ความคิดไม่ใช่จิต อย่าไปตามรู้ หรือรู้ตาม จะไม่มีเวลาตามทันเลยสักที เหมือนคนตามรอยโคไม่เห็นตัวมัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Saber, 27 มกราคม 2016.

  1. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    ถือ ว่าเข้าใจไว้เป็นแนวทาง

    หากทำได้ ถึงอัปนาสมาธิ อย่างละเอียดหรือฌานที่4
    จะได้ สัมผัสเอง ถึงจิตปภัสสร


    มันเป็นจุดวัด ของ วิธีสมถะ
    ต้อง วิเวก อยู่ตาม ที่เงียบๆ สงัด
    โอกาสจะเอื้ออำนวย จะทำให้ สามรถทำได้

    อีกอย่างนึง มันเป็นบาทฐานของอภิญญา
    จะมีอะไรหลายๆอย่างให้ได้รู้
    เมื่อทำได้ถึงจุดนี้

    หากถาม ว่า กิเลส หายไปไหม ตอบว่ายัง มันเพียงแค่กดทับไว้ชั่วคราว

    ซึ่งอันนี้ มันเป็น วิธีการ ของ สมถะกรรมฐาน คือ ทำฌานให้ได้ก่อน
    มันจะเหมาะกับพวก บางจริตเท่านั้น
    ฌานในที่นี่ก็คือ อารัมมณูปนิชฌาน

    พอชำนาญในจุดนี้ มันถึงจะก้าวขึ้นวิปัสนา


    แต่สำหรับการทำ ลักขณูปนิชฌาน กิเลสจะไม่ถูกกดทับ
    แต่จะกะเทาะออกเรื่อยๆ



    ภูมิรู้ ภูมิเห็น สิ่งลี้ลับ มีเหมือนกัน เพียงแต่ว่า

    มันจะเป็นการรู้พร้อมและวางไปในตัว
    การทำลักขณูปนิชฌาน วิธีทำง่ายนิดเดียว
    แต่ผลที่จะเกิดไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยทีเดียว

    แต่ก็ไม่เกิน ความเพียรของคนเราไปได้
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ธรรมดาของโลก มันก็คือธรรมดาของโลก มันไม่มีอะไรหายไปไหนทั้งนั้น รูปนามยังคงเวียนว่ายในวัฏฏะของมันตามปกติ

    ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้ ปัญหาคือ ท่านเข้าใจวิธีออกจากธรรมดาของโลกได้หรือยังเป็นหรือยัง ทำอย่างไร ทำไมต้องมีสติปัฏฐานสี่ ทำไมต้องมีอริยะมรรค

    การปล่อยวางแบบพระอรหันต์พระนิพพานเขาทำกันอย่างไร เขาเอาสติปัญญาอะไรไปปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมดาของโลก ในเครื่องปรุงแต่ง

    แค่ตามรู้แล้วปล่อยวางได้ มันไม่ง่ายไปหน่อยหรอครับ มันยังมีปราการอีกหลายด่าน

    ที่เป็นเครื่องปรุงแต่งจิตท่าน อัตตาอันเป็นด่านสุดท้าย ท่านรู้ทันมันอย่างไรท่านเห็นมันได้อย่างไร ท่านเอาอะไรไปปล่อยวางอัตตาของตน

    เราไม่สามารถคิดในเชิงตรรกะได้ ว่า หลุดพ้นทุกข์=ดับทุกข์+ดับจิตที่เกิดดับ= ดับสมมุติ =วิมุตติ

    ในทางปฏิบัติมันไม่ง่าย มันมีกลไกลของมันมากมายปัจจัยที่ประกอบก่อกำเนิดมันมีมายมายเหลือเกิน ย่อลงแล้วหรือขันธ์5 ย่อลงอีกเหลือ รูป นาม ย่อลงอีกหรือ อัตตาและอนัตตา จุดสุดท้ายคือ อนัตตา =วิมุตติ

    การไปให้ถึงต้องวิมุตติ ย่อมต้องใช้ทั้งปัญญาวิมุตติและเจโตวิมุตติ ในตัวท่าน ท่านต้องสั่งสมเอาเอง ทำเองได้ และรับผลเอง เกิดแก่ตัวท่านครับ สาธุ
     
