ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    อ ธิ ษ ฐ า น ฤ ท ธิ์ : ความสำเร็จด้วยพลังอธิษฐาน
    ศิยะ ณัญฐสวามี

    อธิษฐานฤทธิ์ คือความสำเร็จอันเกิดจากพลังอธิษฐาน

    ปกติแล้วคนที่จะอธิษฐานสิ่งใดให้สัมฤทธิ์ผลได้นั้น
    ต้องมี สัจจะ สมบูรณ์ มี ความตั้งใจ ต้องเต็มเปี่ยม
    มี อุเบกขา เป็นฐาน และมี บารมี เป็นตัวกำกับอธิษฐาน
    หรือมีความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิเป็นองค์ประกอบ

    การอธิษฐานนั้นสามารถทำได้ที่
    อธิษฐานถาม อธิษฐานให้เกิดผล และการเปล่งวาจาสิทธิ์


    • อ ธิ ษ ฐ า น ถ า ม

    เช่นที่พระบรมโพธิสัตว์สิทธัตถะ ลอยถาดอธิษฐานว่า

    “หากเราพึงได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณด้วยการบำเพ็ญเพียรนี้
    ขอถาดนี้จงลอยทวนน้ำไป”


    ครั้นแล้วถาดนั้นก็ลอยทวนน้ำไป

    • อ ธิ ษ ฐ า น ใ ห้ เ กิ ด ผ ล

    เช่นที่พระองคุลีมาลอธิษฐานเพื่อหญิงที่หวาดกลัวจนลนลานว่า

    “ตั้งแต่เราเป็นอริยะ ไม่เคยแกล้งปลงชีวิตสัตว์ใดใดเลย
    ด้วยความสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมีแต่ครรภ์ของน้องหญิง”


    จากนั้นหญิงนั้นก็คลอดโดยสวัสดีไม่มีความเจ็บปวดเลย

    หรือการที่พระภิกษุหรือโยคีลอยตัว โดยการเข้าสู่จิตว่าง
    แล้วอธิษฐานให้ตัวเบา และลอยขึ้นมาแล้วเข้าสู่จิตว่างอีก
    จากนั้นตัวก็ลอยขึ้นมาตามอธิษฐาน

    หรือการที่ชาวคริสต์หลั่งศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า
    ชาวฮินดูหลั่งศรัทธาต่อพระพรหม
    ชาวพุทธหลั่งศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า

    แล้วอธิษฐานเพื่อสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นในชีวิต
    ก็ใช้ความแน่วแน่ และความเชื่อมั่นเป็นพลังร้อยสิ่งต่างๆ
    ให้เป็นไปตามอธิษฐาน
    โดยมีพระ เทพ หรือพรหมของเขา
    คอยอนุเคราะห์ตามที่ท่านเห็นสมควร


    • ว า จ า สิ ท ธิ์

    สำหรับคนที่มีสัจจะสมบูรณ์ มีความตั้งใจเต็มเปี่ยม
    ยามพูดจาบนพื้นฐานของอุเบกขา
    ทุกถ้อยคำของเขาคือความเป็นจริง เป็นวาจาสิทธิ์
    นี่คือฤทธิ์อันเกิดจากอธิษฐาน




    (ที่มา : “ฤทธิศาสตร์” โดย ศิยะ ณัญฐสวามี, จัดพิมพ์โดย Truth Authorization Institute,
    พ.ศ. ๒๕๓๓, หน้า ๘๕-๘๖)
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
  4. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    ได้รับพระและซีดีแล้วค่ะ
    โมทนาบุญกับทีมงานและผู้ร่วมบุญทุกๆท่านด้วยค่ะ


    .
     
  5. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    เช้าๆในเวลาที่พอเหมาะ บรรยากาศกำลังสดชื่น......09.17 น.ได้ส่งปัจจัยมาร่วมบุญสงฆ์อาพาธ กับเหล่าผู้นำบุญทั้งหลาย
    เพื่อเป็นกำลังใจให้หมู่เพื่อน พร้อมถึงเหล่าท่านทั้งหลายที่ร่วมทำบุญกันมา
    ขอบุญทั้งหลายทั้งมวลที่ประหนึ่งได้อุปปัฏฐากพระพุทธองค์นี้.....
    ขอน้อมถวายหลวงปู่โตและคณะทำงาน กองช่างต่างๆรวมถึงคณะศรัทธาที่ได้ร่วมสร้างพระเครื่องของท่านทั้งหมด 1000 บาท
    ( มีความรู้สึกว่าท่านเหล่านั้นได้ให้ความเมตตา ดลจิตดลใจ ให้ได้พระเครื่องของท่าน จึงขอน้อมนำบุญนี้กลับคืนสู่ท่านเหล่านั้น )
    หมู่เพื่อนในที่ทำงานรวมถึงครอบครัวของเขาเหล่านั้นทั้งหมด 700 บาท
    ที่สุด...ครอบครัวทั้งบุตร-ภรรยาและญาติๆทั้งหลาย.......... 500 บาท
    ขอท่านทั้งหลายจงมีส่วนแห่งบุญอันยิ่งใหญ่นี้ถ้วนทั่วกันทุกท่านทุกคน
    ที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ ผู้นำบุญทั้งหลายในทุนนิธิฯนี้ทั้งหมดรวมถึงครอบครัวของท่านทั้งหลาย จงมีส่วนในผลบุญนี้เช่นกัน
    ขอบพระคุณมากนะครับสำหรับ พระปิยบารมี ได้รับแล้วปลื้มอกปลื้มใจมาก ยิ่งได้ดู ยิ่งได้อ่าน....สุดยอดมากครับ
    ขอบคุณท่านประธานที่กรุณานำมาให้ด้วยตัวเอง...อิอิ เหล่าสมาชิกไม่ต้องอิจฉานะครับ (พี่พันวฤทธิ์ทำงานที่เดียวกันครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2009
  6. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=560 border=0><TBODY><TR class=IBTR><TD class=boldleft colSpan=2>รับคำสั่งเรียบร้อยแล้ว
    ธนาคารได้ดำเนินการตามคำสั่งโอนเงินของท่านเรียบร้อยแล้ว
    </TD></TR><TR><TD class=tdGroupSpacing colSpan=2> </TD></TR><TR><TD class=tdGroupSpacing colSpan=2> </TD></TR><TR class=IBTR><TD colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR class=IBTR id=ctl00_ContentPlaceHolder1_trConfTOptionSelected><TD class=IBTD>บริการโอนเงิน</TD><TD class=left>[​IMG] </TD></TR><TR class=IBTR><TD class=IBTD width="30%">หมายเลขอ้างอิงธนาคาร</TD><TD class=IBTD width="33%">9724994</TD><TD class=left vAlign=center rowSpan=18></TD></TR><TR class=IBTR id=ctl00_ContentPlaceHolder1_trConfImmediateDate><TD class=IBTD>วันที่</TD><TD class=IBTD>15 มิ.ย. 2552</TD></TR><TR class=IBTR id=ctl00_ContentPlaceHolder1_trConfImmediateTime><TD class=IBTD>เวลา</TD><TD class=IBTD colSpan=2>16:50:07 Bangkok, Thailand (GMT +7:00)</TD></TR><TR><TD class=tdGroupSpacing colSpan=2> </TD></TR><TR class=IBTR><TD class=IBTD colSpan=2>โอนเงินจาก:</TD></TR><TR class=IBTR><TD class=IBTD>บัญชีผู้โอน</TD><TD class=IBTD>319-0-xxxxxx</TD></TR><TR class=IBTR id=ctl00_ContentPlaceHolder1_trConfDateDeductFund><TD class=IBTR>วันที่หักบัญชี</TD><TD class=IBTR>15 มิ.ย. 2552</TD></TR><TR><TD class=tdGroupSpacing colSpan=2> </TD></TR><TR class=IBTR><TD class=IBTD colSpan=2>โอนเงินไป:</TD></TR><TR class=IBTR><TD class=IBTD>บัญชีผู้รับโอน</TD><TD class=IBTD>สงฆ์อาพาธ </TD></TR><TR class=IBTR id=ctl00_ContentPlaceHolder1_trConfAccountName><TD class=IBTD>ชื่อบัญชี</TD><TD class=IBTD>PRATOM F.</TD></TR><TR class=IBTR id=ctl00_ContentPlaceHolder1_trConfBank><TD class=IBTD>ธนาคาร</TD><TD class=IBTD>BAY</TD></TR><TR class=IBTR id=ctl00_ContentPlaceHolder1_trConfDate2ReceiveFund><TD class=IBTD>วันที่เงินเข้าบัญชี</TD><TD class=IBTD>15 มิ.ย. 2552</TD></TR><TR><TD class=tdGroupSpacing colSpan=2> </TD></TR><TR class=IBTR><TD class=IBTD>จำนวนเงิน</TD><TD class=IBTD>3,000.00</TD></TR><TR class=IBTR id=ctl00_ContentPlaceHolder1_trConfFee><TD class=IBTD>ค่าธรรมเนียม</TD><TD class=IBTD>25.00</TD></TR><TR><TD class=tdGroupSpacing colSpan=3> </TD></TR><TR class=IBTR><TD class=IBTD>บันทึกช่วยจำ</TD><TD class=IBTD colSpan=2>ผมและคุณน้า ร่วมบุญครับ</TD></TR><TR class=IBTR id=ctl00_ContentPlaceHolder1_tr6><TD colSpan=3><TABLE class=IBTABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR class=IBTR><TD class=tdGroupSpacing colSpan=2> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน

    และข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพและพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด


    และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

    ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่า ไม่รู้ ไม่มี ไม่สำเร็จ จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าเลย ขอผลบุญทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำแล้ว จงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด



    ~~~~~~~~:::::<<>>:::::~~~~~~~~

    หลังจากที่ได้ทำทาน รักษาศีล ๕ (ครบ ๑ วัน) เจริญภาวนา นั่งสมาธิกรรมฐาน
    เราควรจะอธิษฐาน ๕ อย่างนอกเหนือจากกรวดน้ำและแผ่เมตตาจิต โดยมีใจความดังนี้
    ๑.ขอให้เกิดมาในประเทศที่สมควร
    ๒.ขอให้เกิดมาแล้วเจอพระพุทธศาสนา
    ๓.ขอให้เกิดมาแล้วขอให้ตั้งอยู่ในศีลในธรรมได้
    ๔.ขอให้เกิดมาแล้วได้เป็นผู้ทำบุญมาก
    ๕.ขอให้เกิดมาแล้วได้สดับตับฟังธรรมมาก


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    วันนี้ขอนำภาพพระสมเด็จที่พระปลัดสุพจน์ วัดสุทัศน์ ได้สร้างขึ้นประมาณปี 2484 - 2485 จากผงสมเด็จวัดระฆัง(ประวัติบางท่านกล่าวว่าเป็นผงวัดระฆังล้วนๆ) และนำเข้าเสกในพิธีพระชินราชอินโดจีน ที่โด่งดังแห่งวัดสุทัศน์ พิธีนี้ได้รวมพระอภิญญาใหญ่หลายท่าน รวมถึงสมเด็จพระสังฆราชแพ

    พระสมเด็จนี้จึงเป็นการรวมบารมีขององค์สมเด็จโตฯ และ พระอภิญญาใหญ่ ปัจจุบันราคาหลักร้อยไม่เกินพันกลางๆ เป็นของดีราคาเยาว์ เจอที่ไหนก็เก็บได้เลยครับ ถ้าหาไม่ได้วันหน้าผมจะนำมาให้ร่วมทำบุญเข้าทุนนิธิฯกันครับ

    [​IMG]
     
  8. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    หลวงพ่อเล่าฟัง....ตอนหลวงพ่อปานไหว้ศพ.

