ขอ ผู้รู้ตอบที่ครับ เริ่มเป็นหนักแล้ว

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย csiamza, 27 ธันวาคม 2010.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    การสื่อสารกับมิติที่สูงกว่า ตามจริงทำได้ทุกคนถ้าหยุดคิด

    ขอบคุณข้อมูลจาก ดร.ไก่ จาก กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) - Index ค่ะ

    ไซคิก คือคำทั่วไปกล่าวถึงผู้มีพลังจิต

    แชนแนลลิ่ง (เราอาจเรียกเข้าทรงหรือประทับจิต ตามจริงมีได้หลากหลายกว่านั้น) คือความสามารถในการสื่อสารกับพลังงานที่ไม่มีรูปกายภาพ (ไม่มีธาตุทั้งสี่) เช่นมาสเตอร์ เทพ คุรุ จิตเดิมของตน (higher self) และอื่นๆ เช่นพลังงานต่างดาว ทำได้ในห้ารูปแบบ คือ

    แคลร์ออเดียนท์ สามารถได้ยินเสียงเกินกายภาพ เช่น คำพูด เพลง เสียงอื่นๆ มีเสียงในหู ทางการแพทย์จะบอกว่าเป็นโรคทางจิตสกิซโซฟรีเนีย

    แคลร์เซ็นทิเน้นท์ สามารถสัมผัส เซ็นท์หรือรู้สึกเกินกายภาพ เช่นได้ข้อมูลผ่านผัสสะทั้งห้า ใช้ heart chakra

    แคลร์วอยแยนท์
    สามารถเห็นเกินกายภาพได้ พบทั้งที่เป็นโทรจิต เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า อาจรับข้อมูลเป็นสัญญลักษณ์ เป็นรูปภาพ หรือเป็นโอเวอร์เลย์คือเห็นอตีตขณะอยู่ในปัจจุบัน

    แคลร์ค็อกนิเซ้นท์ สามารถรู้เกินข้อมูลที่ได้รับทางกายภาพ ผ่านจิตและปรับสมดุลด้วยหัวใจ ใช้ตาที่สาม จักระมงกุฏและจักระฐาน เหมือนตัวเองมากที่สุดเพราะจะหลุดพูดออกมา ทำให้เชื่อได้ยากถ้าไม่เคยความรู้เรื่องเหล่านี้มาก่อน

    แคลร์เอสเซ้นท์ สามารถรับข้อมูลผ่านกลิ่นและการดูดซับ เกินข้อมูลกายภาพที่ได้รับ ดูดซับพลังงานผ่านร่างพลังงาน ใช้จักระตาที่สาม สูดหายใจลึกๆ (ปราณา) นำพลังงานเข้ากายเพื่อโพรเสสต่อ จะต้องใช้มากในเวลาต่อไป หายใจเอาพลังงานโฟตอนเข้าร่างเพื่อรับข้อมูลที่มากับแสง (โฟตอน)

    เอมพาท (รากศัพท์แปลว่า เอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วรู้สึกเหมือนเขาไปด้วย) ความสามารถในการเซ้นท์หรือสัมผัสอารมณ์ของผู้อื่น หรือเสพอารมณ์ ถ้าไม่ถูกฝึก (มีโดยไม่รู้ตัว) อารมณ์จะเหมือนของตัวเองแล้วแยกไม่ออก เมื่ออยู่ในที่สาธารณะที่มีคนมากมายจะสับสนมาก ต้องฝึกการสร้างเกราะ (สร้างอย่างไรใครรู้สงเคราะห์บอกด้วย)

    ปัจจุบันในโลกมีจำนวนผู้เป็น เอมพาทมากขึ้น (หรือเพิ่งพัฒนาไปได้เพราะพลังงานของดาวเคราะห์โลกมีความถี่สูงขึ้น) ถ้าพบในเด็กจะไม่รู้เลยว่าเขาเป็นเอมพาท (ลูกสาวเป็น กว่าจะรู้ก็แทบแย่) เอมพาทมักมีความสามารถอื่นควบคู่ไปด้วย

    ฟาร์ซีเออร์ ความสามารถในการเห็นไปไกลๆ ในอนาคต (หรือในอดีต) สิ่งที่เห็นคือความน่าจะเป็น เห็นในสิ่งที่น่าจะเป็นมากที่สุดถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงความคิดใดๆของ ผู้คนจากวันนี้ถึงเวลาดังกล่าว เช่นเห็นว่าโลกจะแตก (เห็นพายุ ตึกพัง น้ำท่วมโคลนเต็มเมือง) ถ้าผู้คนไม่ฉุกคิดหันมารักสามัคคี โลกก็จะแตกตามที่เห็น

    พร็อพพาเบิ้ล/พรีค็อกนิทีฟ รู้ว่าอะไรจะเกิดในเวลาอันใกล้ อาจเป็นจิตประหวัด

    ฮีลเลอร์ (ผู้รักษา/ผู้เยียวยา) ฮีลเลอร์หน้าใหม่อย่ารับความเจ็บป่วยของลูกค้ามาเป็นของตน ฮีลเลอร์หน้าใหม่จะเริ่มสังเกตว่าผู้คที่อยู่ใกล้ตัวเรารู้สึกดีกว่าเดิม สดใส มีพลัง

    ฮีลเลอร์บางท่านรักษาโดยสวดมนต์ สร้างภาพ รักษษพลังงาน จัดสมดุลออร่า จัดสมดุลจักระ เร็กเก้ และอื่นๆ

