คุณคิดว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนามีความสัมพันธ์กันหรือไม่?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย khajornwan, 8 พฤศจิกายน 2010.

  1. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +80
    คุณคิดว่า การกำเนิดมนุษย์ ที่มานั่งถามคำถามอันฉงนนี้ มาจากพื้นฐานศาสนาหรือวิทยาศาสตร์หรือทั้งสองอย่าง

    เมื่อเราเชื่อ เราศรัทธาต่อหลักการใด จักรวาลและชีวิตเราจะถูกอธิบายด้วยหลักการตามที่เรายึดถือใช่ไหม หรือเราสามารถอธิบายชีวิตด้วยหลักการทั้งสองไปพร้อมๆกันได้อย่างหมดจด สวยงาม และลงตัว

    ผมเชื่อว่าทุกศาสนาได้อธิบายเกี่ยวกับโลก จักรวาล ไว้ครบถ้วนแล้ว แต่อาจไม่ลึกซึ้งเท่ากับการอธิบายชีวิตของเรา หรือว่า มันเป็นสิ่งเดียวกันหรือเปล่าน่่ะ

    ฐานะที่นับถือหลักการทางพุทธศาสนา ผมทึ่งในการอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆของชีวิต และจักรวาล ยิ่งได้เรียนรู้ ได้รับทราบถึงความก้าวหน้าทางวิทยาสาสตร์เท่าใด มันเหมือนช่วยตอกย้ำความเข้าใจต่อหลักศาสนามากขึ้นเท่านั้น

    สิ่งที่ออกมาจากใจมนุษย์ ทั้งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ผมว่ามันคือสิ่งเดียวกัน ต่างที่สภาวะมากกว่า

    สักวันหนึ่ง เราอาจอธิบายได้ว่า พระอรหันต์บางรูป สามารถย่นระยะทางได้ เหาะได้ เดินบนน้ำได้ คล้ายๆกับการอธิบายว่า ทำไมเครื่องบินถึงบินได้ เรือทำไมลอยน้ำได้
    แต่เราไม่มีวันที่จะใช้วิทยาศาสตร์อธิบายว่า อีกสองนาทีคุณจะคิดถึงเรื่องอะไร แม้แต่ศาสนาอาจจะบอกไม่ได้ด้วยเช่นกัน เพราะอนาคตมันเป็นสิ่งไม่แน่นอนใช่ไหม

    เสน่ห์ของความไม่แน่นอน อาจจะเป็นหัวใจของการปฏิบัติกิจทางศาสนา
    ส่วนเสน่ห์ของความแน่นอน คือหัวใจของการศึกษาวิทยาสาสตร์ แต่....วิทยาสาสตร์ก็ยังมีหลักการของความไม่แน่นอนเกิดขึ้นมา มันชักจะยังไงอยู่น่ะ
     
  2. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขอบคุณค่ะคุณเซลล์ที่แวะมาเยี่ยมเยียน(f)
    ไม่ได้คุยกันนาน รู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณของคุณเซลล์เปลี่ยนไปจากที่เคยคุยกันเมื่อปีสองปีก่อนนะคะ
    ถ้าภาษาของพี่นักเขียนคงก็กล่าวว่าตัวตนเมื่อปีก่อนเป็นคนละตัวตนกับตัวตนปัจจุบัน
    หรืออาจจะกล่าวได้ว่าจิตวิญญาณของเราได้พัฒนาไปแล้วอีกก้าวหนึ่ง
    ก็เคยคิดอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกันค่ะว่าจะปิดกระทู้นี้เสียที
    แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาทางปิดกระทู้นี้ไม่ได้ คุณเซลล์น่าจะเข้าใจว่าเพราะอะไร?
    พบว่าพอจะหยุดจะหยุด ก็มักจะได้รับหนังสือแต่ละเล่มมาด้วยความบังเอิญ
    บางเล่มก็เดินผ่านไปแล้วแต่ก็ยังหันกลับมามองเค้าอีก
    บางเล่มอยู่ๆ ก็หล่นตุ๊บ!! ทำให้ต้องหยิบขึ้นมาเปิดๆ ดู
    แล้วก็มีอิดออดขี้เกียจพิมพ์เพราะยาวเหลือเกินค่ะ แต่ไปๆ มาก็ต้องมานั่งพิมพ์จนได้
    แต่ก็มีแอบต่อรองขอเล่มละนิดเล่มละหน่อยก็พอ
    ที่เหลือหากท่านผู้อ่านสนใจคงจะไปหามาอ่านเองนะคะ อิอิ
    วันสองวันนี้ก็เริ่มจะรู้แล้วค่ะว่าจะปิดกระทู้ยังงัย ^_^
    ประเด็นก็คือ คงต้องไปผนวกกับความฝันของตัวเองที่เคย post ไว้ในกระทู้นี้นั่นเองค่ะ
    ก็เป็นธรรมดา กระทู้ก็มีไว้ให้เราศึกษาเช่นกัน
    มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เช่นกันเน๊อะๆๆ
    (kiss)(kiss)(kiss)
     
  3. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขอขอบคุณคุณเทพเมรัยมั่กๆ นะคะที่ช่วยแสดงความคิดเห็น
    ขจรวรรณคิดว่าศาสนากับวิทยาศาสตร์ต่างก็กำลังพยายามศึกษาธรรมชาติเช่นกัน
    แต่ศาสนากับวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นในเวลาที่ต่างกัน ศาสนาเกิดมานานจนเราไม่รู้ว่าเริ่มเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่?
    ส่วนวิทยาศาสตร์นั้นเกิดขึ้นมาเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้แต่ก็สามารถอธิบายธรรมชาติได้มากทีเดียว
    บางทีนี่อาจเป็นบททดสอบอัตตาของนักศาสนาด้วยก็เป็นได้ หากเราแอบคิดว่าวิทยาศาสตร์ยังไงก็ตามเราไม่ทัน
    เท่าที่ทราบปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งเค้าก็รู้ตัวแล้วว่าสิ่งที่เค้าค้นคว้าด้านเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้นั้น
    เค้าเดินทางมาผิดพลาด และเริ่มที่จะสนใจศึกษาวิทยาศาสตร์ควบคู่ไปกับจิตวิญญาณแล้ว
    และเค้าก็เรียนรู้ได้ดีเสียด้วย เพราะเค้าทั้งหลายพร้อมที่จะเปิดใจรับฟังหากมีสมมุติฐานใดทดสอบทดลองแล้ว
    สามารถหักล้างทฤษฏีเดิมได้ ในขณะที่นักศาสนาเองบางครั้งอาจจะยึดมั่นถือมั่น
    ว่าสิ่งที่ตนสัมผัสได้นั้นเป็นความจริงแท้ จนไม่สามารถเปลี่ยนความคิดนั้นไปได้ก็มี
    ตัวขจรวรรณเองก็ต้องคอยควบคุมอัตตาของตัวเองไว้เสมอ
    เพราะหากเราเกิดอาการดีใจ หรือภาคภูมิใจ ก็เกิดอัตตาแล้วค่ะ
    chearrchearrchearr<O:p</O:p
     
  4. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ใช่ครับ เราตั้งกระทู้กันขึ้นมา ก็เพราะแรงบันดาลใจ
    ที่ปราถนาให้ผู้อ่าน ได้ประโยชน์จากสิ่งที่เรานำเสนอ

    ทุกอย่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

    แต่สิ่งที่คุณขจรวรรณ กระทำอยู่นี้ ก็จะอยู่ตลอดไป
    เหมือนกับหนังสือบางเล่ม ที่เราเคยอ่านเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อาจจะยังไม่เข้าใจ
    แต่เมื่อความเข้าใจเราเปลี่ยนไป
    กลับมาอ่านอีกครั้ง เรากลับเข้าใจได้ลึกซึ้งกว่าเดิม

    กระทู้นี้ก็เช่นกันครับ หากมีผู้สนใจ และกำลังหาคำตอบอยู่
    มา search หา ในเว๊ปไซต์ palungjit หรือ searchengine ต่างๆ
    เค้าอาจจะพบกับคำตอบที่เค้าหาอยู่ จากกระทู้คุณขจรวรรณก็เป็นได้

    จิตวิญญาณทำงานเป็นเครือข่ายเสมอ ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันตลอดเวลา อนุโมทนาด้วยครับ:)
     
  5. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    หน้าที่ทางจิตวิญญาณ

    ต้องขอโทษด้วยค่ะคุณเซลล์ที่ตอบช้าไปนิด พอดีช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเข้ามาคุยด้วยน่ะค่ะ
    [FONT=&quot]พูดถึงแรงบันดาลใจแล้วทำให้นึกถึงครั้งหนึ่งเคยร้องไห้แงแง อยู่กับพี่นักเขียน[/FONT]
    [FONT=&quot]ความปรารถนาในส่วนลึกของขจรวรรณก็คือ ปรารถนาที่จะประสานความเข้าใจกันระหว่างความเชื่อทุกๆ ความเชื่อ[/FONT]
    [FONT=&quot]ก็คงไม่แปลกที่เขียนกระทู้ออกมารวมหลายๆ เรื่องมาไว้เป็นเรื่องเดียวกัน.. [/FONT]
    [FONT=&quot]จนท่านผู้อ่านสงสัยแล้วว่า.. อะไรที่เป็นจุดมุ่งหมายของกระทู้นี้อ่ะ อิอิูู ^_^
    [/FONT]
    <!--[if !mso]> <style> v\:* {behavior:url(#default#VML);} o\:* {behavior:url(#default#VML);} w\:* {behavior:url(#default#VML);} .shape {behavior:url(#default#VML);} </style> <![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if !mso]><object classid="clsid:38481807-CA0E-42D2-BF39-B33AF135CC4D" id=ieooui></object> <style> st1\:*{behavior:url(#ieooui) } </style> <![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> อ้างอิง:
    <table class="MsoNormalTable" style="width:100.0%;mso-cellspacing:0cm;mso-padding-alt:4.5pt 4.5pt 4.5pt 4.5pt" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="mso-yfti-irow:0;mso-yfti-firstrow:yes;mso-yfti-lastrow:yes"> <td style="border:inset 1.0pt;mso-border-alt:inset windowtext .75pt; background:#F7F3F7;padding:4.5pt 4.5pt 4.5pt 4.5pt"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณkhajornwan
    ขออนุญาตินำข้อความเก่า ๆ มา Post อีกครั้งเพราะเห็นพี่นักเขียนนำความฝันในเรื่องของ ผู้เลือกและผู้ถูกเลือกมาเล่าให้ฟัง Post นี้ขจรวรณพึ่งเข้ามาในกระทู้นี้ใหม่ ๆความรู้สึกที่เข้ามาในตอนนั้นเหมือนกับว่าเรามีภาระหน้าที่บางอย่างที่จะต้องทำแต่ไม่รู้ว่าหน้าที่นั้นคืออะไร ( อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการศึกษาหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัย )แต่เป็นความรู้สึกที่ติดมาจากการเรียนวิชาพลังจักรวาลซึ่งผู้เรียนในระดับที่ตนเองเรียนนั้นจะต้องรู้หน้าที่ทางจิตวิญญาณด้วยตนเองและแต่ละคนก็จะมีหน้าที่ไม่เหมือนกันซึ่งทุกคนก็ยินดีที่จะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดตามที่อาจารย์ได้สอนมา

