คุณคิดว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนามีความสัมพันธ์กันหรือไม่?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย khajornwan, 8 พฤศจิกายน 2010.

  1. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ตอนแรกคิดว่าจะคุยกับคุณไอน์สไตน์เกี่ยวกับเซลล์ในสมองของพวกเรา แต่พอดีเมื่อคืนมีความฝันเลยต้องเล่าเรื่องจักระหัวใจก่อง เด๋วลืมค่ะ..^_^
    <O:p</O:p
    เมื่อคืนฝันว่าอยู่กับพระสงฆ์และเหล่าทหารหาญกลุ่มหนึ่งในกระท่อม พวกเรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย จึงเกิดการตัดสินใจเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งส่วนใหญ่เป็นพระสงฆ์ตัดสินใจที่จะอยู่ในกระท่อมหลังนั้นต่อไป ขจรวรรณตัดสินใจหลบหนีออกไปจากกระท่อมหลังนั้นกับเหล่าทหารหาญโดยเป็นผู้ที่ออกไปเป็นคนสุดท้ายเหมือนเป็นคนคุ้มกันยังไงยังงั้น อิอิ..
    <O:p</O:p
    พวกเราฝ่ากระสุนปืนที่ยิงมายังกะสายฝน ( ไม่รู้หลบยังงัยไม่รู้ไม่โดนกระสุนปืน อิอิ ) พอออกจากกระท่อมได้ก็วิ่งกันไปในพงหญ้าที่สูงท่วมหัวเลย วิ่งหนี่มาได้สักพักหนึ่งขจรวรรณก็เจอกระท่อมขนาดใหญ่โล่งกว้างมากรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและปลอดภัยมาก จึงเปิดประตูออกไปเรียกคุณแม่, ญาติพี่น้องและเพื่อนๆ คุณแม่ให้เข้ามาอยู่ในบ้าน มองออกไปนอกบ้านก็มองเห็นคนกลุ่มใหญ่ต่างชะเง้อมองดูด้วยความสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าข้างนอกนั้นกำลังมีอันตรายอยู่ ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงกระแสความรักความผูกพันกับเหล่าทหารหาญที่อยู่ภายนอก รับรู้ว่าพวกเค้าปลอดภัยและยังคงกระจายอยู่รอบๆกระท่อมหลังนั้น ก่อนตื่นนอนก็รู้สึกได้ถึงการเชื่อมต่อกับกระแสจิตของใครคนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่แน่ว่าอาจจะได้ช่วยเหลือกันในอนาคตก็เป็นได้ ( พอจะรู้แร้ะว่าเขาเป็นใคร อิอิ.. )
    <O:p</O:p
    พอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจขึ้นมาอย่างแรง ไม่ได้เป็นโรคหัวใจหรืออะไร แต่เป็นเพราะพลังงานความรักความเมตตา หรือพลังความรักโดยไม่มีเงื่อนไขที่เชื่อมต่อกับจักรวาลนั้นทำงานอย่างหนัก หากได้รับอนุญาตวันหนึ่งคงจะสามารถเปิดเผยให้ทุกคนได้รับทราบ และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ขจรวรรณได้ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา และพอจะเข้าใจชุดความฝันนี้แล้ว พี่นักเขียนบอกว่า “ โลกแห่งความฝันคือโลกแห่งความจริงหลากมิติซึ่งก็คือภาวะจิตของเราเอง..“<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พี่นักเขียนเคยเล่าให้พวกเราฟังว่า สามีของพี่นักเขียนในสมัยเด็กๆ เป็นเด็กที่มีสุขภาพอ่อนแอและได้ทำการผ่าตัดหัวใจเมื่ออายุได้ 10 ขวบ ปรากฏว่าหลังการผ่าตัดพี่เค้าจำเรื่องราวของตัวเองก่อนหน้านั้นไม่ได้ จากที่สุขภาพอ่อนแอกลายเป็นคนที่แข็งแรงชอบเล่นกีฬาฟุตบอล บุคคลิกและวิถีการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ท่านอาจารย์ใหญ่เลือง มิน ด๋าง อาจารย์วิชาพลังจักรวาลเคยสอนลูกศิษย์ว่าถึงแม้ว่าผู้ป่วยจะไม่รู้สึกตัว แต่ถ้าหากหัวใจยังเต้นอยู่แสดงว่าจิตวิญญาณของเค้ายังไม่ได้ไปไหนให้พวกเราส่งพลังให้เค้าไปจนกว่าจะรู้สึกตัว แต่ถ้าหัวใจหยุดเต้นแล้วก็ให้ส่งพลังให้เค้าต่อไปเพราะบางทีจิตวิญญาณนั้นอาจจะยังสามารถกลับมาอยู่ในร่างเดิมต่อไปได้อีก แต่ถ้าภายใน 1 ชั่วโมงหัวใจยังไม่เต้นนั่นแสดงว่าจิตวิญณาณนั้นได้จ่ากร่างไปแล้ว
    <O:p</O:p
    นี่คงเป็นอีกกรณีหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์และนักจิตวิญญาณจะต้องหาทางพิสูจน์ความจริงกันต่อไปในอนาคตมังคะ ว่าจริงๆ แล้วจิตวิญญาณของพวกเราสถิตย์อยู่ในหัวใจเราหรือปล่าว?
    :z16:z16:z16<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2010
  2. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    เอามาฝากค่ะ

    หัวใจมิได้มีหน้าที่รับผิดชอบงานสำคัญเฉพาะทางด้านกายภาพ และไม่ได้ทำหน้าที่เฉพาะการลำเลียงไปหล่อเลี้ยงร่างกายดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเท่านั้น แต่หัวใจยังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่ไม่อาจมองเห็นได้ เช่น อารมณ์และจิตวิญญาณ เพื่อให้พวกเราได้มีความเข้าใจในประเด็นนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น อาจารย์ขอเล่าเรื่องๆ หนึ่งที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงวัยกลางคนซึ่งได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ เธอเป็นแม่บ้านที่ดี แต่หลังจากที่ได้ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับบุคลิกภาพส่วนตัวและความประพฤติไปจากที่เคยเป็นมาในอดีต เธอไม่เคยสูบบุหรี่ เธอไม่เคยดื่มเบียร์ หรือพูดจาหยาบคาย แต่ภายหลังการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ เธอเริ่มสูบบุหรี่ ดื่มเบียร์ ใช้คำพูดหยาบๆ และเธอก็ชอบดูกีฬาฟุตบอล ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นคุณสมบัติของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ และเขาได้บริจาคหัวใจให้กับเธอ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    จากเรื่องที่กล่าวข้างต้นพวกเราจะเห็นได้ว่า ในความจริงแล้วหัวใจไม่ได้เป็นอวัยวะทางกายภาพที่ทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตไปหล่อเลี้ยงร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่ทางด้านจิตใจ อารมณ์ ความปรารถนา ความคิดและบุคลิกภาพ ซึ่งแต่เดิมเราเชื่อกันว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของสมอง บางทีเพราะเหตุนี้กระมังที่ทำให้เรามีการติดต่อทางจิตด้วยหัวใจ มิใช่สมอง อาจารย์ขอเล่าเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงหน้าที่ของหัวใจ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีชีวิตปลอดภัย เพราะได้รับการปลูกถ่ายหัวใจของคนที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ วันหนึ่งขณะที่เขาเดินผ่านร้านขายหนังสือในทันทีทันใดนั้นก็มีสิ่งหนึ่งเร่งเร้าให้เข้าไปในร้านขายหนังสือและเขามีความรู้สึกว่าไม่สามารถจะอยู่ห่างจากผู้หญิงที่ทำงานภายในร้านขายหนังสือได้ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นคนมีอายุแล้ว เธออยู่ในระหว่างการไว้ทุกข์ให้สามีของเธอ เธอรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็มีความรู้สึกรักและคุ้นเคยกับเด็กหนุ่มผู้นี้ซึ่งยังไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน ในที่สุดเธอก็ตกลงจะแต่งงานกับเขา โดยมีข้อแม้ว่าจะจัดพิธีแต่งงานเมื่อพ้นกำหนดเวลาไว้ทุกข์แล้ว เด็กหนุ่มเห็นด้วยเพราะว่าเขาเองก็ต้องการเวลาพักฟื้นหลังการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ หลังจากที่ทั้งคู่ได้มีเวลาเรียนรู้ซึ่งกันและกันมากขึ้น เด็กหนุ่มก็ได้ทราบความจริงว่าเขาได้รับบริจาคหัวใจจากอดีตสามีของเธอ เขาจึงรักและปรารถนาจะแต่งงานกับเธอ

    [​IMG]