    มีเดียม (ร่างผ่าน) ความสามารถในการสื่อสารกับคนที่ตายไปแล้ว ทำให้เรารู้ว่าเขาต้องการอะไร

    คนหลายเซ้นท์ ตอนนี้เริ่มมีคนกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น มีความสามารถหลายแบบในสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น

    พรีค็อกนิทีฟ/เพร็ดโมนิชั่น
    รู้ หรือเซ้นท์ในสิ่งที่จะเกิดขึ้น

    ไซโคเมททรี สามารถแตะสิ่งของ บุคคล รูปภาพ แล้วเห็นข้อมูลเป็นภาพในจิต

    นัก โทรจิตสามารถได้ยินความคิด (เป็นผู้รับ) สามารถส่งความคิด (เป็นผู้ส่ง) ขณะนี้ผู้มีความสามารถในการเป็นผู้รับและผู้ส่งในคนเดียวกันมีเพิ่มมากขึ้น

    คน อ่านเครื่องมือ สามารถใช้เครื่องมือ เช่น ไพ่ทาโรต์ ทำนายไพ่ อ่านกากชา เพ่งลูกแก้ว อ่านหิน อ่านลายลากเส้น อ่านลายเซ็น ในการรับข้อมูลได้

    พบ คำศัพท์ใน lightworker.com ค่ะ เรื่องการเป็นแชนแนล ศัพท์ฝรั่งเคยได้ยินแต่แคลร์วอยแยนท์ พวกที่เห็นภาพ เห็นออร่า อย่างคุณชยา อย่างพี่เม้าท์ค่ะ ของตัวเองตอนแรกคิดว่าเครื่องมือไม่ทันสมัย ปรากฏว่าเป็นแคลร์ค็อกนิเซ้นท์ค่ะ อยู่ๆก็หลุดพูดออกมาโดยไม่ต้องเห็นหรือได้ยิน เลยโล่งว่าไม่ได้คิดไปเอง เพราะแคลร์ค็อกนิเซ้นท์แยกจาก "ตัวเรา" ลำบากมากค่ะ

    คนหนึ่งๆ มักจะทำได้หลายอย่าง แต่จะมีแบบหนึ่งที่เป็นแบบนำร่อง เกิดบ่อย ใช้บ่อย เป็นธรรมชาติมากที่สุดค่ะ

    จริงๆ ทำได้เองทุกคน แต่เราถูกกดทับมากเกินไปจึงไม่เชื่อและไม่ฝึก ชาวXXXถุกสอนทางอ้อม ทำให้วันหนึ่งความสามารถที่ติดตนมานี้โผล่ได้เพื่อยังประโยชน์ให้แก่ผู้ อื่น..

    The art of channeling
    www.lightworker.com Evolution Center

    แชนแนลลิ่ง เป็นการสร้างท่อเชื่อมมิติ ระหว่างมิติของคุณและมิติของจิตดั้งเดิม

    ตาม จริงทุกคนมีความพร้อมที่จะสื่อสารเองได้แต่ไม่ใช้ เพราะ ๑) ไม่เชื่อ ๒) ไม่ฝึกฝน เวลาข้อมูลพลังงานผ่านมาจะรับทาง higher self มาที่มนุษย์ผ่านศูนย์อิมเมจิ้น (นึกฝัน) ทำให้เรา(ทีคุ้นเคยกับการเป็นมนุษย์) คิดว่าเรานึกไปเอง มนุษย์ปัจจุบัน (จิตวิญญาณขังในกายหยาบมิติที่ ๓) ถูกสอนให้ไม่เชื่อความรู้สึกจากภายใน (เพื่อให้ถูกครอบงำจากสังคมได้ง่าย) เราจึงต้องเลือกที่จะรับการสื่อสารเอง พลังงานใดจะสื่อกับเราให้มาผ่าน higher self แล้วเราจะได้รับข้อมูลเอง จะได้ไม่ต้องเที่ยววิ่งไปหาพลังงานจากคนอื่นให้บอกเราว่าควรจะดำเนินชีวิต อย่างไร (เดี๋ยวถูกหลอก ใครจะไปรู้ว่ามนุษย์ที่เป็นแชนแนลมีวัตถุประสงค์ต้องการอะไรจากเราหรือไม่ ได้บิดเบือนข้อมูลหรือไม่ และในโลกพลังงานใหม่คนต้อง empower ให้กับตนเอง)

    เมื่อ พลังงานสื่อสารมา มือใหม่จะเกิดชแว้ปรับข้อความได้ชัดเจนตอนอยู่ใกล้น้ำ เช่น อาบน้ำ ซักผ้า นั่งส้วม คุณมีเวลาแค่เสี้ยววินาทีในการรับข้อมูลและเก็บข้อมูล (grounding) เพื่อรักษาความต่อเนื่องของพลังงาน (เหมือนใช้สายล่อฟ้านำพลังงานฟ้าผ่าลงสู่ดิน) บ้างอาจใช้เครื่องบันทึกเสียง จดบันทึก เล่าให้คนที่ไม่หาว่าเราบ้า เช่น เขากะลา หรือชมรมคนตาทิพย์ฟัง แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ข้อมูลดังกล่าวอีกเลยก็ตาม แต่การกราวดิ้งนี้จะเปิดช่องให้การสื่อสารไหลลื่นเพื่อเปิดช่องสื่อสารไว้ ใช้คราวต่อๆไป การจดบันทึกความฝันก็เช่นกัน ถ้าไม่จดตอนตื่นสักห้านาทีพลังงานพัดผ่านไปแล้วก็สูญเปล่า

