ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ไปเรียนที่อังกฤษซะนาน กลับหรือยังก็ไม่ทราบ ยังไงก็ตามโมทนาและสาธุบุญด้วยครับ

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ns904.gif
      ns904.gif
      ขนาดไฟล์:
      6.5 KB
      เปิดดู:
      845
  2. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    +++... หาความสุขได้ที่ไหน...+++

    ในตอนกลางดึกมีหญิงชราคนหนึ่งกำลังคลำหาอะไรอยู่สักอย่างรอบๆเสาไฟฟ้าข้างถนน
    สักครู่หนึ่งมีหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา
    เห็นหญิงชราผู้นั้นกำลังคลำหาอะไรอยู่
    เลยถามขึ้นว่า 'ยาย..ยาย ยายกำลังหาอะไรอยู่?'

    หญิงชราผู้นั้นตอบว่า 'ยายกำลังหาเข็มเย็บผ้าอยู่ ยายทำตกหายไป
    ช่วยยายหาหน่อยซิ'
    พวกหน ุ่มสาวกลุ่มนั้นจึงช่วยกันหาทั่วไปหมด แต่ก็หาไม่เจอ
    ในที่สุดพวกเขาก็สงสัยจึงถามยาย

    '
    ยาย..ยาย..ยายทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไปที่ไหน'
    ยายตอบว่า 'ยายกำลังเย็บผ้าอยู่ในห้องยาย แล้วก็ทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไป
    แต่ห้องยายมันมืด ยายมองไม่ค่อยเห็น
    ยายก็เลยออกมาที่ถนนเพราะมีแสงสว่างจากไฟฟ้า
    '...
    พอพวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นได้ยินเช่นนั้นก็เลยหัวเราะ แล้วเดินหนีไป

    เมื่อเราทำของหาย เราก็ต้องไปหาในที่ๆเราทำหาย
    มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะไปหาที่อื่น
    เช่นเดียวกัน เมื่อเราแสวงหาความสุข
    เราก็ต้องหาในจุดที่เราได้สูญเสียความสุขไป
    มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะหาความสุขที่ไนท์คลับ หรือส ถานเริงรมย์ต่างๆ
    หรือไปหาที่ประเทศนั้นประเทศนี้ หรือไปหาที่คนอื่น

    ความสุขของเราได้สูญหายไปจากตรงไหน?
    คำตอบก็คือ เราได้ทำหายไปจากใจของเรา ได้สูญเสียความสุขจากตัวเรา

    จากใจเรา ดังนั้น เราก็ต้องแสวงหาความสุขที่จุดนั้น คือ ในตัวเรา

    แหล่งที่มา : จาก 'แนวทางสู่ความสุข' โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ทบทวนอีกครั้ง งานวันพรุ่งนี้พร้อมแล้ว จำนวนพระสงฆ์อาพาธที่จะถวายสังฆทานอาหาร(ภัตตาหารเช้า) มีทั้งสิ้น 189 รูป การดำเนินการในด้านการเงินได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้วทั้งหมด พระที่แจกเตรียมไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยองค์ หลายประเภท ผ้าอังสะที่ตัดไว้ก็พร้อมแจกแล้ว อาหารที่จัดเลี้ยงคือขนมปัง มีเพียง50 ชิ้น ใครนำไปเพิ่มก็ได้ครับ น้ำดื่มก็เช่นกัน มีเพียง 50 ขวดเล็ก ใครเอาไปเพิ่มก็ได้ หนังสือเตรียมไปเผื่อไว้อีก 25 เล่ม ใครขอซื้อในงานก็ขายให้ครับ ใครไปก็ได้เจอกันครับ เริ่ม 7.30 น.เตรียมเครื่องสังฆทานที่ร้านอาหารของโรงพยาบาล (ด้านขวามือ) เช่นเดิมเวลา 8.00 น.เริ่มขบวนเดินขึ้นตึกกัลยาฯ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2008
  4. sugardchiam

    sugardchiam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +5
    ผมทำการโอนเงิน 1,000 บาท เข้าบัญชีหมายเลข 348-1-23245-9 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2551 ผ่านธนาคารกสิกรไทย ช่วงเวลาประมาณ 20:04 น. เรียบร้อยแล้วครับ เพื่อเป็นการช่วยเหลือพระสงฆ์ที่เจ็บป่วยครับ
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ผู้ที่ตัดสินใจเด็ดขาดบริจาคเลยโดยไม่สงสัยในบุญในกระทู้นี้พบเห็นไม่กี่คน เช่น เฮียปอฯ คุณ sugardchiam และก่อนหน้านี้อีก 2-3 ท่าน ท่านเหล่านี้สิ้นความสงสัยในทาน (ธรรม) หากฝึกสมาธิมากๆ น่าจะไปได้เร็ว ขอโมทนาในกุศลที่ทำ และขอสาธุ ร่วมยินดีกับบุญเกิด ไปกับท่านด้วย อย่างน้อยเป็น "เทวดาสาธุ" ก็ยังดีครับ



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2008
  6. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    วันนี้ได้โอนเงินจำนวน 9250บาทเข้าบัญชีทุนนิธิฯโดยมีรายชื่อดังนี้ครับ
    คุณวิศัลย์ ณ ระนอง 1000บาท
    คุณสงวนชัย อัครวิทยาภูมิ 1000บาท
    คุณปิยะวัฒน์ วรัทเศรษฐ์ 1000บาท
    คุณชมพู ดิษฐ์ประเสริฐ และ เพื่อน 300 บาท
    คุณนาลดา อมรพัชระ และบุตร 400บาท
    คุณอนันต์ และ คุณสุนารี ตั้งธาราวิวัฒน์ 1000บาท
    ผมโสระและเงินที่เหลือจากซื้อผ้าห่มและอื่นๆอีก 2300 บาท
    คุณเพชร ทำเป็นค่าเครื่องดูดเสมหะ และ เข้าส่วนรวมของทุนนิธิ 750 บาท
    คุณchaipatและเพื่อน 1250บาท
    คุณhanada 9 250 บาท

    โมทนา สาธุ กับทุกๆท่านครับ
     
  7. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524

    สาธุ ขอโมทนาบุญด้วยคนนะคะ
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อวานลืมรายงานการดำเนินกิจกรรม เสร็จจากงาน มีกิจธุระต่อพอดีกลับมาถึงบ้านช่วงเย็น หลับยาวเลยลืมสรุปงานให้ทราบ เอาเป็นว่าในเรื่องรูป และเรื่องเงินนั้นจะทยอยลงให้ทราบครับ แต่ในส่วนของงานเมื่อวานนี้ มีคนไปเยอะพอสมควร ประมาณ 60-70 คน เพราะน้ำและขนมที่เตรียมไว้ เหลือนิดหน่อย เมื่อวานกิจกรรมมีอะไรบ้างพอสรุปได้ดังนี้