    <O:p</O:pสำหรับเรื่องที่สองนี้พวกเราจะได้เห็นถึงบทบาททางด้านอารมณ์ของหัวใจ ถึงแม้ว่าหัวใจจะได้ถูกนำไปปลูกถ่ายให้ผู้อื่นแล้วก็ตาม แต่หัวใจนั้นก็ยังสามารถนำเอาความรักและความปรารถนาของหัวใจซึ่งไม่ใช่คุณลักษณะภายนอกทางกายภาพ แต่เป็นส่วนที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้ถึงแม้หัวใจนั้นจะฝังอยู่ภายในร่างกายผู้อื่น แต่หัวใจของเขาก็ยังคงมีความสัมพันธ์อยู่กับภรรยาหรืออีกนัยหนึ่งหัวใจของภรรยาก็สามารถสื่อสัมพันธ์อยู่กับภรรยา หรืออีกนัยหนึ่งหัวใจของภรรยาก็สามารถสื่อสัมพันธ์ถึงหัวใจสามีได้ ทั้งๆ ที่หัวใจนั้นได้ปลูกถ่ายไว้ในเรือนร่างคนอื่นที่มีวัยแตกต่างกัน คนหนึ่งแก่กว่าหรืออีกคนยังหนุ่มอยู่ก็ตามและไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างในด้านบุคลิกภาพ ครอบครัว การศึกษา อาชีพ ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง สถานภาพทางสังคม ฯลฯ เพราะฉะนั้นเราสามารถกล่าวได้ว่า หัวใจยังเป็นความรู้สึก อารมณ์ ความมีสติปัญญาซึ่งอยู่ภายในบุคคลแต่ละคนด้วย ไม่ว่าเขาจะดีหรือเลว ถูกหรือผิด สุขหรือทุกข์ ย่อมอยู่ภายใต้หน้าที่และการทำงานของหัวใจ นอกเหนือจากนี้แล้วหัวใจยังมีหน้าที่พิเศษซึ่งเรียกว่า “ ความรู้สึกผิดชอบ ” หรือ “ ความละอายต่อบาป ”<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หัวใจไม่ได้ทำหน้าที่เฉพาะทางด้านกายภาพ จิตใจและอารมณ์เท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่อื่นที่สำคัญอีก เช่น กรณีที่คนเรามักจะพูดว่า “ เหนือพวกเราขึ้นไปมีสวรรค์ ใต้พวกเราลงไปมีพื้นโลก และที่อยู่ตรงกลางก็คือความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ” คำพูดประโยคนี้ได้บอกแก่พวกเราว่า ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี สวรรค์ และโลกนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเป็นพระเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด พวกเราไม่ทราบหรอกว่าทำไมจึงมีคำอธิบายอยู่ในหนังสือต่างๆ และในวิชาปรัชญา แต่ทัศนคติเบื้องต้นก็เหมือนกันกับทางพลังจักรวาล ความรู้สึกผิดชอบในคนๆ หนึ่ง ก็คือพระเจ้าซึ่งสถิตอยู่ภายในหัวใจของเขา ความรู้สึกผิดชอบของคนอีกคนก็คือเทวดานางฟ้าที่สถิตอยู่ภายในตัวเขา สำเหนียกของความรู้สึกผิดชอบ อาจจะเป็นสุรเสียงของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดหรือทวยเทพเทวาก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวการณ์ เพราะว่าเสียงแห่งความรู้สึกผิดชอบหรือความละอายต่อบาปของคนทั่วๆ ไป หรือเฉพาะตนที่ทำให้ประพฤติตนเป็นคนดี เราอาจจะได้ยินว่า อะไรคือความถูกต้องและให้ก้าวหนีไปจากสิ่งที่ผิด ดังนั้นเราจึงสามารถปกป้องไม่ให้ตนเองเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันกับสิ่งผิดได้ ขณะที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่กับอบายมุขในโลกแห่งวัตถุทั้งหลาย เช่น เงินทอง ชื่อเสียง อำนาจ ฯลฯ โดยสรุปแล้วมีตัวอย่างที่จะกล่าวได้ว่า พลังจักรวาลสามารถอธิบายความหมายของคำว่า หิริโอตัปปะได้ว่า “ หิริโอตัปปะคือ เสียงของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เถื่องเด๋ หรือเทพยดาที่สถิตอยู่ภายในร่างกายของพวกเรา ”<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    คนเราทุกคนมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ความละอายต่อบาป มนุษย์ทุกคนเป็นบุตรของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ มักแสดงออกซึ่งความรักไม่โดยตรงก็โดยอ้อม และอาจมีเทวดาแทรกอยู่ระหว่างกลางสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ทรงแสดงความรักอย่างชัดแจ้งในรูปของการให้ความช่วยเหลือ แนะนำ ตักเตือนให้ผู้คนปฏิบัติในสิ่งที่ดีและถูกต้อง แต่บางครั้งพระองค์ก็ทรงให้อิสระแก่พวกเราที่จะเลือก คิด ตัดสินใจ และกระทำเพื่อจะได้เรียนรู้และได้รับประสบการณ์และพัฒนา ดังนั้นมนุษย์จึงสามารถจะมีความคิดที่ถูกต้องหรือผิด มีการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ปฏิบัติดีหรือปฏิบัติเลว และบุคคลแต่ละคนก็มีความรับผิดชอบในความคิด การตัดสินใจ และการกระทำของตนเอง เพราะว่าด้วยความอิสระเสรีนี้ บุคคลผู้ปฏิบัติตามคำแนะนำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพเทวาจึงเป็นคนดี เป็นคนที่มีหิริโอตัปปะ มีความเมตตา มีคุณความดีบริสุทธิ์ ใจบุญ มีความเมตตากรุณา สงสาร ฯลฯ

    อาจารย์เลืองมินห์ด๋าง..
    rabbit_sleepyrabbit_sleepyrabbit_sleepy<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2010
  3. Jjfreeman

    Jjfreeman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +130
    สวัสดีครับ คุง khajornwan

    **** ฝันเป็นเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะครับ (ครั้งหน้าถ้าฝันเห็น3ตัวตรงๆอย่าลืมบอกกันบ้างนะครับ คิกๆๆ) เกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนถ่ายหัวใจ จากคนหนึ่ง ไปอีกคนหนึ่งนั้น มันก็ไม่ต่างกับเรื่องภาพวาดที่คุณเอามาลงในครั้งที่แล้วหรอกครับ มีลักษณะเหมื่อนกันครับ แต่มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง(ไม่รู้จะอธิบายยังไงดีะ) เอาไว้ไปเรียบเรียงให้เป็นภาษามนุษย์ก่อนแล้วค่อยมาบอกนะ) เหตุการณ์ลักษณะแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะคงทนถาวรอยู่ตลอดไปนะครับ จะเป็นแค่ช่วงแรกๆหรื่อใหม่ๆเท่านั้นเอง พอผ่านไปสักระยะหนึ่งเมื่อเข้าใจในความเป็นจริงที่เป็นตัวตนตอนนี้ ไม่ใช่ตัวตนที่เคยเป็นมาก็จะเริ่มมีการศึกษาหาความจริง ว่ามีสาเหตุมาจากอะไรที่ทำให้เราเปลี่ยนไปจากเดิม เมื่อรู้แล้วก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลนั้นจะทำอย่างไรต่อไป ****

    ปล. เป็นความคิดส่วนตัวนะครับห้ามลอกเรียนแบบ เดี๋ยวบ้า นะครับ
     
  4. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ตัวกระทำไม่ตาย ****

    ร่างกายตาย แต่อวัยวะบางส่วนถูกแยกออกมาก่อนหยุดทำงาน
    อวัยวะก็มีชีวิตของมัน จึงยังทำงานอยู่
    แต่ ตัวกระทำของผู้เป็นเจ้าของเนื้อหนังอวัยวะนั้น
    ก็ยังคงอยู่กับ ดินน้ำลมไฟที่ประกอบเป็นอวัยวะนั้น
    เมื่อเราไปเอาของของเขามาใช้ ตัวกระทำของเขาก็ติดมาด้วย

    คนเราเมื่อพยายามฝืนธรรมชาติ ก็ต้องพบกับปัญหาที่มองไม่เห็นตัว
    นี่ถ้าเราไปเอาของของคนอื่นมาใช้มากๆ แล้วไปขโมยเขามา ไปแย่งไปช่วงชิงเขามา
    เขาไม่ปรารถนาจะให้กับเรา มันก็จะยุ่งไปหมดทั้งชีวิต ?
    กรรม...เรียนรู้มาก แต่ขาดการพิจารณาให้ดี

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  5. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    555+++

    น่าแปลกเหมือนกันนะคะพวกเราเป็นมนุษย์ด้วยกันเอง กลับต้องมาช่วยกันแปลภาษามนุษย์ให้เป็นภาษามนุษย์อีกทีนุงถึงจะเข้าใจกันได้ แทบไม่น่าเชื่อว่าตัวอักษรที่เราใช้สื่อกันออกมาเป็นภาษาบางทีก็สามารถเข้าใจกันไปคนละทิศละทางได้เหมือนกัน อย่างหนังสือของโนวา อนาลัยก็เช่นกันถึงแม้ว่าเราจะอ่านพร้อมๆ กันเป็น 10 คน แต่ความเข้าใจของแต่ละคนนั้นกลับไม่เหมือนกันเลย หรือคนๆ เดียวกันอ่านสัก 10 รอบ ความเข้าใจในแต่ละรอบก็ไม่เหมือนกัน คงเป็นไปตามประสบการณ์ทางจิตหรือวาระจิตของแต่ละคนด้วยมังคะว่าเรากำลังเรียนรู้ใกล้ถึงความจริงกันมากน้อยแค่ไหนน่ะค่ะ..

