ความจริงผีกระตุกเสื้อได้จริงหรือ?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 24 พฤษภาคม 2012.

  1. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    ผีที่มาอำเราจนกระดิกตัวไม่ได้ ก็เกิดจากการทับของผีไม่ใช่หรือ ?

    อยากพิสูจน์เชิญที่บ้านน้องสาวผม มันอยู่ที่บ้านมา 10 กว่าปีแล้ว แต่ไม่ได้เป็นอันตรายกับใคร ชอบมากดหัวหลาน บังลมจากพัดลมก็ได้ ปรากฎตัวให้เด็ก ๆ ที่มาเล่นหนวกหูให้เห็นได้ แม้ตอนกลางวัน....ผมไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เชื่อครับ

    ไม่เชื่อจะพาไปดู น้อง ๆ เขาฟ้องผมอยู่บ่อย ๆ หลานก็ไม่กลัวแล้ว ยังด่ากับผี
    เล่นกันเป็นเพื่อนบนบ้าน ไม่ค่อยออกเที่ยวเหมือนเมื่อก่อนเลย สงสัยถูกใจกัน.
     
  2. ชัยบวร

    ชัยบวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    928
    ค่าพลัง:
    +1,642
    ขอผ่านรายละเอียดของท่านอื่น ๆ ไปก่อนนะครับ (ไว้จะมาอ่านทีหลัง) คราวนี้จะขออธิบายในส่วนของ "รูป" ในขันธ์ 5 ต่อเนื่อง เพราะทิ้งทวนไว้

    "รูป" พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม (พระพรหมคุณาภรณ์)

    รูป 2 หรือ รูป 28 หมายถึง สภาวะที่แปรปรวนแตกสลายเพราะปัจจัยต่าง ๆ อันขัดแย้ง ร่างกายและส่วนประกอบฝ่ายวัตถุพร้อมทั้งพฤติกรรมและคุณสมบัติของมัน ส่วนที่เป็นร่างกับทั้งคุณและอาการ แบ่งได้ 2 ประเภท คือ

    1. มหาภูต หรือ ภูตรูป 4 หรือ ธาตุ 4 หมายถึง สภาวะอันปรากฏได้เป็นใหญ่ ๆ โต ๆ หรือเป็นต่าง ๆ ได้มากมาย รูปที่มีอยู่โดยสภาวะ รูปต้นเดิม (รูปใหญ่ รูปเดิม)

    2. อุปาทายรูป 24 หมายถึง รูปอาศัย รูปที่เป็นไปโดยอาศัยมหาภูต คุณและอาการแห่งมหาภูต (รูปอาศัย รูปสืบเนื่อง)

    ในส่วนของประเภทที่ 2 นี้ ยังสามารถแยกอธิบายได้อีกมาก ในวันหน้าผมจะลงรายละเอียดให้ครบตามหนังสือ ดังนั้น ถ้าไม่มีรูปประเภทที่ 1 ซึ่งเป็นรูปที่เกิดจากธาตุทั้ง 4 ก็จะมีรูปที่เป็นรูปประเภทที่ 2 ได้ครับ ซึ่งในความหมายที่เข้าใจกันนั้น เพื่อน ๆ ก็ทราบดี :eek:
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    จิตวิญญาณมันเป็นได้ทุกอย่าง

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
    จิตวิญญาณมันเป็นได้ทุกอย่าง
    ปัจจุบันนี้พระกรรมฐานท่านไปเที่ยว ปัจจุบันนี้นะ ท่านก็ไม่รู้อะไร คือท่านไม่สนใจกับอะไร ท่านไปหาภาวนาอย่างเดียว ไปอยู่สองแห่ง พระสององค์ไปด้วยกันไปภาวนา กำหนดไปเท่านั้นคืนเท่านี้คืน จะมาพบกันที่จุดนั้น มีที่พักอยู่จุดกลาง แล้วก็ออกไปภาวนา ไปหาเสาะภาวนา ท่านไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ก็ท่านไปภาวนาธรรมดาท่านจะไปสนใจอะไร ไปภาวนาทนได้สามคืนโดดมา องค์นี้มาก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง เปรตอยู่ที่ถ้ำนั่น ท่านไม่รู้แหละเรื่องราวต้นสายปลายเหตุ รู้แต่เหตุการณ์ที่มากระทบท่านอย่างรุนแรงถึงสามคืน ท่านทนได้สามคืน ทนไม่ไหวโดดไปหาเพื่อน เพื่อนไปอีกไปทดลองได้คืนเดียวเปิด นั่นเห็นไหม มันเหมือนกันจะปฏิเสธกันได้อย่างไร ภายในมันก็เหมือนกัน เมื่อไปเจออย่างเดียวกันแล้วมันปฏิเสธไม่ได้
    อย่างที่ว่าพระอัญญตรภิกขุท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนนั้นธรรมะของท่านขั้นสูงจวนจะหลุดพ้นแล้ว พอดีไปถึงใต้ถุนพระคันธกุฎีฝนกระหน่ำลง ขึ้นเฝ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ ท่านก็พิจารณาหยดน้ำที่ตกลงมาจากบนหลังคา ตกมาตั้งเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมาแล้วดับไปๆ ฝนกระทบกันกับข้างล่าง ข้างบน-ข้างล่างน้ำกระทบกัน ท่านก็ดู พิจารณาดูฝนตก ก่อนจะขึ้นไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลถามปัญหาอะไร ท่านพิจารณาน้ำตั้งขึ้นเป็นตุ่มเป็นฟองแล้วดับไปๆ เลยบรรลุธรรมในเวลานั้น พอบรรลุธรรมแล้วกลับเลย นั่นเห็นไหม จะไปทูลถามพระพุทธเจ้าก็ถามเพื่อกิเลสตัวนี้ ตัวมันขวางทาง พอมันเปิดทางโล่งก็เหมือนกัน ท่านเลยกลับไป ไม่ไปทูลถาม คือของอันเดียวกันเมื่อรู้เห็นอย่างเดียวกันแล้วไปถามกันหาอะไร แน่ะ ก็อย่างนั้นแหละ
    อย่างที่ว่านี่ก็เหมือนกัน พระสององค์ท่านไปภาวนาทนได้สามคืนท่านก็กลับมา มาเล่าเหตุการณ์สู่กันฟัง ท่านไม่รู้เหตุผลต้นปลายอะไร ท่านก็ไปภาวนาธรรมดา แต่มันมีเรื่องของมันอยู่นั้น มันเป็นอีเปรต ไปภาวนาทนได้สามคืนโดดมาแล้วมาเล่าให้เพื่อนฝูงฟัง ให้ไปทดลองดูอีก องค์นี้ทนได้คืนเดียวเปิดเลย เปรตมันมาทำทุกอย่างให้เห็นชัดๆ นี่ละจิตวิญญาณมันเป็นได้ทุกอย่างนั่นละ ให้พากันพิจารณาให้ดี
    จิตดวงนี้ไม่เคยสูญ ไม่มีคำว่าสูญ ทุกข์แสนสาหัสก็ยอมรับว่าทุกข์แต่ไม่ยอมสูญ ไม่ยอมสูญยอมสิ้นคือจิตดวงนี้ ถึงที่สุดแล้วก็เป็นธรรมธาตุไปเลย ตั้งแต่ต้นก็หมุนนู้นหมุนนี้เกิดนั้นตายนี้อยู่งั้น พอถึงที่สุดแล้วพับนี้ก็เป็นธรรมธาตุไปเลย ไม่มีสูญ นั่นเป็นอย่างนั้นจิตดวงนี้ สุดท้ายจิตที่บริสุทธิ์นั้นละเป็นธรรมธาตุไปเลย เวลามันมืดมันก็มืด เวลามันสว่างก็สว่าง สว่างถึงขึ้นสุดยอดแล้วก็เป็นธรรมธาตุไปเลย จิตท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วเป็นธรรมธาตุไปเลย เป็นตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็รู้อยู่ ท่านสิ้นไปแล้วธรรมธาตุนี้ไม่เคลื่อนไหวไปไหน ไม่มี คำว่านิพพานเที่ยงคืออันนี้แหละ คือธรรมธาตุอันนี้ เรียกว่านิพพานเที่ยง นี่จิตไม่สูญเป็นอย่างนั้นละ จนกระทั่งถึงนิพพานแล้วก็เที่ยงเลยไม่สูญ
    พูดถึงเรื่องพระท่านนั่งภาวนาแล้วเปรตมากวนท่าน ทนได้สามคืนเปิดมา องค์นี้ไปอีกได้คืนเดียวเปิดมา เหมือนกัน เปรตตัวนี้สาเหตุมันก็มีอยู่ ท่านถามเลียบๆ เคียงๆ ชาวบ้านเขา สถานที่นี่มีอะไรต่ออะไรก็ทราบเหตุ ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังมีท้องอยู่แล้วเห็นผลไม้ไปปีนขึ้น ทั้งๆ ที่มีท้องอยู่นั่นตกลงมาตายไปเป็นเปรต นั่นละเปรตตัวนี้ละที่กวนพระ ท่านสืบถามไปมาแล้วรู้ว่ามีมาอย่างนั้น ท่านประสบเหตุการณ์แล้วหาอุบายถามญาติโยมเลียบๆ เคียงๆ ถามไปท่านก็เลยจับได้ เป็นเปรต
    นี่ละจิตดวงนี้เป็นอย่างนั้นละฟังเอา เป็นเปรตเป็นผี เป็นยักษ์เป็นมาร เป็นสัตว์นรกอเวจี เป็นได้หมดจิตดวงนี้ อำนาจของกรรมดีกรรมชั่วพาให้เป็น ถ้ากรรมดีกรรมชั่วหมดจากใจแล้วเป็นใจที่บริสุทธิ์ ปุญญปาปปหินบุคคล เป็นผู้สิ้นบุญและบาป ละหมดแล้ว บุญไม่มีบาปไม่มีในใจ เป็นธรรมธาตุล้วนๆ นั่นละเรียกว่าจิตบริสุทธิ์ เกิดจากการซักฟอก การภาวนาสำคัญมากชำระจิตใจจนผ่องใส ถึงขั้นอัศจรรย์ตัวเองมีนะจิต เราเป็นเองจะให้ว่าอย่างไร อัศจรรย์จิตตัวเอง
    บนเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ตอนเช้ามืดตี ๕ ลงไปเดินจงกรม ทางเดินจงกรมเป็นทางดียาว จิตมันสว่างไสวเอาเสีย แหม อัศจรรย์ ว่างไปหมดโลกอันนี้ มีแต่ความสว่างไสวจ้าอยู่ภายในจิต จิตดวงนั้นละจิตที่ดวงมันสว่างไสวจ้ามันทำให้อัศจรรย์ ก็ไปยืนรำพึงอัศจรรย์ตัวเอง โห จิตเราทำไมอัศจรรย์เอานักหนา ทั้งว่าง จิตดวงนั้นมันจ้าของมันทั้งๆ ที่ยังไม่สิ้นกิเลสนะ แสดงความอัศจรรย์ อัศจรรย์ตัวเองว่าจิตเราทำไมถึงอัศจรรย์เอานักหนา
    สักเดี๋ยวพระธรรมก็แสดงขึ้น พออันนี้สงบลง พระธรรมพูดขึ้นเป็นคำๆ นะ พูดขึ้นเหมือนเราพูดสู่กันฟัง พูดอยู่ในจิต ถ้ามีจุดมีต่อมอยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ คือตัวใสๆ ตัวผ่องใสที่ตัวอัศจรรย์นั่นละคือตัวภพ ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ ถ้าหากว่าไปเล่าให้พ่อแม่ครูจารย์ฟังนี่ตอนท่านมีชีวิตอยู่ แต่นี่ท่านล่วงไปแล้ว ถ้าหากว่าเล่าให้ท่านฟังนี้มันจะบรรลุในเดี๋ยวนั้นเลยละ พอว่า “ก็นั่นแล้วตัวนั้น” ท่านจี้เข้าตรงนั้นปั๊บมันเห็นโทษปั๊บสลัดปั๊วะเดียวไปเลย นั่นเรียกว่าบรรลุธรรม
    มันติดปัญหาที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ไปก็ไปเที่ยวทางนู้นทางไหนลืมแล้ว กลับมาอีกกลับมาที่เก่า มาปลงกันที่นั่นละ จุดต่อมอันนั้นปลงกันขาดสะบั้นไปเลย นี่ละจุดต่อมผู้รู้นั้นละคือตัวภพตัวนี้ตัวพาให้ไปเกิด พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วจะเอาอะไรไปเกิดมันก็รู้อยู่ นั่น เท่านั้นละวันนี้ให้พร

    คัดลอกมาจาก http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=4792&CatID=2
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    จิตวิญญาณแสดงตัว

