ข้อเขียนที่เก็บไว้ส่วนตัว แต่อยากให้อ่านกัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย tidti2005, 25 สิงหาคม 2011.

  1. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    *****ทดสอบไสยเวทย์คาถา2****


    .............เมื่อประมาณปี2546 ผู้เขียนได้มีโอกาสได้เข้าทำงานโรงงานแห่งหนึ่งในในอำเภอบ่อวิน จังหวัดชลบุรี ในตำแหน่งวิศวกร โรงงานแห่งนี้เป็นของต่างชาติ ดังนั้นจึงค่อนข้างเข้มงวดกับเรื่องต่างๆ ทั้งการควบคุมการทำงาน รวมไปถึงการเบิกจ่ายสิ่งของเพราะที่ผ่านๆมา ทางโรงงานประสพกับเรื่องสินค้าหรือข้าวของเครื่องใช้หายบ่อยมาก

    ........... จึงมีมาตรการเข้มงวดในการเบิกจ่ายวัสดุ เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ การเบิกจ่ายจึงค่อนข้างยุ่งยากนิดหน่อย ทั้งจากตัวพนักงานเองที่ทำการเบิก และจากตัวคนจ่ายคือแผนกสโตร์

    ..........การจ่ายของจึงต้องทำอย่างรัดกุมตรวจเข้มงวด ใบเบิกต้องมีลายเซ็นต์ผู้บังคับบัญชาระดับสูงเท่านั้น ถึงจะทำการเบิกออกมาได้ปัญหานี้จึงเกิดกับตัวผู้เขียนเองค่อนข้างบ่อยในช่วงที่ทำงานเข้ากะกลางคืน เพราะบางทีการคาดเดาก็มีผิดพลาด

    .........อุปกรณ์ของใช้บางอย่างหมดกระทันหัน และติดที่เป็นช่วงกลางคืน การจะนำใบเบิกสิ่งของไปให้ผู้บังคับบัญชาเซ็นต์ จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ต้องรอถึงช่วงเช้าถึงจะให้เซ็นต์ใบเบิกได้
    .............การดำเนินการทำงานไม่ต่อเนื่อง หากอุปกรณ์ไม่พร้อมที่จะทำงาน ถือว่าเป็นความผิดในตัวผู้ควบคุมงาน ถือว่าละเลยไม่มีความรับผิดชอบหรือทำงานไม่มีประสิทธิภาพ มีโทษทั้งการตักเตือน ใบเตือนและไล่ออก ปัญหาเหล่านี้เกิดกับผู้เขียนบ่อยมาก ในช่วงที่ได้มีโอกาศเข้าไปทำงานกับบริษัทนี้ในช่วงแรกๆดังที่กล่าวมาข้างต้น

    ............“น้ำตาล”


    คือชื่อของพนักงานสโตร์หญิงคนหนึ่งในอีก7-8คนที่ประจำอยู่แผนกสโตร์ เธอหน้าตาสวยค่อนข้างขาวใช้ได้ ยังโสดไม่มีสามี อายุประมาณ30ต้นๆ เธอเข้ามาทำงานบริษัทนี้ก่อนหน้าที่ผู้เขียนจะทำได้2-3ปีล่วงหน้าแล้ว


    ............เธอคนนี้เป็นที่เลื่องลือจากบรรดาวิศวกรทั้งหลายที่มาติดต่อขอเบิกอุปกรณ์ต่างๆว่า เข้มงวดในเรื่องการเบิกจ่ายสิ่งของเป็นอย่างมาก ไม่มีการลดหย่อนในเรื่องของใบเบิก ทุกอย่างต้องถูกต้องทั้งหมดเธอถึงจะยอมจ่ายของให้



    ............ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ผู้เขียนส่วนมากจะเข้ากะตรงกันกับเธอคนนี้บ่อยมาก การเป็นคนตรงไปตรงมาของเธอแบบไม่มีลดราวาศอก จึงกลับกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับผู้เขียนไปโดยปริยาย หากผู้เขียนจะขอเบิกสิ่งของกับเธอ หากใบเบิกไม่สมบูรณ์จึงแทบไม่มีโอกาศที่จะได้ของตามที่ต้องการแทบทุกครั้ง

    ............การจะทำให้ใบเบิกสมบูรณ์คือต้องลงรายละเอียดให้ชัดเจน มีลายเซ็นต์ผู้บังคับบัญชาถึง2คน แต่ก็อย่างที่บอกคือ บางทีอยู่ในช่วงกลางคืน ไม่สามารถเอาไปให้เซ็นต์ได้ ผู้เขียนจึงโดนตำหนิจากผู้บังคับบัญชาอยู่หลายครั้งในการที่ไม่สามารถดำเนินงานต่อเนื่องได้ สาเหตุเกิดจากการที่ไม่สามารถเบิกอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการดำเนินงานต่อได้นั่นเอง


    ............ดังเช่นคืนวันหนึ่งผู้เขียนจำเป็นต้องเบิกอุปกรณ์บางอย่างที่จำเป็นจะต้องใช้งาน โดยที่ช่วงเช้าเบิกสต็อคไว้ให้ไม่เพียงพอ ผู้เขียนจึงเขียนใบเบิกเพื่อไปขอเบิกก่อน เดี๋ยวตอนเช้าค่อยเคลียร์เรื่องใบเบิกให้


    ...........“ไม่ได้ ใบเบิกไม่สมบูรณ์ เบิกไม่ได้”


    ...........เธอตอบ พร้อมกับโยนใบเบิกกลับคืนให้ผู้เขียนแบบไม่มีมารยาทเอาเสียเลย


    ...........“แต่มันจำเป็นต้องเบิกนะครับ เพราะหากไม่มีใช้ มันจะทำงานต่อไม่ได้ เดี๋ยวช่วงเช้าผมค่อยเคลียร์ใบเบิกให้นะครับ”


    ............ผมพยายามอ้อนวอนให้เธอเห็นใจ เพราะอาจจะเกิดความเสียหายกับบริษัทได้ หากว่าการดำเนินงานไม่ได้ทำงานต่อเนื่อง และผลเสียก็ย่อมมาตกกับผู้เขียนเป็นลูกโซ่อีก


    ............“นี่คุณ....พูดฟังไม่เข้าใจภาษาคนหรือไง บอกว่าเบิกไม่ได้ ใบเบิกไม่สมบูรณ์”


    เธอตอบผมแบบอารมณ์โมโห พร้อมทำตาขวางใส่


    ...........“เอ้อ....เข้าใจครับ แต่นี่มันตอนกลางคืน ผมจะเอาไปให้ใครเซ็นต์ล่ะครับ เดี๋ยวเช้าผมเคลียร์ให้ก็น่าจะได้นะ”


    เธอละสายตาจากเอกสารบนโต๊ะ หันมาจ้องมองผมเขม็ง แบบโมโหเต็มที่


    ...........“นั่นมันเรื่องของคุณนี่ มันไม่เกี่ยวกับฉัน กลับออกไปได้แล้ว ฉันจะทำงาน”


    ............เธอตอบผมแบบคนไม่มีน้ำใจใยดี ไม่สนใจในอะไรทั้งสิ้น ก้มหน้าก้มตาตรวจเอกสารบนโต๊ะต่อ โดยไม่สนใจผู้เขียนที่ยังยืนงงอยู่กับการคิดว่า จะเอายังไงดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบนี้


    ............ผู้เขียนเชื่อว่า คนแบบนี้ในสังคมยุคปัจจุบัน ยังคงมีอยู่เป็นจำนวนมาก กับนิสัยความเห็นแก่ตัว โดยไม่คำนึงถึงคนอื่นหรือความเสียหายอื่นๆที่จะตามมา ไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไง คนอื่นจะประสพชะตากรรมอย่างไร คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง โดยที่ไม่มองคนรอบๆตัวว่าจะเป็นยังไง ในเมื่อเป็นคนแบบนี้ ผู้เขียนจึงขอลองวิชาเพื่อให้สะดวกในการทำงานสักหน่อยแล้วกัน ผู้เขียนคิดได้ดังนั้นจึงกล่าวว่า


    ............“เอ้อ.......ผมขออนุญาตเข้าไปดูใบเบิกของช่วงเช้าได้ไม๊ครับ ว่าเบิกไปเท่าไหร่แล้ว ทำไมถึงเบิกให้ไม่พอช่วงกลางคืน”


    .............เธอเงยหน้าจากเอกสารตรงหน้า ตากลมโตคู่นั้นมองตรงมายังผู้เขียนแบบไม่สบอารมณ์เท่าใดนักในการมายุ่งวุ่นวายและทำความยุ่งยากกับเธอไม่จบสิ้น


    .............“เอ้า......จะดูก็รีบเข้ามาดู อยู่ในลิ้นชักโน่น ดูเสร็จแล้วก็รีบๆออกไปซะให้พ้นๆ....”