    <O:p</O:p
    [​IMG]

    เคยฝันถึงอาจารย์ชาวต่างชาติ ถึงแม้ว่าเราจะพูดภาษานั้นไม่ได้ แต่ในความฝันของเราอาจารย์กับตัวเราทำไมคุยกันรู้เรื่อง แถมยังพูดคุยกันเป็นภาษาไทยอีกต่างหาก นี่คงจะเป็นอีกกรณีหนึ่งที่อาจจะพอช่วยบอกเราทางอ้อมมังคะที่ว่าภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันในโลกของจิตวิญญาณนั้นเป็นภาษาสากล ไม่มีการแบ่งแยกกันในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา
    <O:p</O:p
    สิ่งที่คุณชายจิตอิสระ ( ตั้งให้ใหม่ อิอิ.. ) อาจกล่าวไว้ก็เป็นหลักการเดียวกับพระพุทธศาสนาของเราที่สอนไว้ในเรื่องของความไม่เที่ยง มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และก็เกิดใหม่อีกครั้งเป็นอนัตตา ( อันนี้สงกะสัยต้องขอให้คุณหนุมานเป็นฝ่ายวิเคราะห์อีกทีนะคะ.. จะได้จูนกันถูก แฮ่ ) ก็คล้ายกับที่เคยกล่าวไว้เกี่ยวกับกฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า พลังงานไม่เคยสูญหายไปไหน ยังคงเปลี่ยนสถานะเป็น ก๊าซ ของเหลว ของแข็ง อยู่ตลอดเวลานั่นเอง
    <O:p</O:p
    แต่ก็มีหลวงปู่หลวงพ่อบางองค์ที่ท่านมีความสามารถในการตรึงพลังให้สถิตย์อยู่กับวัตถุหรือสิ่งของได้ด้วยคาถาอย่างถาวรก็มีนะคะ แต่เอ.. กำลังสงสัยอยู่ว่าจะมีประโยชน์อะไรน้อ? พี่นักเขียนเคยเล่าให้ฟังว่ามนุษย์เราสามารถถ่ายทอดพลังให้กับวัตถุสิ่งของได้ง่ายกว่าการถ่ายทอดพลังสู่มนุษย์ เพราะมนุษย์ทุกคนนั้นมีจิตวิญญาณเป็นของตนเอง มีอิสระที่จะเลือกเชื่อหรือไม่เชื่อสิ่งใดก็ได้ มะมีใครเค้ามาว่าเราได้ดอกนะจ๊ะ.. ตัวเอง

    แปลเป็นภาษามานุดได้เมื่อไหร่ อย่าลืมมาเล่าให้กันฟังบ้างนะคะคุณจิตอิสระ.. อิอิ..:cool:
    pig_balletpig_balletpig_ballet <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2010
  6. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ลองฝึกติดต่อทางจิตกับเซลล์ในร่างกายของตัวเอง

    น่าแปลกที่คุณหนุมานและขจรวรรณมาเรียนรู้มากันคนละเส้นทางแต่กลับมาบางสิ่งบางอย่างที่มีความคล้ายคลึงกัน แต่ภาษาที่ใช้ในการถ่ายทอดกับไม่เหมือนกันนะคะ เซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกายของคนเรามีชีวิตมีจิตวิญญาณเป็นของตนเอง พวกเค้ารวมตัวกันเป็นล้านๆ เซลล์เป็นอวัยวะเป็นแขนเป็นขาของพวกเรา หากเรานิ่งสงบและมีสติสัมปะชัญญะเพียงพอ เราก็จะสามารถรับรู้ได้ว่าพวกเค้ากำลังพยายามสื่อสารกับเราอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็สามารถพากันประท้วงกันเพื่อบอกกับเราว่า ฉันเหนื่อยแล้ว ฉันป่วยแล้วนะ และก็แสดงอาการปวด, บวมออกมาตามร่างกายออกมา เพื่อเรียกร้องให้เราดูแลและรักษาเค้าที บางทีอาจจะบอกว่าฉันขาดสารอาหารนะ, ความร้อนในร่างกายสูงไป, ฉันทำงานหนักเกินไปประมาณนี้ค่ะ<O:p</O:p

    [​IMG]
    <O:p</O:p
    เซลล์ทั้งหลายเหล่านี้มาอยู่กับเราเพื่อการพัฒนาจิตวิญญาณร่วมไปกับตัวเรา นักวิทยาศาสตร์ในยุคนี้เริ่มมีการทดลองพูดคุยกับเค้าทางจิตดูบ้างแล้ว เช่น เขียนคำต่างๆ ติดไว้บนภาชนะต่างๆ ที่บรรจุแผ่นขนมปังมั่ง ข้าวสวยบ้าง เช่น รัก, โกรธ, ชอบ, เกลียด ฯลฯ แล้วพวกเค้าได้พบความแตกต่างว่าหากใช้คำว่าโกรธ, เกลียด หรือคำที่เป็นไปในเชิงลบ กลับพอว่าภาชนะนั้นเน่าเสียและมีเชื้อรามากกว่าภาชนะที่เขียนคำว่า รัก, ชอบ หรือคำพูดที่เป็นไปในแง่บวก
    <O:p</O:p
    เราอาจจะลองนำมาฝึกติดต่อสื่อสารกับเชลล์ในร่างกายของเราเองดูก็เป็นได้ เช่น ตื่นเช้ามาทักทายกับเซลล์ตามอวัยวะต่างๆ ว่า วันนี้เป็นงัยบ้างสบายดีมั้ย? ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง สดชื่นร่าเริงมีความสุขมากๆ นะ วันนี้เป็นอะไรป่วยตรงไหนรึปล่าว? ซึ่งก็น่าจะเป็นวิธีการหนึ่งในการฝึกติดต่อสื่อสารทางจิตกับเซลล์ในร่างกายของตนเอง บางทีการฝึกโทรจิตนั้นเราอาจจะไม่จำเป็นต้องไปฝึกติดต่อกับผู้อื่น แต่หันมาฝึกกับเซลล์ต่างๆ ในร่างกายของเราไปก่อนก็น่าจะดีเน๊อะ.. เดี๋ยวนี้บางโรงพยาบาลก็เริ่มนำการร้องเพลงมาช่วยบำบัดทางจิตควบคู่ไปกับการรักษาทางกายภาพด้วยแล้ว เพราะโดยปกติสภาวะอารมณ์ของผู้ป่วยเองก็ค่อนข้างหดหู่อยู่แล้ว หากไม่มีความบันเทิงอาจจะยิ่งทำให้อาการหนักกว่าที่ควรจะเป็นก็เป็นได้.. หากมีใครทดลองได้ผลยังงัยช่วยมาเล่าให้นู๋ฟังบ้างนะคะ.. สู้สู้ เพื่อสร้างความสุข, ความสดใส, ร่าเริงให้กับจิตวิญญาณของเซลล์เราเอง อิอิ..
    <O:p</O:p
     
  7. Jjfreeman

    Jjfreeman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +130
    สวัสดีครับ คุง khajornwan

    .. คุณกลิ้งลูกบอลกลมๆบนพื้น คุณสามารถให้มันเคลื่อนที่ไปหน้า- หลัง ซ้าย-ขวา ทำให้เกิดระยะทางได้
    .. แต่ถ้าคุณกลิ้งลูกบอลบนอากาศ คุณได้อะไร
     
  8. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ซาหวัดดีค๊ะคุงไอน์สไตน์.. ขอแปลงร่างเป็งเด็กก่อง:boo:
    [​IMG]

    ถ้านู๋กลิ้งลูกบอลบนอากาศ ก็ม่ายมีอะรายน่ะจิ.. เป็ง จู๊น..
    แถมยังม่ายพอลูกบอลหล่นใส่หัวตัวเอง เจ็บตัวอีกตังหาก ฮือ..
    pig_cryypig_cryypig_cryy
     
  9. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ธรรมะวันละนิด

    การปฏิบัติ ต้องเข้าหาหลักสภาวธรรม ความเป็นจริงทุกๆ อิริยาบท
    เพราะเรื่องจิตใจไม่มีอิริยาบท ตอนนั้นแหล่ะเราต้องมีศีล
    ตอนนั้นแหล่ะ เราต้องมีสมาธิ ตอนนั้นแหล่ะเราต้องมีปัญญา
    เราต้องสร้างศีล สมาธิ ปัญญา..

    หลวงพ่อ.. ^_^
     
  10. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    คุณ"ขจรวรรณ" คุณเป็นคนที่เก่งมากนะ ขอชมเชย ติดตามอ่านธรรมะวันละนิดของคุณประจำ ขออนุโมทนา
     
  11. Jjfreeman

    Jjfreeman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +130
    ขอยกข้อความนี้นิดนะ ชอบเป็นการส่วนตัว


    khajornwan
    <TABLE class=tborder style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px" cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR title="โพส 4069705" vAlign=top><TD class=alt2 align=middle width=125>


    </TD><TD class=alt1>ธรรมะวันละนิด

    การปฏิบัติ ต้องเข้าหาหลักสภาวธรรม ความเป็นจริงทุกๆ อิริยาบท
    เพราะเรื่องจิตใจไม่มีอิริยาบท ตอนนั้นแหล่ะเราต้องมีศีล
    ตอนนั้นแหล่ะ เราต้องมีสมาธิ ตอนนั้นแหล่ะเราต้องมีปัญญา
    เราต้องสร้างศีล สมาธิ ปัญญา..