    [​IMG]

    เรื่องหลวงพ่อเล่าให้ฟัง ตอนหลวงพ่อปานไหว้ศพ เป็นบทความตอนหนึ่งในหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ที่ลูกศิษย์บันทึจากคำบอกเล่าของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร(ฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี หากผู้ที่ต้องการหาอ่านแบบสมบูรณ์สามารถหาซื้อได้ที่บ้านเจ้ากรมฯเสริม ซอยสายลม และวัดท่าซุง กระผมขอนำมาเผยแพร่เพื่อเทอดทูนคุณครูบาอาจารย์ทั้งสองท่านขอรับ หากผิดพลาดประการใดขออภัยมาณ.ที่นี้.....


    [​IMG]

    ....ตอนหลวงพ่อปานไหว้ศพ นี่ลูกหลานทั้งหลายน่ะ ก็เคยฟังมาแล้วนา เล่าให้ฟัง แต่ว่ามันเล่าแล้วก็หายไปนี่ คราวนี้มาเล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อปานไหว้ศพ ประเพณีของหลวงพ่อปาน แต่ความจริงท่านไม่ได้ทำเป็นประเพณี ท่านทำด้วยจิตเลื่อมใส คำว่าประเพณีกับคำว่าเลื่อมใสมันไม่เหมือนกันนะ ลูกหลานฟังให้ดีนะ ตานี้ว่ากันถึงการไหว้ศพ ไม่ว่าศพอะไรทั้งหมด จะเป็นศพเด็กศพผู้ใหญ่ ศพผู้หญิงศพผู้ชายก็ตาม เวลาเขานำมาที่วัดหลวงพ่อปานท่านก็คว้าธูปคว้าเทียน ถ้าเขามาตั้งเรียบร้อยแล้ว หยิบธูปหยิบเทียน ห่มจีวรคลุมผ้าสังฆาฏิว่ากันเต็มยศแล้วท่านก็ไปไหว้ศพ พวกพระทั้งหมดสมัยนั้นนะ พระสมัยนั้นกับพระสมัยนี้ไม่ค่อยเหมือนกัน ฉันดูพระสมัยนี้มันตื้อๆ เหมือนเรือเกลือยังไงไม่รู้ พระผู้หลักผู้ใหญ่พระหัวหน้าจะทำอะไรไม่ค่อยดู บางทีเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แต่พระวัดไหนเขาดีบ้างฉันก็ไม่ทราบ เดี๋ยวนี้มันเห็นครูบาอาจารย์เป็นอะไรไปก็ไม่รู้ เห็นคนแก่คนเฒ่า พระเก่าพระแก่ทำก็เฉย ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่ว่าระบบของที่นั่นเขาคอยดูกัน มีพระคอยจ้องหน้าคอยจ้องดู ก็มีพวกฉันแหละ ไอ้ลิง ๓ ตัวนี่ ไอ้ลิงดำ ไอ้ลิงขาว ไอ้ลิงเล็ก เพราะเป็นลิงหน้าพลับพลาประจำคอยสังเกตหลวงพ่อปาน ว่าหลวงพ่อปานจะขยับเขยื้อนอะไรก็ให้จังหวะแก่เพื่อน บรรดาเพื่อนพระทั้งหลายก็พร้อมพรึ่บพรั่บทันที นี่เขาเตรียมกันไว้ยังงี้นา เขาไม่ได้คอยให้ครูบาอาจารย์มาตะโกนโวยๆ พระสมัยนิวเคลียร์นี่ไม่เป็นเรื่อง เป็นเหยื่อลุงพุฒิหมด ไม่หมดก็เหลือน้อยเต็มที หรือว่าไงลุง ฮึ แกบอกว่าบวชน้อยๆ น่ะ บวชทันสมัยน่ะทุกรายแหละ บวชแบบทันสมัยนี่ทุกราย ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควาย บวชกินเลี้ยงทุกราย ถ้าไม่ทำความดีรีบหนีละก็เสร็จ ลงอเวจีเป็นแถว ฟังให้ดี เวลาพระพุทธเจ้าท่านบวช ท่านไม่ได้มีแห่นะ เวลาที่ใครไปบวชกับท่านก็ไม่มีพิธีรีตองมาก ท่านเรียกเอหิภิกขุอุปสัมปทา ว่าเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด เท่านี้แหละ เอหิภิกขุนะ เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด เท่านี้ ต่อมาให้ถึงติสรณาคม ก็ให้ว่าพุทธัง ธัมมัง สังฆัง ก็เป็นอันบวช ต่อมาให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ให้มีพระคู่สวด พระอันดับ ก็ไม่มีแห่อะไร ไม่ต้องทำพิธีมาก ที่ทำกันมากน่ะนอกเรื่องนอกราว ไม่เกี่ยวกับพระศาสนา ทำเลี้ยงต้องเลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้ง ฆ่าเป็ดฆ่าไก่ บาปมันมากกว่าบุญจะไปสวรรค์กันได้ยังไง พวกแบบนี้เขาเรียกว่าลงทุนซื้อนรก เวลาบวชเข้าไปแล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติหรอกนะ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขาไม่เอา ไปคุยกันถึงเรื่องสาวบ้านนี้ จะทำงานบ้านโน้น จะหาลาภอย่างนี้ จะร่ำรวยอย่างนั้น อยากจะได้ยศแบบนี้ ยศขั้นนั้นหมดไป นรกหมดไม่มีเหลือ บวชแล้วไม่ได้เป็นพระหรอก เป็นพระแต่หัวกับผ้าเหลือง ใจไม่ได้เป็นพระ พระที่เขาบวชต้องถือ นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา หรือว่าคำขอบรรพชาแบบธรรมยุตขึ้นต้นก็ขอพระนิพพานเลย เป็นอันว่า จิตเราจะบวชเพื่อพระนิพพานอย่างเดียว บวชเข้าไปแล้วก็เริ่มปลดอารมณ์ อารมณ์ที่เป็นฆราวาสทั้งหมดเริ่มปลดลงไป ปลดมันขาดไม่ได้ก็ยับยั้งไว้ชั่วขณะก็ยังดี อย่างนี้เรียกว่าบวชเล็ก ถ้าปลดได้เลยเป็นบวชใหญ่ ถ้าบวชสะสมทรัพย์ บวชปรารถนายศฐาบรรดาศักดิ์ เสร็จแล้วก็เมายศด้วย ลุงพุฒิว่าไง แกบอกว่าตอบแล้วนี่ เมื่อวาน เสร็จทุกราย ที่ใครได้ยศแล้วไม่เมายศ มีลาภแล้วไม่เมาลาภยังดี ได้ยศแล้วเอายศวางเสีย เวลาใช้ค่อยใช้กัน ไม่ถึงเวลาใช้ก็วางเก็บไว้ก่อน มีลาภสักการก็ทำเป็นสาธารณประโยชน์ แล้วก็เลี้ยงตัวพอสมควร เหลือก็เอาไปทำในส่วนที่เป็นสาธารณประโยชน์ ในเมื่อมีศพทุกศพ หลวงพ่อปานท่านถือดอกไม้ธูปเทียน พาดสังฆาฏิ ทำกันเต็มยศ ท่านไม่ชวนใคร ไม่ตีระฆัง ท่านก็ลงไปศาลาไหว้ศพ พระทั้งหมดพอศพมาก็ต้องเตรียมผ้าสังฆาฏิเหมือนกัน ไม่ต้องบอกกัน เห็นหลวงพ่อปานลุกจากหน้ากุฏิ กุฏิท่านอยู่ลึกเข้าไป ศาลาอยู่อีกด้านหนึ่ง มายืนจุกกันอยู่ทางปากทางหมด พอหลวงพ่อปานเดินออกหน้า ต่างคนต่างเดินเรียงกันตามลำดับอาวุโส ไม่ใช่ตามลำดับยศ ไอ้ยศน่ะพระศาสนาเขาไม่ใช้หรอก ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธเจ้า ในศาสนานี้ถืออาวุโสเป็นสำคัญ ยศไม่เกี่ยว เป็นเรื่องข้างนอก ยศเป็นโลกธรรม ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงยกย่อง ไม่ใช้ ผิด เมื่อเดินกันตามลำดับอาวุโสไปถึงหน้าศพ หลวงพ่อปานก็จุดธูปเทียน พวกพระก็จุดบ้าง หลวงพ่อปานกราบ พระก็กราบบ้าง กราบแล้วท่านนั่งเฉย ประเดี๋ยวพระก็นั่งบ้าง เวลาท่านลุกกลับก็กลับบ้าง คนอื่นเขานึกยังไงฉันไม่รู้ สำหรับตัวฉันไม่รู้หรอก เห็นท่านกราบก็กราบ เห็นท่านนั่งก็นั่ง เห็นท่านกลับก็กลับ อย่างนี้เรียกว่าขี้ตามช้าง กราบแบบนี้ประมาณ ๑๐ ศพ คราวหนึ่งยายฟูแกตาย ยายฟูนี่นะเป็นคนที่มาทำงานวัดทุกวัน มาดายหญ้าบ้าง ถูกุฏิบ้าง อะไรบ้าง ตอนเย็นแกก็กลับ รู้สึกว่าตอนแก่นี้แกไม่เอางานบ้านเลย แกสนใจอยู่กับวัด เป็นคนรับใช้หลวงพ่อปาน ทำอาหารการบริโภค ทำครัว ถูกุฏิ กวาดวัด มีเรื่องตักน้ำตักท่าจิปาถะ ยายฟูนี่เอาทุกอย่าง แต่ว่าฉันเห็นว่าแกแก่แล้ว ฉันก็ไปช่วยแก ถ้าเวลาแกตักน้ำฉันก็คว้าหาบไปช่วยแก บอกแกว่าน้าฟูไม่ต้องทำ น้าฟูแก่แล้ว ทำตรงนี้ ทำตรงเบาๆ ตรงหนักๆ นี่ฉันทำแทน สงสารแก ตอนนั้นเห็นแกมีน้ำใจดี แล้วหลวงพ่อปานก็เรียกยายฟู ว่า อีฟู จะธุระอะไรก็อีฟูเอ๊ย ฟูเอ๊ย มาหาหลวงน้าหน่อยวะ นี่ท่านเรียกอีฟู แต่ฉันเรียกน้าฟู พอยายฟูตาย เขานำศพยายฟูจากบ้านมาขึ้นศาลา