    วันนี้ก็ขอขอบคุณพี่นักเขียนและท่านอาจารย์อนาลัยที่ทำให้ขจรวรรณได้รู้จักความรู้สึกนึกคิดที่ลุ่มลึกอันเป็นเอกลักษณ์และขอขอบคุณพี่น้องชาวห้องวิทย์ที่พูดคุยสนทนากันจนทำให้เริ่มรู้ถึงภาระหน้าที่ที่แท้จริงของตัวเองในอนาคตทั้ง ๆ ที่ในวันนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าจะทำหน้าที่นี้ได้อย่างไรต่อไปเพราะมันช่างยากเหลือเกินค๊า ( อยากร้องไห้จัง.. )แต่เชื่อว่าเมื่อถึงเวลาทุกอย่างก็จะถูกจัดสรรค์เองอย่างลงตัวและรู้แต่ว่าตั้งแต่นี้ต่อไปจะต้องตั้งใจศึกษาสาระความรู้ในหนังสือของท่านอาจารย์ทั้ง 10 เล่มนี้ให้มากขึ้นกว่าเดิมขอบพระคุณอีกครั้งที่พี่นักเขียนให้ความรู้ในเรื่องสติสัมปชัญญะมีอยู่ 3 ส่วนและต้องฝึกให้ทั้ง 3 ส่วนนี้มารู้มาเห็นกัน มาทำงานร่วมกันต่างฝ่ายต่างทำงานไม่ได้..
    </td> </tr> </tbody></table> เรามาถือกำเนิดในชาติภพนี้ทำไม ?
    อะไรคือหน้าที่ที่เราเลือก ?
    อะไรคือความท้าทาย ในวิถีชีวิตที่เราได้เลือก ?
    เราจะก้าวหน้าหรือพัฒนาต่อไปได้อย่างไร ?

    พวกเราจำนวนมากแสวงหาคำตอบเพราะเมื่อเรายังค้นไม่พบ มันทำให้เราเกรงว่าชีวิตของเราอาจสูญเปล่าหรือหลงทางตลอดชีวิตโดยไม่ได้บรรลุเป้าหมายบางอย่างที่เราได้เลือกไว้ก่อนมาถือกำเนิด

    แต่ที่น่าเสียดายยิ่งไปกว่าการหาคำตอบไม่พบนั้นคือการค้นพบหน้าที่ที่ตนเองเลือกก่อนมาถือกำเนิด ค้นพบความท้าทายที่ตนเลือกมาเผชิญค้นพบเป้าหมายที่ตนเลือก แต่กลับยอมแพ้ต่ออุปสรรคทั้งหลาย ยกเลิกทางเลือกของตนเองและลงเอยด้วยการกล่าวโทษผู้อื่ิ่น กล่าวโทษทุกสิ่งทุกอย่างนอกตัวตนของเขาว่าเป็นสาเหตุของความล้มเหลวทั้ั้งหมด และหันหลังให้เป้าหมายสูงสุดนั้นไป

    พี่นักเขียนอยู่กับความคิดเหล่านี้มาหลายวัน ทำให้ฉุกคิดขึ้นมาว่าน่าจะเป็นคำถามที่พี่นักเขียนนำมาขยายความและคุยกับพวกเราช่วงนี้แม้ว่าพี่นักเขียนจะกำลัง busy กับการย้ายบ้านแต่ก็ยังได้รับการติดต่อจากผู้อ่านในประเทศไทยทาง e-mail และจากผู้อ่านต่างประเทศต่างรัฐ ซึ่งโทรศัพท์ทางไกลเข้ามาคุยด้วยเป็นประจำ เมื่อวานนี้ผู้อ่านสูงอายุท่านหนึ่งกล่าวว่า หากผู้อ่านทั้งหลายที่ติดต่อกับพี่นักเขียนโดยตรงล้วนเป็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์กับพี่นักเขียนวัตถุประสงค์ของพวกเราคืออะไร?

    พี่นักเขียนยังไม่ทันตอบ ท่านก็ตอบว่า "พี่เชื่อว่าคุณนักเขียนไปไกลกว่าพี่มากแล้ว และค้นพบวัตถุประสงค์ที่แท้จริงส่วนพี่เพิ่งจะค้นพบว่า"เป้าหมายในชาติภพนี้ของพี่คือการปลดตนเองให้หลุดพ้นจากบ่วงของความงมงาย ต่อไปนี้พี่จะเลิกเชื่อหมอดูเลิกเชื่อคนทรงเจ้าเข้าผี ฯลฯ แต่เชื่อหรือศรัทธาในจิตวิญญาณของตนเองซึ่งหมายถึงการเชื่อในพลังอำนาจของจิตวิญญาณของตนเอง"แล้วท่านก็สรุปให้พี่น้กเขียนฟังว่าทุกวันนี้มีความสุขและรู้สึกถึงพลังอำนาจในตนเองซึ่งไม่เคยมีมาก่อน

    พี่นักเขียนหวังว่าพวกเราคงจะตระหนักได้เสมอๆว่าโนวา อนาลัยหมายถึงเส้นทางใหม่สู่การเป็นอิสระจากความปรารถนา

    การศึกษาข้อมูลความรู้ในแนวทางของท่านอาจารย์อนาลัยไม่ใช่ศาสนา ไม่ใช่ลัทธิแต่เป็นความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของจิตวิญญาณของเราทั้งหลายและเป็นหนทางที่จะทำให้เราเป็นอิสระจากการถูกควบคุมชีวิตจากสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวตนของเราการเป็นอิสระจากความปรารถนาในตัวตนอันเป็นร่างกายเนื้อหนังของเราคือการเป็นอิสระจากอิทธิพลภายนอกและเป็นอิสระจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา

    เมื่อผู้อ่านท่านนี้ตอบคำถามของท่านได้ด้วยตนเองพี่นักเขียนก็ระลึกถึงความฝันที่เพิ่งเล่าให้พวกเราฟังและเมื่อเข้ามาในกระทู้ก็พบคุณน้องขจรวรรณ คุณเฉลย คุณ axzon47 และหลายๆคนที่ตอบคำถามด้วยตนเอง หรือให้คำตอบซึ่งกันและกันทำให้พี่นักเขียนเชื่อว่าพวกเราล้วนมีเป้าหมายที่จะพัฒนาจิตวิญญาณด้วยการค้นให้พบทางเลือกที่แท้จริงของตนเองค้นให้พบพลังอำนาจในตนเองหรือค้นให้พบอารมณ์และความรู้สึกลุ่มลึกอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองเพื่อให้ค้นให้พบคุณภาพอันเป็นอมตะของจิตวิญญาณ

    เมื่อผู้อ่านสูงอายุท่านนั้นกล่าวว่าปลดตนเองให้พ้นจากบ่วงของความงมงายนั้น หมายถึงการเปลี่ยนความเชื่อซึ่งเคยเชื่อในพลังอำนาจของสิ่งที่อยู่นอกตัวตนของท่านและหันมาศรัทธาในจิตวิญญาณของตนเอง ศรัทธาในพลังอำนาจที่แท้จริงของตัวตนภายในเลิกเชื่อหมอดูเลิกเชื่อผู้วิเศษที่ตั้งตนเป็นผู้รู้-ผู้ตอบคำถามและเป็นผู้กุมบังเหียนชีวิตของผู้ตามจำนวนไม่น้อย

    พี่นักเขียนเชื่อว่า เราจะค้นพบว่า เรามาถือกำเนิดในชาติภพนี้ทำไมก็ต่อเมื่อเราได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจในการทำหน้าที่บางอย่างซึ่งเราตระหนักว่ามันคือหน้าที่ที่เราเลือก และไม่ว่าเราจะเผชิญกับความท้าทายใดๆเราก็ตระหนักได้ว่าความท้าทายและอุปสรรคเหล่านั้นล้วนเป็นโจทย์หรือปัญหาที่เราคือผู้สร้างขึ้นและหน้าที่ของเราคือการฟันฝ่าอุปสรรคและปัญหาเหล่านั้น ด้วยการใช้พลังอำนาจใช้ความเชื่อในแง่บวก ใช้ความศรัทธาในจิตวิญญาณของตนเองใช้ความรู้ความสามารถและความเพียรส่วนตนอย่างดีที่สุดที่จะฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านั้นให้สำเร็จความก้าวหน้าของเราหรือการพัฒนาของเราจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราค้นพบพลังอำนาจในตนเองที่ทำให้เราบรรลุเป้าหมายในหน้าที่ของเรา

    พี่นักเขียนใช้ Title ข้อความนี้ว่าAnswering The Call

    ตามที่นักเรียนสมาธิชาวอเมริกันมักเรียกหน้าที่ของพี่นักเขียนในการสอนสมาธิและถ่ายทอดข้อมูลเหล่านี้ให้กับพวกเขาพี่น้กเขียนไม่เคยรู้จักคำนี้มาก่อน จนกระทั่งได้รับ Label จากนักเรียนและก็ยอมรับว่าตนเองกำลังตอบสนองสิ่งที่จิตวิญญาณของตนเองเรียกร้อง หรือAnswering The Call

    เราจะพบว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นมีค่ามากมายมหาศาลและคุณค่าของมันจะทำให้เราปราศจากความคาดหวังในผลตอบแทนเพราะผลตอบแทนที่เราได้รับจากการทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจในการทำหน้าที่นั้นเป็นสิ่งที่ประมาณค่าไม่ได้ด้วยเงิน ประมาณค่าไม่ได้ด้วยลาภยศหรือชื่อเสียงและประมาณค่าไม่ได้ด้วยตำแหน่งใดๆ

    หากพี่นักเขียนจะบอกกับพวกเราว่า การเขียนหนังสือชุดนี้คือหน้าที่ คือเป้าหมายและคือสิ่งที่นำมาซึ่งอุปสรรคและปัญหามากมายในชีวิตของพี่นักเขียนพวกเราหลายคนอาจไม่เข้าใจว่า หากหน้าที่นี้เป็นหน้าที่ที่พี่นักเขียนถูกเลือกเหตุใดพี่นักเขียนจึงเผชิญกับอุปสรรคและปัญหามากมายทำไมเทวดาไม่จัดสรรให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นเช่่นที่คุณน้องขจรวรรณกล่าวว่าเมื่อถึงเวลาทุกสิ่งทุกอย่างคงจะได้รับการจัดสรรให้ราบรื่นลงตัว