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
    จิตวิญญาณแสดงตัว

    เอ๊ ท่านปัญญาเสียทางนี้เวลาทางอังกฤษเป็นเวลาเท่าไร คือท่านปัญญาเสียทางนี้แล้วก็ไปกระตุกลูกศิษย์ที่เมืองอังกฤษ (ตี ๑ เศษๆ ครับ) ทางนี้เสียตอน ๘ โมงเช้า กับเวลาทางโน้นก็ตรงกัน ตี ๑ ไปเปิดประตูเปิดอะไรๆ โครมครามๆ ที่บ้านคุณเจน เขาเคยมาวัดนี่ อายุดูเหมือนเท่ากันกับท่านปัญญา พอทางนี้เสียตอน ๘ โมงเช้า ทางโน้นก็ดูเหมือนตี ๑ แล้วแสดงในเวลาเดียวกันจนตื่นเต้น โดดไปปลุกผัวมา เป็นยังไงเสียงมันพิลึกพิลั่น ปึงปังๆ ดูว่าประตูเปิดอะไรเปิดไปหมดใช่ไหมล่ะ นี่ละท่านปัญญาท่านไปเตือนลูกศิษย์ท่าน เวลาก็ตรงกันนะ ทางนี้ตอนเช้าประมาณ ๘ โมง ทางโน้นก็ตี ๑ มันไม่ใช่เสียงธรรมดาฟังว่า เสียงโครมครามๆ ดึกๆ ตี ๑ นั่นน่ะเวลาคนนอน เสียงโครมครามๆ มันอะไร โดดไปปลุกสามีมา เสียงอะไรๆ พอออกมาดูแล้วปรากฏว่าประตูก็เปิดอะไรก็เปิดไปหมด เอ๊ มันเป็นยังไงอย่างนี้ ว่างั้นนะ แล้วไม่นานก็ทราบว่าท่านปัญญาเสียเวลาเท่านั้น ก็ตรงเป๋งกับเวลาทางโน้น ท่านไปเยี่ยมลูกศิษย์ท่าน เสียงโครมครามๆ อันนี้พูดถึงเรื่องท่านปัญญา
    ทีนี้พูดถึงเรื่องผู้เฒ่าแม่แก้ว อันนี้แม่นยำมาตลอด ตั้งแต่ท่าน(หลวงปู่มั่น) เริ่มป่วย คือแต่ก่อนทางรถมันไม่มีแหละ เราต้องเดินทางไป จากห้วยทรายมาถึงหนองผือนี้ตั้งสองคืนสามคืน เดินทางมา ทีนี้เวลาท่านป่วย(หลวงปู่มั่น) ก็ไม่ทราบเพราะทางมันไกล ไม่รู้แหละไม่ได้ส่งข่าว ทางนู้นทราบแล้ว บอกว่า พ่อ(หลวงปู่มั่น) จะเตรียมลาโลกแล้วนะ เหาะมาทางอากาศ บอกว่าพ่อจะลาโลกแล้วนะ ทางนี้ก็กำลังทอผ้ายังไม่เสร็จ ไม่เสร็จก็ให้รีบ พ่อรอไม่ได้นะ คืนหลังมาอีก เร่งอีก ทางนี้ก็บอกว่าทอไม่ทัน จะเอาผ้าไหมไปถวายท่าน(หลวงปู่มั่น)
    พอคืนนั้นละที่นี่ คืนจังๆ เลย พอตี ๑ กว่าๆ เวลาตรงกันเป๋งเลย ท่านมาแล้วมาทางอากาศ นี่เห็นไหมไปดูซิ ไปดูกองกระดูกของพ่อน่ะ ไปดูก็เห็นแต่กองกระดูก บอกให้ไปเยี่ยมเท่าไรก็ไม่ไป นี้พ่อออกแล้วนะ ไปก็จะเห็นแต่กองกระดูก พอแกออกจากที่มาก็ร้องไห้เลยเทียว ตอนเช้าออกจากที่(ภาวนา) มาร้องห่มร้องไห้ คุณแม่(แก้ว) เป็นอะไร เพราะเขาเข้าใจว่าแกเป็นบ้า แกร้องไห้คนเดียว คุณแม่เป็นยังไง คนนั้นวิ่งมาคนนี้วิ่งมา ออกจากห้องมาก็ร้องไห้คนเดียว คุณแม่เป็นอะไร จะเป็นอะไร หลวงปู่มั่นท่านเสียแล้วเมื่อคืนนี้ อ้าวทำไมว่างั้น ไม่ว่ายังไงก็รู้อยู่นี้น่ะ ท่าน(หลวงปู่มั่น) เสียแล้วเมื่อคืนนี้
    พอดีหลานของแกไปอำเภอคำชะอี แต่ก่อนมันติดต่อกันได้ก็ทางวิทยุเท่านั้น อย่างอื่นไม่ทราบแหละ พอทางนั้นไปได้ยินว่าหลวงปู่มั่นได้เสียแล้วเมื่อคืนนี้ เวลาเท่านั้นๆ พอทราบก็เลยวิ่งตั้งแต่โน้นถึงสำนักแม่ชีเลย ตอน ๗ โมงเช้าวิ่งมา วิ่งไม่หยุดเลยว่างั้น ทางมันตั้งสี่ห้ากิโลวิ่งไม่หยุด มาถึงก็ว่า คุณแม่ๆ อะไร โอ๊ย หลวงปู่มั่นเราเสียเมื่อคืนเวลาเท่านั้นๆ ทีแรกพวกนี้เข้าใจว่าคุณแม่เป็นบ้าแต่ไม่กล้าพูด ว่างั้น ร้องไห้อยู่คนเดียว ใครมาก็ถาม คุณแม่เป็นอะไรๆ พอเด็กมาบอกเท่านั้น เพราะพูดถึงเรื่องอันนี้ เสียใจว่าหลวงปู่ท่านเสียแล้วเมื่อคืนนี้ แกก็ร้องไห้ ทางนี้ก็มารุมถามเรื่องราว ยังไม่จบอะไร สักเดี๋ยวเด็กก็วิ่งเข้ามา บอก คุณแม่ๆ หลวงปู่มั่นเราเสียแล้วเมื่อคืนนี้เวลาเท่านั้นๆ นั่นเห็นไหม ทีนี้เลยเป็นบ้ากันทั้งวัดเลย ร้องไห้กันทั้งวัด อย่างนั้นแหละแกแม่นยำมากนะ
    ท่านก็บอกว่าเร่งนะ นี่จวนแล้วนะๆ ให้เร่งๆ พอดีเมื่อคืนนี้ เห็นไหมพ่อออก(จากร่าง) แล้วนะ ถ้าอยากไปดูพ่อก็ให้ไปดูตั้งแต่กองกระดูกนั่นแหละ นั่นละพอแก(คุณแม่แก้ว) ออกมาแกก็ร้องไห้ คนก็มารุมถาม แกก็บอกตรงๆ บางคนก็จะเข้าใจว่าคุณแม่เป็นบ้า สุดท้ายเลยร้องไห้กันหมดพอเด็กนำข่าวนี้มา นี่ก็แม่นยำอันหนึ่งของแกเหมือนกัน
    เฉพาะอย่างเรานี่พูดตรงๆ เลย คือตามธรรมดาห้วยทรายอยู่ตรงกลาง สำนักแม่ชีอยู่ทางด้านตะวันออก สำนักเราอยู่ทางด้านตะวันตก บ้านอยู่จุดศูนย์กลาง เราจะไปไหนมาไหนก็เป็นตามนิสัยเราไม่มีใครรู้แหละว่าจะไปไหน เตรียมบาตรปุ๊บปั๊บสะพายแล้วไปเลยๆ ไม่มีใครรู้ ทีนี้วันนั้นพอเราฉันเสร็จแล้วเราก็ออกไป ทางโน้นก็จะแปลกประหลาดอยู่ เอ๊อ นี่เป็นยังไงวัดเรามันเย็นไปหมด มันเป็นยังไง ไม่ใช่อาจารย์(หลวงตา) ท่านขโมยหนีจากเราไปแล้วเหรอ ไปดูซิ เรานี่แน่ใจว่าไปแล้วมันเย็นไปหมดเลยนี่ เขาก็วิ่งไปดูแล้วบอกว่าไปแล้ว อันนี้ก็เป็นอันหนึ่งนะ เราไปไหนนี่แกจะทราบ
    ทีนี้มายิ่งทราบแม่นยำเลยไม่มีผิด พอเราจวนจะมา แกก็ว่าจวนแล้วนะๆ เริ่มอบอุ่นเข้ามาๆ พอมาถึงวัดกึ๊กแกก็ว่ามาถึงแล้ว โน่นวัดอยู่ทางโน้น บ้านอยู่ตรงกลาง จะไปไหนมาไหนเราเคยบอกใครเมื่อไร ไม่เคยบอก เป็นนิสัยอย่างนั้น ถ้าจะไปไปเลย แกว่านี่มาถึงแล้วนะ ตอนเช้าซิที่เราไล่เบี้ยเอา คือตอนเช้าแกจะหุงข้าวมาหม้อหนึ่ง ตามปรกติแกจะไม่หุง ถ้าเราหนีไปแล้วแกจะไม่หุง พอเรามาแล้วแกจะหุงข้าวแล้วจีบหมากมาด้วย พอตอนเช้าแกก็จีบหมากจีบอะไรแล้วหุงข้าว เอ้าเอานี่ไป ท่านมาถึงแล้วเมื่อคืนนี้ ไปก็แม่นยำๆ มาทีไรแม่นยำทุกที พอถึงก็บอกว่าถึงแล้ว อย่างนั้นละแกเก่งมากนะ มาถึงแล้วๆ เราก็เลยถาม ข้าวนี้หุงมาทุกวันหรือว่าไง โอ๋ย ไม่ได้หุงทุกวัน แล้วทำไมวันนี้เห็นหม้อข้าว ก็คุณแม่บอกให้หุงข้าว ว่าอาจารย์(หลวงตา) มาถึงแล้ว
    แล้วจีบพลูจีบหมากนี่ล่ะจีบทุกวันหรือ ไม่ได้จีบ พึ่งจีบเมื่อเช้านี้ อย่างนั้นตลอดไม่มีเคลื่อนเลยนะ เรียกว่าทุกครั้งถ้าเราไปไหนมาไหน พอเข้ามาถึงวัดปั๊บแกจะรู้ทันทีๆ เตรียมอย่างนี้ถูกต้องแม่นยำ แกเก่งมากนะ เวลามานี่แกรู้ พอมาถึงวัดก็ว่ามาถึงแล้ว เวลาแกพูดย่อยๆ ให้บรรดาเพื่อนฝูงฟังนั้น แล้วคุณแม่รู้ได้ยังไง รู้ก็จะเป็นไรไป เวลาแกบรรยายก็ว่าเป็นลักษณะจะเริ่มอบอุ่นเข้ามาๆ พอมาถึงกึ๊กแล้วอบอุ่นหมดเลย นี่แกเล่าให้ฟัง แกพูดแค่นั้น ไอ้ที่ลึกซึ้งกว่านั้นแกพูดเท่านั้นเราเข้าใจทันที นี่เป็นเรื่องของวิถีญาณหยั่งรู้กันอย่างนั้น เรื่องแม่ชีแก้วนี่เรียกว่าไม่มีพลาดเลย ไม่เคยมี ไม่มีพลาดเลย เราไปไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เราไปไหนเราก็ไปของเราหายเงียบไปเลย เพราะเราไปเราก็ไม่บอกใคร มาเราก็ไม่บอกใคร แต่แกรู้ได้ทุกทีๆ
    อันนี้ก็ท่านปัญญาเสียเวลา ๘ โมงเช้า ตี ๑ เสียงประตูลั่นโป๊งป๊างๆ คุณเจนเลยรีบวิ่งไปปลุกสามี เป็นยังไง บ้านเราหลังนี้วันนี้เป็นยังไงมันเสียงลั่นพิลึกพิลั่นนะ พอปลุกสามีออกมาดู ประตูอะไรๆ เปิดโล่งไปหมดเลย เอ๊ ทำไมเป็นอย่างนี้ ท่านปัญญาท่านไปเยี่ยมลูกศิษย์ท่าน คุณเจนเคยมาที่นี่ มาภาวนาอยู่ที่นี่บางทีถึงสองสามอาทิตย์ก็มี ทีนี้พอท่านปัญญาตายก็เลยไปลาลูกศิษย์ ลูกศิษย์พอได้ยินเสียงโครมครามก็เลยเป็นบ้า อย่างนั้นแหละจิตวิญญาณเห็นไหม เรื่องจิตวิญญาณแสดงได้ทุกแบบเพราะอันนี้ไม่เคยตาย แสดงได้ทุกแบบ เป็นอายตนะสมบูรณ์ของตัวเอง เรียกว่าอายตนะนิพพาน นิพพานมีอายตนะที่ไหน พวกตาบอดมันจะไปรู้เรื่องอะไร เราก็ว่างั้น
    อายตนะนิพพานคืออายตนะสมบูรณ์แบบในตัวเอง ไม่ได้ไปยืมตา หู จมูก ลิ้น กาย อายตนะ แปลว่า เครื่องสืบต่อ เครื่องประสาน ตาประสานรูป หูประสานเสียง เรียกว่าอายตนะ ประสานกัน ส่วนจิตใจล้วนๆ นี้ท่านว่าอายตนะนิพพาน ไม่มีใครรู้นะ แต่ท่านผู้ถึงนิพพานท่านรู้เอง เรียกว่าอายตนะเป็นของตัวเองโดยหลักธรรมชาติ ความหมายว่างั้น เอาละที่นี่พอละ

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ตายแล้วย้อนกลับมาบ้านเรือน

    เทศน์อบรมฆราวาส
    ณ สวน ๓๖ พรรษา สยามบรมราชกุมารี
    ตรงข้ามสุสานทหารสัมพันธมิตร อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
    เนื่องในโอกาสอุทิศให้ทหารและบรรพชนที่เสียชีวิตในสงคราม
    เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
    ตายแล้วย้อนกลับมาบ้านเรือน

