การเตรียมการรับมือภัยพิบัติทางเศรษฐกิจ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ดาบจันทรา, 30 ธันวาคม 2008.

  1. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    ยกตัวอย่างคนสวนที่ปลูกมะลิขาย น่าจะปลูก
    ผักเชียงดาควบคู่กันไปด้วย เพราะมะลิเดี๋ยวนี้
    ฉีดยาฆ่าแมลงกันเยอะมาก
    ที่ขายกันแพง ๆ
    น่าจะเป็นต้นทุนยาฆ่าแมลงนี่แหละค่ะ ต้นมะลิ
    ถ้าเรา
    ไม่ปลูกเอง ก็ไม่กล้านำมะลิมาลอยน้ำ
    ให้คนทาน เหมือนสมัยก่อนได้เลยค่ะ
    ดอกไม้หอม ๆ สวย ๆ ถ้าเราปลูกประดับหน้าบ้าน
    ก็เหมือนคนเราอย่างไรค่ะ
    แต่งตัวสวย ๆ
    ทาปากแดง ๆ ก็มีแต่คนมอง เป็นที่เจริญตา
    เจริญใจ
    เมื่อเราอยู่กับต้นไม้ ดอกไม้ จิตใจเรา
    ก็จะอ่อนโยนลง ความแข็งกระด้างที่เคยมี
    ก็จะค่อย ๆ เบาบางจางคลายไป และเมื่อเรา
    ได้ปฏิบัติธรรม ความสงบ ร่มเย็น
    ในจิตใจก็จะ
    บังเกิดขึ้นกับตัวท่านและครอบครัว นี่แหละค่ะ
    ที่ทำให้บ้านของเรา
    น่าอยู่มากยิ่งขึ้น
     
  2. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    ในส่วนที่เราลงพืชผักต้นไม้ใบหญ้าดังที่
    กล่าวมาข้างต้นนี้ เราคิดว่าเราจะทำไว้กิน
    ไว้ใช้ในครัวเรือนของเรา อย่างน้อย ๆ
    ก็ไม่ต้องไปซื้อไปหามาให้เปลืองสตางค์

    โดยเฉพาะคนที่มีรายได้จากการทำงาน
    ประจำของตน จะได้นำรายได้นั้น
    ไว้จับจ่าย
    ใช้สอยในส่วนที่จำเป็น และมีเงินออม
    เพื่อความมั่นคงของชีวิต
    แต่ถ้าคนที่ไม่มีรายได้
    ไม่มีงานประจำทำ แต่มีเนื้อที่ เราก็สามารถ
    พัฒนา
    ที่ดินของเราให้ออกดอกออกผลได้
    แล้วเราจะเริ่มต้นกันอย่างไรดี
     
  3. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    1. วางแผนการทำงาน
    - ที่ดินแปลงเล็ก ไม่เกิน 2 ไร่ เหมาะกับครอบครัว
    ที่มีสมาชิกไม่เกิน
    5 คน ถ้าอยากมีข้าวไว้กินไว้ใช้
    ก็แบ่งเนื้อที่อย่างน้อย ๆ ไว้ 200 ตร.ว. หรือครึ่งไร่
    ปลูกข้าว ถ้าอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ก็สามารถสูบน้ำเข้า
    พื้นที่ของเราได้ แต่ถ้าไม่ใกล้แหล่งน้ำ
    เราก็
    ขุดบ่อบาดาลขึ้นมา ใช้นำในบ่อนั่นแหละทำนา
    แบบพอเพียงไป
    ซึ่งการทำนาแบบนี้ เราก็สามารถ
    ปลูกข้าวได้ตลอดปี และมีข้าวเหลือเพียงพอ
    ที่จะ
    ไว้กินไว้ใช้ในครอบครัวแบบสบาย ๆ
     