    พี่นักเขียนเชื่อว่า จิตวิญญาณของเราทั้งหลายนอกจากจะใฝ่รู้แล้วยังชอบความท้าทายอีกด้วย เช่นเดียวกับเด็กน้อยผู้อยากรู้อยากเห็นและแสนซนทั้งหลายเพราะหากปราศจากอุปสรรคแล้ว ความสำเร็จนั้นๆคงจะปราศจากความหมายและปราศจากความลุ่มลึกอันน่าประทับใจจิตวิญญาณของเราทั้งหลายมักสร้างโจทย์ยากๆให้กับชีวิตของเราเสมอไม่ว่าอุปสรรคและความท้าทายในวันนี้ของเราคืออะไร หากเราไม่ยอมแพ้ไม่กล่าวโทษผู้อื่นหรือสิ่งที่อยู่นอกตัวตนของเรา แต่รวบรวมพลังอำนาจรวบรวมความเชื่อในแง่บวก รวบรวมความหวังทั้งหมดตลอดจนทุ่มเทแรงกายแรงใจที่จะทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดให้ไปถึงสิ่งที่เราเรียกว่า ความฝันอันสูงสุดซึ่งหมายถึงการทำหน้าที่ที่เราเลือกและบรรลุเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดเต็มความสามารถของเราเราจะพบว่าชีวิตเป็นของง่าย และพลังอำนาจทั้งหมดอยู่ในตัวตนภายในของเราและพบว่าโลกนี้ช่างเป็นสนามกีฬาที่น่าระทึกใจ เป็นลานลีลาศที่สง่างามและผู้คนรอบตัวเราล้วนเป็นนักกีฬาหรือนักเต้นรำ ที่ทำให้โลกของเรามีสีสรร มีรสชาติและทำให้ชาติภพนี้เต็มไปด้วยความประทับใจที่ไม่รู้ลืม

    หน้าที่ที่เราแต่ละคนเลือกจะปราศจากความหมายหากมันถูกจัดสรรให้ราบรื่นลงตัวโดยที่เราไม่ต้องใช้ความรู้ความสามารถและความเพียรของเราอย่างหมดใจมันจะเป็นหน้าที่จำเพาะของเราได้อย่างไร หากมันง่าย ราบรื่นลงตัวและเป็นไปอย่างอัตโนมัติราวกับว่า-ใครๆก็ทำได้มุมมองจำเพาะและความเป็นเอกลักษณ์ของเราคงปราศจากความหมายโดยสิ้นเชิง
    :boo::boo::boo:

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
  6. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ความบังเอิญไม่มี

    [FONT=&quot]เกิดอะไรขึ้นที่ทำให้เราไม่สามารถเข้ามาพูดคุยกันได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา[/FONT]
    [FONT=&quot]หากสังเกตก่อนที่เราจะเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกในเวปนี้ แล้วก็เข้ามาพูดคุยกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง[/FONT]

    [FONT=&quot]ไม่มีเหตุการณ์ไหนที่เป็นไปด้วยความบังเอิญ การที่บุคคลกลุ่มหนึ่งได้มารวมตัวกัน[/FONT]

    [FONT=&quot]สนทนากัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ด้วยวัตถุประสงค์บางอย่าง[/FONT]

    [FONT=&quot]แม้บางคนจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว กำลังเริ่มเรียนรู้ กำลังเรียนรู้อยู่ และรู้บ้างไม่รู้บ้าง ฯลฯ[/FONT]

    [FONT=&quot]แต่ก็เป็นไปตามวาระของแต่ละคน แต่ไม่ว่าเราจะมีมุมมองอยู่ในจุดไหน เราก็มีเป้าหมายเดียวกันเสมอ[/FONT]


    [FONT=&quot]ช่วงเวลานับจากนี้ไป พวกเราคงต้องเร่งชำระจิตของตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์มากขึ้นๆ เท่าที่จะทำได้[/FONT]

    [FONT=&quot]ถ้าวันหนึ่งเราไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ด้วยอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด[/FONT]

    [FONT=&quot]หากว่าสัญญาณดาวเทียมถูกตัดขาด, ไฟฟ้าไม่มีใช้, อาหารการกินกินไม่ได้[/FONT]

    [FONT=&quot]หากว่าโทรศัพท์พื้นฐาน, มือถิอ, [/FONT]Internet [FONT=&quot]ใช้ไม่ได้[/FONT]

    [FONT=&quot]หากว่าสภาวะอากาศเป็นพิษ[/FONT]

    [FONT=&quot]หากว่าแม้แต่น้ำดื่มก็ใช้ไม่ได้.. ฯลฯ แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปดี...[/FONT]

    [FONT=&quot]เวปล่มอาจจะเป็นเพียงบทเรียนเล็กๆ ที่เราพึ่งได้เจอด้วยตนเองก็เป็นได้น้า..:eek:[/FONT]
     
  7. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    นิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้ กับ นิพพานต่อตายแล้ว

    [FONT=&quot]ถ้าถามว่า นิพพานคืออะไร มันเกิดแบ่งแยกออกเป็น 2 แพร่ง 2 ทาง คือนิพพานแท้จริงตามธรรมดาสามัญของธรรมชาตินี้ ทางหนึ่ง, แล้วนิพพานเนื้องอก ที่งอกไปตามความเพ้อของสติปัญญา ของการศึกษา ของปริยัติธรรม ของภาษา ของคนบ้าหอบฟาง รู้อะไรท่วมหัวก็ยังเอาตัวไม่รอด นั้นเรียกว่านิพพานของนักพูด นักศึกษา นักปริยัติ นี้ก็ทางหนึ่งแพร่งหนึ่ง แบ่งนิพพานออกเป็น 2 นิพพาน [/FONT]:[FONT=&quot] นิพพานแท้ๆ ตามธรรมชาติ ของคุณป้าคุณย่าที่ไม่รู้หนังสือ นิพพานตามธรรมชาติอย่างนี้พวกหนึ่ง ความหมายหนึ่ง[/FONT][FONT=&quot]แล้ว นิพพานของนักปริยัติตัวเอกพูดได้ร้อยนัย พันนัย เป็นบ้าหอบฟางไป นั้นก็อีกพวกหนึ่ง มันเป็น 2 นิพพานอยู่อย่างนี้ ที่นี้จะพูดนิพพานตามธรรมดาตามธรรมชาติแท้ๆ ของพระพุทธเจ้าก่อน ฟังไว้ให้ดี แล้วจึงค่อยพูดถึงนิพพานของนักปริยัติพวกบ้าหอบฟางทีหลัง[/FONT]

    [FONT=&quot]ถ้าถามว่านิพพานคืออะไร นิพพานตามธรรมชาติแท้เป็นนิพพานแท้และเป็นของชาวบ้านที่ไม่ต้องรู้หนังสือก็ได้ หรือตามที่พระพุทธเจ้าท่านมุ่งหมายหรือตามที่คนก่อนพระพุทธเจ้าเขามุ่งหมายกัน ในทางที่ถูกต้อง เมื่อถามว่านิพพานคืออะไร ก็ต้องตอบได้เลยว่านิพพานนั้นคือ เย็นหรือไม่ร้อน นี่แหล่ะมันง่ายอย่างนี้ มันจะง่ายแสนง่ายที่จะจำไว้ว่า นิพพานนั้นคือเย็นและไม่ร้อน ถ้าเย็นสนิทก็เติมคำว่า [/FONT][FONT=&quot] ปริ [/FONT][FONT=&quot] เข้ามาเป็น ปรินิพพานนี้แปลว่าเย็นสนิท[/FONT]; [FONT=&quot] นิพพานเฉยๆ ก็แปลว่าเย็น, ถ้าร้อนไม่ใช่นิพพาน, ถ้าเย็นเป็นนิพพาน[/FONT]

    [​IMG]

    [FONT=&quot]คำพูดที่พูดกันอยู่ก่อนพุทธกาลก่อนโน้น ไม่เกี่ยวกับธรรมะนั้น นิพพานก็แปลว่าเย็น ปรินิพพานก็แปลว่าเย็นสนิท ทีนี้พูดให้มันชัดออกไปให้มันกว้างออกไป เพื่อจะเข้าใจได้ดีขึ้นคำว่าเย็นสนิทนี้ ไม่ใช่จะหมายถึงเรื่องทางธรรมทางศาสนา เขาหมายถึงหมดเลย จึงแบ่งความเย็นได้ออกไปเป็น 3 ชนิด คือ เย็นทางวัตถุ วัตถุที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ที่มันร้อนๆ เย็นลง ความเย็นนั้นก็เป็นนิพพาน ข้าวหรือกับข้าวร้อนๆ กินไม่ได้ ปล่อยให้เย็นเสียก่อน มันเย็นลงกินได้ ความเย็นนั้นก็เป็นนิพพาน หรือวัตถุอะไรก็ตามที่มันร้อนแล้วมันเย็นลง ความเย็นอันนั้นก็เป็นนิพพาน อย่างนี้เรียกว่าความเย็นทางวัตถุ ก็เรียกนิพพานกันมาแต่เดิมก่อนพระพุทธเจ้า แม้ในสมัยพระพุทธเจ้า หรือในสมัยที่พูดภาษาบาลีนี้ เมื่อเล็งถึงวัตถุ คำว่านิพพานก็แปลว่าเย็นของวัตถุ[/FONT]

    [FONT=&quot]อย่างที่สอง มัน เย็นของมรรยาท กิริยาอาการ กิริยาอาการที่มันดุร้ายที่มีอันตราย เช่น เสือ หมี อะไรก็ตาม เป็นสัตว์ป่าดุร้าย หรือ วัว ควาย ที่เป็นของป่ายังดุร้าย มีกิริยาอาหารอันดุร้าย นี้เรียกว่าร้อน และเมื่อสัตว์เหล่านั้นได้รับการฝึกดีแล้ว มันจึงมีกิริยาอาการเย็น ถึงคนก็เถอะ คนป่ากิริยาอาการดุร้ายไม่น่าไว้วางใจ มาฝึกฝนเสียให้ดี มีกิริยามรรยาทเย็นลงอย่างนี้ก็เรียกว่าเย็นเหมือนกัน เย็นลงของกิริยาอาการหรือมรรยาทนี้ นี้พูดไว้สำหรับว่าจะจัดให้เป็นนิพพานของสัตว์เดียรัจฉาน นิพพานที่ 1 ของวัตถุที่ไม่มีชีวิตจิตใจ นิพพานที่ 2 ของสัตว์เดียรัจฉานที่มีคุณค่าแสดงทางกิริยาอาการ[/FONT]

    [FONT=&quot]นิพพานอย่างที่ 3 เย็นของจิตใจ คือเย็นของมนุษย์ที่มีคุณธรรมดีมีธรรมะมากแล้วใจเย็น ถ้ามีกิเลสมันร้อน ทีนี้กิเลสมันละลายไป จางไปมันก็เย็นลงๆ ความเย็นนี้เรียกว่า นิพพาน นิพพานของคน แต่พูดกว้างๆ ว่าเย็นใจก็แล้วกัน เพราะมันมีเย็นใจอย่างอื่น ซึ่งไม่ถึงกับหมดกิเลสนั้นก็ยังมี จำไว้ให้ดีก่อนว่านิพพานนี้แปลว่าเย็น เย็นของวัตถุก็ได้ เย็นของกิริยาอาการท่าทางก็ได้ และเย็นของจิตใจก็ได้ เรียกว่านิพพานเหมือนกันหมดโดยภาษาพูด แต่ว่า นิพพานในทางธรรมนั้นหมายถึงเย็นโดยจิตใจ นี้มีหลักอยู่อย่างนี้ ในที่นี้เราจะพูดถึงเรื่องเย็นโดยจิตใจอย่างเดียว เย็นทางวัตถุเย็นทางกิริยาอาการนั้นมันไม่เกี่ยวกันกับธรรมะ ที่เกี่ยวกับธรรมะ นั้นมีแต่เรื่อยเย็นทางจิตใจ[/FONT]

