ความแตกต่างของสมาธิและสัมมาสมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Samarnl, 19 เมษายน 2015.

  1. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ผมไม่รู้นะว่าคุณแย้งกันมาจากไหนต่อไหน

    แต่ผมจะดูจากข้อความที่คุณกล่าวว่า ลุงหมานเอาข้อความนั้นมาลงประมาณลุงหมานบอกว่า "อุปจาระสมาธิใช้วิปัสสนาไม่ได้" อย่างนี้ใช้ไหม
     
  2. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ถามย้ำครับ คุณสับสนเข้าใจเป็นอย่างนั้น ใช่ หรือไม่ใช่ครับ

    ตอบด้วย...?
     
  3. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    :cool: ผมไม่เชื่อที่แกยกมาเลยครับ ..ถามที่มาก็ไม่กล้ายกมาให้ดู คนละแนวกับผมครับ สมถะ-วิปัสสนา นี่ผมกำลังรนณรงค์มากว่า ทำได้พร้อมกัน หรือสลับกันไปแบบสมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิ
    ไม่รู้สมัยนี้ใครมาแยกสอน..สมถะอย่าง-วิปัสสนาอีกอย่าง แต่ลุงหมานที่ยกมานี่ หนักว่าอีกชั้นต้องออกจากฌานก่อน
    ถ้าผู้ฝึกได้ฌานแล้วแสดงว่าทรงสมถะสมาธิอยู่ชั้นใดชั้นหนึ่งแล้วใช่ไหมครับ ..แล้วจึงวิปัสสนาต่อ มันซ้อนกันอยู่ไหมครับ
    โพสต์ให้มันชัด ให้อ่านถึงภาคปฏิบัติให้ได้ซิครับ มามั่วตามตำราไม่กล้าฟันธงเพราะไม่เคยปฏิบัติไง ยกบูชาอยู่นีั่นแหละตำรานะไม่มีภาษาปฏิเวธที่เคยทำสักความเห็นเดียว:'(
     
  4. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ผมตอบรวมข้างบนแล้วครับ:'(
     
  5. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    :cool:ดูท่าน โกลิตะ(โมคคัลลานะ) สำเร็จโสดาบันตอนไหนครับ แค่ฟังท่าน อุปติสสะ พูดตามท่านอัสสชิว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุใด..แค่นั้นบบรรลุโสดาบันเลย เห็นไหมครับ
    ท่าน โกลิตะ(โมคคัลลานะ) ทรงสมาธิไหมครับ-ขั้นใด ..ขณะฟังท่านวิปัสสนาเลยใช่ไหมครับ จึงบรรลุธรรม ทำไมสำเร็จโสดาบันได้ทันทีที่ฟังจบ
     
  6. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อล่ะเนาะ บังคับกันไม่ได้ ไม่แน่ว่าตอนนี้ลุงหมานอาจจะปฏิบัติสมาธิเข้าฌานอยู่ก็ได้ จึงได้แต่นิ่ง ชีวิตนี้น้อยจริงๆ ไม่เห็นไตรลักษณ์

    ซึ่งเราก็ไม่รู้ถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละคน
    เขาจะปฏิบัติเวลาไหน เวลาใด หรือทุกขณะ เราก็ไม่รู้ได้

    ก็จะขอจับประเด็นเฉพาะข้อความนั้นนะ
    หากคุณเข้าใจอย่างนั้น เท่าที่ผมอ่านนะ สิ่งที่ลุงหมานยกมา ไม่ได้บอกอย่างนี้ซะหน่อย "อุปจาระสมาธิใช้วิปัสสนาไม่ได้"

    เพราะข้อความนั้นมันก็ตรงๆอยู่แล้วว่า "ต้องออกจากฌานก่อน" คำว่าต้องออกฌานก่อน ก็คือ ถอนจากอัปปนาสมาธิ มาอยู่ที่อุปจารสมาธิ แล้วจึงพิจารณา หรือจะขณิกกะ ไม่รู้ได้

