จะโยนิโสฯธรรมบทใดได้นั้น ผู้นั้นต้องมีความรอบรู้มาก่อนใช่หรือไม่!?!

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 16 พฤษภาคม 2015.

  1. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    อ๋อ เอา อกว. เป็น อ. :d(deejai) สาธุครับ
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อันนี้ มิจฉาทิฏฐิ จิตเที่ยง พระพุทธองค์จะถามกลับว่า จิตเกิดจากปัจจัย ใช่หรือไม่
    ถ้าเว้นจาก ปัจจัยแล้ว จิตจะเกิดได้อีกไหม !?

    การปรารภเรื่อง วัฏสงสาร ไม่ใช่ ยกปรารภเพื่อ ท้อใจ เพื่อต่อรองให้กิเลสมันขย้ำ
    ถ้า สามารถกำหนดรู้ซึ่งเหตุปัจจัยได้ จะยังปรารภ ปฏิสนธิวิญญาณ อีกหรือ !!?

    ธรรมะนั้น มีที่สุด งานการภาวนาต้องมีที่สุด และ สุดได้ ไม่จำกัดกาล ไม่ใช่การ
    สะสม เพราะ การสะสม พระพุทธองค์ทำให้แล้ว ธรรมที่พระพุทธองค์ประกาศ
    ไม่ใช่ ของโหลยโถ้ย ที่ทำตามๆกันไปเพื่อกุศล แต่ ทำแล้ว ต้องเห็นผลได้ในทุกวินาที !!!

    หากยก อ้างโน้นอ้างนี้ เท่ากับ กระทืบพระโอษฐ์ กร่อนคุณค่า สัทธรรม


    นี่ก็ มิจฉาทิฏฐิ ปฏิจสมุปบาท หรือ วัฏสงสาร มันหมุนวน

    การหมุนวน ไม่ใช่เรื่อง การมีชีพ มีการสะสม หากเห็นธรรมะเป็นเรื่องการสะสม
    จะไม่เข้าใจ " ปฏิจสมุปบาท " .....หนทางออกมี ไม่ใช่ไม่มี ซึ่งจะต้อง
    ภาวนาด้วยความแยบคาย ไม่ใช่ จดจำ อมคำของ พระตถาคต แล้วคิดว่ารอด
    [ มันทำให้ สุข สงบ แค่ เสวยสวรรคิ์ ]


    นี่ไปกันใหญ่ เขาแยกออกมา เพื่อให้เห็น การวนรอบในส่วนกองขันธ์
    ในแต่ละกองขันธ์มันทำงาน หมุนไปตาม ปัจจัยการ ได้ ไม่ใช่ กองหนึ่ง
    ก็มีเราคนหนึ่ง อีกกองหนึ่งก็มีเราอีกคนหนึ่ง ต่างกองต่างเก็บ ความเป็น
    เราแยกกัน .....

    เขามีแต่ภาวนาแยก ขันธ์ เป็นกองๆ แล้ว ก็ อ๋อ อัตตาตัวตนมันไม่มี

    เหมือน แยกรถออกเป็นล้อ พวงมาลัย เพลา เครื่องยนต์ มันต่างทำงาน
    ตามฟังก์ชั่น ตามปัจจัยการของมันในแต่ละส่วน ไม่ใช่ว่า มันเป็นรถ
    ล้อก็เป็นรถ เพลาก็เป็นรถ เพราะมันเก็บการงานเพื่อการเป็นรถ !!!
    โอยยยย พื้นฐานการภาวนา วิภัชวิธี แยกออกเป็นส่วนๆ เพื่อทำให้
    เห็นชัดว่าไม่ใช่ อัตตาตัวตน เรือหาย บรรลัยหมด เพราะ ปีระมิดใส่ในสายยาง !!!