  4. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    [FONT=&quot]ถ้าขยันเราก็ตำข้าว-สีข้าวไว้ใช้เอง[/FONT][FONT=&quot] คุณค่า
    สารอาหารวิตามินก็ยังอยู่ครบถ้วน ส่วนรำ
    ก็ให้เป็นอาหารของ
    [/FONT][FONT=&quot]สัตว์ไป หรือจะทดลองทำ
    ข้าวลอยน้ำดูก็ได้ ข้างบนปลูกข้าว ข้างล่าง
    เลี้ยงปลา
    [/FONT][FONT=&quot] ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง การทำนาผืนเล็ก ๆ
    แบบนี้ ดูแลง่าย และไม่ต้องจ้างแรงงานที่ไหน
    [/FONT] [FONT=&quot]ปุ๋ยเราก็ใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพก็ว่ากันไป
    แมลงที่มากัดกินต้นข้าว เราก็สามารถจับได้
    [/FONT]
    [FONT=&quot]โดยไม่ต้องฉีดยา ถือว่าออกกำลังกายไปในตัว
    การทำนาผืนเล็กแบบนี้ ช่วยให้เรา
    [/FONT][FONT=&quot]ควบคุมทุก
    ภาคส่วนได้ง่าย ประหยัดค่าใช้จ่าย และไม่เหนื่อยมาก
    [/FONT]
     
  5. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    สำหรับที่ดินส่วนที่เหลือ เราก็ต้องมานั่งคิดแล้วว่า
    เราจะประกอบอาชีพอะไรดี
    ให้ย้อนกลับไปทบทวน
    ที่ผู้เขียนเขียนไว้แต่แรก ๆ ว่า ให้เราทำงานที่เรา
    ถนัด
    และมีประสบการณ์ สมมุติคุณเลี้ยงไก่ได้
    คุณก็ตกลงใจเลยว่า คุณจะเลี้ยงไก่
    ไว้ขาย เพราะ
    ตอนนี้ไข่มีราคาดี ไก่ออกไข่ออกมาก็ขายได้ หรือ
    จะเลี้ยงขายไก่เนื้อ
    ก็แล้วแต่ความถนัดของผู้ทำ
    ถ้าจะให้ดีเราขุดบ่อ ข้างล่างเลี้ยงปลาดุก ข้างบน
    เลี้ยงไก่
    แต่ถ้าคิดจะขายปลาให้คนในพื้นที่ อาจจะ
    ไม่เหมาะเท่าไหร่นัก เพราะเขาเห็นว่าเราเลี้ยงปลา
    ด้วยวิธีใด เราก็จัดส่งขายให้กับพ่อค้าคนกลางไปเลย
    บางเจ้าเขามาเหมาเอาถึงบ่อ
    แถมจับให้เสร็จ
    เราก็นั่งนับเงินเพียงอย่างเดียว
     
  6. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    แต่ขอให้นึกเสมอว่า เราทำมาหากินเพียง
    อาชีพหลักอาชีพเดียวก็เพียงพอแล้ว เผื่อแผ่
    ให้บ้านอื่น ๆ เขาทำกันบ้าง ไม่ใช่
    ทุกคน หันมา
    ปลูกผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ ก็เลี้ยงกันทั้งหมู่บ้าน
    ทั้งตำบล ไม่เกิด
    ประโยชน์แถมจะให้โทษด้วยซ้ำ
    เพราะผลผลิตล้นตลาด ผลสุดท้ายก็เป็นการลงทุน
    ที่สูญเปล่า ดีไม่ดีทะเลาะกัน เพราะแย่งกันทำมา
    หากิน กลายเป็นว่า
    แทนที่จะมีความสามัคคีร่วมมือ
    ร่วมใจกันทำงาน ก็แตกความสามัคคีไปเสีย
    ดังนั้น ต้องเตือนสติตัวเองเสมอว่า อย่าโลภมาก
    เราทำแบบนี้ก็มีรายได้
    เพียงพอแล้ว
     
  7. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    ผู้เขียนจะอธิบายให้ฟังนะค่ะว่า ทำไมเราทำอาชีพเดียว
    จึงมีรายได้เหลือเฟือ
    ในเมื่อตกลงสรุปแล้วว่า
    เอาละ ฉันจะเลี้ยงไก่ไว้ขายไข่ ขายเนื้อ
    เลี้ยงแบบบ้าน ๆ
    นี่แหละค่ะ จะได้ไม่ต้องลงทุน
    ให้มากมาย ถ้าคิดจะทำโรงเรือน ก็ทำอย่างง่าย ๆ พอ