    ส่วนเรื่องจะสมถะควบวิปัสสนา จะควบอะไรก็แล้วแต่ นั่นประเด็นหนึ่งของคุณล่ะที่ข้องใจกับลุงหมาน

    วิปัสสนาจริงๆมันคืออะไร เห็นไตรลักษณ์จริงไหม แล้วถ้าไม่พิจารณาเห็นความเสื่อมไปของสมาธิ ขับรถยังต้องรู้จักทดเกียร์

    สมาธิ 3 ระดับ ดังกล่าวที่เป็นประเด็น

    ขอยกเอาคำสอนหลวงพ่อชามาลง ไม่รู้ว่าจะอ่านหรือป่าว ยาวหน่อยนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 เมษายน 2015
  7. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ช่วงท้ายๆ ที่อ้างอิง รู้สึกจะเป็นความเข้าใจของใครคนหนึ่ง เป็นบทเสริม
     
  8. biox

    biox Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +60
    ฌานคือสมถะสมาธิ ครับ ตัวเดียวกัน

    ผมเข้าใจ ว่า แกคงหมายถึง ให้ถอยกำลังฌานลงมา เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ได้ง่ายขึ้น

    ความจริงเรื่องอะไรก่อนหลัง นี่ไม่ยากเหมือนตำพริกแกงครับ
    บางสูตรตำพริกก่อนกระเทียม
    บางสูตรตำกระเทียมก่อนพริก
    บางสูตรตำพริกพร้อมกระเทียม

    สุดท้ายมันก็คือเครื่องแกงเหมือนกันใช่มั้ย

    แล้วมันสำคัญที่ตรงไหน?
    - มันก็สำคัญที่สำเร็จเป็นเครื่องแกง เมื่อถึงจุดหนึ่งมันก็ไม่มีพริกมีกระเทียม เหลือเพียง เครื่องแกง เสมอกัน
    สำคัญว่าทำถูกต้องหรือปล่าวเท่านั้น
     
  9. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ก็นั่นล่ะ หากจะเปรียบเทียบอย่างนั้น ต้องเทียบท่านพระพาหิยะ ท่านยสกุลบุตร ด้วยสิ

    ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น นั่นก็แล้วแต่ท่านนกอินทรีย์จะพิจารณาล่ะครับ ปูมหลังท่านเป็นคนอย่างไรล่ะครับ

    ก็ดูสหธรรมมิกของนกอินทรีย์ คือคุณธรรมภูตสิครับ มีพระอาจารย์เยอะแยะในสมัยพุทธกาล ไม่รู้ว่าเคยเกิดร่วมสมัยพุทธกาลในครั้งนั้นหรือป่าว
     
  10. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    :cool:ก็อ่านแล้ว ตามความเข้าใจแต่ละคนไปจะตีความอย่างไรนะครับ แต่ผมไม่เห็นด้วยกับพริกแกงของคุณนะครับ ลำดับสภาวะธรรม หลงกันมากมาย ก่อนหลัง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดและเข้าใจได้ง่ายๆในสภาวะต่างๆ
    คุณก็แสดงสัมมาทิฏฐิได้ดีนิครับ ค่อยแลกเปลี่ยนกันไป
    ส่วนฌานกับสมถะสมาธิตัวเดียวกันรึไม่ลองไปอ่านกะทู้ เสขะบุคคล เพิงตั้งมาใหม่ดูครับ หลวงปู่เทส แต่ที่คุณเข้าใจผมก็ว่าไม่ผิดนะหากปฏิบัติได้ ในภาคปฏิบัติครับมันซ้อนทับกันไงครับ ยินดีที่ได้สนทนาด้วยครับ ถือว่าได้แลกเปลี่ยนตรงไปตรงมาชี้ถูกผิดตามความเห็นตัวเองได้เต็มที่ครับ สาธุ:cool:
     
