่างดี ทาไล้ด้วยของหอมและใ ส่อาหารชั้นเลิศ4อย่างทั้งข้าวหอมสีดังดอกบัวหลวงลงไป..แล้วนำกลับไปถวายพระ ปัจเจกพระพุทธเจ้า ตั้งความปรารถนาว่า “อาหารที่ข้าพเจ้าถวายมีสีสวยฉันใด ขอให้ร่างกายข้าพเจ้าสวยงามฉันนั้น” ต่อมาสามีภรรยาได้ตายลง..ในต่อมาชาติหนึ่งในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า.. ฝ่ายสามีได้มาเกิดเป็นบุตรเศรษฐี 80 โกฏิ ..ฝ่ายภรรยาเกิดเป็นธิดาเศรษฐีอีกตระกูลหนึ่งเป็นผู้มีรูปงามมาก..ฝ่ายบุตร ชายเศรษฐีมีความพอใจในนางมาก..ไปสู่ขอ..เมื่อนำไปสู่ตระกูลของฝ่ายชาย....ก็ เกิดมีกลิ่นเหม็นจากร่างของนางคละคลุ้ง..ไม่มีใครทนได้..ต้องนำนางไปส่งคืน ตระกูลของนางดังเดิม..แต่บุตรชายเศรษฐีประสงค์จะได้นางเป็นภรรยาให้ได้ก็ให้ คนมานำนางไปอีก..แต่ก็ทนเหม็นไม่ได้...ต้องส่งนางกลับไป..เป็นเช่นนี้ถึง 7 ครั้ง..ด้วยอำนาจบาปกรรมที่นางเคยเอาโคลนใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าในปางก่อน ในกาลนั้นเองพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน มหาชนต่างช่วยกันสร้างพระเจดีย์ขึ้นสูง 1 โยชน์ ก่อด้วยอิฐทองราคาก้อนละหนึ่งแสน กหาปณะ ในขณะนั้นธิดาเศรษฐีมีความเสียใจ คิดว่า”เราต้องถูกส่งกลับบ้านถึง 7 หน เราจะต้องการอะไรกับชีวิตเรา” จึงสั่งคนให้ล้างเครื่องประดับของนางแล้วทำเป็นอิฐทอง..ได้อิฐทอง ยาว 1 ศอก สูง 1 คืบ 4 นิ้ว ทาด้วยหรดาล มโนศิลา มีสีแดงอมเหลือง แล้วนางนำอิฐทอง ทั้งถือดอกบัว 8 ดอก ไปที่พระเจดีย์นั้น ..ในขณะนั้น..การก่อสร้างพระเจดีย์ยังไม่แล้วเสร็จเพราะยังขาดอิฐทองอีก 1 ก้อนพอดี ..นายช่างก่อสร้างเห็นนางนำอิฐทองเข้าไปก็มีความยินดี..บอกนางว่า”นางมาได้ ทันเวลาพอดี ขอให้นำอิฐทองไปวางด้วยมือตนเองเถิด” ธิดาเศรษฐีจึงได้วางอิฐก้อนนั้นเชื่อมกับก้อนอื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วนาง บูชาด้วยดอกบัว 8 ดอก...กล่าวว่า..”ไม่ว่าข้าพเจ้าจะเกิดในที่ใดๆก็ตาม ขอให้กลิ่นกายของข้าพเจ้าหอมเหมือนกลิ่นจันทร์ และขอให้กลิ่นปากของข้าพเจ้าหอมดังกลิ่นบัว” ทั้งนางยังให้ช่างทำตะเกียงแก้ว ใส่น้ำมัน มีไส้อย่างดีจุดประดับพระเจดีย์ ล้อมพระเจดีย์รวมถึง 7 รอบ เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า เมื่อนางกราบไหว้พระเจดีย์แล้วทำทักษิณาวรรต แล้วกลับไปยังบ้านของนาง .. ต่อมาในเวลาไม่นานบุตรชายเศรษฐีได้กลับมาขอนางให้ไปสู่ตระกูลอีกแต่นางชี้ แจงว่าบัดนี้นางไม่มีเครื่องประดับแล้ว บุตรชายเศรษฐีได้ส่งมอบเครื่องประดับให้นางและพานางมาสู่ตระกูล เมื่อนางมาถึงบริเวณบ้านฝ่ายชาย กลับหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นจันทร์และดอกบัวจนบุตรเศรษฐีเกิดความสงสัย..นางจึง เล่าถึงการไปทำบุญสร้างพระเจดีย์และคำอธิฐานของนาง บุตรชายเศรษฐีเกิดความเลื่อมใสจึงสละของมีค่าของตนเพื่อบูชาพระเจดีย์บ้าง.>>
    เมื่อ สามีภรรยาคู่นี้ตายลงได้มาเกิดเป็นพระเจ้านันทราชและมเหสีแห่งเมืองพาราณสี บำเพ็ญกุศลตลอดชั่วอายุขัย.ภายหลังสละราชสมบัติออกผนวชทั้งสององค์จนได้ฌาน เมื่อสิ้นพระชนม์ก็ไปเกิดในพรหมโลก


