ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    โอนเงินร่วมบุญทุนนิธิฯประจำเดือนมกราคมแล้ว 1000.11บาท เวลา 15.36 น.ค่ะ

    สวัสดีปีใหม่สำหรับทุกท่านนะคะ

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2008
  2. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
    สวัสดีใหม่กับคณะทุนนิธิทุกท่านครับ

    ขอคุณพระรัตนตรัย ดลบันดาลให้ทุกท่านและครอบครัว มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงตลอดปีและตลอดไปด้วยครับ
     
  3. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ขอสวัสดีปีใหม่

    สิ่งประสงค์อันใดที่ดี ก็สำเร็จเสร็จหมาย

    ทุกข์อันใด ขอมลายหายไป เร็วพลัน

    สุขขสุขสันต์ กันทั้งครอบครัว ทั่วทุกถิ่นไทย

    สาธุครับ
     
  4. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ขอส่งรูปถ่ายมาให้ชมกันวันนี้เนื่องจากได้มีโอกาสไปไหว้พระธาตุพนมครับ
    [​IMG]
    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SDC10332 2.JPG
      SDC10332 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      94.6 KB
      เปิดดู:
      425
  5. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ปูขออนุโมทนาด้วยนะคะพี่เสือ พอดีพึ่งมาเห็นข้อความของพี่นะคะ ขอบคุณสำหรับธรรมะของครูบาอาจารย์ที่นำมาฝากกันด้วยนะคะ
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๘๙ | ทรงโคจรบิณฑบาต
    <!-- Main -->


    ทรงโคจรบิณฑบาต

    เมื่อฝนโบกขรพรรษตกลงในท่ามกลางสมาคมพระญาติ และเมื่อพระบรมศาสดาได้ตรัสเทศนามหาเวสสันดรชาดก แก่เหล่าศากยราชทั้งหลายจนจบ ต่างก็พากันกลับไป โดยมิได้นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าให้รับภัตตาหาร

    ครั้นรุ่งเช้า พระบรมศาสดาทรงบาตรพร้อมด้วย พระขีณาสพภิกษุสงฆ์ ๒ หมื่นเป็นบริวาร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองกบิลพัสดุ์ไปตามลำดับบ้านไม่มีเว้น ประชาราษฎร์ต่างก็ได้มีโอกาสชมพระบารมี และมีความปิติยินดี ประนมมือนมัสการ นับเป็นครั้งแรก ที่ชาวเมืองกบิลพัสดุ์ ได้เห็นพระบรมศาสดา ทรงอุ้มบาตรโปรดประชาราษฎร์


    [​IMG]


    พระพุทธองค์ได้เสด็จออกบิณฑบาตเพื่อโปรดชาวเมือง แต่เมื่อพระเจ้าสุทโธทนทรงทราบ กลับทรงสลดพระทัยและพิโรธ เนื่องด้วยมีความคิดว่าในนครนี้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้พระราชอำนาจของพระองค์ทั้งสิ้น อยากได้อะไรก็สามารถถือเอาได้โดยไม่ต้องมีการอนุญาต เหตุใดพระพุทธองค์กลับมาทรงกระทำภิกขาจารให้ละอายพระทัยเป็นที่เสื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูล



    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๙๐ | พระนางพิมพาชี้ให้พระราหุลดูพระพุทธองค์เสด็จทรงบาตร
    <!-- Main -->[SIZE=-1]

    [/SIZE]เสด็จทรงบาตรในเมือง พระนางพิมพายโสธรา เห็น
    จึงชี้ให้พระราหุลดู ตรัสว่า "นั่นคือบิดาของเจ้า!"

    รุ่งเช้า ในขณะที่พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์บริวารทั้งหมด เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมือง ชาวเมืองแตกตื่นกันโกลาหล ด้วยไม่เคยคิดว่าพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นกษัตริย์โดยพระชาติกำเนิด จะเสด็จภิกขา หรือในความหมายของชาวบ้านคือ เที่ยวขอเขากิน

    ปฐมสมโพธิรายงานเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า "ในขณะนั้นบรรดามหาชนชาวเมืองแจ้งว่า พระผู้เป็นเจ้าสิทธัตถะราชกุมารเที่ยวภิกขาจารบิณฑบาต ดังนั้น ก็ชวนกันเปิดแกลแห่งเรือนทั้งหลายต่างๆ อันมีพื้น ๒ ชั้น แล ๓ ชั้น เป็นต้น แต่ล้วนขวนขวายในกิจที่จะเล็งแลดูพระสัพพัญญู อันเสด็จเที่ยวบิณฑบาตทั้งสิ้น"

    [​IMG]

    แม้พระนางพิมพายโสธราผู้เคยเป็นพระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะ หรือพระพุทธเจ้า ซึ่งมีพระทัยไม่เคยสร่างพระโสกีตลอดมา ได้ยินเสียงชาวเมืองอื้ออึงถึงเรื่องพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าเมืองมาตามถนน ก็จูงพระหัตถ์ราหุลผู้โอรส ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุได้ ๗ ปี เสด็จไปยังช่องพระแกล ครั้นเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จนำหน้าพระสงฆ์มา พระนางก็ทรงชี้ให้ราหุลดู และตรัสบอกโอรสว่า " นั่นคือพระบิดาของเจ้า ! "