    อันนี้หาก แยกขันธ์ออกเป็นจริงๆ จะเห็นชัดใน " กามสัญญา "
    คือ เมาสัญญา เมาว่าสัญญามันคือชีวิต มันล่วงไปแล้ว พระพุทธองค์
    ไม่ให้ตรึกซ้ำ การไปเห็นเขาให้ยกเห็น ปัจจัยการเท่านั้น ไม่ใช่
    ยกเห็นแล้วมานั่งป้อแป้ ป้อแป้ สร้างปีรมิดยัดสายยาง เอามา สวมคอ แก้กรรม


    กุศล มันเป็นเครื่องอาศัย อาศัยเพื่ออยู่สุขในปัจจุบันธรรม เท่าที่จะเป็นไปได้
    หากกรรมไม่ตัดรอน ก็ทำให้ มีโอกาสเห็น ทุกข์ ชัดๆ

    เน้นว่า เอากุศล มาเป็นตัวสร้างหนุนให้เห็น ทุกข์ชัดๆ เขาไม่ได้ อาศัยกุศล
    เพื่อสะสม เพื่ออยู่ เพื่อเป็น เพื่อเอ้อระเหย เพื่ออวดว่ากูทำกุศล เองไม่ทำ อย่า
    มาสอนกู !! คนละเรื่อง

    ทำฌาณ นี่กุศล ชนิด คุรุกรรมฝ่ายดี กรรมที่พอมั่นใจได้ว่า จะให้ผลก่อน
    แต่ กรรมตัดรอนหากมี คุรุกรรม ก็ช่วยอะไรไม่ได้ !!!

    แปลว่าอะไร แปลว่า นั่งปั้นขี้ทำฌาณรหัสพ่อรหัสแม่89 หาก กรรมหนักมัน
    ตามาทัน ฌาณก็ช่วยฮาอะไรไม่ได้ ตายตัวแหลกเหลวอย่าง พระโมคคัลลานะ นั่น
    แล้ว กุศลหน้าไหนอีกหละ จะมาอ้าง ทำเพื่อสะสม !!! พลัดวันประกันพรุ่ง

    ไม่ใช่เรื่องราว เห็นตามความเป็นจริง ก็คือ " เห็นมันเกิด แล้วก็ดับ " ความจริง
    มีแค่นี้ แต่กว่า ใจจะยอมรับการเห็น กว่าจิตจะยอมรับ ขณะจิตที่เห็น นั่นแหละ
    คือการ "แจ้ง" มันจะโดน ขันธ์5ขยับหลอกพาไปรู้ในแบบเรื่องราว นั่น ตกรรมฐาน
    ไปแล้ว จิตตกจากสมาธิไปแล้ว !!!



    นี่ก็วนซ้ำเนาะ ทางออกเนี่ยะมี ไม่ใช่ไม่มี หาก ไปเห็นว่า ยังไงๆ
    ก็หนี " ภวังคจิต " ไม่ได้ แล้ว จะภาวนากันไปทำไม

    ทางออกมันต้องมีสิคร้าบท่าน [ ภาวนาแค่เอา อยาตนะ6 ออกได้ ก็ทราบ
    " ปัญจวิถี " ทราบ หรือ เห็น วิถีจิตที่ไม่แล่นไปใน ภวังค์ ได้แล้ว ใช้กำลัง
    สมาธิแค่ ปฐมฌาณ ] หรือ แค่ทำ ปฐมฌาณให้เป็น ก็พอเห็นการพ้นอำนาจ ภวังค์
    แล้วครับท่าน

    ตัวตน มันไม่ได้มี ขันธ์5ทำงาน มันก็ไม่ใช่เพราะ ทำงานเพราะความเป็นตัวตน

    ขันธ์5 มันทำงานตาม ธรรมชาติ ตามกฏ ตามธรรมนิยามของมัน ไม่ใช่ มันทำ
    เพราะมันเป็น ปัจเจกชีวะ ก็หาไม่

    ความเป็น ตัวตน มันเกิดจาก การเข้าไปอุปทานว่า ขันธ์5 คืออะไรที่ เลิศ
    แสมนแตน ต่างหาก ...เพราะ ไม่รู้(อวิชชา)หรือ โง่!!! จึงไป ฉวยเอาขันธ์5
    มาสร้าง " อัตวาทุปาทาน " หลังจากนั้น สัญญาจึงวิปลาส สำคัญว่า เป็นสัตว์
    ตัวตน บุคคล เราเขา