    ..............เธอพูดตอบแบบหงุดหงิดเต็มที พร้อมทั้งลุกเดินมาเปิดประตูห้องกระจกแล้วชี้ไปยังตู้เก็บเอกสารที่ตั้งอยู่ด้านหลังเธอไม่เกิน2ก้าว แล้วก็กลับไปนั่งหันหลังให้ผู้เขียน ตรวจเอกสารของเธอต่อโดยที่ไม่ได้สนใจผู้เขียนที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ


    ..............ผู้เขียนทำทีเดินไปเปิดดึงลิ้นชักโน้นลิ้นชักนี้ที่ใส่เอกสาร หยิบออกมาดูทีละใบๆ ทำทีดูโน่นดูนี่ในเอกสาร แต่เอื้อมมือพร้อมกับบรรจงใช้นิ้ววาดยันต์ไปบนอากาศเล็งตรงกลางหัวของเธอคนนั้นให้พอดี จิตเข้าสมาธิรวบรวมเป็นหนึ่ง พร้อมท่องคาถากำกับในยันต์ที่วาดนั้น

    ............ เสร็จแล้วเป่าใส่เบาๆกะระยะเล็งลงบนกลางหัวของเธอ3ครั้งติดๆกัน

    ............“มึงต้องชอบ มึงต้องรัก มึงต้องหลงกู ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”


    ****ภควัณตัง****

    ****มีต่อ****
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2022
  2. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ..............อันคาถาไสยเวทย์ มนต์หลงกู มหาเสน่ห์ เสกเป่าลงบนกระหม่อมผู้ที่เราชอบ จะทำให้ลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น จากเกลียด กลายเป็นชอบ จากชอบกลายเป็นรัก จากรักกลายเป็นหลงไหล แต่ต้องเสกเป่าเป็นจำนวน3ครั้งติดๆกัน และทุก 3วันครั้ง แล้วจะค่อยๆเสื่อมไปเองหากหยุดกระทำหรือเสกมนต์กำกับไปเรื่อยๆ

    ............หากต้องการปัจจุบันทันด่วนและได้ผลอย่างรวดเร็ว ใช้การเขียนยันต์มนต์เรียกผัวหรือเรียกเมีย เขียนกำกับก่อน บริเวณหน้าผาก หรือกลางศรีษะ เสร็จแล้วค่อยเสกสำทับอีกครั้ง จะเพิ่มความขลังของอาคมนั้นแบบปัจจุบันทันด่วน ตามต้องการ

    ............ผู้ที่โดนไสยเวทย์ชนิดนี้ จะเปลี่ยนอัปกริยาต่อผู้กระทำในทันที จากเกลียดกลายเป็นชอบ จากชอบจะกลายเป็นรัก จากรักจะกลายเป็นหลง ในบัดดล อยู่ที่ผู้กระทำว่าต้องการแบบไหน ชั่วคราวหรือทำให้เป็นตลอดไป

    ............เมื่อผู้เขียนทำทีตรวจเอกสารเสร็จเรียบร้อยจึงทำทีเป็นเรียกชื่อเพื่อทดสอบความเปลี่ยนแปลง

    ...........“น้องน้ำตาล”


    ............เธอละสายตาจากกองเอกสารตรงหน้าค่อยๆหันหน้ามาทางผู้เขียน

    ...........“คะ...มีอะไรเหรอ”


    ............สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าผู้เขียนผิดจากหน้ามือเป็นหลังมือจากเมื่อสักครู่ที่เธอปฏิบัติกริยาวาจาใส่ จากอารมณ์หงุดหงิด เปลี่ยนอากัปกริยาเป็นพูดจานิ่มนวลขึ้น ดวงตากลมโตอ่อนโยนใสเป็นประกาย มองมาที่ผู้เขียนผิดเป็นคนละคนกับเมื่อครู่นี้

    ............“เอ้อ....ผมตรวจเสร็จแล้วนะ งั้นผมกลับไปทำงานต่อแล้วกัน”


    ............“แล้วของที่เบิกไม่เอาแล้วหรือไง”

    .............ผู้เขียนแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง ว่าได้ยินเธอบอกให้เบิกของได้ หรือว่าผู้เขียนหูเพี้ยนไปเอง จึงถามย้ำอีกครั้ง

    .............“หา...... ว่าไงนะ”


    .............“ก็ของที่เบิกน่ะ พี่ไม่เอาแล้วหรือไง น้ำตาลให้พี่เอาไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวตอนเช้าหรือวันไหนก็ได้ ค่อยเอาใบเบิกมาให้น้ำตาลทีหลัง”

    .............ตกลงภารกิจเบิกของในครั้งนั้น เสร็จสิ้นแบบกลับตาลปัตร และในครั้งวันต่อๆมาการปฏิบัติของเธอกับบุคคลอื่นก็ยังคงเส้นคงวา คือยุ่งยากเหมือนเดิม จากการสอบถามหัวหน้างานคนอื่นๆที่ทำงานร่วมกันกับผู้เขียน

    .............แต่เหมือนจะมีข้อยกเว้นในทุกกรณีสำหรับผู้เขียน หากเข้าทำงานตรงกับเธอ ไม่ว่าจะเบิกอะไรยังไง มีเอกสารหรือไม่ มันง่ายดายอย่างสิ้นเชิง หรือแม้กระทั่งบางครั้งผู้เขียนไม่ว่างไปเบิกเอง โทรไปบอกให้เอามาส่ง เธอก็จะเดินมาส่งให้เองกับมือ จะว่าด้วยเหตุบังเอิญก็ตามที แต่ผู้เขียนก็ยังเชื่อมั่นในคุณไสยในตัวคาถาจากคัมภีร์ในครั้งนี้

    ............คืนหนึ่งผู้เขียนเข้าทำงานช่วงกลางคืนเหมือนเดิม ซึ่งตรงกันกับเธอ จึงเดินไปเบิกของเหมือนเช่นปกติ คืนนี้เธออยู่ประจำกะคนเดียวเหมือนเช่นเคย

    ............“จะยืนอยู่ข้างนอกห้องทำไม ทำไมไม่เข้ามาคุยในห้องล่ะ เดี๋ยวยุงกัดตายหรอก”


    .............เมื่อได้ยินดังนี้ ผู้เขียนเลยเปิดประตูห้องกระจกเข้าไปนั่งคุยด้านใน ปกติห้องกระจกนี้ จะไม่อนุญาตให้คนอื่นที่ไม่มีหน้าที่ในสโตร์เดินเข้าออก เพื่อป้องกันเอกสารสูญหาย แต่กลายเป็นว่า ผู้เขียนได้อภิสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการเข้าออกที่นี่ หากว่าทำงานตรงกับเธอผู้นี้ ทั้งกลางวันและกลางคืน แม้กระทั่งหัวหน้างานของเธอก็ไม่กล้าว่าอะไร

    .............เรื่องที่คุยกับเธอส่วนมากจึงเป็นเรื่องสัพเพเหระ ส่วนมากเธอจะเล่าเรื่องภายในครอบครัวของเธอให้ผู้เขียนฟังมากกว่าและเรื่องราวในแต่ละวันที่เธอพบเจอเป็นปกติ

    .............“น้ำตาลขอนอนก่อนนะ ง่วงแล้ว ก่อนพี่มาพึ่งเคลียร์เอกสารเสร็จ”


    ..............เธอเอ่ยขึ้นกับผู้เขียน ขณะที่กำลังนั่งคุยกันในกลางดึกคืนนั้น พร้อมๆกับลุกจากเก้าอี้เดินไปปิดไฟยังมุมห้อง จึงทำให้ห้องทั้งห้องมืดสนิท เห็นเพียงแสงรางๆที่พยายามปรับสายตาให้มองเห็นในความมืด พร้อมกับเธอเดินไปหยิบผ้าปูออกมาจากตู้เก็บของใช้ส่วนตัว เอามาปูนอนตรงหน้าห่างจากตัวผู้เขียนไม่ถึงศอก

    .............ท่ามกลางบรรยากาศรอบๆตัวมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากด้านหน้าทางเข้าประตูสาดส่องเข้ามาให้พอมองเห็นรางๆเท่านั้น โดยที่ไม่สนใจว่า ณ.ตอนนี้มีผู้เขียนนั่งมองอย่าง งงๆอยู่ตรงหน้าที่เธอนอนลงกับพื้น

    ..............เวลาผ่านไปสักครู่ ผู้เขียนจึงเอ่ยขึ้นท่ามกลางความมืด

    ..............“เอ้อ........งั้นผมขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะ”


    ..............“หือ..........”