    เสนอบทความธรรมะพุทธประวัติมา 90 ตอนทั้งปี 2551 โดยคัดลอกมาจาก
    http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=travelaround
    ต้องนับว่าเวบบล๊อกนี้ทำคุณประโยชน์ให้แก่กระทู้ทุนนิธิฯ นี้เป็นอย่างมาก ในการให้ความรู้ด้านพุทธประวัติ ในวาระดิถึขึ้นปีใหม่นี้ผม ในนามคณะกรรมการทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธฯ ขอให้ท่านเจ้าของลิขสิทธิ์คือคุณ travelaround ได้รับกุศลผลบุญอันใดที่ทุนนิธิฯ ได้ทำไว้ทั้งปี 2551 ที่ผ่านมานี้ด้วยเทอญ...

    พันวฤทธิ์
    4/1/52
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>...สมเด็จพระสังฆราชประทานพรปีใหม่ห่างไกลทุกข์... <HR width="100%" color=#dddddd SIZE=1></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]


    สมเด็จพระสังฆราช ประทานพรปีใหม่
    ทรงแนะให้ยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
    คือ พระพุทธ-พระธรรม-พระสงฆ์
    จะห่างไกลความทุกข์ยาก


    เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2551 กองพุทธสารนิเทศ
    สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แจ้งว่า
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    ได้ประทานพรปีใหม่ ประจำปี 2552 ความเป็นลักษณะร่าย ดังนี้


    พรจากพระ (สมเด็จพระญาณสังวร)
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    พุทธศักราช 2552 ปีใหม่แล้ว
    อัญเชิญพระสรณะแก้วครบองค์สาม
    ทรงแผ่รัตนรังสีที่แสนงาม
    พระบารมียังทุกยามให้รื่นรมย์
    ไกลความทุกข์ ความยากที่มากมี
    ทุกชีวิตในโลกนี้ไกลขื่นขม
    เย็นชื่นฉ่ำด้วยพุทธธรรมประโปรยพรม
    เป็นอุดมพรปีใหม่จากใจพระ


    คัดลอกจาก...กรุงเทพ ธุรกิจ ออนไลน์
    http://www.bangkokbiznews.com/2008/12/19/news_321549.php</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR width="100%" color=#dddddd SIZE=1></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อวันที่ 2/1/52 ไปทำภารกิจเสร็จสิ้นตามที่ได้โทร.คุยกับพี่ใหญ่ไว้ คือ ไปกราบท่านหลวงพ่อประสิทธิ์ที่วัดป่าหมู่ใหม่ ที่พี่ใหญ่บอกว่าองค์นี้ไม่ธรรมดากราบได้อย่างสนิทใจ และ ท่าน อ.เปลี่ยน วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ที่เข้าเขต... และรู้ทางไปแล้ว ในส่วนของ อ.ประสิทธิ์นั้น ก็เลยถามชื่อพระรูปที่มากราบท่านเมื่อวันที่ 1/1 ก่อนว่าท่านคือองค์ไหน และอยู่ที่ไหน จะใช่องค์ที่ผมตามหาอยู่หรือไม่ ก่อนออกจากบ้าน ทราบจากพระที่ อ.แม่แตง ว่าท่านไม่อยู่เพราะไปรักษาตัวที่ จ.ชัยภูมิ วันที่ 30/12/51 เลยขอพี่ใหญ่ให้ช่วยนิมนต์ท่านทางอากาศไว้ด้วย พอไปถึงที่เชียงใหม่ในวันที่ 31/12 ก็ทราบว่าท่านยังไม่มา แต่พอวันที่ 1/1/52 ได้ทราบจากน้องที่เรียนอยู่ที่ มช.ว่าท่านเพิ่งกลับมาถึงวัดในช่วงบ่าย 3 โมง น้องเพิ่งไปกราบมา เพราะน้องเป็นผู้หญิงและเคยไปถือศีล 8 กับท่านมาก่อน เลยไปกราบขอพรช่วงปีใหม่กับท่าน น้องบอกว่าท่านจะอยู่อีกวันเดียว แล้วจะไปที่อื่นอีก เหมือนอัศจรรย์ เลยถามทางเข้าวัดกับน้องได้อย่างสบาย แต่หากไปหาเอง อาจไม่เจอทางเข้าก็ได้ ดังนั้นเช้าวันที่ 2/1 จึงรีบเดินทางไปกราบท่านแต่เช้า ทิวทัศน์ทางเข้าวัด 2 ข้างทางท่านสวยมาก เป็นถนนเลียบคลองชลประทานเข้าไป บรรยากาศเป็นที่เงียบสงบมาก ถนนลาดยางตลอดจนถึงวัด นานๆ จะมีรถผ่านมาสักคัน ยืนถ่ายรูปบนถนนได้สบายมาก ในวัดท่านอากาศจะเย็นจนหนาว เพราะวัดอยู่ท่ามกลางต้นสักใหญ่ เลยนำรูปท่านที่ถ่ายมาได้ และรูปที่ไปกราบท่าน อ.เปลี่ยนมาฝากกัน ได้ถวายน้ำผึ้งจากสวนจิตรฯ ให้ท่านทั้ง 2 ส่วนของ ท่าน อ.ประสิทธิ์นั้นได้ถวายชุดตัดเล็บ แหนบ และกรรไกรชุดใหญ่ให้ท่านไปอีกท่านชอบมาก ผมสังเกตุได้กับพระทั้ง 2 รูป เวลาท่านให้พรเรา ท่านจะให้เรายื่นมือทั้ง 2 ออกไปข้างหน้า และท่านจะใช้มือทั้ง 2 ข้างมากุมมือเราที่ยื่นออกไปอีกทีหนึ่ง ว่าคาถา และอวยชัยให้พร ก่อนเป่ากระหม่อม สำทับอีกทีนึง น่าประทับใจครับ ตรุษจีนนี้ หากไม่ได้ไปไหน ลองแวะไปเชียงใหม่ ไปกราบท่านดู ที่วัดหลวงพ่อประสิทธิ์คนไม่เยอะ กราบท่าน สนทนากับท่าน สบายๆ แต่ที่วัดท่าน อ.เปลี่ยน ท่านเมตตามาก คนเยอะ แจกของขลังเยอะพวกสายรัดข้อมือแบบถัก เหมือนหลวงปู่ท่อน ทั้งหนังสือ ทั้งซีดี แจกฟรี ลองไปดูครับประทับใจจริงๆ ไปช่วงนี้อากาศสบายๆ ที่วัดคนไม่เยอะครับ ส่วนที่เที่ยวตามดอยคนเพียบ รถติดยาวเหยียด เชื่อเหอะไปวัดไปเช้าๆ ไปดอยไปเที่ยงๆ อยู่ให้ถึงบ่ายแก่ๆ จะหนีคนได้เยอะทีเดียว