    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ ขอเชิญอ่านตอนต่อไปค่ะ
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,537
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ...... ในชาติสุดท้ายท่านได้จุติจากพรหมโลกโดยอดีตพระเจ้านันทราชมาเกิดเป็นปิปผลิ มานพ บุตรของกบิลพราหมณ์ ผู้มีความร่ำรวยมากแห่งกรุงราชคฤห์ ส่วนอดีตพระมเหสีจุติเป็นนางภัททกาปิลานีบุตรีของพราหมณ์โกสิยโคตร แห่งสาคลนคร แคว้นมัททะ มีความร่ำรวยมากเช่นกัน
    *เมื่อ ปิปผลิมานพอายุได้ 20 ปีไม่ประสงค์จะมีภรรยา แต่บิดามาดารบเร้าให้แต่งงาน.จนเขาอยากให้เลิกพูดจึงแกล้งให้ช่างทองทำทองคำ 1000 แท่งเป็นรูปทองของสตรีที่งดงามไม่มีที่ตินางหนึ่งให้บิดามารดาชม
    มารดาของปิปผลิมาณพเมื่อชมกลับ เข้าใจว่าบุตรชายของท่านคงทำบุญมามาก และต้องเคยทำบุญมาร่วมกับสตรีสักคนหนึ่งซึ่งนางคงต้องงดงามเช่นรูปทองคำ นี้..จึงสั่งให้พราหมณ์ 8 คนไปหานางผู้ที่มีรูปเหมือนทองคำที่ทำขึ้นนี้ ..พราหมณ์ทั้ง 8 จึงได้ออกค้นหา
    **นางภัททกาปิลานีเป็นผู้มีรูปโฉม อันโสภาไม่มีสตรีใดในสาคลนครงดงามเท่า และนางยังมีคุณลักษณะพิเศษคือ เวลากลางคืนกายของนางจะมีรัศมีแผ่สว่างไปทั่วราว 12 ศอก โดยไม่ต้องจุดตะเกียงเลย... ในขณะที่นางอายุได้ 16 ปี พราหมณ์ ทั้ง 8 ก็ได้มาถึงสาคลนครแคว้นมัททะ เมื่อมาถึงท่าน้ำแห่งหนึ่ง ได้วางรูปทองไว้และพักผ่อนกัน ขณะนั้นแม่นมของนางภัททกาปิลานีได้มาถึงท่าน้ำ บังเอิญเห็นรูปทองโดยไม่ทันสังเกตให้ดีก็ดุเข้าว่า”แม่ภัททานี่ว่ายาก จริง..ให้อยู่ที่บ้านแล้วทำไมมายืนอยู่ที่นี่” ในขณะนั้นเองพราหมณ์ทั้ง 8จึงทราบว่า ตนจะได้พบสตรีที่เหมือนรูปทองนั้นแล้ว เมื่อได้ไต่ถามทราบความแล้วจึงเล่าความเป็นมาให้แม่นมทราบแล้วให้นางพาไปยัง บ้านของนางภัททกาปิลานี
    พราหมณ์ทั้ง 8 ได้พบบิดาของนางจึงแจ้งว่า”พวกเรามาจากเรือนของกปิลพราหมณ์แห่งบ้านมหาติตถคาม แคว้นมคธ มาเพื่อสู่ขอธิดาท่าน
    บิดาของนางภัททกาปิลานีกล่าวว่า”ดีละ กบิลพราหมณ์นั้นมีชาติ โคตร และทรัพย์เสมอกับเรา เราจะให้ลูกสาว” แล้วรับเครื่องบรรณาการไว้พราหมณ์ ทั้ง 8 จึงแจ้งให้กปิลพราหมณ์ทราบ เมื่อได้รับข่าวบิดามารดาจึงแจ้งต่อปิปผลิมาณพๆคิดว่า”เราไม่ต้องการจะมีคู่ เราจะเขียนจดหมายส่งไปถึงนาง” และได้มอบจดหมายปฏิเสธการแต่งงานให้คนรับใช้ถือไป... ฝ่ายนางภัททกาปิลานีก็เช่นกันได้มอบจดหมายปฏิเสธการแต่งงานของตนมอบให้คนรับ ใช้ถือไปให้ปิปผลิมาณพ... ปรากฏว่าคนรับใช้ทั้งสองไปพบกันโดยบังเอิญในระหว่างทางจึงได้ตรวจดูข้อความ ของกันและกันเมื่อได้ทราบความในจดหมายจึงได้เขียนข้อความใหม่และทิ้งข้อความ เดิมเสีย..กลายเป็นข้อความที่ว่าทั้งคู่เต็มใจที่จะแต่งงานกัน..เมื่อแต่ง งานแล้ว..วันแรกของการแต่งงานในคืนนั้นปิปผลิมาณพให้ดอกไม้พวงหนึ่งแก่นาง ภัททา นางภัททาก็มอบดอกไม้พวงหนึ่งให้เช่นกัน ปิปผลิมาณพและนางต่างนำดอกไม้นั้นวางกลางที่นอน แล้วขึ้นเตียงคนละด้านแล้วกล่าวว่า..”ดอกไม้ของผู้ใดเหี่ยวเฉา เราย่อมจะรู้กันได้ว่า ผู้นั้นมีจิตราคะ คือความกำหนัดยินดีเกิดขึ้นแล้ว และเราไม่ควรจับต้องดอกไม้เหล่านี้เพื่อเก็บไว้ดูในวันรุ่งขึ้น”...
