ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    กิจกรรมที่ รพ.สงฆ์ ประจำเดือนนี้คือวันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม 2556 โดยนัดพบเพื่อจัดเตรียมสังฆทานอาหารที่โรงอาหารด้านข้าง รพ.สงฆ์ในเวลา 7.30 น.-8.00 น. เหมือนเช่นเคย

    จึงขอแจ้งให้ผู้ที่สนใจได้ทราบทั่วกัน โดยผมและกรรมการของทุนนิธิฯ จะได้เบิกเงินจากบัญชีของทุนนิธิฯ เพื่อเตรียมทยอยบริจาคไปยัง รพ.ต่างๆ ให้เสร็จเรียบร้อยภายในสัปดาห์หน้า โดยมีรายละเอียดการบริจาคสำหรับเดือนมีนาคม 2556 ดังนี้ (สำเนาการโอนเงินจะได้นำมาลงให้อนุโมทนากันต่อไปครับ)


    1 รพ.สงฆ์
    - ถวายค่าสังฆทานอาหาร 6,000.- (ประมาณการพระสงฆ์ไว้200 รูป โดย
    จะถวายเป็นอาหารกล่องๆ ละ 30.-)
    - ถวายค่าเวชภัณฑ์ส่วนกลาง 5,000.-
    - ถวายค่าโลหิต 5,000.-


    รวม 16,000.-

    2 รพ.ภูมิภาค
    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 8,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชปัว 5,000.- จ.น่าน
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย 8,000.- จ.เลย
    - รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 8,000.-
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 8,000
    - รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบล 5,000.-
    - รพ.สงขลา จ.สงขลา 8,000.-
    - รพ.ปัตตานี จ.ปัตตานี 5,000.-


    รวม 55,000.-

    วมประมาณการเงินบริจาคของทุนนิธิฯ ตามข้อ 1.+2.+ = 71,000.- (เจ็ดหมื่นหนึ่งพันบาทถ้วน)


    ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ไ้ด้บริจาคเงินช่วยพระสงฆ์อาพาธโดยผ่านกระทู้นี้ด้วยจะมากจะน้อยไม่เป็นไร ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านด้วยครับ


    พันวฤทธิ์
    ๒๑/๓/๕๖


    <a href="http://pic.free.in.th/id/f184ecb023b044c1b4d74963295bd372" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/z/io/c3qh4.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    ภาพการรักษาพระสงฆ์อาพาธที่ รพ.สงขลา จ.สงขลา ที่ป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพอง ต้องเจาะลำคอเพื่อดูดเอาเสมหะออก และให้อาหารทางสายยาง โดยการรักษาท่านได้ใช้เงินของทุนนิธิฯ ที่โอนให้ทุกเดือนใช้ในการรักษา แต่เนื่องจากร่างกายท่านไม่สามารถทนต่อการรักษาได้ ปัจจุบันท่านได้มรณะภาพไปแล้ว
     
  2. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    เรียน ท่านกรรมการทุนนิธิฯ
    อาทิตย์ที่ 31 มี.ค.นี้ผมติดภาระกิจเรื่องงานที่เลี่ยงไม่ได้ เสียดายที่ไม่ได้ไปร่วมงานแต่ผมได้โอนเงินเพื่อร่วมบุญจำนวน 500 บาทครับ
    จึงเรียนมาเพื่อทราบและร่วมโมทนาบุญด้วยกันครับ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • donate.jpg
      donate.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66.7 KB
      เปิดดู:
      40
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มีนาคม 2013
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ด้วยฤทธิ์แห่งนาค


    เรื่องลึกลับในโลก โดยมากก็มักเป็นเรื่องลึกลับกันมานาน อาจจะนับได้เป็นพันปี หรือ ร้อยปี หรือสิบปี หากถึงกระนั้น ณ วันนี้เรื่องราวเหล่านั้นก็ยังคงลึกลับอยู่ เพราะคนที่จะไขได้ย่อมต้องเป็นผู้รู้จริง แตกฉานในศาสตร์นั้น ๆ เรื่องราวนั้น ๆ จริง

    และเมื่อรู้จริงก็มักไม่ยอมพูดเสียด้วย

    เรื่องของสิ่งมีชีวิตในอีกมิติหนึ่งซึ่งยากที่คนทั่วไปจะรู้ตาม เป็นสิ่งอันยากต่อการพิสูจน์ ด้วยเพียงปรารภขึ้นว่า ‘อีกมิติหนึ่ง’ คนทั้งหลายก็ล้วนตั้งป้อมรอท่าไว้ก่อนแล้วว่ากำลังจะได้รับฟัง ‘นิยาย’

    ทว่านิยายนี้ พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกของโลกก็ทรงรับรองถึงความมีอยู่จริง ในอีกมิติหนึ่งที่เราเข้าไปไม่ถึงและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ปรากฏสิ่งมีชีวิตซึ่งมีรูปกายอันประณีต ละเอียดเล็กจนตาเนื้อไม่อาจเล็งแลได้ดุจเดียวกับ ‘เชื้อจุลินทรีย์’ เชื้อจุลินทรีย์ก็ดี เชื้อไวรัสก็ดี เชื้อบักเตรีก็ดี ชีวิตเล็ก ๆ เหล่านี้นักวิทยาศาสตร์และผู้คนทั่วโลกล้วนยอมรับว่ามีอยู่จริงและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ต้องใช้เครื่องมือที่ควรกันเพื่อมอง

    กล้องจุลทรรศน์จึงถือกำเนิดขึ้น

    เช่นเดียวกัน เมื่อเราอยากเห็น ‘สิ่งมีชีวิต’ ที่อยู่ต่างภพภูมิก็จำเป็นต้องปรับจูนตาของเราให้มีประสิทธิภาพดีพอเยี่ยงกล้องจุลทรรศน์ เพื่อให้เห็นในสิ่งที่อยากเห็น แต่มิใช่ที่ตานอก หากเป็น ‘ตาใน’ ตาในที่แจ่มใสด้วยอำนาจฌาน-ญาณ ของสมเด็จพระบรมศาสดาและพระอรหันตสาวก รวมไปถึงผู้ออกเดินในเส้นทางแห่งภาวนาทั้งหลาย สายตาย่อมแจ่มชัดกว่าปุถุชนผู้หนากิเลสทั่วไป

    ย่อมเห็นในสิ่งที่คนทั้งหลายไม่อาจเห็น และแม้จะพูดว่าได้เห็นอะไร ความหนาในใจก็ยังปิดกั้นให้นั่งรับฟังได้แต่ไม่ยอมเชื่อถือ คนจึงไม่กลัวบาป เพราะไม่เชื่ออย่างถึงใจว่านรกมี อสุรกายมี เปรตมี คนจึงไม่ทำบุญ เพราะไม่เชื่ออย่างถึงใจว่าสวรรค์มี พรหมโลกมี และไม่ปฏิบัติธรรมภาวนา เพราะไม่เชื่ออย่างถึงใจว่า พระนิพพานมี ดินแดนแห่งบรมสุขมีอยู่จริง

    เหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรง ‘ห้ามพูด’
    ห้าม....แม้ว่าจะได้เห็นจริง

    ดังนั้น ปริศนาของสิ่งลี้ลับในโลกเร้นลับ จึงยังคงครองความลี้ลับต่อไปได้อย่างสง่าผ่าเผย คนผู้พยายามไขหรือชี้แจงจึงมักเป็นเพียง ‘ตัวตลก’ ในสายตาของคนทั้งโลก