    [​IMG]




    [​IMG]




    ถนนระหว่างทางเข้าวัด เลียบคลองชลประทานเงียบสงบ สวยงาม


    [​IMG]

    [​IMG]




    ท่านเมตตานั่งสนทนาบนกุฏิกับผู้ที่มากราบขอพรอย่างสบายๆ ไม่มีคนมาคอยกันท่าให้เสียอารมณ์

    [​IMG]



    กราบท่าน อ.เปลี่ยน ท่านจะเมตตามาก สังเกตุ จะมีกองตุ๊กตาไดโนเสาร์ ไว้คอยแจกเด็กๆ เยอะมาก ล้วงมาจากในกระเป๋าสีม่วงข้างท่านนั่นล่ะ มีรูบิค มีรถและของเล่นอื่นๆ อีกเพียบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2009
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ในเดือนมกราคมสำหรับปีใหม่นี้ ทุนนิธิฯ คาดว่า จะมีกิจกรรมทำบุญที่ รพ.สงฆ์ในวันอาทิตย์ที่ 25/1/52 นี้ครับ กำหนดการขอแจ้งให้ทราบภายหลังครับ ยังไงๆ ก็ขอทำบุญดักหน้าตรุษจีนก็แล้วกัน เช้าทำบุญเสร็จ แล้วค่อยไหว้เจ้าตอนสายๆ หรือบ่ายๆ วันจันทร์ที่ 26/1ก็ค่อยไปเที่ยวกันก็แล้วกันเน๊อะ...





    <CENTER></CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>เดือนนี้มีวันเด็ก</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>เดือนนี้มีวันครู</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>เดือนนี้มีวันตรุษจีน</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>แล้วก็มีวันที่ 25 มกรา..</CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2009
  10. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    โมทนาบุญด้วยครับ
    ผ้าที่พวกผมได้ไปถวายผ้าองค์พระธาตุท่านยังอยู่เลยครับ
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]
    ผลบุญ ที่เห็น ทันตา!?

    วันก่อน ผมไปฟังการแสดงธรรมของ หลวงพ่อวิชัย เขมิโย วัดถ้ำผาจม อ.แม่สาย จ.เชียงราย ฟังแล้วเห็นว่าน่าจะนำมาให้แฟนๆ "คม ชัด ลึก" ได้อ่านกันบ้าง เพราะหน้าที่ที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้

    เกี่ยวข้องกับเรื่องของเงินๆ ทองๆ อยู่เสมอ และพอดีช่วงนี้เป็นช่วงการเข้าพรรษาด้วย ได้โอกาสอันดี วันนี้จึงขอนำเรื่องของ นางปุณณะทาสี ที่หลวงพ่อวิชัย เขมิโย แสดงธรรมไว้ มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ดังนี้

    ในสมัยของพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเชตวันวรวิหาร มี นางปุณณะทาสี เกิดมาในตระกูลยากไร้เข็ญใจ โตขึ้นมา จึงมาเป็นทาสรับใช้ เลี้ยงหมูให้ท่านเศรษฐี พระพุทธองค์เสด็จโคจรบิณฑบาตผ่านมาถึงสถานที่ที่นางเลี้ยงหมูเป็นประจำ และ นางปุณณะทาสี เห็นพระพุทธเจ้า นางมีจิตศรัทธาอยากจะใส่บาตรกับพระพุทธเจ้าสักครั้ง เพราะเกิดมาทุกข์ยากไร้เข็ญใจอยู่ทุกวันนี้ เพราะไม่เคยได้ทำบุญไว้อดีตชาติปางก่อน ชาตินี้จึงมีชีวิตที่ต้องเป็นคนใช้ให้เหนื่อยยากทุกวันคืน ก็ได้แต่คิดเท่านั้น เพราะว่าไม่มีทรัพย์ที่จะซื้ออาหารข้าวปลามาถวายใส่บาตร พระพุทธเจ้า

    วันหนึ่งนางมีศรัทธาความเชื่อ ความเลื่อมใสมาก จึงตัดสินใจเอา รำที่เลี้ยงหมู มาผสมกับน้ำ เพื่อทำให้เป็นแผ่นบางๆ แล้วนำมาย่างไฟให้สุก ตั้งใจจะใส่บาตรพระพุทธองค์ให้ได้ในวันนี้ แต่ใจหนึ่งก็คิดว่า พระพุทธองค์ จะทรงรับทานของเราหรือเปล่า? เพราะของที่จะใส่บาตรนั้น ไม่ประณีตเหมือนของคนอื่น แต่นางก็มีจิตศรัทธาต่อ พระพุทธองค์ อย่างแรงกล้า เมื่อถึงเวลาโคจรบิณฑบาต พระพุทธเจ้า ก็เสด็จมาเหมือนทุกวัน นางปุณณะทาสี จึงนำเอารำที่ย่างไฟเตรียมไว้แล้ว ซ่อนไว้ในชายผ้า เพราะกลัวว่าถ้าถือไปแล้ว เมื่อ พระพุทธเจ้า เห็นขึ้นมา อาจจะไม่รับทานอาหารของตนเอง เพราะเป็นแค่ รำย่างไฟ เท่านั้น
    แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่วงรู้วาระจิตของนาง จึงทรงประทับยืน รับเจตนาของนาง โดยเปิดฝาบาตรให้นางได้ถวายของที่นำมา เมื่อนางปุณณะทาสีใส่บาตรแล้ว พระพุทธองค์ให้พรว่า เอวัง โหตุๆ ขอความปรารถนาอย่างนี้ๆ จงสำเร็จแก่เธอเถิด

    นางปรารถนาว่าด้วยผลทานที่ข้าพเจ้าถวายพระพุทธองค์ในวันนี้ จงดลบันดาลให้ข้าพเจ้าเกิดภพใดชาติใด ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานแล้วไซร้ ชื่อว่าความยากไร้เข็ญใจ ความไม่สมหวังในสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนานั้น อย่าได้บังเกิดในชีวิตของข้าพเจ้าเลย

    เมื่อ พระพุทธเจ้า ให้พรแล้ว ก็เสด็จจากไป แต่ นางปุณณะทาสี ยังไม่วางใจ กลัวว่าพระพุทธองค์จะไม่ฉันอาหารของเธอ จึงเดินตามไปดูห่างๆ แต่ พระพุทธเจ้า รู้วาระจิตของนาง และอยากให้ศรัทธาของนางมีมากขึ้น จึงไปประทับนั่งที่โคนต้นไม้ แล้วเปิดฝาบาตรทรงฉันรำข้าวย่างที่นางถวายมา นางปุณณะทาสีเห็นเช่นนั้น ก็มีความปีติดีใจมาก จึงเดินกลับมาที่เลี้ยงหมู แต่ยังไปไม่ถึงบ้านก็ถูกงูพิษกัดตาย!! แต่ด้วยจิตที่เลื่อมใส ดีใจต่อทานที่ตนเองถวายแล้ว พอดับจิตจากชาติที่เป็นมนุษย์ ก็ได้ไปเกิดเป็นเทวดาในสรวงสวรรค์เทวโลกทันที และมีบริวารมากถึงหนึ่งพัน แล้วลงมาเฝ้าพระพุทธองค์ พอ นางปุณณะทาสี เป็นเทวดา ก็มีรัศมีสว่างไสวไปทั่วบริเวณ วัดเชตวันวรวิหาร ภิกษุทั้งหลายเมื่อเห็นเช่นนั้นก็แปลกใจ จึงกราบทูลพระพุทธองค์ว่า นางเทวดาเมื่ออยู่ในโลกมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้ จึงมีแสงสว่างและมีบริวารมากมายถึงปานนี้
    พระพุทธเจ้าจึงแสดงอานิสงส์ถึงทานที่มีผลมากไว้ว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2009
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>ภาวนาเห็นอะไร จึงเป็นความอัศจรรย์

