การหล่อพระแก้วตันๆหน้าตัก 1 M ในเตาอบต้นทุนต่ำกว่าทองเหลืองกลวง หน้า 9 #171

ก่อนถึงกลางสัปดาห์หน้า ผมขอเฉลยต้นทุนของก้อนแก้วเพื่อการหลอมต่อจากจีนที่ใช้หล่อพระยืนสูง 2 M. ได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้ครับ

 

พระแก้วยืนสูง 2 เมตรที่หล่อด้วยแก้วคริสตัลตันๆ ทั้งองค์พระจะมีน้ำหนักประมาณ 900 - 1,000 กิโลกรัม ต้นทุนก้อนแก้วจากจีนกิโลกรัมละ 25 บาท เฉพาะน้ำหนักแก้วรวม 25,000 บาท

ค่าปูนปลาสเตอร์จากจีนกิโลกรัมละ 1 บาท ใช้ 600 กิโลกรัม

ค่ากระแสไฟฟ้าขึ้นกับความหนาขององค์พระแก้ว ตั้งแต่ไม่กี่วัน แต่ก็ไม่เกิน 5 - 6 เดือนในปางพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ปางพระสังกัจจายน์ที่อ้วนเกินนะครับ

ค่าหุ่นขี้ผึ้งขึ้นกับว่านายช่างจะคิดเท่าไร หรือถ้าถอดแบบจากพระโลหะก็เสียแค่ค่ายางซิลิโคนกับขี้ผึ้งเท่านั้น

ส่วนค่าแรงนายช่างแก้วก็แล้วแต่ว่าจ้างในหรือนอกประเทศและไปจ้างถูกช่างที่เขาคิดค่าตัวหรือไม่คิด และถ้าคิด ๆ เท่าไร

ถ้าคิดราคาไม่รวมค่าจ้างช่างต่างๆ พระแก้วตันสูง 2 M ก็จะประมาณ 100,000 บาท

 

สำรองพื้นที่

 

สำรองพื้นที่

 

เอาไว้มาอธิบายครับ ว่าทำไมราคาคริสตัลแพงทั้งๆที่ต้นทุนถูก

 

ภาพนี้แสดงให้เห็นก้อนแก้วเพื่อการหลอมต่อของค่ายนิวซีแลนด์ที่มีรูปก้อนเป็นผลกีวีผ่าครึ่ง

ภาพล่างเวลาหลอมแก้วละลาย และช่างหลอมเกิดหยุดด้วยการปิดเตา จะเห็นก้อนแก้วที่ละลายไหลลงแม่พิมพ์ปูนปลาสเตอร์ เมื่อไฟฟ้าหยุด น้ำแก้วก็หยุดละลายด้วย คือแข็งตัว

นี่คือภาพของห้องทำงานรุ่นใหม่ของการหลอมในระบบ Lost Wax Glass ซึ่งไม่ต้องมีเตาหลอมในระบบใหญ่ มีแค่เตาอบเล็กๆ เส้นผ่าศูนย์กลางแค่ 60 - 80 cm. สูงแค่ 1 เมตร หรือแล้วแต่ขนาดของชิ้นงานครับ

 

ภาพนี้แสดงให้เห็นเตาหลอมแก้วเตาที่ 2 หรืออาจเป็นเตาที่ 3 ที่ัยังไม่ได้จุดไฟ เพราะถ้านับแต่นาทีที่จุดไฟแล้วไม่สามารถหยุดได้เลย ภาพนี้คือโรงงานแก้วเจษฏาที่ช่างยังทำงานอยู่ด้วยการใช้น้ำแก้วจากเตาที่ 1 ซึ่งมี 8 เบ้า เป็นเบ้าคละสี เบ้าละประมาณ 350 kg. โดยภาพนี้เป็นช่างเป่าแก้วด้วยปอดที่หลบมาทำงานที่มุมเตาที่ 2 หรือที่ 3 ที่ยังไม่ได้เปิดครับ

เพราะฉะนั้น การทำงานโรงงานหลอมแก้วทั่วๆไปมักจะหยุดไม่ได้เลย เพราะเตาหลอมต่อเนื่องทุกวันหยุดไม่ได้

ผิดกับการหลอมด้วยเทคนิค Lost Wax Glass ที่จะเริ่มทำงาน หรือ จะหยุดงานเมื่อใดก็ได้ หยุดนานเท่าใดก็ได้ เพราะเตาอบในระบบ Lost Wax Glass ไม่เสียหายใดๆเมื่อหยุด หรือ เมื่อเริ่มต้น

 

ด้านบนนั้นเป็นโครงการพระแก้ว 9 นิ้วของผมแบบหล่อเนื้อตันๆ

 

องค์นี้ผมกับลูกน้องช่างแก้วที่เป็นช่างหล่อแก้วด้วยเทคนิค Lost Wax Glass เพียงคนเดียวของไทยร่วมกันสร้าง เฉพาะปางนี้เราร่วมกันสร้างไม่ถึง 10 องค์

 