    แต่ไม่เชื่อ ก็ใช่ว่าจะทำให้สิ่งนั้นไม่มี

    หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง จึงให้ศิษย์ติดป้ายปริศนาอันหนึ่งไว้ในวัดข้างแท้งค์น้ำว่า

    ‘สิ่งไม่มี ไม่มีในโลก’

    [​IMG]



    พญานาค เป็นอีกหนึ่งสัตว์โลกที่อาศัยอยู่ด้วยบุญ บาป เช่นเดียวกับเรา เป็นผู้อยู่ในอีกมิติหนึ่งอันใกล้ชิดกับมนุษย์อย่างยิ่ง จนบางคราวก็ได้ปรากฏออกมาให้พบเจอกันซึ่งก็มีทั้งโดยเจตนาและโดยบังเอิญ

    พญานาค มีด้วยกันหลายตระกูล ถือกำเนิดด้วย ‘อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก’ คือบุญที่มีบาปพัวพัน หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย เคยปรารภว่า ใครที่อยากเกิดเป็นนาคต้องอธิษฐานเอานะ ทำบุญแล้วอธิษฐานจิตให้มั่นคง แต่หากทำบุญภาวนาอย่างเดียวก็ไม่ได้เกิดเป็นนาคอีก ได้เป็นเทวดาไปเสียเมื่อตาย คนที่ได้เกิดเป็นนาคนั้น มักเป็นผู้บุญก็ทำบาปก็ทำและมีความยินดีในภพของนาค เมื่อตายลงไปบุพกรรมนั้นก็ชักนำให้ได้เป็นเกิดเป็นนาค

    นาคบางพวกมีฤทธิ์น้อย เหล่านี้จึงตกเป็นอาหารของ ‘ครุฑ’ นาคบางพวกมีฤทธิ์มาก ครุฑจับกินไม่ได้ ซ้ำดีร้ายก็ยังต้องหนีเพราะนาคมีพิษที่ร้อนแรงยิ่งกว่าเพลิงกาฬ เมื่อครั้งที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโต นำคณะพระกรรมฐานหลายรูปเที่ยววิเวกอยู่ในป่าลึก ครั้นถึงบึงน้ำใหญ่ในป่าแห่งหนึ่งก็ดำริกันว่าจะพักกลดภาวนากัน ณ สถานที่นี้

    [​IMG]


    แต่ท่านพระอาจารย์มั่นนั้นทราบล่วงหน้าแล้ว เห็นล่วงหน้าแล้วแต่ไกล ถึงสิ่งลี้ลับที่อาศัยอยู่ในบึงแห่งนี้ นั่นคือ ‘พญานาค’ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 ตน นาคทั้งสามเมื่อเห็นคณะพระธุดงค์เดินทางเข้ามาใกล้ ก็ให้อัศจรรย์กับรัศมีที่รุ่งเรืองแผ่ซ่านออกมาด้วยบุญบารมี นาคทั้งสามจึงเกิดความคิดอยากทดลองกำลังบุรุษผู้มีบุญเหล่านี้ จึงพากัน ‘คาย’ พิษที่รุนแรงยิ่งลงในน้ำ จากนั้นก็พากันหลีกหนีไปซุ่มดู

    ท่านอาจารย์ใหญ่แม้เห็นดังนั้นแล้วก็นิ่งเฉยเสีย จนเดินทางมาถึงบึงน้ำจึงมีคำสั่งแก่หมู่คณะว่าห้ามตักน้ำในบึงมาใช้สอยดื่มกินเป็นอันขาด แล้วหันไปทางพระน้อยรูปหนึ่งสั่งความ ปรากฏว่าพระน้อยรูปนั้นก็ทราบมาแต่ไกลแล้วเช่นเดียวกับท่านอาจารย์ใหญ่ จึงรับบัญชาอาสาไป ‘ทรมาน’ นาคมิจฉาทิฏฐิเหล่านั้นให้คลายพยศลดมานะ

    และท่านก็ทำสำเร็จได้ในเวลาไม่นานนัก ท่านพระอาจารย์ใหญ่จึงออกปากชมเชยถึงอำนาจจิตและคุณธรรมในพระน้อยองค์นี้เป็นที่ยิ่ง ไม่อาจทราบได้ว่าพระหนุ่มรูปนั้น ‘ปราบ’ พญานาคทั้งสามด้วยวิธีใดจนเขามายอมรับนับถือพระรัตนไตรและยอม ‘ถอน’ พิษที่รุนแรงนั้นออกจากน้ำ แต่ทราบแน่นอนว่าพระน้อยรูปนั้นชื่อ....

    พระอาจารย์ชอบ ฐานสโม

    [​IMG]


    จึงเห็นได้ว่าพิษนาคนั้นมีอานุภาพมาก แม้คายลงไปผสมปนเปกับน้ำปริมาณมหาศาลก็ยังไม่อาจเจือจางได้ หากคณะท่านพระอาจารย์มั่นไม่สูงส่งด้วยอำนาจญาณ ก็อาจต้องถึงแก่มรณภาพด้วยพิษนั้น และใครจะรู้ได้เล่าว่าพระธุดงค์ก็ดี ชาวบ้านก็ดี ที่ต้องถึงแก่ชิวิตด้วยการดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติบางแห่งจะไม่ได้ตายเพราะพิษนาค !

    เพราะความที่อยู่บนพื้นฐานของความไม่เชื่ออย่างสุดโต่งนี้เอง จึงสันนิษฐานทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องของความบังเอิญบ้าง เป็นเหตุสุดวิสัยบ้าง เป็นโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ บ้าง แม้ครูบาอาจารย์จะกล่าวเตือนหรือท้วงติงอย่างไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจคนมีทิฏฐิมานะสูงเหล่านั้นได้

    จนกว่าจะได้รับผลของการกระทำ

    ปัจจุบันคนทั่วโลกตื่นตัวกันมากและโจษจันไปทั่วกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ภาวะโลกร้อน’ โลกร้อนขึ้น ทำให้ฝนตกหนักและตกผิดฤดู ทำให้หิมะละลาย ทำให้น้ำท่วม ทำให้แผ่นดินไหว เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ จากธรรมชาติขึ้นไม่เว้นวัน คนที่เชี่ยวชาญในวิทยาศาสตร์ก็ออกมาอธิบายแบบวิทยาศาสตร์ คนที่เชี่ยวชาญในภูมิศาสตร์ก็ออกมาอธิบายแบบภูมิศาสตร์ แต่วันนี้จะขออธิบายแบบที่ผู้คนชอบเรียกกันว่า ‘ไสยศาสตร์’ แม้จะไม่ได้เชี่ยวชาญก็เถิด

    เป็นที่รู้กันในกลุ่มคนที่ศึกษาพระพุทธศาสนาแบบทั่วไปและคนที่ศึกษาในระบบเทววิทยา ว่าเทวดาผู้ควบคุมฝนคือ พระพิรุณ และยังมีอีกพวกหนึ่งคือ นาค

    อันฝนตกนั้นแน่นอนว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ หาใช่การดลบันดาลจากใครไม่ แต่เชื่อไหมว่าแม้กระนั้นก็ยังมีผู้ที่คอยควบคุมอยู่เบื้องหลังอีกชั้นหนึ่ง การตกแบบธรรมชาติเขาก็ปล่อยให้ตกไป แต่บางคราวการตกแบบไม่ธรรมชาติ เขาก็ต้องทำ เช่น เมื่อมีการบวงสรวงร้องขอ เมื่อมีการประกอบพุทธาภิเษกสำคัญ ๆ ซึ่งอันนี้จะทำให้โปรยปรายเป็นฝอยละเอียดเพื่อเป็นศุภนิมิตถึงความชุ่มเย็น หรือตกหนักก่อนหน้าเพื่อ ‘ชะล้าง’ สิ่งสกปรกดังเช่นเมื่อตอนหลวงปู่ดู่จะปลุกเสกเหรียญเปิดโลก เป็นต้น