หลวงพ่อปานก็พาดสังฆาฏิอีกแล้ว ไม่ต้องห่วงละ กี่ร้อยศพก็ทำแบบนี้ แบบนั้นตอนที่ฉันเป็นหัวหน้าพระ ฉันก็ทำตามท่านเสมอ แต่ตอนนี้ขึ้นมาสายเหนือนี่ ทำไม่ได้หรอก ไม่เห็นเขาเอาท่าเอาทางกันนี่ เขาไม่เอาไหนกันเลยนะ เขาเอาอย่างเดียว บังสุกุลมาติกาหาสตางค์กินเท่านั้น ส่วนสาธารณประโยชน์เขาก็ไม่ค่อยทำกัน พระสายเหนือนี้เขามีอุเบกขาบารมีดีมาก ไม่เอาไหนหรอก เรื่องธัมมะธัมโมนี่รู้สึกว่าเขาไม่ค่อยสนใจกัน ไม่ค่อยตรงกับพระไตรปิฎก ไปๆ มาๆ เขาบอกว่าทำเป็นประเพณีไป ก็ดีเหมือนกันนะลุงนะ เสร็จ ลุงพุฒิบอกแบบนี้เสร็จ จดแหง ไม่ได้จดหรอก มันขึ้นเอง ลุงพุฒินั่งยิ้ม วันนี้มานั่งพูดตรงนี้นะ หลวงพ่อท่านยิ้มใหญ่ บอก เออ พูดไป พูดไป ท่านว่ายังงั้น ตรงนี้ดีว่ะ ท่านว่ายังงั้น ตอนฉันอยู่น่ะท่านก็พูดยังงี้เหมือนกัน ไอ้ลิงดำเอ๊ยอย่างนี้ดีว่ะ อย่างนี้ไม่ค่อยดีนะ ไอ้ลิงดำเอ็งอย่าทำยังงี้นา อย่างนั้นเอ็งอย่าทำนะ ฮื่อ แล้วท่านว่าไง แกขโมยอะไรข้าบ้าง แกก็บอกเขาด้วยนะ แน่ะมาซ้อมไว้ นี่มาสั่งไว้เดี๋ยวนี้เอง แกขโมยอะไรข้าบ้าง แกบอกให้ชาวบ้านเขาฟังไว้นะ แกอย่าไปปกปิดเขานา แล้วก็ยิ้มหัวเราะชอบใจ หลวงพ่อท่านใจดี ปกติท่านใจดีเสมอ ท่านสงเคราะห์ฉันอยู่เสมอ แต่ฉันก็เป็นลูกศิษย์หัวรั้นไม่ใช่เล่นเหมือนกัน แบบฉันนี่อย่าตามมันนักนา ถ้าจะตามก็ตามแบบดี แบบเลวอย่าตามนะ มันไม่เกิดประโยชน์ ต่อไปพอศพยายฟูมาก็ไปกันตามเดิม ไม่ต้องพูดถึงเข้าแถวหรอกรำคาญหู หลวงพ่อปานท่านก็กราบ กราบแล้วท่านก็นั่งเฉยๆ นั่งตามแบบฉบับซี ตอนนั่งท่านนั่งปลง แต่ฉันไม่ได้ปลงหรอก ฉันไม่รู้นี่ ท่านนั่งฉันก็นั่งมั่งซิ ท่านหลับตา ฉันก็ทำตายิบๆๆๆ กลัวท่านจะลุกมาแล้วฉันไม่รู้ หลับเป็นตากระต่าย พอท่านนั่งเสร็จแล้ว ท่านลืมตาขึ้นมา ฉันหรี่ตาไว้นี่ ทำไมฉันจะไม่รู้ท่านลืมตา ฉันเลยถามว่า หลวงพ่อขอรับ ก็ยายฟูน่ะเวลามีชีวิตอยู่หลวงพ่อเรียกอีฟู แล้วเวลายายฟูตาย หลวงพ่อมากราบทำไมขอรับ ท่านหันมามองแล้วก็ยิ้ม ยิ้มแล้วก็มองพระทุกองค์คล้ายๆ กับท่านจะถามในใจของท่านว่า พระทุกองค์น่ะคิดเหมือนไอ้ลิงดำหรือเปล่า ท่านก็บอกว่า ไอ้ลิงดำ ที่มาไหว้ศพน่ะเขามาไหว้สัจธรรมของพระพุทธเจ้านะ คำว่าสัจธรรมน่ะเป็นแบบนี้ คือว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าร่างกายของคนน่ะ อย่าพูดเลยว่าขันธ์ ๕ มันยุ่งเปล่าๆ ขันธ์ห้าขันธ์เห้ออะไรนี่ยุ่ง มันฟังยาก ขันธ์น่ะแปลว่ากอง ไม่ใช่ภาษาไทยเสียอีก เอาร่างกายก็แล้วกัน ร่างกายของคนและสัตว์นี่น่ะมันเป็นอนิจจัง มีสภาพไม่เที่ยง เวลาอยู่ก็เป็นทุกข์ ทุกขัง แต่ในที่สุดก็เป็นอนัตตาคือตาย ใครบังคับบัญชาไม่ได้ เวลาที่เรามาไหว้กันนี่เขาไหว้พระสัจจธรรมของพระพุทธเจ้า เวลากราบลงไปเขากราบพระพุทธเจ้ากันนะทีแรก กราบพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้าเทศน์นี่นะถูก ทรงเทศน์ไว้ตรง ข้าพระพุทธเจ้าขอยอมรับนับถือ ขอเอาธรรมข้อนี้หรือคำสอนตอนนี้ไปคิดเป็นประจำใจ จะได้เป็นคนไม่ประมาท ตกอยู่ในคุณธรรมชั้นสูง เป็นมรณานุสสติกรรมฐาน แล้วก็กราบลงไปครั้งที่ ๒ ก็นึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนที่พระองค์ทรงหลั่งไหลออกมาจากพระโอษฐ์ เหมือนดอกมะลิแก้ว เพราะแพรวพราวไปด้วยความจริง แพรวพราวไปด้วยคำประเสริฐ นี่พระธรรมที่หลั่งไหลออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เป็นของจริงเป็นของประเสริฐ ทำบุคคลทั้งหลายไม่ให้เมามัน ให้เข้าถึงความสุข กราบครั้งที่ ๓ ก็กราบพระสงฆ์ พระอริยสงฆ์ทั้งหลายที่ท่านอุตส่าห์ร้อยกรองพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว ไม่ปล่อยให้อันตรธานสูญไป รวบรวมเข้าไว้ นี่กราบความดีของพระ ๓ พระนา เขาไม่ได้กราบผีกราบศพ แกจะเห็นว่าคนที่ตายแล้วฉันมากราบ แม้แต่เด็กฉันก็กราบ นี่ความจริงฉันไม่ได้กราบเด็ก ไม่ได้กราบคนตาย ฉันกราบพระพุทธ กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ และเอาคนตายนี่เป็นครูฉัน ว่าเขาเกิดมาแล้วตาย จริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัส แล้วท่านก็หันมาถามว่า เออ เจ้าลิงดำ แล้วเอ็งกราบอะไร ก็เลยกราบเรียนท่านว่า ที่ผมกราบไม่ใช่กราบอะไรหรอกครับหลวงพ่อ ผมก็กราบผี ท่านก็เลยถามว่านี่ล่อมากี่ผีแล้วพ่อคุณ บอกว่าสิบกว่าผีแล้วขอรับ ท่านว่าแล้วกันไอ้ลิงดำ กราบผีเข้าให้แล้ว ดีเหมือนกัน ไอ้คนอย่างแกมันก็โง่น้อย ไม่ใช่โง่มาก หมายความว่าโง่แล้วพอพูดแล้วมันก็เกิดความฉลาด โง่แล้วยังดีกว่าไอ้คนโง่แล้วไม่พูดไม่ถาม พูดแล้วก็ยิ้มๆ มองกวาดไปทางพระองค์อื่น บอกว่า ไอ้ที่โง่แล้วไม่ถามมันอาจจะมีเยอะนา ในกลุ่มที่นั่งนี่น่ะ บวชก่อนพวกแกตั้ง ๑๐ พรรษา ๒๐ พรรษาก็มี เข้าใจกันหรือเปล่า ฉันทำให้ดูไม่เข้าใจก็ถามซิ ถ้าไม่ถามขี้ตามช้างมันก็ดีเหมือนกัน แต่ประโยชน์น้อย เอาเถอะก็ดี ทีนี้ท่านก็เลยบอกว่าการกราบศพเขากราบคุณพระรัตนตรัย กราบสัจจธรรมของพระพุทธเจ้า ทีนี้เวลาเผาศพก็เหมือนกันนะ อย่าตั้งหน้าตั้งตาเผาเขา เวลาเราไปเผาศพก็เผากิเลสในใจของเราเสียด้วย กิเลสส่วนใดที่มันสิงอยู่ที่เรา คิดว่าเราจะไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายน่ะ เผามันเสียให้หมดไป เราคิดว่าวันนี้เราเผาเขา ไม่ช้าเขาก็เผาเรา คนเกิดมาแล้วมาตายอย่างนี้เราจะเกิดมันทำไม ต่อไปข้างหน้าเราไม่เกิดดีกว่า เราไปพระนิพานนั่นละดีที่สุด เรื่องอัตภาพร่างกายสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ไม่มีอะไรเป็นความหมาย ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ตายแล้วหาสาระหาแก่นสารไม่ได้ หาประโยชน์ไม่ได้ นี่ท่านสอนอย่างนี้ก็จำไว้นะลูกหลาน เผาผีก็มุ่งไปนิพพาน ไปกราบศพไปเคารพศพก็ไปนิพพาน อย่าทำกันเป็นประเพณีนะ ประเพณีที่เขาจัดทำทำไปเถอะ แต่ใจอย่าเป็นประเพณี ไหนๆก็ลงทุนเสียเวลาไปในงานศพแล้ว เอากำไรกลับมานะ เอากำไรกลับมา คิดว่าเราต้องตายอย่างเขา เมื่อเขาอยู่ก็มีทุกข์อย่างเรา เราเกิดอย่างเขาเราก็แก่อย่างเขา เราป่วยไข้ไม่สบายอย่างเขา เราจะต้องตายอย่างเขา ถ้าหากว่าเราจะต้องตายอย่างนี้ จะต้องป่วยอย่างนี้ ต้องลำบากอย่างนี้ ต้องมีอาการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ เราจะเกิดมันทำเกลืออะไรอีก เกิดเป็นเกลือยังดีมันรักษาความเค็มของมันได้ ไอ้เกิดมีร่างกายนี่รักษาไว้ไม่ได้ระยำกว่าเกลือตั้งเยอะ เอ้า เรื่องยายฟูนี่ผ่านไปนะ .....​