    คนที่ใช้ ข้อมูลไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่เป็นผู้เยียวยา คุณจึงชอบอ่านสิ่งเหล่านี้ เวลาคุณฟังคนใกล้ชิดเปิดอกเล่าอะไรๆ แล้วหลุดคำแนะนำออกมาพอเหมาะพอเจาะที่คุณเองก็คิดไม่ถึง นั่นแหละคุณแชนแนลแล้ว จัดเป็นแชนแนลโดยสิ่งกระตุ้น (พลังงานของผู้ที่เล่าเรื่องให้เราฟัง) บางคนแชนแนลได้หลังถูกกระทบกระเทือนในอุบัติเหตุ (แบบที่ชอบเห็นในภาพยนต์ แต่มันก็จริงตามนั้น) บางคนพิมพ์ข้อความที่ได้รับ การพิมพ์นี้ดีเพราะเราสามารถอ่านข้อความได้ก่อนที่ข้อความจะขยายไปในวงกว้าง บางทีคุณจะมีน้ำตา เป็นน้ำตาจากความปิติเพราะความถี่ของข้อมูลตรงกับจิตเรา (บางคนมีอาการขนลุกเป็นข้อมูลยืนยัน) ถ้าการรับข้อมูลไม่ไหลลื่นให้เอานิ้วมือจุ่มน้ำ ถ้าเป็นน้ำทะเลได้ยิ่งดี ช่วยการส่งผ่านข้อมูล ถ้าอ่านกรรมให้ใครให้ล้างมือหลังลูกค้า (client) แต่ละคน คำว่า client นี้ไม่ได้แปลว่าเรารับเงิน

    กลุ่มแจ้งสตีฟว่า ปัจจุบันเป็นเวลาของพลังงานใหม่ ภายใต้พลังงานที่เปลี่ยนปลงนี้แต่ละคนจะมีโอกาสติดต่อกับจิตดั้งเดิม สิ่งนี้เปิดให้ทุกคนถ้าท่านเรียนที่จะสัมผัสและรับรู้เพื่อการพัฒนาจิต วิญญาณของตนเอง

    พลังจักรวาล...รองรับทุกสิ่ง... โลกมนุษย์เป็นโลกของจิตเสรี อะไรที่คุณต้องการในโลกสามมิตินี้จะเกิดขึ้นในโลกของคุณ เมื่อคุณติดต่อกับจิตดั้งเดิม...(ส่วนหนึ่งของตัวคุณเอง) ได้คุณจะได้รับข้อมูลจากจิตเดิมที่มองเห็นอะไรๆได้มากกว่าตัวเราที่เห็นได้ ภายใต้สภาวะจำกัดของโลกสามมิตินี้

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2010
  2. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ^^

    ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆ อิอิ โดน


    ถ้าได้ข้อมูลเอมพาทเพิ่มเติมช่วยสงเคราะห์หน่อยนะคะ


     
  3. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    บังเอิญได้ไปอ่านเจอข้อความจากกลุ่มครายออนเขาคุยกันว่า

    ด้านสุขภาพนั้นควรหลีกเลี่ยงเครื่องกำเนิดคลื่นแม่เหล็กเทียมต่างๆ

    เพราะจะรบกวนรหัสของ DNA

    ทั้งแอร์ พัดลม ตู้เย็น คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุค ฯลฯ
     
  4. OLDMAN AND A CAR

    OLDMAN AND A CAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +2,752
    ถาม

    ..ทำไมจึงรู้ว่า สาเหตุเกิดจากอะไร และ ทำไมจึงคิดว่าสิ่งที่รู้นี้ เป็นความจริง...สุดท้าย สาเหตุที่หูวิ๊งๆนี้ คืออะไร...จะคอยอ่านคำตอบของคุณ ขอบคุณล่วงหน้าในคำตอบครับ
     
  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708

    ไม่ทราบว่าคุณทำสมาธิบ่อยมั้ยคะ ถ้าคุณเคยทำสมาธิบ่อยๆ และก็ยังทำอยู่ประจำ ดิฉันขอเดานะคะ
    1. เกิดจากสมาธิค้าง หลังจากออกจากสมาธิแล้ว แต่สมาธิยังทรงอยู่โดยไม่รู้ตัว แก้ได้ด้วยภาวนาค่ะ ภาวนาและจับลมหายใจเข้า-ออกไปเรื่อยๆ กำหนดลมหายใจสั้นบ้าง ยาวบ้าง หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง ทำไปเรื่อยๆ อาการดังกล่าวก็จะหายไปเอง
    2. เป็นสัญญาณของการรวมจิตจากสมาธิ แต่คุณวางกำลังใจไว้ผิด จึงทำให้รู้สึกว่าทนไม่ไหว แก้ไขตามข้อ 1. ค่ะ
    3. เกิดจากญาณบารมีเข้า-ออก เมื่อคุณทำสมาธิไปได้ระดับหนึ่ง คุณก็จะสัมผัสได้ถึงญาณบารมีเดิม ซึ่งเมื่อถึงเวลาคุณก็จะรู้เอง แต่พลังจิตของคุณยังอ่อนอยู่ จึงทำให้รู้สึกว่ารุนแรง คุณสามารถสร้างพลังจิตให้เข้มแข็งได้ด้วยการถือศีล ทำบุญใส่บาตร นั่งสมาธิและแผ่เมตตา เป็นประจำ เมื่อพลังจิตของคุณกล้าแกร่งแล้ว เมื่อมีการเข้า-ออกของญาณ คุณก็จะรู้ตัวแต่ไม่รู้สึกว่าทนไม่ไหว
    หรือ 4. เกิดจากความปกติอันเนื่องมาจากโรคภัยไข้เจ็บ ลองไปพบแพทย์ดูก่อนนะคะ ใช่หรือไม่ใช่ จะได้วางกำลังใจได้ถูกต้องค่ะ
     