    ดังนั้นเรื่องลม ฝน แผ่นดิน นอกจากจะจัดว่าเป็นสิ่งอันธรรมชาติรังสรรค์แล้วก็ยังแน่นอนได้ว่ามีผู้สามารถบังคับได้ทำงานอยู่อย่างที่เราไม่รู้ไม่เห็น

    บอกแล้วว่าไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มี

    ย้อนไปในปี พ.ศ. 2472 ยังมีพระมหาเถระผู้ทรงธรรมอันเลิศอยู่ด้วยกันหลายองค์ แต่ละรูปละองค์ก็ล้วนตั้งมั่นอยู่ในพระธรรมวินัยเป็นอันดี อีกทั้งยังเปี่ยมด้วยอำนาจฌาน-ญาณซึ่งเกิดจากการฝึกฝนจิตอย่างชนิดที่เรียกว่า “ไม่ตายก็ให้มันดี ไม่ดีก็ให้มันตาย”

    พระมหาเถระดังกล่าวจึงนิยมในความสงบไม่พลุกพล่านวุ่นวาย ดังนั้น ภายใต้การนำของ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) พระอริยเจ้าแห่งวัดบรมนิวาส พระนคร กับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แม่ทัพธรรม จึงนำพระภิกษุสามเณรจาริกไปยังเมืองเชียงใหม่ และได้พักจำพรรษาอยู่ ณ วัดเจดีย์หลวง ในปี พ.ศ. 2472 นั้นเอง

    [​IMG]

    ปีนั้นได้เกิดภัยแล้งแก่เมืองเชียงใหม่อย่างน่าเวทนาเป็นที่สุด ทั้งชาวไร่และชาวนาต่างได้รับความทุกข์เดือดร้อนอย่างสาหัส เพราะฝนไม่ตกเอาเสียเลยทั้งที่เข้าพรรษามานานแล้ว ทุกวันมีแต่แสงแดดแผดจ้าจนไม้ใหญ่ก็ล้มตายไม้เล็กก็ไม่ได้เกิด หนำซ้ำพืชผลที่พอได้ใช้อยู่ใช้กินก็พลอยตายกันหมดสิ้นมิพักต้องพูดถึงพืชเศรษฐกิจใด ๆ

    ความทุกข์นี้ครอบงำไปทั่วนครเชียงใหม่ไม่เว้นแม้โดยรอบปริมณฑลอำเภอต่าง ๆ เสียงพร่ำบ่นถึงความทุกข์มีให้ได้ยินกันทุกวันจนแทบกลายเป็นคำทักทาย ในที่สุดเสียงทุกข์คร่ำครวญก็ดังเข้าสู่วัดเจดีย์หลวง

    [​IMG]


    วันหนึ่งในตอนบ่าย ท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ได้ออกจากกุฏิมาเรียกพระอาจารย์แหวน สุจิณโณ ว่า

    “แหวน ๆ มานี่หน่อย”

    เมื่อพระอาจารย์แหวนเข้าไปหาแล้วกราบลงเป็นที่เรียบร้อย ท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ก็สั่งความว่า

    “วันนี้ทำทางจงกรมให้หน่อยนะ ฝนแล้งเหลือเกิน จะเสก อิ ติ ปิ โส สักเจ็ดวัน เอาให้ฝนตกท่วมเมืองเชียงใหม่เลย...!!”

    ครั้นพระอาจารย์แหวนกราบลาออกมาแล้วก็ไปเรียกสามเณรมาให้ช่วยดายหญ้าปรับพื้นที่ให้นูนสูงเป็นทางเดินยาวประมาณ 30 ก้าวเดิน เกลี่ยและปรับหน้าดินข้างบนให้เรียบเนียน เสร็จแล้วก็ไปกราบเรียนให้ท่านทราบ

    และในเย็นวันนั้น เมื่อท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ สรงน้ำเรียบร้อยแล้วก็เป็นหัวหน้านำหมู่คณะไหว้พระสวดมนต์เจริญภาวนา ครั้นเสร็จธุระจากหมู่ ท่านก็เดินตรงไปยังทางจงกรมที่พระอาจารย์แหวนรับบัญชาไปทำไว้

    จากนั้นท่านก็ขึ้นทางจงกรมพนมมือภาวนารำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย เมื่อออกก้าวเดินท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ก็หาได้กำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมบริกรรมพุทโธแต่อย่างใดไม่ หากท่านสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย คือ อิติปิโส ฯลฯ จนจบ แล้วต่อด้วย สวากขาโต ฯลฯ แล้วต่อด้วย สุปฏิปันโน ฯลฯ อันเป็นบทสวดมนต์ธรรมดาที่เราสวดกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

    แต่เมื่อจบบทพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วท่านได้สวดต่อว่า...

    “อากาสัฏฐา จะ ภุมมัฏฐา เทวา นาคา มหิทธิกา ปุญญัง โน อนุโมทันตุ รักขันตุ โน สะทา” แล้วท่านก็ตั้งสัจจาธิษฐานด้วยเสียงอันดังว่า

    “ขอให้มหาเมฆอันใหญ่ จงตั้งขึ้นในทิศปัจจิม ข้ามศีรษะของข้าพเจ้าไปยังทิศอุดร แล้วยังฝนให้ตกลงมายังพื้นปฐพีอันแห้งแล้งนี้ เพื่อบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในปฐพี จะได้ดื่มกิน เพื่อยังพืชพันธุ์ธัญญาหารและมูลผลาหารทั้งหลายให้สมบูรณ์บริบูรณ์ในพื้นปฐพี เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในน้ำ มีน้ำแห้งกำลังจะตายให้รอดพ้นจากความตาย.....”

    จากนั้นท่านก็สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยขึ้นใหม่อีกรอบหนึ่งแล้วสวด “อากาสัฏฐา....” จนจบต่อด้วยการตั้งสัจจาธิษฐานด้วยบุญญาบารมีของท่าน เป็นแต่เปลี่ยนทิศเรื่อยไปจนครบทิศทั้งสี่

    ท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ เดินจงกรมและบริกรรมอย่างนี้ไปล่วงได้แล้ว 5 วัน พอย่างเข้าสู่วันที่ 6 ขณะที่องค์ท่านกำลังเดินจงกรมภาวนาอยู่ ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 18.00 น. เศษ ได้บังเกิดอัศจรรย์มีเสียงดังสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นมาจากทุกทิศทุกทาง มีลมพัดกรรโชกมาอย่างรุนแรงหอบเอาใบไม้แห้งและฝุ่นคลีปลิวคลุ้งทั่วไปในอากาศ บนท้องฟ้าปรากฏหมู่เมฆพยับปกคลุมให้อากาศมืดครึ้มลงอย่างรวดเร็ว เมฆดำทะมึนกระจายตัวล้อมไปทั่วบริเวณ เสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วกระทั่งแผ่นดินสะเทือน แสงฟ้าแล่บแปลบปลาบปรากฏอยู่ไม่ขาดระยะจนสว่างไปทั่วนครเชียงใหม่

    [​IMG]

    แล้วฝนก็เริ่มสาดเม็ดโปรยปรายลงสู่แผ่นดินอย่างรุนแรงชนิดที่เรียกว่าใบไม้โงหัวไม่ขึ้น เสียงของสายฝนที่ตกกระหน่ำในวันนั้นหลวงปู่แหวนเล่าว่าดังราวกับรถไฟโบกี้ยาวที่วิ่งไปตามรางด้วยความรวดเร็ว