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==================

    แสดงว่า คุณยังไม่เข้าใจ นัตถิปัญญาสมาอาภา

    ถ้าคุณเข้าใจพุทธพจน์หรือพุทธวัจนะ ประโยคนี้ เธอจะเข้าใจสิ่งที่เรากล่าว

    ปัญญาใด เสมอเหมือนปัญญาที่เป็นปัญญาวิมุตติไม่มี และสำคัญมาก ปัญญาวิมุตติใดๆก็ไม่สำคัญเท่าปัญญาวิมุตติที่เกิดแล้วกับตน

    เมื่อสังเคราะห์ด้วยปัญญา เราจะทราบได้ทันทีว่า สมาอาภา =ประภ้สสร คือความว่างสว่างอย่างยิ่งด้วยปัญญาวิมุตติ ทำอย่างไรให้เกิดได้ ก็ต้องอาศัยปัญญาที่เกิดใน อาสวักขยญาณ นั่นเอง

    ผมเรียนปริยัติมามาก จนต้องปฏิบัติให้มากกว่าปริยัติที่รู้เพราะ ตำราที่มีให้เราอ่าน มันถ่ายทอดได้ไม่หมดมันถ่ายทอดแค่บางแง่มุมเท่าที่พระสาวกที่รวบรวมและสังคายนาได้

    นี่ยังไม่รวมปฏิเวธ หรือผลที่จะได้รับ ในประไตรปิฏกก็กล่าวแสดงไว้ไม่หมด แต่พระอรหันต์ครูอาจารย์ก็พยายามถ่ายทอดและเขียนเป็นตำราให้เราศึกษาเรียนรู้

    สุดท้ายมันก็รวบลงจุดเดียว คือปล่อยวางลงหมดสิ้น ก็เท่านั้นเองครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2016
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===============

    เราปล่อยวางลงแล้วด้วยการชำระด้วยปัญญา แต่ทุกข์สุข ตัณหาอุปาทาน อุปกิเลส มันก็จะทำหน้าที่ของมัน ตามกฏธรรมดาของโลก มันก็ยังเกิดดับ แต่การทำงานของมัน การเกิดดับของมัน การปรุงแต่งของมัน ไม่มีผลต่อวิมุตติจิต ไม่มีผลต่อจิตอีกต่อไปเพราะจิตไม่รับเอาอะไรเข้ามาทั้งนั้น มีกำลังทั้งปัญญาวิมุตติและเจโตวิมุตติสมบูรณ์ดีพร้อม จิตจึงสว่างสะอาดบริสุทธิ์นั่นเอง

    สะอาดจากอะไร
    สว่างจากอะไร
    บริสุทธิ์จากอะไร
    นั่นแหละคือสิ่งที่ท่านต้องค้นหาและทำด้วยตัวท่านเองครับ
     
  5. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ขอบคุณมากค่ะสำหรับความรู้ มีช่วงนึงฝืนจะเอาฌาน๔ไปปฏิบัติแนวอารัมณูปนิชฌาน แต่ไม่ไหว เกร็งและฝืนไปหมด
     
  6. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    เรียนปริยัติ มามาก เห็นที คงจำมาผิดนะครับ

    จิตปภัสสร ไม่ใช่ จิตนิพพาน คนละอย่างกันนะครับ

    เอามาปนกันไม่ได้

    เอามาปนกันเมื่อไร มันจะ สบสัน ทันที

    เช่นหากนักปฏิบัติ

    ภาวนาไป พอจิตเกิดปรากฎการณ์ สว่างๆว๊าป วั๊ป โอ๊ว
    นั่นปัญญา เป็น วิปัสนา เหลวไหลทั้งสิ้น
    เป็น วิปัสนูกิเลสตะหาก

    ความสว่างไสว ของจิตปภัสสร ว่าภาษาบ้านๆ คือ มันยังโง่บรมบโง่นะนั่น
    ยังไม่มีปัญญาแต่ประการใด
    ฉะนั้น การทำจิตได้ถึงความปภัสสร มันจึงยังไม่มีปัญญาอะไรจะมาตัดกิเลส
    มันเป็นแต่ต้นทาง ของการเริ่มของวิธีการหนึ่ง เท่านั้นเอง