    ..............สายตาที่พยายามมองฝ่าความมืดของผู้เขียนเห็นร่างที่นอนหงายเหยียดยาวอยู่ตรงหน้า อุทานขึ้นพร้อมทั้งรีบเงยตัวที่นอนอยู่ลุกขึ้นนั่งมองฝ่าความมืดมาที่ผู้เขียน ดวงตากระทบแสงไฟที่สาดส่องเข้ามาเป็นตาเป็นประกายเยิ้ม

    ..............ผู้เขียนตัดสินใจลุกเดินออกจากห้องนั้นทันที ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นไปมากกว่านี้

    ..............การทดลองไสยเวทย์ของผู้เขียนนั้น มิได้มีเจตนาที่จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ผิดในเรื่องศีลธรรมและ จรรยาบรรณ บางครั้งที่จำเป็นต้องใช้เพื่อแค่ต้องการให้เอื้ออำนวยในภารกิจหรือในการต่างๆเท่านั้น ดังเช่นในครั้งนี้

    .............มิได้มีเจตนาต้องการให้เป็นไปในทิศทางที่เสื่อมเสียทั้งแก่ผู้ที่โดนกระทำและผู้กระทำ การฝ่าฝืนหรือล่วงละเมิดในสัญญาที่เคยให้ไว้ ตามที่ผู้เขียนได้เคยบอกกล่าวแก่เจ้าของคัมภีร์ ย่อมไม่ส่งผลดีทั้งทางตรงและทางอ้อม คือต้องการเพียงแค่พิสูจน์ ทดสอบ ถึงความเข้มขลังของพลังลึกลับที่เรียกว่าไสยเวทย์ มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้น

    ............ไม่ได้ต้องการผูกมัดเอาจริงเอาจังหรือหวังในลาภ ยศ สรรเสริญ หรือใช้วิชาในทางที่ทำให้เสื่อมเสีย ตั้งตนเป็นผู้มีวิชาไสยเวทย์ มนต์ดำหรือตั้งตนเป็นผู้มีพลังอำนาจพิเศษหรือผู้มีวิชาแก่กล้าในวิชาไสยเวทย์ต่างๆแม้กระทั่งพ่อมดหมอผี

    .............เหตุการณ์ทดสอบในตัวบทคาถาต่างๆในคัมภีร์ จากที่ลงให้อ่านและที่ไม่ได้ลงให้อ่านเป็นบางเรื่อง ย่อมเป็นบทพิสูจน์ได้อย่างดีเป็นที่น่าจะพอใจแล้วสำหรับผู้เขียน ว่าเรื่องไสยเวทย์นั้นมีจริงหรือไม่อย่างไร ถึงแม้จะเป็นการรับรู้เพียงผู้เดียวก็ตาม

    .............ถึงแม้ในตำราไสยเวทย์ที่ผู้เขียนได้จดบันทึกไว้ จะไม่ได้ทดสอบในทุกตัวหรือทุกวิชา เพราะผู้เขียนพิจารณาแล้วว่า ในเรื่องหรือในไสยเวทย์บางอย่างมันดูเอาจริงเอาจังและรุนแรงเกินไปที่จะเอามาลองทดสอบดูเล่นๆ

    ............เช่นเรื่องการปลุกเสกหุ่นพยนต์หรือแม้กระทั่งการปั้นหุ่นขี้ผึ้งปลุกเสก การผูกมัดดวงวิญญาณ การทำเสน่ห์ และผู้เขียนมั่นใจในตัวเองว่าไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เพียงแค่ไม่อยากกระทำเท่านั้นและผู้เขียนยังคำนึงถึงเรื่องผิดชอบชั่วดี เรื่องศีลธรรม เรื่องบาป-บุญ-คุณ-โทษและ เวรกรรม เพราะรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่า นี่คือไสยเวทย์มนต์ดำ

    ........... หากไปหลงยึดติด ก็กลายเป็นบ่วงกรรมให้ติดตัวไปทั้งชาตินี้และภาคหน้า หรืออาจจะเป็นจุดจบของชีวิตหากพลาดพลั้งทำไปโดยความประมาทหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเคล็ดวิชาบางอย่าง ซึ่งขาดจากการมีครูบาอาจารณ์สั่งสอนและวิธีการแก้ไขได้ทันท่วงที

    ............ผู้เขียนจึงต้องขออโหสิกรรมผู้ทีถูกกระทำในการกระทำต่างๆที่ผู้เขียนได้กระทำไปในครั้งนี้ ขออย่าได้ผูกพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกันเลย ทั้งชาตินี้และชาติหน้า ถึงแม้ผู้เขียนจะมิได้กระทำล่วงเกินให้เกิดความเสื่อมเสียอย่างมากมายจนรับรู้ได้ หรือเสียหายทั้งจากภายนอกและภายในก็ตาม ก็ขออโหสิกรรมต่อตัวเจ้าของคัมภีร์และผู้ที่ถูกกระทำในครั้งนี้ด้วย เทอญ

    .............การทดสอบวิชาในคัมภีร์ที่ผู้เขียนได้จดบันทึกเก็บไว้ จึงขอจบการทดสอบไว้เพียงแค่นั้น และผู้เขียนได้ปฏิญานกับเจ้าของคัมภีร์ไว้ด้วยว่า

    .............“ตั้งแต่นี้สืบไป ข้าพเจ้าจะไม่ขอทดสอบหรือใช้วิชาในมนต์คาถาต่างๆเท่าที่รับรู้มาจากตัวคัมภีร์อีกต่อไป และขอจบการทดสอบแต่เพียงเท่านี้ สิ่งไหนที่ล่วงละเมิดหรือก้าวล่วงเกินจากคำสอนในตัวคัมภีร์ ขอโปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วย”


    ..............และเป็นสิ่งที่น่าแปลกคือ อยู่ๆต่อมาสมุดจดบันทึกไสยเวทย์มนต์คาถาต่างๆจากคัมภีร์ของผู้เขียนนั้น มันกลับอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้ผู้เขียนจะพยายามค้นหาภายในบ้านค้นแล้วค้นอีก แต่ก็หาไม่เจอ

    ...............การจะไปลืมวางไว้ที่อื่นยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะผู้เขียนไม่เคยเดินถือออกไปอ่านนอกห้องตรงไหน ปกติผู้เขียนจะเก็บเข้าภายในตู้หัวนอนและใส่กุญแจอย่างดี และมีกุญแจเพียงดอกเดียวที่ติดตัวผู้เขียนอยู่ คนอื่นจะเปิดตู้แล้วหยิบไปคงเป็นไปไม่ได้แน่ๆ

    *****ภควัณตัง*****
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2022
  3. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    *****ความจริงเรื่องทดลองไสยเวทย์ในคัมภีร์ฉบับนี้ ผู้เขียนได้ทดลองไปไม่ได้ทั้งหมด เพราะบางอย่างพิจารณาแล้วมันเกินวิสัยที่จะทดลองเล่นๆ อาจเป็นอันตรายทั้งตัวผู้เขียนเองและผู้โดนกระทำ จึงของดเว้นการทดลองหรือทดสอบ และผู้เขียนได้ทดลองก่อนหน้านั้นอีก2-3อย่าง แต่ก็ไม่ได้ลงให้ได้อ่านกัน

    *****เพราะเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์ทั้งกับคนอ่านและผู้ทดลอง ผิดทำนองครองธรรม ผิดทั้งทางโลกและทางธรรม จนคิดว่าพอแก่ใจและเกิดความเชื่อมั่นในตัวคัมภีร์ จึงขอจบเรื่องไสยเวทย์แต่เพียงเท่านี้

    *****ใกล้สิ้นปี ผู้เขียนจึงขออวยพรแด่ทุกท่าน ทั้งท่านที่เป็นแฟนพันธุ์แท้และไม่แท้ ขอให้ประสพกับความเจริญรุ่งเรือง ทั้งทางโลกและทางธรรม มีจิตใจและดวงตาเห็นธรรม เข้าสู่นิพพานด้วยกันทุกคนทุกท่านเทอญ

    *****พบกันอีกครั้ง ปี2560ครับ

    ***ภควัณตัง***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 ธันวาคม 2016
  4. ภควัณตัง

    ภควัณตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +10
    ไม่เข้าใจเหมือนกันครับว่า กระทู้ตัวเองแต่เข้ากระทู้ของตัวเองไม่ได้ ต้องสมัครสมาชิกใหม่แล้วเข้ามาดูของตัวเองซะงั้น ไม่ทราบว่าทางเวปพัฒนาระบบหน้าเวปให้ดีขึ้นเกินไปหรือเปล่า เพราะพยายามเข้าระบบหลายรอบแต่ก็ไม่สามารถเข้าได้ พอสมัครสมาชิกใหม่ เข้าได้ซะงั้น ตกลงทางเวปต้องการโล๊ะสมาชิกเก่าออกใช่หรือเปล่าครับ
     
  5. สาธุ ภันเต

    สาธุ ภันเต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2015
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +191
    ผมรอ ติดตาม มาหลายเพลาแล้วครับ
     
  6. ภควัณตัง

    ภควัณตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +10
    กราบเรียนแฟนพันธุ์แท้ที่ติดตามกระทู้ของผู้เขียนนะครับ ขอเวลาเคลียร์ธุระกิจตัวเองซักนิดหนึ่งนะครับ แล้วจะลงกระทู้เพิ่มเติมครับ รอนิดหนึ่งนะครับ ไม่นาน
     
  7. สาธุ ภันเต

    สาธุ ภันเต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2015
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +191
    รอนานจัง ครับ
     
  8. inkpan

    inkpan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    279
    ค่าพลัง:
    +543
    รออยู่นะครับ
     