    1. ถวายสังฆทานภัตตาหารเช้า พระสงฆ์ 189 รูป
    2. ทำบุญโดยการบริจาคปัจจัยให้ รพ.สงฆ์
    3. กิจกรรมพบปะสังสรรคและรายงานผลการทำงานในรอบปีที่ผ่านมา

    โดยในการทำบุญที่บริจาคปัจจัยให้ รพ.สงฆ์นั้น เมื่อวานได้ให้ ท่าน อ.ประถมฯ ท่านมานั่งเป็นประธานในการรับทราบการบริจาคด้วยตนเอง โดยบริจาคซื้อโลหิตถวายพระ 10,000.- และซื้อเวชภัณฑ์ส่วนกลาง 10,000.-บาท

    การทำงานในรอบปีที่ผ่านมา

    ตั้งแต่เปิดกระทู้ขึ้นมาจนถึงปัจจับันมีการช่วยเหลือตามโรงพยาบาลต่างๆ ดังนี้

    1. วันที่ 29/11 เวลา 12.30 น.เปิดบัญชีทุนนิธิฯ
    2. " เวลา 21.36 น.เริ่มเปิดกระทู้ครั้งแรก
    3. วันที่ 9/12/50 เริ่มทำกิจกรรมและเริ่มบริจาคให้ รพ.สงฆ์เป็นครั้งแรก
    4. เดือนมิถุนายน 2551 เริ่มให้ความช่วยเหลือที่ รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบลฯ
    5. เดือนกรกฎาคม 2551 เริ่มให้ความช่วยเหลือที่ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น โดยผ่านกองทุนหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    6. เดือนกันยายน 2551 เริ่มให้ความช่วยเหลือที่ รพ.สงขลา จ.สงขลา และที่ รพ.มหาราช (สวนดอก) จ.เชียงใหม่
    7. เดือนตุลาคม 2551 เริ่มให้ความช่วยเหลือที่ รพ.แม่สอด จ.ตาก
    8. เดือนพฤศจิกายน 2551 เริ่มให้ความช่วยเหลือ ที่ รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) จ.น่าน

    โดยในปัจจุบันมี จำนวน รพ. ที่ได้รับการช่วยเหลือทั้งสิ้น 7 รพ. คิดเป็นการช่วยเหลือขั้นต่ำรวมทั้งการถวายสังฆทานภัตตาหารที่ รพ.สงฆ์ ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 45,000.-/เดือน

    แนวโน้มการทำงานต่อไป
    1. จะเพิ่มการช่วยเหลือให้แก่ รพ.ทางด้านชายแดนกัมพูชาอีก 1 รพ.
    2. ตั้งกองทุนส่งพระต่างชาติกลับวัด ตาม รพ.ชายแดน (ได้รับแจ้งจากทาง รพ.ชายแดนว่า บางครั้งพระต่างชาติ ที่มาเป็นคนไข้ใน เมื่อรักษาตัวเสร็จ ไม่มีญาติมารับ หรือไม่มีปัจจัยกลับวัด พยาบาลต้องเรี่ยไรกันเพื่อส่งท่านกลับ หรือบางครั้ง พระบางรูปมีเณรมาด้วย พอท่านต้องมารักษาตัวนาน ทำให้เณรที่มาด้วยขัดสนเรื่องการขบฉัน เพราะ รพ.ไม่มีงบจัดหาอาหารให้ญาติของผู้ป่วย จึงเป็นการลำบากที่ทาง พยาบาลต้องเรี่ยไรเงินเพื่อจัดหาอาหารถวายให้เณร จึงได้มีแนวคิดในการจัดตั้งกองทุนนี้ขึ้นมา) และในขณะนี้มีเงินในส่วนนี้จากการบริจาคของผู้เข้าร่วมกิจกรรมแล้ว 6,000.- โดยจะได้นำส่งให้ รพ.ชายแดนทั้งที่ จ.ตาก และที่ จ.น่าน ต่อไป
    3. โครงการธรรมะสัญจร จะเป็นโครงการที่ต่อยอดหลังจากที่ทำกิจกรรมที่ รพ.สงฆ์เสร็จสิ้น โดยจะเป็นการเดินทางไปยัง จ.อยุธยา จ.นครนายก เพื่อไปสนทนาธรรม ทำสังฆทาน หรือนั่งสมาธิต่อ เพื่อให้ครบองค์ ทาน ศีล และภาวนา แบบไปเช้าเย็นกลับ โดยคาดว่าจะเริ่มโครงการได้ในราวเดือน ก.พ.52 นี้

    ทั้งนี้ การสรุป การช่วยเหลือทั้งหมด จะได้ทำเป็นตาราง และจะได้นำมาโพสท์ให้ทราบโดยนายสติ ต่อไป

    ขอขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับ

    1.ทีมงานพระวังหน้า นำโดยคุณสิทธิพงษ์ ที่ได้นำพระพิมพ์วังหน้าพิมพ์พระสมเด็จสี่เหลี่ยมเล็ก พิมพ์พระสมเด็จจิตรลดา พิมพ์พระสมเด็จท่านสมเด็จพระวันรัต (ทับ) วัดโสมนัสที่สอนหนังสือฯ มาร่วมแจกให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรม

    2.คุณเพชร เพื่อนคุณโสระ ที่ไม่ได้มาในงาน แต่นำขนมปัง เอสแอนด์พี มาแจกให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ทานกันทุกคน

    3.คุณ newcomer หรือคุณเด่น ที่นำแยมผลไม้ที่อร่อยๆ มาแจกให้ 50 ขวด

    รวมถึงท่านอื่นๆ ที่ได้ช่วยงานกันคนละเล็กคนละน้อยในการช่วยเข็นรถ ช่วย
    เสริฟ น้ำ ขนม และอื่นๆ ครับ

    สุดท้ายนี้ งานบุญในเดือนหน้าหวังว่าหลายๆ คน คงเข้ามาร่วมกิจกรรมกันอีกน๊ะครับ

    พระที่แจกในงานยังพอมีเหลือ หากท่านใดที่ทำบุญเป็นประจำอยู่แล้ว ช่วยแจ้งชื่อมาที่คุณโสระพร้อมโอนเงินค่าจัดส่งพระ 100.-มาด้วยครับ รายละเอียดบัญชีของคุณโสระนั้น จะได้แจ้งให้ทราบอีกครั้ง

    ส่วนใครที่ทำบุญซื้อผ้าห่มกันหนาวให้พระ ที่อยู่ทางบ้านและอยากได้พระ ช่วยแจ้งชื่อที่อยู่มาที่คุณโสระด้วยเช่นกัน แต่ไม่ต้องโอนค่าจัดส่งมา ทางเราจะได้รีบจัดส่งพระไปให้ท่านเองครับ