  6. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    วิธีฝึกปลดปล่อยพลังงานลบเเละสร้างกายทิพย์สำหรับเอมพาท

    <object width="480" height="385">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/dQRyIYr3DZM?fs=1&hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></object>





    เเปลโดย สันโดษ

    เอมพาท (รากศัพท์แปลว่า เอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วรู้สึกเหมือนเขาไปด้วย)

    ความสามารถในการเซ้นท์หรือสัมผัสอารมณ์ของผู้อื่น หรือเสพอารมณ์ ถ้าไม่ถูกฝึก (มีโดยไม่รู้ตัว)

    อารมณ์จะเหมือนของตัวเองแล้วแยกไม่ออก เมื่ออยู่ในที่สาธารณะที่มีคนมากมายจะสับสนมาก ต้องฝึกการสร้างเกราะ

    วิธีฝึกปลดปล่อยพลังงานลบเเละสร้างกายทิพย์ป้องกันตัว

    สรุปมาให้นะคะ ให้เริ่มต้นดูที่ 5.49 จะเป็นภาพการ์ตูนให้จินตนาการตาม

    1.ขณะนอนบนที่นอนให้จินตนาการว่าตัวเองลอยตัวอยู่ในน้ำ เเละพลังงานส่วนเกินถูกชำระล้างออกไป

    2.จินตนาการว่าร่างกายตัวเองสกปรกเเล้วเเช่ตัวเองลงไปในน้ำเมื่อลุกขึ้นร่างกายสะอาดนั้นคือ การชะล้างพลังงานส่วนเกินออกจากร่างกาย

    3.จินตนาการด้วยลมพัดเอาพลังงานลบออกไป

    4.จินตนาการด้วยไฟเผาพลังงานลบออกไป

    5. ใช้วิธีการจินตนาการให้ตัวเองมีรากจากลำตัวลงไปในโลกปล่อยพลังงานลบทั้งหมดที่ เป็นส่วนเกินลงไปกับพื้น

    เมื่อปล่อยเสร็จเเล้วให้จินตนาการให้รากกลับเข้ามาในร่างเเล้วจินตนาการให้เเสงผ่านลำตัว

    6. ใช้เกลือหรือ เอามือเเช่ลงไปในเกลือเพื่อใช้ในการปลดปล่อยพลังงานลบ

    7.ใช้หินในการปลดปล่อยพลังงาน จินตนาการว่าหินดูดพลังงานลบออกไปจากตัวให้หมด

    เมื่อจินตนาการว่าดูดพลังออกไปหมดเเล้ว ให้จินตนาการว่า มีเเสงส่องลงมาที่ก้อนหินเพื่อชะล้างพลังงานที่อยู่ในก้อนหินออกมา


    การปลดปล่อยพลังงานส่วนเกินออกมาจากร่างกายจะทำให้โลกสามารถนำพลังงานดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในทางที่ดี

    มีกำลังมากขึ้น พูดง่ายๆ คือ พลังงานส่วนเกินของเรา เป็นการเติมพลังที่ีกำลังหมดไปของโลกให้มากขึ้นนั้นเอง

    หรือ จะใช้เป็นคำพูดก็ได้ว่า ขอปลดปล่อยพลังงานนี้ให้ออกไปจากร่างกาย เเละขอมอบให้กับธรรมชาติเพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ที่อื่นต่อไป

    (คิดในใจ หรือ พูดเบาๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องพูดดังๆ)

    กายทิพย์ป้องกันตัวจำเป็นมาก เพราะบางครั้งเราไม่เคยรู้เลยว่าเราไปรับพลังงานลบมาจากที่ไหนบ้าง

    ทำให้อารมณ์ความรู้ึสึกของพลังงานต่างๆเข้ามากระทบโดยที่ไม่รู้ตัว สิ่งที่ทิ้งไว้ก็ คือ ความโกรธ เสียใจ หดหู่ใจ

    ไม่ว่าความรู้สึกที่พวกเขารู้สึก เเละเราก็ไม่เข้าใจด้วยว่า ความรู้สึกเหล่านี้มาจากไหน (ทั้งๆที่ไม่มีใครทำอะไร)

    หรือ บางคนส่งพลังงานลบมาหาเรา ทั้งๆที่เป็นสิ่งไม่ดี เเละไม่ควรจะทำเเต่เราก็ไม่สามารถห้ามได้

    พลังงานลบจะทำอะไรไม่ได้ถ้าคุณไม่ปล่อยให้พลังงานเหล่านั้นเข้ามาจำเป็นที่จะต้องฝึกทุกวัน

    ให้จินตนาการว่ามีเเสงสว่างกลมๆอยู่เหนือศรีษะ ให้จินตนาการ (กำหนดจิต)ว่า เเสงสว่างนี้เต็มไปด้วยความรัก เเข็งเเกร่ง สงบ

    ค่อยจินตนาการให้เเสงส่องลงมาที่ลำตัว เเสงเเห่งความศักดิ์สิทธิ์ส่องทั่วร่างตั้งเเต่หัวจรดเท้า (นับถือพระเจ้าองค์ไหนก็ขอพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ืที่เรานับถือ)