    หลวงพ่อ.. ^_^





    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    .. คุณกลิ้งลูกบอลกลมๆบนพื้น คุณสามารถให้มันเคลื่อนที่ไปหน้า- หลัง ซ้าย-ขวา ทำให้เกิดระยะทางได้
    .. แต่ถ้าคุณกลิ้งลูกบอลบนอากาศ คุณได้อะไร

    ถ้านู๋กลิ้งลูกบอลบนอากาศ ก็ม่ายมีอะรายน่ะจิ.. เป็ง จู๊น..
    แถมยังม่ายพอลูกบอลหล่นใส่หัวตัวเอง เจ็บตัวอีกตังหาก ฮือ..
    pig_cryypig_cryypig_cryy

    ************************************************

    สวัสดีครับ คุง khajornwan ๆ


    ถ้านู๋กลิ้งลูกบอลบนอากาศ ก็ม่ายมีอะรายน่ะจิ.. เป็ง จู๊น..
    แถมยังม่ายพอลูกบอลหล่นใส่หัวตัวเอง เจ็บตัวอีกตังหาก ฮือ..
    pig_cryypig_cryypig_cryy

    • ถ้าหากการกลิ้งลูกบอลบนอากาศเป็นศูนย์ คุณเอาลูกบอลไปกลิ้งบนพื้นสิครับ มันจะได้ไม่เป็นศูนย์
    • หากมันจะหล่นใส่หัวก็เพราะเราไม่มีแนวทางปฏิบัติ( ศีล ) และ ความตั้งใจจดจ่อ ( สมาธิ )
    • หรื่อถ้าหากมันจะหล่นใส่หัว เราก็เลี่ยงสิ อิๆๆ


    *** สัจจะธรรมเดียวกัน ****

    สิ่งที่อยู่กับเราไปชั่วนิรันดร์........ก็คือ ตัวกระทำ
    พลังงานไม่เคยสูญหายไปไหน....ก็คือ ตัวกระทำที่ไม่ตาย
    กฎแห่งกรรม.......................ก็คือ เรื่องของตัวกระทำ ที่มีผลตอบแทน
    ไม่มีกฏเกณฑ์อื่น..................ก็คือ สัจจะธรรม หลักเดียวที่ปักไว้มั่นคง มีผลรอบครอบจักรวาล

    "สัจจะธรรม"
    คือ ตัวกระทำที่มีอยู่จริง ตัวกระทำนั้นไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน
    The Action never die.

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 พฤศจิกายน 2010
  12. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ความแตกต่างระหว่างวิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณ

    เราอาจจะพบความแตกต่างระหว่างวิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณอยู่บ้าง นั่นก็คือวิทยาศาสตร์จะมุ่งเน้นไปที่วัตถุหรือรูปร่างทางกายภาพ เพราะเค้าจะใช้ประสาทสัมผัสภายนอกหรือเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ในการพิจารณาว่าสมมุติฐานนั้นเป็นจริง ในขณะที่นักจิตวิญญาณใช้ประสาทสัมผัสภายในหรือสติสัมปะชัญญะภายในเป็นเครื่องมือในการพิจารณาปรากฏการณ์ต่างๆ แต่ทั้งสองศาสตร์นี้มีจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ที่คล้ายกันก็คือใช้ความเชื่อในการค้นหาความจริง

    จิตวิญญาณ คือพลังงาน
    พลังงาน ก็คือ จิตวิญญาณ
    จิตวิญญาณ คือข้อมูลความรู้ ความทรงจำข้ามชาติ
    ซึ่งถ่ายทอดด้วย อารมณ์ จินตนาการ และความรู้สึกนึกคิด
    <O:p</O:p
    จิตวิญญาณปราศจาก ช่องว่าง ระยะทาง และกาลเวลา

    <O:p</O:p
    หมายความว่า เราไม่สามารถใช้เครื่องมือทางกายภาพใดๆ มาใช้เป็นมาตรวัดในทางจิตวิญญาณ มีหลวงปู่เคยเล่าให้ขจรวรรณฟัง ท่านบอกว่าหากท่านเชิญพระแม่กวนอิมมาพบ พระแม่ก็มาหาท่านได้เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ถึงแม้ว่าขณะเชิญท่านจะอยู่ไกลเมืองจีน, ใต้หวัน หรือสิงคโปร์ หรือถ้าเราคิดถึงบ้านเพียงแค่เราคิดว่าจะไปบ้านจิตของเราก็ถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว
    <O:p</O:p
    สมัยก่อนขจรวรรณจะกลัวช่วงเวลาก่อนเข้านอนมาก พอหลับตาแล้วช่วงที่อยู่ในภวังค์นั้น จิตวิญญาณของเรามักจะพุ่งออกไปข้างนอกด้วยความเร็วสูง แรกๆ ก็ชนตามฝาผนังแล้วก็เจ็บอีกต่างหาก, บางทีก็พุ่งออกไปนอกโลกไปหมุนเคว้งอยู่รอบๆ โลก บางคนเคยเล่าให้ฟังว่าของเค้าพุ่งออกไปชนดาวเคราะห์อะไรซักอย่างแล้วก็รู้สึกเจ็บมากก็มี
    <O:p</O:p
    พี่นักเขียนบอกว่าการที่จิตวิญญาณเราพุ่งออกไปชนตามฝาผนัง, ชนนั่นชนนี่แล้วรู้สึกเจ็บเป็นเพราะว่าสติสัมปะชัญญะเรายังไม่สามารถละจากประสาทสัมผัสภายนอกได้ จึงยังเอาความรู้สึกทางกายไปด้วยขณะที่เราเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปะชัญญะเราจึงรู้สึกเจ็บ หรือที่ยังไปลอยเท้งเต้งอยู่รอบๆ โลก ก็เป็นเพราะว่าเรายังยึดติดกับแรงโน้มถ่วงของโลกอยู่
    <O:p</O:p
    ในโลกของจิตวิญญาณปราศจากปริมาตรหรือปริมาณใดๆ ทั้งสิ้น วิทยาศาสตร์ใช้ตัวเลขหรือคณิตศาสตร์มาใช้ในการคำนวณ แต่จิตวิญญาณใช้อารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดเป็นมาตรวัดความจริง แต่วิทยาศาสตร์ก็สอนให้เราไม่เชื่อทันทีหากไม่ได้รับการพิสูจน์ และผู้ที่เชื่อกับสิ่งที่เราพบเห็นทันทีก็อาจทำให้เราไม่สามารถข้ามพ้นจากความเชื่อที่มีอยู่ก็เป็นได้ แล้วพวกเราคิดว่าจะสามารถนำสองศาสตร์นี้มาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำได้ยังงัยกันบ้างคะ?
    (tm-love)(tm-love)(tm-love)
     
  13. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ข้อมูลของสมองในเชิงวิทยาศาสตร์

    [​IMG]

    สมอง เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย มีหน้าที่เกี่ยวกับ การจดจำการคิด และความรู้สึกต่างๆ สมอง ประกอบด้วยตัวเซลล์ประมาณ 10 พันล้านตัว ถึง 12 พันล้านตัว แต่ละตัวมีเส้นใยที่เรียกว่า แอกซอน (Axon) และเดนไดรต์ (Dendrite) สำหรับให้ กระแสไฟฟ้าเคมี (Electrochemical) แล่นผ่านถึงกัน การที่เราจะคิด หรือจดจำสิ่งต่างๆนั้น เกิดจากการเชื่อมต่อของ กระแสไฟฟ้า ใน สมอง คนที่ฉลาดที่สุดก็คือ คนที่สามารถใช้ กำลังไฟฟ้า ได้เต็มที่โครงสร้างของสมอง ออกเป็น 3 ส่วนตามวิวัฒนาการของสมอง

    สมอง ส่วนแรก อาร์เบรน (R-brian) หรือ เรปทิเลียนเบรน (Reptilian brain) แปลว่ามาจาก สัตว์เลื้อยคลาน หรือ สมอง สัตว์ชั้นต่ำ ซึ่ง ดร.ไพรบรัม แนะนำว่า เราควรจะเรียก เรปทิเลียนเบรน หรือ สมอง ของ สัตว์เลื้อยคลาน ว่า คอร์เบรน (Core brain) หรือแกนหลัก ของ สมอง คือ สมอง ที่อยู่ที่ แกนสมอง หรือ ก้านสมอง นั่นเอง มีหน้าที่ ขั้นพื้นฐาน ที่ง่ายที่สุดเกี่ยวกับ การเต้นของหัวใจ การหายใจ ทําหน้าที่ เกี่ยวกับ ประสาทสัมผัส และสั่งงานให้ กล้ามเนื้อ มีการเคลื่อนไหว สมอง ส่วนนี้ยังรับ และเก็บข้อมูล เกี่ยวกับ การเรียนรู้ จาก สมอง หรือ ระบบประสาท ส่วนถัดไป และทําให้เกิดเป็น ระบบตอบโต้อัตโนมัติ ขึ้นทําให้เรามี ปฏิกิริยาอย่างง่ายๆ ปราศจาก อารมณ์ ปราศจาก เหตุผล เช่น สัญชาตญาณ การมีชีวิตอยู่เพื่อ ความอยู่รอด ความต้องการอาหาร ที่พักอาศัย