    นักปฏิบัติ ที่ขาดครูอาจารย์แนะนำ หรือ พร่องในวิธีการ
    หากมาถึงตรงนี้ จะวิปลาสกันได้ง่าย
    เพราะจะเจอ วิปัสนูกิเลสแทน เป็นสิ่งที่ต้อง ศึกษาไว้บ้าง
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ไอ้ที่สว่างๆวูปๆแว๊ป อันนั้นไม่ใช่จิตประภัสสร
    ผมก็ไม่รู้ว่าใครสอนคุณให้เรียกอย่างนั้น

    แม้ในฌาณและอรูปฌาณ แสงสว่างที่ปรากฏขณะทำสมาธิเขาก็ไม่เรียกว่าประภัสสร

    ประภัสสรคือว่างจากกิเลส มันจึงประภัสสรได้ครับ

    ผมก็ไม่รู้ว่าไปเอาตำราไหนมาครับ
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ประภัสสร แปลความได้ตามพจนานุกรมดังนี้คือ

    ADJ. pure
    syn:{บริสุทธิ์}
    sample:[เธอเป็นคนดีมีจิตประภัสสร]
    ADJ. sparkling
    def:[สีเลื่อมๆ พรายๆ, แสงพราวๆ เหมือนแสงพระอาทิตย์แรกขึ้น]
    syn:{แสงแพรวพราว}{สีเลื่อม}{พรายๆ}{แสงพราว}
    sample:[แสงอาทิตย์แรกขึ้นงามประภัสสร]
     
  9. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    เอ... ผมก็ไม่ได้กล่าว นะครับ

    สว่างๆวูปๆแว๊ป อันนั้นเป็นจิตประภัสสร

    กล่าวแต่เพียง ยกตัวอย่างให้เข้าใจว่า มันเป็น วิสนูกิเลส ยังไม่เป็นวิปัสนา




    ส่วนหาก นักภาวนาทำจิต ได้ ถึง อัปนาสมาธิอย่างละเอียดนั่น
    อันนี้ผมกล่าว ว่าถึงจะได้สัมผัส จิตปภัสสร

    อัปนาสมาธิ มันไม่ได้ สว่างๆวูปๆแว๊ปนะครับนั่น
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ประภัสสร แปลง่ายๆว่า ความงดงามอย่างยิ่ง

    งดงามอย่างยิ่งเพราะมีความบริสุทธิ์

    สมเด็จโตท่านกล่าวว่า ธรรมชาติของจิตทุกดวงมีความสะอาดสว่างบริสุทธิ์ประภัสสรอยู่ภายในจิตของมันเอง แต่เพราะอวิชา คือความไม่รู้เป็นเครื่องปรุงแต่ง จิตเดิมที่มีความสะอาดสว่างบริสุทธิ์ประภัสสร จึงแปลเปลี่ยนไปตามอำนาจของเครื่องปรุงแต่ง นั่นเอง จึงไม่ประภัสสรดังเดิม การที่จะทำให้จิตกลับมาประภัสสรดังเดิม จึงหมายถึงการที่จิตจะต้องตัดขาดปล่อยวางอวิชาลงให้ได้ ตัดขาดปล่อยวางเครื่องปรุงแต่งทั้งปวงลงไปให้หมดสิ้น

    มันก็มีเท่านี้ครับ บางทีผมก็ไม่อย่างให้มายึดติดกับ ตัวหนังสือมากนัก เอาความจริงแก่นแท้นั้นแหละคือสิ่งที่ควรทำความเข้าใจให้มากที่สุดครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2016
  11. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    ลองไปเอา คำในพระไตรปิฎกดีกว่าครับ