    ผู้เขียนอยู่ทางใต้ บางบ้านเขาแค่ปักเสา ทำรั้วตาข่าย
    ล้อมเป็นเล้าไก่ ถ้าจะให้ดีก็
    ทำหลังคาจากเสียหน่อย
    ไก่จะได้มีที่หลบแดดหลบฝนได้ ผู้เขียนเห็นหลายคน
    เริ่มแรกไปลงทุนทำโรงเรือนอย่างดี มีระบบจัดการ
    เสร็จสรรพ ลงทุนไปเป็นแสนเป็นล้าน ปรากฏทำได้
    ไม่นานเรียบร้อย ไปไม่รอดเพราะลงทุนสูง หรือ
    ไก่เป็นโรคระบาดตายยกฟาร์มไปเลยก็มี
     
  8. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    ดังนั้น เราทำแบบค่อยเป็นค่อยไป สะสมทุน
    สะสมประสบการณ์ให้แน่น ปูพื้นฐานตัวเองให้ดี
    หมั่นเรียนรู้วิชาการใหม่ ๆ เพื่อนำมาปรับปรุงและ
    พัฒนา
    การทำงานของเรา รู้จักคิดและหาวิธีการ
    ที่จะทำให้เราขยายงานได้ โดยมีต้นทุนต่ำ
    ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปให้ได้ เมื่อเรา
    พร้อมเต็มที่ ค่อยขยับขยายให้เติบโต
    ยิ่งขึ้นไป
    เมื่อเวลาประสบวิกฤติ เราก็มีภูมิต้านทาน มีฐาน
    ที่แน่นหนา ในการรับมือ
    กับทุกวิกฤติการณ์ได้

     
  9. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    เมื่อเราเลี้ยงไก่ไว้ขาย เรามีต้นทุนต่ำ เราสามารถ
    ขายในราคา
    ที่ไม่แพงมากนักก็ได้ แถว ๆ บ้าน
    ที่เชียงใหม่ ผู้เขียนเห็นเขาขายไก่บ้านตกตัวละ
    120-130 บาท แต่ถ้าเป็นไก่ของเราเอง เราก็
    ขายไปแถมไป คนซื้อก็ได้ซื้อของในราคาถูก
    ต้นทุนค่าครองชีพก็ต่ำลง ถ้าไก่ขายไม่หมด
    ก็ทำสารพัดไก่มาขาย ให้แม่บ้านเอามา
    ทำ
    ไก่ทอด ไก่ย่าง ทำกับข้าวขายหน้าบ้านหรือ
    ตลาดเสีย แต่ถ้าผลผลิตมีเยอะ ก็แปรรูป
    ทำ
    ไก่หยอง จะได้เก็บไว้นาน ๆ หรือสารพัดวิธี
    ให้หมั่นเรียนรู้และศึกษาต่อยอดเอา
    ตามแต่
    วิธีการของแต่ละคนไป
     
  10. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    วิธีที่บอกนี้ เป็นวิธีที่เราทำแบบครอบครัว ขายกันใน
    ท้องถิ่น แต่ถ้าจะขยายงานให้ใหญ่ออกไป จะแนะนำ
    เพิ่มเติมในตอนหลัง ๆ
    หรือถ้าคิดจะเลี้ยงไก่เต็มพื้นที่
    เราไม่อยากแบ่งปลูกข้าว หรือทำอะไรอย่างอื่น

    ก็แล้วแต่ความสะดวกของผู้ำำทำ แต่ขอแนะนำว่า
    ผักสวนครัวในบ้านก็ปลูกไป ที่ทางยังพอมีให้เหลือ
    ให้ปลูก
    เราก็ทำกันไป จะได้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ใช่
    ต้องเที่ยววิ่งซื้อหากันเสียไปหมด หรือจะลงพวก
    ถั่วชนิดต่าง ๆ ก็ได้ เพื่อเอามาให้เป็นอาหารของไก่
    พอเก็บผลผลิตได้
    เราก็ไถกลบเสีย เพิ่มแร่ธาตุให้กับ
    ดินไปเลย ทำเป็นวงจรแบบนี้ เราจะประหยัด
    ค่าใช้จ่ายไปได้มาก
     