    สมอง ส่วนที่สองเรียกว่า ลิมบิกเบรน (Limbic brain) หรือ โอลด์แมมมาเลียนเบรน (Old Mammalian brain) คือ สมอง ของ สัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนม สมัยเก่า ก็คือ สมอง ส่วน ฮิปโปแคมปัส เทมโพราลโลบ และบางส่วนของ ฟรอนทอลโลบ ซึ่งมีหน้าที่ เกี่ยวกับ ความจำ การเรียนรู้ พฤติกรรม ความสุข อารมณ์ขั้นพื้นฐาน ความรู้สึก เช่น ชอบ ไม่ชอบ ดี ไม่ดี โกรธ หรือ มีความสุข เศร้า หรือ สนุกสนาน รัก หรือเกลียด สมอง ส่วนลิมบิก จะทําให้คนเราปรับตัวได้ดีขึ้น มีความฉลาดมากขึ้น และสามารถเรียนรู้โลกได้ กว้างขึ้น เป็นสมอง ส่วนที่สลับซับซ้อน มากขึ้น ทําให้คนเรา มีความสามารถใน การปรับตัว ปรับ พฤติกรรมให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น ถ้าหากมี สิ่งกระตุ้น ที่ไม่ดีเข้ามา สมอง ส่วนนี้จะ แปลข้อมูล ออกมาเป็น ความเครียด หรือไม่มีความสุข

    สมองส่วนที่สามเรียกว่า นิวแมมมาเลียนเบรน (New Mammalian brain) หรือสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสมัยใหม่ คือสมองใหญ่ ทั้งหมด โดยเฉพาะบริเวณพื้นผิวของสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับ ความรู้สึกนึกคิด การเรียนรู้ สติสัมปชัญญะ และรายละเอียดที่สลับซับซ้อน มีขนาดใหญ่ กว่าสมองอีก 2 ส่วนถึง 5 เท่าด้วยกัน สมองส่วนนี้เป็นศูนย์รวมเกี่ยวกับ ความฉลาด ความคิดสร้างสรรค์ การคํานวณ ความรู้สึก เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความรักความเสน่หา เป็นสมองส่วนที่ทำให้มนษุย์รู้จูกคิด หาหนทางเอาชนะธรรมชาติ หรือควบคุมสิ่งแวดล้อมในโลกนี้

    โครงสร้างสมอง 3 ส่วนที่อยู่ในกะโหลกศีรษะของเรา ก็คือระบบประสาทสำคัญที่ได้วิวัฒนาการมาจากยุคดึกดำบรรพ์จนถึงปัจจุบัน เป็นสิ่ง ที่ได้รับ มาจากบรรพบุรุษ และเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถประสบความสำเร็จในชีวิต อย่างไรก็ตาม ควรจำไว้ว่าสมองเรา ยังมีความสามารถ ที่ยังไม่ได้พัฒนา หรือยังมีโอกาสที่จะพัฒนาไปได้อีกมาก ประสบการณ์ หรือการกระทำของเรารวมถึงความรู้สึก นึกคิด พฤติกรรม กิจกรรม ทั้งหลาย การหลับ การตื่น ความฝัน ล้วนขึ้นอยู่กับสมองทั้ง 3 ส่วนนี้ทั้งสิ้น ระบบสมอง 3 ส่วนนี้แสดงให้เห็นว่า ธรรมชาติสามารถ สร้าง โครงสร้างใหม่ และโครงสร้างที่สลับซับซ้อนขึ้นบนพื้นฐานของ โครงสร้างเก่า ๆ ซึ่งเปรียบเสมือนเซลล์ง่าย ๆ ที่ได้ผสมผสานตัวเองเข้าไป ในสิ่งมีชีวิตที่มีหลายเซลล์ เป็นการเปลี่ยน หรือวิวัฒนาการจากสัตว์เซลล์เดียวเป็นสัตว์หลายเซลล์

    เริ่มด้วย ระบบประสาทอาร์เบรน หรือเรปทิเลียนเบรน ที่มีหน้าที่ขั้นพื้นฐานที่ง่ายที่สุดเป็นการทำงานในเด็กเล็ก ๆ ซึ่งค่อย ๆ มีพัฒนาการตามมา สมองส่วนนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับ ประสาทสัมผัส และสั่งงานให้กล้ามเนื้อมีการเคลื่อนไหว นอกจากทำหน้าที่พื้นฐานง่าย ๆ แล้ว สมองส่วนนี้ยังรับ และเก็บข้อมูลเกี่ยวกับ การเรียนรู้จากสมอง หรือระบบประสาทส่วนถัดไป และทำให้เกิดเป็นระบบอัตโนมัติขึ้น ทำให้เรามีปฏิกิริยาอย่างง่าย ๆ ปราศจากอารมณ์ ปราศจากเหตุผล เช่น สัญชาตญาณ การมีชีวิตอยู่เพื่อความอยู่รอด ความต้องการอาหาร ที่พักอาศัย หรือการมีเพศสัมพันธ์ในรูปแบบง่าย ๆ ไม่สลับซับซ้อนของสัตว์บางประเภท

    สมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสมัยเก่า หรือ สมองลิมบิกเบรน (Limbic brain) ระบบประสาท ส่วนถัดไปที่เรียกว่า ลิมบิกเบรน หรือ โอลด์แมมมาเลียนเบรน หรือสมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสมัยเก่า สมองส่วนนี้จะอยู่ที่เทมโพราลโลบ หรือเป็นส่วนข้าง ๆ ของสมองใหญ่ ทั้งสองข้าง สมองส่วนนี้ได้รับการเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า อีโมชั่นแนลเบรน (Emotional brain) หรือสมองที่เกี่ยวกับ อารมณ์ หรือ ลิมบิก เบรน ซึ่ง Limb มาจากคำว่า "โอบรอบ" คือ สมองส่วนนี้จะโอบรอบสมองส่วนที่เป็นอาร์เบรน หรือเรปทิเลียนเบรน สมองส่วนนี้จะทำให้ เราปรับตัวได้ดีขึ้น มีความฉลาดมากขึ้น และสามารถเรียนรู้โลกได้กว้างขึ้น ดังนั้นการที่มีสมองส่วนนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมจาก อาร์เบรน หรือ สมองส่วนที่เรียบง่าย มาเป็นสมองส่วนที่สลับซับซ้อนมากขึ้น มีความสามารถในการปรับตัว ปรับพฤติกรรมให้เข้ากับ สิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น สมองส่วนนี้จะ เกี่ยวข้องกับความรู้สึก เช่น ชอบ ไม่ชอบ ดี ไม่ดี โกรธ หรือมีความสุข เศร้า หรือสนุกสนาน รัก หรือเกลียด ถ้าหากว่า มีสิ่งกระตุ้น ที่ไม่ดีเข้ามา สมองส่วนนี้ก็แปลข้อมูลออกมา เป็นความเครียด หรือไม่มีความสุข หรือถ้าหากว่าเคยมีประสบการณ์ ที่เจ็บปวดมาก่อน ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ชอบ เป็นต้น สมองส่วนนี้มีความเกี่ยวข้องกับ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เกี่ยวข้องกับ ความสัมพันธ์ ระหว่างแม่กับลูก เด็กกับครอบครัว เด็กกับสังคม หรือระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย เกี่ยวข้องกับความฝัน วิสัยทัศน์ และความเพ้อฝัน

    ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากสมองใหม่ที่เรียกว่า สมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสมัยใหม่ หรือ นีโอคอร์เท็กซ์ (Neocortex) ด้วย สมองส่วนที่ 3 หรือ สมองส่วนที่ทำหน้าที่สูงสุดในบรรดาสมองทั้งหมด เรียกว่า นีโอคอร์เท็กซ์ แปลว่า สมองส่วนใหม่ (New brain) จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าสมองอีก 2 ส่วนถึง 5 เท่าด้วยกัน สมองส่วนนี้จะเป็นที่รวมเกี่ยวกับ ความฉลาด ความคิดสร้างสรรค การคำนวณ ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความรักความเสน่หา สมองส่วนนี้จะทำให้เรารู้จักหาหนทางที่จะควบคุมสิ่งแวดล้อมในโลกนี้ สิ่งที่อยู่รอบตัวเรา และการมีอิทธิพลควบคุม คนอื่นด้วย นอกจากนั้นสมองส่วนนี้จะทำหน้าที่เกี่ยวกับ ความคิดทางด้านปรัชญา ศาสนา เป็นส่วนที่จะ ทำให้เห็นหนทางไปถึง จุดมุ่งหมายของมนุษยชน แต่อย่างไรก็ตาม สมองส่วนนี้ไม่สามารถที่จะทำงานได้ โดยปราศจาก สมองอีก 2 ส่วน คือ อาร์เบรน กับ ลิมบิกเบรน มาช่วยด้วย โดยสมองส่วนใหม่ หรือนีโอคอร์เท็กซ์ แบ่งแยกออกเป็น 2 ด้าน คือ ด้านขวา และด้านซ้าย แต่ละด้านจะมีหน้าที่เฉพาะเจาะจง มีเส้นใยประสาทที่เตรียมพร้อมสำหรับการเรียนรู้ และรับรู้ข้อมูลจากสมองอีก 2 ส่วน ในขณะที่มีการตอบสนองจากระบบอาร์เบรน ก็จะมี การป้อนข้อมูลนี้กลับเข้าไปในสมองส่วนใหม่ หรือนีโอคอร์เท็กซ์ด้วย ซึ่งทำให้เกิดการสร้างระบบประสาทขนานไป กับ ระบบประสาท ใน อาร์เบรน ถ้าหากไม่มี สมองนีโอคอร์เท็กซ์ การตอบสนองก็จะเป็นไป โดยอัตโนมัติ แต่เนื่องจากมีการควบคุมจากสมองส่วนใหม่ หรือ นีโอคอร์เท็กซ์ ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างมีวัตถุประสงค์มากขึ้น มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น