    เเล้วค่อยๆจินตนาการให้เเสงสว่างเท่ากับออร่าของตัวเอง จนใหญ่กว่าตัวเอง หนึ่งนิ้ว สองนิ้ว สี่นิ้ว

    เเล้วจินตนาการเเสงสว่างครอบคลุมร่างกายทั้งหมดจนเป็นเกราะทิพย์ทั้งตัว ประมาณ 6 ฟุต ทั้งตัว

    เมื่อสร้างเกราะทิพย์เสร็จเเล้ว ให้ตั้งจิตอธิษฐาน "มีพลังงานเดียวในจักรวาลเเละฉันก็เป็นหนึ่งในพลังงานนั้น

    ฉันขอให้เกราะทิพย์ของฉันเเข็งเเกร่งเเละสุขภาพของฉันเเข็งเเรง อย่าได้มีพลังงานที่ฉันไม่ต้องการ

    ให้เหลือเเต่พลังงานที่ดี ขอให้ฉันปลอดภัยในอณาเขตนี้ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองร่างกายของฉันด้วยเทอญ"

    หลังจากนั้นจินตนาการให้เกราะทิพย์จางลง เเละนี้ คือ วิธีการสร้างเกราะทิพย์เพื่อป้องการพลังงานลบเข้ามา

    เมื่อเสร็จเเล้วให้กลับไปปลดปล่อยพลังงานส่วนเกินกลับคืนสู่ธรรมชาติตามวิธีที่สอนมาอีกครั้ง

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2010
  7. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ขอบคุณมากค่ะ โมทนา _/\_

    บางทีออกไปเจอคนมากๆ ก็เหมือนมีอะไรวิ่งเข้ามาหา ปังๆๆๆๆๆ เหมือนกัน

    ไม่รู้จะทำไงเลยอธิษฐานว่าขอให้ัตัวเองรับแต่พลังงานบริสุทธิ์เท่านั้น อะไรที่ไม่บริสุทธิ์ให้รับรู้เฉยๆแต่ไม่ต้องรับเข้ามา แต่เมื่ออยู่ในสังคม มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ โชคดีที่ปีใหม่ได้หยุดยาว เจอคนมากก็มึนมาก ดีใจที่เราไม่ได้เพี้ยนอยู่คนเดียว อิอิ
     
  8. oom_horo

    oom_horo สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +9
    ประสาทหูเริ่มเสื่อมค่ะ ปรึกษาแพทย์ค่ะ
     
  9. kim_potter

    kim_potter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +137
    ฉันก็เคยเป็นนะคะ นอนๆ อยู่แล้วตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงหวี๊ดๆ แล้วก็ขยับตัวไม่ได้

    แสนจะอึดอัดเลยอ่ะ แต่เคยเป็นสองครั้ง แล้วก็ไม่เป็นอีก
     
  10. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    ชอบที่เอามาลงครับพี่สันโดษ
     
  11. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    อันนี้คำตอบของผมในแง่ดีนะ
    ไม่แน่อาจจะเป็นบทสวดของครูอาจารย์ของท่านทางจิตที่มาประกาศสัจธรรมให้ท่านฟัง หรือไม่ก็อาจจะเป็นบทสวดที่มีพลังมากบทหนึ่ง(แต่ท่านไม่ได้จดมันเอาไว้) ซึ่งภาษานั้นอาจเป็นภาษาในอดีตที่ตกหล่นสูญหายไปนานแล้ว แต่เป็นเพราะท่านวิตกแล้วไม่สามารถแปลบทสวดนั้นให้เป็นความหมายในโลกปัจจุบันได้ ก็เลยไม่ทราบความหมายนั้นๆ
     
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถ้าไม่ใช่ความผิดปรกติของ ร่างกาย พยาธิสภาพ ก็ลองพิจารณาธรรมปฏิบัติแบบนี้ดู

    1. ให้สังเกต อาการเหมือนมีจุกก๊อก หรือ อะไรก็ตามแน่นๆ ที่กลางอก อาจจะเล็ก
    มากแหลมมาก คล้ายกระทืบ หรือ ทิ่มแทง อยู่บริเวณอก

    2. เมื่อแลเห็น ให้แลเห็นเพิ่มว่า การหมายอยู่การกลั้นหายใจก็ดี และ การหมายอยู่ที่
    ต้องการหายใจก็ดี ล้วนแต่เป็นเหตให้เกิด ความหนักๆแน่นๆ ที่บริเวณอกนั้นทั้งคู่ และ
    เมื่อ เอาสภาพธรรมทั้งสองมาคลุกเคล้ากัน แยกจากกันไม่ออก กล่าวคือ เห็นเจตนาที่
    จะกลั้นหายใจ และเจตนาที่จะหายใจ เป็นตัวผนวกให้เกิดอาการแน่ที่อกแล้ว อาการ
    เสียงที่หูก็จะบังเกิด อันเนื่องมากจาก ความคลุกเคล้าของสิ่งเหล่านั้น

    3. เมื่อแลเห็นกระบวนการทั้งหมด ตามที่กล่าวมาในข้อ 1 และ 2 ใหสรุปการเห็น
    ลงเป็นกลุ่มของสภาพธรรมอย่างเดียวกัน อย่าเห็นแยกจากกัน ให้มองเป็น ภาพรวม
    เสีย แล้ว ยกอาการที่จิตสามารถแลเห็นสภาพธรรมทั้งหลายยุบรวมเป็น จุดเดียวกัน
    ที่กระเพื่อมอยู่กลางอกนั้นเป็น อาการรู้ มีรู้อยู่ มีสติอยู่