    ฝนได้ตกหนักอย่างนี้อยู่ตลอดเวลามิได้หยุดเลยนับตั้งแต่เวลาหกโมงเย็นเศษของวันวาน จวบจนรุ่งเช้าจึงค่อย ๆ ซาลงและขาดเม็ด

    ปรากฏว่าน้ำฝนจากภูสูงที่อยู่ล้อมเป็นปราการทั่วเมืองเชียงใหม่ได้ไหลหลั่งลงมาจากทุกทิศทุกทางท่วมตัวเมืองเชียงใหม่จนหมด เฉพาะภายในวัดเจดีย์หลวงเองน้ำทะลักท่วมสูงเกือบถึงโคนขา ทำให้พระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาตไม่ได้ ศรัทธาญาติโยมต้องลุยน้ำหาบ-เทิน นำภัตตาหารเข้ามาส่งถึงภายในวัด

    และในวันเดียวกันนี้ ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโต ผู้ซึ่ง ‘เฝ้าดู’ อาจารย์ของท่านกระทำอริยวิธีเพื่อสงเคราะห์สัตว์โลกอยู่ตั้งแต่หกวันก่อนแล้ว ก็ได้พูดกับท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ผู้เป็นอาจารย์ว่า...

    “เมื่อคืนนี้กระผมนั่งภาวนาอยู่ภายในกุฏิ กระผมกำหนดดูไปทางบริเวณดอยสุเทพก็ดี บริเวณดอยบวกห้าก็ดี เห็นมีพญานาคจำนวนล้านจำนวนโกฏิมิใช่จำนวนแสนจำนวนหมื่น พากันพ่นน้ำอยู่เต็มดอยทั้งสองจนหาที่ว่างไม่ได้อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน...”

    นี่คือความอัศจรรย์ !!

    อัศจรรย์ใจจากพระมหาเถระนาม พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) ผู้ทรงอรรถทรงธรรมและทรงคุณวิเศษอย่างยากจะหาผู้ใดเทียบได้ ท่านแตกฉานทั้งปริยัติและปฏิบัติมิได้หนักเอาเพียงข้างใดข้างหนึ่งจนเอียง ทรงไว้ซึ่งภูมิรู้โดยที่ไม่ต้องอวดแต่สามารถนำออกเมื่อถึงคราวอันควร

    อัศจรรย์ใจกับบุญบารมีขององค์ท่านที่ไม่ต้องใช้เวทย์มนต์คาถาใด ๆ เสกเป่า ไม่ต้องตั้งขันครูหัวหมูบายศรี หรือ ประกอบพิธีแห่นางแมว หากท่านสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยแล้วอ้างเอาบุญบารมีขององค์ท่านเองเป็นที่ตั้ง ดังความว่า...

    “อากาสัฏฐา จะ ภุมมัฏฐา เทวา นาคา มหิทธิกา ปุญญัง โน อนุโมทันตุ รักขันตุ โน สะทา”

    หมายความว่า ข้าแต่ภุมมเทวดา แล อากาศเทวดา ทั้งหลาย เทพ แล หมู่นาค ผู้ทรงมหาอิทธิฤทธิ์ ขอจงได้พากันอนุโมนาซึ่งบุญที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้กระทำ แล้วจงช่วยกันพิทักษ์รักษาพวกข้าพเจ้าด้วย...

    ดังนั้น หมู่เทพและนาคที่แห่แหนกันมาดลบันดาลเมฆ ลม และฝน ให้ตกอย่างหนักนั้น จึงมิได้มาด้วยถูกบังคับจากเวทย์มนต์คาถา มิได้มาเพราะต้องการเครื่องเซ่นสรวงบูชา หากมาเพราะประสงค์จะ ‘อนุโมทนา’ ซึ่งบุญของพระอริยเจ้าเหล่านั้น และเพื่อ ‘บูชา’ ซึ่งพระอริยเจ้าเช่นท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ก็เมื่อ ‘พระอรหันต์’ ร้องขอ มีหรือทวยเทพจะไม่ยินดียิ่งต่อการทำถวายเพราะหวังบุณย์อันไพบูลย์

    นี่คือเหตุการณ์หนึ่งที่อาจพิสูจน์ได้ด้วยตาและด้วยใจของคนผู้ร่วมเหตุการณ์หรือมีความศรัทธาเป็นฐานอยู่แล้วให้หนักแน่นเข้าว่า ‘นาค’ สามารถควบคุมน้ำได้ตามใจปรารถนา หากเพียงน้ำและฝนส่วนใหญ่นั้นหมู่นาคก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเอง แต่เมื่อต้องการจะควบคุม ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินทำ

    หลวงปู่คำพัน โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย เคยบอกว่า “นาคมีสามธาตุ โดยมีธาตุน้ำเป็นหลัก” น้ำจึงเป็นสิ่งจำเป็นของนาค เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เป็นที่อยู่อาศัย หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ถึงปรารภว่า “ที่ใดมีแหล่งน้ำธรรมชาติ ที่นั่นก็มีนาค”

    ครั้งที่ประเทศจีนประกาศจะระเบิดเกาะแก่งแหล่งหินในลำน้ำโขงตลอดสาย เพื่อเบิกทางให้น้ำลึกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะต้องการเป็นเจ้าเป็นใหญ่ในทางเศรษฐกิจด้วยการนำเรือเดินสมุทรวิ่งขึ้นล่องไปตามแม่น้ำโขงโดยไม่ต้องอ้อมเวียตนาม กัมพูชา

    ระเบิดเกาะแก่งในแม่น้ำโขง

    คิดได้อย่างไร ? แม่น้ำโขงนั้นถือได้ว่าเป็น ‘มหานทีแห่งชีวิต’ เพราะเป็นแม่น้ำนานาชาติ ทุกประเทศที่อยู่ติดลำน้ำมิได้อาศัยแม่น้ำโขงเพียงเพื่อสัญจรไปมา หากยังใช้ชีวิตพึ่งพิงอิงอยู่กับน้ำ ทั้งอาบ ดื่ม ซัก ล้าง และหาอยู่หากิน คือทอดแห ตกปลา แม้กระทั่งเลี้ยงปลาในกระชังก็ทำ

    ปลาบึก ปลาเนื้ออ่อน ปลาตะโกก ฯลฯ ปลาต่าง ๆ สัตว์น้ำต่าง ๆ ในแม่น้ำโขงได้อาศัยเกาะ แก่งแอ่งหินต่าง ๆ เป็นที่หลบภัยและวางไข่ ทำให้ระบบนิเวศน์และชีวิตในลำน้ำโขงยังปรากฏอยู่ตามธรรมชาติตราบจนทุกวันนี้

    แต่จีนอยากระเบิดทิ้ง !!