    ถึงแม้ว่าสมอง 3 ส่วนจะทำงานประสานกัน แต่ในบางขณะเราสามารถที่จะเลือกใช้สมองส่วนใดส่วนหนึ่งมากกว่าส่วนอื่นได้ เช่น ในเรื่อง เพศสัมพันธ์ ระบบประสาทอาร์เบรนที่เกี่ยวข้องกับเพศสัมพันธ์จะทำงาน แต่จะเห็นได้ว่ามนุษย์เรามีรูปแบบการมี เพศสัมพันธ์ ที่ไม่เหมือน สัตว์ ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติอย่างง่าย ๆ เพศสัมพันธ์ของมนุษย์มีรูปแบบที่ซับซ้อนกว่า มีเรื่อง ของอารมณ์ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น เรื่อง รัก ๆ ใคร่ ๆ แบบโรมิโอกับจูเลียต เป็นต้น ตรงนี้ต้องใช้สมองนีโอคอร์เท็กซ์เข้าไปเปลี่ยนรูปแบบ จากการสืบพันธุ์ง่าย ๆ แบบสัตว์ให้มี รูปแบบ ที่สลับซับซ้อนมากขึ้น


    อาร์เบรนยังเกี่ยวข้อง กับเรื่อง ของการใช้ภาษาด้วย พบว่า ทารกในครรภ์จะมีการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ บริเวณปากอย่างเฉพาะเจาะจง ในขณะที่ได้ยินเสียงของแม่พูด ต้องใช้สมองส่วนอาร์เบรน ทำงานสั่งให้กล้ามเนื้อตรงนั้นเคลื่อนไหว และเนื่องจากสมองส่วนอาร์เบรน อยู่บริเวณที่เรียกว่า เบรนสเต็ม (Brain Stem) หรือก้านสมอง ซึ่งจะเป็นประตูปิดเปิดการรับรู้กับโลกภายนอก ดังนั้นถ้าหาก ระบบสมองส่วนนี้เสียไป เราจะไม่สามารถรับรู้โลกภายนอกได้เลย

    สมองส่วนอาร์เบรนยังมีหน้าที่เกี่ยวกับ การหลับการตื่น ทำให้เรารู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าสมองอาร์เบรนสามารถที่จะตอบสนอง โดยตรงกับประสาทสัมผัสที่รับเข้ามา แต่ปฏิกิริยาส่วนใหญ่แล้วจะต้องผ่านสมองส่วนอีโมชั่นแนล หรือลิมบิกเบรน เพื่อที่จะจัดเก็บความจำ และทำให้เกิดการเรียนรู้ สมองส่วนอีโมชั่นแนล หรือ ลิมบิกเบรนยังมีหน้าที่เกี่ยวกับ ภาษาอีกด้วย ซึ่งจะเกิดขึ้นก่อนที่เด็กทารกจะพูดได้ ด้วยซ้ำ หากไม่มีสมองส่วนนี้เราจะไม่สามารถเขียน หรือพูด หรือสื่อสารกับใครได้ เช่น เดียวกันกับ ถ้าเราไม่มีสมองส่วนใหม่ หรือสมองนีโอคอร์เท็กซ์ เราก็จะไม่สามารถคิดได้เลย แต่เดิมเราคิดว่าสมอง 2 ส่วนที่เก่าแก่ คือ อาร์เบรน กับ ลิมบิกเบรน ไม่มีประโยชน์ เป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากวิวัฒนาการ งานส่วนใหญ่ ของสมอง จะเกิดขึ้นที่สมองส่วนใหม่ นีโอคอร์เท็กซ์ แต่จากการวิจัยใหม่ ๆ ค้นพบสิ่งตรงกันข้ามว่า ประสบการณ์ในชีวิต ของเรามาจาก การทำงานของสมอง 2 ส่วนนี้ด้วย

    [​IMG]

    สมองของคนเราทำงานตลอดเวลา ไม่ว่าหลับ หรือตื่น แต่การทำงานในแต่ละส่วนจะแตกต่างกัน การทำงานของสมอง ขึ้นอยู่กับ เซลล์ประสาทที่มีอยู่เป็นจำนวนแสนล้านเซลล์ เซลล์ประสาทเหล่านี้ จะติดต่อพูดคุยกันโดยใช้ระบบสารเคมี และประจุไฟฟ้า เซลล์ประสาทตัวที่หนึ่งอาจจะยับยั้งการทำงานของเซลล์ประสาทตัวที่สอง ในขณะที่เซลล์ประสาทตัวที่สาม กลับกระตุ้นการทำงาน ของเซลล์ประสาทตัวที่สอง ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้น หรือการยับยั้ง จะทำให้เซลล์ประสาทส่งกระแสไฟฟ้าออกมา ผลลัพท์อาจจะเป็น การกระตุ้น หรือยับยั้งก็ได้

    จากการวิจัยพบว่า การทำงานของสมองจะทำงานกันเป็นกลุ่ม คือ เซลล์ประสาทจะมารวมกันเป็นกลุ่มแล้วทำหน้าที่หนึ่งอย่าง เซลล์ประสาทเหล่านี้จะติดต่อถึงกัน ทำให้เกิดการทำงาน มีกระแสไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากการทำงาน และกระแสไฟฟ้านี้หยุดไป เซลล์ประสาทก็จะตาย และจุดเชื่อมต่อระหว่างเส้นใยประสาทของเซลล์ประสาท แต่ละเซลล์ที่ติดต่อถึงกันที่จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล และพลังงานกันก็จะตายไปด้วย สำหรับสมองส่วนที่เกี่ยวกับ ความคิด จะมีการจัดเรียงตัวของกลุ่มเซลล์ประสาทเป็นล้านล้านกลุ่มทีเดียว ซึ่งจะติดต่อถึงกันด้วยเส้นใยประสาท โดยเซลล์ประสาท 1 ตัวจะมีเส้นใยประสาทติดต่อกับเซลล์ประสาทอื่น หรือในกลุ่มอื่นเป็นหมื่น ๆ เส้นใยทีเดียว เนื่องจากมีการติดต่อ กลับไปกลับมาระหว่างเซลล์ประสาท และระหว่างกลุ่มเซลล์ประสาท ทำให้ไม่ว่าจะมีปฏิบัติการ อย่างใดอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นก็สามารถมีผลต่อสมองทั้งสมองได้ กลไกการทำงานของสมองนี้เป็นไปตลอดเวลา เซลล์ประสาทแต่ละตัว จะทั้งรับข้อมูลเข้า และส่งข้อมูลออกในเวลาเดียวกัน ผลก็คือผลลัพท์จากการทำงาน หรือการโต้ตอบ ของเซลล์ประสาท ทั้งกลุ่มนั้น เซลล์ประสาทเปรียบเสมือน ทรานซิสเตอร์ หรือ หลอดวิทยุ ที่สามารถแสดงผลการทำงานที่เกิดขึ้นตลอดเวลา แม้ในยามหลับ หรือหมดสติ ข้อมูลที่เก็บไว้ในสมอง จะมีลักษณะเป็นคลื่นไฟฟ้าซึ่งมี ความถี่ที่มีรูปแบบ เฉพาะอยู่ในเซลล์ประสาท และเมื่อมีข้อมูลใหม่ ๆ เข้าไปในสมอง กระแสไฟฟ้าก็จะมีคลื่นความถี่ที่มีรูปแบบเฉพาะ หรือ รูปแบบใหม่ที่สมองยังไม่เคยได้รับมาก่อน สมองก็จะหาเซลล์ประสาท กลุ่มใหม่ และสร้างเส้นใยประสาท หรือการติดต่อใหม่ เพื่อที่จะจัดการเก็บข้อมูลใหม่ ๆ ไว้ในสมอง

    สมอง Brain, ส่วนประกอบของสมอง, สมองซีกซ้าย, รูปสมอง, สมองส่วนหน้า, การทำงานของสมอง, หน้าที่ของสবt;/a>

    :VO:VO:VO
     
  14. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ธรรมะวันละนิด

    พระพุทธเจ้าท่านทำใจสบายอย่างไร
    เราก็น้อมใจของเรา ให้มีความสบายอย่างนั้น
    ให้ใจของเราเย็น ให้ใจของเราเบิกบานผ่องใส
    ให้ใจของเรายิ้ม มีความสุข มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม ให้สบาย