    [FONT=&quot]เย็นทางจิตใจนี้ ก็ยังแบ่งออกไปได้เป็นระดับๆ ตามความสูงหรือต่ำของสติปัญญา หรือการศึกษาค้นคว้า หรือวัฒนธรรมที่เป็นมาแต่ต้นจนบัดนี้
    ( ยังมีต่อ )
    qsquqsquqsqu
    [/FONT]
     
  8. นายเบทร์

    นายเบทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    882
    ค่าพลัง:
    +91
    วิทยาศาสตร์เกิดขึ้นนานกว่านั้นครับ
    จนเราไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    เหมือนกันครับ คือ หาความจริงแท้เหมือนกัน เพื่อ ไขปัญหา รูป-นาม เหมือนกัน(ขออ้างอิงเชิงพุทธนะครับ) วิทยาศาสตร์ก็เกิดจากคำถามของมนุษย์ ว่า อะไร คืออะไร เป็นอย่างไร? พุทธก็เป็นอย่างนั้น จะเห็นได้ว่า ฌาน หรือวิปัสนาญาน(แปลว่าความรู้)ก็คือการแสวงหาความรู้ จริงแท้ทีละขั้น เหมือนลอกเปลือกออกทีละชั้น แต่ละชั้นก็เป็นความจริง แต่ลึก คนละระดับกัน จะเห็นได้ว่า ฌาน4เป็นรูปฌาน คือ ลอกเปลือกสิ่งที่เป็นรูป(เรียนรู้วัตถุ และ การยึดของใจเกี่ยวกับวัตถุ) อรูปฌาน4 ก็คือ(เรียนรู้ ความเป็น นามธรรม สิ่งที่จับต้องไม่ได้ที่เกี่ยวพันกับใจ) จนสุดท้ายเห็นความจริงแท้ของ การเกิดมามีรูป-นาม เข้าใจทุกอย่างเข้าสู่ นิโรธ ความดับทุกข์ ดับสงสัยทั้งสิ้นได้ สรุปได้ว่ามีส่วนต่างสุดท้ายคือ พุทธ มีเป้าหมายการขจัดทุกข์สัจจเป็นหลัก พอทำให้ถึงที่สุดแล้วคือเข้าสู่ นิโรธ ความพ้นทุกข์ กิจที่ทำก็หมดสิ้น จบขบวนการแล้วเปรียบเหมือนใบไม้ในมือ(พ้นทุกข์) ส่วนวิทยาศาสตร์ คือ ใบไม้ทั้งป่าที่ค้นคว้าเท่าไหร่ก็ยังมีเหลืออีกเยอะ แต่ถ้าผนวก2ส่วนเข้าด้วยกันได้ จะเป็นประโยชน์ ต่อโลก อย่างมหาศาล
     
  10. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขอบคุณคุณเบทและคุณ peatrix มากๆ ค่ะ ที่ช่วยมาขยายความให้
    ก็น่าจะเป็นไปได้นะคะที่ในอนาคตมนุษย์เราจะสามารถผนวกทั้ง 2 ส่วนให้เข้าด้วยกันได้
    อาจจะอีกมุมหนึ่งของการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่พวกเราหลายๆ คนกำลังพูดถึงกันอยู่ก็เป็นได้นะคะ ^_^

    .................................
    ต่อค่ะ นิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้ กับ นิพพานต่อตายแล้ว

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]ความสูงต่ำของสติปัญญา ทำให้เกิดเข้าใจความเย็นนั้นแหล่ะสูงต่ำได้ ดังนั้น ตามที่ได้เป็นมาแล้วในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ที่ค้นคว้าเรื่องนิพพาน เรื่องความเย็น โดยเฉพาะในประเทศอินเดียนี้ ทีแรกเขาไปหลงเอาความเย็นเพราะได้อย่างอกอย่างใจในทางกามคุณ เราหิวกามคุณ เป็นความร้อน พอได้กามคุณอย่างใจ ก็เป็นความเย็นชนิดหนึ่งขึ้นมา ฉะนั้นเขาหลงเอาความสมบูรณ์ทางกามารมณ์อย่างสูงสุด เพื่อเพศนี้ เป็นนิพพาน หรือเป็นของเย็น ก็ได้พักหนึ่งยุคหนึ่ง มันเย็นจริงหรือไม่ ก็ตอบได้อย่างกำกวม มันเย็นชั่วระงับความหื่นกระหายได้ขณะหนึ่งเท่านั้น แต่แล้วมันไม่ใช่เย็นจริง[/FONT]

    [FONT=&quot]ฉะนั้นต่อมา ผู้มีปัญญาก็ค้นพบว่า นั่นไม่ใช่เย็นจริง นี้ยังไม่ใช่นิพพานแท้ เป็นนิพพานหลอกเด็กไป แล้วต่อมาค้นพบจิตที่เย็นจริง เพราะอำนาจของสมาธิ คือทำให้จิตหยุดจากความกระวนกระวาย ระส่ำระสาย ฟุ้งซ่าน จิตมีความสงบเย็น ลงมาด้วยอำนาจของการฝึกฝน ก็เลยถือเอาความเย็นจากการทำสมาธินี้เป็นนิพพานกันมาพักหนึ่ง ยุคหนึ่ง นานมากเหมือนกัน จนกระทั่งถึงยุคพุทธกาลก็ยังมีเหลืออยู่ พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงพวกนี้เหมือนกันว่า พวกที่ยังหลงเอาจตุตถฌานเป็นนิพพาน ยังมีอยู่แม้ในครั้งพุทธกาล พวกนี้เอาความสุขที่เกิดจากสมาธิเป็นนิพพาน คืออย่างน้อยก็ได้จตุตถฌาน ผู้ที่สามารถทำจตุตถฌานให้เกิดขึ้นได้ จะรู้สึกว่าสุขเหลือประมาณ กระทั่งสูงขึ้นไปถึง พวกอายตนะต่างๆ เช่น อากิญจัญญายตะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯลฯ หลงกันอย่างนี้อยู่ยุคหนึ่ง[/FONT]

    [FONT=&quot]ต่อมาสติปัญญาสูงขึ้น จนเกิดพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านพบว่าสองอย่างนั้น มันก็ยังไม่ใช่นิพพานแท้ มันเย็นอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เย็นที่แท้จริงหรือที่สุด เย็นแท้จริงคือต้องหมดกิเลส ไม่กิเลสเหลืออยู่ กระทั่งหมดกรรม ไม่มีกรรมด้วย หมดกิเลสหมดกรรม จึงจะหมดทุกข์ ถึงจะเย็นจริง หมดกิเลสหมดกรรม แล้วจึงหมดทุกข์ ซึ่งเป็นผลของกรรม มันจึงจะเย็นจริง นี่คือเย็นเหลือที่จะพรรณนาได้ เรียกว่านิพพานจริง[/FONT]

    [FONT=&quot]ลงเปรียบเทียบกันดู เย็นเพราะได้กามารมณ์ตามต้องการ เย็นเพราะจิตเป็นสมาธิ เย็นเพราะจิตหมดกิเลส มันเป็น 3 ชั้นอยู่อย่างนี้ แต่ก็ต้องเรียกว่าเย็นด้วยกันทั้งนั้น แม้สองอย่างแรกนั่นมันจะเย็นไม่จริง แต่ก็ยังดีกว่าร้อน นี่ถ้าเอาความสูงต่ำของสติปัญญาเป็นประมาณ มันก็ได้อย่างนี้[/FONT]

    [FONT=&quot]ถ้าเราจะเอาน้ำหนักของการกระทำ หรือความสามารถของการกระทำเป็นประมาณ ที่เกี่ยวกับนิพพานจริงๆ หรือนิพพานไหนก็ตาม ก็ยังแบ่งได้เป็น 3 ชั้นว่า เย็นเพราะประจวบเหมาะเข้าหรือเป็นเอง นี้มันก็เย็นชนิดหนึ่ง มันประจวบเหมาะเข้า เช่นท่านทั้งหลายมาที่วัดนี้ ประสบสิ่งแวดล้อมอย่างนี้ จิตใจมันก็เย็นลง โดยประจวบเหมาะเย็นเองไม่ต้องทำอะไร เย็นเองตามธรรมชาติ หรือว่าเมื่อมันร้อน ร้อนหนักเข้าๆ มันก็ขี้เกียจร้อน มันก็หยุดไปเอง เหมือนง่วงนอน มันก็นอนหลับไปเอง อย่างนี้ นี้เย็นอย่างหนึ่ง มันเป็นไปเอง อย่างที่สอง เราฝึกฝนและบังคับได้ ให้จิตมันสงบอยู่ชั่วเวลาที่เราบังคับมันอย่างนี้มันก็เย็น เพราะบังคับไว้ มัน เย็นได้เท่าที่เราบังคับไว้ ได้ด้วยการปฏิบัติของเรา เย็นอย่างนี้ก็ไม่ใช่เย็นที่สุด เย็นที่สุด ถาวรที่สุดนั้นก็ต้องเพราะหมดกิเลส หมดกรรมหมดทุกข์อีกนั่นแหล่ะมันจึงจะเย็นจริง แต่มันก็เรียกว่าเย็นทั้งสามอย่าง และเรียกได้ว่านิพพานทั้งสามอย่าง แต่ถ้าไม่เย็นจริง ไม่เย็นสนิทจริง เราไม่เรียกว่า [/FONT][FONT=&quot] ปรินิพพาน [/FONT]

    [FONT=&quot]ขอย้ำเตือนไว้เสมอว่า นิพพานก็ตาม ปรินิพพานก็ตาม หมายถึงมีชีวิตอยู่นะ อย่าเอาไปปนกับต่อตายแล้ว นั่นมันเป็นเรื่องของคนหลับตาพูด นิพพานหรือปรินิพพานก็ตาม เป็นเรื่องของคนเป็นๆ ที่มีชีวิตอยู่ ไม่ใช่คนตายแล้ว ฉะนั้นถ้ามีเย็นก็เรียกว่านิพพาน ถ้าเย็นจริงเย็นถึงที่สุดก็เรียกว่า [/FONT][FONT=&quot] ปรินิพพาน [/FONT][FONT=&quot] ถ้าว่าเย็นโดยประจวบเหมาะเรียกว่า [/FONT][FONT=&quot] ตทังคนิพพาน [/FONT][FONT=&quot] เย็น เพราะเราบังคับเอาได้ด้วยการกระทำเรียกว่า [/FONT][FONT=&quot] วิกขัมภนนิพพาน [/FONT][FONT=&quot] นี้ ยังไม่ใช่ว่าเย็นสนิทหรือเย็นจริง แต่ให้เข้าใจไว้ ให้รู้จักสังเกตไว้ว่าเย็นโดยบังเอิญไม่ต้องทำอะไร ก็มี แล้วเราก็อยู่ได้ด้วยความเย็นอันนี้ เราจึงไม่เป็นบ้า ถ้าจิตมันฟุ้งซ่านเรื่อย มันร้อนเรื่อย ไม่รู้จักเย็นตามธรรมชาติเลย เราก็ต้องตายหรือเป็นบ้าหรือเป็นโรคเส้นประสาท นี่เราก็มีวิธีทำให้มันเย็นโดยการบังคับปฏิบัติให้ถูกต้อง มันก็แก้สิ่งร้ายๆ เหล่านั้นได้ แล้วเราทำไปๆๆๆๆ จนสามารถทำให้มันเย็นสนิท เพราะหมดกิเลส นี่คำว่าเย็นหรือนิพพาน มันมีเป็นชั้นๆ อย่างนี้ เย็นประจวบเหมาะ เย็นบังคับเอา และเย็นเพราะหมดกิเลส
    ( ยังมีต่อ )
    [/FONT]
     