    การ ครองคู่ของทั้งสองท่านจึงไม่เกี่ยวกันในทางโลกียวิสัยเลย...จนถึงเมื่อบิดา มารดาถึงแก่กรรม ท่านทั้งสองจึงได้จัดการทรัพย์สมบัติสืบแทนต่อมา ทรัพย์สมบัติของปิปผลิมาณพมี 80 โกฏิ มีผงทองคำสำหรับใช้ชำระร่างกายแล้วทิ้งไปวันละ 12 ทะนาน มีสระน้ำใหญ่เพื่อประโยชน์ 60สระ มีโรงงานเนื้อที่ 12 โยชน์ กองช้าง 14 กอง กองม้า 14 กอง กองรถ 14 กอง.
    วันหนึ่ง ปิปผลิมาณพ ได้ออกตรวจดูกิจการ หยุดดูที่นาข้าวนาพบว่ามีฝูงนกกำลังจิกกินไส้เดือนและสัตว์เล็กๆในนา จึงได้ถามชนทั้งหลายว่า”บาปที่นกนั้นได้จิกกินสัตว์ในนาตกแก่ใคร” จึงพบว่าตกแก่ตน..พลันคิดรำพึงว่า......”หากบาปเหล่านี้ตกแก่เรา ทรัพย์สมบัติทั้งหมดจะมีประโยชน์อันใดเล่า..เราจะมอบทรัพย์ทั้งหลายให้นาง ภัททา แล้วออกบวช”... ฝ่ายนางภัททกาปิลานีในวันนั้นได้แลเห็นนกกามาจิกกินสัตว์เล็กๆในเมล็ดงาที่ นางใช้ให้คนตากไว้..จึงถามว่า”บาปตกแก่ใคร”..พบว่ามีแก่นางเอง นางจึงคิดว่า”ถ้าบาปอกุศลต่างๆตกแก่เรา เราจะยกทรัพย์ให้แก่พี่ปิปผลิแล้วออกบวช”....เมื่อทั้งสองท่านพบกันในเวลา เย็น จึงมีความเห็นตรงกันว่าจะออกบวช จึงให้คนรับใช้ไปจัดการเรื่องเครื่องนุ่งห่ม..ส่วนท่านทั้งสองปลงผมให้กัน และกัน เมื่อชำระร่างกายและนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์แล้ว..ท่านทั้งสองจึงกล่าวว่า”พระ อรหันต์เหล่าใดมีอยู่ในโลก บรรพชาของเราสองคน มีเฉพาะต่อพระอรหันต์เหล่านั้น” แล้วท่านทั้งสองนำบาตรใส่ในถลกบาตร มีสายคล้องบ่า พากันเดินลงปราสาทไป.