    เพียงเพื่อสนองความอยากใหญ่ในระบบเศรษฐกิจ อยากเป็นผู้นำแห่งเอเซียทั้งด้านการทหารและการค้า โดยลืมทุกสิ่งทุกอย่างหมดสิ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งมารยาทและคุณธรรม

    จีนบอกกับทุกประเทศที่แม่น้ำโขงไหลผ่านว่าให้ร่วมมือกันระเบิดเกาะแก่งเพื่อล่องเรือใหญ่ เมื่อหลายประเทศพากันคัดค้านไม่เห็นด้วยจีนก็ออกไม้ตายว่าถ้าไม่ยอมตามก็จะทุ่มงบประมาณขุดแม่น้ำสายใหม่ขึ้นมาในจีนให้ไหลไปออกอีกทางนัยว่าเซี่ยงไฮ้ แล้วจะทำการสร้างเขื่อนใหญ่กั้นแม่น้ำโขงไว้ให้ไหลไปตามทางสายใหม่ไม่ไหลมาทางเดิม

    และจีนก็นำร่องด้วยการระเบิดเกาะแก่งแหล่งหินดอนในแม่น้ำโขงไปหลายจุดแล้วในส่วนที่ไหลอยู่ในเขตประเทศจีน เป็นเหตุให้เกิดดินโคลนและตะกอนพัดพากันมาทับถมอยู่ตามแนวตลิ่ง และหาดทราย ตลอดทางที่แม่น้ำไหลนับจากใต้ตำแหน่งที่ระเบิดลงมา คนที่มีพื้นเพอยู่ตามแนวแม่น้ำโขงต่างพบกับปัญหานี้กันถ้วนหน้า

    นี่คือจีน

    แม่น้ำโขงที่มีมาเป็นพันเป็นหมื่นปีก่อนคนที่คิดอย่างนี้จะเกิด ต้องมาจบลงด้วยวิธีการอย่างนี้ล่ะหรือ ? หลายคำถามประดังใส่ผมจากคนที่คุ้นเคย

    ผมตอบไปตามความ ‘งมงาย’ ส่วนตัวทันทีว่า ไม่มีทางหรอก ผมเชื่อโดยส่วนตัวของผมเองอย่างจริง ๆ จัง ๆ ว่าในแม่น้ำโขง เป็นที่อาศัยของหมู่นาค เป็นทางออก ทางเข้า ทางขึ้นลงที่ใหญ่ที่สุดแล้วในโลกของปวงนาค เขาหรือจะยอมให้จีนประเทศมหาอำนาจแบบโลก ๆ แต่ไม่ใช่มหาอำนาจแบบธรรมชาติอย่างที่พวกเขาเป็นมาทำลาย

    ผมพูดกันตั้งสองปีมาแล้วว่าถ้าจีนยังดันทุรังจะทำอย่างที่บอก รับรองได้ว่าจีนจะได้พบกับความ ‘วิบัติ’ อย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน เพราะนาคไม่ใช่จะควบคุมได้เพียงแค่น้ำ แต่ถ้าจำต้อง ‘บังคับ’ ธาตุทั้งสี่เขาก็ทำได้เช่นกัน

    แล้วไม่นานจีนก็น้ำท่วมหนัก...
    แล้วก็แผ่นดินไหวอย่างหนัก...!!

    ราวสองสามปีก่อนผมได้คุยกับอาจารย์เวทย์ อาจารย์บอกว่าพวกนาคโกรธมากที่คนทำให้แหล่งน้ำธรรมชาติสกปรก ไม่ว่าจะทิ้งขยะ ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไปมากมาย ซ้ำคนบนโลกส่วนมากก็ไม่มีศีลธรรมกัน ไม่เชื่อบุญเชื่อบาป หนำซ้ำพวกเขาลอยประทีบบูชาคุณพระพุทธเจ้าก็พากันหาว่าเป็นธรรมชาติสร้างบ้าง คนสร้างขึ้นมาบ้าง เพราะพญานาคไม่มีอยู่จริง เป็นเรื่องแต่ง สรุปคือไม่เชื่อ ไม่นับถือนาค แล้วเขาก็บอกกับอาจารย์เวทย์ว่า ให้เตรียมตัวให้ดี

    “มนุษย์ทำให้พวกเราเดือดร้อน คราวนี้เราจะทำให้มนุษย์เดือดร้อนบ้าง”

    ด้วยคำปฏิญาณที่น่ากลัวเช่นนี้ อาจารย์เวทย์จึงถามถึงหนทางที่จะพอบรรเทาได้ นาคบอกว่าหากเป็นคนดีมีศีลมีธรรม ก็จะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัย นอกนั้นตายหมด และยังบอกอีกว่าถ้านับถือพวกเรา เราก็จะช่วยให้รอด ใครที่มีสิ่งอันเป็นเครื่องระลึกถึงเรา เราก็จะขึ้นมาช่วย


    ผมคุยกับครูอำพลถึงเรื่องน้ำท่วมหนักอย่างไม่เคยมีมาก่อน บ้านที่ไม่เคยท่วมก็ยังท่วม หนักขึ้นเรื่อย ๆ หนักขึ้นทุกปี และกระจายตัวไปทั่วโลกอย่างน่าประหลาด เกิดขึ้นทุกทวีป ทุกประเทศ แม้ประเทศที่อยู่บนแผ่นดินสูงหรือที่ราบเชิงเขาอย่างสวิสเซอร์แลนด์ก็ยังมีน้ำท่วมหนักจนเสียหายไปหลายล้านได้แบบไม่น่าเชื่อ ครูอำพลพูดสั้น ๆ ว่า

    “นี่แค่หนังตัวอย่าง หนังจริงยังไม่ฉาย…!!”


    นี่คือฤทธิ์ของพญานาคครับ ผมเห็นน่าศึกษาจึงนำมาลงให้อ่านกันครับ โดยส่วนตัวผมมีความเชื่อในเรื่องพญาครุฑและพญานาคครับ เพราะมีประสบการณ์ลี้ลับกับท่านแบบที่ตัวเองตอบไม่ได้เหมือนกัน

    พันวฤทธิ์

    26/3/56



    ขอขอบคุณ

    ด้วยฤทธิ์แห่งนาค : บทความ - เรื่องราวน่ารู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2013
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    การทำสมาธิแบบพระพุทธเจ้า

    [​IMG]

    การทำสมาธิแบบพระพุทธเจ้า
    การทำสมาธิของคนส่วนใหญ่ประสบกับความล้มเหลว
    หรือก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นลบกับการทำสมาธิ
    เพราะขาดแนวทางที่ถูกต้อง
    หรือมองแนวทางที่ถูกต้องแบบผิดๆ
    ซึ่งก็หมายความว่ายิ่งทำสมาธิเท่าไร
    ใจก็ยิ่งแกว่ง หรือห่างไกลจากสมาธิที่ถูกที่ชอบมากขึ้นเท่านั้น
    ความเข้าใจขั้นพื้นฐานจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด
    ถ้าขาดความเข้าใจแล้วกระโดดไปพยายามทำสมาธิเลย
    เกือบร้อยทั้งร้อยจะพยายามเพ่งจับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแน่นเกินไป
    หรือไม่ก็จ้องบังคับความคิดของตัวเองให้ดับไปดื้อๆ
    การทำสมาธินั้น ทุกคนหวังจะได้ผลเป็นความสุขสงบ
    พูดง่ายๆ สมาธิคือการเปลี่ยนอึดอัดเป็นสบาย
    แต่หลายคนทำสมาธิแล้วเปลี่ยนสบายเป็นอึดอัด
    แล้วจะไปชอบใจหรือเห็นค่าของสมาธิได้อย่างไรกัน?
    เพื่อจะมองเห็นทั้งเป้าหมายของสมาธิแบบที่พระพุทธเจ้าสอน
    ตลอดจนทราบขั้นตอนของความสำเร็จอย่างชัดเจน
    ก็ขอให้ทำความเข้าใจผ่านข้อสงสัยในหมู่นักเจริญสติ
    ที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด และก่อให้เกิดความละล้าละลังที่สุด ดังต่อไปนี้