  9. ภควัณตัง

    ภควัณตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +10
    เรียนญาติธรรม
    คอยอีกนิดนะครับ ช่วงนี้ติดงานเร่งด่วนอยู่ ก็คงไม่กี่วันคงจะเสร็จ รู้สึกดีใจทุกครั้งที่มีคอมเม้นท์ส่งถึงว่ายังมีคนติดตามอยู่ ช่วงหลังมานี้มีผู้แสดงเจตจำนงค์มาหลายรายที่ต้องการจะนำงานเขียนที่ได้เขียนลงเวปพลังจิตซึ่งเป็นเวปเดียวที่ผู้เขียนได้นำลง ไปนำเสนอในหลายรูปแบบทั้งลงในนิตยาสารในแนวนวนิยาย รวมพ็อคเก็ตบุ๊ค อ่านลงยูทูป เรื่องเล่าลึกลับ ซึ่งต้องขอออกตัวไว้ ณ.ที่นี้ว่า ที่ผู้เขียนได้ลงให้อ่านในเรื่องแปลกๆนี้เป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ ไม่ได้ไปคัดลอกมาจากที่ใดยกเว้นแต่เรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติและหลักคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธ ที่ทุกท่านก็คงหาอ่านตามที่ต่างๆได้ไม่ยาก
    .....การนำเสนอในรูปแบบอื่นๆจึงยังไม่ขอตัดสินใจในตอนนี้ ต้องการให้ได้อ่านในเวปนี้ไปพรางๆก่อน จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร
    .....สิ่งที่ผู้เขียนสื่อ(เขียน)ออกไปนั้น ต้องการให้อ่านเพื่อให้เกิดความกลัวในบาปมากกว่าที่จะอ่านเพื่อสนุก จึงสื่อออกมาให้เห็นว่า ยังมีสิ่งที่มองไม่เห็นที่ไม่สามารถพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ได้ เวลาจะกระทำสิ่งใดที่ไม่ถูกไม่ควร จึงพึงรับรู้ไว้ว่า ยังมีสิ่งที่เร้นลับคอยจับตามองดูอยู่ รวมทั้งเรื่องให้พึงกลัวต่อการทำบาปในอนาคตกาล
    .....จึงขอให้ติดตามต่อไปว่า ผู้เขียนจะนำเสนอเรื่องใดต่อไป รับรองว่าสนุกไม่แพ้เรื่องที่แล้วๆมาครับ
    ******ภควัณตัง******
     
  10. ภควัณตัง

    ภควัณตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +10

    ......วันนี้ขอนอกเรื่องซักเรื่องหนึ่งนะครับ จากที่มีเมล์ถามผู้เขียนมาหลายท่าน

    ......เป็นที่ยอมรับว่า ช่วงนี้กระแสความศรัทธาที่มาแรงเลยคือ กระแสความศรัทธาในองค์พญานาค ทั้งคำชะโนด ทั้งคลอง11ที่กำลังเป็นข่าวและอีกหลายๆที่ จึงมีผู้ศรัทธาทั้งศรัทธาจริงและศรัทธาเทียม คือตามๆกันไปหรือการบอกต่อ

    .....จึงมีญาติธรรมท่านหนึ่งและอีกหลายท่านสอบถามผู้เขียนมาว่า การที่จะนับถือศรัทธาทั้งองค์พญานาคและองค์พญาครุฑพร้อมกันได้หรือเปล่า เรื่องมาจากการที่ก่อนหน้านั้นเคยเช่าบูชาองค์พญาครุฑมาไว้ในบ้าน ต่อมาจึงเกิดศรัทธาพญานาคกับเขาบ้างตามกระแส จึงเกิดปัญหาข้องใจถามผู้เขียนมาว่า เราจะบูชาพร้อมกันได้ไหม และก็มีหลายท่านที่มีปัญหาคล้ายๆกันนี้

    ....ในทัศนะของผู้เขียนหากจะตอบในแง่โลกสวยคือ บูชาด้วยกันได้ ไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะอยู่ที่ความศรัทธาของแต่ละคนแต่ละท่าน อันนี้ไม่สามารถบังคับกันได้เพราะอยู่ที่ความศรัทธา ในคัมภีร์หลายๆคัมภีร์ก็บอกว่า พญานาคกับพญาครุฑยุติสงครามกันแล้ว เพราะมีความศรัทธาในคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเช่นเดียวกัน จึงเกิดการสงบศึก ครุฑจะไม่ทำอันตรายและไม่จับนาคกินเป็นอาหารอีกต่อไป แต่จะหันไปจับวิญญานหรือภูตผีกินแทน ตามคำขอร้องขององค์สัมมาสัมพุทธ นั่นคือตามตำราที่เราเคยได้ยินได้ฟังต่อๆกันมา

    .....แต่หากจะตอบในแง่โลกไม่สวยคือ ครุฑกับนาคไม่ถูกกัน ยังไงๆก็คงไม่ถูกกันหรือยังเขม่นกันอยู่ เปรียบเทียบในทางให้เกิดการปรองดอง ยังไงเสียก็คงปรองดองกันยาก ถึงแม้จะสงบศึกชั่วคราวก็ตาม ดังเช่นเอาสองสีมาผสมกัน เช่นเหลืองกับแดงหรือดำกับขาว ผลที่ออกมาคือสีผสมหรือสีเทา ไม่ได้เป็นแม่สีที่สดใส การเป็นแม่สีที่สดใสเปรียบเสมือนสภาพจิตใจ การกระทำที่จะสดใสดังสีนั้น แต่หลังจากผสมกันแล้วผลที่ออกมาไม่ใช่แม่สีจึงไม่ใช่สภาวะจิตที่สดใส สภาพจิตใจก็เช่นกัน ย่อมส่งผลถึงสภาพที่ขุ่นมัวไม่สดใสเหมือนดังแม่สี ฉันใดก็ฉันนั้น

    .....ในนิทานชาติเวรก็ยังกล่าวถึงเรื่องการไม่ค่อยถูกกันของพญาทั้งสอง โดยในทางตำราโหราศาสตร์พญาครุฑเปรียบเหมือนวันอาทิตย์และพญานาคเปรียบเหมือนวันเสาร์ ในนิทานชาติเวรยังกล่าวด้วยว่าครั้งหนึ่งหลังจากที่เกิดการต่อสู้กันของพญาครุฑกับพญานาคราช พญานาคเห็นทีท่าว่าจะสู้พญาครุฑไม่ได้ จึงหนีไปขอให้องค์พระราหูช่วย จึงเป็นที่มาของพญาครุฑเลยพาลไม่ถูกกับพระราหูไปด้วย

    .....กลายเป็นว่าพญาครุฑ(อาทิตย์)ไม่ถูกกับพญานาค(เสาร์)และพระราหู(พุทธกลางคืน)ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กลายเป็นตำราโหราศาสตร์ในการผูกดวงในเรื่องคู่ครองและเรื่องอื่นๆตามมานั่นเอง ดังนั้นท่านที่เกิดในวันดังกล่าวข้างต้น จึงต้องเลือกเอาว่าจะศรัทธาอะไรดี

    .....ในทัศนะส่วนตัว(จริงๆ)ของผู้เขียน จึงขอแนะนำว่า การบูชาอะไรก็ตามที่เรามีความศรัทธาหรือชอบเป็นการส่วนตัว(จริงๆ) ไม่ว่าสิ่งใดและไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ก็บูชาไปเถอะ แต่กับบุคคลบางคนที่บูชาแล้วเกิดความไม่สบายใจ หรือเกิดสิ่งที่ไม่เป็นมงคล ก็ควรเลือกที่จะบูชาอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่าไปตามกระแสเอาที่เราสบายใจ ให้บูชาด้วยความศรัทธาจริงๆและติดตามผลความศรัทธาของเรา ว่าสิ่งที่เราทำเราปฏิบัติเราบูชานั้น ส่งผลดีต่อชีวิตเราและครอบครัวในทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่แย่ลง
    ....... อย่าไปเชื่อในสิ่งที่บอกต่อกันมา แต่ให้พิสูจน์ด้วยตัวของเราเอง และเหนือสิ่งอื่นใด ผลจะสำเร็จหรือดีร้ายประการใด อยู่ที่บุพกรรมของแต่ละคนอย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ประสพความสำเร็จ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถดลบันดาลให้ประสพความสำเร็จได้ในทุกคนและทุกสิ่งครับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นแค่ตัวเสริมให้เท่านั้น หากผลบุญหนุนส่งไม่เพียงพอ ก็ต้องสร้างบุญเพิ่มเติมบ่อยๆเพื่อให้เสริมส่งได้

    .....ข้อแนะนำคือ ท่านที่ทำงานรับราชการ-แพทย์-พยาบาล-ทหาร-ตำรวจ หรืองานเกี่ยวกับยศตำแหน่งต่างๆ สมควรที่จะบูชาองค์พญาครุฑร่วมกับองค์พระมากกว่าสิ่งอื่น เพราะครุฑเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนองค์พระมหากษัตริย์นั่นเอง แต่ก็ไม่ได้ห้ามนะ ใครจะบูชาทั้งคู่ก็แล้วแต่ ตามความศรัทธาหรือตามถนัดก็แล้วกัน

    .......ภควัณตัง......
     