  11. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    :cool: ท่านพาหิยะ ท่านยสกุลบุตร ที่คุณยกมานั่นก็ถูกครับ.. ส่วนท่านธรรมภูตินั้นถือได้ว่าเป็นบุคคลคนที่มีความรู้มากคนหนึ่งในความเห็นผม..ส่วนตัวให้ความเคารพอยู่เพราะท่านรู้มากกว่าผมแน่ แต่เหตุผลนั้นเราก็เคารพกันในส่วนนี้ครับ
    ท่านธรรมภูติ กับคุณ เห็นต่อกรกันมาหลายความเห็น ภูมิรู้ผมไม่ถึงแต่ก็อ่านผ่านๆครับ เคารพในเหตุผลของทั้งสองคน ผมไม่มีความรู้ในปริยัติ..จึงไม่ได้เข้าร่วมวงด้วย แต่หากเป็นภาคปฏิบัติก็พอมีมั่ง ผมมาหาความรู้ มาศึกษา ไม่ได้มาอวดตนกับใคร และไม่ได้สำเร็จมรรคผลอะไร ไม่มาวางฟอร์มเงียบๆสงบเสงี่ยมคอยทิ่มตำใคร หรือให้ใครศรัทธานะครับ
    ยังด่าพ่อ ล่อแม่ง หลายคนที่ปะทะกันไป คนไหนคุยไม่ได้ผมก็ไม่คุยครับ ที่สุดก็อภัยกันไป ทุกครั้ง
    ท่านเอกวีร์นี่เมือ่ก่อนก็ตามด่า ราวี กันเป็นปี ปัจจุบันก็เข้าใจครับเพราะแกเป็นของแกอย่างนั้นแต่ความรู้ก็ใช่ย่อย มีอะไรที่คาดไม่ถึงเยอะครับ อภัยกันไปปัจจุบัน ผมต้องเรียกแกอาจารย์แล้วครับ อิอิ ส่วนคุณผมไม่คุ้นเคยแต่เราเคยสนทนากันมาพักหนึ่งละผมจำได้ ยินดีครับ สาธุ:'(
     
  12. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ก็ไม่แน่นะ คุณสับสนปฏิบัติสมาธิซะอย่างนั้น อาจจะวางฟอร์มทำทีด่าพ่อ ล่อแม่ ไปอย่างนั้น ใครจะรู้
    เพื่ออะไร เพื่อที่ว่าคนอื่น จะได้เข้าใจว่าตนไม่ได้สำเร็จอะไรมา

    ไม่งั้นแล้ว จะกล้าด่าพ่อ ล่อแม่ ใครรึ ใช่หรือไม่
     
  13. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ขอคั่นรายการขอเวลานอก เบรคจิ๊บกาแฟสักแก้วเพื่อผ่อนคลาย นั่งในที่โล่งๆ หายใจลึกๆยาวๆ
    คนหัวดื้อในโลกนี้ อาจแบ่งใหญ่ๆ ได้เป็น ๓ ประเภท คือ

    ๑. ดื้อเพราะความโง่หรือความขี้เกียจ จัดเป็นพวกดื้อด้าน
    ๒. ดื้อเพราะทิฏฐิมานะหลงตัวเองว่ารู้แล้ว จัดเป็นพวกดื้อดึง
    ๓. ดื้อเพราะโทสะโกรธง่าย จัดเป็นพวกบ้า

    ๑. พวกดื้อด้าน คือดื้อเพราะฤทธิ์โง่หรือขี้เกียจนั้น พวกนี้ชอบรับคำสั่ง
    คือมีอะไรก็ส่งไปให้ทำพอทำได้ แต่ไม่ชอบฟังคำสอน เพราะฟังไม่รู้เรื่องบ้าง
    ขี้เกียจฟังบ้าง ชอบนอนแช่จมปลั๊ก โดนด่าก็ทำเป็นเอาหูทวนลม