    พันวฤทธิ์
    22/12/51
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE class=tborder id=post1747309 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"><!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#471 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>พันวฤทธิ์<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1747309", true); </SCRIPT>
    ผู้ร่วมสนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jul 2006
    ข้อความ: 1,425
    พลังการให้คะแนน: 555 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1747309 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พันวฤทธิ์ [​IMG]
    กระทู้สงเคราะห์สงฆ์อาพาธได้ดำเนินการโอนเงินเพื่อบริจาคซื้อ server เรียบร้อยแล้วเป็นจำนวนเงิน 2,100.-บาทครับ และหากมีโครงการบุญสิ่งใดให้ช่วยเหลือหากไม่เกินความสามารถและอยู่ในเจตนารมย์ของทุนนิธิฯ แล้วยินดีช่วยสนับสนุนเต็มที่ เพื่อให้สะพานบุญแห่งนี้ เป็นสะพานแห่งความหวังเพื่อให้พุทธบริษัทได้บำเพ็ญ ทาน ศีล และภาวนา ตลอดจนเป็นช่องทางในการเผยแพร่ความรู้ทางพุทธศาสนาทั้งทางตรง และทางอ้อมสมดังประสงค์ของผู้ก่อตั้ง และหากไม่ติดขัดอะไร อาจจะโอนมาเพิ่มภายหลังให้อีกครับ

    [​IMG]

    รูปภาพบางส่วนของการสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ และภาพอันน่าเวทนาของสงฆ์อาพาธบางมุมที่เราไม่เคยรู้มาก่อน

    [​IMG]





    <CENTER></CENTER>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    วันนี้เวลา 10.35 น. ทุนนิธิฯ ได้ดำเนินการโอนเงินช่วยเหลือเวบพลังจิตในการซื้อ server เป็นครั้งที่ 2 เพิ่มอีก 500.- โดยโอนเข้าบัญชีคุณณัฐพัชร จันทรสูตร บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ 081-2-47448-7 /0812474487เรียบร้อยแล้ว

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    เงินที่โอนเข้าไปนี้ เป็นส่วนหนึ่งจากรายได้ที่ได้จากการบูชาพระพิมพ์สกุลพระมหาธรรมราชา สมัยขอม และกริช/พระขรรค์ของวังหน้า เมื่อวานนี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2008
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    คน ๔ เหล่า
    โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    [​IMG]

    คนเราเกิดมาในโลกนี้ ต้องตกอยู่ในจำพวก ๔ เหล่านี้ทั้งนั้นคือ

     
  11. pernod

    pernod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +1,356
    ผมได้โอนเงิน 1000 บาท บ/ช ธ.กรุงศรีฯ ร่วมทำบุญกับ ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ

    วันที่ 21ธค. 2551 เรียบร้อยแล้วครับ
     
  12. ไพโรจน์1960

    ไพโรจน์1960 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2008
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +46
    ผมได้โอนเงินทำบุญ 500 บาท เข้าบัญชี
    ธ.กรุงศรีอยุธยา จก. สาขา ถนนวิภาวดีรังสิต (อาคารซันทาวเวอร์)
    เลขที่ 348-123245-9 เวลา 15.01 น. เรียบร้อยแล้วครับ
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ต้องขอโทษด้วยครับ ที่ไม่ค่อยเข้ามาดูในกระทู้ ผมในนามทุนนิธิฯ ต้องขอขอบพระคุณทั้ง 2 ท่านด้วยใจจริง ขอกุศลผลบุญนี้จงเกิดแก่ท่านและครอบครัวตลอดไป มาทำบุญบ่อยๆ น๊ะครับ และหากอยากได้พระที่แจกไว้ใช้คุ้มตัว ลองติดตามกระทู้นี้ต่อไป หรือไม่ก็เดือน มกราฯ ไปทำบุญด้วยกันที่ รพ.สงฆ์ แล้วค่อยไปเอาพระกับผมที่เคยแจกไปแล้วก็ได้ครับ พระยังเหลืออีกมาก แต่ขอให้บอกก่อนว่าจะไปก็แล้วกัน...




    [​IMG]



     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ns904.gif
      ns904.gif
      ขนาดไฟล์:
      8.7 KB
      เปิดดู:
      322
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE class=attachtable cellSpacing=0 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle colSpan=2>
    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR>ทางเดินของชีวิต
    โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ



    ชีวิตคนเรานั้น แท้จริงคือ การเดินทางชนิดหนึ่ง ซึ่งเดินจาก ความเต็มไปด้วยความทุกข์ ไปยัง ที่สุดจบสิ้นของความทุกข์ ที่ตนเคยผ่านมาแล้ว นั่นเอง ไม่รู้ว่า ผู้นั้นจะ ทราบหรือไม่ทราบ รู้สึกหรือไม่รู้สึก ชีวิตก็ยังคงเป็น การเดินทาง เรื่อยอยู่นั่นเอง เมื่อเดินไป ทั้งไม่ทราบ ก็ย่อมมีความ ระหกระเหิน บอบช้ำเป็นธรรมดา

    การเดินทางของชีวิตนี้ มิใช่เป็น การเดินทางด้วยเท้า ทางของชีวิต จึงมิใช่ ทางที่จะเดินได้ด้วยเท้า อีกเช่นเดียวกัน บัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อน ได้พากันสนใจใน "ทางชีวิต" กันมากเป็นพิเศษ ในฐานะที่เป็นทางของจิต อันจะวิวัฒน์ไปในทางสูง ซึ่งจะไปได้สูงกว่าทางวัตถุหรือทางกาย อย่างที่จะเทียบกันไม่ได้เลย

    สิ่งที่เรียกกันว่า ทางๆ นั้น แม้จะมีสายเดียว ก็จริง ตามธรรดา ต้องประกอบ อยู่ด้วย องค์คุณ หลายประการ เสมอ ทางเดินเท้า ทางไกล แรมเดือน สายหนึ่ง จะต้องประกอบด้วย สะพาน ร่มเงา ที่พักอาศัย ระหว่างทาง การอารักขา คุ้มครองในระหว่างทาง การหาอาหาร ได้เสมอไป ในระหว่างทาง ฯลฯ ดังนี้เป็นต้น ฉันใด ทางชีวิต แม้จะสายเดียว ดิ่งไปสู่ ความพ้นทุกข์ ก็จริง แต่ก็ต้อง ประกอบไปด้วย องค์คุณ หลายประการ ฉันนั้น

    ศาสนา เป็นองค์คุณอันสำคัญ โดยช่วยให้ชีวิตนี้ มีความสดชื่น เยือกเย็น พอที่จะเป็นอยู่ ไม่ร้อนเป็นไฟ เช่นเดียวกับน้ำ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง พฤกษาชาติ ให้สดชื่น งอกงาม ตลอดเวลา ฉันใดฉันนั้น

