ขอเชิญสนทนาธรรมครับ ท่านยมยักษ์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 16 มกราคม 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    บ้างอย่างมันก็ตรึงกันได้ บ้างอย่างมันก็หย่อนกันได้ ผมก็ไม่ได้บอกว่าต้องตรึงอย่างเดียวเชิญท่านไปอ่านโพสต์ #89 ครับ
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    จะหนึ่งจิตร้อยร่างพันร่างก็ถามมา วันนี้ผมอยู่ต่างจังหวัดขอไปเดินทางต่อจะเข้ามาตอบเมื่อมีเวลา

    --- --------
    ขอให้เจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรม
     
  3. ยมยักษ์

    ยมยักษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    974
    ค่าพลัง:
    +35
    คุณลองไปอ่านในสิ่งที่คุณพิมพ์ก่อนหน้านี้ดูสิว่าคุณพิมพ์อะไรไปบ้าง แล้วคุณจะเข้าใจตัวเอง พระทั้งหลายที่ผมยกมาล้วนแล้วแต่รับกิจนิมนต์ยุ่งทางโลกหรือเปล่า ในสิ่งที่คุณไม่เห็นด้วย ขนาดออกโทรทัศน์ไม่ได้เป็นแบบอย่างที่คุณว่าทั้งหลายและทั้งหมด อย่าแถนำ้ขุ่นๆ แล้วกันเพราะพระท่านรับเงิน เอาให้เห็นกันชัด ๆ กิจนิมนต์นอกสถานที่ ส่วนพระเสื่อมทั้งหลายใช่ว่าไม่มี มีและมีแยะ ผมไม่สนับสนุนอย่างเด่นชัด ผมหวังดีกับทุกคนนะ แต่สำหรับคุณ ผมแนะนำให้ช่วยอ่าน ธัมมจักกัปปวัตนสูตรที่ แปลออกมาแล้ว คุณจะเข้าใจการเดินทางสายกลาง การรับเงินไม่รับเงินนั้นวัดกันที่เจตนาของผู้รับ แม้แต่พระองค์ยังรับการสร้างวัดจาก หมอชีวกโกมารภัจจ์ แพทย์แผนประจำองค์ หากพระรับปัจจัยไม่ว่าอะไร พระองค์ไม่ให้ภิกษุสะสมปัจจัยแม้แต่จีวร แต่พระที่รับมาแล้วสะสมนั้นไม่ถูกต้องแน่นอนครับ อย่างน้อยคุณก็ช่วยเปิดใจสักนิดเพื่อให้พระท่านทุกข์พระองคฺ์ ได้เอาปัจจัย สร้างวัด สร้างโรงเรียนสงฆ์ สร้างโรงพยาบาล สร้างถนุบำรุงพระศาสนา พิมพ์หนังธรรมมะแจกประชาชน ส่วนพระที่เก็บเงินใช้ส่วนตัวซื้อรถ ซื้อของเพื่ออำนวยความสะดวกกับตนเอง เขาก็คงได้รับกรรมอย่างแน่นอน สาธุ ผมคงช่วยคุณได้เท่านี้
     
  4. KONK

    KONK สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +24
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=6QznqwU9qbo&feature=related"]Aa Ke Teri Baahon Mein (((Jhankar))) - Vanash(1992),Lata & SP Jhankar Beats Remix & HQ Audio song - YouTube[/ame]


    http://www.youtube.com/watch?feature=endscreen&NR=1&v=hhZt8oNRRD0
    นมัสเตนาย ฟังเพลงสักครู่... แล จักได้ใจเย็น ขึ้นนานายจ๋า
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ท่านอาจจะไม่เข้าใจคำว่า "รับเงินทอง" ความหมายตามพระธรรมคำว่ารับเงินทองไม่ได้หมายความว่า ห้ามหยิบ ห้ามจับหรือห้ามรับเงิน ในสมัยพุทธกาลเคยมีมาแล้ว พระสงฆ์พบเห็นเงินทองตกอยู่แล้วปล่อยทิ้งไว้ ไม่หยิบจับมาเก็บรักษาไว้ในที่เหมาะสมเพื่อรอคืนให้เจ้าของเงินนั้น พระสงฆ์รูปนั้นต้องอาบัติ ท่านทำความเข้าใจคำว่า "รับเงินทอง" ให้ดีๆ อย่าเข้าใจง่ายๆ ธรรมไม่ใช่ของง่ายที่จะเข้าใจครับ พระสงฆ์สามารถหยิบจับรับเงินได้ครับ แต่ต้องไม่รับมาเพื่อเก็บหรือเพื่อไว้ใช้จ่ายซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของมาเป็นของตนเอง