  11. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,578
    (k)เลี้ยงไก่,ปลาหรือสัตว์ต่างๆ:cool:แล้วฆ่านำไปขายและทำกินจะบาปผิดศีลปานาฯไหมหนอ...ขอความเห็นครับ...:boo::cool:(k)({):cool:
     
  12. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    คิดไว้แล้วค่ะ ว่าต้องมีผู้มาถามแบบนี้ ข้อความข้างต้น
    คือการยกตัวอย่างค่ะ ผู้เขียนเขียนเรื่องการรับมือ
    ภัยพิบัติทางเศรษกิจ เีขียนทั้งการปลูกผัก และ
    การเลี้ยงสัตว์ เพื่อสอดคล้องไปกับสังคมโลก
    คนมีธรรมะ ต้องวางใจให้เป็นกลาง การศึกษาธรรมะ
    ก็ต้องรู้ให้รอบด้วยเช่นกัน ผู้่เขียนศึกษามาทุกศาสนา
    พอสมควร ศาสนาอิสลาม เวลาจะฆ่าสัตว์ เขาต้อง
    อ่านบทสวดมนต์ แผ่เมตตาให้กับสัตว์ที่เขาบริโภค
    เพื่อยังชีพนั้นให้ขึ้นสู่สรวงสรรค์ทุกครั้ง ซึ่งเป็น
    บทบัญญัติที่สำคัญทางศาสนา และหลักการรวมทั้ง
    วิธีต่าง ๆ ให้ถูกต้อง สำหรับศาสนาพุทธ เรื่อง
    การทานมังสวิรัตและการฆ่าสัตว์เพื่อยังชีพ
    ในสมัยพุทธกาลมีความเป็นมาดังนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ธันวาคม 2011
  13. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    สมัยหนึ่ง ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ
    พระเวฬุวันวิหาร
    กรุงราชคฤห์ พระเทวทัต
    พร้อมด้วยพระโกกาลิกะ
    พระกฏโมรกติสสกะ
    พระขัณฑเทวีบุตร
    และพระสมุทททัตต์
    เข้าไปเฝ้า
    พระพุทธองค์ กราบทูลขอวัตถุ ๕ ประการ ดังนี้

    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot](๑) ภิกษุควรอยู่ป่าตลอดชีวิต
    [/FONT]
    (๒) ภิกษุควรเที่ยวบิณฑบาตตลอดชีวิต

    (๓)ภิกษุควรถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต

    (๔) ภิกษุควรอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต

    (๕)ภิกษุไม่ควรฉันปลาและเนื้อ
    [FONT=&quot]
    พระพุทธตรัสห้ามว่า[/FONT]
    <table class="MsoNormalTable" style="width:100.0%;mso-cellspacing:0cm;mso-padding-alt:0cm 0cm 0cm 0cm" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="mso-yfti-irow:0;mso-yfti-firstrow:yes;mso-yfti-lastrow:yes"> <td style="width:10.0%;padding:0cm 0cm 0cm 0cm" width="10%">
    </td> <td style="width:90.0%;padding:0cm 0cm 0cm 0cm" width="90%">อย่าเลยเทวทัตต์ ภิกษุใดปรารถนาก็จงอยู่ป่า
    ภิกษุใดปรารถนาก็จงอยู่ บ้านภิกษุใดปรารถนา
    ก็จง
    เที่ยวบิณฑบาต ภิกษุใดปรารถนาก็จงยินดี
    การนิมนต์
    ภิกษุใดปรารถนาก็จงถือผ้าบังสุกุล
    ภิกษุใดปรารถนา
    ก็จงยินดีผ้าคฤหบดี
    เราอนุญาตรุกขมูล (การอยู่โคนไม้)
    ตลอด
    ๘ เดือน(นอกฤดูฝน)
    เราอนุญาตปลาและเนื้อ
    ที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ (๑)ไม่ได้เห็น
    [FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]([/FONT]๒)ไม่ได้ยิน (๓)ไม่ได้รังเกียจ
    </td> </tr> </tbody></table>
     