  11. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    นิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้ กับ นิพพานต่อตายแล้ว ( ต่อ )

    [FONT=&quot]ทีนี้ ก็อยากจะพูดถึง คำว่านิพพาน โดยความหมายอย่างอื่นให้เข้าใจไว้อีกทีหนึ่ง เพื่อช่วยให้เข้าใจทั้งหมดได้ง่ายเข้า ก็คืออยากจะให้ได้ยินได้ฟังคำว่า[/FONT]“[FONT=&quot] นิพพานชิมลอง [/FONT]“[FONT=&quot] หรือตัวอย่างสินค้านี้ เรียกว่านิพพานชิมลอง ตัวอย่างสินค้า เราไปที่ไหน เราทำอะไร หรืออย่างสมมติว่ามาที่นี้ แล้วเย็นอกเย็นใจนี้แหละเป็นนิพพานชิมลอง[/FONT]

    [FONT=&quot]นิพพานอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า นิพพานทันใจอยาก ต้องการเมื่อไรทำได้ทันใจอยาก ยังไม่ใช่นิพพานจริงเหมือนกัน แต่ว่ามีรสอย่างเดียวกันแล้วทำได้ทันใจอยาก คือให้ฝึกสมาธิ ถ้าฝึกสำเร็จแล้ว ก็หมายความว่าเราอยากจะมีสมาธิเมื่อใดก็มีได้เมื่อนั้น พอเราอยากจะนิพพานทันใจอยากขึ้นมาเราก็เข้าสมาธิก็ได้อยู่ในความเย็นทันใจอยาก แล้วก็เย็นเหมือนกัน เย็นจริงๆ [/FONT]

    [​IMG]
    [FONT=&quot]
    นิพพานอีกอย่างหนึ่งที่ควรจะเรียกว่า
    [/FONT]“[FONT=&quot] นิพพานชั่วคราว [/FONT]“[FONT=&quot] หรือนิพพานชั่วขณะ แปลว่าด้วยการที่เราทำขึ้นก็ตาม หรือมันเป็นเองก็ตาม กินเวลาชั่วขณะหรือชั่วคราว บางทีจิตใจมันก็โปร่งเย็นสบายขึ้นมาเฉยๆ โดยไม่มีเหตุผล หรือว่าเราได้รับการพักผ่อนนอนหลับสบายดี ตื่นขึ้นมาก็ชุ่มชื่นเยือกเย็นไม่มีกิเลสอะไรรบกวน นี้มันก็เป็นนิพพานประจวบเหมาะ แล้วก็เป็นเรื่องชั่วคราวหรือชั่วขณะ ทั้งหมดนี้มันล้วนแต่เป็นนิพพานชั่วคราวหรือทันใจอยาก หรือเอาไว้ทีก่อน หรือชิมลอง[/FONT]

    [FONT=&quot]ยังมีนิพพานแท้อีกพวกหนึ่ง แม้ที่เป็นนิพพานแท้ ก็ยังแบ่งเป็น 2 ชั้น คือชั้นที่เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์นั้นเรียกว่านิพพานแท้นิพพานถึงที่สุดทั้งนั้นแหล่ะ แต่ว่าพระอรหันต์ที่แรกเป็น ท่านเพียงแต่หมดกิเลสสิ้นเชิงแต่ว่าร่างกายของท่านเปลี่ยนตามไม่ทัน ฉะนั้นท่านจะยังมีความรู้สึกเวทนาต่างๆ บางคราวเวทนาจะเป็นของร้อนสำหรับท่านคือ รู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัส ทนทรมาน ทั้งที่เป็นพระอรหันต์แล้ว เวทนานั้นยังเป็นของไม่เย็นอยู่ก็มี ที่นี้ต่อมาพระอรหันต์ที่อยู่ไปๆ และจะเป็นเวลาเท่าไรก็ไม่แน่ แต่ว่ามันเปลี่ยนหมดจนกระทั่งว่าเวทนาไม่มีทางที่จะร้อนขึ้นมาอีก แม้เวทนาที่จะเอาชีวิต ในบาลีเรียกพระอรหันต์ที่แรกเป็น เวทนายังไม่เข้ารูปนี้ว่า [/FONT]“[FONT=&quot] สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ [/FONT]“[FONT=&quot] ท่านได้นิพพานธาตุชนิดที่ยังมีเชื้อเหลืออยู่ ท่านยังจะต้องผจญกับเวทนาที่เป็นทุกข์อย่างที่เรียกว่า[/FONT][FONT=&quot] เป็นทุกข์ [/FONT][FONT=&quot] ทีนี้ ต่อมาท่านอยู่เหนืออำนาจของเวทนา ไม่มีอะไรทำให้เป็นทุกข์ได้ เรียกว่า [/FONT][FONT=&quot] อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ [/FONT][FONT=&quot] อย่างพระพุทธเจ้าของเราปรินิพพานด้วย อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ คือไม่มีเวทนาที่เป็นของร้อนเลยสำหรับท่าน นี่ นิพพานแท้ก็ยังมีชนิดที่ยังไม่ถึงที่สุด และถึงที่สุดอย่างนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]
    นี่ เราพูดเรื่องเย็นๆ กันมา ขอให้รู้จักคำว่าเย็น ให้หมดสิ้นอย่างนี้ตามธรรมชาติตามธรรมดา ไม่มีเลศนัยอะไรทางคำพูดทางตัวหนังสือ สรุปความเมื่อถามว่านิพพานคืออะไร ก็ตอบว่านิพพานนั้นคือเย็น เย็นของสิ่งที่ร้อน ไม่ใช่เย็นของสิ่งที่มันไม่ร้อน สิ่งที่มันเย็นอยู่เองนี้ เราไม่พูดได้ว่ามันเย็นอีก แต่ถ้ามันมีความร้อนอยู่แล้ว มันมีทางที่จะต้องเย็นลงๆ เราเรียกว่าความเย็นลงของสิ่งที่ร้อนนี้ ว่าเป็น
    [/FONT][FONT=&quot] นิพพาน [/FONT][FONT=&quot] จะเป็นกายร้อน ใจร้อน อะไรร้อนก็ตาม ถ้ามันเย็นลงไปนั้นก็เป็นนิพพาน เช่น ไม่สบายใจมาจากบ้าน พอเข้ามาในป่าอย่างนี้มันเย็นลง ความไม่สบายใจมันเย็นลง นี้ก็เรียกว่านิพพานชนิดหนึ่งๆ นิพพานชั่วคราว นิพพานประจวบเหมาะไปตามเรื่อง[/FONT]

    [FONT=&quot]ฉะนั้นจึงบัญญัติความหมายให้ชัดลงไปว่า นิพพานนั้นคือความเย็นลงของสิ่งที่มีความร้อน จนกระทั่งถึงที่สุด แล้วเป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยจิตใจของคน เพราะฉะนั้นต้องเป็นเรื่องของคนเป็นๆ ไม่ใช่เรื่องของคนตายแล้ว นี้แหล่ะคือนิพพานที่ทุกคนจะต้องสนใจ เป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าใจได้ ไม่เหลือวิสัย ไม่อะไรหมด เป็นเรื่องของความเย็นหลายๆ ชนิด หลายๆ ชั้น แล้วเราก็ทำให้ได้ตามสมควรแก่ความสามารถของเรา ขอเตือนอีกครั้งว่า นี่แหล่ะคือนิพพานที่ท่านทั้งหลายจะเข้าใจได้ ในเมื่อถามว่านิพพานคืออะไร คือเย็นลงแห่งสิ่งที่ร้อน มันจะเป็นวัตถุหรือจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือว่าจะเป็นมนุษย์ก็ตาม มันเย็นลงแล้ว ก็เรียกว่านิพพาน มีเท่านี้เอง สั้นๆ ลุ่นๆ ว่าเย็นลงของสิ่งที่ร้อน
    ( ยังมีต่อ )
    [/FONT]
     
  12. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    หายไปซ่ะนาน ตามอ่านไม่ไหว ทำไงดี?
     
  13. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +80
    การแสวงหาความจริงแห่งชีวิต ปลายทางอยู่ที่นิพพาน นั่นคือมรรคาของหลักพุทธศาสนา ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ย่อมเรียนรู้ความจริงของรูปนามไปพร้อมๆกัน จนตระหนักรู้ถึงต้นสายปลายเหตุของรูปนาม

    วิทยาศาสตร์ก็มุ่งหน้าหาความจริงของ สสาร พลังงานและ เวลา นับวันยิ่งต้องใช้พลังงานมหาศาล เพื่อศึกษาหาสิ่งเล็กๆ ที่เป๋็นพื้นฐานของรูป(ธาตุและพลังงาน) ลำพังการแตกนิวเคลียสออกมาเพื่อให้ได้โปรตอนและนิวตรอน ก็ต้องใช้พลังงานสูงมากๆ เพื่อทำลายแรงยึดเหนี่ยวของอนุภาค และการจะแตกนิวตรอนหรือโปรตอน เพื่อให้ได้อนุภาคที่เล็กกว่านั้น(คาว์กส์) จำเป็นต้องใช้พลังงานระดับไหน ทุกๆระดับพลังงานที่ใส่เข้าไป ความจริงแห่งรูปก็ถูกเปิดเผยออกมาเป็นชั้นๆ เหมือนไร้ที่สิ้นสุด วิทยาศาสตร์ลำบากปานนั้น กว่าจะรู้ความจริงอะไรสักอย่าง
    ทีนี้ เราลองย้อนมามองร่างกายเราดูบ้าง ร่างกายเราสังเคราะห์ธาตุต่างๆขึ้นมา เท่าที่จักรวาลพึงมี แต่ร่างกายเรากลับไม่เกิดปฏิกิริยานิวเคลียส์อันรุนแรงเลย มันละมุนละไม อย่างมหัสจรรย์ยิ่ง ดำเนินไปอย่างมีระบบแบบแผน ใช้พลังงานน้อยมาก แต่ผลลัพช่างยิ่งใหญ่เสียนี่กระไร แม้จักรวาลเองกว่าจะสังเคราะห์ธาตุต่างๆขึ้นมาได้ ต้องเกิดปฏิกิริยานิวเคลียส์อันรุนแรง เช่น ซุปเปอร์โนวา รุนแรงระดับทำลายทั้งกาแลกซี่ได้เลยทีเดียว
    วิทยาศาสตร์ไม่สามารถเลียนแบบการเปลี่ยนธาตุได้อย่างร่างกายของเรา ก็รู้กันดีว่าการเปลี่ยนธาตุนั้น ใช้พลังงานมหาศาลเลยทีเดียว แต่ร่างกายเรากลับทำได้โดยใช้พลังงานน้อยมากๆ (หรือว่าร่างกายไม่ใช่เรา ก็ซับซ้อนปานนั้นโดยเราไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย)
    พุทธศาสนา สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ และดึงศักยภาพของเราออกมาให้ปรากฏได้อย่างอัศจรรย์ ในรูปแบบฤทธิ์หรืออภิญญา เช่น การย่นระยะทาง การเหาะ การเดินบนน้ำ การทายใจ การรู้อดีตอนาคต เหล่านี้ ถ้าพิจารณาดีๆ มันคือวิทยาศาสตร์ขั้นสูงทั้งนั้น การเหาะก็เท่ากับว่าควบคุมแรงโน้มถ่วงได้ การย่นระยะทาง คือการควบคุมเวลา ซึ่งวิทยาศาสตร์พยายามจะไปให้ถึงเช่นกัน และคงใช้เวลาไม่น่าจะนานนัก ถ้าไม่ก่อสงครามล้างพันธุ์ตนเองก่อน หรือถูกมหาภัยพิบัติเล่นงานเอา
    อาจเป็นไปได้ว่า ทั้งวิทยาศาสตร์และศาสนาต่างก็อธิบาย ค้นหา ในสิ่งเดียวกัน แต่คนละมุมมอง วิธีการจึงแตกต่างไป ดังนั้นใครจะเชื่อถือสิ่งใดก็ไม่น่าจะแตกต่างกันนัก ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้เสมอ หากทิฐิและความถือดีลดลงบ้าง น่ะผมว่า
     