    ผมจำทุกโพสต์ที่ผมเขียนได้ ก่อนโพสต์ผมคิดดีแล้ว ผมโพสต์แล้วผมไม่เคยแก้ไข ผมมั่นใจสิ่งที่ผมทำ ผมต้องการปกป้องพระธรรม ไม่สนับสนุนพระสงฆ์ทุศีล รับเงินทอง ใช้จ่ายเงินทอง ฯลฯ ท่านทำผิดกฏหมายท่านยังต้องรับโทษ พระสงฆ์ทำผิดพระธรรมวินัยก็ต้องรับโทษเป็นไปตามพระธรรมวินัยบัญญัติ หนักเบาแล้วแต่กรรม พระสงฆ์ทุศีล รับเงินทอง ใช้จ่ายเงินทอง ฯลฯ ทำผิดพระธรรมวินัย ผู้สนับสนุนพระสงฆ์ทุศีลหยิบยื่นอาบัติให้พระสงฆ์ไม่เป็นบาป แต่พระสงฆ์ทุศีลผู้รับเงินต้องอาบัติ พระสงฆ์ทุศีลต้องสละเงินหรือสิ่งของที่ซื้อหามาด้วยเงิน ต้องปลงอาบัติต่อหน้าคณะสงฆ์ตามจำนวนครั้งที่ทำ พระสงฆ์เป็นผู้บอกสอนหรือให้คำแนะนำฆราวาสได้ แต่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเงินทองไม่ใช่กิจของสงฆ์
     
  6. ลูกอิสระ

    ลูกอิสระ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +9
    ถ้าบวชเป็นพระแล้วต้องมีกิจทางโลกก็อย่าบวชครับ #57

    กิจของพระสงฆ์มีแค่บิณฑบาตเลี้ยงชีวิต ศึกษาธรรม เวลาส่วนใหญ่ของพระสงฆ์คือนั่งสมาธิเดินจงกรรมปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริงตามธรรม เรียนรู้เรื่องทุกข์หาหนทางพ้นทุกข์ ไปงานบุญ งานบวช งานแต่งงาน งานศพ ทำพิธีกรรมต่างๆ ไม่ใช้กิจของสงฆ์ ถ้าบวชแล้วยังต้องมาทำเรื่องทางโลกก็อย่าไปบวชเลย #90

    ก็ที่ผมบอกไปก็น่าจะเข้าใจนะครับ ถ้าไม่เข้าใจเอามาให้อ่านอีกรอบอย่าตัดเปะ ธรรมของผมต้องอ่านและทำความเข้าใจทั้งหมด ไม่ใช้ตัดเปะ

    ท่านไปอ่านประวัติหลวงพ่อชาหรือยัง ที่ผมตอบถูกต้องหรือไม่ คุณเห็นด้วยไหม ท่านเดินทางไปต่างประเทศไม่เห็นท่านต้องใช้เงิน แล้วคุณจะอ้างว่าเดินทางพระต้องใช้เงิน #107

    ผู้ไม่ศึกษาย่อมไม่เห็นธรรม นักปฏิบัติเขาทราบกันทั้งนั้น ไม่สังเกตกันหรือทำไมพระอริยะสาวกทั้งหลายที่ท่านเป็นนักปฏิบัติ ท่านไม่รับกิจนิมนต์ตามบ้าน #109

    ผมบอกว่าพระอริยะท่านไม่รับกิจนิมนต์ตามบ้าน ท่านเอาพระสงฆ์ที่สอนธรรมมาให้ผมดู พระสงฆ์สอนธรรมะก็เป็นกิจของสงฆ์อยู่แล้วครับ กิจตามบ้านหมายถึง ทำพิธีปลุกเสก ทำน้ำมนต์ โยงสายสิณญ์ แต่ถ้าไปตามบ้านแล้วสอนธรรมะถือเป็นกิจของสงฆ์ครับ

    ที่ท่านยมยักษ์เอามาจาก Youtube มีพระสงฆ์ไม่นุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์ ฉันท์สองมื้อ รับเงิน ทำน้ำมนต์ ปลุกเสก ฯลฯ แม้แต่ศีลท่านยังรักษาไม่ได้ ศีลท่านขาดทะลุ ท่านยมยักษ์ต้องแยกอีกข้อพระสงฆ์กับพระอริยะ #120



    ท่านอาจจะไม่เข้าใจคำว่า "รับเงินทอง" ความหมายตามพระธรรมคำว่ารับเงินทองไม่ได้หมายความว่า ห้ามหยิบ ห้ามจับหรือห้ามรับเงิน ในสมัยพุทธกาลเคยมีมาแล้ว พระสงฆ์พบเห็นเงินทองตกอยู่แล้วปล่อยทิ้งไว้ ไม่หยิบจับมาเก็บรักษาไว้ในที่เหมาะสมเพื่อรอคืนให้เจ้าของเงินนั้น พระสงฆ์รูปนั้นต้องอาบัติ ท่านทำความเข้าใจคำว่า "รับเงินทอง" ให้ดีๆ อย่าเข้าใจง่ายๆ ธรรมไม่ใช่ของง่ายที่จะเข้าใจครับ พระสงฆ์สามารถหยิบจับรับเงินได้ครับ แต่ต้องไม่รับมาเพื่อเก็บหรือเพื่อไว้ใช้จ่ายซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของมาเป็นของตนเอง