    ปรัชญา เป็นองค์คุณ ที่ช่วยให้เกิด อุดมคติ อันมีกำลังแรง ในการที่จะ กระตุ้น ให้ปฏิบัติ ตามศาสนา หรือ หน้าที่อื่นๆ ทำให้เกิด ความเชื่อ ความเพียร และคุณธรรมอื่นๆ ที่เป็นตัวกำลังสำคัญ ด้วยกันทั้งนั้น อย่างมากพอ ที่จะไม่เกิด การท้อถอย หรือ โลเล หรือ หันหลังกลับ โดยสรุปก็คือ ช่วยให้มีความเป็น นักปราชญ์ หรือ มีปัญญา เครื่องดำเนินตน ไปจนลุถึง ปลายทางที่ตนประสงค์

    วิทยาศาสตร์ ช่วยให้เป็น ผู้รู้จักเหตุผล ให้รู้จัก ใช้เหตุผล และให้อยู ่ในอำนาจ แห่งเหตุผล เพื่อให้ชีวิตนี้ ไม่หลับหู หลับตา เดินไปอย่าง โง่เง่า งมงาย ซึ่งจะทำให้ เดินไม่ถึง หรือถึงช้า และไม่ได้รับผลเป็นที่พอใจ

    ศิลปะ โดยเฉพาะก็คือ ศิลปะแห่งการครองชีวิต หรือ การบังคับตัวเองได้ ช่วยให้ชีวิตนี้ ดูแจ่มใส งดงาม น่าชื่นใจ น่ารักใคร่ นำมา ซึ่งความ เพลิดเพลิน ในการก้าวหน้า ไปด้วยความรู้ และการกระทำที่ดูงาม ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย

    ภูมิธรรม คือ ธรรมสมบัติ หรือ ความดี ความจริง ความยุติธรรม ที่ประกอบ อยู่ที่เนื้อที่ตัว ช่วยเหลือ ให้เกิด บุคคลิกลักษณะ อันนำมา ซึ่งความเลื่อมใส ความไว้วางใจ ความน่าคบหา สมาคมจาก ชีวิตรอบข้าง ทำให้ชีวิตนั้น ตั้งอยู่ ในฐานะเป็น ปูชนียบุคคล เป็นที่พึ่งแก่ตนเองได้ และเป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยว ของชีวิต ทั้งหลาย

    ความรู้ ช่วยให้มีความสามารถ ในการที่จะใช้ความคิด และการวินิจฉัย สิ่งต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง ในการตัดสินใจ การค้นคว้าทดลอง การแก้ไข อุปสรรค และอื่นๆ ในอันที่จะให้เกิด ผลในการครองชีพ การสมาคม และอื่นๆ ที่จำเป็นทุกประการ โดยสมบูรณ์

    สติปัญญา ช่วยให้เกิดสมรรถภาพ หรือ ปฏิภาณ ในการดำเนินงานของชีวิต ให้สำเร็จ ลุล่วงไปได้ ตามแนว ของความรู้ ทำให้ งานของชีวิต ทุกชนิด ทุกระดับ ดำเนินไป ได้โดยง่าย โดยเร็ว โดยสมบูรณ์ และปลอดภัย โดยประการทั้งปวง

    อนามัย ช่วยให้มีกำลังกาย อันเป็น บาทฐาน แห่งกำลังใจ มีความแคล่วคล่อง ว่องไว อาจหาญ ร่าเริง สะดวกกาย สบายใจ ในการ เป็นอยู่ของตน ทำกายนี้ ให้เป็นเหมือน ม้าที่เจ้าของเลี้ยงดู อย่างถูกต้อง ที่สุดแล้ว สามารถเป็นพาหนะ นำเจ้าของ ไปสู่ที่มุ่งหมายได้ ฉันใดก็ฉันนั้น

    องค์คุณ ๘ ประการนี้ กำลังรวมกันเป็น ทางสายเดียว ของข้าพเจ้า ช่วยให้ชีวิตของข้าพเจ้า ดำเนินไปได้ อย่างเป็นที่ พอใจมาก จนถึงกับ นึกอยากจะยืนยัน แก่เพื่อนร่วม เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหลายว่า จงลอง เดินทางสายนี้ อันประกอบด้วย องค์คุณ ๘ อย่างนี้ ดูบ้างเถิด ผลในโลกนี้ ก็คือ ทรัพย์ ชื่อเสียง และมิตรภาพ ก็ตาม ผลในโลกหน้า คือ สุคติก็ตาม และผลอันสูงสุด พันจากโลกทั้งปวง คือ นิพพาน ก็ตาม จักเป็นที่หวังได้ ครบถ้วน โดยไม่ต้องสงสัยเลย

    องค์คุณทั้ง ๘ นี้ ต้องมีครบถ้วน พอเหมาะส่วน และเข้ากันสนิท พร้อมที่จะ ส่งเสริม ซึ่งกันและกัน อยู่ตลอดเวลา จึงจะสำเร็จเป็นตัวทาง และ เป็นการเดินทาง ในตัวมันเอง อยู่แล้วทุกขณะ ไม่มีการถอยหลัง

    โลกทุกวันนี้ มีอะไรๆ มากเกินไป ในทางที่จะผูกพันชีวิตนี้ ให้ตกอยู่ ภายใต้อำนาจ ของสิ่งที่บีบคั้น เผาลน เผลอไปเพียงนิดเดียว ก็จักลื่นไถล ลงไปในกองเพลิง ชนิดที่ยาก ที่จะถอนตัว ออกมาได้ และถึงกับตาย อยู่ในกองเพลิงนั้น เป็นที่สุด เพราะเหตุนั้น จึงเป็นการสมควร หรือจำเป็น สำหรับชีวิตทุกชีวิต ที่จะต้องแสวงหาทาง และมีทางของตน อันถูกต้อง ปลอดภัย เพื่อก้าวหน้า ไปสู่ความสะอาด หมดจด สว่างไสว และ สงบเย็น สมตาม ความปรารถนา ไม่เสียที ที่ได้เวียนมา ในเกลียว แห่งวัฎสงสาร จนกระทั่งมามีชีวิต ในวันนี้ กะเขา ด้วยชีวิตหนึ่ง