  14. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    เรื่องนี้เคยมีประสบการณ์สมัยที่คุยกับพี่นักเขียน เวลาถามพี่นักเขียนที่ไรพี่เค้าจะตอบมายาวมั่กๆ
    ก็เลยใช้วิธี copy ไว้ใน word แล้วค่อยเอามาอ่านอีกที ก็ช่วยถนอมสายตาได้เยอะทีเดียวค่ะ
    ลองดูนะคะ ขอบคุณค่ะที่ติดตามอ่าน..
    :cool:
     
  15. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]ขอขอบคุณคุณเทพเมรัยอีกครั้งค่ะ ที่มาช่วยขยายความให้เพิ่มเติม[/FONT]
    [FONT=&quot]และเข้าใจได้ว่าตัวเรานั้นก็เปรียบได้กับจักรวาลหนึ่ง [/FONT]
    [FONT=&quot]และก็คงไม่มีจักรวาลไหนที่จะซับซ้อนไปกว่าจักรวาลที่อยู่ในตัวของเราเอง[/FONT]
    [FONT=&quot]ตัวขจรวรรณเองก็เรียนวิทยาศาสตร์มาเพียงเล็กน้อยสมัยมัธยม[/FONT]
    [FONT=&quot]ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะเรียนด้านเคมีต่อ แต่ไปๆ มาๆ กลับไปเรียนด้านการเงินซะงั้น[/FONT]
    [FONT=&quot]ก็เลยทำให้วิถีชีวิตของตนเองเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จึงทำให้เข้าได้ว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]ประสบการณ์ชีวิตที่เราประสบหรือพบเจอนั้น เป็นไปเพราะตัวเราเลือกที่จะเดินทั้งนั้น [/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่มีใครมาลิขิตชีวิตของเราได้ นอกจากตัวของเราเอง คิดแบบนี้แล้วก็ทำให้สบายใจขึ้นค่ะ..[/FONT]

    [FONT=&quot]อย่างน้อยวิทยาศาสตร์ก็ทำให้เรารู้จักโครงสร้างทางกายภาพของมนุษย์, สัตว์ และต้นไม้[/FONT]
    [FONT=&quot]รู้และเข้าใจคุณสมบัติทางพลังงานในตัวเราเอง และสิ่งแวดล้อมภายนอก[/FONT]
    [FONT=&quot]ที่สามารถถ่ายเทไปมาหากันได้ในระดับอนุภาค หรืออาจจะอธิบายได้ว่า
    พลังงานที่เข้มข้นกว่าย่อมไหลไปหาพลังงานที่เข้มข้นน้อยกว่าได้ อีกทั้งมีคุณสมบัติอื่นอีกมากมาย เช่น มีแสง, มีสี, มีเสียง ฯลฯ[/FONT]
    [FONT=&quot]และก็ไม่แน่ในอนาคตนักวิทยาศาสตร์อาจจะสามารถค้นสิ่งที่เล็กกว่าคาว์กก็เป็นไปได้ทั้งนั้น[/FONT]
    [FONT=&quot]แท้จริงแล้วเซลล์หรืออวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายเรา เค้าก็ทำงานและติดต่อสื่อสารกันอย่างอึกทึกครึกโครม[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่เรากลับไม่รู้ไม่เห็นวิถีความเป็นไปนั้น แต่วิทยาศาสตร์ก็พอจะช่วยให้เราเข้าใจได้บ้าง[/FONT]
    [FONT=&quot]เช่น การวัดความดันโลหิต, การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, วัดชีพจร, การเอ๊กซเรย์, [/FONT]
    [FONT=&quot]การส่องกล้องเล็กไปตามทางเดินอาหาร, การอัลตร้าซาวด์ ฯลฯ ทำให้เราสงสัยกันต่อไปอีกว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]กระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร[/FONT]? [FONT=&quot]เพราะตามทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์เค้าก็บอกเอาไว้ว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]การที่วัตถุธาตุจะเคลื่อนที่ไปได้จะต้องมีพลังงานจำนวนหนึ่งมากระทำหรือผลักใส่[/FONT]
    [FONT=&quot]หากพลังงานที่มากระทบน้อยไป วัตถุก็ไม่เคลื่อนที่[/FONT]
    [FONT=&quot]หากพลังงานที่มากระทบมาก วัตถุจึงจะสามารถเคลื่อนไปได้[/FONT]
    [FONT=&quot]หากพลังงานที่มากระทบมากขึ้น วัตถุก็จะสามารถเคลื่อนที่ได้ไวขึ้น.. โหช่างซับซ้อนอะไรเช่นนี้หนอ [/FONT]

    [FONT=&quot]ส่วนในเรื่องของอภิญญาหรือฤทธิ์เดชทั้งหลายที่เราทำได้หรือสัมผัสได้นั้นถ้าเราเข้าใจได้ว่า [/FONT]
    [FONT=&quot]โดยธรรมชาติของจิตวิญญาณดั้งเดิมนั้น เค้าสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ด้วยพลังความคิดของเราเอง [/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะเค้าคือ [/FONT][FONT=&quot] พลังงานที่เต็มไปด้วยความคิดรู้ [/FONT][FONT=&quot] หรือที่ภาษาพุทธเค้าพูดกันว่า [/FONT][FONT=&quot] แค่คิดก็ถึงแล้ว [/FONT]
    [FONT=&quot]แต่สิ่งที่จิตวิญญาณปรารถนาที่จะเรียนรู้จริงๆ ก็คือการที่เค้ามีข้อจำกัดอยู่ภายใต้ร่างกายเนื้อหนังนั้น[/FONT]
    [FONT=&quot]เค้าควรจะใช้ชีวิตอย่างไรจึงอยู่อย่างเป็นสุข, ไม่สร้างความเดือนร้อนให้ใคร [/FONT]
    [FONT=&quot]มีโอกาสก็ทำประโยชน์ให้กับคนรอบข้างไปตามอัธยาศัย เพราะอย่างไรเสียหากเราไม่เสียชีวิตไปเสียก่อน[/FONT]
    [FONT=&quot]กายกับจิต ก็จะยังไม่สามารถแยกจากกันไปได้ ถึงแม้จะถอดจิตไปไหนก็ยังมีสายใยที่เชื่อมโยงกันอยู่เสมอ..[/FONT]
    [FONT=&quot]อันนี้หากจะเข้าใจได้คงต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของพวกเราแต่ละคนแล้วแหล่ะเน๊อะ..
    (kiss)(kiss)(kiss)
    [/FONT]
     
  16. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    นิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้ กับ นิพพานต่อตายแล้ว ( ต่อ )

    [FONT=&quot]เอาล่ะ ทีนี้จะพูดถึงนิพพานเพ้อเจ้อ นิพพานฟั่นเฝือของนักปริยัติเพื่อทดสอบวัดดูด้วยว่า ใครจะง่วงนอนก่อนใคร ถ้าพูดถึงนิพพานของนักปริยัติแล้ว จะมีมากมาย หมายความว่าเรื่องปริยัติในพระพุทธศาสนานี้ มันเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว นานเข้าๆ เรื่องปริยัติ เรื่องตัวหนังสือเรื่องคัมภีร์ตำรานี้มันมากขึ้นๆ ปริยัติมันมากขึ้นๆ จนท่วมหัวท่วมหู พอมาถึงยุคปริยัติท่วมหัวท่วมหูนี้ เรื่องของนิพพานมันก็เลยมากขึ้น ท่วมหัวท่วมหูเหมือนกัน แต่ก็ควรจะลองฟังไว้บ้าง มันมีประโยชน์ที่จะช่วยให้เข้าใจได้[/FONT]

    [​IMG]

    [FONT=&quot]พอหลังพุทธกาลแล้ว สิ่งที่เรียกว่าปริยัติ การศึกษาทางหนังสือหนังหาคัมภีร์ ตำราวรรณคดี มันหนาขึ้นๆๆๆ เป็นดอกเห็ดในฤดูฝน เพราะฉะนั้นการตีความนั่นนี่ มันก็เลยมากขึ้นๆๆๆ ทีนี้คำว่า [/FONT][FONT=&quot] นิพพาน [/FONT][FONT=&quot] ก็ถูบัญญัติความหมายและตีความมากมายๆๆ จนคำว่า [/FONT][FONT=&quot] นิพพาน [/FONT][FONT=&quot] คำเดียวมีความหมายได้หลายอย่าง เรียกนิพพานว่า ธรรม ก็มี เรียกนิพพานว่า ธรรมชาติ ก็มี เรียกนิพพานว่า อายตนะ ก็มี แม้แต่คำแทนชื่อหรือไวพจน์ของนิพพานก็มีมากขึ้นมา และศัพท์คำว่านิพพานเปลี่ยนความหมายไปตามสาธารณะของศัพท์นั้นตาม [/FONT] case [FONT=&quot]ตามกรณีของศัพท์นั้นๆ ที่มีอยู่ในคัมภีร์ทั้งหมดนี้มีอย่างที่จะให้ฟังนี้[/FONT]

    [FONT=&quot]1. นิพพาน เป็นแดนหรือเป็นที่ นิพพาน คือ แดนที่เข้าไปสงบรำงับดับแห่งสังขาร หรือแห่งวัฏสงสาร หมายความว่า ที่นั้นแดนนั้น มันเป็นแดนที่เข้าไปสงบรำงับของวัฏสงสารของสังขาร อยู่ที่ไหนก็บอกไม่ได้ ชี้ไม่ได้ พูดให้เป็นกลางๆ ว่า เป็นแดนเป็นเขต เป็นที่ที่สังขารมันจะดับลงที่นั่น อย่างนี้เราไม่ต้องรู้ก็ได้ แต่ตัวหนังสือมันมี แล้วมันก็มีเป็นเรื่องของทางสติปัญญา[/FONT]