  11. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ขอทดสอบหน่อยครับ กำลังแก้ไขปรับปรุง หลังจากที่ไม่ได้เข้าเวปมาระยะหนึ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2018
  12. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    รอตอนต่อไปค่ะ
     
  13. กึกก้อง

    กึกก้อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2009
    โพสต์:
    609
    ค่าพลัง:
    +3,478
    หายไปนานจนลืมไปแล้วนะนี่ ฮ่า ฮ่า
     
  14. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    เวียน-ว่าย-ตาย-เกิด-บุพพชาติและความบังเอิญ


    บันทึกหรือข้อเขียนนี้ ผู้เขียนได้จดบันทึกและเล่าให้ภรรยาฟัง ตั้งแต่ประมาณต้นปี60 ก่อนที่ละครเรื่องบุพเพสันนิวาส จะมาสร้างเป็นละครให้ได้ดูกัน จนคนติดตามดูกันทั้งประเทศ และเป็นกระแสฮิตติดตามกันทั่วบ้านทั่วเมืองในการแต่งชุดไทยย้อนยุค



    ซึ่งละครเรื่องนี้ผู้เขียนขอบอกว่า ไม่ได้ดูซักตอน ไม่ใช่ว่าเรื่องเขาไม่ดีหรอกนะ แต่ติดภารกิจหลายอย่าง จึงไม่ได้ดู รับทราบแต่กระแสตอบรับตามข่าวหรือที่บอกต่อๆกันมาเท่านั้น กับวลีของคำว่า “ออเจ้า” เรื่องบางเรื่องเป็นปัจจัตตัง คือรับรู้ได้เฉพาะตัวบุคคล ไม่สามารถนำเอาหลักฐานมาพิสูจน์ได้ หรือเป็นความเชื่อส่วนบุคคล เว้นแต่ว่า บางกรณีเป็นพระราชพงศวดารหรือเหตุการณ์บันทึกไว้ ในหน้าประวัติศาสตร์ในบางช่วงบางตอน ที่นักเขียนพยายามรวบรวมเก็บบางช่วงนั้นเอามาใส่ในเนื้อเรื่องของละคร



    บางท่านถามว่า เรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมานั้น เป็นเรื่องจริงทั้งหมดหรือ ก็ขอตอบแบบกลางๆว่า คงจะไม่ใช่เสียทั้งหมด เพราะตัวนักเขียนเองก็ยอมรับว่า จับเอาเนื้อหาบางช่วงมาใส่เท่านั้น ตัวละครบางตัวก็สมมุติตั้งขึ้นมาเอง เพื่อให้ได้อรรถรสของการรับชม เพียงแต่พยายามประยุกต์ให้เข้ากัน เพื่อความรื่นไหล เหตุการณ์จริงบางช่วงไม่มีบันทึกไว้ ก็ต้องสลับฉากเนื้อเรื่องออกไป เพื่อให้เป็นกลางๆ



    อย่างเช่นมีท่านหนึ่งถามผมหลังจากได้ดูละครเรื่องนี้ว่า โลกแห่งหลังความตายมีจริงหรือ และการเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือ หากตอบในทางวิทยาศาสตร์คือ ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้100% เพราะจากหลักฐานต่างๆ ยังไม่สามารถอ้างอิงได้เต็มที่หรือยอมรับได้อย่างสมบูรณ์แบบ



    แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่า ท่านคิดว่า รอบตัวเรามีอากาศธาตุอยู่หรือเปล่า หากท่านตอบว่ามี แล้วอากาศธาตุมีลักษณะเป็นอย่างไร ก็จะตอบคำถามนี้ไม่ได้ เช่นกันคือ สิ่งที่เราไม่สามารถจับต้องได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีจริง ฉันใดฉันนั้น การถามเรื่องโลกหลังความตายและการเวียนว่ายตายเกิด ก็ใช่ว่าจะไม่มีจริง คือไม่สามารถตอบได้เต็มปากเต็มคำว่ามันไม่มี เพียงแต่เป็นปรากฏการณ์ทับซ้อนหรือมิติ ที่ซ้อนภพซ้อนชาติ ที่ให้ได้เห็น ให้ได้รับรู้ ในมุมของนักปฏิบัติ



    หลายท่านก็จะแย้งว่า แล้วจะพิสูจน์ให้ได้เห็น ให้ได้รับรู้ได้อย่างไร หากท่านมุ่งมั่นที่จะเห็น มุ่งมั่นที่จะรับรู้ในมิติที่ซ่อนเร้น ก็ให้ปฏิบัติตามในวิถีเดียวที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เคยปฏิบัติและสั่งสอนมา คือการเจริญสมถะกรรมฐาน ให้ได้ญาณระดับใดระดับหนึ่งเท่านั้น มิติที่ปิดทับอยู่ ก็จะเปิดให้ได้รู้เห็นเองโดยอัตโนมัติ



    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อยู่ที่บุพกรรมของแต่ละคนที่ได้เคยสร้างสมไว้ ว่าจะเร็วหรือช้าเท่านั้น ที่สำคัญคือ ต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ก่อนว่า ต้องการรู้ ต้องการเห็น เพื่อประโยชน์อันใด



    การบันทึกนี้ จึงอาจเป็นบทพิสูจน์หนึ่ง ที่บันทึกเพื่อให้ได้รับรู้ถึงภพชาติ ทั้งในปัจจุบันชาติและในอดีตชาติ เพื่อให้ได้อ่านกัน เพื่อให้ได้รับรู้ในสิ่งที่มองไม่เห็นหรือเป็นปัจจัตตัง รับรู้ได้เฉพาะตัวบุคคลและความเชื่อครับ แต่ก็ไม่ได้มุ่งหวังให้มีความรู้สึกงมงาย หรือต่อต้าน



    ภควัณตัง




     
  15. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    “พระเจ้าอยู่หัวเสด็จแล้ว มีพระราชโองการคำสั่ง ให้นายกองและบ่าวไพร่ เข้าเฝ้าเพื่อรับราชโองการคำสั่ง ณ.บัดเดี๋ยวนี้” ผู้เขียนรู้สึกตัวสะดุ้งตกใจตื่น ใจเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาด้านนอก ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครมด้านนอกบ้าน เสียง ครึก ครึก แผ่นดินสะเทือนปานแผ่นดินไหว พร้อมๆกับเสียง ฮึ่ม ฮึ่ม แปล๋น แปล๋น ปานฟ้าผ่า พร้อมๆกับเสียงตะโกนสั่งการหรืออะไรสักอย่าง ดังอึกทึกโกลาหล


    “เจ้าค่า เจ้าค่า” “เธอ เธอ ลุกเร็ว พระเจ้าอยู่หัวเสด็จ”



    เป็นเสียงหนึ่ง ที่ผู้เขียนจำได้ว่าเป็นเสียงของภรรยาผู้เขียนเอง เสียงเธอเรียกปลุกผู้เขียนปากคอสั่นด้วยความกลัวเกรงในเสียงของใครสักคนที่ตะโกนเรียกอยู่ด้านหน้าบ้าน พร้อมๆกับใช้มือเขย่าตัวผู้เขียนอย่างแรงเพื่อให้ตื่น พร้อมทั้งตัวเธอเองรีบกุลีกุจอ รีบเดินไปบริเวณข้างฝาด้านหนึ่ง ซึ่งอยู่ตรงข้ามเตียงของผู้เขียนที่นอนอยู่



    เธอรีบเอามือเสยผมเพื่อเก็บรวบไปทางด้านหลัง เก็บไรผมที่บริเวณแก้มและหน้าผาก เสยทัดไปเก็บไว้บริเวณซอกหูทั้งสองข้าง นำกิ๊บเล็กๆเอามาเหน็บเพื่อเก็บไรผมให้เรียบร้อย พร้อมทั้งคว้าผ้าสไบมาคาดทับบริเวณหน้าอกอีกชั้น โดยเหน็บเก็บชายสไบให้เรียบร้อย เสร็จแล้วหยิบผ้าสไบแพรอีกผืน มาคล้องบริเวณลำคอ โดยให้ชายสไบห้อยไปทางด้านหน้าทั้งสองข้างเหมือนเป็นการคลุมไหล่ ผ้านุ่งเป็นแบบผ้าถุงยาว มีลายเป็นแถบอยู่บริเวณชายล่าง



    ซึ่งผู้เขียนมองไม่ชัดนักว่า บริเวณที่ภรรยายืนอยู่นั้นมีตู้เสื้อผ้าหรือมีกระจกแขวนอยู่หรือเปล่า เพราะสภาพภายในบ้าน แสงค่อนข้างมีน้อยมาก มองไปรอบๆจึงดูมืดสลัวไปทั้งหมด มีเพียงแสงที่ส่องลอดจากประตูซึ่งอยู่ด้านถัดจากหัวเตียงที่ผู้เขียนนอนอยู่เท่านั้น ที่ทำให้พอจะมองเห็นภายในบ้านได้บ้าง แต่หากมองลึกเข้าไป ก็แทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย



    ผู้เขียนลุกขึ้นนั่งบนเตียงแบบ งงๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้คือ มึน งง สับสน ใบหน้าร้อนผ่าว ผ่านมาถึงดวงตาเหมือนคนป่วยเป็นไข้ พยุงร่างกายส่วนบนเพื่อลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ฝืนเต็มที ร่างกายเหมือนไม่มีแรงเอาเสียเลย หมดเรี่ยวแรงที่จะขยับตัวหรือเคลื่อนไหวร่างกาย หายใจหอบติดขัด