    ๒. พวกดื้อดึง พวกนี้พอมีแววฉลาดอยู่เหมือนกัน แต่ว่ายังขาดเฉลียว รู้มาแค่นิดหน่อย
    ก็คิดว่าตัวเองรู้หมดแล้ว คือไม่รู้ว่าตัวยังไม่รู้ เวลาใช้งาน คนพวกนี้อย่าไปบังคับ อย่าไปสั่งอย่างเดียว
    เขาจะไม่ค่อยยอมรับ ต้องค่อยๆ ยอ ค่อยๆ ยก หลอกใช้ทำงานได้ เพราะเขาเป็นคนที่มีทิฏฐิมากจนเกินไป
    เป็นการหลงตัวเองจัดมาก พูดอย่างไรก็ไม่ฟัง ไม่ชอบมีใครขัดใจ คนเช่นนี้ต้องปล่อยไป

    ๓. พวกบ้า คือพูดอะไรผิดหน่อยก็โกรธ ฉุนเฉียวปึงปัง บางที่พูดดีก็ว่าไม่ดี
    เพราะไม่ตรงทิฏฐิของตน พวกนี้ยากจะเอามาใช้ประโยชน์ได้
    รังแต่จะทำให้หมู่คณะแตกแยก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจิตแพทย์จัดการดีกว่า

    ในการปรับเปลี่ยนพวกคนดื้อดึง นั้น ถ้าหากว่ากล่าวสั่งสอนในขั้นแรกแล้วเขายังไม่ฟังจะทำอย่างไร
    คำตอบ ในทางพระพุทธศาสนานั้นมีวิธีแก้ ท่านใช้คำว่า ลงพรหมทัณฑ์ บางแห่งเขาเรียก คว่ำบาตร
    ดังมีตัวอย่างเรื่องในสมัยพุทธกาล ดังนี้

    นายฉันนะซึ่งเป็นคนตามเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งทรงม้ากัณฐกะออกบรรพชา
    ภายหลังได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุและเป็นคนหัวดื้อมาก เพราะถือตัวว่าเคยเป็นคนใกล้ชิด
    ใครจะสอนจะเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง พระอานนท์ จึงกราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าจะทำอย่างไรดี
    พระบรมศาสดาจึงทรงแนะนำว่า เมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วให้ลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ

    คือให้ภิกษุทุกรูปเลิกยุ่งเกี่ยวกับพระฉันนะ ให้ทำเหมือนกับว่าไม่มีพระฉันนะอยู่ในโลก
    พระฉันนะอยากจะทำอะไรก็ปล่อยให้ทำ ไม่มีใครยุ่งเกี่ยว ไม่มีใครพูดคุยด้วย ต่อจากนั้นไม่กี่วัน
    หลังจากไม่มีใครสนใจใยดีด้วย กลายเป็นตัวประหลาดในท่ามกลางหมู่สงฆ์
    พระฉันนะก็รู้สึกสำนึกตัว เสียใจ ร้องให้สารภาพผิดต่อหมู่สงฆ์และเลิกดื้ออีกต่อไป
    สุดท้ายพระฉันนะก็ได้บรรลุธรรมได้เช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 เมษายน 2015
  14. biox

    biox Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +60
    พระพุทธเจ้าท่าน ประทานแผนที่ลายแทงมาให้แล้ว ครับ ผมแค่เดินตามท่าน เพื่อป้องกันความจิตที่กลิ้งกลอกของผมเองในสภาวะต่างๆ

    เครื่องวัดที่ดีที่สุด ตรงที่สุด คือสังโยชน์10นี่แหละ

    ให้ดูว่า เราลดอะไรได้บ้างหรือยังคือ
    1. สักกายทิฏฐิ
    2. วิจิกิจฉา
    3. สีลัพพตปรามาส
    4. กามราคะ
    5. ปฏิฆะ
    6. รูปราคะ
    7. อรูปราคะ
    8. มานะ
    9. อุทธัจจะ
    10. อวิชชา

    ถ้าลด ละ เลิก ได้แสดงว่าเราทำถูก ไม่ต้องไปเถียงกับใคร รับรองตัวเองได้ด้วย

    //เหตุที่บรรลุธรรม -หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี//
    สมาธิ ไม่ต้องดับรูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัส เหมือนฌาน < อันนี้ท่านหมายถึง สัมมาสมาธิ คือมีทั้งสมาธิและมีปัญญารู้ตามความเป็นจริง เป็นส่วนของวิปัสนาโดยตรงครับ