    ๑) การทำสมาธิกับการเจริญสติต่างกันอย่างไร?
    สมาธิคือภาวะของจิตที่ "ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว"
    คือนิ่งอยู่กับตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งสิ่งอื่น
    หรือเมื่อมีสิ่งอื่นมารบกวนก็ไม่แกว่งไกวตามง่ายๆ
    สติคือภาวะของจิตที่ "รู้เรื่องรู้ราว"
    คือไม่ใช่เอากันแค่นิ่งอยู่ในฝัก
    แต่ตัดเชือกกันว่าเอาตัวรอดได้หรือเปล่าด้วย
    เปรียบเทียบได้กับคนที่เผชิญกับอุบัติเหตุกะทันหัน
    ต้องนิ่งด้วย แล้วก็มีความเฉียบคมฉับไวด้วย
    จึงจะหลีกหลบสิ่งที่พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
    ด้วยความเป็นอัตโนมัติทันเวลา
    ทางพุทธเปรียบสิ่งกระทบหูตาและกายใจทั้งหลาย
    ว่าเหมือนเป็นภัยหรือยาพิษ
    เมื่อไม่รู้ว่าเป็นภัยหรือยาพิษเราก็ไม่หลีกหลบ
    ผลลัพธ์คือจิตเกิดความเสียหายอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน
    สัมมาสติคือฝึกรู้ในสิ่งที่ควรรู้
    ไม่ว่าจะนับจากก้าวแรกที่เห็นลมหายใจ
    ไปจนถึงก้าวสุดท้ายที่เห็นธรรมทั้งปวง
    ล้วนแต่ควรรู้ว่าเหล่านั้นไม่เที่ยง
    บังคับให้เป็นอย่างใจไม่ได้
    ไม่อาจคงรูปให้เป็นตัวเป็นตนอย่างใดอย่างหนึ่งถาวร
    เมื่อรู้ความจริงก็จะได้ไม่มีอาการยึด
    เช่น เมื่อรู้แล้วว่าจิตไม่เที่ยง
    บังคับจิตให้เป็นไปตามต้องการไม่ได้
    เราก็จะได้ไม่คาดหวัง
    ยึดมั่นสำคัญผิดว่าจะให้มันทรงนิ่งอยู่ตลอด
    หรือเมื่อรู้แล้วว่ากายไม่เที่ยง
    เหนี่ยวรั้งให้กายคงอยู่ในสภาพใดสภาพหนึ่งไม่ได้
    เราก็จะหมดความทุรนทุรายเมื่อมันเหี่ยวย่นลง
    หรือแม้กระทั่งร่างของบุคคลอันเป็นที่รักแตกดับ
    เราก็จะไม่ร่ำร้องคร่ำครวญให้ร่างนั้นกลับฟื้นคืนชีพ
    การเจริญสติมุ่งหมายเอาการฝึกรู้กายใจตามจริง
    ผลลัพธ์สุดท้ายคือสมาธิที่เรียกว่า "อริยสมาธิ"
    คือจิตตั้งมั่นรู้อยู่เองเป็นอัตโนมัติว่า
    กายใจไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเราจริงๆ
    ดังนั้น ถ้าจะกล่าวโดยภาพรวม
    ก็ต้องบอกว่าการทำสมาธิแบบพระพุทธเจ้า
    คือ "การเจริญสติ" แบบที่เราได้ยินกันมากขึ้นในยุคนี้นั่นเอง
    เมื่อทำสมาธิจนเป็นอริยสมาธิเต็มขั้น
    ก็คือการเกิดปรากฏการณ์ล้างผลาญกิเลสเป็นขั้นๆ
    เรียกว่ามรรคผลขั้นโสดา สกทาคา อนาคา และอรหัตต์ตามลำดับ



    ๒) สมถะกับวิปัสสนาต่างกันอย่างไร?
    สมถะหมายถึงการอาศัยวิธีอันเป็นธรรมใดๆ
    ทำให้ใจสงบจากกิเลส เพื่อให้พร้อมรู้เป็นวิปัสสนา
    พูดสั้นๆคือ "ทำจิตให้สงบลงพร้อมตื่นรู้ตามจริง"
    ปัจจุบันคนมักพูดถึงการทำสมถะ
    ว่าคือการนั่งสมาธิและเดินจงกรม
    หรือหนักกว่านั้นคือสมถะเป็นเครื่องถ่วง
    ไม่ให้สนใจวิปัสสนา
    ติดสมถะแล้วคือได้ไปเป็นพรหม
    หมดสิทธิ์เข้าถึงมรรคผลนิพพาน
    สมถะเลยถูกมองเป็นผู้ร้าย
    และเห็นวิปัสสนาเป็นพระเอก
    ข้อเท็จจริงก็คือไม่มีใครเป็นผู้ร้าย
    ไม่มีใครเป็นพระเอก
    มีแต่ขาสองข้างที่พาเราเดินไปถึงฝั่ง
    ขาดข้างใดข้างหนึ่งก็เรียกว่าขาเป๋
    เดินลำบาก ไปถึงปลายทางได้ยาก
    หรือยิ่งถ้าขาข้างที่เหลือป้อแป้ปวกเปียก
    ก็อาจออกจากจุดเริ่มต้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
    คำว่า "วิปัสสนา" นั้น
    รากของนิยามมาจากที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสในวิธีเจริญสติ
    ใจความคือให้
    "ดูกายใจนี้ตามจริงเท่าที่ปรากฏอยู่เป็นปกติ"
    และที่เป็นปกติเลยก็คือทั่วทั้งกายใจนี้
    กำลังแสดงความไม่เที่ยงให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลา
    นับตั้งแต่ลมหายใจเข้าออกไปจนกระทั่งความรู้สึกนึกคิด
    ใครจะทำหรือไม่ทำวิปัสสนา
    กายใจก็แสดงความจริงอยู่อย่างนั้น
    ผู้ทำวิปัสสนาเพียงแต่เข้าไปดู เข้าไปรู้อย่างยอมรับเท่านั้นเอง
    ฟังดูเหมือนง่าย
    แต่ลงมือทำจริงจะยาก
    นั่นก็เพราะจิตกระเพื่อมด้วยพลังกระตุ้นของกิเลสอยู่เรื่อยๆ
    เช่น แค่ไม่อยากยอมรับว่าเราเป็นฝ่ายผิด
    จิตจะบิดเบี้ยว กิเลสจะกระตุ้นให้หาเหตุผลสารพัด
    มาพูดให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูก
    คนเราสั่งสมนิสัยเช่นนี้กันโดยมาก
    คนส่วนใหญ่จึงมีจิตที่ยอมรับตามจริงได้ยาก
    หรืออย่างตอนฟุ้งซ่านหาทางแก้ตัวอยู่
    ตอนฟุ้งซ่านหาทางมีความสัมพันธ์ทางเพศ
    ตอนฟุ้งซ่านหาทางแก้เผ็ดคนที่ทำให้เราเจ็บใจ
    จะไม่มีสิทธิ์เห็นความฟุ้งซ่าน
    และความฟุ้งซ่านย่อมบดบังทุกสิ่ง
    ไม่ว่าจะเป็นโลกภายนอกที่ปรากฏตรงหน้า
    หรือจะเป็นโลกภายในทางกายทางใจใดๆ
    การทำสมถะจึงมีบทบาทสำคัญ ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ยังกระเพื่อมไหวอยู่มาก
    หากอาศัยสมถะมาช่วย ก็จะเห็นอะไรชัดกระจ่างแตกต่างไป
    สรุปว่าสมถะคือการลดระดับความกระเพื่อมไหว
    หรือสมถะคือการรักษาจิตไว้ไม่ให้กระเพื่อมไหวก็ได้
    ประเด็นคือเมื่อจิตลดความกระเพื่อมไหวแล้ว
    จึงค่อยมีความสามารถเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาชัดๆ
    ไม่ใช่เห็นแบบโคลงเคลง ไม่ใช่เห็นแบบโยกไปไหวมา