    มันไม่ได้เก็บ มันเป็นเพียง แรงเหวี่ยงบางอย่าง ที่ขว้างออกไป ก็ วนกลับมาที่เดิม

    แต่การจะกลับมาที่เดิม หากไป กระทบอย่างอื่นก่อน มันก็ เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น
    แต่ มันก็จะต้องวนกลับมาที่เดิมให้ได้ จึงเกิด การหมุนรอบ ของ กงกรรม กงเกวียน

    เหมือนดัง โค ที่เขาเทียมไว้กับรหัส จะเดินอย่างไร ก็ต้อง วนมาที่เดิม เพราะมันมี
    แอก หรือ ธรรมนิยาม หรือ วงปฏิจสมุปบาท ร้อยรัดมันไว้ !!!

    ดังนั้น มันไม่ได้วนเวียน เพราะว่า มันเป็น อมตะ

    หนทางออกมี ก็ก็แค่ ยกแอกออก แล้วไป นั่งพัก จบกิจ จบงาน เลิกโง่ ให้ขันธ์5
    บ่วงของมาร มันพาไปเชือด !!

    นี่ก็ คนละเรื่อง

    ไปอ่านดีๆ พระพุทธองค์ตรัสว่าอย่างไร บรรลุธรรมเพราะ เห็นอะไรกันแน่

    บุพเพวาสนานุสติ การระลึกชาติได้ อ่านดีๆ เขาหมายถึง " ระลึกไปก็งั้นๆ "
    ต่อให้ระลึกได้มากกว่านั้น ก็ไม่ทำให้ บรรลุ

    เพราะอะไร เพราะ สัญญามันไม่เที่ยง

    เหมือนเรา ทำผิด เราระลึกได้ วันแรกๆ ก็แหม ดี๊ดี แต่พอ ปัจจัยการมัน
    ร้อยรัด ไอ้ทีสำนึกผิดได้ มันก็ ลืมเอาดื้อๆ นึกไม่ออกหลอก ต่อให้นึกได้
    ก็ไม่ได้มายับยั้งอะไร ระลึกปั๊ป มันก็ดับปั๊ป เอาดื้อๆ ไม่ตัก ไม่เตือน อะไรเลย
    ทำชั่วเหมือนเดิม

    งงไหม คือ ชาตหนึ่งทำไม่ดี ระลึกได้ ก็ทำดี ชาติต่อมาก็เลยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์
    ทำบุญ ทำทาน บูชายัญอย่างดิบดี แต่พอ ปัจจัยมันร้อยรัด ก็โลภ อย่างเก่า
    เป็น ถึงพระเจ้าจักรพรรดิ๋ยังอยาก ฆ่า ท้าวดุสิตเพื่อ ยึดครองสวรรคิ์ [ ชาดก
    เรื่องหนึ่ง ] และเพราะ กรรมนั้นก็มาเสวยเป็น ท้าวเข็ญใจ ในชาติต่อๆมา
    หมุนเวียนอยู่อย่างนั้น

    เพราะอะไร เพราะ ลืมกำหนดรู้ สามัญลักษณ์ของ สัญญา ว่า มันไม่เที่ยง
    มันไม่ได้ ช่วยฮาอะไรใครได้ ทั้งนั้น


    และ เพราะเห็น สัญญาไม่เที่ยง ชัดเจน จนยอมรับ มันถึง จะแหวกออก ปลด
    แอกออก แล้วออกไปนั่ง จบกิจจบงาน !!