    เรื่องเห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นภูตผีปีศาจอะไรนั้น อย่า
    ไปสนใจ มันเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น บางคนภาวนามา
    จนกระทั่งได้สำเร็จอรหันต์ ไม่เคยเห็นอะไรสักที
    เห็นแต่
    กายกับใจของตัวเองเท่านั้น

    ใครจะเก่งถึงขนาดกำหนดรู้วาระจิตของคนอื่นได้ หรือรู้
    เห็นสิ่งที่ตามนุษย์ธรรมดาไม่เห็น ไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์

    มันอัศจรรย์อยู่ตรงที่ว่า ผู้ที่มีสติกำหนดรู้จิตของตนเองอยู่
    ทุกขณะจิตได้ นี่ ! ความมหัศจรรย์มันอยู่ที่ตรงนี้


    อื่นๆ มันเป็นแต่เพียงผลพลอยได้ ฤทธิ์ อิทธิพล อำนาจ
    ใครจะสามารถดำดินบินบน ล่องหนหายตัวได้ มันก็เป็นแต่
    เพียงผลพลอยได้ ไม่ใช่สิ่งประเสริฐที่เราต้องการ
    แต่เพื่อจะให้สมาธิของเราเป็นไปเพื่อความเรียบร้อยและ
    เป็นไปเพื่อความเยือกเย็น และเป็นไปเพื่อทางมรรคผล
    นิพพานอย่างแท้จริง.....ศีล ๕ ข้อ

    ศีล ๕ ข้อเท่านั้น เป็นตัวสำคัญสำหรับนักปฎิบัติฝ่าย
    คฤหัสถ์

    สำหรับพระภิกษุ สามเณร ก็ต้องรักษาศีลของตนให้
    บริสุทธิ์

    ๐๐๐ฐานิยปูชา ๒๕๕๐
    _____________
    _____

    คุณ ภาวิโต

    http://palungjit.org/showthread.php?t=137456</TD></TR><TR><TD> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <HR>
    [​IMG]


    บอกพระนิพพานแก่คนไม่ใช่มุนี...เหมือนบอกสีแก่คนตาบอด
    พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)

    อย่างเรื่องพระนิพพานนี่
    พระพุทธเจ้าท่านก็พูดไว้คลุมเครือคือ
    จะบอกคนชัดไม่ได้นั่นเองแหละ

    คนตาบอดนี่นะมันบอดอย่างสนิทนะ
    ลองบอกสีให้มันชัดสิ เหลืองแท้ๆ
    ไปถามคนตาบอดสีมันรู้จักมั้ย
    ยิ่งบอกมันก็ยิ่งไม่รู้จัก

    เราจะแก้ไขยังไงดี
    เราต้องย้อนกลับมาสิ
    ตาคุณทำไมถึงบอด
    มาพูดเรื่อรักษาตากันดีกว่า


    ขอให้ตาดีเถอะ สีแดง สีเขียว
    ไม่ต้องสอนหรอกจะรู้เอง


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ที่มา : จากเทปพระธรรมเทศนาของหลวงปู่ชา ม้วนที่ ๓๗
    ใน
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE class=attachtable cellSpacing=0 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle colSpan=2>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR>๑.

    "...การศึกษาในปัจจุบันนี้ ทั้งโลกก็ว่าได้ มักมีแต่เพียงสองอย่าง คือ รู้หนังสือกับอาชีพ แล้วก็ขมักเขม้นจัดกันอย่างดีที่สุด เร็วที่สุด ก้าวหน้าที่สุด มันก็ไม่มีผลอะไรมากไปกว่าสองอย่างนั้น มันก็ยังขาดการศึกษาที่ทำให้มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องอยู่นั่นเอง ดังนั้น อาตมาจึงเรียกการศึกษาชนิดนี้ว่า เป็นการศึกษาที่เป็นเหมือนกับหมาหางด้วน..."



    ๒.

    "...ครูก็ต้องทำหน้าที่ของครู โดยความมุ่งหมาย ก็คือ นำวิญญาณของมนุษย์ไปให้ถูกต้อง แต่ระบบการศึกษาส่วนที่จะนำวิญญาณของมนุษย์ไปให้ถูกต้องนี้มันยังขาดอยู่ มันมีแต่การศึกษาสองอย่าง คือ การศึกษาประเภทที่ทำให้คนรู้จักหนังสือ ความรู้พื้นฐานทำให้เฉลียวฉลาดเกี่ยวกับหนังสือ และอีกอย่างหนึ่ง คือ ความรู้เกี่ยวกับอาชีพ พวกเทคนิค หรือเทคโนโลยี่ที่จะรู้จักใช้เทคนิคนี้ แม้กฏหมายมันก็มีเทคนิค อะไร ๆ มันก็มีเทคนิค ที่เรียนกันในมหาวิทยาลัยทุกแขนง เสร็จแล้วมันเป็นพียงเรื่องอาชีพ ให้มีโอกาสได้เปรียบในการที่จะประกอบอาชีพ ที่เรียกว่าปริญญา มันขาดอย่างที่สามคือ การศึกษาที่ทำให้เป็นมนุษย์กันอย่างถูกต้อง..."