    [​IMG]

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    Amulet2U.com :- Thai Amulet Information Center
     
  9. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    วันนี้ได้ถ่ายภาพพญาครุฑสวยๆมาให้ชมกัน มีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับครุฑเล่าให้ฟังนิดหน่อยครับ

    เล่ากันว่าครุฑนั้นเป็นเทพที่มีฤทธิ์มากจนพระนารายณ์ได้ทดสอบแล้วว่าเป็นจริง พญาครุฑก็ศรัทธาเคารพในองค์พระนารายณ์จึงตกลงกันว่าเมื่อพระนารายณ์จะเสด็จที่ใด พญาครุฑจะเป็นพาหนะให้ประทับไป แต่เมื่อพระนารายณ์ประทับอยู่ครุฑจะอยู่เหนือเพื่อเป็นคุ้มครองและเป็นสัญลักษณ์ให้กับองค์พระนารายณ์

    คตินี้จึงล่วงมาถึงพระมหากษัตริย์ที่เปรียบเป็นนารายณ์อวตาลมาเกิดเป็นมนุษย์ ฉนั้นเวลาพระมหากษัตริย์เสด็จไปที่ใดมักมีตราครุฑนำหน้า เช่นเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ และเมื่อเสด็จประทับที่ใดก็มีครุฑเป็นสัญลักษณ์ตามหน้าบรรณหรือพระตำหนักต่างๆ

    เล่ากันว่าสมเด็จพระจุลจอมเกล้า(ร.5)ทรงต้องการทอดพระเนตรครุฑองค์เป็นๆด้วยตาเนื้อ หลวงพ่อพริ้งวัดบางปะกอก ได้ทำการเชิญพญาครุฑมาให้ทอดพระเนตรที่เหนือแม่น้ำเจ้าพระยา ในหลวง ร.5 จึงทรงใช้ตราครุฑเป็นตราประจำพระเจ้าแผ่นดินตั้งแต่นั้นมา เป็นเรื่องเล่าต่อมาลองพิจารณากันเองคร้าบ
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ทั้ง 2 ท่านนี้คงไม่ต้องสาธยายบุญกันมากเพราะทานมัยสำหรับภิกษุสงฆ์อาพาธนั้น มีความหนักแน่นดีอยู่แล้ว ดังนั้นจึงขออาราธนาพระเมตตาบารมีและพระฉัพพรรณรังสีแห่งองค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฏกกุสันธพุทธเจ้าจงดลบันดาลให้ท่านทั้ง 2 และครอบครัว จงมีแต่ความสุขความเจริญและพบพานแต่สิ่งที่ดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่ด้วยเทอญ...สาธุ



    [​IMG]



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2009
  11. IrRiTaBle'

    IrRiTaBle' สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +20
    ร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ เป็นจำนวน 100 บาท
    วันที่ 16/06/09 สถานที่ S1B4810 ลำดับ 4357
    โอนเข้าบัญชี 3481232459
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      300.8 KB
      เปิดดู:
      125
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ผู้ที่เข้าใจธรรมะนั้นหายาก....หลวงปู่ดูลย์ อตุลโล


    [​IMG]

    ผู้ที่เข้าใจในธรรมะถูกต้องหายาก
    พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
    วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์


    เมื่อไฟไหม้จังหวัดสุรินทร์ครั้งใหญ่ได้ผ่านไปแล้ว
    ผลคือความทุกข์ยาก สูญเสียสิ้นเนื้อประดาตัว
    และเสียใจอาลัยอาวรณ์ในทรัพย์สิน
    ถึงขั้นเสียสติไปหลายราย

    วนเวียนมาลำเลิกให้หลวงปู่ฟัง
    อุตส่าห์ทำบุญเข้าวัด
    ปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายาย

    ทำไมบุญกุศลจึงไม่ช่วย
    ทำไมธรรมะจึงไม่ช่วยคุ้มครอง
    ไฟไหม้บ้านวอดวายหมด


    แล้วเขาเหล่านั้นเลิกเข้าวัดทำบุญไปหลายราย
    เพราะธรรมไม่ช่วยให้พ้นจากไฟไหม้บ้านฯ


    หลวงปู่ว่า

    “ไฟมันทำตามหน้าที่ของมัน
    ธรรมะไม่ได้ช่วยใครในลักษณะนั้น

    หมายความว่า ความอันตรธาน ความวิบัติ
    ความเสื่อมสลาย ความพลัดพรากจากกัน
    สิ่งเหล่านี้ มันมีประจำโลกอยู่แล้ว

    ทีนี้ผู้มีธรรมะ ผู้ปฏิบัติธรรม
    เมื่อประสบกับภาวะเช่นนั้นแล้ว
    จะวางใจอย่างไรจึงไม่เป็นทุกข์ อย่างนี้ต่างหาก

    ไม่ใช่ธรรมะช่วยไม่ให้แก่ ไม่ให้ตาย
    ไม่ให้หิว ไม่ให้ไฟไหม้ ไม่ใช่อย่างนั้น”




    (ที่มา : หลวงปู่ฝากไว้ : บันทึกพระธรรมเทศนาของพระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล),
    รวบรวมและบันทึกไว้โดย พระโพธินันทมุนี วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์, หน้า ๘๗)
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ปฏิบัติเพื่ออะไร...(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)

    [​IMG]


    หากต้องการภาพขนาดใหญ่ เพื่อทำ Wallpaper
    Download Wallpaper Link...

    (กดปุ่มเมาส์ด้านขวา เลือก Save Target As)
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    [​IMG]

    [​IMG] เมื่อมีชีวิตอยู่ไป กรรมก็สั่งสมขึ้นมากมาย ต้องรู้จักทั้งตัดและต่อ จึงจะมีชีวิตที่ดีได้

    สำหรับมนุษย์นั้น กรรมกับชีวิตไม่สามารถแยกจากกันได้
    เมื่อมีชีวิตก็มีกรรม เพราะเหตุที่มีกรรมนั้นแหละจึงทำให้ชีวิตสืบต่อไป

    เพราะฉะนั้น กรรมก็อุดหนุนชีวิต และเมื่อมีชีวิตก็ทำกรรมกันต่อไป
    ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าเราจะใช้ชีวิตนั้นทำกรรมอะไร


    พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราทำกรรมดี และตรงนี้ก็เป็นแง่ของการที่จะสืบต่อ

    คนเราจึงต้องใช้การสืบต่อให้เป็นประโยชน์
    หมายความว่า ชีวิตที่เป็นการสั่งสมก็ดี สืบต่อก็ดี
    เราควรจะทำให้เป็นการสืบต่อและเป็นการสั่งสมที่เป็นบุญเป็นกุศล
    ถ้าสืบต่อดีก็เกิดบุญเกิดกุศลมาก ชีวิตนี้ก็จะเต็มเปี่ยมไปด้วยบุญด้วยกุศล

    แต่ในเวลาเดียวกัน พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนให้เรารู้จักตัดด้วยเหมือนกัน
    ไม่ใช่ให้สืบต่ออย่างเดียว สืบต่อในแง่ที่จะทำให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิต


    แต่ในทางจิตใจของเรานี้ ถ้าเราไม่รู้จักตัด มันก็ทำให้เกิดความทุกข์ได้
    อย่างคนบางคนทำกรรมไว้ แม้จะทำบาปไว้เพียงนิดหน่อย
    แล้วก็มาเป็นห่วงเป็นกังวลกับบาปหรือกรรมไม่ดีที่เคยทำไว้
    แล้วจิตใจก็ไม่มีความสุข ด้านนี้พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าต้องรู้จักตัด

    เมื่อกี้นี้ต้องรู้จักต่อ ต่อให้ดีก็คือสั่งสมแต่ส่วนที่ดี
    ทีนี้ ส่วนที่เป็นโทษก็รู้จักตัด รู้จักตัดอย่างไร


    ตัดอย่างที่หนึ่ง คือตัดในความคิดของเรานี้แหละ
    ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า

    "ไม่ควรมัวหวนละห้อยถึงความหลัง หรือสิ่งที่ล่วงแล้ว
    และก็ไม่ควรฝันเฟ้อถึงอนาคตด้วยเช่นเดียวกัน
    สิ่งที่เป็นอดีตก็ล่วงไปแล้ว สิ่งที่เป็นอนาคตก็ยังมาไม่ถึง
    ควรดำรงอยู่ด้วยสิ่งที่เป็นปัจจุบัน"


    ถ้าเราพิจารณารู้ชัดว่ากรรมนี้ดี เป็นสิ่งที่เป็นปัจจุบันอยู่เฉพาะหน้า
    แล้วก็พยายามขวนขวายทำปัจจุบันนั้นให้ดี ก็จะมีชีวิตที่ดีงามได้

    ตัดอย่างที่สอง เป็นไปตามหลักความจริงที่ว่า
    คนเรานี้เปลี่ยนแปลงได้ เพราะเป็นอนิจจัง และเป็นไปตามเหตุปัจจัย

    หมายความว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย
    เพราะฉะนั้น กรรมที่ทำมาแล้ว
    ถ้าแม้ว่าได้ทำอกุศลมา ก็สามารถที่จะละเลิกแล้วหันมาทำกุศล


    มีพุทธพจน์ตรัสให้กำลังใจไว้ว่า

    "โย จ ปุพฺเพ ปมชฺชิตฺวา ปจฺฉา โส นปฺปมชฺชติ
    โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพฺภา มุตฺโตะ จนฺทิมา"