    จะต้องไป ตัดทำเฮียอะไร เขาให้เห็นว่า มันไม่เที่ยง มันดับของมันอยู่แล้ว

    นี่ไปสำคัญว่า สัญญาจะเที่ยง เลย ไปดำริผิดๆว่า ต้องตัดสัญญา ตัดทำพ่อปิรามิด หรือคัฟ

    หนุนแบบ ทำแบบ ก่อแพ และรีบๆ ข้าม เพราะว่า แพมันต้องแตก

    กุศลมันต้องสลาย หายไป อยู่วันยันค่ำ

    หากทำไปแล้ว ไปนั่งประมาท โอ้ย เรามี กุศลกองโต รอให้ผล เรือหายเลย

    แพหานเลย แพมันแตกสลายไปปีมะโว้แล้ว มันให้ผลไปแล้ว แต่มี
    กรรมมาตัดรอนให้มีผล เพียง ขี้เล็บเค็มๆ อมดูดแล้วมีความสุข แค่นั้นก็มี

    เนี่ยะ ก่อแพ ก่อกุศล เพื่อ ถีบตัวออกจากมัน และต้องถีบตัวออกจากแพ
    ก่อนมันจะจม สลาย หายไป

    ปัญญา มันก็เป็น กองขันธ์ อย่างหนึ่ง .........หาก ยึดมั่นถือมั่น แม้นในกองปัญญาขันธ์ โอยยยยยยยยยยยยยยยยยย โดนหลอกแล้วครับท่าน

    ปัญญา ก็เป็นสิ่งเกิด ดับ ......เกิดขึ้นตอนที่มีเหตุให้เกิด
    หากไม่มีเหตุ ปัญญาขันธ์ ก็ไม่เกิดขึ้นมา ไม่ต้องเอามาใช้



    เอาไปพินาเองนะ ภาษานั้น เถื่อนไปบ้าง แต่เป้าประสงค์ เพื่อ ตี อุปทานให้หลุด
    ออกจากมือ และ เล็งเห็น สามัญลักษณ์แท้ๆ อย่ามันแต่ ตรึกแบบเปรียบเทียบ
    แบบสัตว์พยายามเรียนธรรมะ

    เราต้องภาวนา ด้วยการ ยกความเป็นขันธ์ ให้มันทำงาน พร้อมแสดงไตรลักษณ์
    ให้เห็น ในปัจจุบันธรรม นี่เลย มันถึงจะเห็น ปัญญาธรรม ที่เงียบกริบ ไม่ใช่
    ปัญญาที่พูดได้

    ปัญญาทีเขียนกลอนธรรม หลอกพุทธบริษัทให้โง่ หลงโวหาร หลงอำนาจโวหาร
    โดนมันหลอกว่ามีธรรมะ
     
  3. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    อ๋อ!!ไม่ใช่ดูลายเซ็นลุงแมว
    ก็จะรู้ว่าไม่ใช่แน่นอน
    ถ้า มจด.นี่อาจมีส่วนนะฮะ
     
  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,421
    ค่าพลัง:
    +3,204
    พูดไปสองไผ่เบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง
    ได้ข้อคิดว่าอย่างหนึ่ง การบอกสอนคนที่เป็นการโดยเฉพาะ
    การที่จะทำให้ธรรมะเข้าไปในใจเขานั้นไม่ใช่ง่ายเลย
    1.หากไม่ประกอบด้วยเมตตาแล้วไซร้
    2.หากไม่ถูกกาล หรือ ไม่รู้จริตนิสัยวาสนาของเขาจริง
    3.หากไม่เป็นวาจาสุภาษิต ที่เป็นจริงและได้ประโยชน์แก่ผู้ฟัง
    4.หากไม่มีวจีกรรมที่ไพเราะ ไม่ดูหมิ่น ดูแคลนกัน

    หากไม่ครบองค์ประกอบทั้ง 4 ข้อ หรือ ขาดข้อใดข้อหนึ่ง

    ก็ให้คิดเสียว่า พูดไปสองไพรเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง
    เพราะไม่มีประโยชน์อะไร ขอบคุณคะ ทีหลังไม่ต้อง
     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ใจมันไม่รับ