    ต่อจากนี้ไปจะเริ่มแสดงธรรมให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วถึงกัน แต่เรื่องความไม่สะดวก โลกอันนี้ไม่ใช่โลกสะดวกสบาย ใครอยู่ที่ไหนก็ขัดก็ข้อง ฝนตกฟ้าลงก็ขัดข้อง แห้งแล้งก็ขัดข้อง อยู่สถานที่ใดมีแต่ความขัดข้องอยู่เสมอประจำมนุษย์เรา เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ควรจะถือว่า วันนี้เป็นวันบำเพ็ญมหากุศลเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ท่านผู้ที่ล่วงลับไป ซึ่งท่านเหล่านี้เป็นผู้รักษาประเทศชาติ สละชีวิต ล้มหายตายจากไป ทั้ง ๆ ที่พ่อแม่ลูกหลานมีความห่วงใยและรักชอบ ก็ต้องพลัดพรากจากกันไปด้วยความจำเป็น นี่ก็เป็นอย่างนี้
    วันนี้เป็นวันบำเพ็ญมหากุศลของเรา อย่าให้มีอะไรเข้ามาขัดข้องในวันมงคลเช่นนี้ ไอ้เรื่องฟ้าตกฝนลงอยู่ที่ไหนมันก็มี เราอย่าถือมาเป็นอุปสรรคต่อการบำเพ็ญความดีงามของเรา วันนี้เราได้บำเพ็ญกุศลอุทิศกัลปนาผลถึงท่านผู้ที่ล่วงลับไป หลังจากนั้นเราก็หันมาเข้าสู่การช่วยชาติบ้านเมืองของเรา ชาติเป็นของทุกคน ในบรรดาพี่น้องชาวไทยเรามีจำนวน ๖๒ ล้านคน เป็นคนไทยทั้งมวลและรักชาติ พร้อมกันเสียสละเพื่อบำรุงรักษาชาติไทยของเราให้มีความเจริญรุ่งเรืองแน่นหนามั่นคง และสงบร่มเย็นไปโดยลำดับลำดา
    นอกจากนั้นยังจะได้ฟังอรรถฟังธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่นานๆ จะได้ยินพระท่านมาเทศนาว่าการอรรถธรรม ชี้แจงแสดงบอกเรื่องผิดเรื่องถูก ดี ชั่วประการต่างๆ ซึ่งมีอยู่ประจำกับตัวเราทุกคนนั้นแล ให้ได้รู้เรื่องรู้ราวแล้วไปแก้ไขดัดแปลงตนเอง เพื่อความดีงามและความเป็นสิริมงคลแก่ตัวของเราทั่วหน้ากัน เราอุทิศส่วนกุศลถึงท่านผู้ล่วงลับนี้เป็นความถูกต้องชอบธรรมแล้ว ในบรรดาญาติมิตรสาโลหิตที่ล่วงลับดับไป ใครจะอยู่ทิศใดแดนใด เมืองใด ใกล้ไกลไม่สำคัญ จิตวิญญาณขณะเดียวถึงแล้ว ๆ ประเทศไหนโลกไหนถึงกันอย่างรวดเร็ว ไม่มีแรมวันแรมคืน เพราะระยะทางห่างไกลเหมือนเราเดินด้วยเท้า
    จิตวิญญาณท่องเที่ยวในวัฏสงสาร จะกว้างแคบขนาดไหนจิตวิญญาณจะไปได้ด้วยอำนาจแห่งกรรมดี กรรมชั่วหนุนพาให้ไป ผู้ที่ว่าไปสวรรค์ชั้นนั้น ๆ ถ้าจะพูดถึงเรื่องการวัดชั้นเป็นถนนหนทาง ทางจากนี้ไปสวรรค์ชั้นนั้นห่างสักกี่กิโลอย่างนี้นั้น เรานับไม่ได้ สังขารร่างกายเราไปไม่ได้ แต่จิตใจนั้นไม่ว่าจะอยู่ใกล้ไกลขนาดไหน ไปได้ทั้งนั้นชั่วขณะเดียว จิตใจนี้ไปได้ ระยะความใกล้ความไกลไม่มีปัญหาในจิตใจของแต่ละสัตว์แต่ละบุคคล ตายแล้วไปทางดีทางชั่ว เสวยสุขเสวยทุกข์ได้ด้วยกันทั้งนั้น ขอให้มีคำว่าบุญและบาปที่ตนสร้างไว้แล้วติดใจของตนเถิด ไม่ว่าไกลว่าใกล้ เช่นไปเสวยความทุกข์ความทรมาน ใกล้ไกลที่ไหนไม่มีประมาณ ถึงทันที ๆ
    เช่นอย่างไปนรก แดนนรกนี้ถ้าธรรมดาแล้วจะไม่มีใครไปถึง เพราะอยู่ไกลแสนไกล แต่อำนาจแห่งกรรมที่เราสร้างไว้ไม่ดีนั้น มันติดอยู่กับตัวของเรา ติดพันกันไป จนกระทั่งถึงนรกหลุมไหนไม่มีคำว่าใกล้ว่าไกล ขึ้นอยู่กับอำนาจแห่งกรรมชั่วของตน ผู้ที่จะไปสวรรค์ พรหมโลก และนิพพานก็เช่นเดียวกัน ไม่มีคำว่าใกล้ว่าไกล ขอให้มีบุญมีกุศลติดใจของเราเถิด จะไปได้ถึงหมดไม่ว่าชั้นใดภูมิใด ตามอำนาจแห่งกรรมดีของเราที่มีมากน้อย และใจเป็นของไม่ตาย ขอให้ท่านทั้งหลายทราบเอาไว้
    พระพุทธศาสนาคือพระพุทธเจ้าของเราทุกๆ พระองค์ทรงเทศนาว่าการยืนยันจิตวิญญาณคือใจของคนของสัตว์นี้มีมาดั้งเดิม ตั้งแต่กาลไหนๆ ไม่มีต้นไม่มีปลาย มีแต่ความเกิดความตายแบกหามกองทุกข์ หรือเสวยสุขเป็นลำดับลำดามา ก็เพราะจิตดวงที่ไม่ตายนี้แล เวลาได้รับความทุกข์ความลำบากมากเพราะการทำชั่วของตัวเองด้วยความประมาท ไปตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ก็ยอมรับว่าทุกข์ ถึงขั้นมหันตทุกข์ ใจก็ยอมรับเสวย แต่ไม่เคยฉิบหาย ไม่เคยสูญก็คือใจดวงนี้แล เวลาไปทางดีก็เหมือนกัน ไม่มีคำว่าฉิบหายเหมือนสิ่งอื่นใด
    พอตายจากนี้แล้วก็เข้าไปสู่ภพหน้า พร้อมเสมอที่จะไปเกิด ๆ เมื่อหมดสภาพแห่งความเกิดในภพชาตินั้นๆ แล้ว ก็เรียกว่าตายๆ ตายกับเกิดจึงเป็นของคู่เคียง ประจำภพชาติของจิตตลอดมา เพราะฉะนั้นสัตว์ตัวหนึ่งรายหนึ่งจึงมีการเกิดตาย ได้รับความทุกข์ความลำบากเสมอหน้ากันหมด ไม่มีใครที่จะมาแข่งขันกันว่า ข้านี้เกิดน้อยชาติ ข้านี้เกิดหลายชาติ ข้าได้รับความทุกข์ความสุขมากน้อยเท่านั้นเท่านี้ เอามาแข่งขันกันนั้นแข่งไม่ได้ เพราะทุกคนมีอยู่ด้วยกันเต็มตัว เพราะอำนาจแห่งกรรมของตนสร้างมาเหมือนกันหมด ท่านจึงไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน
    ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงสอนโลกอย่างแม่นยำ ไม่มีผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปไหนเลย ก็คือธรรมของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ นี่สอนพวกเราทั้งหลาย ขอให้ถามปัญหาตัวเองว่า ธรรมพระพุทธเจ้านั้นเลิศเลอพอแล้ว เราจะสามารถรับอรรถรับธรรมเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สั่งสอนแล้วด้วยพระเมตตาสุดส่วน ด้วยความรู้แจ้งแทงกระจ่างในสิ่งทั้งหลายหมดนั้น เราจะรับได้หรือไม่ หรือจะรับตั้งแต่ความหูหนวกตาบอดของเรา ไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม เสียงดี เสียงชั่ว แต่สิ่งที่ชั่วนั้นทำได้ตลอดไป
    สิ่งที่ดีก็หาเรื่องหาราวมาขัดมาขวาง กีดกันเอาไว้ไม่ให้ทำ เช่นอย่างวันนี้ก็เป็นวันที่เราจะบำเพ็ญการกุศล เราก็จะหาเรื่องว่าวันนี้ฝนตกทำบุญให้ทานไม่สะดวกไม่สบายเลยสำหรับวันนี้ วันอื่นที่เราสร้างขวากสร้างหนามเป็นอุปสรรคแก่ตัวเองทั่วหน้ากันนั้น เราไม่ได้พูดถึง ทั้งๆ ที่มันก็ไม่สะดวกเช่นเดียวกัน แต่เพราะความพอใจของเราที่จะทำ ในน้ำ บนบก ฟ้าฝนตก เราก็ทำได้ด้วยกันทั้งนั้น วันนี้เป็นวันที่เราสร้างบุญกุศล ฝนเป็นฝน น้ำเป็นน้ำ บุญเป็นบุญสำหรับเราผู้สร้างบุญ ไม่มาคละเคล้ากัน เราจึงทำได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ฝนตกฟ้าลงก็เป็นเรื่องของฟ้าฝนที่เคยมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว ไม่ใช่พึ่งมีมาในวันนี้ที่เราจะบำเพ็ญกุศลเท่านั้น
    จึงขออย่านำสิ่งใดมาเป็นอุปสรรคต่อการสร้างกุศลของเรา บรรดาผู้ที่ล่วงลับ ไปนั้นท่านสอนไว้ใน ติโรกุฑฑกัณฑสูตร ว่าใครจะอยู่ใกล้อยู่ไกลที่ไหน ประเทศใดเมืองใดก็ตาม เวลาตายแล้วจะต้องกลับเข้าไปถึงบ้านถึงเรือน ถึงพี่น้องพ่อแม่ญาติมิตรของตนเป็นลำดับลำดา ถ้าไม่ถูกกรรมหนักบังคับให้ไปตกนรกเสียก่อน มีช่องทางที่จะไปหาญาติหาวงศ์ของตนได้ทุกแห่งทุกหน โดยไม่มีคำว่าหลงทาง นี่คือญาติมิตรที่ตายไปแล้ว แล้วกลับเข้ามาในบ้านญาติมิตรของตน ตายที่ไหนก็มาหาญาติหามิตร เพื่อรับส่วนบุญส่วนกุศลจากพ่อแม่พี่น้องที่เคยเป็นพ่อเป็นแม่มาดั้งเดิม ในเวลาตายแล้วก็ต้องย้อนกลับมา
    ท่านบอกไว้ใน ติโรกุฑฑกัณฑสูตร ว่า เข้ามาแอบอยู่ตามข้างบ้านข้างเรือนบ้าง เข้ามาอยู่ข้างฝาเรือนบ้าง เข้ามาอยู่ทุกซอกทุกมุมในบ้านเรือนของญาติของมิตร ของพ่อของแม่บ้าง แต่เวลาพ่อแม่พี่น้องซึ่งเคยอยู่ร่วมกันในเวลามีชีวิตอยู่ รับประทานด้วยกัน มีอะไรถึงกันหมดนั้น พอตายไปแล้วเท่านั้น กลับมาก็มาแอบดูพ่อดูแม่ ดูญาติดูวงศ์ที่กำลังรับประทานอาหารกันอยู่ในนั้น ไม่สามารถที่จะรับได้ เพราะไม่ใช่วิสัยของเปรตผีกับมนุษย์ที่จะมาร่วมกินร่วมอยู่ด้วยกันได้เช่นนั้น ถ้าหากว่าญาติมิตรมีความรู้สึกเป็นห่วงใยในผู้ล้มผู้ตายที่จากไปนั้น ได้ทำบุญทำกุศล อุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่บรรดาเปรตทั้งหลายที่มานั้น เปรตเหล่านั้นก็ได้รับส่วนบุญส่วนกุศล ก่อนจะจากไปก็อนุโมทนาสาธุการแก่ญาติมิตรของตน แล้วไปสวรรค์ได้เพราะอำนาจแห่งส่วนกุศลที่หนุนท่านเหล่านั้นให้พ้นทุกข์ในความเป็นเปรตเสียได้ นี่ท่านแสดงไว้อย่างนี้
    เปรตประเภทที่จะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลนั้นมีมากมายก่ายกอง ด้วยเหตุนี้จอมปราชญ์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น จึงสอนไว้ว่าเมื่อล้มหายตายจากไปจากกันแล้ว อย่าลืมบุญลืมคุณ ลืมความระลึกถึงกัน แล้วให้บำเพ็ญส่วนกุศลอุทิศไปให้ ท่านผู้ล้มผู้ตายจะได้รับการสนับสนุนจากการสร้างบุญกุศลอุทิศไปให้นั้น แล้วพ้นทุกข์ไปโดยลำดับ นี่ท่านสอนไว้อย่างนี้ อย่างบรรดาทหารที่มาตายอยู่ในเมืองกาญจน์ของเรามีจำนวนมากมายทีเดียว ท่านเหล่านี้ก็มีความหวังที่จะพึ่งพิงญาติมิตรเพื่อนฝูง และญาติเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันก็มีทางรับได้ เช่นพวกเราไม่ได้รู้จักหน้าค่าตากันเลย แต่เรามีเจตนาเป็นกุศลทำบุญแล้วอุทิศถึงท่านเหล่านั้น บุญกุศลจึงไม่นิยมว่าใครเป็นญาติ ไม่เป็นญาติ อยู่ในฐานะที่จะรับได้จากผู้มีเมตตาจิตยื่นให้ด้วยการอุทิศส่วนกุศล ท่านเหล่านั้นก็รับได้ พ้นทุกข์ไปได้
    ที่เราทำวันนี้จึงเป็นการถูกต้องกับขนบประเพณีที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง และพาดำเนินมา แล้วทีนี้ก็ย้อนมาหาตัวของเราเอง อย่าได้พากันประมาทนอนใจ มีแต่ลมหายใจไปวันหนึ่ง ๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับอยู่ได้ด้วยลมหายใจ พอลมหายใจขาดเท่านั้นอยู่ที่ไหนตายได้หมดคนเราและสัตว์ทั่ว ๆ ไป พวกเรานี้เรียกว่าอยู่ได้ด้วยลมหายใจ อย่าหายใจอยู่เฉยๆ หายใจให้มีอรรถมีธรรม มีบุญมีกุศลติดใจของตัว อย่าหายใจไปด้วยการให้กิเลสรุมล้อม หายใจไปด้วยความโลภไม่พอ ความโกรธ ความเคียดแค้น หายใจไปด้วยราคะตัณหา หาลูก หาผัว หาเมียไม่พอใช้ ไม่พออยู่ ไม่พอกิน ดิ้นรนกระวนกระวาย อย่างนี้เขาเรียกว่าหายใจเพื่อความล่มจม ถึงจะยังไม่ตายก็ล่มจมอยู่แล้วกับการกระทำของตัว