    หลวงพ่อ.. ^_^
     
  15. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขอบคุณค่ะที่ชม ขจรวรรณก็บ้ายอซะด้วยจิ เอิ๊ก..
    แวะมาคุยกันในมุมมองของคุณ Kama-Manas บ้างนะคะ
    และดีจัยค่ะที่ชอบ ธรรมะวันละนิดนึง.. รู้สึกดีเช่นกันค่ะ ^_^
     
  16. Jjfreeman

    Jjfreeman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +130
    สวัสดีครับ คุง khajornwan

    ผมมีภาพๆหนึ่ง อยากให้คุณดู และผมขอให้คุณตอบจากความรู้สึกที่คุณเห็นภาพนี้นะครับ



    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]


    มนุษย์เป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่เล็กๆ
    เพราะฉะนั้นจงอย่ากังวลเกินไปกับทุกสิ่ง
    หวงแหนเวลาในทุกๆ ขณะ และ ทำในสิ่งที่ใจปรารถนา …….
    เปิดโลกทัศน์ เปิดใจ อย่ากังวลเกินไปกับสิ่งที่มารบกวนจิตใจ
    หวงแหนในสิ่งอันเป็นที่รัก ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและสงบสุข
    จงมีความสุขเสมอ เพื่อต้อนรับสิ่งที่กำลังจะมาในวันใหม่
    เพลิดเพลินไปกับแสงอรุณ และมองด้านสว่างของทุกๆ สิ่งเสมอ


    **************************************
    ภาพนี้ไม่ใช่ฝีมือคนไทยแน่ครับ และผมคิดว่าเขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธด้วย แต่สำหรับผม ผมว่าเขาส่งความรู้สึกทางความคิดของเขาออกมาทางภาพ ในแง่ศาสนาที่เป็นพุทธได้ดีที่เดียว



    :cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool:
     
  17. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    กำลังรู้สึกเหนื่อยจากการทำงานและอยากจะพักผ่อนแต่ก็ยังไม่สามารถหยุดพักได้ ยังคงต้องก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปอีกยาว.. พอได้อ่านข้อความนี้แล้วรู้สึกมีกะลังใจขึ้นเยอะเลยค่ะ.. Thank you หลายจ้า..:cool:
    <O:p</O:p</O:p
    ขอบคุณคะคุงไอน์สไตน์มั่กๆ ค่ะ.. รู้สึกเหมือนมีโค๊ชอยู่ไกล้ๆ เลยนะคะ มีการบ้านมาให้นู๋ทุกวันเรย ดูจากภาพที่นำมาฝากแล้วถ้าให้ขจรวรรณอธิบายสงกะสัยอธิบาย 3 หน้ากระดาษก็ไม่จบ อิอิ.. แต่ก็จะพยายามอธิบายให้สั้นที่สุดเท่าที่จะสั้นได้ค่ะ
    <O:p</O:p</O:p
    จากภาพที่คุณไอน์สไตน์นำมาฝากพวกเรา บอกให้ทราบว่าแต่เส้นทางชีวิตของมนุษย์และสัตว์เป็นเพียงประสบการณ์หนึ่งที่แต่เราแต่ละคนเลือกมาถือกำเนิดและเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนรวมเราสามารถร่วมเรียนรู้ประสบการณ์หรือมุมมองของจิตวิญญาณอื่นได้ด้วยการอ่านหนังสือ, ดูทีวี, ภาพถ่าย, เสียงวิทยุ หรือ Internet ฯลฯ ทุกๆ ประสบการณ์ที่เราเผชิญอยู่หากไม่พึงปรารถนา เราก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงและแก้ไขให้ดีขึ้นหรือเลวลงก็ได้ด้วยพลังอำนาจแห่งปัจจุบัน หรือความคิดของเราเอง
    <O:p</O:p
    โดยธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณแล้ว “ ความคิดหรือจินตนาการก่อให้เกิดวัตถุธาตุ “ เช่น ก่อนที่เราจะพิมพ์ตัวอักษรลงบนคอมพิวเตอร์เราก็ต้องคิดก่อนว่าจะพิมพ์อะไรลงไป หรือก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะประดิษฐ์อะไรขึ้นมาสักชิ้นก็ต้องใช้ความคิดก่อนเริ่มทำการประดิษฐ์ แต่ก็มีสิ่งที่น่าคิดเหมือนกันว่าเป็นไปได้มั้ยที่การผลิตสิ่งประดิษฐ์หรือทฏษฏีต่างๆ ในเชิงวิทยาศาสตร์นั้นเค้าไม่ได้คิดด้วยสมองแต่เป็นคลื่นความคิดทางจิตวิญญาณ เช่น หากเราคิดที่จะผลิตเครื่องบินขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง หากเป็นการคิดด้วยสมองแล้วเราจะสามารถคิดได้อย่างไรว่าจะนำโลหะชิ้นเบ่อเริ่มมาประกอบกันแล้วสามารถบินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วคิดได้อย่างไรว่าน๊อตชิ้นไหนควรจะอยู่ในตำแหน่งใด?
    <O:p</O:p
    ในทางพุทธศาสนาสอนไว้ว่า โลกนี้เหมือนดังละคร ก็หมายความว่าจิตวิญญาณแต่ละดวงที่มาถือกำเนิดบนโลกมนุษย์นี้ต่างก็ถือบทละครของตนเองมาเพื่อมาแสดงให้สมบทบาทกับบทเรียนที่ตนเองได้ที่ได้เลือกไว้ก่อนที่จะลงมาอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ หรือที่คุณหนุมานกล่าวไว้สั้นๆ ว่า " สัจจะ คือสัญญาใจ " งาย หรือที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า
    <O:p</O:p
    เธอทั้งหลายเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ร่วมสร้างโลก เธอเรียนรู้ที่จะเป็นเทพเจ้าในความเข้าใจของเธอ เธอทั้งหลายเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบในสติสัมปะชัญญะหรือในความคมชัดของจิตวิญญาณซึ่งตื่นตัวในความรู้สึกนึกคิดและการกระทำทั้งหมดของเธอ เธอทั้งหลายเรียนรู้ที่จะจัดการและควบคุมพลังในตัวของเธอเพื่อการสร้างสรรค์ ละครชีวิตและชาติภพของเธอจะผูกมัดอยู่กับคนที่เธอรักและคนที่เธอเกลียดชังเสมอ เพราะเธอจะต้องเรียนรู้ที่จะทำให้ความเกลียดชังมลายหายไป เธอจะต้องเรียนรู้ที่จะใช้ความเกลียดชังไปในทิศทางที่สร้างสรรค์ และผลิกผันความเกลียดชังให้เป็นไปในทิศทางที่สูงขึ้น ด้วยการแปลงสภาพความเกลียดชังให้กลายเป็นความรัก
    <O:p</O:p
    ในแง่ของจิตวิญญาณแล้วมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายก็เปรียบเสมือนเซลล์เล็กๆ เป็นล้านๆ เซลล์ที่อาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์ พวกเค้าต่างทำหน้าที่ของตัวเองเพียงเพื่อช่วยกันขับเคลื่อนทางพลังงานให้กับร่างกายเรา แล้วพวกเราคิดว่าเราได้ใช้ร่างกายของเรานี้ทำประโยชน์สูงสุดแก่เพื่อนมนุษย์, สัตว์โลก, โลกที่เราอาศัยอยู่, จักรวาลนี้ และทั่วทั้งอนันตจักรวาลนี้ไปแล้วมากน้อยแค่ไหนกันนะทุกๆ คน หุหุ..
    :z12:z12:z12<O:p</O:p
     
  18. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ความหมายของจักระ

    ไม่ทราบว่าพอมีใครที่เคยนั่งสมาธิแล้วรู้สึกซ่าขึ้นบนศรีษะบ้างรึไม่? เพราะตามศาสตร์ของพลังจักรวาลแล้วจักระ 7 หรือกลางกระหม่อมจะเปรียบเสมือนหม้อแปลงไฟฟ้าที่สามารถแปลงพลังจักรวาลหรือพลังชีวิต เพื่อส่งไปหล่อเลี้ยงร่างกายและนำไปใช้ในการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต.. หรือศาสตร์ของโยคะเองก็จะฝึกสมาธิโดยให้กายกับจิตสัมพันธ์กันและเป็นหนึ่งเดียวกันกับจักรวาล สังเกตุว่าจะมีท่าไหว้พระอาทิตย์ด้วยค่ะ.. ลองศึกษาจักระตามแนวของพลังจักรวาลดูค่ะ.. ซึ่งอาจจะทำให้เราเข้าใจคำว่า " ออร่า " ได้มากขึ้น:boo:
    มีพระองค์บางองค์ท่านฝึกสมาธิและอยู่กับธรรมชาติมาหลายปี พบว่าเมื่อเอกซ์เรย์สมองแล้วคลื่นสมองของท่านเป็นเส้นตรง เข้าใจว่าท่านคงจะมีความสามารถในการควบคุมคลื่นความคิดได้แล้ว เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจทีเดียวค่ะ.. ^_^

    .............................