    2.
    [FONT=&quot]นิพพานที่ เป็นเครื่องมือ เป็นธรรมชาติ ทำความสิ้นไปแห่งกิเลส เป็น ธรรมชาติเป็นเครื่องสิ้นไปแห่งอาสวะ นี้มันเป็นเครื่องมือ เราอาศัยนิพพานเป็นเครื่องมือ เราจึงฆ่ากิเลส ฆ่าอาสวะ นี่นิพพานเป็นเครื่องมือ[/FONT]

    3.
    [FONT=&quot] นิพพาน เป็นกิริยาอาการ คืออาการที่กิเลสสิ้นลงดับลง หรือว่างไป อาการที่มันสิ้นลง ว่างลง ดับไป ของโลภะ โทสะ โมหะ เรียกว่านิพพาน นี่หมายถึงกิริยาอาการที่สิ้นไป[/FONT]
    [FONT=&quot]
    4. นิพพาน เป็นผล ของการสิ้นไปแห่งกิเลสนั้น โดยนัยอย่างนี้นิพพานเป็นความสุขอย่างยิ่ง นิพพานคือความเย็นอย่างยิ่ง นิพพานคือความเสียบแทง เผาลน กระทั่งนิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง
    [/FONT]

    [FONT=&quot]อย่างน้อยมันตั้ง 4 ความหมายแล้ว คือเป็นที่หรือเป็นแดนสำหรับดับกิเลส แล้วเป็นเครื่องมือสำหรับดับกิเลส แล้วเป็นกิริยาอาการของการสิ้นไปแห่งกิเลส แล้วก็เป็นผลที่เกิดมาจากการสิ้นไปแห่งกิเลส ตั้ง 4 ประเภทแล้ว แต่ละประเภทยังแยกฝอยออกไปได้อีกมาก จะค่อยๆ มากขึ้นๆ ค่อยๆ เฟ้อ ค่อยๆ เพ้อเจ้อขึ้นจนเวียนหัว[/FONT]

    [FONT=&quot]ทีนี้ก็ขยายความเบ็ดเตล็ดออกไปว่า นิพพานนี้เป็นสิ่งที่ต้องรู้ต้องถึงมันเป็นจุดหมายปลายทาง พบบาลีแปลกๆ ในพระไตรปิฏกแห่งหนึ่ง เรียกนิพพานนี้ว่า [/FONT][FONT=&quot] วิญญาณ [/FONT][FONT=&quot] แต่ไม่ใช่วิญญาณอย่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือวิญญาณอย่างอื่น คำว่า [/FONT][FONT=&quot] วิญญาณ [/FONT][FONT=&quot] เฉพาะในที่นี้แปลว่า สิ่งที่คนต้องรู้ ต้องรู้แจ้งคือนิพพานนั่นเอง สิ่งที่มนุษย์ควรรู้แจ้งถึงที่สุด ไม่มีอะไรนอกจากนิพพาน เลยเรียกนิพพานเป็น [/FONT][FONT=&quot] วิญญาณ [/FONT][FONT=&quot] อย่างนี้ก็มี นี่แหล่ะมันเฝือมันเฟ้อมากขึ้นตามตัวหนังสือ หรือโดยตัวหนังสือ
    ( ยังมีต่อ )
    [/FONT]
     
  17. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ขอบคุณครับ ติดตามอ่านอยู่เรื่อยๆครับ :)
     
  18. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    นิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้ กับ นิพพานต่อตายแล้ว ( ต่อ )

    [FONT=&quot]ยังมีอีกว่านิพพานเป็นธรรม เป็นธรรมะอย่างยิ่ง เป็นธรรมะสูงสุด นิพพานคือเกาะ นิพพานคือที่พึ่ง นิพพานคือที่ต้านทาน นิพพานคือป้อมปราการ พูดตั้งวันก็ไม่จบ ว่านิพพานนั้นคืออะไร แล้วยังมีว่านิพพานเป็นอมฤตธรรม เป็นอมตธรรม เป็นความไม่ตาย นิพพานเป็นอสังขตธรรม สิ่งที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง นิพพานเป็นวิสังขาร ไม่ปรุงแต่งอะไร นิพพานเป็นอัพยากฤต คือพูดว่ามันเป็นอะไรก็ไม่ได้ ในที่สุดกล่าวว่านิพพานเป็นนครเป็นอมตมหานคร ศิวโมกข์ อมตมหานิพพาน สมมติเป็นเมืองเป็นนครอะไรอันหนึ่ง ซึ่งให้คนรีบทำบุญเข้าจะได้ไปถึงไปอยู่ในนครนั้น แล้วนิพพานยังเป็นอะไรอีกเยอะแยะ จนในที่สุดก็จะเห็นว่า สุดอยู่แค่เป็นบรมสุญญตา [/FONT][FONT=&quot] ปรมสุญญตา [/FONT][FONT=&quot] เป็นความว่างที่สุด เป็นความว่างสูงสุด นี่คือนิพพานตามนัยแห่งปริยัติจะพูดกันตั้งเดือนตั้งปีก็ไม่จบ เท่าหัวข้อที่ยกมาพูดนี้ พูดกันตั้งปีก็ไม่จบ[/FONT]

    [FONT=&quot]ถ้านิพพานที่เกิดขึ้นเพราะเห็นอนิจจัง ก็เรียกว่า [/FONT][FONT=&quot] อนิมิตตนิพพาน [/FONT][FONT=&quot] ถ้านิพพานเกิดขึ้นเพราะเห็นทุกข์ ก็เรียกว่า [/FONT][FONT=&quot] อปปณิหิตนิพพาน [/FONT][FONT=&quot] ถ้านิพพานที่เกิดขึ้นโดยเห็นอนัตตา ก็เรียกว่า [/FONT][FONT=&quot] สุญญตนิพพาน [/FONT][FONT=&quot] 3 ชื่อนี้อธิบายตั้งเดือนสองเดือนก็ไม่จบ[/FONT]

    [FONT=&quot]ที่นี้ยังมีแถมมากไปจนไม่น่าเชื่อ และไม่อยากจะเชื่อในหนังสือชั้นหลังๆ นี้พูดว่า กิเลสนิพพาน ขันธนิพพาน ธาตุนิพพาน จะพูดว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะว่ากิเลสของท่านสิ้นไปก็เรียกว่า [/FONT][FONT=&quot] กิเลสนิพพาน [/FONT][FONT=&quot] ต่อมาร่างกายของท่านแตกดับ เรียกว่า [/FONT][FONT=&quot] ขันธนิพพาน [/FONT][FONT=&quot] เหลือพระธาตุอยู่พระธาตุมีอยู่ในที่ต่างๆ ทั่วโลก แบ่งกันไปนี้ แล้วอีกประมาณกี่พันปีก็ไม่ทราบ พระธาตุเหล่านี้จะรวมตัวเข้ามาเป็นพระพุทธเจ้าอีกทีหนึ่ง แสดงธรรม แสดงปาฏิหาริย์อะไรเสร็จแล้วจะนิพพานอีกทีหนึ่ง เรียกว่า [/FONT][FONT=&quot] ธาตุนิพพาน [/FONT][FONT=&quot] อย่างนี้มันชักจะเหลือเชื่อมากขึ้นทุกที แต่มันก็มีกล่าวไว้ในหนังสือชั้นหลังๆ ว่าธาตุนิพพานว่ากิเลสนิพพาน ขันธนิพพาน[/FONT]

    [FONT=&quot]ที่นี้ยังมีนิพพานที่ประหลาดๆ มีอยู่ในหนังสือคำแถลงการณ์ ประกาศโฆษณาแถลงการณ์ว่า ท่านองค์นั้นท่านองค์นี้นิพพานไปแล้ว อย่าออกชื่อดีกว่าไปค้นหาหนังสือแถลงการณ์บางเล่มอ่านดู จะมีพบว่าเอาคำนิพพานมาใช้แก่การตายทำลายขันธ์ ของคนบางคนในยุคปัจจุบันนี้ แล้วบางทีเขาเรียกว่าไม้นิพพานต้นไม้นิพพานเป็นต้น คือไม้ต้นนั้นมันตายอย่างผิดปกติธรรมดา ก็เลยเรียกว่าต้นไม้ต้นนั้นนิพพาน นี่ก็ยังมี[/FONT]

    [​IMG]

    [FONT=&quot]นี้คือนิพพานที่เฟ้อของภาษาทางปริยัติ มันมีอยู่มากมายอย่างนี้ มันไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติ มันเป็นเรื่องของนักปราชญ์ในทางคำพูด ในทางตีความทางภาษาทางปริยัติ พวกเราไม่ต้องสนใจ สมัครเอานิพพานตามภาษาพูดของชาวบ้านผู้โง่เขลาดีกว่า[/FONT]

    [FONT=&quot]อาตมาก็สมัครถือเอานิพพานอย่างนี้ นิพพานตามคำพูดตามภาษาพูดของชาวบ้านผู้โง่เขลา คือเย็นเท่านั้นเอง มีแต่คำว่าเย็นคำเดียวเท่านั้นเอง ไม่ต้องการอะไรมากกว่านั้น ถ้าจะขยายออกไปอีกก็คือ ความเย็นก็เรียกว่านิพพาน เครื่องทำให้เย็นมันก็เป็นนิพพาน กิริยาอาการที่ดับเย็นก็เป็นนิพพาน ไปๆ มาๆ ก็อยู่ที่เย็นคำเดียวเป็นนิพพาน[/FONT]

    [FONT=&quot]ฉะนั้น ขอให้ทุกคนภาวนา สำหรับที่จะรู้จักกับความเย็นตั้งใจที่จะรู้จักกับความเย็น ระวังคำพูดของพวกรู้มากยากนานคือนักปริยัติที่ว่ามาแล้ว เป็นพวกรู้มากยากนาน คือรู้มากเข้าๆๆ ก็ยังมีความทุกข์ ความลำบากมากเข้าๆ พวกปริยัติเป็นอย่างนั้น เขาจึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า [/FONT][FONT=&quot] พวกบ้าหอบฟาง [/FONT][FONT=&quot] หอบฟางเสียท่วมหัวท่วมหูท่วมตัว แต่ไม่มีข้าวสักเม็ดหนึ่ง มันเป็นฟางล้วนๆ อย่างนี้เรียกว่า บ้าหอบฟาง ความรู้บางชนิดมันมีลักษณะอย่างนี้[/FONT]

    [FONT=&quot]อีกอย่างหนึ่งก็เรียกว่า [/FONT][FONT=&quot] พวกกำมือเปล่า [/FONT][FONT=&quot] หมายความว่าไม่มีอะไรที่มีค่ามีราคาอยู่ในกำมือของเขา เรียกว่า [/FONT][FONT=&quot] โมฆบุรุษ [/FONT][FONT=&quot] แต่รู้พระไตรปิฏก รู้อรรถกถา รู้บาลี รู้อะไรหมด คือภิกษุบางรูปในครั้งพุทธกาล รู้ธรรมะมากมายแต่พระพุทธเจ้าเรียกว่าโมฆบุรุษ เพราะเขาเพียงแต่รู้ เดี๋ยวนี้แม้เพียงแต่รู้มันก็มีประโยชน์นะ ถ้ารู้มากก็เป็นครู เป็นโปรเฟสเซอร์ สอนได้เงินเดือนแยะเทียว มันเพียงแต่รู้มันก็ยังมีประโยชน์ แต่ทางธรรมะเขาเรียกว่ามันรู้มากยากนาน รู้บ้าหอบฟาง ดับทุกข์ไม่ได้ แต่มันมีประโยชน์ ทางโลกๆ ในทางทำมาหากิน เป็นเครื่องมือหากินก็ได้[/FONT]