    เพราะฉะนั้นจึงแยกลมหายใจของเราเข้ามาสู่ศีลสู่ธรรม หายใจเข้าหายใจออกให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า หรือพระธรรม หรือพระสงฆ์ อยู่โดยสม่ำเสมอ คำว่าพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวนี้ กระเทือนทั่วพระพุทธเจ้าทั้งหลายในแดนโลกธาตุ ธรรม สงฆ์เป็นอันเดียวกัน จึงมีคุณค่ามากแก่ผู้ที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นี่เรียกว่าหายใจมีสารประโยชน์ หายใจเป็นบุญเป็นคุณ เวลาเราตายลงไปเราก็อาศัยลมหายใจที่เป็นบุญเป็นคุณต่อเรานี้แล จะเป็นเครื่องอุดหนุนค้ำชูเราให้ไปเกิดในสถานที่ดี คติที่สมหวัง
    ส่วนที่เราหวังเฉยๆ นั้น โลกนี้หวังได้ด้วยกัน แต่มันไม่เป็นไปเพื่อความสมหวัง ถ้าเราไม่ทำให้ถูกต้องตามความหวังนั้นแล้วจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย จึงควรตั้งความหวัง เช่น ตั้งความหวังในความดีงามเอาไว้แล้ว ให้สร้างบุญสร้างกุศล ผลประโยชน์นี้จะหนุนเข้ามาสู่เรา เช่นผัวเมียที่เคยเป็นผัวเป็นเมียกันในชาตินี้ มีความรักความชอบใจ ฝากเป็นฝากตายต่อกัน มีความปรารถนาร่วมกัน ว่าชาติหน้าภพหน้าขอให้เราทั้งสองได้เป็นคู่ครอง เป็นผัวเป็นเมียกันอย่างนี้ ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไปทำชั่วเสีย ฝ่ายหนึ่งไปทำดีก็เข้ากันไม่ได้ แล้วอยู่ด้วยกันปรารถนาให้เป็นผัวเป็นเมียกันแล้วก็ทะเลาะกันทั้งวันทั้งคืน อยู่ที่ไหนมีแต่การทะเลาะกัน ถ้าตายไปเป็นผัวเป็นเมียก็จะกลายเป็นหมาตัวเมียตัวผู้ไปกัดกันอยู่นั้นแหละ
    เพราะฉะนั้น จึงให้ต่างคนต่างสร้างคุณงามความดีเอาไว้ ปรารถนาสมหวังทันที ๆ ดังพระพุทธเจ้ากับพระนางพิมพา ท่านปรารถนามาด้วยกัน ไม่ทราบว่ากี่กัปกี่กัลป์ จนได้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ไม่เคยพลัดพรากจากกันเลย เป็นสัตว์ก็เป็นด้วยกัน ทุกข์ยากลำบากเข็ญใจประการใดก็เป็นด้วยกัน ไม่เคยคิดทรยศให้มีความพลัดพรากจากกัน อย่างนี้ไม่มี ทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน เป็นด้วยกัน ตายด้วยกัน อย่างนี้ตลอดมา จนกระทั่งถึงความเป็นพระพุทธเจ้า
    เวลาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว นี่เป็นสิ่งที่เราทั้งหลายน่าคิดอยู่มาก ก็คือเวลาเสด็จไปโปรดพระราชบิดา ในพระราชวังด้วยพระตั้งสองหมื่นองค์ ไปฉันจังหันที่บ้านพระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดา ครั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระราชบิดาก็พรรณนาถึงคุณงามความดีของพระนางพิมพา ให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราทรงสดับ พระองค์ก็ทรงนิ่ง ไม่ว่าอะไร เพราะความรู้ความฉลาดแหลมคม เป็นพระญาณหยั่งทราบรู้ตลอดทั่วถึงไปหมด ระหว่างพระนางพิมพากับพระองค์ที่ได้เคยก่อสร้างวาสนาบารมีมาด้วยกัน ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนพระองค์ทรงทราบตลอดทั่วถึง
    แต่พระเจ้าสุทโธทนะท่านก็เป็นพระราชบิดา จึงพูดประหนึ่งว่าวิงวอนให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระนางพิมพา ว่าพิมพานี้เป็นลูกที่ดีมากทีเดียว หรือเป็นคนดีมาก หาไม่ได้แล้ว เวลาพระพุทธเจ้าเสด็จไปทรงบำเพ็ญคุณงามความดีอยู่ในสถานที่ใด ควรจะโกรธจะแค้นไม่มีเลย แล้วจะผูกกรรมก่อเวรอะไรอย่างนี้ไม่มี ได้ทราบว่าสิทธัตถราชกุมารเสด็จออกทรงผนวช แล้วทรงบำเพ็ญคุณงามความดีอยู่ในสถานที่ใด พระนางพิมพาจะหันพระเศียรไหว้ กราบไปทางที่ท่านสิทธัตถราชกุมารประทับบำเพ็ญความดีอยู่นั้นตลอดไปเลย ไมว่าท่านจะอยู่ทิศใดแดนใด พระนางทราบแล้วต้องกราบไหว้บูชาพระสิทธัตถราชกุมารมาตลอด จึงเป็นลูกที่ดีมาก หาอย่างพระนางพิมพาไม่มีอีกแล้ว จึงควรพระองค์เสด็จไปโปรดเธอบ้าง นี่เป็นพระวาจาของพระเจ้าสุทโธทนะ
    ทีนี้พระองค์ทรงทราบตลอดทั่วถึงหมดแล้ว เป็นแต่เพียงไม่รับสั่งประการใด แล้วก็รับสั่งเฉพาะคำที่สำคัญเท่านั้นว่า “นี่เราจะไปเยี่ยมพิมพา บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายนั้นให้กลับวัดทั้งหมด ให้ติดตามเราไปเฉพาะพระสารีบุตรและพระโมคคัลลาน์ ซึ่งเป็นอัครสาวกข้างซ้ายข้างขวา และเป็นพระอรหันต์ด้วยกันนี้เท่านั้น” ว่าแล้วก็เสด็จไป พอเสด็จไปถึงพระตำหนัก ประทับอยู่ที่หน้าพระตำหนัก แล้วมีคนเข้าไปทูลว่า สิทธัตถราชกุมารได้เสด็จเข้ามาเยี่ยม ประทับอยู่ที่หน้าพระตำหนัก ว่าอย่างนั้น
    พอพระนางทรงทราบเท่านั้นแหละ แล้วปรี่เข้ามาเลย ภาษาของเราประหนึ่งว่าวิ่งมา มาก็เอ้า พูดให้เต็มยศ เต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มตามความสัตย์ความจริง เพราะความรู้สึกนี้ฝังใจพระนางพิมพามาตั้งกัปตั้งกัลป์ ระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระนางพิมพาได้สร้างบารมีมาด้วยกัน เหนียวแน่นแก่นมั่นคงมากที่สุด เกินกว่าสิ่งใดจะมาถอดมาถอนให้แตกให้แยกจากกันได้ พอพระนางทรงทราบว่าพระองค์เสด็จมาประทับอยู่หน้าพระตำหนักเท่านั้น ก็ปรี่ออกมาเลย พอมาถึงก็เข้ากอดพันพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าท่านทรงรับสั่งกับพระสารีบุตร-พระโมคคัลลาน์ไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะเสด็จเข้าไปสู่พระราชวังของพระนางพิมพา
    “นี่เมื่อเราเข้าไปถึงพระตำหนักแล้วนั้น เวลาพระนางพิมพาจะเข้ามาหาเรา จะทำอย่างไรก็ตาม ทำประเภทใดก็ตาม อย่ามีการคัดค้านต้านทาน ให้เฉยเสีย ประหนึ่งว่าหูหนวกตาบอด นางอยากทำอะไรกับเราก็ให้ทำตามพระอัธยาศัยของนาง” นี่ละคือความผูกพันกัน ถ้าหากว่าไปห้ามปรามอย่างหนึ่งอย่างใดเสีย พระนางจะเสียพระทัย ดีไม่ดีจะช็อก หรือสลบไสลแล้วตายไปเสียในเวลานั้น เพราะพระนางนี้มีพระบารมีเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว รอที่จะบรรลุ หรือตรัสรู้ธรรมเป็นผู้สิ้นกิเลสตามพระพุทธเจ้าของเราในไม่ช้านี้ หากได้ถูกห้ามปรามประการใดประการหนึ่งจะเสียพระทัย แล้วเกิดช็อกไปเสีย
    เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งพระสารีบุตร-โมคคัลลาน์ “พระนางจะมาทำกับเราประการใดก็ตามอย่าไปสนใจ ให้เฉยเสีย เรียกว่าไม่รู้ไม่ชี้ แล้วพระนางก็จะทรงมีสติเอง และยับยั้งพระองค์เอง โดยไม่ต้องมีใครหักห้ามประการใดเลย” พอรับสั่งพระสารีบุตร-โมคคัลลาน์เรียบร้อยแล้ว ก็เสด็จเข้าไปในพระราชวังพระตำหนักของพระนางพิมพา พอพระนางพิมพาทราบจากการทูลบอกเท่านั้นแหละ มาก็ปรี่เข้าใส่เลย แล้วพันพระพุทธเจ้า ไม่ได้สนใจว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระ เป็นพระพุทธเจ้าประการใดเลย คิดแต่ว่าสิทธัตถราชกุมารนี้คือคู่บารมี คู่พึ่งเป็นพึ่งตายของเราเพียงเท่านั้น ไม่มีอะไรเข้ามายุ่งกวน
    เพราะฉะนั้นสิ่งที่เคยผูกพันกันมานั้น จึงไม่มีสติสตังที่จะคิดยับยั้งตัวเองแม้แต่นิดหนึ่งเลย ทรงทำตามพระอัธยาศัย จะกอดจะรัดพระพุทธเจ้าประการใดพระองค์เองก็เฉย ไม่สนพระทัย เหมือนหนึ่งว่าไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งพระสารีบุตร-พระโมคคัลลาน์ที่นั่งอยู่ด้วยกันก็แบบเดียวกันหมด ปล่อยให้พระนางทำให้สมพระทัยที่รักแสนรัก พึ่งเป็นพึ่งตายกันมานานแสนนาน ให้ทำตามอัธยาศัย ครั้นจากนั้นแล้ว พระนางก็ค่อยมีสติขึ้นมาภาษาของเราว่าทำอย่างสมใจแห่งความรักแล้ว ส่วนพระองค์ทรงเล็งญาณดูพระจิตของพระนางพิมพาตลอดเวลา อาการเคลื่อนไหวของพระนางพิมพา
    พระจิตเป็นยังไงพระองค์ทรงทราบตลอด ๆ ไปเลย จนกระทั่งเรื่องราวที่พระนางทรงทำต่อพระพุทธเจ้าค่อยคลี่คลายออกไป พระองค์ก็ทรงเตือน ทรงกระซิบหรือว่าทรงเตือนเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเป็นปากเป็นทางด้วยว่า บัดนี้เป็นกาลอันควรแล้วที่เราจะทั้งสองจะได้พ้นจากทุกข์ไปด้วยกัน สมความมุ่งมาดปรารถนาที่พระนางเอง ก็เคยได้เป็นคู่พึ่งเป็นพึ่งตาย สร้างบารมีมากับเรานานแสนนาน บัดนี้ถึงกาลเวลาแล้วที่เราทั้งสองจะได้หลุดพ้นจากทุกข์ ตามความปรารถนาและได้สร้างมามากน้อยเพียงไร พอพระนางทรงได้สติก็ถอยออกไปห่างนิดหนึ่ง พระองค์ก็ทรงแสดงธรรมไปเรื่อย ๆ พระนางได้สติสตังถอยออกไป สุดท้ายก็ประทับนั่งเรียบร้อยอย่างสวยงาม แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงอรรถธรรมให้ฟัง จนได้สำเร็จมรรคผลในเบื้องต้น
    นี่ละอำนาจแห่งความผูกพันกัน ไม่มีอะไรจะมาหักห้ามให้หยุดได้ หากเป็นอยู่ในจิตใจของผู้เคยเกี่ยวพันกันเป็นอย่างนี้ นี่ความรักความผูกพันกันเป็นอย่างนี้ เราทั้งหลายมีผัวมีเมีย ต่างคนมีความรักความชอบ ไม่ใช่ได้กันมาด้วยจับชนกันเลยอย่างนั้น เป็นความสมัครใจทั้งหญิงทั้งชาย มีความรักความชอบ เป็นตามอัธยาศัยของผู้ที่เสาะแสวงหาคู่ครองทั้งหญิงทั้งชาย เวลาได้กันมาแล้วขอให้มีความอดความทน เก็บความรู้สึก อย่าแหวกอย่าแวด อย่าพูดปากเปราะเร็วเกินเหตุเกินผล ควรยับยั้งให้ยับยั้ง ควรอดอด ควรทนทนกันคนเรา
    พอผ่านขณะนั้นไปแล้วจิตใจคลี่คลายออกมา ความโกรธความเคียดแค้นมันก็จางไปๆ แล้วก็อยู่กันได้ แล้วดีไม่ดีต่อไปก็ได้รู้โทษของตนเองที่เวลาโกรธแค้นนั้น ไม่คิดเห็นบุญเห็นบาป เห็นผิดเห็นถูก คิดไปตามอารมณ์ของตนเพียงเท่านั้น ทีนี้เวลาเรามีการยับยั้งจิตใจของเราได้แล้ว ก็เป็นผลอันดีงามต่อกัน แล้วก็อยู่กันได้ ผู้หญิงก็มีหัวใจ ผู้ชายก็มีหัวใจ ย่อมมีรักมีชังมีโกรธมีเกลียดเป็นธรรมดา เพราะทั้งสามีและภรรยานี้เท่ากันกับลิ้นกับฟัน ลิ้นกับฟันนั้นแยกกันไม่ออก ต่างฝ่ายต่างทำงานเพื่อปากเพื่อท้องด้วยกัน ลิ้นก็ทำงานประเภทหนึ่ง ฟันก็ทำงานประเภทหนึ่ง เพื่อปากเพื่อท้อง เพื่อความเป็นอยู่