    ทีนี้

    ดูดีๆ


    ใจมันไม่รับทางไหน ทางส่วนเหตุผล หรือว่า เออแหนะ ไอ้คนนี้มันพูดหยาบคาย

    ไหนเลย เรา โยนความผิด ที่ไม่เข้าใจว่า มันสื่ออะไร เป็นเพราะ มันหยาบคาย ก็แล้วกัน


    อะจึ๋ยส์ อะจึ๋ยส์



    ไปพิจารณาเอาเองนะฮับ

    ว่า จะสุกเอาเผากิน เหมาเข่ง ว่า เพราะหยาบคาย จึงไม่เข้าใจ มันสื่ออะไร

    หรือ จะ เฝ้นลงไปว่า " เอ มันพูดอะไรที่เราไม่เคยได้ยินจากไหนมาก่อน รึเปล่า "


    " ธรรมที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ใดมาก่อน " มันมี รสชาติอย่างไรกับ " ธรรมะที่ฟังกี่ทีก็พยักหน้า
    หงึกๆเข้าใจ ทราบซึ้งในบทกวี เชื่อดายไปว่า คนร่ำกลอนกวีนั้น มีธรรมะ "
     
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,421
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ทำไมพระพุทธองค์ทรงให้เลือกคบคน
    อเสวนาจพาลานัง เป็นมงคลข้อแรกใน 38 ข้อ
    เพราะทุกคำพูด ทุกการกระทำ และทุกความคิด
    มันมีแรงดึงทำให้เราเป็นไปตามอำนาจนั้น
    หากเราไม่มีสมาธิ หรือ มีใจที่ฝึกมาดีพอ
    ไม่มีใครอยากเป็นคนเลว แต่เมื่อเจอแรงดึง
    ของอกุศลมาก ๆ แรงเหนี่ยวนำมากกว่าอาจต้านทานไม่ไหว
    มงคลข้อแรก จะช่วยป้องกันได้มาก

    ไม่ต้องคิดอะไรมาก ธรรมะก็คือ ธรรมะ คือ ความจริง
    ถ้าไม่ใช่ก็ทิ้งไป เก็บเอาไว้เฉพาะส่วนที่มีประโยชน์ก็พอ
    ผู้มีปัญญาเขาจะพิจารณาเห็นเอง
     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็ไป พินาเอาหลายๆ ตลบ นะฮับ

    สรุปเข้าไปได้ยังไง แยกขันธ์5 แล้ว แทนที่ จะทำให้ อัตตามันเบาบาง เห็นทางออก

    กลับกลายเป็นว่า แยกขันธ์5แล้ว แต่ละกอง กูทั้งนั้นเลย นั่นก็กู นี่ก็กู หนทางออก
    ไม่มี

    ซ้ำร้าย จิตตกภวังค์ก็ป้อแป้ๆ จิตที่ปราศจากภวังค์ พ้นภวังค์ ภาวนาตัดภพตัดชาติ ไม่รู้จัก


    รู้จักแต่ กลอนธรรมะสวยๆ สอนน่ารัก แต่โน้น พาไปเอา สายยางมายัดปีรามิดคล้องคอ
    เพื่อเป็น กุศล เกื้อหนุน ภาวนา !!
     
  8. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    สมัยก่อนหลวงพ่อจะบอกว่า "นี่เป็นการทดสอบ"
    ฝึกไปเถอะครับ...ผิดถูก ย่อมรู้ได้ด้วยตัวเอง...
    ปกติผมก็ไม่ค่อยเข้ามาตอบสักเท่าไร มีแต่จะมาเล่านิทานบ้าง ก็เห็นจะมีกระทู้ลุงแมวนี่แหละครับ...โพสไหน ไม่ซีเรียสนัก ก็จะเข้ามาเฮฮาด้วย...
    ...ยิ้มไว้นะครับ...ยิ้มให้ถึงจิต...จิตยิ้ม...อย่าจิตตกเลย...
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    " สัญญา มันไม่เที่ยง "

    วิธีพิสูจน์ ที่พระพุทธองค์ประทานไว้ให้คือ " ให้ท่องให้คล่องปาก จำได้ขึ้นใจ "

    เสร็จแล้ว " เพ่งให้ดีๆ " เวลาที่ มันลืม จำได้ขึ้นใจก็จริง แต่ บังคับบัญชา
    ให้เป็นไปตาม ที่ท่อง ที่จำ ไม่ได้

    พอเห็นแล้ว หากเพีบรเพ่งด้วยความแยบคาย ด้วยปัญญาอันยิ่ง จิตมันจะค่อยๆ
    ยอมรับ อริยสัจจ ที่ สัญญามันไม่เที่ยง แต่ ทิฏฐิปุถุชนไม่เคยสดับ มักเห็น
    แต่ว่ามันต้องเที่ยง มันต้องนำสุขถาวรมาให้ .....