    โลกทุกวันนี้ มากไปด้วย ขวากหนาม อันเป็นอันตรายมาก ยิ่งขึ้นเพียงใด ชีวิตนี้ ก็ยิ่งต้องเพียบพร้อม ไปด้วยคุณธรรม และสมรรถภาพ อันจะเป็น เครื่องป้องกัน และแก้ไข อันตรายนั้นๆ มากขึ้นเพียงนั้น เพราะฉะนั้น อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องมี หนทาง อันประกอบไปด้วย องค์แปดประการ ดังกล่าว ทางไปของชีวิต ในด้านจิต หรือ วิญญาณ ของเขาผู้นั้น จึงจะก้าวไปด้วยดี คู่กันไปได้ กับการก้าวหน้า ในทางวัตถุ หรือทางกาย ของโลกแห่งสมัยนี้ อันกำลังก้าวไป อย่างมากมาย จนเกินพอดี หรือผิดส่วน ไม่สมประกอบ จนทำให้โลก ระส่ำระสาย เป็นประจำวันอยู่แล้ว

    ทางชีวิตแห่งสมัยนี้โลดโผน โยกโคลง ขรุขระ ขึ้นๆ ลงๆ ยิ่งกว่า สมัยเก่าก่อน เกินกว่าที่จะ ดำเนินไปได้ง่ายๆ โดยการใช้วิธีการ ที่ง่ายๆ สั้นๆ เหมือนที่แล้วมา นับว่าเป็นโชคดี ของพุทธบริษัท ที่เรามี พระพุทธศาสนา อันแสนประเสริฐ ของเรา ซึ่งอาจจะอำนวย สิ่งต่างๆ อันเป็น องค์คุณ ๘ ประการนั้น ให้แก่เราได้ อย่างครบถ้วน พุทธศาสนาของเรา มีเหลี่ยมพราย อันสมบูรณ์ แล้วแต่เรา จะเพ่งดูกัน ในเหลี่ยมไหน ก็มีให้ดู เป็นให้ได้ ครบทุกอย่าง ทุกเหลี่ยม

    พุทธศาสนา ในฐานะที่ เป็นทั้งศาสนา เป็นทั้งปรัชญา เป็นวิทยาศาสตร์ เป็น ศิลปะแห่งการครองชีวิต เป็นภูมิธรรม ที่พึงประสงค์ ของมนุษยชาติ เป็นความรู้ที่ครบถ้วน เป็นสติปัญญา ที่คล่องแคล่ว และเป็นอนามัย ทั้งทางกาย และทางจิต เหล่านี้แต่ละเหลี่ยมๆ นั้น เอง นับเป็น องค์คุณ ครบทั้ง ๘ ประการ ที่รวมกันเข้า เป็นตัวทาง และเป็นการเดินทาง พร้อมกันไปในตัว ดังที่กล่าวแล้ว

    ข้าพเจ้าขอชักชวน เพื่อนร่วม การเกิดแก่เจ็บตาย ทั้งหลาย ให้สนใจ ในทางอันเอก อันเป็นทาง ดิ่งไปสู่ความสิ้นทุกข์ ของบุคคลผู้เดียว แต่ละคนๆ ทางนี้ ข้าพเจ้า ขอชักชวน ให้พร้อมใจกัน ต่อสู้ โดยทุกวิถีทาง เพื่อให้ทางๆ นี้ยังคงเปิดเผย ปรากฏอยู่ เป็นทางเดิน ของสัตว์ทั้งหลาย ข้าพเจ้า ขอชักชวน มิตรสหาย ทั้งหลาย ให้ สละแม้กระทั่งชีวิต เพื่อป้องกันหนทาง อันนี้เอาไว้ ให้ยังคงอยู่ เป็นทางรอดของตน และของเพื่อนสัตว์ ทั้งหลาย ตลอดกาล อันไม่มีที่สิ้นสุด ในนามแห่ง พระพุทธองค์ ผู้ทรงประกาศ ความจริงสากล แก่มนุษย์ชาติทั้งมวล


    โมกขพลาราม
    ๑ กันยายน ๒๔๙๕



    ................................................................

    คัดลอกมาจาก ::
    หนังสือชุมนุมข้อคิดอิสระ พุทธทาสภิกขุ
    พิมพ์ครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๓๘ โดย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ


    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1544
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    จุดแท้จริงของความเป็นคน !
    โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ



    ข้าพเจ้าเคยพบคนหลายคน ที่มีความรู้สึกภายในใจรุนแรง จนแสดงออกมาทางกายวาจา ว่า ท่านแน่ใจเป็นที่สุดแล้ว ว่า ท่านเป็นคนเต็มเปี่ยม ตามคำแปล หรือความหมายของคำว่าคน ท่านหยิ่งตัวเอง เพราะเหตุนี้ และเห็นว่า เรื่องที่พวกเพื่อนๆ นำมาคุย มาเล่าให้ฟังนั้น ยังต่ำเกินไป ไม่ถึงขีดของความเป็นคน หรือเป็นเรื่องลัทธิครึเก่าเกินสมัย เรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น

    ทีนี้ ข้าพเจ้าตั้งอกตั้งใจพิจารณาดู จุดแท้แห่งความเป็นคนของท่านเหล่านั้นว่า คืออะไรกันแน่ ในที่สุดพบว่าจุดแห่งความเป็นคนของท่านเหล่านี้ ตามที่ท่านเข้าใจ ก็คือ การที่ท่านสามารถหารายได้ มากๆ ทำงานเบา มียศศักดิ์สูงๆ และสามารถหาความเพลิดเพลินทุกประการ มาให้แก่ตนได้ตามวิธี หรือลักษณะที่นิยมกัน ว่า เป็นการกระทำของคนชั้นสูง หรือจะสรุปให้สั้นที่สุด ความเป็นคนของท่าน ก็คือ ความมีเกียรติอันสูงสุดนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ เข็มอันชี้จุดแห่งความเป็นคน ของท่าน ก็ได้ชี้บ่งไปยังการได้ทำงานชนิดมีเกียรติมาก มีผลมากนั่นเอง และทำด้วยตัณหา คือ ความอยาก เป็นนั่น เป็นนี่

    ความเห็นอย่างแจ่มแจ้งได้ขยายตัวออกไป ตามแนวนั้นอีกว่า คนคือสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเห็นแก่ตัวจัด เป็นทาสแห่งความทะเยอทะยานของตัว ยิ่งกว่าสัตว์อื่นๆ ทุกชนิด และคนคงมิใช่สัตว์ที่เกิดมาเพื่ออิสรภาพ และความสุขอันสงบ เพราะถ้าเกิดมาเพื่อความสุขสงบ ก็คงไม่ยอมตนเป็นทาสของความเห็นแก่ตัว ที่บังคับให้ทำ ให้คิด เพื่อตัว ทุกๆ ชั่วโมง แม้เวลาหลับ ก็ยังฝัน แม้บนเตียงที่นอนเจ็บ ก็ยังครุ่นคิด เพื่อการหาสิ่งบำเรอตัว สัตว์ที่ไม่ใช่คน ย่อมได้รับการพักผ่อน หรือความสงบยิ่งกว่า สัตว์ที่เรียกว่าคนประเภทนี้ มากนัก