ลูกน้องช่างแก้วเขาเองต้องการสร้างปางนี้ (ซ้ายมือท่าน) และต้องการหล่อแค่ 1 องค์เพื่อประดิษฐานไว้ที่พม่า แต่เขาต้องหล่อเป็น 2 องค์ กันแตก องค์นี้หน้าตัก 9 นิ้วก็จริง แต่น้ำหนักไม่ใช่ 6 กิโลกรัมเหมือนปางคันธารราฐที่ผมสร้าง น้ำหนักองค์นี้หนักถึง 10 กิโลกรัม

 

หลอด LED ที่ลูกน้องช่างแก้วผมใช้ เป็นแผงเล็กที่ไม่เต็มพื้นที่ของฐานพระ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแผงเล็กที่ผสมสีได้ แสงสว่างและแสงหรี่ได้เช่นกัน

 

ผมไม่เรียกว่าแผง LED สำเร็จ แต่เรียกว่าหลอด LED ชนิดผสมสีได้ดีกว่า เพราะมันไม่ใช่แผงใหญ่อะไร ลูกน้องช่างแก้วผมเขาแค่อยากถ่ายรูปเท่านั้น ไม่ต้องการถวายหลอด LED

 

ตอนที่กระเทาะแม่พิมพ์ปูนปลาสเตอร์ออกมา ผิวขององค์พระแก้วจะเป็นสีฝ้าขาวอยู่แล้วโดยไม่ต้องทำอะไรเลย ซึ่งเพียงล้างน้ำก็สวยแล้ว ยกเว้นแต่จะทำให้ผิวเป็นสีใสปิ๊ง จึงต้องไปกัดกรดกัดแก้วอีกทีครับ

แต่ผมเห็นว่าแก้วสีฝ้าขาวนั้น ถูกต้องกว่าสีใสเสียอีก

 

ลูกน้องช่างแก้วผมไม่ได้ทำอะไรกับพระแก้วองค์นี้นอกจากกระเทาะปูนปลาสเตอร์ออกเท่านั้น สังเกตุที่ฐานพระที่ไม่ได้ตัดให้เรียบ นี่คือผิวไฟยังสวยขนาดนี้นะครับ เพียงแต่รอยที่ฐานไม่ได้ถูกตัดแต่งให้เรียบเท่านั้น

 

มีท่านที่ถามเข้ามาว่า ถ้าใช้แก้วขวดหรือเศษแก้วที่ขายในร้านขายของเก่าได้ไหม ? เพราะราคาถูกมากๆ กิโลกรัมละไม่กี่บาท ผมขอตอบดังนี้ครับ เนื่องจากจุดหลอมเหลวของแก้วขวดสูงกว่าก้อนแก้วเพื่อการหลอมต่อมาก อาจมากกว่าถึงสองเท่าโดยประมาณ ส่วนเศษกระจกอย่างเช่นกระจกบานเกร็ดนั้น ก็สูงกว่าอาจจะไม่ถึงสองเท่าดี แต่ก็ยังสูงกว่ามาก ทำให้มีเหตุปัจจัย 2 ตัวที่เป็นปัญหา คือ 1 ปูนปลาสเตอร์ที่ทนได้แค่ 800C ในขณะที่แก้วขวดหลอมเหลวที่กว่า 1500C และเศษกระจกหลอมเหลวที่ประมาณ 1200C ขึ้นไปและแก้วมีสีอมเขียว อมฟ้า ขึ้นอยู่กับแต่ละผู้ผลิต และข้อ 2 ค่าไฟฟ้าที่เราต้องยกขึ้นสูงกว่า 780C ขึ้นไปถึง 1200 หรือแก้วขวดถึง 1500 อาจไม่คุ้มค่ากัน แต่ถ้าต้องการทดลองจริงๆก็ลองได้ครับ ดีเสียอีกที่ทดลอง เพราะทุกอย่างอย่าเชื่อผมทั้งหมด

รัฐบาลจีนถึงกับลงมือสนับสนุนผ่านองค์กรของเขาเพื่อให้เกิดบริษัทหรือโรงงานเพื่อสร้างก้อนแก้วเพื่อการหลอมต่อในราคาถูกกว่าต้นทุนนี้ ก็ถือว่าดีแล้ว เพราะเราไม่ต้องลำบากหลอมแก้วเองเหมือนในอดีตครับ แถมต่ำกว่าทุนอีกเยอะอย่างนี้ ผมถือว่าเป็นโอกาสดีในรอบหลายร้อยปีตั้งแต่มีโลกนี้มาเลยทีเดียว

 

วันที่ผมน้อมถวายพระแก้วหน้าตัก 9 นิ้วนั้น คุณข้าวขอเมตตาจากหลวงปู่สรวง สิริปุญโญ เมตตาอธิษฐานจิตพระแก้วแกะสลักจากหินควอทซ์หน้าตัก 5 นิ้วของเขา (แล้วนำกลับ) [ส่วนพระแก้ว 9 นิ้วทั้ง 2 ผมน้อมถวายไว้ในพระพุทธศาสนา] ผมใช้ไฟฉายวางไว้หลังพระควอทซ์ 5 นิ้วถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกก่อนที่คุณข้าวจะนำกลับครับ