    พจนานุกรม หลังๆ แปล เพี้ยนหลายๆคำ

    หากเอาคำแปลที่มีมาในพระไตรปิฎก มันจะคนละอย่าง
     
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ============

    ผมอยากให้ทำความเข้าใจเรื่อง นิพพานชั่วคราว เป็นอย่างไร ถ้าท่านเข้าใจคำนี้ ท่านจะขยายผลได้อีกมากมายครับ มันเกิดได้แต่ชั่วขณะ แม้ชั่วขณะเท่าหางช้างกระดิก ก็มีอ่านิสงค์มาก ท่านคงเข้าใจนะครับ นั้นแหละนิพพานชั่วคราว และที่มันเกิดขึ้นได้เพราะมันเกิดสภาพว่าง จิตไม่มีอกุศลหรือสิ่งใดปรุงแต่ง มันจึงเกิดสภาพนิพพานชั่วคราว ส่วนสิ่งที่ปรากฏให้รับรู้วูปวาปนั้นมันเป็นผลของสมาธิเท่านั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2016
  13. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    ลองคิด ในอีก มุม คำว่า ยึดติดตัวหนังสือ นะครับ

    ขับรถไปเจอทาง สามแยกเห็นป้ายบอก
    ขวามือไปลงคลอง ซ้ายมือเข้าถนนใหญ่ต่อ


    หากคน ไม่จำสัญลักษณ์ คือตัวหนังสือ เอา ปนกัน ว่าคืออย่างเดียวกัน

    แน่นอน มันอยู่ที่ใครทำกรรมมาดีแต่อดีตแล้วล่ะว่า

    ถ้ากรรมดีให้ผลมันจะต้องไปทางถนนใหญ่ได้
    หากกรรมไม่ดีให้ผล ลงคลองแน่นอน
     
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    มันไม่ได้อยู่ที่ป้าย มันอยู่ที่ว่า ท่านต้องไปทำอะไรเพื่ออะไรมากกว่า ทุกคนอาจหลงทางได้ทั้งนั้น ต่อให้ไปถูกป้าย ก็ตาม แน่นอน เราย่อมต้องรู้จักว่า สิ่งใดควรยึดถือเพื่อเป็นแนวทาง สิ่งใดไม่จำเป็น ไม่สามารถเอามาเหมารวมได้ทั้งหมด มันขึ้นอยู่กับความสำคัญและประโยชน์ที่จะได้รับครับ
     
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =======================
    ถ้าพระนิพพานคือความว่าง
    ประะเภทของมัน ก็เขา ก็แค่พยายาหาหลักเกณฑ์มาจำแนกแยกแยะเท่านั้นเอง

    ความว่างในนิพพานมีกี่ประเภท ท่านลองไปเปิดตำราดูนะครับ มันมีมากมายหลายแบบ

    นี่ยังไม่รวมความว่างอื่นๆที่ไม่ใช่ว่างในนิพพาน

    แต่ไม่ว่าอย่างไร ความว่างก็คือว่าง มันว่างในตัวมันเองไม่เป็นอื่น การที่เขาแยกประเภทมันก็อาศัยเพื่อจัดกลุ่มจัดจำพวกให้ง่ายต่อการเรียกหรือจดจำ
    เช่นเดียวกับจำพวกของพระอรหันต์ หรือจำพวกของพระโพธิสัตว์ จำพวกของพระพุทธเจ้านั้นเอง มีเยอะมากมาย แต่แก่นแท้ของความเป็นโน่นนี่นั่นละคืออะไร เราต้องหามันให้เจอครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2016
  16. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    อืมม อันนี้ สำหรับผม แล้ว
    ความเข้าใจส่วนตัว

    นิพพานชั่วคราวไม่มีหรอกครับ

    เพราะ หนี่งไม่มีสอง
    ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีเข้า ไม่มีออก

    นิพพานแล้วก็นิพพานเลย

    มีแต่เพียง นิพพานดิบ กับนิพพานสุข

    นิพพานดิบ ก็คือ บรรลุอรหันต์แล้ว ยังทรงธาตุขันธ์

    นิพพานสุขก็คือ บรรลุอรหันต์แล้วภาษาบ้านๆที่เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ตาย มรณภาพ




    ส่วนนิพพานชั่วคราว ก็คงเอามาสอนเชิงเปรียบเทียบ
    หมายเอา อัปนาสมาธิอย่างละเอียด