    “เร็วๆสิเธอ”



    เสียงภรรยาของผู้เขียนกล่าวย้ำอีกครั้ง เพื่อกระตุ้นให้ผู้เขียนรีบลุก พร้อมๆกับพยุงตัวผู้เขียนให้ลุกขึ้นยืนเพื่อให้ลงจากเตียงนอน นำชุดอะไรสักอย่างที่ค่อนข้างหนาและหนัก เร่งรีบมาสวมให้ ซึ่งในขณะนั้นผู้เขียนก้มลงมองสภาพตัวเองพบว่า ชุดที่ใส่ติดตัวอยู่เป็นกางเกงขายาวตัวเดียว คล้ายๆผ้าแพรสีเขียว ท่อนบนไม่ได้ใส่เสื้อ



    ชุดที่ภรรยานำมาใส่ให้นั้น เมื่อผู้เขียนพิจารณาดู เป็นชุดเหมือนทหารสมัยโบราณแขนยาวเนื้อผ้าสากหนาคล้ายหนัง กางเกงขายาวผ้าสากหนาเหมือนเสื้อ ยาวถึงบริเวณหน้าแข้ง รองเท้าสานไขว้พื้นหยาบ แต่ผู้เขียนไม่ทันพิจารณาว่าทำจากอะไร

    คาดว่าน่าจะเป็นแผ่นหนังหนาๆ มีแผ่นเกราะที่เป็นแผ่นหนังหนามีลายฉลุ เจาะเป็นรูให้สวมหัวได้ เมื่อสวมลงไปแล้วความกว้างของแผ่นหนังจะปิดหัวไหล่ทั้งสองข้างพอดี ด้านหน้าจะปิดทับลงมาถึงบริเวณหน้าอก ทำให้กดทับลงมาบริเวณเสื้อ เมื่อใส่ลงมาแล้วรู้สึกถึงความหนักของแผ่นหนังที่ไม่ต่ำกว่า2-3กิโลเป็นอย่างน้อย



    พร้อมทั้งนำสายสะพายหนังสวมหัวลงมาสอดแขนเพื่อสวมใส่ เมื่อสวมลงมาแล้วสายจะคาดไขว้ทับบริเวณหน้าอกยาวลงมาถึงบริเวณเอวพอดี และยาวไขว้ทับไปอยู่บริเวณกลางหลัง สายสะพายด้านหลังมีสายถักทำเป็นช่องเสียบสำหรับเสียบฝักดาบทั้งสองด้าน



    ที่ผู้เขียนทราบก็เพราะภรรยาเดินไปยังมุมหนึ่งของห้อง เดินถือดาบยาวมาสองด้าม กดหัวผู้เขียนให้ก้มต่ำลง แล้วบรรจงเสียบฝักดาบลงไปในลักษณะไขว้กัน โดยด้ามดาบโผล่เสมอหัวทั้งสองด้าน ปลายฝักดาบโผล่ยาวถึงสะโพก ชุดที่ใส่พร้อมกับอุปกรณ์ทั้งหมด เมื่อผู้เขียนลองขยับตัว พบว่าหนักพอสมควรแทบจะพยุงตัวยืนไม่ค่อยไหว ประกอบกับเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง จึงรู้สึกหนักมาก



    ตัวผู้เขียนเอง ยังไม่ทันพิจารณาอะไรมาก ก็ถูกภรรยาทั้งจูงทั้งลากให้เดินฝ่าความมืดจากด้านหลังบ้าน เดินตามเธอผ่านกลางบ้านเพื่อออกไปด้านหน้าของตัวบ้านที่มืดสนิท มีแสงลอดเข้ามาเป็นช่องเล็กๆให้พอคลำทางเดินตามเธอไปได้

    พร้อมทั้งเธอยกเปิดแผ่นไม้ของประตูหน้าบ้านออกทีละแผ่น เอาตั้งพิงด้านข้าง เพื่อเป็นช่องให้ก้าวเดินออกสู่หน้าบ้านได้ แสงที่ส่องสาดสวนเข้ามาตามแผ่นไม้ที่เปิดออกทีละแผ่น ปะทะเข้าตาผู้เขียนเต็มๆจนรู้สึกเคืองนัยตา ต้องยกมือขึ้นป้องบังแสง เพื่อให้ดวงตาปรับสภาพการมองเห็นอีกครั้ง



    ภควัณตัง
     
  16. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ในความสะลึมสะลือเหมือนคนที่พึ่งตื่นนอนและยังอยู่ในภวังค์ของผู้เขียนนั้น จำได้ถึงลักษณะคร่าวๆของตัวบ้านที่ผู้เขียนนอนอยู่ว่า ลักษณะบ้านเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวทรงป้าน ข้างฝาเป็นแผ่นไม้บางๆปลูกเป็นโรงเรือนโล่งๆ หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา(ดินขอ) หลายท่านคงอาจจะไม่ทราบว่า หลังคากระเบื้องดินเผา(ดินขอ)เป็นเช่นไร


    กระเบื้องดินขอก็คือ การนำเอาส่วนผสมของดินเป็นหลัก มาผสมกับส่วนผสมบางอย่างใส่ในแบบเป็นแผ่นๆ แล้วนำไปเข้าเตาอบหรือเตาเผา เพื่อให้มีความแข็งคงทนเหมือนเซรามิคทั่วไป ไม่เปื่อยยุ่ยง่ายเวลาเปียกน้ำ


    บางคนเรียกว่า กระเบื้องดินขอ เพราะบนตัวแผ่นกระเบื้อง จะทำเป็นปุ่มนูนขึ้นมาลักษณะคล้ายตะขอ เพื่อเอาไว้เกี่ยวกับตัวระแนงวางทับซ้อนกันไปเวลามุงหลังคา เช่นเดียวกับกระเบื้องในปัจจุบันทั่วไป


    ภายในตัวบ้านเป็นลักษณะบ้านโล่งๆ ไม่ได้กั้นห้อง ด้านหลังบ้านด้านซ้ายของตัวบ้าน เมื่อมองเข้ามาจากบริเวณหน้าบ้าน ทำเป็นที่นอน(เตียงนอน)ยกสูงจากพื้นระดับเข่า มีช่องประตูที่เจาะทะลุ สำหรับเดินเลาะชายบ้านไปสู่หน้าบ้านทางด้านเยื้องจากหัวนอน(เตียงนอน)ด้านหน้า


    ชายบ้านด้านหลังมีต้นขนุนขนาดคนโอบ มีลูกดกเต็มต้น แต่ต้นไม่สูงมาก ด้านหน้าต้นขนุนมีโอ่งดินเผาขนาดใหญ่ เพื่อกักเก็บและรองน้ำฝนใช้ในบ้าน


    ส่วนด้านขวาของตัวบ้าน ทำเป็นครัวโล่ง ซึ่งผู้เขียนคาดว่า น่าจะมีช่องประตูที่เปิดออกไปทางหลังบ้านได้เช่นกัน เพื่อเป็นที่ซักล้าง เพียงแต่ในขณะนั้น ไม่ทันได้สังเกตให้ถี่ถ้วน


    ประกอบกับบรรยากาศภายในห้องมีความมืดมาก พื้นเป็นกระเบื้องดินเผาสีน้ำตาลแก่ ไม่มีลวดลาย ปูบนพื้นดินแบบปูพื้นทั่วไป บางช่วงจึงสัมผัสได้ถึงความไม่เรียบ ที่เวลาเดินแล้วสะดุดรอยต่อระหว่างแผ่น จากการทรุดของพื้นดิน


    เมื่อเดินเลาะชายบ้านด้านซ้าย(ด้านต้นขนุน)ออกไปยังหน้าบ้าน มีต้นกระท้อนขนาดคนโอบเช่นเดียวกัน แผ่กิ่งก้านปกคลุมบริเวณหลังคาและด้านข้าง ดูร่มครึ้ม มีลูกเหลืองดกเต็มต้น


    ด้านหน้าบ้านหันหน้าไปทางทิศเหนือ ซึ่งเป็นเนินเขาเตี้ยๆสลับกับเป็นภูเขาสูง รอบตัวบ้านเป็นป่าหญ้าคารกสลับต้นไม้สูงห่างๆ


    ด้านหลังบ้านลงไป เป็นหุบเหวลงไปเป็นป่ารกชัฏ มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาแน่น ด้านทิศเหนือของหน้าบ้าน มีเส้นทางเล็กๆทอดยาวลงมาจากเนินเขา มาบรรจบตรงทางแยกด้านข้างของตัวบ้านทางด้านขวา ซึ่งเป็นทางเชื่อมต่อกับบริเวณหน้าบ้าน ห่างจากตัวบ้านประมาณ15-20เมตร แล้วหักออกเป็นรูปตัวแอลไปทางด้านทิศตะวันตก


    จึงเป็นลักษณะของทาง3แพร่งที่บรรจบกันพอดีแล้วหักออก ถัดออกไปเป็นป่าหญ้าคาสลับกับต้นไม้สูงลิบ ขนานไปกับเส้นทางที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกของบ้าน