    4. ตราบใดที่ มีอาการรู้ ปรากฏให้เห็นเพิ่มเติม ให้วางใจว่า เมื่อนั้นยังมีชิวิตดำเนิน
    อยู่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับลมหายใจจะมีหรือไม่มี เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียง จุดเล็กๆจุด
    หนึ่งที่ชักจูงเราไปให้เห็นการมีชิวิต ซึ่งไม่ใช่ความรู้จริง เพราะ การเห็นว่าเรามีชีวิต
    นั้นให้ดูที่ เรายังมีรู้ตามข้อ 3 เท่านั้น นอกนั้นเป็นเรื่องไม่จริง ทั้งสิ้น

    5. เมื่อยกการเห็น สภาพธรรมทั้งหลายที่เหยียบหัวอกเหยีบหัวเหยีบเหยีบตาเหยีบจมูก
    ปากและกาย รวมลงเป็น จุดๆเดียว และ พร้อมกันนั้น ก็สามารถยก อาการรู้จุดๆ
    เดียว(ข้อ3) เป็นอีกสภาพธรรมหนึ่ง ที่ถูกสังเกตุ ให้ยกการเห็นทุกขังที่เกิดจากจุด
    ดังกล่าว แล้วสังเกตว่า จิตจะมารู้อยู่ที่อาการรู้ เป็นลักษณ สติตามรู้อาการรู้ ไม่ใช่
    สติเป็นตัวกระทำการหายใจหรือไม่หายใจ เมื่อสติเป็นอาการตามรู้อยู่ที่อาการรู้ ให้
    รำพึงในใจเบาๆว่า จิตในจิต ส่วนการเห็น จุดปรากฏ เป็นการเห็น กายในกาย

    การเห็น จิตในจิต และ กายในกาย หากเห็นปนกันเคล้ากัน ให้แลเห็นว่า จิตมี
    ราคะ เกิดภพ เกิดชาติ เกิดการเสียคุณภาพการเห็นตามความเป็นจริง ให้พิจารณา
    ใส่ใจว่า เราจะเปลื้องจิต ให้เห็นแต่จิตในจิตเป็นเป้าหมายของอารมณ์รู้ของสติเท่านั้น

    เมื่อกระทำการเห็น จิตในจิตได้เนืองๆ ก็จะเห็น กายในกายหรือจุดอัดแน่นเสียดแทง
    อะไรก็ตามจะกลายเป็นสิ่งที่ ราบนอนอยู่ข้างล่าง ขณะนั้น แม้จะมีจุดกระอักแต่ก็เบา
    ไม่เกิดการหยิบจับว่าเป็ยเรา รวมทั้ง อาการรู้ ก็ถูกพิจาณาให้เบาลงเช้่นกัน เกิด
    เป็นการกระเพื่อมไหว สลับไปสลับมา ของการยึดกาย(จุดกระอัก) กับ การยึดจิต(
    ยึดอาการรู้) แล้วแลอยู่ เห็นเป็นสภาพธรรมกระเพื่อมอยู่ข้างล่าง ไม่เกี่ยวกับผู้รู้
    ผู้ดูที่แยกออกมาอีกส่วนหนึ่ง

    เมื่อนั้นให้พิจารณาการกระเพื่อมเหล่านั้นว่า เป็นอาการประคอง มีสมาธิเกิดแต่
    ไม่ใช่ความตั้งมั่นของการรู้ของผู้รู้ จิตผู้รู้อยู่เหนืออาการสมาธิที่ประคองการเห็น
    การกระเพื่อม และอยู่เหนือการคลุกเคล้าจมไปกับอารมณ์ แลเห็นสภาวะธรรมสอง
    สภาพนี้เป็น ธรรมในธรรม แล้วแลอยู่

    ทำเรื่อยๆ จนกว่า จุดกระอัก(การยึดถือกาย) และ อาการเห็นการรู้(การยึดถือจิต)
    จะสั่นไหวไม่ต่างกัน มีสภาพสัดส่ายไม่มาก คล้ายๆเป็นระรอกคลื่นบนผิวน้ำที่ค่อย
    ราบเรียบลงเป็นหน้ากลอง คล้ายเราเป็นแมงมุมน้ำที่โลดแล่นเหนือพื้นน้ำ(โลกที่เปียกชุ่ม)

    แล้วพิจารณาเห็นการ สลัดคืน เหล่านั้นอยู่เป็นประจำ จนกว่า ตัวปัญญาอินทรีย์
    จะถูกสะสมจนสมควรแก่ธรรม ก็จะก้าวข้ามประตูแรกไปได้

    "ยากเหมือนเอาช้างดันเข้ารูเข็ม"

    การพิจารณาปฏิบัตินั้นง่ายๆ แต่การจะให้ช้างหลุดไปอีกด้าน
    ของรูเข็มนั้น ปางตาย อยู่ฝากตาย ขอให้ ปรวณาปฏิบัติบูชา
    แก่องค์สมเด็จพระศาสาดาสัมมาสมัพุทธเจ้า ขอให้อธิษฐาน
    เอานิพพานเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง


    * * * *

    แทรกบาลี :

    อาการหมายจะหายใจ และ อาการหมายจะกลั้ยหายใจ ทั้งสองคือ สภาวะเดียวกัน รวมเรียกว่า มโนสัญญเจตนาหาร
    คือ อารมณ์ที่ป้อนเข้าสู่จิตเพื่อหมายจะมีชิวิตรอดตามอัตาภาพวิบากปัจจุบัน(กายมนุษย์)