    ทั้งสองออกเดินออกจากหมู่ บ้านพราหมณ์ไปทางหมู่บ้านทาส พวกชาวทาสจำได้ พากันร้องไห้หมอบลงที่เท้ากล่าวว่า”เหตุใดท่านทั้งสองจึงกระทำให้พวกเราเป็น อนาถาหาที่พึ่งมิได้” ปิปผลิมาณพจึงกล่าวว่า..” นี่แน่ะพวกท่าน เราทั้งสองคนบวชเพราะเห็นว่า ภพทั้งสามเป็นประดุจศาลาใบไม้ถูกไฟลุกไหม้ ถ้าเราจะทำท่านทั้งหลายแต่ละคนให้เป็นไทแล้วละก็แม้ร้อยปีก็ไม่เพียงพอ พวกท่านจงพ้นจากความเป็นทาส เป็นไทเลี้ยงชีวิตอยู่กันเองเถิด” แม้พวกทาสร้องไห้อยู่ท่านทั้งสองก็เดินหลีกไป ปิปผลิมาณพเดินนำหน้านางภัททกาปิลานีไปได้ระยะหนึ่งก็หันกลับมาดูคิดว่า “นางภัททาเป็นหญิงมีค่าคู่ควรแก่ชมพูทวีปทั้งปวง นางเดินตามมาข้างหลังเรา ใครๆก็อาจคิดไปว่า คนทั้งสองนี้แม้บวชแล้วก็ยังอยู่ห่างกันไม่ได้ ไม่สมควรเลย คนที่คิดเช่นนั้นจะพึงทำอบาย(ทุคติภพ)ให้เต็ม” เมื่อเดินถึงทางสองแพร่งจึงหยุดอยู่ นางภัททกาปิลานีตามมาข้างหลัง จึงไหว้แล้วยืนอยู่ ปิปผลิมาณพกล่าวว่า “นี่แน่ะภัททา คนทั่วไปเห็นหญิงเช่นเจ้าเดินมาข้างหลังเรา อาจจะมีจิตคิดประทุษร้ายในพวกเราว่า แม้บวชแล้วก็ไม่อาจห่างกันได้ พวกเขาจะทำอบายให้เต็ม ตอนนี้เราอยู่ทางสองแพร่ง เจ้าจงเลือกทางหนึ่ง เราจะไปอีกทางหนึ่ง” นางภัททกาปิลานีกล่าวว่า..” ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้ามาตุคามทำให้บรรพชิตทั้งหลายกังวล และคนทั้งหลายก็จะตำหนิเราได้ว่า สองคนนี้แม้ออกบวชแล้วก็ยังไม่เว้นจากกัน” นางทำประทักษิณแล้วไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ในที่ทั้ง 4 แห่ง ประนมอัญชลีกล่าวว่า..”ความสนิทสนมโดยความเป็นมิตรที่มีร่วมกันในกาลแสนกัป สิ้นสุดในวันนี้ ตัวท่านเป็นชายชื่อว่าเบื้องขวา ทางขวาย่อมควรแก่ท่าน ส่วนตัวดิฉันเป็นมาตุคาม เป็นผู้มีชาติเบื้องซ้าย ทางซ้ายย่อมสมควรแก่ดิฉัน” นางไหว้แล้วต่างคนต่างเดินจากกัน.. ครั้งนั้นมหาปฐพีได้ไหวสะเทือน..
    **ขณะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ในคันธกุฎี ภายในพระเวฬุวันวิหาร ทรงสดับเสียงแผ่นดินไหวแล้ว ทรงรำพึงว่า.. “ ปฐพีไหวเพราะอะไรหนอ” แล้วทรงทราบว่า” บัดนี้ปิปผลิมาณพและนางภัททกาปิลานี ละทิ้งสมบัติอันประมาณมิได้บวชอุทิศเรา กำลังคุณงามความดีของคนทั้งสองนั่นเมื่อแยกจากกัน ทำให้แผ่นดินไหว เราควรไปทำการสงเคราะห์คนทั้งสองนี้”......จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฎี ทรงถือบาตรและจีวรเอง เสด็จไปทรงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่โคนไม้พหุปุตตนิโครธ ระหว่ากรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทา..พระองค์ทรงประทับนั่งอย่างเปิดเผย ทรงเปล่งพระพุทธรัศมีออกไปรอบๆประมาณ 80 ศอก ทำให้ต้นไม้นั้นมีสีทองหมดทั้งต้น ..