  14. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    พระพุทธเจ้าทรงห้ามพุทธบริษัทรับประทานเนื้อสัตว์ หรือไม่
    คำถามนี้ต้องแยกตอบเป็น ๒ พวก คือ

    ๑. พุทธบริษัทที่เป็นคฤหัสถ์
    ๒. พุทธบริษัทที่เป็นบรรพชิต

    สำหรับพุทธบริษัทที่เป็นคฤหัสถ์นั้นพระพุทธเจ้าไม่ห้าม
    การรับประทานอาหารทุกชนิด เพราะชาวบ้านมี
    ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมต่างกัน ความเชื่อถือ
    ในเรื่องการรับประทานอาหารก็เป็นไปตามตระกูลและ
    วรรณะของตน พระพุทธเจ้าจึงไม่ห้ามชาวบ้านในเรื่อง
    การเลือกอาหาร
     
  15. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    แต่สำหรับบรรพชิต คือ ภิกษุ ภิกษุณี และ สามเณรนั้น
    พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติข้อห้ามไว้ ๒ กรณี คือ

    กรณีที่ ๑ ห้ามรับประทานเนื้อ ๑๐ ชนิด คือ เนื้อมนุษย์
    เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อราชสีห์ เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือดาว
    เนื้อเสือเหลือง เนื้อหมี เนื้อสุนัข เนื้องู


    การที่พระพุทธเจ้าบัญญัติห้ามภิกษุฉันเนื้อเสือ ๓ ชนิด
    แทนที่จะพูดรวมๆ “เนื้อเสือ” เพราะในภาษาบาลี
    เสือแต่ละชนิด ใช้คำเรียกต่างกัน คือ เสือโคร่ง
    ใช้คำว่า พยคฺฆมํสํ , เสือดาว ใช้คำว่า ตรจฺฉมํสํ ,
    เสือเหลือง ใช้คำว่า ทีปิมํสํ เนื้อ ๑๐ ชนิดนี้ ถ้าภิกษุฉัน
    ต้องอาบัติทุกกฎ (ที่มา : ฉบับหลวง เล่ม ๕ ข้อ ๕๗ หน้า ๖๙-๗๒)

     
  16. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    กรณีที่ ๒ พระพุทธเจ้าห้ามภิกษุฉันเนื้อที่เขาฆ่า เพื่อทำ
    อาหารถวายพระโดยเฉพาะ เรียกในพระวินัยว่า
    “อุททิสุสมังสะ” แปลว่า เนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าเจาะจงเพื่อ
    ถวายภิกษุ ท่านห้ามมิให้ภิกษุฉัน หากภิกษุฉัน ทั้งได้เห็น
    ได้ยิน หรือสงสัยว่าเขาฆ่าเพื่อถวายตน ต้องอาบัติทุกกฎ

    พุทธบัญญัติข้อนี้ มีในพระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่ม ๕
    ข้อ ๘๐ หน้า ๑๐๐-๑๐๑ ดังนี้

    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรู้อยู่ ไม่พึงฉันเนื้อที่เขาทำ
    จำเพาะ รูปใดฉัน ต้องอาบัติ ทุกกฎ”
    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ปลาเนื้อที่บริสุทธิ์โดย
    ส่วนสาม คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจ”

    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=18293
    ที่มา http:.178//palungjit.org/showthrea...t=76628&page=2

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ธันวาคม 2011
  17. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    ต้องขอขอบคุณ คุณ a5g1aeka นะค่ะ ที่ท้วงติงมา
    แต่ผู้เขียนตั้งใจเขียนบทความนี้ขึ้นมาด้วยหัวใจ
    ที่ต้องการให้คนในชาติและมนุษยชาติทุกผู้ทุกนาม
    โดยไม่แบ่งแยกชนชั้น ศาสนา หรือใด ๆ ก็ตาม
    ให้เขาเหล่านั้นพ้นทุกข์ในทางโลก โ่ดยมีธรรมะ
    เป็นเครื่องนำทาง ทั้งสองสิ่งต้องควบคู่กันไปเสมอ
    ผู้เขียนน้อมรับคำท้วงติงในทางสร้างสรรค์ เพื่อประโยชน์
    สุขของทุก ๆ คนเสมอค่ะ ด้วยความขอบคุณ/ไอย
     