    คาถานี้แปลความได้ว่า

    "บุคคลใดเคยประมาทแล้วในกาลก่อน
    มาภายหลังเลิกละ หันมาเปลี่ยนเป็นไม่ประมาท
    บุคคลนั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่างไสว
    เหมือนดังดวงจันทร์ที่พ้นจากเมฆหมอก"


    พุทธภาษิตนี้หมายความว่า

    ถ้าเราเคยทำอกุศลกรรมหรือบาปอะไรไว้
    และถ้าหากเรารู้แล้วว่าสิ่งนั้นเป็นโทษ ไม่ดีไม่งาม เราก็เลิกละเสีย
    แล้วหันมาทำสิ่งที่ดีงามด้วยความไม่ประมาท
    ก็จะกลับเกิดเป็นบุญเป็นกุศล และจะทำให้ชีวิตนี้สว่างไสวขึ้นมา

    ตั้งแต่จิตใจของตนเองก็จะปลอดโปร่ง เบิกบาน แจ่มใสได้
    เรียกว่า พ้นจากเมฆหมอก
    เหมือนดังดวงจันทร์ที่ว่า เมื่อพ้นจากเมฆหมอกออกมาได้
    ก็ส่องแสงสว่างให้โลกนี้แจ่มจ้า งดงามสดใสได้ฉันนั้น

    ขอขอบคุณ
    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=19847

     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    มีเรื่องแจ้งให้ทราบนิดนึงสำหรับผู้ที่บริจาคปัจจัยให้ทุนนิธิฯ โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คณะกรรมการฯ ทุนนิธิ ได้มีการประชุมกันเพื่อหารือในเรื่องการจัดกิจกรรมประจำเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งได้ทราบคร่าวๆ จากอาจารย์ประถมฯ ว่า คงไม่สามารถมาร่วมงานได้ เนื่องจากสุขภาพไม่ค่ีอยดี และช่วงนี้ลูกชายอาจารย์ฯ คือคุณเอกชัยไม่อยู่บ้าน จึงไม่อยากจะไปไหนดังนั้น งานในเดือนวันครบปีครึ่งของทุนนิธิฯ นี้ อาจารย์ประถมฯ ก็ของดการเดินทางมาครับ แต่ในขณะเดียวกันก็มีประเด็นหารืออยู่เรื่องหนึ่งเพื่อการพิจารณาก็คือมีโครงการการบวชพระของวัดเนินตอง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งในขณะนี้จะเข้าพรรษาแล้ว แต่มีผู้ที่อยากจะบวชพระแต่ขาดปัจจัยในการบวชอยู่ 4 คน จากจำนวนผู้ที่อาสาบวชให้ครบพรรษาทั้งหมด 18 คน ดังนั้น ผมจึงนำรายละเอียดทั้งหมดเข้าหารือในที่ประชุม ซึ่งผลการประชุมมีความเห็นว่า เนื่องจากบุคคลทั้ง 4 นั้น เท่าที่ทราบจากทางวัด มีความตั้งใจจริงที่จะบวช และเมื่อบวชแล้วก็จะอยู่จนครบพรรษา โดยในระหว่างพรรษาก็จะมีการเรียนนักธรรมตรี และการฝึกปฏิบัตินั่งสมาธิในตอนเย็นทุกวัน พี่ใหญ่และพวกเราทุกคน จึงมีมติเห็นพ้องต้องกันว่า ในเมื่อเราเพียรเฝ้าพยายามรักษาสงฆ์อาพาธให้ท่านคลายจากอาพาธแล้วทุกเดือนมาเป็นแรมปี เงินบางส่วนเราน่าจะมาสร้างบุคคลที่มีความศรัทธาในพระศาสนาจริง แต่ขาดทุนทรัพย์จะบวช ให้ได้บวชเป็นองค์พระที่บวชครบพรรษาสมความตั้งใจของเค้าบ้าง ก็คงจะเป็นบุญกุศลแก่ผู้บริจาคอีกต่อหนึ่ง ทั้งต่อผู้บวชและผู้บริจาคคือพวกเราไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งบางท่านที่บริจาคเข้ามาร้อยบาทบ้าง สองร้อยบาทบ้าง ก็จะพลอยได้รับอานิสงค์ในการบวชนี้เท่าเทียมกัน และหากปะเหมาะเคราะห์ดี ทั้ง 4 คน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยากจะอยู่ต่อไม่อยากสึก ก็นับเป็นอานิสงค์ทวีคูณสำหรับเราไม่น้อย

    ในการนี้ ผมจึงได้ติดต่อกับทางวัดไป เพื่อขอรับเป็นเจ้าภาพบวชในส่วนที่เหลือทั้งหมด 4 องค์ โดยทางวัดได้กำหนดค่าใช้จ่ายมาองค์ละ 5,000.- บาท รวมเป็นเงิน 20,000.- บาท และจะขอนำเงินนี้มอบให้ทางวัดต่อไป โดยการบวชนั้น ทางผม และคุณสติ จะได้เดินทางไปร่วมในการบวชครั้งนี้ด้วย โดยหากท่านใดอยากไปร่วมงานบวชในครั้งนี้ ก็บอกมาได้ หรือท่านใดที่อยากมีส่วนช่วยเหลือในการบวชครั้งนี้ ก็โอนเงินเข้าบัญชีทุนนิธิฯ มา และขอให้ตั้งจิตอธิษฐานว่าปัจจัยที่จะโอนมาให้นี้ขอให้ข้าพเจ้าได้มีส่วนร่วมในการสร้างคนที่ขัดสนในทุนทรัพย์ให้ได้บวชเป็นพระสงฆ์เต็มองค์เพื่อสืบทอดพระศาสนา และขอผลบุญนี้จงมีส่วนให้ข้าพเจ้าและบิดามารดา พร้อมทั้งผู้มีคุณทั้งหลายของเข้าพเจ้า และเจ้ากรรมนายเวรทุกๆ ภพ ทุกๆ ชาติ ของข้าพเจ้า จงได้รับอานิสงค์นี้ พร้อมกับข้าพเจ้าด้วยเทอญ. แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว สำหรับการสร้างคนธรรมดาที่อยากบวชพระให้ได้บวชเป็นพระที่ถือศีล 227 ข้อ.ครับ

    พันวฤทธิ์
    16/6/52

    สำหรับรายชื่อที่ทางวัดจัดส่งมาให้สำหรับเจ้าภาพคณะทุนนิธิฯ มีตามนี้ครับ

    1. นายอุกฤษฎ์ หลาวเพ็ชร์
    2. นายนิคม แซ่อึ้ง
    3. นายสมเกียรติ เอี่ยมวิจิตร
    4. นายมานพ ศรีอนงค์

    รายละเอียดการบวชจากหมวดงานบวชในเวบพลังจิต
    ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพอุปสมบทหมู่ รุ่นที่ ๑๐ วัดเนินตอง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ๒๐-๒๑ มิ.ย. นี้
    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญ...ตอง-อ-ศรีราชา-จ-ชลบุรี-๒๐-๒๑-มิ-ย-นี้.188564/

    [​IMG]

    อานิสงส์การเป็นเจ้าภาพงานบวช (พระหรือสามเณร)

    1. ย่อมได้เกิดเป็นมนุษย์ มีชาติตระกูลสูง
    2. ย่อมได้เกิดในสถานที่รุ่งเรืองด้วยศีล สมาธิ ปัญญา
    3. ย่อมเป็นผู้มีศรัทธามั่นคง เป็นสัมมาทิฎฐิบุคคล
    4. ย่อมเป็นผู้ทรงจำดี มีปฏิภาณว่องไว มีปัญญาดี
    5. ย่อมมีอาชีพและกิจการเป็นหลักฐานมั่นคงตลอดไป
    6. ย่อมเป็นผู้มีเสน่ห์ เป็นที่รักนับถือของมนุษย์และเทวดา
    7. ย่อมปลอดภัยจากศัตรูหมู่พาลทั้งหลาย
    8. ย่อมเป็นผู้มีร่างกายแข็งแรง สมส่วน สง่างาม
    9. ย่อมมีอิสระเสรี มีอำนาจมาก
    10. เมื่อยังไม่หมดกิเลส เมื่อตายไปย่อมไปเกิดในสวรรค์เป็นเทวดาหรือหรหม ดังนี้
    - ให้ทาสบรรพาชาเป็นสามเณรได้ผลานิสงส์ 4 กัปป์ อุปสมบทเป็นภิกษุได้ผลานิสงส์ 8 กัปป์
    - ให้บุตรบรรพชาเป็นสามเณรได้ผลานิสงส์ 8 กัปป์ อุปสมบทเป็นภิกษุได้ผลานิสงส์ 16 กัปป์
    - ให้ภรรยาบรรพชาเป็นสามเณรี หรือให้สามีบรรพชาเป็นสามเณรได้ผลานิสงส์ 16 กัปป์ อุปสมบทเป็นภิกษุณีหรือภิกษุได้ผลานิสงส์ 32 กัปป์
    บางท่านว่าไว้ดังนี้ : -
    " สำหรับบิดามารดา (ให้ลูกบวชเป็นพระ) จะได้อานิสงส์คนละ 30 กัปป์ สำหรับคนที่ไม่ใช่พ่อแม่ เป็นเจ้าภาพบวชให้จะได้อานิสงส์คนละ 12 กัปป์ต่อ 1 รูป สำหรับท่านที่ช่วยเขาคนละบาทสองบาทหรือช่วยด้วยกำลังแรงอย่างนี้ มีอานิสงส์รูปละ 8 กัปป์"
    11. ย่อมได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุมรรคผล นิพพาน ได้ง่าย


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2009
  16. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    พระชุดกิมตึ๋ง

    บริเวณภาคกลางของประเทศแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นพื้นที่ที่พบว่ามีความนิยมในการสร้างพระพิมพ์กันอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้ อาจสืบเนื่องมาจากบริเวณดังกล่าวได้รับอารยธรรมทางพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ในระยะต้น คือตั้งแต่สมัยทวารวดี ซึ่งมีการสร้างพระพิมพ์แพร่หลายอยู่ก่อนแล้ว

    สุพรรณบุรีเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีการค้นพบพระพิมพ์เป็นจำนวนมาก พระพิมพ์ดังกล่าวมีพุทธลักษณะที่หลากหลาย และมีการตั้งชื่อเรียกเป็นเอกลักษณ์แตกต่างไปจากที่พบในแหล่งอื่นๆ ทั่วไป ที่รู้จักกันมากที่สุด คงได้แก่พระพิมพ์ภาพพระพุทธรูปปางสมาธิหรือปางมารวิชัยประทับในซุ้มเรือนแก้ว ที่เรียกว่า พระขุนแผน ซึ่งใช้ชื่อตัวละครเอกในวรรณคดีพื้นบ้านเรื่อง ขุนช้างขุนแผน มากำหนดเรียก และรู้จักกันในฐานะพระพิมพ์ที่มีชื่อเสียงในทางเป็นเสน่ห์ เมตตามหานิยม