    ผมจำทุกโพสต์ที่ผมเขียนได้ ก่อนโพสต์ผมคิดดีแล้ว ผมโพสต์แล้วผมไม่เคยแก้ไข ผมมั่นใจสิ่งที่ผมทำ ผมต้องการปกป้องพระธรรม ไม่สนับสนุนพระสงฆ์ทุศีล รับเงินทอง ใช้จ่ายเงินทอง ฯลฯ ท่านทำผิดกฏหมายท่านยังต้องรับโทษ พระสงฆ์ทำผิดพระธรรมวินัยก็ต้องรับโทษเป็นไปตามพระธรรมวินัยบัญญัติ หนักเบาแล้วแต่กรรม พระสงฆ์ทุศีล รับเงินทอง ใช้จ่ายเงินทอง ฯลฯ ทำผิดพระธรรมวินัย ผู้สนับสนุนพระสงฆ์ทุศีลหยิบยื่นอาบัติให้พระสงฆ์ไม่เป็นบาป แต่พระสงฆ์ทุศีลผู้รับเงินต้องอาบัติ พระสงฆ์ทุศีลต้องสละเงินหรือสิ่งของที่ซื้อหามาด้วยเงิน ต้องปลงอาบัติต่อหน้าคณะสงฆ์ตามจำนวนครั้งที่ทำ พระสงฆ์เป็นผู้บอกสอนหรือให้คำแนะนำฆราวาสได้ แต่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเงินทองไม่ใช่กิจของสงฆ์ #125

    เหนื่อยแทนพี่ยักษ์จริง ๆ
    พอเขายกพระรับปัจจัยมาให้ดู พระออก tv ก็บอกว่า


    ท่านอาจจะไม่เข้าใจคำว่า "รับเงินทอง" ความหมายตามพระธรรมคำว่ารับเงินทองไม่ได้หมายความว่า ห้ามหยิบ ห้ามจับหรือห้ามรับเงิน ในสมัยพุทธกาลเคยมีมาแล้ว พระสงฆ์พบเห็นเงินทองตกอยู่แล้วปล่อยทิ้งไว้ ไม่หยิบจับมาเก็บรักษาไว้ในที่เหมาะสมเพื่อรอคืนให้เจ้าของเงินนั้น พระสงฆ์รูปนั้นต้องอาบัติ ท่านทำความเข้าใจคำว่า "รับเงินทอง" ให้ดีๆ อย่าเข้าใจง่ายๆ ธรรมไม่ใช่ของง่ายที่จะเข้าใจครับ พระสงฆ์สามารถหยิบจับรับเงินได้ครับ แต่ต้องไม่รับมาเพื่อเก็บหรือเพื่อไว้ใช้จ่ายซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของมาเป็นของตนเอง

    ลองไปอ่านหัวข้อที่ #57 #90 #109 ที่ตัวเองบอกสิว่าพูดอะไรไว้บ้าง ผมจำทุกโพสต์ที่ผมเขียนได้ ยืนยันสิ ผมจำทุกโพสต์ที่ผมเขียนได้ ก่อนโพสต์ผมคิดดีแล้ว ผมโพสต์แล้วผมไม่เคยแก้ไข ผมมั่นใจสิ่งที่ผมทำ

    ไปวัดอ้อน้อยกันไหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2012
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    #57
    ผมว่าผมก็ตอบตรงแล้วนะครับ และอย่าคิดว่าผมเป็นศิษย์หลวงพ่อชา
    ถ้าบวชเป็นพระแล้วต้องมีกิจทางโลกก็อย่าบวชครับ
    ถ้าเป็นกิจของสงฆ์ก็เป็นหน้าที่ของฆราวาสต้องบริการท่าน

    #90
    พระสงฆ์บวชเพื่ออะไรเพื่อเดินทางงั้นหรือ มีกิจอะไรต้องเดินทางอีกเป็นพระสงฆ์ต้องปล่อยวางเรื่องทางโลก กิจของพระสงฆ์มีแค่บิณฑบาตเลี้ยงชีวิต ศึกษาธรรม เวลาส่วนใหญ่ของพระสงฆ์คือนั่งสมาธิเดินจงกรรมปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริงตามธรรม เรียนรู้เรื่องทุกข์หาหนทางพ้นทุกข์ ไปงานบุญ งานบวช งานแต่งงาน งานศพ ทำพิธีกรรมต่างๆ ไม่ใช้กิจของสงฆ์ ถ้าบวชแล้วยังต้องมาทำเรื่องทางโลกก็อย่าไปบวชเลย พระสงฆ์ทำผิดพระธรรมวินัยต้องรับโทษมากกว่าฆราวาส อย่ามาอ้างว่ารับเงินเพื่อทำกิจของสงฆ์ พระสงฆ์ไม่มีกิจอะไรต้องทำ ก่อนบวชต้องทำเรื่องทางโลกให้เรียบร้อย ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ก็ยกให้บุคคลที่สมควรให้ เมื่อบวชแล้วพระสงฆ์จะมีได้ก็แค่ บาตรกับจีวร อยู่โค่นไม้หรือเรือนว่าง หรือเสนาสนะตามที่ชาวบ้านจัดไว้ให้ เป็นพระสงฆ์ต้องเป็นคนเลี้ยงง่าย พอใจในสิ่งที่ชาวบ้านถวายให้ ท่านไปดูกุฏิพระสงฆ์ทุศีลทั้งหลายที่ไม่ได้นุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์มีหมด ทีวี ตู้เย็น ฯลฯ ส่วนพระสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมในกุฏิจะมีแต่กาน้ำ เทียนไข