    เมื่อผู้เขียนปรับสายตาและนำตัวออกมายืนบริเวณหน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ผู้เขียนมองเห็นและยืนประจันหน้าในขณะนั้นคือ บุรุษร่างกำยำน่าเกรงขาม ใบหน้าเข้ม ผิวดำแดง สูงประมาณ180-190เซนต์ แต่งกายด้วยชุดนักรบโบราณเช่นเดียวกับผู้เขียน


    จะต่างกันตรงชายผู้นั้นสวมหมวกทรงทหารโบราณมียอดแหลม ปีกหมวกทั้งสองข้างห้อยลงมาปิดใบหูทั้งสองข้าง มีดาบยาวเสียบอยู่ด้านหลังจนโผล่เห็นด้ามฝัก ในมือทั้งสองข้างถือประคองสิ่งหนึ่งลักษณะเป็นแผ่นยาวคล้ายใบลาน ดวงตาที่มองจ้องมาที่ผู้เขียนดุดันคล้ายมีอำนาจบารมีอยู่ในที


    ซึ่งขณะนั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับผู้เขียนและภรรยาลงนั่งคุกเข่า และประนมมือขึ้นไหว้โดยอัตโนมัติ จนรู้สึกแปลกใจตัวเองว่า ทรุดลงนั่งเองได้ยังไง เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่บอกไม่ถูก บังคับหรือกดลงให้นั่งให้ได้รับทราบหรือทำความเคารพโดยทันทีทันใดโดยอัตโนมัติ


    ภควัณตัง
     
  17. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    “มีพระราชคำสั่งจากพระเจ้าอยู่หัวให้นายกอง คุมไพร่พลร่วมเดินทางไปกับพระองค์ท่าน ยังชายเขตเมืองชลบุรี ณ.บัดเดี๋ยวนี้”


    เป็นเสียงออกคำสั่งจากบุรุษทหาร ที่ยืนค้ำหัวผู้เขียนกับภรรยาอยู่ตรงหน้าในขณะนั้น เสียงนั้นเหมือนเป็นคำสั่งและมีอำนาจที่จะต้องปฏิบัติตาม โดยไม่มีเงื่อนไข



    ผู้เขียนเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งหลังจากที่นั่งก้มหน้าเหมือนน้อมรับคำสั่ง สิ่งที่มองเห็นอยู่ตรงหน้านอกจากบุรุษทหารผู้นี้แล้ว ด้านหลังถัดออกไปไม่เกิน20เมตร ละลานตาไปด้วยทหารที่แต่งกายคล้ายๆกันยืนสลับกับบรรดาโขลงช้าง คาดคะเนไม่ต่ำกว่า50-60เชือก ยืนคอยรวมๆกันอยู่ และเมื่อสายตามองย้อนขึ้นไปตามถนนเล็กๆที่ทอดยาวมาจากเชิงเขาทางด้านทิศเหนือ ยังมีขบวนทหารและขบวนช้าง เดินตามลงมาสมทบเป็นทิวแถวยาวเหยียดอีกไม่ต่ำกว่า40-50เชือกและทหารเดินเท้าอีกไม่ต่ำกว่า100-200คน หากเป็นทัพหลวงก็นับว่าเป็นทัพหลวงขนาดใหญ่มากเลยทีเดียว



    สิ่งที่สะดุดตาผู้เขียนอย่างจังคือ ช้างทรงตัวใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าสุดนั้น ยืนดำทะมึนมีความใหญ่โตกว่าทุกตัว ยืนเป็นจุดเด่นอยู่บริเวณทางแยกและอยู่ด้านหน้าสุด ซึ่งห่างจากจุดที่ผู้เขียนอยู่ประมาณ20เมตร ซึ่งนับว่าไม่ห่างมาก พอที่จะมองเห็นได้ชัดเจน เมื่อใช้สายตามองไล่สูงขึ้นไป ก็ให้บังเอิญสบตากับบุรุษผู้หนึ่ง นั่งเป็นสง่าอยู่บนสัปคับช้าง(ที่นั่งบนหลังช้าง)บริเวณด้านหน้าบนคอช้าง มีควาญช้างรูปร่างกำยำนั่งอยู่เพื่อคอยควบคุมช้าง



    เพียงชั่วแวบเดียว ที่ผู้เขียนมีโอกาสได้มองสบตาโดยไม่ได้ตั้งใจกับบุรุษที่นั่งอยู่บนหลังช้างนั้น รู้สึกสะท้านไปในหัวใจ ต้องรีบมองก้มต่ำลงทันที เหมือนกับมีความเกรงกลัวกับพลังอำนาจของบุรุษผู้นั้นเป็นทุนเดิม



    บุรุษผู้นั้นสวมหมวกปีกทรงยอดแหลมสีแมลงทับ แต่งทรงด้วยชุดกษัตริย์เต็มยศ ดูแพรวพราวไปทั้งตัว ดวงตาจ้องเอี้ยวตัวมองสบตากับผู้เขียนอย่างจัง ดวงตานั้นเหมือนมีพลังอำนาจและบารมี จนทำให้ผู้เขียนต้องก้มลงมองพื้นแทนไม่กล้าสบตาเป็นระยะเวลานาน ใบหน้าประดับด้วยหนวดหนาเข้มเหนือริมฝีปาก รูปร่างกำยำล่ำสัน



    ผู้เขียนในขณะนั้น เหมือนคนที่ทำอะไรไม่ถูก รู้สึกเกรงกลัว-ประหวั่นพรั่นพรึงและประหม่า ได้แต่ก้มตัวลงหมอบแนบพื้น พยายามนึกทบทวนกับสิ่งที่พบเห็นตรงหน้าว่า นี่คืออะไร เราอยู่ในยุคไหนกันแน่ เหตุการณ์ที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้มันคืออะไร แล้วบุรุษที่เห็นอยู่ตรงหน้าทั้ง2คนนี้คือใคร ทำไมเราจะต้องประหวั่นพรั่นพรึง เกรงกลัวได้ขนาดนี้ ทั้งๆที่เป็นสิ่งที่เราไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน



    “ท่านนายกองกำลังป่วยเป็นไข้หนัก นอนซมไม่สบายมา2-3วันแล้วเจ้าค่ะ”



    เป็นเสียงของภรรยาผู้เขียนกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรก ตั้งแต่พาตัวออกมาอยู่ด้านนอกบ้าน แล้วลงมานอนหมอบราบอยู่ด้วยกันทั้งคู่ และเป็นการกล่าวทำลายบรรยากาศที่รู้สึกอึดอัดอยู่ในขณะนั้น



    “กระนั้นหรือ”



    บุรุษผู้ยืนอยู่ตรงหน้าผู้เขียนในขณะนั้นกล่าวตอบรับ พร้อมทั้งจ้องมองมาทางผู้เขียนอย่างพินิจพิเคราะห์ เสร็จแล้วก็หันหลังกลับ นั่งคุกเข่าลงบนพื้น ยกมือทั้งสองขึ้นไหว้เหนือหัว หันไปทางบุรุษผู้นั่งเป็นสง่าอยู่บนสัปคับช้างตรงหน้า พร้อมกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดัง



    “ได้รับรู้จากเมียท่านนายกองที่อยู่ตรงหน้าพระพักตร์ ป่วยเป็นไข้ นอนซมไม่สบายมา2-3แล้วพระเจ้าค่า เกรงว่าจะไม่สะดวกเดินทางร่วมคุมทัพไปด้วยกันพระเจ้าค่า ขอพระองค์ทรงพิจารณาด้วยพระเจ้าค่า”



    “เอ็งไปบอกนายกองหลังถัดไปซิว่า ให้ไปคุมทัพแทนนายกองผู้นี้”



    สุรเสียงนั้นดังก้องกังวานหนักแน่นและเต็มไปด้วยพลังอำนาจ จากบุรุษที่นั่งอยู่บนหลังช้างตรงหน้าผู้เขียนที่อยู่ไม่ไกล



    อีกเรื่องที่ผู้เขียนไม่ได้เล่าตั้งแต่แรกคือ บริเวณบ้านที่ผู้เขียนอยู่ในขณะนั้นคือ ยังมีบ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถัดไปอีกหนึ่งหลัง โดยอยู่เลยจากบ้านผู้เขียนไปทางทิศตะวันออก ห่างจากบ้านผู้เขียนประมาณ50-60เมตร โดยมีเส้นทางเดินเล็กๆเชื่อมต่อไปจากบริเวณหน้าบ้านของผู้เขียน ลักษณะบ้านรูปทรงคล้ายๆกับบ้านของผู้เขียนนั่นเอง โดยที่ถัดออกไปเป็นป่าหญ้าคารกทึบสลับกับป่าโปร่งมีไม้ใหญ่ขึ้นสลับฉากหนาแน่นอยู่ด้านหลัง



    “ขอเดชะพระเจ้าค่า ข้าพเจ้ามีคำสั่งให้นายกองท่านนั้น ร่วมเดินทัพหน้าล่วงหน้าพระองค์ไปแล้วเมื่อเพลาก่อนพระเจ้าค่า”



    “อืม”



    เสียงบุรุษร่างใหญ่ที่อยู่บนหลังช้างตรงหน้าพยักหน้าตอบรับ เพ่งมองตรงมายังจุดที่ผู้เขียนกับภรรยาพร้อมทั้งกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดัง แฝงไปด้วยอำนาจบารมี