    พระชุดกิมตึ๋งเป็นพระพิมพ์อีกกลุ่มหนึ่งของจังหวัดสุพรรณบุรีที่มีชื่อเรียก และพิมพ์ทรงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ พระพิมพ์ดังกล่าวพบที่วัดพลายชุมพลซึ่งเป็นวัดร้าง มีเขตอุปจารวัดติดกับวัดพระรูป แตกกรุออกมาครั้งแรกเมื่อราว พ.ศ.๒๔๔๙ เนื่องจากเจดีย์หักโค่นลงมาตามสภาพความเก่าแก่

    พระพิมพ์ที่แตกกรุออกมาในครั้งนั้นมีจำนวนมาก ถูกปล่อยทิ้งกระจัดกระจายจมอยู่ในซากอิฐปูนโดยไม่มีใครสนใจ ส่วนใหญ่เป็นพระพิมพ์ดินเผา ลักษณะเนื้อดินค่อนข้างหยาบ ศิลปะแบบอู่ทองหรืออยุธยาตอนต้น เป็นพระที่กดพิมพ์ไม่ค่อยเรียบร้อยนัก ส่วนมากจะติดตื้น รายละเอียดขององค์พระไม่ชัดเจน ไม่มีการตัดขอบพิมพ์ มีอยู่ด้วยกันสี่พิมพ์ คือ


    [​IMG]
    ๑. พระสี่กร
    เป็นพระปางมารวิชัย ประทับขัดสมาธิราบบนฐานลักษณะคล้ายดอกบัวมีก้าน หรือฐานมีเดือยแบบพระยอดธง พระพาหา และพระกรทั้งสองข้างมีรอยเคลื่อน หรืออาจเกิดจากความจงใจแกะพิมพ์เน้นบริเวณพระกร ทำให้มองเห็นเส้นพระกรเป็นสองเส้นในแต่ละข้าง เป็นที่มาของชื่อพระสี่กร ปีกขององค์พระมีลักษณะคล้ายเบี้ยจั่น ด้านหลังมีรอยบีบตอนถอดพิมพ์ บางองค์อาจมีลายนิ้วมือปรากฏ มีขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันเล็กน้อย ความกว้างประมาณ ๒.๓ เซนติเมตร สูง ๓.๕ เซนติเมตร พิมพ์นี้พบน้อยกว่าพิมพ์อื่นๆ


    [​IMG]
    ๒. พระมอญแปลง
    เป็นพระปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชรประทับอยู่ในซุ้ม พุทธลักษณะคล้ายกับพระพุทธรูปประทับภายใต้ซุ้มพุทธคยาในศิลปะทวารวดี องค์พระติดชัดลึกกว่าพระสี่กร มีสองพิมพ์ พิมพ์เล็กมีขนาดกว้างประมาณ ๒ เซนติเมตร สูง ๓.๑ เซนติเมตร พิมพ์ใหญ่กว้างประมาณ ๒.๕ เซนติเมตร สูง ๔.๕ เซนติเมตร


    [​IMG]
    ๓. พระประคำรอบ
    เป็นพระปางมารวิชัยประทับขัดสมาธิราบอยู่ภายในซุ้มเรือนแก้ว ภายนอกกรอบซุ้มตกแต่งลายเม็ดประคำโดยรอบ จึงเป็นที่มาของชื่อเรียก พระประคำรอบ พิมพ์ตื้นมาก มีขนาดกว้างประมาณ ๒.๕ เซนติเมตร สูง ๓.๕ เซนติเมตร


    [​IMG]
    ๔. พระปรกชุมพล
    เป็นพระปางสมาธินาคปรก พิมพ์ติดไม่ชัดเจน มีขนาดแตกต่างกัน แบ่งออกได้เป็นพิมพ์เล็ก กลาง และใหญ่ ด้านหลังนูน มีทั้งที่มีรอยบีบ และไม่มีรอบบีบ ส่วนใหญ่มีรอยนิ้วมือติดชัดเจน องค์พระมีขนาดสมส่วนกับนาคปรก มีขนาดกว้างประมาณ ๒.๔ เซนติเมตร สูง ๔.๕ เซนติเมตร พิมพ์เล็กความกว้างประมาณ ๒ เซนติเมตร สูง ๓.๒ เซนติเมตร


    พระทั้งสี่พิมพ์ดังกล่าว เดิมเรียกกันว่าพระตับวัดพลายชุมพล สำหรับที่มาของการเรียกพระชุดนี้ว่า พระชุดกิมตึ๋ง นั้น ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เพียงแต่สันนิษฐานกันว่าคงเนื่องมาจากความนิยมในการสะสมเครื่องโต๊ะ และเครื่องลายครามของจีน ที่แพร่หลายอย่างมากในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

    ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บรรดาข้าราชการผู้ใหญ่หรือคหบดีนิยมสะสมเครื่องเคลือบลายครามที่สั่งมาจากเมืองจีน แล้วนำเอามาจัดโต๊ะหมู่บูชาเป็นชุดๆ ประกวดประชันกัน โดยมีห้างที่สั่งเข้าจากเมืองจีนเอามาจำหน่ายในเมืองไทยสองห้าง คือ ห้างพระยาพิศาลผลพานิช กับห้างพระยาโชฎึกราชเศรษฐี ต่อมาเกิดห้างใหม่ขึ้นอีกห้างหนึ่งเป็นของจีนสุ่น ซึ่งเดิมทำงานให้กับพระยาโชฎึกราชเศรษฐี ภายหลังได้แยกออกไปตั้งห้างเอง

    ในการประกวดเครื่องถ้วยลายคราม และโต๊ะหมู่บูชาดังกล่าว ปรากฏมีโต๊ะหมู่บูชาชุดหนึ่งมีความงามเป็นเลิศกว่าโต๊ะหมู่บูชาชุดอื่นๆ พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ต้นตระกูลโชติกะพุกกณะ) ได้ทูลขอให้กรมขุนราชสีหวิกรมประทานชื่อโต๊ะหมู่บูชาชุดนี้ กรมขุนราชสีหวิกรมจึงทรงตั้งชื่อว่า “ ชุดกิมตึ๋ง ” แปลว่า “ พระราชบัลลังก์ทองคำ”

    อีกกรณีหนึ่ง สันนิษฐานว่า “กิมตึ๋ง” อาจมาจากชื่อยี่ห้อ “กิมตึ๋งฮกกี่” ของเครื่องถ้วยชาลายคราม ที่พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (พุก) สั่งมาจากเมืองจีนเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๔ ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงแปลความหมายไว้ในพระนิพนธ์เรื่อง ตำนานเครื่องโต๊ะ และถ้วยปั้น ว่า “ของอันวิเศษอย่างเต็มที่ ”

    เครื่องถ้วยชาดังกล่าวเป็นเครื่องลายคราม ประกอบด้วยถ้วยพร้อมจานรอง ชุดหนึ่งมีจำนวนสี่ใบ เป็นถ้วยขนาดเล็ก มีลวดลายสวยงาม จนเป็นที่กล่าวขวัญกันในหมู่นักนิยมถ้วยชา จึงเรียกชื่อถ้วยกิมตึ๋งกันจนติดปากแม้เวลาจะผ่านมาอีกหลายสิบปี ภายหลังเมื่อมีการพบพระพิมพ์ที่จัดกลุ่มรวมกันสี่องค์ จึงมีผู้ตั้งชื่อพระชุดนี้เสียใหม่ว่าพระชุดกิมตึ๋ง เนื่องจากเป็นที่นิยมเช่นเดียวกันกับเครื่องถ้วยลายครามของจีน

    ในอดีตเมื่อเกือบ ๑๐๐ ปีมาแล้ว พระชุดกิมตึ๋งนี้ได้รับความนิยมในหมู่นักสะสมพระเครื่องอย่างมาก เนื่องจากเชื่อว่ามีพุทธคุณในทางอยู่ยงคงกระพัน ปกป้องคุ้มครองภัยอันตรายแก่ผู้ครอบครอง
    กฤษฎา พิณศรี
    มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์
    ������ ���ͧ��ҳ MuangBoran Journal
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2009
  17. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    พระชุดกิมตึ๋งวัดพลายชุมพล จ.สุพรรณบุรี




    เอา"พระสมเด็จ มาแลกก็ไม่เอา" พระชุดกิมตึ๋ง ที่มีชื่อเหมือนลายครามจีน ในบรรดาพระเครื่องของเมืองสุพรรณ ที่มีพุทธลักษณะขี้ริ้วขี้เหร่สุดๆคงจะหนีไม่พ้น "พระชุดกิมตึ๋ง" ของ วัดพลายชุมพล ไปได้...พระชุดนี้มีอยู่ 4 พิมพ์ คือ พระสี่กร มอญแปลง ประคำรอบ นาคปรกชุมพล แต่ละพิมพ์ทรงมีความตื้นมาก ขาดความสวยงามและศิลปะ แต่พระพุทธคุณนั้นยอดเยี่ยมเหลือหลายจริงๆ
    มีข้อคิดว่า...ทำไมใครเอาชื่อเครื่องลายครามของจีนมาตั้งเป็นชื่อพระว่า "กิมตึ๋ง"

    ในสมัยรัชกาลที่ 4-5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ขุนนางและข้าราชการผู้ใหญ่นิยมจัดโต๊ะประกวดเครื่องถ้วยลายครามกัน มีถ้วยชาอยู่ชุดหนึ่งชื่อ"กิมตึ๋งฮกกี่" แปลว่า "เครื่องหมายอันวิเศษอย่างเต็มที่" เป็นถ้วยชาขนาดเล็ก 4 ใบ บางมากเกือบเท่าเปลือกไข่ ลายคราม วางไว้ในจานกลมกับป้านชาดินสีแดงอีกหนึ่งใบ ถือว่าเป็นชุดน้ำชาสวยงามที่สุด สั่งเข้ามาโดย พระยาโชฎึก (พุก) เป็นที่นิยมและมีชื่อเสียงเลื่องลือกันมาก จึงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป

    บังเอิญในสมัยรัชกาลที่ 5 กรุพระวัดพลายชุมพลแตก แต่ในขณะนั้นยังไม่มีใครนิยมพระกัน ทั้งไม่ยอมเอาพระเข้าไปไว้ในบ้านด้วย โดยถือเป็นคติว่า "ของวัดห้ามเอาเข้าไปไว้ในบ้าน"

    อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มสมัยโน้นที่ไปเที่ยวบ้านสาวอีกหมู่บ้านหนึ่ง เดินผ่าน วัดพลายชุมพล เห็นพระกองอยู่ก็นำเอาติดตัวไปคนละองค์สององค์ โดยมิได้คิดอะไร บังเอิญไปเกิดทะเลาะกับหนุ่มท้องที่เข้าเกิดตีรันฟันแทงกัน ปรากฏว่าหนุ่มเหล่านั้นไม่เป็นอะไรเลย ทั้งๆ ที่ถูกแทงและถูกตี ไม่มีใครเลือดตกยางออกเลยแม้แต่น้อย หนุ่มเหล่านั้นจึงประจักษ์ในความจริงว่า พระวัดพลายชุมพลอยู่ยงคงกระพัน ถึงกระนั้นก็ตามหนุ่มๆเหล่านั้นเมื่อกลับจากเที่ยวแล้วก็เอาพระนั้นกลับไป เก็บไว้ที่กองพระตามเดิม

    พระวัดพลายชุมพล มีอยู่ 4 พิมพ์เท่ากับถ้วยชาชุด "กิมตึ๋ง" ซึ่งมีความหมายว่า "เครื่องหมายอันวิเศษ" ด้วย พระพุทธคุณอันวิเศษของพระวัดพลายชุมพล นักเลงพระซึ่งรู้เรื่องราวของถ้วยชาชุด "กิมตึ๋งฮกกี่" จึงนำเอามาเปรียบเทียบกับพระชุดพลายชุมพลเรียกว่า "พระชุดกิมตึ๋ง" ดังนั้น พระวัดพลายชุดพลจึงถูกเรียกว่า "พระชุดกิมตึ๋ง" นักนิยมพระรุ่นหลังแทบจะไม่รู้เสียเลยด้วยซ้ำไปว่า พระชุดกิมตึ๋งก็คือพระวัดพลายชุมพล นั่นเอง

    คตินิยมไม่ให้เอาของวัดเข้าไปไว้ในบ้านค่อยๆ เลือนหายไป ต่อมาข่าวแพร่กระจายว่า พระวัดพลายชุมพลมีพระพุทธคุณในด้านอยู่ยงคงกระพัน จึง ต่างไปเก็บเอาพระกลับไปไว้บ้าน บางคนได้ไว้เป็นหีบๆไม่น้อยกว่าร้อยสองร้อยองค์ ใครไปใครมาก็แจกเขาไปหมด เพราะขณะนั้นยังไม่มีการซื้อขายกัน

    ต่อมาความต้องการมีมากขึ้น จึงมีการซื้อขายในราคาองค์ละ 5 สตางค์ เทียบเท่ากับราคา พระสมเด็จวัดระฆังฯ ซึ่งขณะนั้นก็มีราคา 5 สตางค์เช่นกัน แต่สมัยนั้นถ้าใครเอา พระสมเด็จ วัดระฆัง มาแลกกับ พระชุดกิมตึ๋ง ชาวสุพรรณก็ไม่เอาเหมือนกัน เพราะอาจจะไม่รู้จัก พระสมเด็จ วัดระฆัง หรืออาจจะมั่นใจใน พระชุดกิมตึ๋ง มากกว่า ก็ได้ เพราะเป็นพระบ้านตัวเอง

    อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาพระชุดกิมตึ๋งได้รับความนิยมน้อยลง เพราะความไม่สวยงามคมชัดลึกเหมือนพระพิมพ์อื่น ๆ จึงไม่เป็นการจูงใจให้มีผู้นิยมเท่าใดนัก



    พุทธลักษณะของพระชุดกิมตึ๋งโดยสังเขป

    1. พระสี่กร กรอบพิมพ์คล้ายผลมะปราง ฐานล่างมนปลายแหลม ปางมารวิชัย พระพาหา-พระกร (แขน) ทั้งสองข้างเป็นสองเส้นคู่ นักนิยมพระให้พระนามว่า "พระสี่กร"
    2. พระมอญแปลง เป็นพระถอดพิมพ์มาจาก พระผงใหญ่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งเป็นศิลปทวารวดี ไม่ใช่พระผงสุพรรณ พระเศียรโล้น กรอบพิมพ์คล้ายพระสี่กร แต่ยอดมน เป็นพระที่ค่อนข้างหายาก
    3. พระนาคปรก บางท่านเรียก "ปรกชุมพล" เพราะเป็นพระพิมพ์นาคปรกที่พบที่วัดพลายชุมพล มีทั้งพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก พิมพ์เล็กเนื้อค่อนข้างละเอียด พิมพ์ใหญ่เนื้อหยาบ เป็นพระนาคปรก 7 เศียร ประทับนั่งในท่าสมาธิ
    4. พระประคำรอบ กรอบ พิมพ์ค่อนข้างกลม ปางมารวิชัย รอบองค์มีซุ้นเส้นลวดโค้งหยักตามองค์พระประทับนั่งเหนือบัวเม็ด โดยรอบมีเม็ดประคำ จึงเรียกว่า "พระประคำรอบ"


    พระดังกล่าวทุกๆ พิมพ์มักจะมีลายมือของผู้ทำพระปรากฏอยู่ด้านหลัง แต่ไม่ได้จงใจกดลายมือลงไปเหมือน"พระผงสุพรรณ" ที่เกิดจากเอานิ้วมือตกแต่งด้านหลัง แต่มีเจตนาที่จะใช้ปลายนิ้วหยิบด้านหลัง ดังนั้น เนื้อดินด้านหลังขององค์พระจึงนูนเหมือนกับนิ้วมือหยิบเป็นส่วนใหญ่ พระบางองค์อาจจะไม่มี นับเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง และโปรดจำให้แม่นในเนื้อพระมีแร่สีแดงเลือดนกและแดงดำปรากฏอยู่ทุกๆ องค์

    ประสบการณ์ - ครูโชติ สนธิทรัพย์ อดีตครูใหญ่โรงเรียนการช่างสุพรรณบุรีรุ่นบุกเบิก (ปัจจุบันคือวิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี) ขณะนั้นโรงเรียนเหมือนอยู่ในดงไม้รก ติดกับวัดพระรูป เมื่อ 60 กว่าปีก่อน พระวัดพระรูป-พระวัดพลายชุมพลชุดกิมตึ๋งยังหาง่าย ครูโชติสะสมพระทั้งสองวัดไว้เป็นจำนวนสิบๆ องค์ ใส่ไว้ในไถ้ผ้าดิบ วันหนึ่งสะพายแล่งออกขี่ม้าเที่ยว ขณะที่ม้ากำลังเหยาะย่างผ่านดงไม้ทึบเสียงปืนลูกซองดังปังมาจากดงไม้ ร่างครูโชติร่วงลงจากหลังม้าทันที ม้าตกใจเผ่นพรวดไปข้างหน้า เจ้ากรรมเท้าของครูโชติยังติดอยู่กับที่พักเท้า ม้าจึงลากถูลู่ถูกังไปราว 20 เมตรเท้าจึงหลุด แต่แปลกประหลาดมากครูโชติไม่ได้รับอันตรายแต่ประการใด ทั้งๆ ที่ถูกยิงหล่นจากหลังม้าก็ไม่เข้า เพียงแต่ถลอกปอกเปิดเล็กน้อยเท่านั้น แต่ชีวิตไม่สิ้น

    ข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 27 ธ.ค. 2539 ลงข่าวว่า เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.นายบรรจง พูลเอี่ยม เจ้าหน้าที่สถานีคมนาคมดาวเทียมขับรถปิกอัพไปทำงาน ระหว่างทางได้ยินเสียงก๊อกๆ แก๊กๆ ใต้ท้องรถนึกไม่ออกว่าเป็นอะไรพอถึงที่ทำงานจอดรถแล้วก้มลงดูใต้ท้องรถพบ เห็น ระเบิดลูกเกลี้ยงห้อยต่องแต่งอยู่ รีบผละออกทันที โทรศัพท์แจ้งไปยังสถานีตำรวจภูธร ต.แหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ด.ต.พร อุดมกลาง ผู้เชี่ยวชาญวัตถุระเบิดมากู้ระเบิดไว้ได้ บอกว่าสลักจวนหลุดแล้ว ถ้าเดินทางอีกสักกิโลเมตรเดียวสลักก็จะหลุดและระเบิดทันที

    นายบรรจงกล่าวว่า เขาเคยถูกคนร้ายลอบยิงมาแล้วถึง 3 ครั้ง ทุกครั้งปลอดภัยมาอย่างปาฏิหาริย์ ถูกยิงที่หน้าอกแต่ไม่เข้า เพราะเขาคล้อง "พระสี่กร" ซึ่งได้มาจากสุพรรณบุรีตั้งแต่เด็กๆ คล้องติดตัวตลอดมา ถือได้ว่า "พระชุดกิมตึ๋ง" รูปไม่สวยแต่รวยอภินิหาร

    (ข้อมูลจาก นสพ. คมชัดลึก)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2009
  18. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    แก้ปัญหาชีวิตด้วยทาน ศีล ภาวนา


    • <script type="text/javascript">SHARETHIS.addEntry({ title: "แก้ปัญหาชีวิตด้วยทาน ศีล ภาวนา", url: "http://www.hbwellness.info/mind-body/2935" });</script>แบ่งปันเรื่องนี้
    • พิิมพ์เรื่องนี้
    • ผู้อ่าน 2,273 คน
    [​IMG]พูด ถึงปัญหาของชีวิตมันก็มีสารพัดอย่าง แต่ปัญหาส่วนใหญ่ก็เกิดจากเรื่องความรักและเรื่องเงินทอง ฐานะความเป็นอยู่ วิธีแก้ปัญหาของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป สำหรับความเห็นของอาจารย์มิตซูโอะ การแก้ปัญหาทุกเรื่อง ต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อน