    #109
    ผู้ไม่ศึกษาย่อมไม่เห็นธรรม นักปฏิบัติเขาทราบกันทั้งนั้น ไม่สังเกตกันหรือทำไมพระอริยะสาวกทั้งหลายที่ท่านเป็นนักปฏิบัติ ท่านไม่รับกิจนิมนต์ตามบ้าน
    คำถามนี้ท่านยมยักษ์ช่วยตอบด้วยนะครับ?

    ลูกศิษย์วัดอ้อน้อยนี่เอง พระสงฆ์ทุศีลรับเงินทอง ทำพิธีปลุกเสก ทำน้ำมนต์ ผมไม่กราบไหว้ครับ
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑ หน้าที่ ๑๑/๗๕๔

    ปรารภเหตุให้ทรงบัญญัติสิกขาบท
    [๘] ลำดับนั้นแล ท่านพระสารีบุตรลุกจากอาสนะ ทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง
    ประณมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคแล้วกราบทูลว่า ถึงเวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่พระสุคต
    ถึงเวลาแล้ว ที่จะทรงบัญญัติสิกขาบท ที่จะทรงแสดงปาติโมกข์แก่สาวก อันจะเป็นเหตุให้
    พระศาสนานี้ยั่งยืนดำรงอยู่ได้นาน.
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จงรอก่อน สารีบุตร จงยับยั้งก่อนสารีบุตร ตถาคตผู้เดียวจักรู้
    กาลในกรณีย์นั้น พระศาสดายังไม่บัญญัติสิกขาบท ยังไม่แสดงปาติโมกข์แก่สาวก ตลอดเวลา
    ที่ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะบางเหล่า ยังไม่ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ ต่อเมื่อใดอาสวัฏ-
    ฐานิยธรรมบางเหล่า ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ เมื่อนั้นพระศาสดาจึงจะบัญญัติสิกขาบท แสดง
    ปาติโมกข์แก่สาวก เพื่อกำจัดอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านั้นแหละ อาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ยังไม่
    ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ ตลอดเวลาที่สงฆ์ยังไม่ถึงความเป็นหมู่ใหญ่โดยภิกษุผู้บวชนาน ต่อ
    เมื่อใดสงฆ์ถึงความเป็นหมู่ใหญ่โดยภิกษุผู้บวชนานแล้ว และอาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่าย่อม
    ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ เมื่อนั้นพระศาสดาจึงจะบัญญัติสิกขาบท แสดงปาติโมกข์แก่สาวก
    เพื่อกำจัดอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านั้นแหละ อาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ยังไม่ปรากฏในสงฆ์ใน
    ศาสนานี้ ตลอดเวลาที่สงฆ์ยังไม่ถึงความเป็นหมู่ใหญ่โดยแพร่หลาย ต่อเมื่อใดสงฆ์ถึงความเป็น
    หมู่ใหญ่โดยแพร่หลายแล้ว และอาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ย่อมปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้
    เมื่อนั้นพระศาสดาจึงจะบัญญัติสิกขาบท แสดงปาติโมกข์แก่สาวกเพื่อกำจัดอาสวัฏฐานิยธรรม
    เหล่านั้นแหละ อาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ยังไม่ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ ตลอดเวลาที่สงฆ์
    ยังไม่ถึงความเป็นหมู่ใหญ่เลิศโดยลาภ ต่อเมื่อใดสงฆ์ถึงความเป็นหมู่ใหญ่เลิศโดยลาภแล้ว และ
    อาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ย่อมปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ เมื่อนั้นพระศาสดาจึงจะบัญญัติ-
    สิกขาบท แสดงปาติโมกข์แก่สาวก เพื่อกำจัดอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านั้นแหละ ดูกรสารีบุตร
    ก็ภิกษุสงฆ์ไม่มีเสนียด ไม่มีโทษ ปราศจากมัวหมองบริสุทธิ์ผุดผ่องตั้งอยู่ในสารคุณ เพราะบรรดา
    ภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้ ภิกษุที่ทรงคุณธรรมอย่างต่ำ ก็เป็นโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็น
    ผู้เที่ยง เป็นผู้ที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒
    [๗๐] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ
    อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้นนั้น มหาอำมาตย์ ผู้อุปัฏฐากของท่านพระอุปนันท-
    ศากยบุตร ส่งทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไปกับทูตถวายแก่ท่านพระอุปนันทศากยบุตรสั่งว่า เจ้าจงจ่าย