    อาการรู้ แลเห็นอาการหมายจะหายใจ และหมายจะกลั้นหายใจ เรียกว่า วิญญาณาหาร เป็นอารมณ์ที่ป้อนเข้าสู่จิต
    อันมี มโนสัญเจตนาหารเป็นตัวปัจจัยให้แลอยู่ เมื่อไหร่มีรู้ตัวนี้ ก็แปลว่า ชีวิตอินทีรย์ยังมีอยู่ และเกิดความพอใจในรู้นี้
    ไม่อาจก้าวข้ามไปได้ ทำให้เกิด ภพ เกิด ชาติ เกิดตัณหา3 เกิดกามภพ ( วิญญาณ จึงเป็นสภาพที่พา
    ให้เกิดความต่อเนื่องในการมีกรรม ถ่ายทอดกรรม ไม่ใช่ ตัวเดียวกันกับ สภาพธรรมอีกชนิดหนึ่งที่
    มีสติที่ทำหน้าที่ตามรู้ปรากฏอยู่ เรียกสภาพธรรมส่วนหลังนี้ว่า ธาตุรู้หรือจิต ถ้าก้าวข้ามการยึดถือวิญญาณเป็น
    ตน มารู้อยู่ที่จิตไม่ได้ ก็จะไม่สมารถเบากาย เบาใจได้ )

    การยกอาการเสพอาหารทั้งสองของจิต โดยมีสติเป็นตัวตามรู้อาการเหล่านั้น เรียกว่า พิจารณาจิตใจจิต เป็นจิตานสติปัฏฐาน
    ซึ่งจะเห็นเป็นขณะๆ ไม่ได้เห็นต่อเนื่อง เรียกอีกอย่างว่า ลักขณูปณิฌาณ (เป็นฌาณ1 2 3 4ที่เป็นส่นประกอบอริยมรรค)
    โดยความเป็นฌาณจิตจะเห็นได้จากการประคองอาการรู้(สมถะประกฏเป็นพื้น เป็นสิ่งถูกสังเกต) อารมณ์สมถะที่อยู่เบื้องล่างนั้น
    เรียกว่า อารัมณูปณิชฌาณ (เป็นฌาณ1 2 3 4 ที่เป็นบาทฐาน ตัวประกอบ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2010
  13. Tumada

    Tumada สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +19
    ผมเคยเป็นแต่ตอนนั่งสมาธิได้ระยะนึงครับ เมื่อภาวนาไปเรื่อยๆ เราจะเหมือนกับลืมคำภาวนาไปเองจะรู้สึกแต่ลมหายใจ เท่านั้น จากนั้น ลมหายใจก็จะแผ่วไปอีกครับเหมือนจะหายไปแต่ไม่หายจะรู้สึกว่าเราหายใจอยู่ แต่ไม่รู้สึกถึงลมหายใจ จะรับรู้โดยกายมากกว่าสัมผัส จากนั้นหูจะเริ่มอื้อครับ จะวิ้งๆ สักพักนึงเสียงก็จะหายไปอีก หูจะอื้อ อย่างนั้นไปเรื่อยๆเหมือนดำอยู่ในนํ้าจะค่อยๆลึกลงเรื่อยๆ ถ้าไม่เอาสติมากำหนดที่กายส่วนใดส่วนหนึ่งครับ สมมุติว่านั่งอยู่ให้กำหนดรู้ว่ากายนั่ง อยู่ครับ ความรู้สึกจะชัดมากครับ ตอนนั้นจะรู้เรยครับว่ากาย นั่งท่าไหน เหมือนกะเรามองเห็นตัวเองขณะลืมตาง่ะครับแต่ที่จริงเราหลับตาอยู่ นั่งไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นแสงมั่ง ภาพนู้นนี่แว็บขึ้นมามั่ง แต่อย่าไปสนใจครับ กำหนดที่กายอย่างเดียว แล้วคุณจะรู้ว่ามันสุขจนบรรยายไม่ถูกครับ

    พล่ามซะยาวโทษทีครับ ในกรณีของคุณให้กำหนดลมหายใจครับ เข้าก็ให้รู้ออกก็ให้รู้ จนกว่าจะหลับ และสังเกตุให้ได้ว่าหลับไปตอนลมเข้าหรือออกครับ ง่ายๆคือเอาสติมาจับที่องค์ภาวนา หรือ ลมหายใจก็ได้ครับ เช่นพุท เข้า โธออก และให้ทันครับสังเกตุให้ดี ว่าหลับไปตอนพุทหรือ โธ ลองทำดูครับ ผมว่าได้ผลแน่ครับ ( อุปมาเหมือนเราฝึกหายใจให้ยาว ขึ้น ถ้าคิดอย่างวิทยาศาสตร์ หลักการคือถ้าหายใจ เข้า ออก ได้ลึกและสมํ่าเสมอ จะทำให้ร่าง กายได้รับอ็อกซิเย่น เต็มที่ เลือดก็จะได้รับการฟอกเต็มที่ ผลที่ได้สุขภาพก็จะ ดีขึ้น ตามลำดับทั้ง กายและใจครับ) เพราะช่วงที่เราสนใจแต่ลมหายใจ จิตเราจะไม่คิดอะไรฟุ้งซ่านครับ รับรองหลับสบาย ตื่นมาก็สดชื่นสบาย แน่นอนครับ ลองทำดูครับ