    นี่สามีภรรยาก็ต่างคนต่างทำงานเพื่อครอบครัวเหย้าเรือนของตน ย่อมมีการกระทบกระเทือนกันบ้างเป็นธรรมดา แต่ขอให้ใช้ความอดความออม อย่าปากเปราะจนเกินไป คิดง่ายพูดง่าย ไม่พินิจพิจารณา ให้เป็นไปตามอารมณ์แล้วแตกร้าวกันไปได้ ทั้ง ๆ ที่รักก็กลายเป็นความชัง ความเมินหมางกันไป ห่างเหินกันไป มิหนำซ้ำกลับมาเป็นภัยต่อกันอีกก็ได้ ถ้าให้เป็นตามอารมณ์ของใจ เพราะฉะนั้นจึงขอให้พากันมีอรรถมีธรรม มีความอดทน มีความกตัญญูต่อกัน อย่าเป็นคนเรียกว่าหน้าไหว้หลังหลอก อยู่กับผัวประจบประแจงดี พอออกจากผัวไปแล้วเห็นผู้ชายคนอื่นดีกว่าผัว แล้วก็หลบหลีกปลีกตัวไปทำความชั่วช้าลามกมาเผาผลาญหัวใจของผัว
    ผัวก็เหมือนกัน อย่าเป็นนักล่าผู้หญิง ผัวมีแล้ว เมียมีแล้วด้วยกันทุกคน ผู้หญิงก็มีครบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรบกพร่อง จะมาจากชาติชั้นวรรณะฐานะสูงต่ำประการใดก็ตาม สิ่งที่ทำให้เกิดความรักชอบก็คือกามกิเลส และเครื่องมือที่จะเป็นไปตามกามกิเลสนั้นก็มีความสมบูรณ์เช่นเดียวกัน ผู้หญิงมีกี่อัน ผู้หญิงก็มีเต็มส่วนของผู้หญิง ผู้ชายก็มีครบสมบูรณ์ด้วยกัน ไม่มีอะไรบกพร่องพอที่จะเรียกร้อง หรือฟ้องร้อง ต่อว่าต่อขานกัน ว่าคนนั้นบกพร่อง คนนี้ขาดเขิน แล้วเสือกไปหาหญิงใหม่ชายใหม่เข้ามาผลาญหัวใจกัน อย่างนี้อย่าได้ทำ เพราะผิดกับคลองธรรมของพระพุทธเจ้าซึ่งทรงบำเพ็ญมาแล้ว ตั้งแต่สมัยนู้นมาหานางพิมพาได้ตรัสรู้ด้วยกัน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน พ้นทุกข์ไปด้วยกัน
    อันนี้เราต่างคนต่างอยู่ร่วมกัน จะเป็นชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม เมื่ออยู่ร่วมกันแล้วให้มีความอดออม ให้มีความมักน้อย คำว่าความมักน้อยนั้น ได้แก่ให้มีผัวเดียวเท่านั้น มีเมียเดียวเท่านั้น อย่าไปมีหลายผัวหลายเมีย เป็นความมักมาก แล้วก็จะมาสร้างบาปสร้างกรรมต่อกัน ครอบครัวเหย้าเรือนจะเดือดร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ ลูกเล็กเด็กแดงเห็นพ่อกับแม่เถียงกันเรื่องความกินไม่อิ่มกินไม่พอ เด็กหาความสบายไม่ได้ ไปร่ำเรียนหนังแส่หนังสืออยู่โรงร่ำโรงเรียน ไปที่ไหนยืนก็เถ่อ นั่งก็เถ่อก็มองด้วยความคิดถึงพ่อกับแม่ทะเลาะกัน เรียนหนังสือไม่ได้ศัพท์ได้แสง ไม่ได้เรื่องได้ราว เพราะพ่อแม่เป็นมารทำลายหัวใจของลูก ทุกสิ่งทุกอย่างเสียไปหมด
    เพราะฉะนั้น จงให้มีความรักกัน ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าให้มีผัวเดียวเมียเดียว อย่ากระเสือกกระสนกระวนกระวายดิ้นไปตามกิเลส คือกามกิเลส ตัวหิวตลอดเวลา ไม่มีคำว่าอิ่มพอ หากว่าเราได้คนนี้มาเป็นเมียแล้ว เห็นผู้หญิงผ่านมามันก็อยากได้อีก นี่คือกิเลสตัวนี้ ตัวกามกิเลสราคะตัณหา เอ้า ผู้หญิงที่ผ่านมา มาเป็นเมียเอก แล้วผู้หญิงเต็มโลกเต็มสงสารใครผ่านมามีแต่อยากได้เป็นเมียหมด นี่คือกามกิเลส หิวโหยที่สุดคือกิเลส สร้างความทุกข์ร้อน ความฉิบหายให้เราและครอบครัวก็คือกิเลส ฝ่ายหญิงก็เหมือนกันเห็นผู้ชายที่ไหนดีดดิ้นไปหากัน เหมือนกันกับผู้ชาย นี่เรียกว่ากิเลสอันนี้มีเหมือนกัน ผู้ชายก็มีกิเลสชนิดเดียวกัน ผู้หญิงมีชนิดเดียวกัน หากต่างกันบ้างก็มีแต่ว่าใครมีมากมีน้อยเท่านั้น เรื่องเหล่านี้มีเหมือนกัน
    เพราะฉะนั้นจึงให้เอาธรรมปิดเอาไว้ กั้นกางเอาไว้ อย่าให้มันดีดมันดิ้นไปตามความต้องการ จะเป็นการสร้างฟืนสร้างไฟต่อเราเอง ทั้งครอบครัวผัวเมียของเรา แล้วครอบครัวนี้ก็เป็นอย่างนี้ ครอบครัวนั้นก็เป็นอย่างเดียวกัน หมดทั้งบ้านทั้งเมืองมีแต่ครอบครัวพวกผัวเดือนเก้า เมียเดือนสิบเอ็ดสิบสอง คือหมาคึกหมาคะนองสู้ไม่ได้ อย่างนี้จะหาความสุขความสบายไม่ได้เลย ในเวลาเราวิ่งตามกามตัณหาเหมือนจะได้ขึ้นชั้นฟ้า เหยียบหัวเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหมขึ้นไป ไม่มีอะไรสูงกว่าเรา ครั้นเวลาทำตามกามกิเลสแล้วจมลงในนรก หัวหมุนติ้วอยู่ในนรก ไม่มีใครต่ำยิ่งกว่าเรา ให้พากันจำเอาไว้
    ไม่มีใครจะเลิศเลอยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าที่สอนโลก เราเป็นคนโง่ให้ฟังเสียงท่านผู้ฉลาดแหลมคม ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมซึ่งเป็นธรรมของจอมปราชญ์ นำมาประพฤติปฏิบัติ อย่าอยู่เฉย ๆ กินเฉยๆ ไปด้วยความคึกความคะนอง น้ำล้นฝั่งไม่มีวันบกบางเลยเช่นนี้ ก็ยิ่งจะสร้างฟืนสร้างไฟเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มโลกเต็มสงสาร ยิ่งใครปฏิบัติหรือวิ่งตามกิเลสด้วยแล้วจะมีแต่ฟืนแต่ไฟ ใครจะมียศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำขนาดไหน เงินทองข้าวของมีมากมายเพียงไร ไฟคือกิเลสตัณหานี่มันจะเผาให้แหลกเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วก็มาเผาไหม้หัวอกเจ้าของ ให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนไปตาม ๆ กันหมด
    จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายคิดอ่านไตร่ตรองให้ดี เราเป็นลูกชาวพุทธ อย่ามีแต่คำว่าพุทธอย่างเดียว หัวใจเป็นไฟ หัวใจเต็มไปด้วยกิเลส ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาเผาทั้งวันทั้งคืน ไม่หาอรรถหาธรรมเข้ามาเป็นน้ำดับไฟ ระงับตัวกิเลสเหล่านี้ไว้บ้างเลย ไม่สมควร จึงขอให้ระงับ พระพุทธเจ้าสงบเย็น ส่วนมากคนผู้มีธรรมทั้งหลาย สิ่งที่ว่าเหล่านี้จะสงบเย็น ไม่ค่อยมีในครอบครัวของผู้มีศีลมีธรรม ผัวเมียมีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน พึ่งเป็นพึ่งตาย ได้อะไรมาไม่มีที่แจ้งที่ลับ เปิดเผยเสมอหน้ากันหมด ทั้งฝ่ายหญิงฝ่ายชาย พ่อบ้านแม่บ้าน ลูกเล็กเด็กแดงเป็นอวัยวะเดียวกัน พึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ตลอดด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน
    นี่คือความดีงาม นี้คือความร่มเย็นด้วยอำนาจแห่งธรรมคุ้มครองรักษา เพราะเรารักษาธรรม ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว คือเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ซึ่งกันและกัน จะมีแต่ความสงบร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป เพราะอำนาจแห่งความมีศีลมีธรรม เราทั้งหลายซึ่งเป็นลูกชาวพุทธ ขอให้คำนึงคำนวณถึงธรรมบ้างในวันหนึ่ง ๆ อย่ามีตั้งแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความคึกความคะนอง น้ำล้นฝั่งทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ชาติชั้นวรรณะใด เอากิเลสขึ้นครอบหัวแล้วเหยียบหัวเราลง มีแต่ความดีดความดิ้น มีแต่ความทุกข์ความทรมานอย่างนี้ไม่สมควรกับเราที่เป็นลูกชาวพุทธ
    ให้เอาธรรมเข้าทับหัวกิเลส ให้กิเลสสงบตัวลง กาย วาจา ความประพฤติของเราจะเป็นความสดสวยงดงาม แล้วเราก็อยู่เย็นใจ แล้วเวลาจะหลับจะนอนก็ขอให้พากันไหว้พระย่อ ๆ ก็เอา อรหํ สฺวากฺขาโต สุปฏิปนฺโน ที่เป็นธรรมอันล้นค่า เราได้ระลึกถึงแล้วเวลานั้น เป็นจิตใจที่มีค่ามีราคามาก จากนั้นทำความสงบใจ คือใจนี้มันดีดมันดิ้น ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาจนกระทั่งหลับ ด้วยอำนาจของกิเลสมันผลักมันดันให้คิดให้ปรุงไม่หยุดไม่ถอย ไม่มีวันอิ่มพอ ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส คิดมากเท่าไรยิ่งหิวยิ่งโหยมาก ยิ่งสร้างฟืนสร้างไฟเผาตัวเองมากเข้า ๆ
    เพราะฉะนั้น จึงให้อารมณ์ของธรรมซึ่งเป็นเหมือนน้ำดับไฟ เข้าไปทับมันบ้าง เช่น เรานั่งภาวนา เราจะบริกรรมคำใดก็ตามในบรรดาธรรมทั้งหลายที่เราชอบใจ เช่น พุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ หรืออานาปานสติก็ได้ มรณัสสติก็ได้ ตามแต่จริตที่ชอบ แล้วให้สติกำกับอยู่กับคำบริกรรมนั้น ๆ ไม่ให้มันเผลอไปไหน ความคิดความปรุงมันจะผลักดันออกไปเพื่อให้คิดนั้นคิดนี้ตามความอยากที่ไม่อิ่มพอของมัน เราบังคับไว้ไม่ให้มันคิดเวลานั้น มันอยากคิดมากเราบังคับให้หนักมือเข้าไป จิตใจของเราเมื่อมีสติบังคับกับคำบริกรรมไว้ ก็เป็นอันบังคับกิเลสให้มันผลักดันออกไปไม่ได้ ใจก็สงบเย็น ๆ
    นี่ละอำนาจแห่งการอบรมใจ ใจมีตั้งแต่ความดีดความดิ้น ไม่มีน้ำดับไฟ เผาโลกได้นะ ไฟที่ปล่อยให้มันเผา เผาได้หมด ถ้าไม่มีเครื่องดับมันนะ อันนี้กิเลสถ้าปล่อยให้มันเผาโลก มันเผาได้ทั้งนั้นไม่มีเวลาอิ่มพอ ต้องมีธรรมเป็นเครื่องบังคับให้มันอยู่พอประมาณ เรื่องกิเลส โลกนี้เป็นโลกกิเลสตัณหา ต้องมีคู่ผัวตัวเมียเป็นธรรมดาทั่วโลกดินแดน แต่ให้มีธรรมเป็นเครื่องกำกับ ถ้าเป็นไฟก็ขอให้เป็นไฟในเตา อย่าให้เป็นไฟนอกเตา มันเผาบ้านเผาเมืองได้ ถ้ามันออกจากเตาไปแล้ว ถ้าอยู่ในเตาแล้วเราจะหุงต้มแกง ใช้แสงสว่างอะไรออกจากไฟอยู่ในเตานี้แหละไปใช้มีขอบเขต เรามีขอบเขตกับไฟที่เราใช้ ไฟก็เกิดผลเกิดประโยชน์ โลกไหนก็ตามใช้ไฟกันทั้งนั้น แต่ใช้รู้จักการรักษา ไม่ให้มันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวเองเผาไหม้สิ่งอื่นสิ่งใด ไฟก็เกิดผลเกิดประโยชน์เป็นคุณค่า อย่างที่เราใช้ทั่วประเทศไทยของเรา
    กิเลสมันก็มีเหมือนกันด้วยกันทุกคนนั้นแหละ แต่ให้มีธรรมเป็นเครื่องรักษา อย่าให้มันรุนแรง อย่าให้เป็นน้ำล้นฝั่งไป มันจะก่อฟืนก่อไฟมาเผาเรา นี่ท่านเรียกว่าธรรม ดับไฟคือกิเลสอยู่ภายในใจ แล้วเวลาหลับนอนก็ให้พากันภาวนา เรื่องภาวนานี้เป็นที่รวมแห่งความสงบใจ ความวุ่นวายทั้งหลายนี้เกิดจากใจที่ไม่มีธรรมเป็นเครื่องบังคับบัญชา ตื่นขึ้นมาคิดแล้วปรุงแล้ว ยุ่งตลอด ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา เรื่องเก่าเรื่องใหม่ไม่สนใจ ยิ่งเรื่องไหนที่เป็นความไม่ชอบใจ แล้วปั้นขึ้นมา อุ่นขึ้นมา คิดเผาเจ้าของตลอดเวลา ไม่ได้มีความสะดุดใจบ้างเลยว่า อันนี้เราเคยคิดแล้ว เคยเกิดความเดือดร้อนแก่เรามาแล้ว เราไม่ยอมคิดมัน อย่างนี้ไม่มี ยิ่งติดยิ่งพันความคิดอันนั้นเข้าไปอีก แล้วก็เผาเราไปอีก นี่คือไม่มีธรรมเป็นเครื่องกำจัด เมื่อมีธรรมแล้ว สิ่งใดที่เป็นอารมณ์ไม่ชอบใจ ปัดมันออกเสีย เอาอารมณ์ของธรรมเข้าแทนที่ ๆ จิตใจของเราจะเป็นความสงบร่มเย็น นี่คือชาวพุทธ