    (ที่มา : เว็บบอร์ดลานธรรมเสวนา)


    ๓.

    "...ทีนี้อันสุดท้าย สังโยชน์ข้อที่ ๑๐ อันสุดท้าย เรียกว่า อวิชชา คำนี้ ตัวหนังสือแปลว่า ไม่มีความรู้ คือไม่มีวิชชานั่นแหละเรียกอวิชชา. แต่ว่า คำว่า วิชชาๆ นี้ เขาหมายความเฉพาะความรู้ที่ถูกต้อง, ที่ใช้ประโยชน์ได้ ที่ดับทุกข์ได้ จึงจะเรียกว่า วิชชา, ทีนี้มันไม่มีวิชชา อันนี้มันจึงเป็นอวิชชา, แม้จะมีความรู้มาก แต่มันไม่มีประโยชน์ ไม่ดับทุกข์ได้ ก็ไม่เรียกว่า มีวิชชา, ถ้าไม่มีความรู้ที่จะดับทุกข์ได้ แล้วก็ไม่เรียกว่ามีวิชชา ยังมีค่าเท่ากับอวิชชาอยู่. เขาจะไปเรียนเรื่องต่างๆ ได้ปริญญา มาไม่รู้กี่สิบปริญญาแต่ไม่มีเรื่องดับทุกข์เลย ในทางธรรมะไม่เรียกว่าวิชชา, ต่อเมื่อมันมีส่วนแห่งการดับทุกข์ได้ จึงจะเรียกว่าวิชชา. นี่คือสัญชาตญาณเดิมแท้ ที่ไม่ได้ประกอบมาด้วยวิชชา, มันประกอบมาด้วยความไม่มีวิชชา มันจึงเอียงไปเป็นกิเลส แต่พอสัญชาตญาณอันนี้แหละ ความรู้มีลักษณะรู้ อาการแห่งความรู้ อบรมให้เจริญทำให้ดีให้มาก จนมีความรู้ที่มีประโยชน์ที่ดับทุกข์ได้เกิดขึ้น จึงเรียกว่า มีวิชชา เลยรอดตัว. ถ้าเราไม่สนใจเรื่องนี้ไม่รู้เรื่องนี้, เราก็มีอวิชชาอยู่ตลอดเวลา.

    ขอย้ำอีกทีหนึ่งว่า การศึกษาหมาหางด้วน มันรู้มาก รู้มาก รู้มาก แต่เรื่องหนังสือกับวิชาชีพ, แต่ไม่มีความรู้เสียเลย ว่าจะดับทุกข์ในจิตใจกันอย่างไร ฉะนั้นการศึกษาทั่วโลกเวลานี้เป็นการศึกษาหมาหางด้วน เพราะไม่ประกอบไปด้วยวิชชาที่ดับทุกข์ได้, มีแต่วิชชาที่จะทำอะไรเพื่อปากเพื่อท้องเพื่ออาชีพ, พอเผลอเข้า ควบคุมไม่ได้, อันนั้นเกิดเป็นพิษขึ้นมา, เกิดปัญหาเกิดความทุกข์อะไรขึ้นมา เพราะวิชชาชนิดนั้น ไม่ควบคุมความโลภได้, ไม่ควบคุมความโกรธได้, ไม่ควบคุมความหลงได้; นี้เราไม่เรียกว่าวิชชา, มีค่าเท่ากับอวิชชา. ตลอดเวลาที่เรายังไม่มีวิชชา เราก็ตกอยู่ใต้อำนาจสัญชาตญาณที่ปราศจากวิชชา, สัญชาตญาณเดิมๆ มีตัวตนแล้วก็เห็นแก่ตัวตน ยิ่งเห็นแก่ตัวตนก็ยิ่งไม่มีวิชชา ยิ่งมีอวิชชา อวิชชามาจากสัญชาตญาณแห่งการมีตัวตน ที่ไม่ได้รับการอบรม."

    (ที่มาคำบรรยาย : พุทธทาส.คอม )



    ขอขอบคุณ

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16426

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2014
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>อุปมาเปรียบชีวิตมนุษย์ ๗ ประการ

    ชีวิตของมนุษย์ เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ย่อมต้องตาย เหมือนสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก เมื่อมีการเกิดแล้ว ก็ย่อมมีการตายติดตามมาเป็นของคู่กัน ธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย คือ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป การตายจึงเป็นสภาพที่ใครๆ ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้


    ในปฏิจจสมุปบาท พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า สาเหตุหรือปัจจัยแห่งการเกิด คือ อวิชชา และปัจจัยให้เกิดการตายก็คือ การเกิดนั่นเอง เพราะการเกิดเป็นบทเริ่มต้นแห่งชีวิต และในเวลาเดียวกัน การเกิดก็นำไปสู่ความตาย โดยผ่านความแก่ ความเจ็บ ซึ่งเป็นปัจจยาการปรากฏต่อเนื่องกันไปโดยไม่ขาดตอนของชีวิต