  18. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,578
    :cool:ขอบคุณครับคุณไอย ได้ความรู้มากเลยแต่ก็พยายามทานมังฯครับเพราะยังไม่สะดวกในการทานเจ ซึ่งชาวอนุตตรธรรมเขาพยายามเชิญชวนให้ทานเจ อันเป็นการตัดเหตุแห่งกรรมแต่ต้น พวกเขาจะมีการตั้งปณิธาณทานเจตลอดชีวิตกัน ผมขอสนับสนุนเขา แต่ยังไม่สะดวก จึงดูไปก่อน คุณไอย มีความเห็นเช่นใดครับ อนึ่งเขาบอกยุคนี้พระศรีอริยเมตไตรมาช่วยโปรดให้มนุษย์รีบบำเพ็ญธรรมจะได้กลับแดนสุขาวดี อันเป็นที่สำหรับผู้บำเพ็ญธรรมสายนี้ ซึ่งมีพิธีรับธรรมะด้วย และไม่ต้องกลัวภัยพิบัติ เพราะอนุตตรธรรมช่วยได้ และผมได้ร่วมรับธรรมะด้วยแล้ว กำลังศึกษาทางนี้อยู่...
     
  19. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    สำหรับเรื่องการเลี้ยงสัตว์ ถ้าคนไหนไม่อยากเลี้ยงไว้
    ขายเนื้อ
    เช่นไก่ เราก็เลี้ยงเอาไว้ขายไข่อย่างเดียว หรือ
    วัว-ควาย
    เราก็เลี้ยงไว้ไถนา ปลูกข้าว ก็ว่ากันไป
    แล้วแต่ความถนัด
    และความเหมาะสมของแต่ละคน
    ทำไมถึงต้องให้แต่ละคน แต่ละครอบครัวทำอาชีพเดียว
    เนื่องจาก
    ถ้าเราทำอาชีพเดียว เราจะมีความถนัดและ
    ความชำนาญ
    ในอาชีพนั้น ๆ ถ้าคนไม่เคยทำ ก็แค่
    ลองผิดลองถูก
    เพียงไม่กี่ครั้ง เครื่องมือเครื่องใช้
    ที่นำมาลงทุน ก็ยังทำต่อได้อีก
    [FONT=&quot]

    [/FONT]
     
  20. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    [FONT=&quot]บางคนไม่เคยทำอะไรเลย อยากทำนั่น ทำนี่
    ทำทุกอย่างสารพัด
    [FONT=&quot] ยกตัวอย่าง ฉันจะเลี้ยงไก่
    เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว-ควาย เลี้ยงปลา[/FONT]
    [/FONT][FONT=&quot] ปลูกผักขาย
    และขายของชำพร้อมกันไปด้วย เอาละ ถ้าคุณคิด
    แบบนี้
    [/FONT][FONT=&quot] และคุณคิดหรือยังว่า คุณลงทุนเลี้ยงไก่
    วัว ควาย ปลา ปลูกผัก
    [/FONT][FONT=&quot]ขายของ คุณลงทุนแต่ละอย่าง
    คุณใช้เงินลงทุนเท่าไหร่บ้าง
    [/FONT][FONT=&quot]ไหนจะเตรียมเรื่อง
    พ่อพันธ์แม่พันธ์ ไหนจะต้องลงทุนทำคอก ทำเล้า
    [/FONT][FONT=&quot]ไหนจะต้องไถปลูกพรวนดิน ไหนจะต้องลงทุน
    ตกแต่งร้าน นำของเข้าร้าน
    [/FONT][FONT=&quot] คุณคิดหรือยังว่า
    ต้องใช้เงินมากขนาดไหน
    [/FONT]
     

แชร์หน้านี้

Loading...