    เพื่อให้ฝึกปฏืบัติต่อ ของครูอาจารย์ แต่ละบุคคลละมั้ง

    แต่ในความเป็นจริง มันไม่มี นิพพานชั่วคราว

    นิพพานแล้วก็นิพพานเลย จะมาเข้าๆออกๆ มันไม่ใช่

    ดั่ง พระไตรปิฏก กล่าวว่า กิเลสตัณหาสิ้นไป ณ ที่ใด
    นิพพานก็ปรากฎที่นั่น


    ตัดแขนตัดขาตัวเองขาดแล้ว งอกมาได้ใหม่
    มันก็เป็นไม่ได้ ขาดแล้วก็ขาดเลย

    จะบอกว่า ไปเที่ยวนิพพาน ถอดจิตไปนิพพาน
    อันนั้นมันก็ยังหลงอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2016
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ============

    ถ้าอย่างนั้น หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ และอีกหลายๆหลวงพ่อท่านคงสอนเราผิดๆอย่างนั้นสิหนอ ไอ้มโนมยิทธิ ไปนิพพาน จิตเกาะพระไปนิพพาน แย่จัง ครับ

    ผมว่าบางที่ผมก็เปิดกว้างนะ คือไม่ยึดมั่นในธรรม นะ สรรพสิ่งอนัตตา เราทำมาแล้ว เรารู้ของเรานะว่า จริงไม่จริง

    ชั่วคราวมันก็คือทำได้จริงในช่วงเวลาที่เป็นเวลาชั่วคราวของมัน แต่ไม่ใช้ทุกขณะจิต

    ถ้าถาวรมันคือทุกขณะจิต มันแล้วแต่มุมมองของเรา ตรงนี้ไม่ว่ากันผมเข้าใจครับ

    ส่วนดิบหรือสุก มันก็แค่ จิต หรือขันธ์ หรือธาตุ ที่มันนิพพานตามๆกันไป เพราะอาศัยจิตที่นิพพานแล้วนั่นเอง ครับ สาธุ
     
  18. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ความจริงแม้จะปฏิบัติลักขณูปนิชฌาน แต่ถ้าตั้งใจไม่ถูก มันก้อกลายเป็นการบีบบังคับตัวเองให้ทำ มันฝืนธรรมชาติของจิตอยู่ดี ตอนนี้ ดิฉันพร้อมแค่ทำศีล๕ให้บริสุทธิ์ กับมีจาคสัมปทา เท่านั้นเอง
     
  19. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    มันอยู่ที่คนนะครับ

    ว่าเข้าใจ เจตนาอย่างไรในการสอน
    อุบายในการสอนอย่างไร อะไรคือ จุดมุ่งหมาย


    หากไม่เข้าใจ ถึงจุดมุ่งหมายแล้ว มันจะเพี้ยนไปเยอะ
     
  20. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    ความจริง คือ ไม่เข้าใจวิธีการตะหากครับ



    ลักขณูปนิชฌาน

    จะกว่าวคือ ก้คือ การทำตามวิธี

    ของมหาสติปัฐฐานสูตร


    ท่านแยกแยะ ไว้ หลายหมวด ในมหาสติปัฐฐาน

    หมวดกายก็ยังแยกแยะไปอีก หลายบรรพะ



    ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว

    บรรพะใดบรรพะหนึ่ง หากเรา ทำตามอย่างนั้น อย่างยิ่ง เนืองๆ
    ไม่ขี้เกียจ พึงหวังได้ ว่าไม่ไกลแล้ว


    ไม่ใช่ ว่า

    หมวดกาย
    หมวดเวทนา
    หมวดจิต
    หมวดธรรม

    ฝึก หมวดกายแล้วหลังจากนั้น
    ก็มาฝึกหมวดเวทนา แลวก็มาฝึกหมวดจิต
    แล้วก้มาหมวดธรรม

    อันนี้คือ เข้าใจผิด


    ในมหาสติปัฐฐาน
    เรามีความถนัดเริ่มอย่างไหน ในแต่ละหมวด
    ฝึกอย่างนั้นได้เลย

    เห็นจิตก็เห็นกายไปในตัว เห็นกายก็เห็นจิตไปในตัว
    มันถึงพร้อมกัน ใน4หมวด


    ลองไปฝึกษาเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกได้ ในแต่ละบรรพะ
    ว่าสอนทำอย่างไรบ้าง
     

แชร์หน้านี้

Loading...