    ท่านทั้งหลายเป็นชาวพุทธอย่าให้มีแต่ชื่อแต่นาม เจ้าของแบกฟืนแบกไฟเผาหัวใจอย่างนี้ไม่สมควร ศาสนาพุทธก็เป็นโมฆะไปหมด ที่สำคัญ ๆ ก็คือมีแต่กิเลสตัณหาเต็มเนื้อเต็มตัว จึงมีแต่ฟืนแต่ไฟเต็มตัวของเรา พบกันหน้าไหน ๆ จะเอาความสุขความสบายมาเล่าสู่กันฟัง พอเกิดปีติยินดีเพราะวิ่งตามกิเลสนี้ไม่มี มีตั้งแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย มาหากันพูดแต่เรื่องทุกข์เรื่องลำบากตลอดเวลา นี่การไม่บำเพ็ญธรรม ไม่สนใจในธรรมเป็นอย่างนี้
    ผู้สนใจในธรรมเวลาจิตใจว้าวุ่นขุ่นมัวมาก ก็เข้าสงบอารมณ์ให้ใจมีความสงบเย็นด้วยธรรม ใจก็จะเย็น เรื่องราวที่เป็นฟืนเป็นไฟก็จะสงบตัวเข้ามาๆ คนเราก็มีที่ซุกหัวนอนได้ เอ้อ วันนี้ยุ่งมาก งานการทั้งหลายก็ยุ่ง เรื่องอารมณ์ต่าง ๆ ที่กวนใจให้เกิดเป็นฟืนเป็นไฟก็ยุ่งมาก เอ้า จะระงับมัน เป็นยังไงก็ตามเราจะเข้านั่งที่ภาวนา หรือสงบอารมณ์ในที่ใดก็ได้ มีสติบังคับจิตใจ ระลึกพุทโธติดกับใจไว้ตลอด มันอยากคิดไปมากน้อยเพียงไรไม่ยอมให้คิด เอาพุทโธติดไว้กับใจของเรา มีสติบังคับครอบเอาไว้ ต่อไปเรื่องราวทั้งหลายที่วุ่นวายและอยากคิดมาก ๆ นั้น มันค่อยสงบตัวลงไปๆ แล้วก็เย็นสบาย นั่นเห็นไหมล่ะ เมื่อธรรมเข้าระงับแล้ว จิตมีความสงบได้เลย ถ้าไม่มีธรรมระงับนี้เป็นไฟด้วยกันทั้งนั้น
    โลกอันนี้อย่าเข้าใจว่าจะมีความสุข ถ้าไม่มีธรรมบังคับกิเลสภายในใจเสียอย่างเดียวจะหาความสุขไม่ได้ จึงขอให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายได้นำธรรมนี้เป็นที่ระลึกไหว้พระสวดมนต์ เจริญพุทโธ ธัมโม สังโฆ บางรายท่านจะเห็นในความอัศจรรย์ขึ้นจากการภาวนาของท่าน เป็นความสว่างไสวอัศจรรย์เกินคาดเกินหมายขึ้นในขณะภาวนา ผู้ที่ไม่เห็นอย่างนั้น การภาวนาของเราก็เป็นผลเป็นประโยชน์ เป็นบุญมหาศาล เอ้า ให้บำเพ็ญลงไปๆ
    เรื่องนอกเรื่องโลกเรื่องสงสารเราคิดเราทำมาตั้งแต่วันเกิด ไม่เห็นได้ผลได้ประโยชน์อะไร พอที่จะให้เป็นหลักจิตหลักใจยึดไว้ ฝากเป็นฝากตายกับมันได้ เป็นความเดือดร้อนวุ่นวายเสมอกันไปหมด ถ้าธรรมภายในใจเรามีแล้วเราอยู่ได้สบาย อะไรจะอดอยากขาดแคลนบ้าง เอา อดไปอยากไปสิ่งภายนอก ภายในใจคือธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงแล้วเย็นสบาย ๆ จึงขอให้บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายได้นำไปปฏิบัติ การสอนธรรมให้พี่น้องทั้งหลายนี่หลวงตาก็ได้สอนมาเป็นเวลา ๕ ปีกว่านี้แล้ว สอนอย่างเปิดเผย สอนคนทั่วประเทศไทย ได้อุตส่าห์พยายามสอนด้วยความเมตตาสงสารทุกด้านทุกทาง โดยที่เราไม่หวังอะไรเลยสอนโลก
    บรรดาสมบัติเงินทอง เช่น ทองคำ ดอลลาร์ เงินสด ที่พี่น้องทั้งหลายมาบริจาคนี้ หลวงตานำเข้าคลังหลวง เช่น ทองคำ ดอลลาร์ นำเข้าคลังหลวงทุกชิ้น ไม่ให้มีเศษมีเหลือไปไหนเลย ส่วนเงินสดนั้นแยกเข้าซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงบ้าง และแยกออกช่วยประชาชนทั่วประเทศไทย โดยการสงเคราะห์คนทุกข์คนจน สร้างสถานสงเคราะห์ โรงร่ำโรงเรียน ที่ราชการงานเมืองทั่วประเทศไทย นี้คือเงินสดที่เรานำออกเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองของเรา สำหรับตัวของหลวงตาเองนี้ไม่เอาอะไรแล้ว ท่านทั้งหลายเชื่อไหมว่าพระพุทธเจ้าปลอมหรือจริง พระพุทธเจ้าสอนโลกนี้สอนมาปลอม ๆ มันจริงแต่กิเลสนั้นเหรอ ความโลภจริง ความโกรธจริง ราคะตัณหาจริง จึงได้ผูกพันกันตลอดเวลา ไม่มีความจืดจางเลย ส่วนพุทโธ ธัมโม สังโฆจืดตลอดเวลา มันเป็นอย่างนั้นหรือในหัวใจของเรา
    นี่หลวงตาสอนเหล่านี้ ไม่ได้สอนแบบจืด ๆ อย่างนั้นนะ หลวงตาปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตาย ธรรมะที่มาสอนบรรดาพี่น้องทั้งหลายนี้ สาธุ เราไม่ได้ไปหามาจากไหน เรียนในคัมภีร์เราก็เรียนมา เป็นแบบแปลนแผนผัง ท่านสอนเรื่องบาปเรื่องบุญ นรกสวรรค์ สอนยังไง เรานำแปลนคือตำรับตำรานั้นออกมากางแล้วปฏิบัติตัว ท่านสอนให้รักษาศีล เอา รักษาแน่นหนามั่นคง ไม่ให้ด่างพร้อยขาดทะลุ จากนั้นบำเพ็ญศีลบำเพ็ญธรรมเข้าภายในจิตใจ จิตใจมีความสว่างไสวขึ้นมาจากการภาวนา ดังที่ได้กล่าวและสอนพี่น้องทั้งหลายเวลานี้สอนออกมาจากใจ ที่เราได้บำเพ็ญปรากฏผลมาแล้วเป็นที่พอใจ
    ศาสดาจึงเป็นศาสดาองค์เอก ไม่ใช่ศาสดาปลอม พูดไม่มีหลักมีเกณฑ์ ปลอม เป็นเงา ๆ ไปอย่างงั้น ศาสดาเป็นศาสดาองค์แท้ เป็นผู้เลิศเลอโดยแท้จริง ธรรมเป็นสวากขาตธรรมอย่างแท้จริง ตรัสไว้ชอบทุกแง่ทุกมุม เราก็นำมาปฏิบัติเต็มกำลังความสามารถของเรา จนกระทั่งรวมแล้วได้ผลเป็นที่พอใจ หายสงสัย เรื่องการสอนโลกเราก็ไม่เคยมีความวิตกวิจารณ์ว่าจะสอนไม่ได้ เราสอนได้ทั้งนั้น ที่ควรจะสอนได้หนักเบามากน้อยเพียงไรเราสอน เพราะมันเต็มอยู่ในหัวใจจากผลแห่งการปฏิบัติของเรามาตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน จนกระทั่งถึงสว่างจ้าขึ้นภายในจิตใจจากธรรมของพระพุทธเจ้าที่คงเส้นคงวาหนาแน่นด้วยอกาลิโก
    ธรรมไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาอันใดที่จะมาทำลายได้ ผู้บำเพ็ญธรรมย่อมเป็นธรรม บำเพ็ญบุญย่อมเป็นบุญ บำเพ็ญศีลย่อมเป็นศีล บำเพ็ญสมาธิย่อมเป็นสมาธิ บำเพ็ญปัญญาย่อมเป็นปัญญา จนกระทั่งถึงความหลุดพ้นย่อมหลุดพ้นได้ด้วยการบำเพ็ญ เราก็ปฏิบัติมาอย่างนั้นจนกระทั่งกระจ่างแจ้งขึ้นมาในจิตใจ เราไม่สงสัย พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์กราบราบเลย ธรรมเป็นของจริงขนาดไหนกราบราบ พวกเปรต ผี บาป บุญ นรก สวรรค์ มีประเภทต่าง ๆ เต็มโลกธาตุกราบพระพุทธเจ้าราบ ว่าสอนไว้อย่างแน่นอนไม่ผิดพลาดประการใดเลย
    แต่พวกเราที่มีตั้งแต่กิเลสเต็มตัวนี้ ตานั้นถ้ามองธรรมดานี้ตาใสตาแมวสู้ไม่ได้ แต่ตาใจมันมืดมันบอด มันลบมันล้างไปหมด พระพุทธเจ้าว่าบาปมี มันบอกว่าไม่มี ลบแล้วพวกตาบอด บุญมีมันบอกว่าไม่มี ลบแล้ว นรก สวรรค์มีมันลบหมด ทีนี้ส่วนที่มันไปก็หลับตาไป โดนนั้นโดนนี้ โดนขวากโดนหนาม คือบาปคือกรรมทั้งหลาย อยากทำตั้งแต่บาปแต่กรรม บุญกุศลไม่อยากทำ ผลที่ได้มาก็มีแต่ฟืนแต่ไฟทั้งโลกนี้และโลกหน้า นี่เราก็ได้ปฏิบัติ เวลาล้มลุกคลุกคลานมันก็เป็นอย่างนั้น แต่เวลาเอาจริงเอาจังเข้าจนปรากฏขึ้นในจิตใจนี้ หายสงสัยทุกอย่าง มรรค ผล นิพพาน เราไม่สงสัยภายในจิตใจของเรา สอนโลกด้วยความพออกพอใจ ด้วยความพอในธรรมทั้งหลาย ทุกขั้นทุกภูมิเราไม่สงสัย
    เราจึงสอนอย่างว่า พูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่อัดไม่อั้น ถ้าผู้มารับการแนะนำสั่งสอนจะยึดเอาได้มากน้อยเพียงไร จะออกต้อนรับกันขนาดนั้น ๆ ถ้าจะมาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย อยากจะถึงนิพพานเร็วๆ ด้วยจิตใจที่มีความแกล้วกล้าสามารถด้วยสติปัญญา มหาสติมหาปัญญาแล้ว ควรที่จะหลุดพ้นง่ายๆ ก็ใส่ผางทีเดียวให้พ้นไปเลย ไม่อั้นในธรรมอันนี้เพราะผ่านมาแล้ว รู้อยู่แล้วในหัวใจของเรา แต่ก่อนไม่รู้ ก็รู้จากธรรมพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าปลอมไหม พิจารณาซิ นิพพานเท่านั้นปีเท่านี้ปี นั้นเป็นพระสรีระของพระพุทธเจ้า แต่ธรรมเป็นอกาลิโก
    เหมือนแปลนบ้านของเรา แปลนบ้านเจ้าของตายไปแล้วเอาแปลนที่ทำไว้โดยถูกต้องแล้วมากางปลูกบ้านปลูกเรือน ก็เป็นบ้านเป็นเรือนมาโดยสมบูรณ์ นี่ธรรมพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้ว แล้วยังมาประกาศด้วยว่า ธรรมและวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต เมื่อเราตายไปแล้ว นี่ก็คือศาสดา ได้แก่ธรรมแก่วินัย เราเคารพธรรม เคารพวินัย ปฏิบัติตามธรรมตามวินัย ก็เท่ากับเราเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลาไม่ห่างเหินเลย นี่คือผู้มีศาสดาติดตัว เป็นผู้ที่มีหิริโอตตัปปะ รักศีลรักธรรม มีความพากความเพียรตลอดเวลา นี่เรียกว่าเป็นผู้มีศาสดา
    ศาสดาคือธรรม คือวินัย ใครมีธรรม มีวินัย มีหิริโอตตัปปะ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติคุณงามความดี สิริมงคลจะเกิดอยู่กับผู้นั้น ๆ ไม่ว่าพระ ไม่ว่าประชาชน จะเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งสิริมงคล และตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา คือผู้มีธรรมในใจนั้นแล ผู้ไม่มีธรรมในใจแบกพระไตรปิฎกจนหลังหัก มันก็มีแต่คัมภีร์ใบลาน ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย นี่ให้จำเอานะพี่น้องทั้งหลาย สอนให้รู้เรื่องราว เราก็ไม่ค่อยได้เข้ามาเทศน์ให้พี่น้องชาวกาญจนบุรีฟัง วันนี้เป็นโอกาสอันดีพอเหมาะสม จึงได้แสดงเพื่อท่านทั้งหลายได้คิดได้อ่าน ว่าธรรมของพระพุทธเจ้านี้เป็นธรรมของจริง หรือเป็นธรรมหลอกลวงโลก เป็นของจริงตั้งแต่กิเลสนั่นหรือ ให้นำสิ่งเหล่านี้ไปเป็นปัญหาถามตัวเอง
    เวลานี้เราวิ่งตามกิเลสจนไม่รู้หน้ารู้หลัง ไม่รู้จักบุญจักบาป นรกสวรรค์ไม่เชื่อทั้งนั้น แต่ถ้าเรื่องความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ดิ้นทั้งวัน ไม่มีคำว่าจืดจางว่างเปล่า มีแต่ความดิ้นความดีด นี่คือมันจะพาเราจมลงนรกนะ ให้จำเอาไว้ นี่แหละกิเลสหลอกลวงโลก คือพวกนี้แหละหลอกลวงโลกให้ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ถ้าธรรมแล้วหักกลับคืน อย่าโลภมากเกินไปซี นั่นถ้าธรรมแล้วนะ มันตายได้ด้วยกันนั่นแหละ มีเงินเป็นแสนๆ เป็นล้าน ๆ กองเท่าภูเขามันก็ตายด้วยกัน ผลสุดท้ายลมหายใจเสร็จแล้ว เศรษฐีตาย มันก็ไม่มีความหมาย สมบัติมีมากมีน้อย ยศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำตั้งไว้ตามโลกนิยมนับถือกัน แต่อย่าหลงจนเกินไป เราปฏิบัติตัวของเรา