    อีกอย่างหนึ่ง คนคือสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่งขยาย "พวงอัตตา" หรือ "พวงตัว" ออกเรื่อยๆ โดยไม่มีเวลาสิ้นสุด และการขยายนั้นก็เพื่อตนจะได้แบกไว้เองเท่านั้น ครั้งแรกมีอัตตาหรือตัวเพียงตัวเดียว พอ "ความเป็นคน" มากขึ้น ก็มี ภรรยา สามี ลูกหลาน ข้าทาสบริวาร หรือ อันเตวาสิก สัทธิวิหาริก พอกขึ้นเป็นพวง เมื่อสิ่งที่เรียกว่า "บุญบารมี" มากขึ้น บริวารเหล่านั้นต่างก็มีการขยายพวงของตัวออกไปๆ และพวงน้อยๆ เหล่านั้น รวมกันเป็น พวงใหญ่ พวงเดียว อีกต่อหนึ่ง โดยมี อัตตา ตัวแรกนั่นเอง อ้าออกรับเป็นเจ้าของพวง ผู้มีเกียรติ หยิ่งตัวเอง เสมอว่า การที่สามารถหิ้วพวงใหญ่ๆ เช่นนั้นไว้ได้นั้น เป็น "เกียรติอันสูงสุด" นี่เป็นจุดหมายของความเป็นคน ปริยายหนึ่งซึ่งน่าจะสรุปได้สั้นๆ ว่า เกียรติของความเป็นคน ก็คือ การเกิดมาเพื่อแบกพวงอัตตา พวงใหญ่ๆ นั่นเองกระมัง

    อีกปริยายหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างจะเด่นอยู่มาก ก็คือว่า คนได้แก่สัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเอาเปรียบผู้อื่นเป็น และรู้สึกว่า ผู้อื่นเอาเปรียบตนก็เป็น ความรู้สึกเช่นนี้เป็นความรู้สึกที่หาได้ยากในสัตว์ จำพวกนกหนู เมื่อ "ความเป็นคน" ยังน้อยอยู่ ก็ไม่ค่อยรู้สึกว่าใครเอาเปรียบตน หรือลูบคมตน เมื่อความเป็นคนชนิดที่กล่าวนั้นมีมากขึ้น เรื่องนิดเดียว และชนิดเดียวกันนั่นเอง กลับเห็นเป็นเรื่องที่ผู้อื่นลูบคมตน เอาเปรียบตน ไม่เคารพตน ผู้เป็นหัวหน้าหมู่ อย่างใหญ่หลวง และมักหาเรื่องลงโทษลูกหมู่ หรือลูกพวง เป็นการประดับเกียรติของตน ถ้าจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่า คนคือสัตว์ที่รู้จักผูกโกรธ หรือแก้แค้นเพื่อนฝูงด้วยกัน ในกรณีที่สัตว์ซึ่งต่ำกว่าคน ทำเช่นนั้นไม่เป็น จุดหมายของความเป็นคนตามนัยนี้ น่าจะได้แก่ การไม่ยอมให้ใครมาลูบคมเล่นได้นั่นเอง

    เมื่อข้าพเจ้าได้สังเกตลักษณะแห่งความเป็นคนของบรรดาท่าน ซึ่งท่านแน่ใจตัวเองว่า ถึงขีดสุด ของความเป็นคน จนพบว่า ท่านหมายถึงอะไร โดยนัยที่กล่าวมาแล้ว ก็ยังไม่แน่ว่า ข้าพเจ้าเข้าใจ ท่านเหล่านั้นได้ถูกต้อง ทำให้ต้องซักซ้อมดูอีกเป็นหลายครั้ง แต่ในที่สุด ก็ไม่พบอะไรมากไปกว่านั้น จึงยุติว่า ความเป็นคน ตามความหมายธรรมดาเท่าที่มี ที่เป็น กันอยู่ ในจิตใจมนุษย์ เรานั้น ไปได้ไกลเพียงแค่นั้นเอง แต่อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังไม่พอใจว่า ความเป็นคนมีเพียงเท่านั้นเอง น่าจะมีเป็นอย่างอื่น

    ทีนี้ เราจงชวนกันมามองไปยัง บุคคลประเภทที่ไม่มีอัตตา เห็นตนเอง และผู้อื่น เป็นเช่นกับพืชพรรณ ธัญญชาติ ซึ่งต่างก็เกิดขึ้นแล้ว เจริญงอกงาม และดับไปในที่สุด ตามเรื่องของตนๆ พวงอัตตาของคนประเภทนี้ ก่อขึ้นไม่ติด ครั้นหนักเข้า ตัวเองก็ไม่มี คนหรือสัตว์ก็ไม่มี ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ถือพวกถือพวง ไม่รู้สึกว่าได้เกียรติ หรือเสียเกียรติ ทำงานเพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้ของร่างกายนี้ เพียงเพื่อต้านทานธรรมชาติ ใช้หนี้ธรรมชาติ ตามที่ปัญญาบ่งให้ทำเฉพาะในด้านกาย เช่น พ่อแม่เลี้ยงตนมา ก็เลี้ยงตอบแทน เมื่อยังไม่หลุด ก็ต้องเลี้ยงลูกหลานของตนเอง ใช้หนี้ธรรมชาติ อันนี้ ไม่รู้สึกว่า มีใครเสียเปรียบ ได้เปรียบ

    ในโลกนี้มีแต่สิ่งทั้งหลายที่หมุนไป ตามเหตุ ตามปัจจัย ยินดีที่จะให้อภัยกันเสมอ ถือหลักความจริง เป็นแนวแห่งการครองชีพ ไม่แสวง "บุญบารมี" มาเพื่อใช้อำนวยการสำเร็จความใคร่ ให้แก่ ความทะเยอทะยานอยากของตน ไม่อ้าออกรับสิ่งทั้งหลายมาเป็นของตน เหล่านี้ เมื่อเรามองซึ้งลงไปถึงหัวใจของเขา เรากลับพบว่า จุดแห่งความเป็นคนของเขานั้น ตรงกันข้ามจากของคน จำพวก ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นในที่สุด ข้าพเจ้าก็กระทบกันกับปัญหาว่า ถ้าเช่นนั้น พวกไหนเล่าเป็นคนที่แท้จริงตามความหมาย ซึ่งอาจเป็นที่พอใจได้ด้วยกันทุกฝ่าย


    พุทธทาสภิกขุ
    ๒๐ กันยายน ๒๔๘๔



    ................................................................