    ๓) จะต้องเริ่มด้วยสมถะหรือวิปัสสนาก่อน?
    มักมีการอ้างถึงพระอานนท์
    ที่ท่านใจกว้าง เปิดรับทั้งลูกศิษย์ที่ชอบทำสมถะก่อนวิปัสสนา
    หรือแบบที่อยากทำวิปัสสนาก่อนสมถะ
    ตลอดจนแบบที่อยากทำทั้งสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป
    ความจริงก็คือถ้าเราดูที่ตัวเองอย่างเข้าใจ
    ว่าเหมาะกับอะไร
    ไม่ถือเอาตายตัวเป็นสากลว่าเริ่มอันไหนก่อนถึงจะดีกว่า
    ปัญหาก็จะหมดไป และไม่ต้องกังขาอยู่เนืองๆ
    ยกตัวอย่างถ้าเป็นคนกลัดกลุ้มรุ่มร้อนในราคะ โทสะ โมหะอยู่เรื่อยๆ
    ก็อย่าเพิ่งฝืนทำวิปัสสนาให้ยาก
    ต้องหาทางลดความรุ่มร้อนลงเสียบ้าง
    เช่น ลดเหตุแห่งความตรึกนึกถึงเรื่องกามและเรื่องโกรธ
    หันมาแผ่เมตตาหรือปลงสังเวชในความเน่าเปื่อยแห่งกายเสียบ้าง
    พอร้อนเปลี่ยนเป็นเย็น พอทะยานอยากเปลี่ยนเป็นสงบระงับ
    จิตถึงค่อยพร้อมจะเห็นตามจริงแบบวิปัสสนาได้
    แต่หากเป็นคนยอมรับตามจริงได้ง่ายมาแต่ไหนแต่ไร
    เคยมีนิสัยเห็นประโยชน์ตามที่มันเป็นประโยชน์
    เห็นโทษตามที่มันเป็นโทษ สำนักผิดตามที่ทำผิด
    กับทั้งรักษาวาจาสัตย์ พูดคำไหนคำนั้นไม่กลับกลอก
    ไม่พูดเอาดีเข้าตัว ไม่โยนชั่วให้คนอื่น
    เช่นนี้ไม่ต้องพยายามทำสมถะมากก็ยกขึ้นวิปัสสนาได้เลย
    ทำวิปัสสนาไป เดี๋ยวจิตคลายความยินดีในกิเลสทั้งหลาย
    กลายเป็นสมถะไปในตัวได้เอง



    ๔) อานาปานสติคืออะไร?
    อานาปานสติเป็นทั้งการทำสมาธิและการเจริญสติ
    เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาในคราวเดียวกัน
    แต่อย่างที่กล่าวแล้วว่าต้องมี "ความเข้าใจ" เป็นทุนก้อนแรกไว้ก่อน
    หากปราศจากความเข้าใจแล้ว
    อานาปานสติอาจเป็นสมาธิเก๊ๆ เป็นการเจริญสติเทียมๆ
    หรืออาจเป็นสมถะถ่วงความเจริญ หรืออาจเป็นวิปัสสนายาพิษ
    แทนที่จะเห็นอะไรตามจริง
    กลับเห็นแต่อะไรที่ส่งเสริมสนับสนุนให้เข้าข้างตัวเอง
    พอกพูนมานะอัตตาให้ยิ่งๆขึ้นไปได้ทุกวัน
    ขอให้ทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง
    หากกล่าวว่าอานาปานสติเป็นสมาธิ
    ก็หมายความว่าเป็นสมาธิ
    ที่อาศัยลมหายใจเป็นหลักตรึงจิตให้ตั้งมั่น
    หากกล่าวว่าอานาปานสติเป็นการเจริญสติ
    ก็ต้องหมายความว่าเป็นการเจริญสติ
    ที่อาศัยการยอมรับตามจริงว่าลมหายใจไม่เที่ยง
    ยอมรับตามจริงว่าเมื่อใดถึงเวลาเข้า เมื่อใดถึงเวลาออก
    เมื่อถึงเวลาควรหยุด
    กระทั่งเห็นชัดขึ้นมาเองว่าลมหายใจนั้น
    เข้าแล้วต้องออก ออกแล้วต้องหยุด หยุดแล้วก็ต้องเข้าใหม่
    เดี๋ยวก็ยาว เดี๋ยวก็สั้น หาความเที่ยงไม่ได้
    มีแต่ภาวะพัดไหวของธาตุลม
    ไม่ได้ต่างจากสายลมที่พัดกิ่งไม้ใบหญ้าแม้แต่นิดเดียว
    เห็นจนพอ ในที่สุดจิตก็ยอมรับตามจริงว่าลมไม่เที่ยง
    ไม่มีลมไหนเลยในชีวิตที่เป็นตัวเรา
    ไม่มีลมไหนเลยที่เป็นบุคคล ตัวตน เราเขา
    แม้สุขที่เกิดจากอานาปานสติ
    ตั้งอยู่ได้นานแค่ไหนก็ต้องเสื่อมลงเป็นธรรมดา
    ไม่ต่างจากลมหายใจแต่อย่างใดเลย
    เมื่อเข้าใจอยู่ด้วยมุมมองข้างต้น
    คำว่าสมถะและวิปัสสนาก็กลายเป็นเครื่องเสริมกัน
    ไม่ใช่ศัตรูที่ต้องมาตีกันในอานาปานสติ
    ลมหายใจและความสุขสดชื่นจะเป็นเครื่องล่อใหม่
    ให้จิตของเราผละออกมาจากเหยื่อล่อแบบโลกๆ
    นั่นถือเป็นสมถะ ยกจิตให้พร้อมรู้
    และความไม่เที่ยงของลมหายใจที่ปรากฏให้รู้
    ก็จะก่อให้เกิดปัญญาเห็นตามจริง
    กระทั่ง "ทิ้ง" อุปาทาน เกิดปรากฏการณ์มรรคผลขึ้นในที่สุด



    ๕) ทำอานาปานสติควรลืมตาหรือหลับตา?
    คำตอบคือขึ้นอยู่กับว่าเรามีเวลาเท่าไร ทำที่ไหน
    มีเวลามากสักชั่วโมงหลับตาก็ดีจะได้ไม่วอกแวก
    มีเวลาน้อยตอนคอยใครจะลืมตาก็ดีจะได้ไม่หลงเพลิน
    ในอานาปานสติสูตร
    พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงเจาะจงให้ลืมตาหรือหลับตา
    แต่ขอให้พิจารณาตามจุดยืนจริงๆของแต่ละคน แต่ละขณะ
    ถ้าลืมตาจะวอกแวกตามเหยื่อล่อสายตาไหม?
    ถ้าหลับตาจะเคร่งเครียดเห็นนิมิตล่อใจวุ่นวายไหม?
    ถ้ากำลังลืมตาหรือหลับตาแล้วเกิดข้อเสียใดๆ
    ก็สลับกันเสีย เพื่อขับไล่ข้อเสียนั้นๆไป เท่านี้ก็จบ
    หากลืมตาแล้วรู้ลมหายใจได้ต่อเนื่อง ก็ควรลืมตาให้มาก
    หากหลับตาถึงจะรู้ลมหายใจได้นานๆ ก็ควรหลับตาให้ต่อเนื่อง
    อย่าไปกลัว หรือไปยึดรูปแบบว่าจะเอาอย่างไหนถึงจะถูก
    เพราะมันถูกตรงจิต ตรงสติ ตรงความสามารถรู้ความไม่เที่ยง
    ไม่ใช่ถูกตรงหลับตาหรือลืมตา
    สำหรับคนส่วนใหญ่จะพบว่าการหลับตา
    คือการปิดกั้นเครื่องรบกวนสายตา อันนี้ก็ถูก
    แต่สำหรับคนอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ถูกรบกวนด้วยเครื่องล่อตาง่ายๆ
    และสมัครใจลืมตาทำอานาปานสติ อันนี้ก็อย่าว่ากัน