    [FONT=&quot]ขอให้เรารู้จักนิพพาน ในความหมายของชาวบ้าน ผู้โง่เขลา อาตมาก็สมัครอย่างนั้น รู้แต่ว่ามันเย็นๆๆ เป็นเครื่องทำความเย็น เป็นที่เย็น เป็นกิริยาอาการที่มันเย็น ไม่พูดกันเรื่องตัวหนังสือให้มากมายเป็นภูเขาเลากา เอาล่ะ พอกันทีสำหรับนิพพานคืออะไร[/FONT]

    [FONT=&quot]นิพพานตามความหมายของชาวบ้านผู้โง่เขลานี้ คือเย็น ส่วนนิพพานตามความหมายของนักปริยัตินั้นเพ้อเจ้อ พูดเดือนหนึ่งก็ไม่จบ ปีหนึ่งก็ไม่จบ จนตายก็ไม่จบ เพราะมันพูดได้ได้แง่นั้นแง่นี้แง่โน้น ตามความดิ้นได้ของตัวหนังสือไม่มีที่สิ้นสุด
    ( ยังมีต่อ )
    [/FONT]
     
  19. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    นิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้ กับ นิพพานต่อตายแล้ว ( ต่อ )

    [FONT=&quot]หัวข้อต่อไปที่เราจะพูดกันก็คือ นิพพานเมื่อไร จะนิพพานกันเมื่อไหร่ หัวข้อที่จะบรรยายในวันนี้ก็มีแล้วว่า จะนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ หรือว่านิพพานต่อตายแล้ว มันมีอยู่ 2 แง่ นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ พูดตรงๆ เลย เป็นภาษาชาวบ้านผู้โง่เขลาอีกเหมือนกัน ไม่กำกวมไม่ดิ้นได้ ว่านิพพานแท้ต้องที่นี่และเดี๋ยวนี้ อย่างนี้ขอให้ทุกคนหลับตานึกถึงเรื่องความร้อน ถ้าร้อนที่ไหนมันต้องดับที่นั่น ถ้ามันร้อนเมื่อไร มันต้องดับความร้อนเมื่อนั้น จึงจะเป็นนิพพานแท้ ร้อนเมื่อไรดับมันเมื่อนั้น ร้อนที่ไหนดับมันที่นั้น ให้มันติดกันไปเลยไม่ต้องแยกออกจากกัน อย่างว่าร้อนชาตินี้ แล้วไปดับร้อนชาติหน้า ลองไปคิดดูสิว่ามันเรื่องบ้าหรือเรื่องดี หรือว่ามันร้อนที่นี่ แล้วไปดับร้อนที่กรุงเทพฯ มันจะทำได้อย่างไร มันต้องว่าร้อนที่ไหนดับร้อนที่นั่น ร้อนเมื่อไรดับร้อนเมื่อนั้น นั่นจึงจะมีความหมายตรงกับนิพพานแท้ของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่อย่างนั้นไม่ใช่นิพพานของพระพุทธเจ้าคือเป็นนิพพานไม่แท้ ไม่จริง ของคนอื่น ที่พูดไปตามความเห็นของเขา ถ้าไม่ดับร้อนที่นั่นเดี๋ยวนั้นแล้ว ไม่ใช่นิพพานในพุทธศาสนา นิพพานในพุทธศาสนาต้องเป็นอกาลิโก นิพฺพานํ อกาลิกํ นิพพานเป็นอกาลิโก คือว่าไม่แยกเวลา ไม่เป็นฤดูกาล ต้องที่นั่นเดี๋ยวนั้น ต้องทันควันที่นั่น ทำชั่วก็ชั่วเดี๋ยวนั้น ทำดีก็ดีเดี๋ยวนั้น ดับเย็นก็เย็นเดี๋ยวนั้น ถ้าเอาไปไว้คราวอื่น ที่อี่นเวลาอื่น ก็ไม่ใช่พุทธศาสนา และถ้าว่าไม่ดับร้อนที่นั่นและเดี๋ยวนั้น มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไปคิดดูเถอะจะไม่มีประโยชน์อะไร อย่างไฟไหม้เราเดี๋ยวนี้ เราจะค่อยดับต่อปีหน้า เราก็ตายก่อน มันไม่มีประโยชน์อะไร[/FONT]

    [​IMG]

    [FONT=&quot]สมมติว่าเราเจ็บไข้ลงเดี๋ยวนี้ แล้วเราค่อยรักษาต่อปีหน้ามันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าจะมีประโยชน์มันต้องเป็นที่นั่นและเดี๋ยวนั้น ตามความหมายของสิ่งที่เรียกว่าธรรม เป็นอกาลิโก เป็นสันทิฏฐิโก แล้วอีกอย่างหนึ่งก็ต้องรู้จักด้วยตนเอง รู้แทนกันไม่ได้ รู้สึกด้วยตนเองเป็นสันทิฏฐิโก ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องของคนเป็นๆ ไม่ใช่เรื่องคนตายแล้ว และเป็นเรื่องเฉพาะตน มารู้แทนกันไม่ได้ นี่นิพพานต้องที่นี่และเดี๋ยวนี้ และก็โดยผู้นั้น นิพพานจริงต้องเย็นทันที ต้องดับร้อนทันที ถ้ายังไม่ดับร้อนยังไม่ใช่นิพพาน[/FONT]

    [FONT=&quot]เพราะฉะนั้นเราจะหาเย็นที่ไหน ต้องหาเย็นที่ร้อน ร้อนอยู่ที่ตรงไหน ต้องหาเย็นที่นั่น ถ้าไม่อย่างนั้นจะไปหาทำไม จะไปหาเพื่อประโยชน์อะไร ถ้ามันทุกข์ร้อนอยู่ที่นี่ มันก็ต้องหาความดับทุกข์ที่นี่เวลานี้ โดยบุคคลนี้ของบุคคลนี้ อย่างได้ไปแยกกัน แม้ว่าพูดดูๆ คล้ายๆ กับว่าตรงกันข้าม แต่มันอยู่ด้วยกัน เช่น เราจะดับไฟ อย่างนี้เราจะไปดับที่ไหน ช่วยคิดดูสิว่า เราจะดับไฟนี้ เราจะไปดับที่ไหน มันต้องดับที่ไฟ ไฟมันร้อนเราต้องการเย็น เราต้องการดับไฟ เราก็ต้องดับที่ไฟ[/FONT]

    [FONT=&quot]ฉะนั้นต้องหาความเย็นที่ความร้อน หาความดับไฟที่ไฟ ดังนั้นเราจะดับตัวกู มันจะต้องดับที่ตัวกู เราจะหาความดับแห่งตัวกูนั้น เราต้องหาที่ตัวกู ตัวกูที่มันเกิดขึ้นแล้วจงดับมันเสีย ถ้าไปมัวหาที่อื่น มันก็ไม่มีทางพบ ความทุกข์อยู่ชาตินี้ ดับทุกข์อยู่ชาติหน้า มันก็ไม่มีวันพบกัน ทุกข์อยู่ที่ตรงไหนต้องดับทุกข์ที่ตรงนั้น และเมื่อนั้น โดยบุคคลนั้น[/FONT]

    [FONT=&quot]ที่นี้ความหมายของมันกว้างสำหรับนิพพานนี้ ว่ามันไม่ปรากฏกิเลสที่ไหนก็มีนิพพานที่นั่น ช่วยจำไว้เป็นคำสำคัญสักหน่อยว่า [/FONT] [FONT=&quot] กิเลสไม่ปรากฏที่ไหนก็เป็นนิพพานที่นั่น [/FONT]“[FONT=&quot] เวลานี้ตัวท่านทั้งหลายนั่งอยู่ที่นี่ทุกคน ถ้ากิเลสไม่ปรากฏในใจ นิพพานมีอยู่แล้วที่นั่นในใจนั้น ถ้าเมื่อใดกิเลสมันกลับมาอีก อ้าว[/FONT]![FONT=&quot] นิพพานก็หายไป สังสารวัฏก็มาอีก สังสารวัฏหรือความทุกข์หรือความร้อนมันก็มาอีก เราเลยพูดได้เป็นกฎตายตัว ว่า กิเลสไม่ปรากฏที่ไหน นิพพานปรากฏที่นั่น พูดให้เพราะอีกหน่อยว่า สังสารวัฏไม่ปรากฏที่ไหน นิพพานก็ปรากฏที่นั่น เดี๋ยวนี้ จิตใจของเราไม่ปรากฏกิเลส นิพพานจึงอยู่แทน คือเย็น แต่ว่าเราหรือร่างกายนี้ หรือนามรูปนี้ มันยังมีความเคยชินแก่การที่จะมีกิเลสเหลืออยู่ เพราะฉะนั้นมันอาจจะเกิดกิเลสขึ้นอีก หรือปรากฏออกมาอีก มันจะสลับกันอยู่อย่างนี้[/FONT]

    [FONT=&quot]ทีนี้เรามีสติปัญญาที่ได้มาจากพระพุทธเจ้า รู้จักควบคุมให้กิเลสปรากฏไม่ได้ คือควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในลักษณะที่กิเลสจะมาปรากฏไม่ได้เราก็มี ความที่ว่างจากกิเลส นั้นยาวออกไปๆ ยาวออกไปๆ คือความเย็นนั้นมันยาวออกไปๆ จนวันหนึ่งไม่เคยมีร้อนสักทีหนึ่ง จนเดือนหนึ่งก็ไม่เคยมีร้อนสักทีหนึ่ง ปีหนึ่งหรือหลายปีก็ไม่เคยร้อนสักทีหนึ่ง นี่เราก็สบายคือเจริญงอกงามไปตามทางของพระพุทธศาสนา นอนหลับสนิท ไม่เป็นโรคเส้นประสาท ไม่วิกลจริต ไม่ตาย ฉะนั้นกิเลสไม่ปรากฏที่ไหน นิพพานจะปรากฏที่นั่น คือมันอยู่ด้วยกันไม่ได้ มันปรากฏพร้อมกันไม่ได้ แต่ว่ามันจะอยู่ในที่เดียวกันคืออยู่ในใจ จะไปหาของสองสิ่งนี้ที่อื่นไม่ได้ ต้องหาที่จิตใจ บางเวลาปรากฏเป็น กิเลส บางเวลาปรากฏเป็น ว่างจากกิเลส มันอยู่ที่เดียวกันนั้น
    ( ยังมีต่อ )
    [/FONT]
     
  20. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ท่านจขกท.นี้น่ารักที่ซู๊ดดด ขออนุโมทนากับสิ่งที่ท่านนำเสนอ...ท่านมีความอุตสาหะในการถ่ายทอดได้ยอดเยี่ยม จะตามอ่านไปเรื่อยๆนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...