    คัดลอกมาจาก ::
    หนังสือชุมนุมข้อคิดอิสระ พุทธทาสภิกขุ
    พิมพ์ครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๓๘ โดย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1518
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    หน้าที่ของชีวิต
    ธรรมกถาหน้าเชิงตะกอนโดย
    พระธรรมโกศาจารย์ (ท่านพุทธทาสภิกขุ)
    สวนโมกชพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี



    ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย

    บัดนี้เป็นโอกาสแห่งการศึกษาฉากสุดท้ายสำหรับสิ่งที่มีชีวิต คือบัดนี้ได้มีการแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่า ชีวิตนี้จะจบลงอย่างไร ปรากฏการณ์อันนี้ ควรจะได้รับความสนใจศึกษาให้เป็นประโยชน์ จึงควรถือว่าเป็นโอกาสสุดท้ายของการศึกษาจากสิ่งที่มีชีวิต


    หน้าที่ของสังขาร

    ความตายเป็นหน้าที่ของสังขาร สังขารคือสิ่งปรุงแต่งจากเหตุจากปัจจัย เมื่อเหตุปัจจัยบางส่วนหยุดปรุงแต่ง มันก็มีความตายบางส่วน ปรากฏออกมาสำหรับสังขารส่วนนั้น จึงถือว่าการตายเป็นหน้าที่ของสังขาร หรือสังขารที่หน้าที่ที่จะต้องตายดังนั้นจึงไม่ควรมีความประหลาดใจอะไรในส่วนนี้


    หน้าที่ของชีวิต

    ส่วนการทำประโยชน์ให้ดีที่สุดเป็นหน้าที่ของคนที่มีชีวิตอยู่ คนที่มีชีวิตอยู่จะต้องบำเพ็ญหน้าที่ของตนสืบต่อไป ในความหมายที่ว่า จะให้ชีวิตนี้มีประโยชน์ที่สุดส่วนตัวก็ได้รับประโยชน์ ส่วนสังคมในวงแคบ เช่น บ้านเมือง ประเทศชาติก็ได้รับประโยชน์ ในวงกว้างที่สุด โลกก็ควรจะได้รับประโยชน์ แต่ดูจะเป็นคำกล่าวที่ยามที่จะปฏิบัติได้ แต่ก็ควรระลึกนึกไว้ ถ้าคนในโลกคิดกันอย่างนี้แล้ว โลกก็จะเป็นโลกที่น่าอยู่ น่าอาศัยยิ่งกว่านี้


    ความปรารถนาของผู้ล่วงลับไปแล้ว

    ถ้าเราจะมานึกกันดูว่า ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนี่ จะขอร้องอะไรแก่เรา เข้าใจว่าเขาจะต้องขอร้องว่า ขอให้ผู้ที่มีชีวิตอยู่นี้ พยายามทำความเป็นมนุษย์ของตนให้เต็ม คือเป็นมนุษย์โดยแท้จริงและเต็มเปี่ยม

    มนุษย์ที่เต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ ก็หมายความว่า เป็นมนุษย์ที่ไม่มีปัญหา มีความเยือกเย็น ทั้งในแง่ของวัตถุในแง่ของร่างกาย และในแง่ของจิตใจและมีการสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ โดยแผนการหรือทรัพย์สินที่ตั้งไว้ กำหนดไว้แต่งตั้งไว้เพื่อการนั้นโดยเฉพาะ ถ้าเห็นแต่ประโยชน์ของตน ไม่มองเห็นประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์แล้ว ไม่เรียกว่าเป็นมนุษย์ที่เต็มไปได้เลย


    มนุษย์ที่เต็มแห่งความเป็นมนุษย์

    อีกอย่างหนึ่ง อยากจะพูดว่ามนุษย์ที่เต็มไปด้วยความเป็นมนุษย์นั้น ดูไม่จำเป็นที่ใครจะต้องบำเพ็ญกุศลอุทิศให้ ในความเป็นมนุษย์ที่เต็มนั้น มันมีความดีความงาม ความถูกต้องครบถ้วนอยู่ทุกอย่าง เป็นเหตุเป็นปัจจัยอันบริบูรณ์ ที่จะให้เขาได้รับประโยชน์สุขอย่างแท้จริงทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ไม่ใช่พูดอย่างโอหัง แต่พูดอย่างมีเหตุผลหรือตามความเป็นจริง ที่จะพูดว่ามนุษย์ที่เต็มแห่งความเป็นมนุษย์ดูไม่จำเป็นที่ใครจะต้องบำเพ็ญกุศลอุทิศให้

    เดี๋ยวนี้เขามัวแต่หลงในประเพณี ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กันเสียเรื่อย จนดูคล้ายๆ กับว่าคงจะหอบหรือหาบเอาไปด้วยไม่ไหว แต่แล้วก็ดูจะยังไม่สำเร็จประโยชน์อะไร เพราะว่าไม่มีคุณธรรมแห่งความเป็นมนุษย์แล้ว ทำอย่างไรเสียมันก็ไปสู่สุคติไม่ได้ นี่เราจึงถือว่ามนุษย์ที่เต็ม ไม่ต้องมีใครทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ก็ได้ ไม่ใช่เป็นการท้าทาย แต่มันเป็นความจริง ที่ไม่ใคร่จะมีใครมอง


    หลักการเป็นมนุษย์ที่เต็ม

    ที่นี้จะพูดกันสักหน่อยว่า การเป็นมนุษย์ที่เต็มนั้น จะต้องทำอย่างไรบ้างขอร้องให้พิจารณากันให้ดีๆ ว่า มนุษย์ที่เต็มแห่งความเป็นมนุษย์นั้น เขาจะตั้งต้นไปตั้งแต่ความเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นศาสนิกชนที่ดีของศาสนา ครบทั้ง 5 ประการนี้แล้ว เขาก็เป็นมนุษย์ที่เต็ม


    เป็นบุตรที่ดี

    ดังนั้นทุกคนควรจะสำรวจดูตัวเองว่า เดี๋ยวนี้เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาหรือเปล่า แม้จะอายุมากแต่หัวหงอกแล้ว มันก็ยังมีความเป็นบุตรของบิดามารดาคนใดคนหนึ่งอยู่นั่นเอง แม้จะล่วงลับไปแล้ว ได้ทำตนให้เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาหรือเปล่า ได้ทำให้บิดามารดาชื่นอกชื่นใจ ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่หรือเปล่า ถ้ายังมันก็ได้คะแนนศูนย์ในข้อนี้


    เป็นศิษย์ที่ดี

    ทีนี้เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์นั้น ก็หมายความว่าครูบาอาจารย์นำไปได้ตามต้องการหรือเปล่า ไปสู่ความดีความงาม ความถูกต้องยิ่งๆ ขึ้นไปนั้น ครูบาอาจารย์ นำไปได้หรือเปล่า ถ้าปรากฏว่านำไปไม่ได้ ก็ไม่เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์


    เป็นเพื่อนที่ดี

    ทีนี้เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนนั้น ได้ช่วยเหลือกันอย่างเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือเปล่า ถ้าไม่ได้ช่วยเหลือเพื่อนกันอย่างขนาดนั้น ก็ยังไม่เรียกว่าเพื่อนที่ดีของเพื่อน