    ๖) ทำอานาปานสติควรนั่งขัดสมาธิหรือนั่งเก้าอี้?
    ถ้านั่งขัดแข้งขัดขานานๆ
    กล้ามเนื้อจะหดเกร็ง
    และยิ่งถ้าได้ความพยายามเพ่งลมหายใจมาเสริม
    สักพักเดียวก็อาจพบว่าเหน็บกินเหมือนร่ำๆจะพิการได้
    แรกเริ่มจึงควรนั่งเก้าอี้ก่อน
    อย่าไปติดยึดว่านั่งขัดสมาธิได้ถึงจะเก่งหรือถึงจะถูก
    เมื่อนั่งเก้าอี้เจริญอานาปานสติจนบังเกิดความชุ่มชื่นแล้ว
    คุณจะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อผ่อนคลายสบายมาก
    เพราะร่างกายหลั่งสารดีๆออกมา
    และจิตก็ไม่ก่ออาการบีบคั้นร่างกายดังเคย
    ถึงตรงนั้นถ้าเลื่อนขั้นมานั่งขัดสมาธิ
    ก็จะได้ความสมดุลครบวงจร
    ตามที่พระพุทธเจ้าแนะว่าอานาปานสติที่สมบูรณ์



    ๗) เสียงช่วยกำกับการฝึกอานาปานสติมีประโยชน์อย่างไร?
    ปกตินักทำสมาธิหรือนักเจริญอานาปานสติมือใหม่
    จะจับทิศจับทางไม่ถูก ได้หน้าลืมหลัง ไม่รู้จะเริ่มหนึ่ง สอง สามอย่างไร
    ถ้ามีเสียงบอกคอยช่วย ก็จะมีประโยชน์ตรงที่ไม่ต้องหลงทาง
    เหมือนคนเพิ่งฟื้นจากสลบกลางหมอกจัด
    ถ้ามีใครมาจูงมือและคอยบอกว่าต้องก้าวขึ้นบันไดอย่างไร
    เตือนให้ช้าหรือเร่งให้เร็วตามความเหมาะสมที่จังหวะไหน
    โอกาสจะเข้าเขตปลอดโปร่ง ไม่ต้องหลงวกวนค่อยสูงขึ้น
    อย่างไรก็ตาม เมื่อจับหลักได้ถูกต้องแม่นยำแล้ว
    ก็ไม่ควรอาศัยเสียงเป็นเครื่องช่วยกำกับ
    เพราะเสียงเป็นปฏิปักษ์กับสมาธิจิต
    ถ้าคอยพะวงฟังเสียงหรือแปลความหมายของเสียงอยู่
    จิตก็จะไม่วิเวกเต็มรอบ เข้าถึงฌานได้ยาก
     
  5. ต้นแก้ว

    ต้นแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2007
    โพสต์:
    828
    ค่าพลัง:
    +3,569
    โอนเงินร่วมบุญกับทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ จำนวน 400 บาท 27/03/56 อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     
  6. rsonthaya

    rsonthaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +123
    ร่วมบุญเพื่อภิกษุอาพาธ โอนแล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • rson.gif
      rson.gif
      ขนาดไฟล์:
      19.2 KB
      เปิดดู:
      31
  7. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    เดือนนี้คงไม่ได้ไปร่วมถวายอาหารที่โรงพยาบาลสงฆ์ด้วย ได้แต่ชวนคุณแม่ หลานและเพื่อนที่ทำงานร่วมบุญด้วยกัน เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2556 เวลา 19.22 น. โอนเงินร่วมบุญ 700 บาท โมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ
     
  8. crane

    crane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +780
    วันที่่ 29/03/13 15.07 ได้โอนเงินร่วมบุญจำนวน 200 บาท ครับ
     
  9. บานชื่น

    บานชื่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,529
    ค่าพลัง:
    +18,358
    ขอรับทราบนามของท่านด้วยครับ ขอบคุณครับ
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    จำนวนพระสงฆ์ที่คณะทุนนิธิฯ จะถวายสังฆทานภัตตาหารเช้าพรุ่งนี้ที่ รพ.สงฆ์มีประมาณ 180 รูป ครับ หากท่านที่เผอิญเข้ามาอ่านในกระทู้นี้ และอยากไปร่วมทำบุญกับทุนนิธิฯ ก็ขอเชิญตามที่แจ้งไว้ข้างต้นครับ คาดว่าเวลาประมาณ 9.30 น.ทุกอย่างก็เสร็จสิ้น และต่อจากนั้น คณะกรรมการของทุนนิธิฯ และผู้เข้าร่วมกิจกรรมบางส่วน จะได้เดินทางไปจัดเตรียมถวายสังฆทานและภัตตาหารเพลแด่พระคุณเจ้าที่วัดราชาธิวาส เนื่องในโอกาสทำบุญคล้ายวันถึงแก่กรรมของท่าน อ.ประถม อาจสาคร ครบ 100 วัน

    ส่วนข้างล่างนี้เป็นหลักฐานการบริจาคเงินและใบอนุโมทนาบัตร รวมถึงหลักฐานการใช้จ่ายเงินของทุนนิธิฯ ของ รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จ.เลย เท่าที่ผมได้รับมาในขณะนี้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ฯ ประจำเดือนมีนาคม 2556 ตอนที่ 1

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 มีนาคม 2013
  12. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ฯ ประจำเดือนมีนาคม 2556 ตอนที่ 2

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 มีนาคม 2013
  13. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ฯ ประจำเดือนมีนาคม 2556 ตอนที่ 3

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
  14. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ฯ ประจำเดือนมีนาคม 2556 ตอนที่ 4

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
  15. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ฯ ประจำเดือนมีนาคม 2556 ตอนที่ 5

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
  16. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ฯ ประจำเดือนมีนาคม 2556 ตอนที่ 6

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
  17. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ฯ ประจำเดือนมีนาคม 2556 ตอนที่ 7

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ขออนุโมทนาสาธุกับทุกท่านด้วยครับ

    พบกันใหม่ในเดือนเมษายน 2556 นี้

    สาธุครับ
     
  18. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายการทำบุญถึงคุณปู่ประถม อาจสาคร และน้องเต้ย ทุนนิธิฯ
    ครบรอบ 50 วัน ณ วัดอินทรวรวิหาร และ 100 วัน ณ วันเทวราชกุญชร

    ณ วัดอินทรวรวิหาร เดือนกุมภาพันธ์ 2556

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ขอแสดงความเสียใจมา ณ โอกาสนี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 มีนาคม 2013
  19. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายการทำบุญถึงคุณปู่ประถม อาจสาคร และน้องเต้ย ทุนนิธิฯ
    ครบรอบ 50 วัน ณ วัดอินทรวรวิหาร และ 100 วัน ณ วันเทวราชกุญชร

    ณ วัดเทวราชกุญชร เดือนมีนาคม 2556

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ขอแสดงความเสียใจมา ณ โอกาสนี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 มีนาคม 2013
  20. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายอื่นๆ ณ วันอินทรวรวิหาร

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...