    อาจารย์เคยพบกับพระองค์หนึ่ง ก่อนที่จะบวชพระ เขาก็เป็นคนที่มีฐานะดี เป็นลูกชายของผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงในสังคมไทย เขาเล่าประสบการณ์ให้อาจารย์ฟังว่า หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย เขาก็ทำงานสร้างฐานะ เมื่อมีเงินทองเขาก็ชอบเที่ยวเหมือนผู้ชายทั่วไป กินเหล้าเมายา มีเพื่อนผู้หญิง เที่ยวกลางคืน ใช้ชีวิตแบบหนุ่มเจ้าสำราญนี่แหละ แต่แล้ววันหนึ่งธุรกิจของเขาเกิดปัญหา มีหนี้สินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงที่เขามีปัญหาอยู่นี้ เขาก็ได้พบกับอุบาสิกาคนหนึ่ง อุบาสิกาคนนี้แนะนำวิธีแก้ปัญหาให้เขา 3 ข้อ
    1. ให้ทาน ถึงแม้เขากำลังมีปัญหาเรื่องหนี้สินอยู่หลายล้าน แต่อุบาสิกาแนะนำให้เขาทำบุญให้ทาน เป็นข้อแรก
    2. รักษาศีล ต้องหยุดเที่ยวกลางคืน เลิกอบายมุข หยุดกินเหล้าเมายา ตั้งใจรักษาศีลห้า
    3. เจริญเมตตาภาวนา ให้ฝึกทำสมาธิเพื่อให้ใจสงบ มีความสุขใจ
    เขาก็เชื่อฟังอุบาสิกา ปฏิบัติตามคำแนะนำ คือทำบุญให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ปรากฎว่าไม่นานชีวิตเขาก็เปลี่ยนไป แก้ปัญหาได้ ภาระหนี้สินค่อยๆ หมดไป จนในที่สุดเมื่อจัดการทุกเรื่องเรียบร้อย เขาก็บวชเป็นพระอยู่จนถึงปัจจุบัน อุบาสิกาซึ่งเคยให้คำแนะนำแก่เขาก็ได้มาปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดเดียวกันนี่ แหละ
    เมื่อบวชเป็นพระแล้ว เวลามีโยมผู้หญิงมากราบ มาปรึกษา ท่านก็ให้อุบาสิกาช่วยรับแขก ทุกข์ของผู้หญิงส่วนมากก็มี 2 เรื่องนั่นแหละ คือผิดหวังในความรัก กับเรื่องหนี้สินเงินทอง อุบาสิกาก็สอนวิธีแก้ปัญหาในชีวิต ให้ปฏิบัติตาม 3 ข้อนี้ คือ ให้ทานรักษาศีล และเจริญภาวนา ใครปฏิบัติตามนี้แล้วก็แก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง
    การให้ทาน บางคนอาจจะคิดว่า ถ้าตัวเองมีปัญหาหนี้สินอยู่ จะมีเงินที่ไหนไปทำบุญให้ทาน จริงๆ แล้วการทำบุญให้ทานนั้น ไม่จำกัดอยู่เฉพาะการทำบุญกับวัด กับพระเท่านั้น ไม่ว่าจะให้แก่พ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อน ให้แก่ผู้ที่ขาดแคลนหรือสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็เรียกว่าเป็นทานทั้งสิ้น จะให้มากให้น้อยก็แล้วแต่กำลังศรัทธาและกำลังทรัพย์ของผู้ให้
    การให้ทานเป็นอุบายอย่างหนึ่งที่จะเปลี่ยนความรู้สึกของทั้งผู้ให้และผู้ รับ โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีปัญหาเคยทะเลาะกัน ไม่พูดกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งแสดงน้ำใจด้วยการซื้อขนมหรือผลไม้มาฝาก ก็จะช่วยให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกันเปลี่ยนความรู้สึกที่เคยขุ่นเคืองต่อ กันมาเป็นมิตรได้ มีอานิสงค์เหมือนการทำบุญให้ทานเหมือนกัน
    นอกจากการให้ทรัพย์สินเงินทองแล้ว การทำทานก็มีหลายวิธี ทุกคนไม่ว่าจะมีฐานะอย่างไรก็สามารถเป็นผู้ให้ได้เสมอ ตามหลักการบำเพ็ญทาน 10 ประการได้แก่
    1. ให้ทานด้วยทรัพย์สินเงินทอง
    2. ให้ทานด้วยสายตาที่เมตตาปราณี
    3. ให้ทานด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
    4. ให้ทานด้วยวาจาที่ไพเราะน่าฟัง
    5. ให้ทานด้วยแรงงานช่วยเหลือผู้อื่น
    6. ให้ทานด้วยการอนุโมทนายินดีเมื่อผู้อื่นทำดี
    7. ให้ทานด้วยการให้อาสนะ (ที่นั่ง)
    8. ให้ทานด้วยการให้ที่พัก
    9. ให้ทานด้วยการให้อภัย
    10. ให้ทานด้วยการให้ธรรมะ

    การให้เป็นเหตุแห่งความสุข การเสียสละ แบ่งปันสิ่งที่เรามีให้แก่ผู้อื่น เป็นการฆ่าความตระหนี่ถี่เหนียว ทำให้จิตใจสบาย
    การรักษาศีล เมื่อมีปัญหาให้เราสำรวจตัวเองก่อนว่า ตัวเรานั้นสำรวมกาย วาจา ใจเรียบร้อยหรือไม่ บางทีเราอาจขี้บ่น คำพูดหรือการแสดงออกของเราสร้างปัญหาแก่ตัวเอง แก่ผู้อื่นหรือไม่ ให้สำรวจตัวเองด้วยใจเป็นธรรมเพื่อที่เราจะได้ปรับปรุงตัวเอง ตั้งเจตนาในการรักษาศีล 5 ให้สมบูรณ์ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นกรอบทำให้เราไม่เบียดเบียนผู้อื่น
    หัวใจของศีล คือความไม่เบียดเบียน ตามปกติก็ให้เรารักษาศีลก่อน เมื่อเรารักษาศีลสมบูรณ์ ศีลเกิดขึ้นแล้ว ในที่สุดศีลก็จะรักษาเรา
    การเจริญภาวนา เมื่อมีปัญหาอย่าเพิ่งรีบร้อนที่จะแก้ปัญหาภายนอก ให้ตั้งสติ หยุดทำ หยุดพูด หยุดคิด หยุดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ก่อน กำหนดรู้ลมหายใจออกยาวๆ ลมหายใจเข้าลึกๆ ให้มีสติ มีความรู้สึกตัวกับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ติดต่อกันต่อเนื่องกัน มีสมาธิตั้งมั่นกับลมหายใจ ปล่อยวางความรู้สึกที่ไม่ดี ปล่อยวางจิตใจให้ว่าง ว่างจากอดีต ว่างจากอนาคต ว่างจากความไม่สบายใจ เหลือแต่จิตที่มีความรู้สึกตัว “โอปนยิโก”
    น้อมเข้าไปหาธรรมชาติของจิตที่เป็นประภัสสร จึงค่อยๆ คิดแก้ปัญหาด้วยสติ ปัญญา เมื่อจิตใจดี สบายใจแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะค่อยๆ ดีขึ้น ไม่ว่าจะมีวิกฤติหรือเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกับเรา สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือ รักษาใจของเราให้ดี เพราะใจเป็นประธาน ใจเป็นหัวหน้า เมื่อใจดี ก็คิดดี พูดดี ทำดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีขึ้นได้ตามเหตุปัจจัย
    เรื่อง พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ภาพ Eric Lafforgue

    Tags: ธรรมะเพื่อชีวิต, พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก, แก้ปัญหาชีวิต
    เรื่องเกี่ยวข้องที่น่าสนใจ


     
  19. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [​IMG]

    ดูกรมาลุงกยบุตร
    นักบวช พวกอัญญเดียรถีย์จักโต้เถียงด้วยคำโต้เถียงอันเปรียบด้วยเด็กอ่อนนี้ได้มิใช่หรือ?

    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว
    ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า


    ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เวลานี้เป็นกาลสมควร
    ข้าแต่พระสุคต เวลานี้เป็นกาลสมควรที่พระผู้มีพระภาคพึงทรงแสดงโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
    ภิกษุทั้งหลายได้ฟังต่อพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้.


    ดูกรอานนท์
    ถ้ากระนั้น เธอจงฟัง จงมนสิการให้ดี เราจักกล่าว

    ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า


    --------------------------------------------------
    ท่านอานนท์ กราบทูล พระศาสดา
    กาลเวลา สมควรที่ มีค่าล้ำ
    พระสุคต โปรดแสดง แจ้งในธรรม
    ใน “โอรัม ภาคิยสังโยชน์” ประโยชน์ไกล

    ตรัสถึง ปุถุชน คนโลกหล้า
    เป็นมิจฉา มิได้สดับ ธัมมาสมัย
    ไม่เห็นอริยะ ขององค์ พระทรงชัย
    ไม่มีความ ฉลาดใน พระธัมมา

    ไม่ได้รับ คำแนะนำ จากสัตบุรุษ
    จิตถูกฉุด ลงไป ในมิจฉา
    เพราะดวงจิต บิดเบือนไป จากสัมมา
    เห็นอัตตา เป็นตน วนเวียนไป


    คำกลอน by.หิ่งห้อยน้อย
    http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/view.php?No=2336
     
  20. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [​IMG]

    ดูกรอานนท์

    อริยสาวกใด ผู้ได้สดับ
    ได้น้อมรับ อริยะธัมมา พาสดใส
    เป็นผู้ฉลาด เพราะรับคำ แนะนำไว้
    ธรรมสัปบุรุษ เจริญไว้ ในจิตตา

    เมื่อมีธรรม คุ้มกันภัย ในดวงจิต
    สักกายทิฏฐ์ มิสะกิดได้ หายกังขา
    ย่อมรู้ใน เล่ห์ร้าย ที่กรายมา
    รู้อุบาย ที่จะพา ออกจากจินต์

    วิจิกิจฉา ความสงสัย ไม่อยู่ได้
    สีลัพพตปรามาสไซร้ ไม่ถวิล
    กามฉันทะ มิกลุ้ม รุมในจินต์
    พยาบาทสิ้น ละอนุสัย ไร้อวิชชา

    ---------------------------
    เมื่อจิตถูก ความสงสัย ครอบงำได้
    สีลัพพตฯ ยึดไว้ อย่างแน่นเหนียว
    กามฉันทะ พยาบาท อนาถเชียว
    ดุจดั่งเกลียว ผสานแน่น ติดแก่นใจ

    เข้าครอบงำ พาจิตถลำ ในโลกีย์
    ไม่ได้มี ที่พึ่ง ที่อาศัย
    ไม่รู้ เห็น อริยะชน ไม่พ้นภัย
    มิรู้ใน อุบายผละ ละบ่วงมาร

    จึ่งได้ชื่อ “โอรัมภาคิยสังโยชน์”
    ล้วนมีโทษ ไร้ประโยชน์ เกินไขขาน
    มันครอบงำ จิตใครไว้ ให้ร้าวราน
    กั้นมรรคผล นิพพาน ให้ห่างไกล


    คำกลอน by.หิ่งห้อยน้อย
     

แชร์หน้านี้

Loading...