    สุขอันเกิดจากการท่องสัทธรรม สุขอันเกิดจากการจดจำสัทธรรม มันเป็น สุขชั่วคราว

    บางคนกำหนดเห็น สุขอันเกิดจากสัทธรรม เป็นของชั่วคราว ได้ ก็เห็นได้ว่า เวทนามันไม่เที่ยง

    สุดท้าย รวบเบ็ดเสร็จ จะกองขันธ์ไหน มันก็ไม่ใช่เรา มันมีโน้นนั่นนี้หมุนวนยังกะเวรกรรม
    ของเรา แต่ มันไม่ใช่เราหลอก หากมันเป็นของเรา หรือ เป็นเรา เราก็ต้อง กำหนดวาระ
    ของกรรมได้ แต่นี้มันกำหนดไม่ได้ มันทำงานของมันเอง ...จึงแจ้งว่า มันไม่ใช่เรา มันแปร
    ปรวนไปเรื่อย คงที่ไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจของสัตว์ตัวไหนทั้งนั้น พระพุทธองค์ยังบอกว่า พระองค์
    ก็ไม่มีอำนาจไปดัดแปรงมันแต่อย่างใด ......พระองค์ก็โดนเวรกรรมตามาทันเหมือนกัน เช่น
    ต้องเห็ดพิษเพราะเคยวางยาราชสีห์ มาก่อน จนทำให้กลายเป็นกรรมที่ทำให้ ต้องละสังขาร

    และเพราะ มรณะนั้นมีอยู่ การปรินิพพานจึงมี การสิ้นทุกข์โดยรอบจึงมี

    ถ้าปุถุชนฟังประโยคหลังนี้ ความโลภจะกระเดิด แล้วถามว่า " นิพพานแล้วได้เฮียอะไร "
    เนื่องจาก ไม่เคยสัมผัส รสแห่งความสงบ ความสิ้นรอบของวัฏ เลย " ไม่รู้ " พอไม่รู้ก็
    ทนไม่ได้หลอก จิตมันจะต้องถามล้านเปอร์เซนต์ว่า " นิพพานแล้วได้เฮียอะไร "
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    "สังขาร ไม่เที่ยง "

    วิธีพิสูจน์ ที่พระพุทธองค์ประทานไว้ให้คือ " ให้ดำเนินวัตร ตามข้อวัตร ดำเนินชีวิตตาม
    ว่าด้วยกุศลกรรมบท ทำจนเป็น วินัย นิสัยของตัว "

    เสร็จแล้ว " เพ่งให้ดีๆ " เวลาที่ มันลืม มันหลง มันเผลอไผล ทำติดเป็นนิสัยแล้วก็จริง
    แต่ บังคับบัญชาให้เป็นไปตาม ที่ท่อง ที่ฝึกจนคล่องไม่ได้ มันเจริญ แล้วก็เสื่อม
    ฝึกจนจิตเป็น "ฌาณ" มันก็เจริญ แล้วก็เสื่อม

    พอเห็นแล้ว หากเพีบรเพ่งด้วยความแยบคาย ด้วยปัญญาอันยิ่ง จิตมันจะค่อยๆ
    ยอมรับ อริยสัจจ ที่ สังขาร การปรุงแต่งการปฏิบัติมันไม่เที่ยง แต่ ทิฏฐิปุถุชนไม่
    เคยสดับ มักเห็นแต่ว่ามันต้องเที่ยง มันต้องนำสุขถาวรมาให้ .....