    ในอังคุตรนิกาย ท่านได้อุปมาเปรียบชีวิตมนุษย์ไว้ ๗ ประการ ซึ่งแสดงให้เห็นความจริงของชีวิต ที่จะต้องเกิด
     
  16. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ร่วมบุญเพิ่มเติม ประจำเดือนมกราคม 2552 ครับ

    โอนผ่านATM เข้าบัญชี 348-123-245-9

    วันที่ 5 มค 2552 เวลา 19:14 น. จำนวน 300.72 บาท ครับ

    โมทนาบุญกับทุกท่าน ครับ
     
  17. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ขอสวัสดีปีใหม่และขอโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านครับที่ได้ร่วมทำบุญในรอบ 1 ปีที่ผ่านมามา
    ขอให้ผลบุญที่ทานช่วยสงเคราะห์สงฆ์อาพาธดลบันดาลให้ทุกๆ ท่านสุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย

    ณรงเวทย์ และครอบครัว;aa14
     
  18. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    หลวงปู่สอนว่า

    โดย พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)


    อันความตายนั้น จงระลึกดูให้รู้แจ้งด้วยสติ ปัญญาของตนเอง ยกจิตใจตั้งให้มั่นอย่าได้หวั่นไหว เจ็บจะเจ็บไปถึงไหนก็แค่ตาย อยู่ดีสบายอยู่ไปถึงไหนก็แค่ตาย แก่ชราแล้วไม่ตายไม่ได้ เมื่อมาถึงบุคคลผู้ใดจะให้ผู้อื่นช่วยไม่ได้ ต้องภาวนาให้พ้นจากความตาย ความตายนั้นมีทางพ้นไปได้ อยู่ที่การละกิเลส ล้างกิเลสในใจให้หมดสิ้น

    [​IMG]

    กิเลสกองไหนที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ขุ่นมัวให้รีบตัดรีบละออกไป เลิกไม่ได้ ละไม่ได้ก็ให้นึกถึงความตาย ใครจะใส่ร้าย ป้ายสี ก็ให้นึกว่าเขาจะต้องตาย เราคือกายกับจิตก็ต้องตายจากกันไป จะมาโกรธ มาโลภ มาหลง มายึดหน้าถือตายึดอะไรต่อมิอะไรไปทำไม จงปล่อยวางให้มันหมดสิ้นไป

    [​IMG]

    โลกธรรม ๘ ประการ มีความสบายกายสบายใจ ก็มีความไม่สบายกายไม่สบายใจ คือมีสุขมีทุกข์อยู่อย่างนี้ มีสรรเสริญก็ต้องมีติเตียนนินทาเป็นธรรมดาของโลกอย่างนี้ มีลาภเสื่อมลาภได้ เป็นธรรมดาอย่างนี้ มียศเสื่อมยศมันมีเป็นธรรมดาอย่างนี้ จิตผู้รู้ภาวนาไปอยู่ที่ไหน ทำไมไม่เร่งภาวนาให้มันหลุดพ้นไปเสียที

    [​IMG]

    เกิดแล้วต้องตาย ไม่ตายวันนี้วันหน้าก็ตาย ไม่ตายเดือนนี้เดือนหน้าก็ตาย ไม่ตายปีนี้ปีต่อไปก็ตายได้ ให้รู้ไว้ ให้เข้าใจไว้ แล้วจิตใจอย่าได้มัวเมา หลงใหลไปกับกิเลสกาม วัตถุกาม มาหลงร้องไห้หัวเราะอยู่นี้ ไม่มีที่สิ้นสุด ก้อนทุกข์กองทุกข์เต็มตัวทุกคน จงภาวนาดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญา ไม่ใช่คนอื่นจะมาทำให้ปฏิบัติให้ไม่มีตัวเองนั่นแหละปฏิบัติตัวเอง
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <!-- END WEBSTAT CODE --><TABLE height="95%" width="99%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="75%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 17 มิถุนายน 2551 12:49:19 น.-->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๙๑ | พระพุทธบิดาทราบข่าวเสด็จมาตัดพ้อ
    <!-- Main -->

    พระพุทธบิดาทราบข่าวเสด็จมาตัดพ้อ
    ทูลขอให้เสด็จไปประทับเสวยในวัง

    ในวันต่อมา พระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดาเสด็จไปรับเสด็จและเฝ้าพระพุทธเจ้าที่นิโครธาราม พร้อมด้วยพระประยูรญาติ แล้วไม่ได้ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จไปรับภัตตาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์ของพระองค์

    แต่ครั้นทรงทราบจากที่พระนางพิมพาไปทูลว่า พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกจำนวนมากมิได้เสด็จตรงไปยังพระราชนิเวศน์ แต่กลับเสด็จบิณฑบาตไปตามถนนหนทางในเมือง ก็ทรงเสียพระทัยเป็นอันมาก