    “ให้เอ็งรักษาตัวให้หายดีนะ หากเพลาหน้า ทัพข้ายังไม่กลับ เมื่อเอ็งหายดีแล้วให้ถือคำสั่งข้า รีบนำทัพหลังไปสมทบ”



    “พระเจ้าค่า”



    ผู้เขียนรีบกล่าวรับไปโดยไม่รู้สึกตัว คล้ายกับว่าเหมือนมีเสียงหนึ่งกระซิบบอกที่ข้างหูว่า ให้รีบกล่าวตอบรับเดี๋ยวนี้ พร้อมกับผู้เขียนและภรรยา ก้มลงกราบแนบพื้นพร้อมกัน ทั้งที่ไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน จนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองอีก



    ภควัณตัง
     
  18. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631

    เสียงขยับลุกขึ้นเดินจากไปของบุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้เขียน พร้อมๆกับเสียงสั่นสะเทือนของพื้นดินอีกครั้ง หลังจากทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบเป็นเวลาชั่วครู่ เสียงครางครืดคราดของบรรดาช้างจำนวนมาก พร้อมกับเสียงฝีเท้าและเสียงผู้คน ที่ส่งเสียงดังอยู่เป็นระยะๆ จนค่อยๆทยอยจางหายไป แต่ก็ใช้เวลาพอสมควร กว่าที่ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สภาวะเดิมคือความเงียบ


    ผู้เขียนและภรรยาลุกขึ้นยืน มองขบวนทหารและขบวนช้าง ที่ค่อยๆลับหายเข้าไปในราวป่ารกทึบด้านหน้า ด้านทิศตะวันตก เสียงต้นไม้และกิ่งไม้หักโผงผางให้ได้ยินมาเป็นระยะๆ จนค่อยๆเงียบเสียงไป


    ท่านผู้อ่านและญาติธรรมอาจจะนึกแปลกใจว่า เอาเรื่องราวนี้มาเขียนทำไม แล้วมันแปลกพิสดารตรงไหน ไม่เห็นเกี่ยวกับความลี้ลับพิศดารอะไรเลย


    ผู้เขียนก็จะขออธิบายว่า ความลี้ลับพิสดารนั้น มันอยู่ตรงที่ สภาพพื้นที่จุดบริเวณที่บ้านของผู้เขียนตั้งอยู่ในปัจจุบัน มันช่างบังเอิญตรงกันกับ เรื่องราวที่เล่าให้ฟังแทบจะทุกอย่าง จะมีเปลี่ยนก็เพียงสภาพของตัวบ้านเท่านั้น ห้องต่างๆรวมถึงห้องนอนก็ไปตรงจุดเดียวที่ผู้เขียนเคยนอนในครั้งนั้น


    บริเวณพื้นที่รอบบ้าน ก็ให้บังเอิญตรงกันอีก แม้กระทั่งถนนหน้าบ้าน ก็มีสภาพเส้นทางแบบเดียวกันพอดี เพียงแต่ปัจจุบัน จากเส้นทางหักเลี้ยวไปทางด้านทิศตะวันตก จะถูกปรับเปลี่ยนเป็นเส้นตรงลงสู่ด้านล่างเท่านั้น แต่เค้าโครงเดิมเช่น คันดินต่างๆก็พอจะมีอยู่ให้ได้เห็นเปรียบเทียบ โดยที่ครั้งก่อนนั้นผู้เขียนไม่ทันได้สังเกตมาก่อนเท่านั้นเอง


    ครั้งหนึ่งเมื่อตอนต้นปี มีเกษตรกรเช่าที่ดินเพื่อปลูกมันสำปะหลังคนหนึ่ง เห็นว่าที่ดินแปลงดังกล่าวมีความรกร้าง ซึ่งตรงกับจุดทาง3แพร่งในช่วงหักเลี้ยวพอดี จึงนำทั้งรถไถและรถแม็คโครเข้ามาปรับพื้นที่

    โดยใช้รถแม็คโครจ้วงตักบริเวณจุดทางแยกและพยายามรื้อถอนต้นไม้ต่างๆบริเวณแยก เพื่อปรับพื้นที่ อยู่ๆก็เกิดอัศจรรย์คือ บุ้งกี๋ตักหักลงทันทีในขณะรื้อถอนต้นไม้บริเวณนั้น ทั้งๆที่ไม่น่าเป็นไปได้ที่เหล็กยึดขนาดใหญ่บริเวณหัวตักจะหักขาด

    พร้อมๆกับเครื่องเสียโดยกะทันหัน ทั้งๆที่รถมีสภาพใหม่ ไม่สามารถขยับหรือขับต่อเพื่อทำงานต่อไปได้ เข้าใจว่าเจ้าของรถที่เสียหาย โทรเรียกช่างประจำศูนย์เพื่อมาซ่อม ตั้งแต่วันแรกจนล่วงเข้าวันที่7 ก็ไม่สามารถซ่อมให้เครื่องติดได้


    ครั้งนั้นผู้เขียนเลยเดินเล่นไปดู เพราะอยู่ไม่ห่างจากบ้านที่ผู้เขียนอยู่มากนัก เห็นสภาพของรถกับสภาพของพื้นที่แล้ว ทำให้นึกถึงเรื่องราวและจุดบริเวณดังกล่าว จึงกล่าวกับเจ้าของรถแม็คโครว่า


    “คือผมไม่รู้ว่าน้าเชื่อเรื่องไสยศาสตร์หรือเปล่านะ แต่ก่อนที่น้าจะเข้ามาทำเนี่ย น้าจุดธูปขอหรือบอกเจ้าที่เจ้าทางอะไรใครหรือยัง ในการมาปรับพื้นที่ แล้วมาขุดเพื่อเคลียร์ต้นไม้ออกเนี่ย”


    ผู้เขียนชวนคุย เพื่อหยั่งเชิงก่อน หากคนที่คุยตรงหน้าเป็นคนไม่เชื่อถืออะไร ก็จะได้ไม่ต้องพูดต่อ


    “เชื่ออยู่ครับ แต่พอดีรีบจะไปทำที่อื่นต่อน่ะครับ เลยไม่ได้จุดธูปขอ”


    “น้ารู้หรือเปล่า ว่าที่ดินบริเวณมุมนี้มันเคยเป็นจุดพักช้างกับทหารสมัยโบราณมาก่อน ที่เดินทัพลัดเลาะมาจากเชิงเขาโน่น”


    ผู้เขียนบอก พร้อมทั้งชี้ให้ดูเส้นทางที่ลาดลงมาตามเนินเขา


    “จุดตรงนี้ น่าจะเป็นจุดพักชั่วคราวในการรอทัพกัน และน่าจะมีทหารมาพักรวมกันอยู่ตรงจุดนี้ จากที่มีคันดินให้เห็น และในระหว่างพักรอ อาจจะมีเสียชีวิต(ตาย)บ้างก็ได้ ผมเคยฝันเห็นครับ ยังไงก็ลองจุดธูปขอขมาลาโทษซะและเว้นเคลียร์บริเวณจุดตรงนี้ไว้ก่อน ทุกอย่างอาจจะดีขึ้นนะครับ บางทีเราอาจจะล่วงเกินทำไปโดยไม่ตั้งใจโดยที่ตัวเองไม่รู้มาก่อน”


    ผู้เขียนกล่าวแนะนำ


    “จริงๆด้วย ผมก็แปลกใจว่าทำไมมันเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะรีบจัดสิ่งของเพื่อมาทำพิธีขอขมาครับ ผมก็ไม่รู้มาก่อน เจ้าของที่ดินก็ไม่ได้บอกไว้ ผมจึงไม่รู้ครับ เมื่อรู้อย่างนี้ พรุ่งนี้ผมจะรีบจัดการครับ”


    เจ้าของรถแม็คโครคันดังกล่าวยิ้มขึ้นได้ เมื่อพอจะมองเห็นทางออก


    หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้น ผู้เขียนก็เห็นท่านนั้นจัดการทำตามที่บอกไว้ สิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือ หลังจากนั้นอีกประมาณ1-2วัน ช่างที่เข้ามาซ่อม ก็สามารถซ่อมรถให้สามารถเครื่องติดได้ และทำงานได้เหมือนปกติ โดยเว้นช่องบริเวณมุมแยกไว้ไปทำบริเวณถัดไป โดยที่ไม่มีติดขัดหรือเครื่องเสียอีก จนงานเสร็จ


    ผู้เขียนคิดว่ามันเป็นอะไรที่แปลกดีจึงเล่าให้ฟังครับ มันอาจจะเป็นการเวียน-ว่าย-ตาย-เกิด-บุพชาติและความบังเอิญก็อาจเป็นได้ หรืออาจจะเป็นอีกมิติหนึ่งในอดีต ก็อาจเป็นไปได้ครับ


    ภควัณตัง

     
  19. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    กลับมาเขียนต่อไวๆครับ
     
  20. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    จากเมษายน2018-พฤษภาคม2021 ติดภาระกิจเดินทางยาว ยังไม่ได้ลงเพิ่มซักตอน จะพยายามขุดโพสขึ้นมาใหม่ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...