    จักระ 1 ตั้งอยู่ระหว่างทวารหนักและอวัยวะสืบพันธ์ เป็นที่ตั้งของไฟศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคุผ่านกระดูกสันหลังขึ้นไปคล้ายท่อกลวง ทำให้ผู้ปฏิบัติสมาธิเสี่ยงต่อการถูกวิญญาณเข้าสิงสู่ แต่ถ้าผู้ปฏิบัติตระหนักถึงภัยอันตรายก็อาจเตรียมป้องกันได้ด้วยการปฏิบัติสมาธิมุ่งชำระจิตและกายให้สะอาด เพื่อเปิดช่องทางเดินของพลัง ต่อจากนั้นผู้ปฏิบัติยังต้องเผชิญสิ่งท้าทายอื่นที่จะตามมาทำลายความตั้งใจจึงต้องทำตัวให้สมถะ ควบคุมสติและมีความอดทน จึงจะสมปรารถนาในที่สุด

    จักระ 2 ตั้งอยู่ปลายกระดูกก้นกบ ทำหน้าที่ควบคุมพลังกายและพลังจิตของมนุษย์ หากเราโน้มจิตเข้าหากามตัณหาก็จะใช้พลังให้สิ้นเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์ โดยไม่อาจหาทดแทนได้ ทำให้ร่างกายทรุดโทรม แต่ถ้าเรารู้จักวิธีเก็บรักษาพลังนั้นไว้ จักระนี้จะพัฒนาอย่างรวดเร็วและส่งพลังไปเลี้ยงสมองทุกวัน ทำให้เราก้าวเข้าสู่แสงสว่างแห่งปัญญา รู้แจ้งในสัจธรรมของสรรพสิ่ง

    จักระ 3 ตั้งอยู่บนกระดูกสันหลังบริเวณเอวตรงกับสะดือ ทำหน้าที่กำหนดระบบการย่อยทั้งหมดและควบคุมระบบการผลิตเม็ดโลหิต จักระนี้ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายและกระตุ้นการทำงานของกระเพาะอาหาร ตับ ไต ตับอ่อน ลำไส้ เมื่อใดที่การทำงานของจักระนี้หย่อนยานลงจะทำให้เกิดโรคได้ โดยเฉพาะโรคมะเร็งและโรคเอดส์

    จักระ 4 ตั้งอยู่บนกระดูกสันหลังระหว่างสะบักตรงระดับหัวใจ ทำหน้าที่กำหนดจิตทำให้เกิดความรัก ความเมตตาอารี ความบริสุทธิ์ ความสงบ เกิดมโนธรรมของจิตวิญญาณ ความกรุณา การให้อภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักอันยิ่งใหญ่ไพศาลที่มีอยู่ท่วมท้นในจักรวาล จักระนี้มีลักษณะของความรัก ความเมตตา เมื่อเปิดจะหมุนด้วยความเร็วสูง ทำให้เซลล์ในร่างกายสั่นสะเทือน ทำให้เกิดพลังความรัก ความเมตตาออกมา ตราบใดที่จักระนี้ยังปิดอยู่ ต่อให้เราพูดถึงความรักความเมตตา ก็ไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ หากเราสามารถประสานความรักความเมตตาเข้ากับพลังสั่นสะเทือนได้ ก็จะสามารถลดกรรมของมนุษยชาติจากกรรมใหญ่ได้ คนส่วนมากโอ้อวดถึงความเมตตา ความดี ความรักที่มีต่อผู้อื่นหรือต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ตราบใดที่จักระนี้ยังไม่เปิดคนเหล่านั้นก็ยังจมอยู่ในความโง่เขลา สิ่งที่เขาพูดหรือกระทำจะไม่เกิดผลต่อจิตวิญญาณ แต่จะอยู่ในความมืดมนตลอดกาล

    จักระ 5 ตั้งอยู่บริเวณกระดูกต้นคอด้านหลัง จักระนี้กำหนดระบบหายใจซึ่งรวมถึงจมูก หลอดลม ปอด ผิวหนัง เมื่อจักระนี้เปิดจะช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น โรคไอและหอบหืด ส่วนใหญ่โรคหอบหืดเกิดจากสิ่งไม่บริสุทธิ์ต่าง ๆ ถ้าสามารถขับออกมาได้อาการก็จะดีขึ้น ผู้ป่วยโรคนี้อาจเป็นผลมาจากกรรมในชาติก่อนที่จะต้องชดใช้ วิธีการหายป่วยจากโรคนี้คือ การแสวงหาทางพัฒนาจิตวิญญาณและยอมรับผลกรรมและสำนึกผิดที่ตามมาจากอดีตชาติ

    จักระ 6 ตั้งอยู่กลางหน้าผากห่างจากโคนจมูก 2 CM จัดว่าเป็นตาทิพย์หรือตาที่ 3 การจะใช้ประโยชน์จากตาที่ 3 นี้ ผู้ใช้จะต้องมีพลังจิตอันสูงส่งจึงต้องได้รับการเปิดจักระทั้งหมดและขจัดสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ออกให้หมด จะช่วยให้เห็นภาพของเราทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต ตลอดจนความลับของดวงดาวและสถานที่ต่าง ๆ สามารถใช้พลังอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นพลังอันแรงกล้าช่วยขจัดสิ่งสกปรกและเหตุร้ายทั้งมวล สามารถเห็นความแตกต่างตามชะตากรรมและกรรมลิขิตของแต่ละคน ตาที่ 3 ถือเป็นอัญมณีล้ำค่าของผู้ปฏิบัติจิตวิญญาณทางวิชาพลังจักรวาล

    จักระ 7 ตั้งอยู่กลางกระหม่อม เมื่อบุคคลใดพัฒนาจิตสูงมาแล้วจักระนี้จะแผ่แสงสีเหลืองเป็นประกายสวยงามเหมือนมีดอกบัวพันกลีบครอบอยู่บนศรีษะ ปกติเราจะเห็นแต่แสงสีขาวนวล สีเทา สีน้ำตาล หรือสีดำบนศรีษะของคนทั่วไป ซึ่งมีสิ่งไม่บริสุทธิ์อยู่ในสมองหรือในความคิด ดังนั้นเราจะต้องควบคุมจิตวิญญาณให้มุ่งมั่นอยู่กับความดี ความสงบสุขและการกระทำที่บริสุทธิ์ ไม่ปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำ หลีกเลี่ยงการมีปากมีเสียงขัดแย้งและเกลียดชังผู้อื่น ไม่โอ้อวดความสามารถ จะทำให้เกิดตาทิพย์ หูทิพย์ และสามารถรับรังสีในจักรวาลที่มีความร้อนสูงได้โดยไม่มีการเผาไหม้ แม้เราจะศึกษาข้อมูลเหล่านี้แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถพัฒนาจิตให้สูงพอที่จะเข้าถึงระดับนี้ได้

    จักระ 7 ได้รับการเอื้อหนุนจากเซลล์พิเศษในสมองเรียกว่า " ไมโครเซลล์ " จะควบคุมจิต สติ จิตใต้สำนึก อารมณ์ ปัญญา ความรักความเมตตา สามัญสำนึก จิตตานุภาพ เจตนารมณ์และความมีเหตุผล ตั้งแต่จิตมนุษย์จมดิ่งลงในเหวลึกของอุบาย ความหยิ่งทะนง ความหลอกลวง ความฟุ้งเฟ้อ มนุษย์ก็ยิ่งพาตัวห่างไกลจากความสงบสุขของจิตวิญญาณ สติ ความรักความเมตตาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน รวมทั้งลืมใช้ประโยชน์จากไมโครเซลล์ เนื่องจากจักระ 7 กับไมโครเซลล์มีแสงสีเหลืองที่มีความถี่สูงมากจนสามารถเปลี่ยนเซลล์ในร่างกาย ทำให้เซลล์นั้นสั่นสะเทือนแรงขึ้นทุกวันจนบรรลุถึงนิพพานหรือสวรรค์ได้ ไมโครเซลล์เหล่านั้นสามารถติดตามไปกับวิญญาณของผู้ตาย จนกระทั่งเมื่อวิญญาณเหล่านี้ไปจุติในร่างใหม่ไมโครเซลล์ก็จะเข้าไปสู่จิตวิญญาณของร่างนั้น

    อาจกล่าวได้ว่าไมโครเซลล์นี้เป็นเสมือนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังสูงที่ทำงานได้สารพัดชนิดโดยไม่จำกัดอายุการใช้งาน หากเราเรียนรู้การใช้ไมโครเซลล์นี้ได้เราก็จะสามารถเป็นมนุษย์มหัศจรรย์ได้..

    อ.เลือง มิน ด๋าง
    (f)(f)(f)
     
  19. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ธรรมะวันละนิด

    จะขึ้นภูเขา มันต้องเหนื่อย
    จะข้ามทะเล มันต้องลำบาก
    การข้ามนิวรณ์ทั้งหลายทั้งปวงนี้
    มันต้องเผชิญกันน่าดูล่ะ

    หลวงพ่อ.. ^_^
     
  20. Phusaard

    Phusaard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    436
    ค่าพลัง:
    +349
    ได้ความรู้ดีครับ
    ขอแนะนำหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ทั้ง สองเล่มครับ
    ดูแล้วตรงกับหัวข้อของกระทู้นี้ดีครับ

    ขอ อนุโมทนา ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...