    จีวรด้วยทรัพย์จ่ายจีวรนี้ แล้วให้ท่านพระอุปนันทครองจีวร. จึงทูตนั้นเข้าไปหาท่านพระอุปนันท-
    ศากยบุตร ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้ กะท่านพระอุปทนันทศากยบุตรว่า ท่านเจ้าข้า ทรัพย์สำหรับ
    จ่ายจีวรนี้แล กระผมนำมาถวายเฉพาะพระคุณเจ้า ขอพระคุณเจ้าจงรับทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร.
    เมื่อทูตนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุปนันทศากยบุตรได้ตอบคำนี้ กะทูตนั้นว่า
    พวกเรารับทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไม่ได้, รับได้แต่จีวรอันเป็นของควรโดยการเท่านั้น;
    เมื่อท่านตอบอย่างนั้นแล้ว ทูตนั้นได้ถามท่านว่า ก็ใครๆ ผู้เป็นไวยาวัจกรของท่านมีหรือ?
    ขณะนั้น อุบาสกผู้หนึ่งได้เดินไปสู่อารามด้วยกรณียะบางอย่าง จึงท่านพระอุปนันท-
    ศากยบุตรได้กล่าวคำนี้กะทูตนั้นว่า อุบาสกนั้นแล เป็นไวยาวัจกรของภิกษุทั้งหลาย.
    จึงทูตนั้น สั่งอุบาสกนั้นให้เข้าใจแล้ว กลับเข้าไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตรแจ้งว่า
    ท่านเจ้าข้า อุบาสกที่พระคุณเจ้าแสดงเป็นไวยาวัจกรนั้น, กระผมสั่งให้เข้าใจแล้ว; ขอพระคุณ
    เจ้าจงเข้าไปหา เขาจักให้ท่านครองจีวรตามกาล.
    ขณะนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตรไม่ได้พูดอะไรกะอุบาสกนั้น.
    แม้ครั้งที่สองแล ท่านมหาอำมาตย์นั้น ก็ได้ส่งทูตไปในสำนักท่านพระอุปนันทศากยบุตร
    ว่า ขอพระคุณเจ้าจงใช้สอยจีวรนั้น, ข้าพเจ้าต้องการจะให้พระคุณเจ้าใช้จีวรนั้น; แม้ครั้งที่สอง
    ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ก็มิได้พูดอะไร กะอุบาสกนั้น.
    แม้ครั้งที่สามแล ท่านมหาอำมาตย์นั้น ก็ได้ส่งทูตไปในสำนักท่านพระอุปนันทศากย-
    บุตรว่า ขอพระคุณเจ้าจงใช้สอยจีวรนั้น, ข้าพเจ้าต้องการจะให้พระคุณเจ้าใช้จีวรนั้น.
    ก็สมัยนั้น เป็นคราวประชุมของชาวนิคม และชาวนิคมได้ตั้งกติกากันไว้ว่า. ผู้ใดมาภาย
    หลัง ต้องถูกปรับ ๕๐ กหาปณะ.
    คราวนั้น ท่านอุปนันทศากยบุตรเข้าไปหาอุบาสกนั่น. ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะเขาว่า
    ฉันต้องการจีวร,
    อุบาสกนั้นขอผัดว่า ท่านเจ้าข้า โปรดรอสักวันหนึ่งก่อน, วันนี้เป็นสมัยประชุมของ
    ชาวนิคม และชาวนิคมได้ตั้งกติกากันไว้ว่า ผู้ใดมาภายหลังต้องถูกปรับ ๕๐ กหาปณะ.
    ท่านพระอุปนันทศากยบุตรได้กล่าวคาดคั้นว่า ท่านจงให้จีวรแก่ฉันในวันนี้แหละ แล้ว
    ยึดชายพกไว้.
    ครั้นอุบาสกนั้นถูกคาดคั้น จึงจ่ายจีวรถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร แล้วจึงได้
    ไปภายหลัง. คนทั้งหลายพากันถามอุบาสกนั้นว่า เหตุไรท่านจึงได้มาภายหลัง? ท่านต้องเสีย
    เงิน ๕๐ กหาปณะ. จึงอุบาสกนั้นได้เล่าเรื่องนั้นให้คนเหล่านั้นฟัง คนทั้งหลาย พากันเพ่งโทษ
    ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ เป็นคนมักมาก ไม่สันโดษ
    จะทำการช่วยเหลือคนเหล่านี้บ้าง ก็ทำไม่ได้ง่าย ไฉนพระอุปนันทศากยบุตร เมื่ออุบาสกขอผัด
    ว่าท่านเจ้าข้า กรุณารอสักวันหนึ่งก่อน ก็รอไม่ได้?
    ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย
    สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
    ไฉนท่านพระอุปนันทศากยบุตร เมื่ออุบาสกขอผัดว่า ท่านเจ้าข้า กรุณารอสักวันหนึ่งก่อน
    ก็รอไม่ได้? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
    ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
    พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรก
    เกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า ดูกรอุปนันท ข่าวว่า เธออันอุบาสกขอ
    ผัดว่า ท่านเจ้าข้า กรุณารอสักวันหนึ่งก่อน ก็รอมิได้ ดังนี้ จริงหรือ?
    ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
    ทรงติเตียน
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ
    ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำไฉน เธอเมื่ออุบาสกขอผัดว่า กรุณา
    รอสักวันหนึ่งจึงไม่รอเล่า? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่
    เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่นเป็น
    ไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่
    เลื่อมใสแล้ว.
    ทรงบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตรโดยอเนกปริยายดั่งนี้แล้ว ตรัสโทษ
    แห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ
    ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย
    ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม
    การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย, ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่
    เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งภิกษุทั้งหลายว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำ
    นาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
    เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่อความอยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอัน
    จะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยัง
    ไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม
    ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ว่าดังนี้:-
    พระบัญญัติ
    ๒๙.๑๐ อนึ่ง พระราชาก็ดี ราชอำมาตย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี คหบดีก็ดี ส่ง-
    ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไปด้วยทูตเฉพาะภิกษุว่า เจ้าจงจ่ายจีวรด้วยทรัพย์สำหรับจ่าย
    จ่ายจีวรนี้แล้วยังภิกษุชื่อนี้ให้ครองจีวร, ถ้าทูตนั้นเข้าไปหาภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า
    ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรนี้นำมาเฉพาะท่าน, ขอท่านจงรับทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร, ภิกษุ
    นั้นพึงกล่าวต่อทูตนั้นอย่างนี้ว่า พวกเราหาได้รับทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไม่, พวกเรารับ
    แต่จีวรอันเป็นของควรโดยกาล; ถ้าทูตนั้นกล่าวต่อภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ก็ใครๆ ผู้เป็น
    ไวยาวัจกรของท่านมีหรือ? ภิกษุผู้ต้องการจีวรพึงแสดงชนผู้ทำการในอารามหรืออุบา
    สกให้เป็นไวยาวัจกร ด้วยคำว่า คนนั้นแลเป็นไวยาวัจกรของภิกษุทั้งหลาย, ถ้าทูต
    นั้นสั่งไวยาวัจกรนั้นให้เข้าใจแล้ว เข้าไปหาภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า คนที่ท่านแสดง
    เป็นไวยาวัจกรนั้น, ข้าพเจ้าสั่งให้เข้าใจแล้ว; ท่านจงเข้าไปหา เขาจักให้ท่านครอง
    จีวรตามกาล, ภิกษุผู้ต้องการจีวรเข้าไปหาไวยาวัจกรแล้ว พึงทวงพึงเตือนสองสามครั้ง
    ว่า รูปต้องการจีวร; ภิกษุทวงอยู่ เตือนอยู่ สองสามครั้ง ยังไวยาวัจกรนั้น ให้
    จัดจีวรสำเร็จได้ การให้สำเร็จได้ด้วยอย่างนี้ นั่นเป็นการดี, ถ้าให้สำเร็จไม่ได้, พึง-
    ยืนนิ่งต่อหน้า ๔ ครั้ง ๕ ครั้ง ๖ ครั้ง เป็นอย่างมาก; เธอยืนนิ่งต่อหน้า ๔ ครั้ง
    ๕ ครั้ง ๖ ครั้ง เป็นอย่างมาก; ยังไวยาวัจกรนั้นให้จัดจีวรสำเร็จได้, การให้สำเร็จได้
    ด้วยอย่างนี้ นั่นเป็นการดี, ถ้าให้สำเร็จไม่ได้, ถ้าเธอพยายามให้ยิ่งกว่านั้น ยังจีวร
    นั้นให้สำเร็จ, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์; ถ้าให้สำเร็จไม่ได้พึงไปเองก็ได้, ส่งทูตไปก็ได้
    ในสำนักที่ส่งทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรมาเพื่อเธอ, บอกว่า ท่านส่งทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร
    ไปเฉพาะภิกษุใด, ทรัพย์นั้นหาสำเร็จประโยชน์น้อยหนึ่งแก่ภิกษุนั้นไม่, ท่านจงทวง
    เอาทรัพย์ของท่านคืน, ทรัพย์ของท่านอย่าได้ฉิบหายเสียเลย; นี้เป็นสามีจิกรรมใน
    เรื่องนั้น.
     