    เป็นพลเมืองที่ดี

    เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติหรือเปล่า ข้อนี้ก็พูดกันมากแล้ว แต่อยากจะขอย้ำสักหน่อยว่า ถ้าชาติตาย เราตายด้วย แต่ถ้าเราตาย ชาติไม่จำเป็นต้องตาย เราให้ชาติอยู่อย่างมั่นคง สำหรับเป็นที่ตั้งแห่งเพื่อนมนุษย์ทุกคน


    เป็นศาสนิกที่ดี

    ทีนี้เป็นศาสนิกที่ดีของศาสนหรือเปล่า คิดดูเถิดว่า ได้ใช้เวลากี่เปอร์เซ็นต์ของเวลาที่มีอยู่ สนใจเรื่องของพระศาสนา ใช้เวลากี่เปอร์เซ็นต์ในเรื่องของการทำมาหากิน เรื่องสรวลเสเฮฮา เรื่องความสุขสนุกสนาน

    ถ้าพูดกันจริงๆ แล้ว ดูจะไม่ถึง 0.5 เปอร์เซ็นต์หรือบางที 0.05 เปอร์เซ็นต์ เข้าไปอีก ที่สนใจในเรื่องราวของพระศาสนา นอกนั้นเกิน 99 เปอร์เซ็นต์ สนใจเรื่องส่วนตัว ทำงานให้กิเลส ไม่ได้ทำงานให้แก่พระศาสนา ซึ่งเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ชื่อว่าเป็นศาสนิกที่ดีของศาสนา

    จึงขอทบทวนอีกครั้งหนึ่งว่า การที่จะเป็นมนุษย์ที่เต็มนั้น ต้องเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา คือทำให้บิดามารดาชื่นอกชื่นใจเพราะบุตรคนนี้อยู่ตลอดเวลา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์นั้น ก็คือครูบาอาจารย์นำไปได้ตามประสงค์ ศิษย์คนนี้ประสบความสำเร็จสูงสุดของความเป็นมนุษย์

    เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนนั้น ได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในลักษณะเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ หมายความว่าเห็นแก่ชาติยิ่งกว่าเห็นแก่ตัวเอง หรือเห็นแก่พรรคพวกของตัวเอง คนเรามักจะเห็นแก่ตัวเองหรือพรรคพวกของตัวเอง มากกว่าเห็นแก่ชาติ เห็นแก่ศาสนานั้นหมายความว่า เห็นแก่เพื่อนมนุษย์หรือโลกเป็นส่วนรวม เพราะว่าศาสนานั้นมีอยู่สำหรับคนทั้งโลกรอดได้


    คำขอร้องครั้งสุดท้าย

    ในที่สุดนี้ขอให้เป็นเสมือนหนึ่งว่า ท่านผู้ล่วงลับไปแล้วนั้น ได้กล่าวแก่เราทุกคนอย่างนี้ ได้แสดงความหวังในลักษณะเป็นคำขอร้องก็ได้ ว่าอย่างนี้ ว่าให้เพื่อนทุกคนมิตรสหายผู้รักใคร่หวังดีทุกคน จงรีบทำความเป็นมนุษย์ของตนให้เต็มเถิด ก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบกับพุทธศาสนา

    คำกล่าวนี้พอสมควรแก่เวลาแล้ว ขอแสดงความหวังว่า ท่านทั้งหลายจะได้นำไปพินิจพิจารณา เสมือนหนึ่งคำร้องของผู้เป็นที่รักที่ได้ล่วงลับไปแล้ว มีสรีระทิ้งไว้เฉพาะหน้าเป็นอนุสรณ์ทางวัตถุครั้งสุดท้าย ทุกคนจึงควรทำให้ท่านผู้ล่วงลับไปแล้วได้รับความพอใจ ถ้ามีความรู้สึกได้โดยทางใดทางหนึ่งแล้ว ก็จะได้รับความพอใจจะดีกว่าบำเพ็ญกุศลกันอย่างลมๆ แล้งๆ ตามขนบธรรมเนียมประเพณี แล้วมิได้ประพฤติกระทำให้สมตามความประสงค์แท้จริงของผู้ล่วงลับไปแล้วเลย

    โอกาสนี้ก็สมควรแก่การที่จะได้บำเพ็ญการฌาปนกิจตามหน้าที่ต่อไป



    ........................................................

    บทความธรรมะจาก
    http://www.tungsong.com/
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    การบำรุงพระศาสนา


    การบำรุงพระศาสนา ก็คือ การทำให้พระศาสนามั่นคงเจริญ เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกได้จริง ปัญหาว่าจะต้องทำอย่างไร คือการที่ตัวเองปฏิบัติเอง หรือช่วยเหลือกิจการพระศาสนา บำรุงวัดวาอาราม เลี้ยงพระสงฆ์ เป็นต้น ทายกทายิกาส่วนมากทำกันแต่อย่างที่ ๒ บำรุงให้พระเณรได้กินดีอยู่ดี แต่แล้วก็ไม่สนใจว่า ตัวแท้ของพระศาสนานั้นคืออะไร ธรรมะนั้นเป็นอย่างไร จะปฏิบัติตนอย่างไร เพราะเมามัวนอนใจเสียว่า ได้บำรุงพระศาสนาเป็นอย่างยิ่งได้บุญกุศลจนเหลือเฟือแล้ว จะต้องการอะไรอีกเล่า

    นี่แหละคือ การบำรุงพระศาสนาชนิดที่ถ้าจะเปรียบกันให้ดีแล้ว ก็เหมือนกับ
     
  18. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    มาชมภาพกิจกรรมของทุนนิธิฯ ประจำเดือนธันวาคม และเป็นวาระการก่อตั้งทุนนิธิฯครบรอบ1ปี


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER>
    หลายท่านช่วยกันนำอาหาร น้ำ และขนม ที่เตรียมมาแบ่งใส่ถุงเป็นชุดๆเพื่อนำไปถวายพระ​
     
  19. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    อาจารย์ประถมพร้อมทั้งประธาน รองประธาน ทุนนิธิฯ ได้ทำการบริจาคให้กับทางโรงพยาบาลสงฆ์โดยเป็นค่าซื้อโลหิต และ เวชภัณฑ์ เป็นจำนวนรวมกัน 20000 บาท
     
  20. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    ก่อจะนำอาหารไปถวายพระได้ถ่ายภาพรวมหน้าตึกกัลยาณิวัฒนา
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    ก่อนถวายได้นำอาหารทั้งหมดมาร่วมกันโมทนาบุญ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>​
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    อาจารย์ปุ๊นำกล่าวถวายอาหารทั้งหมดเป็นสังฆทาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...