    บุญกุศลนี้เลิศเลอยิ่งกว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ติดอยู่ในหัวใจนี้แล้ว เอ้าทุกข์ก็ทุกข์ จนก็จน เราเกิดมากับโลกอนิจจัง มันจะหายไปไหนก็ให้มันหายไป สิ่งที่ได้มาก็ได้มา ใช้กันไป นี่เรียกผู้มีหลักใจย่อมไม่เดือดร้อน แต่ผู้ไม่มีหลักใจนี้จะมีเงินกองเท่าภูเขา ก็ร้อนนะ เพราะภายในใจไม่มีที่พึ่งที่เกาะที่ยึด คือธรรม จึงขอให้พากันสร้างธรรม การทำบุญให้ทานอย่าขี้เกียจขี้คร้าน อย่าเหนียวแน่นแก่นตระหนี่ทั้งหลาย มันจะมาเผาตัวเอง คนมีแต่ความตระหนี่ถี่เหนียว ไปที่ไหนคับแคบตีบตัน แม้ที่สุดในปัจจุบันนี้เพื่อนฝูงก็ไม่มี คนใดมีความตระหนี่ถี่เหนียว คบกับเพื่อนกับฝูงไม่มีใครอยากคบ เพราะคนตระหนี่นี้ไม่เพียงตระหนี่นะ เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว
    ความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวมันกระทบกระเทือนคนอื่น ใครจึงไม่อยากคบค้าสมาคม ครั้นตายไปแล้วมันก็แห้งผาก ๆ ขึ้นชื่อว่าความดีงามทั้งหลายไม่มี อย่าพากันหวงในความตระหนี่ ความตระหนี่ไม่ใช่ของดี ถ้าเป็นของดีพระพุทธเจ้าจะสอนโลกให้มีแต่ความตระหนี่ถี่เหนียวหมด ไม่ต้องมีการเสียสละกัน โลกนี้จะได้เจริญรุ่งเรือง ข้ามฟ้าข้ามทวีปไปเลย เพราะอำนาจแห่งความตระหนี่พาไป นี่มันไม่เป็นอย่างนั้นน่ะซิ ตระหนี่ถี่เหนียวเท่าไรแทนที่จะมีความสุขความสบาย กลับตีบตันอั้นตู้ เจ้าของเองก็ทุกข์จนหนโลก จะกินก็หึงหวง ถ้ากินแล้วก็จะขาดห้าขาดสิบ แล้วไม่กิน อด ๆ อยาก ๆ ก็อยู่ไป
    นี่เป็นยังไงความตระหนี่หลอกคน อดทน หิวก็ทนหิว เพราะความตระหนี่กล่อม ขอให้มีเงินเท่านั้นเท่านี้ก็พอ มันมีแต่เพียงลมปาก ความสำคัญเฉย ๆ เงินทองข้าวของเขาก็เป็นแร่ธาตุประเภทหนึ่งต่างหาก เราเป็นอยู่เขาก็ไม่มีอะไร เราตายไปเขาก็เป็นอย่างงั้นอยู่ สำคัญที่ตัวของเราฉลาดหรือโง่ ให้มาปรับปรุงตัวเองอย่างนี้นะ นี่ละการทำบุญให้ทานเป็นการเฉลี่ยเผื่อแผ่น้ำใจต่อกันและกัน มนุษย์เราถ้าไปที่ไหนมีการเฉลี่ยเผื่อแผ่ จิตใจกว้างขวาง ไปที่ไหนเป็นเพื่อนเป็นฝูงฝากเป็นฝากตายกันได้ทั่วประเทศไทย เราเอาแค่ประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองพุทธนี้เสียก่อน ถ้าเรื่องความตระหนี่ถี่เหนียวแม้แต่อยู่ในครอบครัวเดียวกันมันก็แตกจากกันได้นะ
    จะเอาอะไรกินก็หึงหวงไว้เสีย แม้ที่สุดลูกจะขอกินกล้วยสักลูกเท่านี้ก็ไม่ให้กิน หวงไว้สำหรับขายได้เท่านั้นบาทเท่านี้สตางค์ ลูกท้องแห้งก็ไม่ว่า ไม่สนใจ นี่ละไอ้ตัวตระหนี่มันทำลาย เข้าใจไหม คนตระหนี่ไปไหน มีแต่ความตีบตันอั้นตู้ เกิดภพหน้าชาติหน้า บรรดาผู้มีบุญทั้งหลายเสวยสมบัติทิพย์ในเมืองสวรรค์ หรือแดนสถานที่เกิดอยู่ของผู้มีบุญ มีแต่ความสุขความเจริญ สมบูรณ์พูนผลทุกแห่งทุกหนทุกกำเนิดไป แต่คนที่มีความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นเจ้าของ หรือเป็นผู้รักชอบในความตระหนี่ กลับไปเป็นข้าศึกศัตรูต่อตนเอง อยู่ในโลกนี้ก็ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม ออกจากโลกนี้ไปแล้ว ไปเกิดในภพใดชาติใดก็มีแต่ความตีบตันอั้นตู้ มีแต่ความเหือดความแห้ง หาความสุขไม่ได้เลย นี่คือโทษแห่งความตระหนี่
    อย่าพากันตระหนี่ถี่เหนียว มีอะไร เอ้า แจกกัน การแจกยื่นไปทางนี้ คือแจกน้ำใจต่อกัน เช่นเรามองเห็นเด็ก เรายื่นขนมให้เด็ก เป็นยังไงเด็ก เด็กเสียใจไหม เด็กเอาไม้ไล่ตีเราไหม เรายื่นขนมให้เด็ก เด็กดีใจแล้วนั่นน่ะ ยื่นเงินให้เด็กก็ดีใจ ยื่นให้เท่าไรเด็กดีใจ นี่เราสร้างความดีใจให้หัวใจผู้อื่นได้รับความชุ่มเย็นเป็นสุข เก็บไว้แต่เราเฉย ๆ ว่าจะเลิศจะเลอมันไม่เลิศนะ เมื่อให้คนอื่นแล้วแสดงความยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากัน นี่ละพระพุทธเจ้าที่ว่าสอนให้ทาน ให้ท่านทั้งหลายทราบเอาไว้ว่าผลแห่งการให้ทานนี่สมานได้หมดในชาติไทยของเรา อย่าไปพูดถึงภาคนั้นภาคนี้ ที่ไหน ๆ ก็ตาม มันคนเหมือนกัน ชาติไทยเหมือนกัน
    ถ้าต่างคนต่างมีการอบรมศีลธรรมให้มีจิตใจอันกว้างขวาง ให้อภัยซึ่งกันและกันแล้วสนิทกัน ไปที่ไหนไม่อดตายคนเรา เพราะความเฉลี่ยเผื่อแผ่ ความมีจิตใจกว้างขวาง สนิทกันได้อย่างง่ายดายเลยนะ นี่จำให้ดี นี่ละพระพุทธเจ้าสอนว่าให้ทานๆ มีผล มีอานิสงส์ประจักษ์ เราอยู่ด้วยกันไม่เคยเห็นหน้ากันเลย เมื่อเขาจนตรอกจนมุมเราช่วยปุ๊บนี้เขาเห็นใจเราแล้วๆ ฟังซิ นี่ละการให้คือการยื่นน้ำใจที่ดีงามให้กัน ออกจากหัวใจของเราที่เป็นผู้มีเมตตา ผู้รับไปก็ยิ้มแย้มแจ่มใส นี่ผลแห่งการให้ทาน ผลแห่งการเสียสละ ผลแห่งความเป็นผู้มีจิตใจอันกว้างขวาง เข้ากันได้สนิท ไปไหนไม่อดตายคนเรา ไอ้คนตระหนี่นี้ไปไหน โอ๋ย ทั้งนั้นแหละ ให้พากันจำ นี่ข้อหนึ่ง ทาน
    ศีลก็ให้พากันรักษาบ้างนะ ให้มีศีล อย่ามีแต่สูญ ภาวนานี้เป็นของสำคัญ ดังที่หลวงตาที่สอนแล้วตะกี้นี้ ทำจิตใจให้มีความสงบ โลกนี้ร้อนอยู่ที่ใจนะ จำให้ดี ไม่มีอะไรร้อน ดิน ฟ้า อากาศ ต้นไม้ ภูเขา ทั่วแดนโลกธาตุ เขาไม่มีร้อนมีหนาว ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ที่มันสุขมันทุกข์ก็คือสัตว์ในโลกนี้ที่มีหัวใจครอง ใจนี้เป็นผู้รับความทุกข์ความทรมานทั้งหลายเต็มอยู่นี้หมด แล้วเวลาชำระจิตใจของเราให้เบาบางลงไป ทีนี้ความสุขเกิดขึ้นภายในใจ ๆ จนกระทั่งกลายเป็นจิตใจที่เป็นบรมสุขแล้วไม่มีอะไรสุขเลิศเลอยิ่งกว่าหัวใจครอบโลกธาตุ นี่ก็เพราะการสร้างบุญสร้างกุศล
    ให้พากันอุตส่าห์พยายาม อย่าลืมเนื้อลืมตัวจนเกินไป เวลานี้อายุเราได้เท่าไรแล้ว คนหนึ่ง ๆ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์นับมาแล้วนะ คนเท่านั้นวันเท่านี้เดือน แล้วตกคลอดออกมา แล้วก็นับมาเรื่อย เดี๋ยวก็ตาย ๆ มันเกิดประโยชน์อะไร ให้ชั่งดูเสียก่อนนะ ชีวิตของเราเกิดมานี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อความล่มจม เกิดมาเพื่อความมีต้นทุน มีคุณงามความดีเป็นที่อบอุ่นแก่ตัวของเรา ในโลกนี้เราอยู่ก็เป็นสุข ถ้าเราเป็นผู้มีธรรมภายในใจ ตายไปแล้วไม่ต้องถาม สวรรค์ทุกชั้น พรหมโลกไว้สำหรับผู้มีจิตใจอันงามนั้นแหละ งามด้วยอรรถด้วยธรรม จะอยู่ในสถานที่นั้น
    บุคคลผู้มีจิตใจที่โหดร้ายทารุณ ตระหนี่ถี่เหนียวลงนรกทั้งนั้นละ เหล่านี้มีไว้สำหรับสัตว์ สัตว์นี้มีอยู่ทั่วโลก แล้วมีการกระทำผิดกันต่าง ๆ กันนะ ผู้ทำดีก็มี ผู้ทำชั่วก็มี ผู้ทำชั่วลงไปทางนั้น ผู้ทำดีไปทางนี้ อัดอั้นตันใจที่ไหน โลกอันนี้สำหรับให้สัตว์อยู่เสวยทั้งดีและชั่ว สุขและทุกข์ มีครบหน้ากัน เรายังจะปัดอยู่หรือว่าโลกอันนี้มีแต่โลกมนุษย์อย่างเดียว โลกสัตว์มันก็มี ในน้ำก็มีปลา แน่ะเห็นไหมล่ะ ใต้พื้นดินก็ยังมี บนฟ้าอากาศก็มีสัตว์เต็มโลกธาตุ พระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นหมด แต่พวกเรามันตาบอดไปหาลบล้างว่าอันนั้นไม่มีอันนี้ไม่มี มีแต่เราคนเดียวมันเกิดประโยชน์อะไร มืดบอดเกินไป
    วันนี้ได้แสดงธรรมให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟังเพื่อเป็นที่ระลึก เรื่องศีลเรื่องธรรมที่เราเป็นชาวพุทธ อย่าปล่อยอย่าวาง ตายแล้วเราจะได้พุทธ ธรรม สงฆ์ หรือคุณงามความดีที่เราสร้างไว้นี้ละไปเป็นคู่พึ่งเป็นพึ่งตาย ไอ้เรื่องกิเลสตัณหาทั้งหลายที่เรามอมแมมกับมัน ติดตลอดเวลา หาวันจืดจางไม่ได้นั้นมันมีแต่ข้าศึกศัตรู จะเป็นภัยต่อเราตลอดไป ขอให้แยกให้แยะด้วยดีนะ แล้วเราจะมีความสุขความเจริญในภพต่อไป ภพนี้เราก็อยากได้ความสุข ภพหน้าเราก็อยากได้ความสุข แต่ต้องขวนขวายหาความดีงาม ถึงจะเป็นความสุข ถ้าขวนขวายแต่ความชั่วช้าลามกจะมีแต่ฟืนแต่ไฟนั่นแหละ
    วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ แก่กาลเวลา ขอความสวัสดี และขอฝากธรรมไว้ให้ท่านทั้งหลายได้นำไปคิดไปอ่าน หลวงตาที่มาแสดงธรรมวันนี้แสดงด้วยความเมตตาล้วน ๆ ไม่เอาอะไรในโลกอันนี้นะ บรรดาพี่น้องทั้งหลายบริจาคมานี้ทุ่มเข้าสู่จุดศูนย์กลางทั้งหมด หลวงตาไม่เอาอะไร พอหมดแล้ว ตายนี้เราก็ได้เขียนพินัยกรรมไว้แล้ว เวลาหลวงตาตายเขียนพินัยกรรมว่า เวลาศรัทธาทั้งหลายมาบริจาคทานเพื่อเผาศพหลวงตา มีเงินจำนวนมากน้อยเพียงไร ให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นเก็บรักษาอย่างเข้มงวดกวดขัน แล้วนำเงินจำนวนนี้เข้าไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงให้หมด ส่วนหลวงตาบัวเองนั้นจะเผาด้วยไฟ เพราะไฟเป็นประโยชน์ต่อศพนี้ เงินทองเป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง เราจะทำอย่างนั้น นี่ได้ประกาศไว้แล้ว
    เวลาตายนี้เขาจะอ่านป้างๆ จะปฏิบัติตาม หลวงตาไม่เอาอะไร พอหมดแล้ว ปฏิบัติมาเราก็ไม่เคยคาดเคยคิด เราจะได้เห็นความพอในหัวใจที่เต็มตื้นด้วยอรรถด้วยธรรม อย่างที่เห็นอยู่และแสดงบอกพี่น้องทั้งหลายทราบเวลานี้ เราถอดออกมาจากจิตใจจริงๆ จากการปฏิบัติในธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นธรรมที่เลิศเลอ จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้นำไปคิดไตร่ตรองพินิจพิจารณา ให้มีศีลมีธรรมติดใจบ้างนะ อย่าให้มีตั้งแต่กิเลสตัณหาห้อมล้อมทั้งวันทั้งคืน จะไม่มีความหวัง ตายไปก็ตายอย่างเหือดแห้ง อย่างเป็นฟืนเป็นไฟเผาตัวไปตลอด ถ้ามีศีลมีธรรมติดตัวแล้ว มีการให้ทาน มีการรักษาศีล การภาวนาแล้วจะมีความชุ่มเย็น เป็นที่หวังพึ่งได้ ๆ
    เอาละ การแสดงธรรมเห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ แก่เวล่ำเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  6. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    มี รายการ อยู่ รายการ หนึ่ง