    ปฐมสมโพธิว่า "พระหัตถ์ทรงผ้าสาฎกสะพักพระองค์ เสด็จลงจากพระราชนิเวศน์ บทจรโดยด่วนไปหยุดยืนอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์พระศาสดาแล้วกราบทูลว่า... "เหตุไฉนพระลูกเจ้าจึงมาเสด็จเที่ยวบิณฑบาตให้เป็นที่อัปยศ ผิดธรรมเนียมของกษัตริย์ ขัตติยวงศ์ของเรา ทำไมจึงไม่เสด็จไปเสวยที่พระราชนิเวศน์"

    [​IMG]

    พระพุทธเจ้าตรัสบอกพุทธบิดรว่า ธรรมเนียมการเสด็จภิกขาจารเพื่อบิณฑบาตนี้ มิใช่ธรรมเนียมของขัตติยวงศ์ก็จริง แต่เป็นธรรมเนียมของพุทธวงศ์ (วงศ์ของพระพุทธเจ้า) พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมเนียมของผู้สละบ้านเรือนออกบวชเป็นพระพุทธเจ้าและของพระสงฆ์สาวกนั้น ต้องเที่ยวบิณฑบาตเลี้ยงชีพ การบิณฑบาตนั้น เป็นอาชีพอันสุจริตของนักบวชในพุทธวงศ์ ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังมิได้เสด็จกลับมาตัวเปล่า แต่ได้นำสิ่งมีค่าติดตัวมาด้วยเป็นอันมาก เป็นเพชรพลอยที่มีค่าสูงที่สุดในโลก เป็นเพชรพลอยแห่งสัจจธรรมที่สามารถนำคนทั้งหลายไปสู่ความสุขอันไม่เปลี่ยนแปลงของพระนิพพาน

    พระพุทธเจ้าตรัสบอกพระเจ้าสุทโธทนะว่า พระองค์ทรงขาดจากขัตติยวงศ์แล้ว ขาดเมื่อตอนที่เสด็จออกบวชก็หาไม่ ขาดเมื่อคราวบำเพ็ญเพียรใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็หาไม่ แต่ขาดเมื่อคราวได้สำเร็จพระโพธิญาณ คือ ภายหลังตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ตั้งแต่นั้นมาพระองค์ได้ชื่อว่าทรงตั้งอยู่ในพุทธวงศ์

    พระพุทธเจ้าประทับยืนตรัสพระธรรมเทศนาแก่พระเจ้าสุทโธทนะ พอจบพระธรรมเทศนา พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงบรรลุโสดาปัตติผลในขณะที่ประทับยืนอยู่นั่นเอง ครั้นแล้วพระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงรับบาตร แล้วอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งหมู่อริยสงฆ์บริษัทไปยังพระราชนิเวศน์เพื่อทรงรับภัตตาหาร ทรงอังคาสด้วยอาหารบิณฑบาตอันประณีต

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffffff background=../bg/_bg1.gif border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=12>[​IMG]</TD><TD background=../pic_rec/m11.gif>[​IMG]</TD><TD width=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=12 background=../pic_rec/m44.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=9 bgColor=#333333>[​IMG]</TD><TD bgColor=#333333><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR align=middle><TD>มนุษย์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top align=right width=9 bgColor=#333333>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=9 background=pic/b_line_left.gif>[​IMG]</TD><TD style="BACKGROUND-POSITION: right bottom; BACKGROUND-IMAGE: url(../bg/pagebg19.jpg); BACKGROUND-REPEAT: no-repeat"><TABLE height=400 align=center border=0><TBODY><TR><TD>

    อันมนุษย์นี่หนอพอแยกได้
    มีร่างไซร้ธาตุสี่มาผสม
    ดั่งจับปั้นดินน้ำและไฟลม
    ต่างเกลียวกลมเป็นรูปร่างอย่างพอดี

    มีแต่ร่างยังหาใช่มนุษย์ไม่
    ส่วนจิตใจวิญญานขานชื่อผี
    ต้องสิงสู่ในร่างจึงจะมี
    ชีวิตที่เรียกว่าคนใช่กลไก

    จะดีงามทรามชั่วตัวตนสร้าง
    แต่ผู้วางแผนการนั้นรู้ไหม
    คือวิญญานรับรู้หรือจิตใจ
    นำชี้ให้ทำตามความคิดตน

    จิตนำกายว่ายวนในสังสาร์
    ทรมานแหวกว่ายด้วยสับสน
    ช่างลำบากจริงแท้เกิดเป็นคน
    จำทุกข์ทนเดินทางอย่างเอกา

    แม้รักชอบชิงชังดังที่เห็น
    นั่นเพราะเป็นเหตุต้นผลกรรมหนา
    เพราะต่างคนวนเวียนเกิดตายมา
    ไม่รู้ว่าเกาะเกี่ยวกันเป็นฉันใด

    เราคนเดียวโลดแล่นในแผ่นพื้น
    ทุกวันคืนระวังอย่าหวั่นไหว
    ชีวิตคนที่เห็นและเป็นไป
    เพราะปล่อยใจตามเหตุกิเลสมาร.
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ป้ากันนา
    http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/view.php?No=2305
     

แชร์หน้านี้

Loading...