  10. ลูกอิสระ

    ลูกอิสระ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +9
    แล้วก็เป็นอย่างที่เห็นนี้ละ บาย บาย จอมแถ อ้างตำราขุ่น ๆ ก็เห็นอย่างที่เห็นนี้ละ จุ๊บ ๆ ยังไม่เคยสัมผัสละสิ อ้างตำราเวลาตอบไม่ถูกกลืนนำ้ลายตัวเอง ไหลนำ้ขุ่นๆๆเลยจ้า บายๆปลาไหลน้อย
     
  11. ลูกอิสระ

    ลูกอิสระ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +9
    อย่าเอาตำรามาบังหน้าสิยาวไปไหม เดี่ยวคนอื่นไม่ทันอ่านพวกกลืนนำ้ลายตัวเอง จุ๊บ ๆๆ
     
  12. ลูกอิสระ

    ลูกอิสระ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +9
    ถ้าบวชเป็นพระแล้วต้องมีกิจทางโลกก็อย่าบวชครับ #57

    กิจของพระสงฆ์มีแค่บิณฑบาตเลี้ยงชีวิต ศึกษาธรรม เวลาส่วนใหญ่ของพระสงฆ์คือนั่งสมาธิเดินจงกรรมปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริงตามธรรม เรียนรู้เรื่องทุกข์หาหนทางพ้นทุกข์ ไปงานบุญ งานบวช งานแต่งงาน งานศพ ทำพิธีกรรมต่างๆ ไม่ใช้กิจของสงฆ์ ถ้าบวชแล้วยังต้องมาทำเรื่องทางโลกก็อย่าไปบวชเลย #90

    ก็ที่ผมบอกไปก็น่าจะเข้าใจนะครับ ถ้าไม่เข้าใจเอามาให้อ่านอีกรอบอย่าตัดเปะ ธรรมของผมต้องอ่านและทำความเข้าใจทั้งหมด ไม่ใช้ตัดเปะ

    ท่านไปอ่านประวัติหลวงพ่อชาหรือยัง ที่ผมตอบถูกต้องหรือไม่ คุณเห็นด้วยไหม ท่านเดินทางไปต่างประเทศไม่เห็นท่านต้องใช้เงิน แล้วคุณจะอ้างว่าเดินทางพระต้องใช้เงิน #107

    ผู้ไม่ศึกษาย่อมไม่เห็นธรรม นักปฏิบัติเขาทราบกันทั้งนั้น ไม่สังเกตกันหรือทำไมพระอริยะสาวกทั้งหลายที่ท่านเป็นนักปฏิบัติ ท่านไม่รับกิจนิมนต์ตามบ้าน #109

    ผมบอกว่าพระอริยะท่านไม่รับกิจนิมนต์ตามบ้าน ท่านเอาพระสงฆ์ที่สอนธรรมมาให้ผมดู พระสงฆ์สอนธรรมะก็เป็นกิจของสงฆ์อยู่แล้วครับ กิจตามบ้านหมายถึง ทำพิธีปลุกเสก ทำน้ำมนต์ โยงสายสิณญ์ แต่ถ้าไปตามบ้านแล้วสอนธรรมะถือเป็นกิจของสงฆ์ครับ

    ที่ท่านยมยักษ์เอามาจาก Youtube มีพระสงฆ์ไม่นุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์ ฉันท์สองมื้อ รับเงิน ทำน้ำมนต์ ปลุกเสก ฯลฯ แม้แต่ศีลท่านยังรักษาไม่ได้ ศีลท่านขาดทะลุ ท่านยมยักษ์ต้องแยกอีกข้อพระสงฆ์กับพระอริยะ #120



    ท่านอาจจะไม่เข้าใจคำว่า "รับเงินทอง" ความหมายตามพระธรรมคำว่ารับเงินทองไม่ได้หมายความว่า ห้ามหยิบ ห้ามจับหรือห้ามรับเงิน ในสมัยพุทธกาลเคยมีมาแล้ว พระสงฆ์พบเห็นเงินทองตกอยู่แล้วปล่อยทิ้งไว้ ไม่หยิบจับมาเก็บรักษาไว้ในที่เหมาะสมเพื่อรอคืนให้เจ้าของเงินนั้น พระสงฆ์รูปนั้นต้องอาบัติ ท่านทำความเข้าใจคำว่า "รับเงินทอง" ให้ดีๆ อย่าเข้าใจง่ายๆ ธรรมไม่ใช่ของง่ายที่จะเข้าใจครับ พระสงฆ์สามารถหยิบจับรับเงินได้ครับ แต่ต้องไม่รับมาเพื่อเก็บหรือเพื่อไว้ใช้จ่ายซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของมาเป็นของตนเอง

    ผมจำทุกโพสต์ที่ผมเขียนได้ ก่อนโพสต์ผมคิดดีแล้ว ผมโพสต์แล้วผมไม่เคยแก้ไข ผมมั่นใจสิ่งที่ผมทำ ผมต้องการปกป้องพระธรรม ไม่สนับสนุนพระสงฆ์ทุศีล รับเงินทอง ใช้จ่ายเงินทอง ฯลฯ ท่านทำผิดกฏหมายท่านยังต้องรับโทษ พระสงฆ์ทำผิดพระธรรมวินัยก็ต้องรับโทษเป็นไปตามพระธรรมวินัยบัญญัติ หนักเบาแล้วแต่กรรม พระสงฆ์ทุศีล รับเงินทอง ใช้จ่ายเงินทอง ฯลฯ ทำผิดพระธรรมวินัย ผู้สนับสนุนพระสงฆ์ทุศีลหยิบยื่นอาบัติให้พระสงฆ์ไม่เป็นบาป แต่พระสงฆ์ทุศีลผู้รับเงินต้องอาบัติ พระสงฆ์ทุศีลต้องสละเงินหรือสิ่งของที่ซื้อหามาด้วยเงิน ต้องปลงอาบัติต่อหน้าคณะสงฆ์ตามจำนวนครั้งที่ทำ พระสงฆ์เป็นผู้บอกสอนหรือให้คำแนะนำฆราวาสได้ แต่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเงินทองไม่ใช่กิจของสงฆ์ #125