    ฌาน คือ สมถะสมาธิ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2015
  15. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    :cool:..ก็ดีนะครับ ดูแผนที่ไปถ้าคุณปฏิบัติได้ ก็ไม่ต้องมาตั้งท่าเถียงกับใครเขาผมเห็นด้วย.. แล้วฝึกเอาที่บ้านหรือวัด จะได้ไม่เถียงกับใครครับ
    ส่วนในเวบนี่เขามาแลกเปลี่ยนธรรมที่ฝึกกัน ไม่ตั้งเจตนา..มาเถียงกับกับใครครับ..การถกความเห็น-แลกเปลี่ยนสภาวะธรรมแบบที่คุณบรรยายมานั่นนะ นั่นเป็นเรื่องของการมุ่งหาความต่าง หาปัญญา..ส่วนเถียงกันนั่นมุ่งเอาชนะ..มันต่างกันครับ คุณอาจใช้คำผิดไป ไม่มีปัญหาสุดท้ายเราก็คุยกันอภัยกันได้:cool:
     
  16. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    :'( ก็แค่ยกตัวอย่างอุปมาอุปมัย ไม่ได้ด่าพ่อ แม่ ใครจริงๆสักรายมีแต่ถูกด่าก่อนครับ แค่สนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นกัน บางครั้งก็ถึงขั้นราวีกันมันเป็นธรรมชาติ แต่สุดท้ายเขาก็อภัยกันไปนี่มันเวบธรรมมะ..หากคุณมาจงใจเอากฏหมาย เอาเรื่องเอาราว ใครในนี้ ..คุณก็จะไม่มีเพื่อนหรือคนในนี้ คุยกับคุณแล้วเพราะเขากลัว..กลัวคุณ
    ผมไม่ได้สำเร็จอะไร ผมเข้าใจเจตนาคุณนะ อย่ามาไร้สาระกับผมเลยไปหาความรู้คุณกับคนที่ควรเถอะ ผมไม่มีความรู้อะไรครับ(k)
     
  17. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    :'(นี่พอหาหลักฐานมาดูไม่ยอมหามาแล้ว ก็มาเฉไฉแสดงธรรมกระแนะกระแหนคนอื่น..มันไม่ใช่วิสัยของคนปฏิบัติธรรม มีนิสัยเหมือนอีกา.. พวกมักขจัด..รอบจัด แก่จัด แทนที่จะแสดงความจริงใจกลับมาแว้งด่าคนอื่นอีก
    ..บอกให้ยกที่มาของกะทู้ที่แล้ว ก็ไม่ยกมาตัดแปะมาจากไหนก็หาได้ ที่ให้ทำไม่ทำ ดันไปตามเพื่อนมาถล่มผมอีก เดี๋ยวรอท่านธรรมภูติ-อาจารย์เอกวีร์ ผมมาก่อนนะ อิอิ:boo:
     
  18. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ข้ามไปเถอะเรื่องจะเอากฏหมายมาเล่น คุณก็ไม่ได้ผิดอะไรนี่ครับ คิดมากน่า
     
  19. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    :cool: ผมหมายถึงสมาชิก ทั่วๆไปเขาเล่นกันมานานนับปี เขาก็อภัยกันหมด ถึงจะเลยเถิดไปมั่ง ผมไม่ได้หมายถึงคุณหรอก..:'(
     
  20. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ท่านเป็นใครผมไม่รู้จักครับ แต่สิ่งที่ท่านกล่าวนั้น มีคุณประโยชน์ต่อสาธารณะชน ขอท่านร่วมสนทนาธรรม และเป็นสหายธรรมด้วยนะครับ เราคงได้สนทนาธรรมกันบ้าง ชี้แนะบางสิ่งให้เข้าใจในสิ่งที่สงสัยให้คลายนะครับ ขอให้เจริญในธรรมครับ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...