    **..ท่านปิปผลิเดินมาเห็นแล้วคิด ว่า คนผู้นี้คงเป็นพระศาสดาของเรา เราบวชอุทิศพระศาสดาพระองค์นี้ จึงน้อมตัวลงเดินเข้าไปหา ไหว้ 3 ครั้งแล้วกราบทูลว่า..” ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก” ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า”ดูก่อนกัสสปะ(ตรัสเรียกตามโคตร) ถ้าเธอพึงทำความเคารพนับถือแก่แผ่นดินนี้ แผ่นดินก็ย่อมไม่อาจรองรับไว้ได้ แต่ความเคารพนับถือของเธอผู้รู้ความที่พระตถาคตเป็นผู้มีคุณมาก ก็ไม่อาจทำแม้ขนของเราให้ไหวได้ กัสสปะเธอจงนั่ง เราจะให้ทรัพย์มรดกแก่เธอ” แล้วทรงประทานอุปสมบทด้วยโอวาท 3 ข้อ.. ท่านรับแล้วก็ถือว่าได้รับอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว..จากนั้นเมื่อพระมหากัส สปติดเสด็จพระศาสดาได้แวะประทับที่โคนไม้แห่งหนึ่ง พระมหากัสสปะจึงปูลาดสังฆาฏิของท่านลง แล้วทูลให้ประทับนั่ง ทรงลูบผ้านั้นแล้วตรัสว่า”.. ผ้านี้แม้เก่าแต่ก็อ่อนนุ่ม” พระมหากัสสปจึงทูลถวายผ้านั้น..พระพุทธองค์ทรงเปลี่ยนจีวรกับพระมหากัสสป.. โดยตรัสว่า”..กัสสปะ เธออาจใช้ผ้าบังสุกุลเก่าเพราะใช้สอยมากหรือ? เพราะในวันที่ เราถือเอาผ้าบังสุกุลผืนนี้ มหาปฐพีได้ไหวแล้ว ธรรมดาจีวรเก่าอันเป็นเครื่องใช้สอยของพระพุทธเจ้าผืนนี้ บุคคลผู้มีคุณน้อยย่อมไม่อาจใช้สอยได้ เพราะจีวรนี้เหมาะแก่ภิกษุผู้ถือบังสุกุลเป็นวัตรมาแต่กำเนิด เป็นภิกษุผู้ฉลาดในการบำเพ็ญปฏิบัติโดยเฉพาะ จึงควรใช้สอย”..ทันใดนั้นมหาปฐพีก็ไหวอีก..ต่อมาพระมหากัสสปได้สมาทานธุดงค์ คุณ 13 ข้อ จากสำนักพระศาสดา ท่านเป็นปุถุชนอยู่ได้ 7 วัน ในวันที่ 8 ท่านได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา.
    **ส่วนนางภัททกาปิลานี เมื่อได้เดินแยกทาง จากท่านปิปผลิบรรพชิต ก็ได้เดินทางไปสู่สำนักของพวกปริพาชิกา และได้บวชอยู่ในสำนักนั้นถึง 5 ปี กาลต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตพระนางมหาปชาบดีบรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุณี ในพระพุทธศาสนาได้แล้ว นางภัททกาปิลานีปริพาชิกา จึงได้เข้าไปหาพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี และได้บรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุณีในพระพุทธศาสนาfficeffice" />>>
    หลัง จากบวชแล้ว พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแก่ท่าน และท่านได้ตั้งใจเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เวลาไม่นานเท่าไรก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลเป็นพระอรหันต์ทั้งได้เป็นผู้ชำนาญใน บุพเพนิวาสานุสติญาณ(ความรู้ที่ระลึกชาติก่อนได้) ท่านจึงได้รับยกย่องว่าเป็นเลิศที่สุดในด้านนี้.
    พระ ภัททกาปิลานีเถรี ได้กล่าวคาถาหลังจากเป็นพระอรหันต์แล้ว..ความว่า..”พระมหากัสสปเถระ เป็นบุตรทายาทของพระพุทธเจ้า เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว รู้ระลึกชาติก่อนได้ ทั้งเห็นสวรรค์และอบาย ท่านบรรลุพระอรหัตผล อันเป็นความสิ้นชาติ เป็นผู้สำเร็จกิจ เพราะรู้ยิ่ง เป็นมุนี เป็นพราหมณ์ผู้มีวิชชา 3 ประการ ด้วยวิชชา 3 เหล่านี้ . เราชื่อว่าภัททกาปิลานีได้สำเร็จวิชชา(ความรู้แจ้ง )3 ประการเหมือนพระมหากัสสปเถระ เราได้ชนะมารพร้อมทั้งพาหนะแล้ว เรามีอัตภาพนี้ เป็นอัตภาพสุดท้าย เราทั้งสองคนได้เห็นโทษในโลกแล้วออกบวช เราทั้งสอง คน เป็นผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว มีอินทรีย์(ร่างกายและจิตใจ) อันฝึกหัดดีแล้ว เป็นผู้มีความเย็นใจ ดับความร้อนได้สนิทแล้ว.”

    *************************

    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  20. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    welcome3ขอแสดงความยินดีและอนุโมทนาจิตบุญ130น้องเป้ด้วยค่ะและคุณครูแนทรวมถึงคุณครูทุกท่านด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...