    สุขอันเกิดจากการทำกุศลกรรมบท จนจิตเป็นฌาณ มันเป็น สุขชั่วคราว

    บางคนกำหนดเห็น สุขอันเกิดจากนิสัยดีๆจนจิตเป็นฌาณ เป็นของชั่วคราว ได้
    ก็เห็นได้ว่า เวทนามันไม่เที่ยง

    สุดท้าย รวบเบ็ดเสร็จ จะกองขันธ์ไหน มันก็ไม่ใช่เรา มันมีโน้นนั่นนี้หมุนวนยังกะเวรกรรม
    ของเรา แต่ มันไม่ใช่เราหลอก หากมันเป็นของเรา หรือ เป็นเรา เราก็ต้อง กำหนดวาระ
    ของกรรมได้ แต่นี้มันกำหนดไม่ได้ มันทำงานของมันเอง ...จึงแจ้งว่า มันไม่ใช่เรา มันแปร
    ปรวนไปเรื่อย คงที่ไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจของสัตว์ตัวไหนทั้งนั้น พระพุทธองค์ยังบอกว่า พระองค์
    ก็ไม่มีอำนาจไปดัดแปลงมันแต่อย่างใด ......พระองค์ก็โดนเวรกรรมตามาทันเหมือนกัน เช่น
    ต้องเห็ดพิษเพราะเคยวางยาราชสีห์ มาก่อน จนทำให้กลายเป็นกรรมที่ทำให้ ต้องละสังขาร

    และเพราะ มรณะนั้นมีอยู่ การปรินิพพานจึงมี การสิ้นทุกข์โดยรอบจึงมี

    ถ้าปุถุชนฟังประโยคหลังนี้ ความโลภจะกระเดิด แล้วถามว่า " นิพพานแล้วได้เฮียอะไร "
    เนื่องจาก ไม่เคยสัมผัส รสแห่งความสงบ ความสิ้นรอบของวัฏ เลย " ไม่รู้ " พอไม่รู้ก็
    ทนไม่ได้หลอก จิตมันจะต้องถามล้านเปอร์เซนต์ว่า " นิพพานแล้วได้เฮียอะไร "
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ธรรมฐิติญาณ เกิดก่อน เกิดด้วยการ ศรัทธา และ ฟังธรรม

    การท่องจำขึ้นปาก จำได้ติดใจ การลงมือปฏิบัติจนจิตไม่ห่างจากฌาณ เป็น ธรรมวินัย เกิดก่อน

    เสร็จแล้ว

    เพียรเพ่งให้ดีๆ อย่ามัวแต่ ใสซื่อ จนเซ่อ

    ให้เห็นลงไปว่า จะท่องจำเก่งแค่ไหน จำได้ขึ้นใจแค่ไหน หรือ ลงมือปฏิบัติเก่งขนาดไหน มันก็
    ไม่เที่ยง ตั้งอยู่ไม่ได้ แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ไม่ได้อยู่ในอำนาจของใคร แม้แต่ พระพุทธองค์
    ก็ไปบังคับขันธ์5 ไม่ได้

    พอเพียรเพ่งแบบนี้ ญาณ(ไตรลักษณ์ญาณสัมปยุต กับจิต) เกิดทีหลัง

    เกิดหลังจาก ทำทุกสิ่งทุกอย่างสุดโลกแล้ว สุดขอบเขตของโลกแล้ว ขอบเขต
    ของโลกที่พระพุทธองค์ประทานอุบายไว้ให้ พอเห็น สุดขอบโลกแล้ว เพ่งให้ดีๆ

    มันจะแหวกการยึดมั่นขันธ์5ออก แล้ว แจ้งความเป็นไตรลักษณ์ เกิดจิตตั้งมั่น เกิดสมาธิธรรม

    สมาธิธรรมจึงไม่ใช่ ฌาณ แฌณ กลางของกลาง ใสในใส หรือ อยู่มโนจิตธาตุอัดใส่ปีรมิด ผูก
    ขาดการผลิต กูทำได้คนเดียว

    สมาธิธรรมจึงไม่ใช่ ฌาณ แฌณ แต่ เหนือกว่า ฌาณ เหนือกว่า แฌณ แบบ ฟ้ากับเหว !!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...