    ที่ หา กิน กับ การ อวด ผี เป็น รายการ

    ที่ ชอบ ไป รบ กวน อมนุษย์ ที่ อาศัย

    อยู่ บริเวณ ที่ เปลี่ยว โดย แสดง กิริยา

    อัน ต่ำ ทราม ไป กระทืบ เท้า ร้อง ท้า

    อมนุษย์ ต่าง ๆ นา ๆ ณ บริเวร นั้น ๆ

    ต้อง ถาม ว่า ควร แสดง ออก มา บน

    จอ ทีวี หรือ ไม่ ...

    เป็น การ แสดง ถึง ความ ก้าว ร้าว

    ที่ มี ใน วงการ บัน เทิง ... ไม่ มี การ ควบ คุม

    ใน ทาง จริยธรรม หรือ แม้น แต่ ทาง ศีลธรรม

    ... นี่ ล่ะ ความ ตก ต่ำ ของ คน

    นอก จาก นี้ ยัง เชิญ ผู้ สัมผัส สื่อ ทาง วิญญาณ

    ไป ประกอบ รายการ ....

    สำหรับ ผู้ ที่ ปฎิบัติ ธรรม ควร ส่ง เสริม

    การ แสดง กิริยา ไม่ สุภาพ แบบ นี้ หรือ ไม่

    .... น่า เสีย ดาย

    และ หา เหตุ ใส่ ตัว เอง

    เป็น กรรม ที่ เจตนา ให้ เกิด ขึ้น

    เพราะ เงิน ตัว เดียว ....

    เพราะ ผล ประโยชน์ ของ ตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2012
  7. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    คุณอุรุเวลา
    อ่านและแปลพระไตรปิฏกผิดพลาดแล้ว
    เรื่องพวกนี้ ระดับนี้ ใช้ปัญญาจากสมองอ่านแล้วแปลจะผิดพลาดได้ง่าย....
    ...หลายครั้งต้องกลับไปขอเมตตาจากพระปฏิบัติเดินป่าเป็นอาจินต์ให้ช่วยอธิบายให้ฟัง...
    (ต้องรู้ว่าเราแปลเป็นภาษาไทย จากบาลีสันสกฤตแล้วยังเป็นศัพย์ที่ยากด้วย เข้าใจยาก" จึงผิดพลาดได้ง่าย"
    ...ประสบการณ์ตรงของผม เคยถูกผีดึงขา และจับขามาแล้ว 2 ครั้ง เห็นด้วยตาเนื้อจะ จะ แล้วกับอีแค่กระตุกเสื้อเรื่องหมูๆ...
    มาว่าด้วยเรื่องฤทธิ์ ...มนุษย์เข้าใจเพียงว่า สสาร สามารถเปลี่ยนไปเป็นพลังงาน และ พลังงาน สามารถเปลี่ยนไปเป็นสสารได้....ความจริงเรื่องนี้ ก็คือการหายตัว เปลี่ยนภพภูมิด้วยฤทธิ์อภิญญานั่นเอง
    ..ผี เขาเป็นภพภูมิของเขา เป็นสัมภเวสี เร่ร่อน หรือ โอปาติกะ มีหัวหน้ามีลูกน้องเหมือนเมืองมนุษย์ และที่สำคัญ เหมือน เทวดาภพ เหมือนพญานาคภพ ก็สามารถทำได้....
    เรื่องพวกนี้เป็นอจินไตยของผู้ไม่รู้ความ แต่ถ้าศึกษาศาสนาพุทธเถรวาทให้ลึกซึ้ง ปฏิบัติเองได้ยิ่งดี สอบถามพระปฏิบัติสายพระอาจารย์มั่นฯด้วย ก็จะรู้ความจริงหยาบได้แล้ว
    สรุป กะอีแค่ไม่รู้ว่าผีมีจริงไหม กระตุกเสื้อได้ไหม นี่ก็เกิดความยากในการอธิบายแล้ว เพราะนี่เป็นมิจฉาทิษฐิล้วนๆ หลงไหลอยู่กับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่จอมปลอมของโลกปัจจุบัน จนไม่รู้ถึงปรมัทถ์ ความจริงแท้ของชีวิต โลก จักรวาล ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้2600ปีมาแล้ว ยิ่งไปดูรายการเจ้าป๋องจับผีอะไรนี่ ไร้สาระ หลอกกินสปอนเซ่อร์และลูกค้าที่เป็นบัวใต้โคลนตรม บัวใต้น้ำทั้งนั้น...ไม่มีความรู้เรื่อง31ภพภูมินี่ เป็นเหยื่อทีวีฯลฯอีกนาน ฮา
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมว่าท่านไม่ได้อ่าน ถ้าอ่านจะเข้าใจ ท่านเข้าใจผิดครับ
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๑ หน้าที่ ๗๙/๒๔๐
    อจินติตสูตร
    [๗๗]ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด
    เมื่อบุคคลคิดพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑
    ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๑
    วิบากแห่งกรรม ๑
    ความคิดเรื่องโลก ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลายอจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน ฯ

    ----
    สัตว์ตายแล้วไปเกิดทีไหน เป็นเรื่องของกรรม เรื่องผี เรื่องเปรต ไม่ใช่เรื่องอจิไตยครับ คิดได้เห็นได้ครับ ใช่ว่าผมจะไม่เคยเห็น เห็นมาแล้วหลายครั้งครับ มาแบบธรรมดาก็มี มาแบบทำให้กลัวก็มี เหอๆ
     
  10. jangira

    jangira เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2010
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +784
    อันนี้ดิฉันก็ขอยืนยันเหมือนอย่างคุณ ทิพย์ เพราะตัวดิฉันเองก็โดน แบบนั้นเช่นกันแต่ก่อนไม่เคยโดนและรู้สึกไม่ได้ แต่พอมาพักหลังๆ ฝึกสมาธิมากๆ โดยเฉพาะด้านมโนมยิทธิ พอจะสื่อสารได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ ก็มีพลังงานมาให้สัมผัสบ่อยๆ เวลาที่ดิฉันจิตเ้ป็น สมาธิ บ้างครั้ง สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ มาสัมผัสกับเสื้อผ้าที่ดิฉันใส่ก็มี เวลาที่มาสัมผัสดิฉันจะรู้ และมองไปตรงจุดนั้น ก็จะเห็นเสื้อผ้า ขยับได้ ทั้งๆ ที่ไม่มีลมเลย สักพักก็หายไปเป็นแบบนี้บ่อยครั้ง แต่ดิฉันไม่ได้ตกใจอะไร เพราะเจอจนชินแล้วละคะ

    อย่างเช่นที่คุณเจน เจอก็ไม่แปลก เพราะสิ่งเหล่านี้มีจริงๆ คะ
     
  11. ชีวอน

    ชีวอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +763
    อนุโมทนา สิ่งลี้ลับรับรู้ได้เฉพาะตน ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ สิ่งเหล่านี้ต่อไปข้างหน้าจะถูกกล่าวหาว่าเป็นเท็จงมงายไร้สาระ จึงไม่แปลกที่จะมีคนมากล่าวอ้าง หลวงพ่อฤาษีลิงดำยังกล่าวว่า ของให้ฝึกจิตให้ดีจนได้อภิญญาหรือญาณ4 เพราะต่อไปนี้ผู้ที่ไม่เชื่อหรือพระที่ปฎิบัติไม่ถึง จะกล่าวอ้างสิ่งเหล่านี่ว่าไม่มีจริง ไร้สาระจึงไม่แปลกใจเลยหลังจากนี่อีก2500ปี ทำไมศาสนาถึงไม่มีผู้สนใจ ขอบคุณครับ
     
  12. khunfong

    khunfong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    462
    ค่าพลัง:
    +162
  13. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    ดูจากคลิป มันเกิดจากเนื้อผ้าที่เบามันมีด้ายที่หลุดออกมาแล้ว ลอยลมไปเกี่ยวกับอะไรสักอย่าง พอเดินไปเหลือทำอะไร มันก็กระตุกจนด้ายขาด เพราะดูจากผ้าที่คลุมแล้วเป็นเนื้อผ้าที่บาง เส้นด้ายที่ใช้ทอก็น่าจะเป็นเส้นเล็กบางที่ขาดง่าย เพราะเมื่อก่อนใส่เสื้อบางๆ แล้วมันมีด้ายหลุดออกมา เวลาเดินผ่านโต็ะ หรือประตูที่เป็นไม้ ด้ายมันก็ชอบลอยไปติด แล้วเวลาเดินไปหรือขยับตัว มันก็จะเหมือนกระตุกแล้วด้ายมันก็ขาดไป
     
  14. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    แม่นาคยังยืดแขนไปเก็บมะนาวใต้ถุนบ้านได้เลย นี่แค่กระตุกเสื้อ:VO
     
  15. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    แค่โดนดึงเสื้อ ผมนี่โดนดึงผ้าห่มเลย :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...