    เหนื่อยแทนพี่ยักษ์จริง ๆ
    พอเขายกพระรับปัจจัยมาให้ดู พระออก tv ก็บอกว่า


    ท่านอาจจะไม่เข้าใจคำว่า "รับเงินทอง" ความหมายตามพระธรรมคำว่ารับเงินทองไม่ได้หมายความว่า ห้ามหยิบ ห้ามจับหรือห้ามรับเงิน ในสมัยพุทธกาลเคยมีมาแล้ว พระสงฆ์พบเห็นเงินทองตกอยู่แล้วปล่อยทิ้งไว้ ไม่หยิบจับมาเก็บรักษาไว้ในที่เหมาะสมเพื่อรอคืนให้เจ้าของเงินนั้น พระสงฆ์รูปนั้นต้องอาบัติ ท่านทำความเข้าใจคำว่า "รับเงินทอง" ให้ดีๆ อย่าเข้าใจง่ายๆ ธรรมไม่ใช่ของง่ายที่จะเข้าใจครับ พระสงฆ์สามารถหยิบจับรับเงินได้ครับ แต่ต้องไม่รับมาเพื่อเก็บหรือเพื่อไว้ใช้จ่ายซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของมาเป็นของตนเอง

    ลองไปอ่านหัวข้อที่ #57 #90 #109 ที่ตัวเองบอกสิว่าพูดอะไรไว้บ้าง ผมจำทุกโพสต์ที่ผมเขียนได้ ยืนยันสิ ผมจำทุกโพสต์ที่ผมเขียนได้ ก่อนโพสต์ผมคิดดีแล้ว ผมโพสต์แล้วผมไม่เคยแก้ไข ผมมั่นใจสิ่งที่ผมทำ

    ไปวัดอ้อน้อยกันไหม
     
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผู้ไม่ศึกษาย่อมเห็นพระธรรมเป็นตำรา เป็นกระดาษเปล่า
    --- --------
    ขอให้เจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรม
     
  14. ลูกอิสระ

    ลูกอิสระ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +9
    สอนตัวเองสิ ส่องกระจกไม่ใช่แค่อ่าน แค่คนด่าพระคนศึกษาเขาไม่ทำกันจะปลาไหลน้อย ผู้ศึกษากระดาษเปล่า

    ลูกศิษย์วัดอ้อน้อยนี่เอง พระสงฆ์ทุศีลรับเงินทอง ทำพิธีปลุกเสก ทำน้ำมนต์ ผมไม่กราบไหว้ครับ

    หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) - กระดานข้อความ | Facebook
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2012
  15. ลูกอิสระ

    ลูกอิสระ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +9
    เค้่าหวังดีน้า ไปฟังสะอย่าไปยึดติด ตามัน จะได้สว่าง สงบ จิตจะได้สบายอุราเหมือนหนูไงล้า

    ช่องของ TheChanana2010 - YouTube
     
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระสงฆ์ทุศีล ไม่เคารพในพระธรรมวินัย ผมก็ไม่เคารพท่าน ท่านลูกอิสระจะศรัทธาท่านเป็นเรื่องของท่าน หาเนื้อนาบุญกันเองครับ จะกราบไหว้ทำบุญกับพระทุศีลหรือกราบไหว้พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เลือกกันเองครับ
     
  17. ลูกอิสระ

    ลูกอิสระ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +9
    รับลองฟังหมด ไม่ยึดติดแน่นอน ที่เถียงคุยกันมารับรองจะสว่างจ้า แน่จริงก็ ฟังซิกล้าไหมล้า แน่จริงก็ ฟังซิ ถ้ารับไม่ได้ก็มืดต่อไปนะจ๊ะ อย่าตัดสินอะไรง่ายๆๆ ยังไม่เข้าสัมผัสก็ด่าแล้ว นิสัยแบบนี้คือคนไม่ศึกษามีทิฐิ แน่จริงก็ฟังสิ
     
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมไม่ด่าท่านนะครับอย่ากล่าวหากัน ยังไงท่านก็มีศีลมากกว่าผม ผมไม่ฟังธรรมจากพระทุศีลครับ เชิญท่านลูกอิสระฟังเอาเองเถิด
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค หน้าที่ ๑๗๔/๓๘๓
    ๗. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์
    ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา
    เห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน
    ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่
    พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน
    ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์
    ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล แม้ข้อนี้
    ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
     
  20. ลูกอิสระ

    ลูกอิสระ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +9
    ลูกศิษย์วัดอ้อน้อยนี่เอง พระสงฆ์ทุศีลรับเงินทอง ทำพิธีปลุกเสก ทำน้ำมนต์ ผมไม่กราบไหว้ครับ ครพูดจ๊ะ ดูถูกคนอื่นยังไม่รู้แจ้งเห็นจริง ใครพิมพ์มาละเนี่ยคุยกันแค่สองคน เชื่อเลยโคตรแถนั้นสิทำไมพี่ๆ เขาเอือมละอ่าเข้าใจแล้วเมื่อมาสัมผัสเองสุดๆ อ่า ยังไงก็ไม่เข้าใจหลอก เชิญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...