    อ้อถ้าจะให้ดีก่อนนอนก็ไหว้พระสักนิดก็ดีครับ บางทีอาจจะเป็นผลจากกรรมเก่า เอาจิตยึดพระรัตนตรัยไว้ก่อนก็ดีครับ เผื่อเกิด อะไรขึ้นตอนหลับจะได้ไปสบาย และที่ดีๆ เขาเรียกไม่ประมาทแม้ขณะจะนอนกันไว้ก่อนแก้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 ธันวาคม 2010
  14. สูร

    สูร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +31
    กึ่งหลับกึ่งตื่น
    มันเป็นระยะกายทิพย์เริ่มทำงาน
    สามารถสัมผัสสิ่งลึกลับต่างๆได้
    เป็นเรื่องปกติที่จะสัมผัสได้ตอนนั้น
     
  15. วิถีคนจร

    วิถีคนจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +226
    โอ้ย ตาย.......อ.ไก่...โอ้ย จาน..............
     
  16. วิถีคนจร

    วิถีคนจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +226
    ผมก็มีนะครับ แต่เขากะลาจริงๆแล้ว ไปเรื่อยๆเริ่มไม่ใช่
    ข้อความอีกแบบ ไปเรื่อยอีกแบบ
    เอาหน่า








    วันหนึ่ง ข้อความบอกผมว่า "กูเอง.......ไม่ใช่ระบบสักหน่อย..."
    สักพักท่านก็ดลผมไปได้รับการปล๊ดล๊อคระบบ
    แล้วเรียนรู้ วิทยาการใหม่ๆ จากหลายๆท่าน

    ข้อมูลควรศึกษา แต่ไม่ควรศึกษาต่อกับเขากะลา
    เพราะวิชาการจริงๆเขาไม่ค่อยมี เขาเอาวิชาการจากสมาชิกท่านอื่นๆมาแปลงหมด
    หรือจากที่อื่น .......ต้องระวังนะครับ
    ผมหนักใจที่เราไม่ได้สู้กับคนเขากะลา คนเขากะลาเป็นคนดี
    แต่ผมสู้กับระบบ

    ข้อความเข้ารหัส ของเขากะลา เวอร์ชั่นใหม่ออกมาแล้ว น่าเป็นห่วง
    เป็นประโยคสั้นๆหลายๆคำ แต่อ่านแล้วเหมือนโนยาเสน่ห์เลยนะ

    สังเกตุอะไรถูกเขาเอาหมด อะไรผิดเขาไม่เอา อะไรที่เขาพลาดเขาบอกทดสอบ วิถีคนจร เป็นสมาชิก เว็ปเขากะลาแต่โดนแบน ทั้งๆที่ยังไม่ไม่ได้
    โพสข้อความอะไร



    ระวังระวัง ด้วยความเคารพครับ

    ไอ้ต่างดาว มีร่างมียานไม่มีน้ำยา กับไอ้ต่างดาว ไม่มีร่างไม่มียาน มีแต่พลังจิต
    มันหลอกเราอยู่ระวังครับ


    ขออภัยนะครับ ผมทำตามหน้าที่ เพราะมีลิงค์เว็ปไปเขากะลาผมต้องออกตัว
    ผมทำตามหน้าที่จริงๆ


    ส่วนท่านที่สงสัย ตะหงิดใจในเขากะลา เริ่มเห็นสิ่งที่มันขัดกัน
    ต้องการรับการปลดล๊อคระบบ PM คุยกันได้นะครับ



    ขอบอกอีกอย่าง ผมไม่ใช่ astro neemo ครับ ขอให้เข้าใจด้วย
     
  17. วิถีคนจร

    วิถีคนจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +226
    ผมเคยเป็นนะครับ มันดังวิ้ง................เป็นหลายวันเหมือนกันนะครับ
    วิธีแก้ ก็คือตั้งสมาธิดีๆ แล้วดูมันไปเรื่อยครับ เอาเป็นอารมย์ สมถะเลย
    เดี่ยวมันหายเองแล้วเราก็จะหลับได้ครับ
     
  18. วิถีคนจร

    วิถีคนจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +226
    น่าจะนะครับ ตอนนั้นผมศึกษาไสยวิทยาใหม่ๆครับ เลยอาจจะเจออะไร เป็นไปได้ครับ ขอบคุณครับ
     
  19. anubist

    anubist Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2007
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +73
    เมื่อสองสามวันก่อน หลับๆอยู่ ได้ยินเสียง "ฟึ่บ!" ดังมากกระเด้งลุึกขึ้นนั่งเลย พอตอนใกล้สว่างก็มีเสียงคนมาปลุก(รู้ว่าเสียงดังอยู่ในหัวตัวเอง) เสียงตวาดดังมาก แต่ตอนกลางวันพอได้สติมานั่งนึกดู คิดว่าเป็นไปได้ที่เป็นเสียงจิตใต้สำนึกตัวเอง เพราะก่อนหลับจะสั่งจิตใต้สำนึกให้ตื่นเช้า(จะแก้นิสัียตืิ่นสายหน่ะ)
    ว่าแต่ข้างบนทำไมชอบ "อิ อิ" จังเลย เห็นหลายครั้งแล้ว อิ อิ...
     
  20. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393
    เอาแบบกลางๆก็ได้ วิทยาศาสตร์ทางจิตน่ะ ไม่ต้องอิงกับชื่อกลุ่มหรือชื่อบุคคลก็ได้ จิตเป็นสากลอยู่แล้ว...
     

แชร์หน้านี้

Loading...