การพิจารณา กิเลส ในใจของตน แบบ ธรรมยุติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ลุงมหา๑, 15 กันยายน 2013.

  1. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    หลงคุยด้วยตั้งนาน

    ขออนุญาตครับ

    หลงคุยด้วยตั้งนาน รู้แค่นี้ เข้าใจแค่นี้เองหรือ?

    ลุงมหา

     
  2. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ผู้ที่จะมาฟังธรรมะ จะรู้แค่ไหน ไม่ใช่เรื่องของเรา ที่จะไปตัดสิน หรือ ไปกล่าวเหยียดหยามเขา ว่าเขาไม่รู้ เขารู้น้อย เข้าใจน้อย เสียเวลาการเสวนาของเรา

    ถ้ายังทำเช่นนั้นอยู่ เป็นผู้สอนผู้อื่นที่ดีไม่ได้หรอกครับ เพราะไม่ได้สอนด้วยเจตนาอยากให้ผู้อื่นได้ธรรมะ แต่สอนด้วยเจตนาอยากเลี้ยงกิเลสในใจตนเอง

    ถ้าเป็นเช่นนี้ อย่าเพิ่งมาสอนผู้อื่นเลยครับ สอนใจตนเองก่อนดีกว่าครับ

    ที่ผมพูดเช่นนี้ ผมไม่ได้พูดเช่นนั้นขึ้นมาลอยๆ แต่เป็นตัวของลุงมหาเอง ที่แสดงตนไว้เช่นนั้นนะครับ

    http://palungjit.org/3717871-post104.html
     
  3. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    การสำรวมระวัง เตี้ยอุ้มค่อม

    ขออนุญาตครับ

    เมื่อท่านขาดการสำรวมระวัง ก็สมควรเข้าชมรมเตี้ยอุ้มค่อมต่อไป

    ผมก็บอกอยู่แล้วว่า


    ข้อเขียนของผมตั้งแต่ 23-08-2010, 09:07 AM

    "สมาธิ ปัญญา การรู้ลงที่จิต ใน สภาวะธรรมที่เกิดขึ้น"

    http://palungjit.org/threads/สติดีดออกจากสมาธิ.253359/page-2#post3693147

    สำหรับท่านที่มีภูมิรู้ ภูมิธรรม สูงส่งอยู่แล้ว
    ขอกราบนมัสการผ่านไป อย่าได้เสียเวลามาอ่านเลย

    ........................
    ........................
    ........................


    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2013
  4. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    การสำรวมระวังนั้น ควรทำทั้งกาย วาจา และ ใจครับ

    ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว

    การกล่าวเสียดสี ดูถูกผู้อื่น จะโดยทางตรง หรือ ประชดประชัน การพูดให้ผู้อื่นต่ำลง ไม่ได้ทำให้ตัวเองดูสูงขึ้นครับ
     
  5. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ลักษณะตัดสินธรรมวินัย 8 ประการ
    ธรรมทั้งหลายเหล่าใดเป็นไปเพื่อความกำหนัดย้อมใจ
    เป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์
    เป็นไปเพื่อความสะสมกองกิเลส
    เป็นไปเพื่อความอยากใหญ่
    เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่ยินดีด้วยของที่มีอยู่ มีนี่แล้ว อยากได้นั่น
    เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
    เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน
    เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก
    ธรรมเหล่านี้ พึงรู้ว่า ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา

    ฝาก ให้ฉุกคิดกันครับ-คุยธรรมแย้งกันได้ ตามเหตุผล อาจแรงหน่อยก็อภัยกันครับ เรมาแลกเปลี่ยนกัน มิใช่ศัตรูกันครับ สาธุ ลุงมหา๑ กับ ท่านอินทรบุตร
     
  6. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    การฝึกฝนอบรมศิษย์ของฝ่ายธรรมยุติ


    ขออนุญาตครับ

    การฝึกฝนอบรมศิษย์ของฝ่ายธรรมยุตินั้น ครูบาอาจารย์ที่ท่านเก่งๆ ที่ท่านครบเครื่อง
    ท่านจะฝึกฝนอบรม ตามจริต ตามนิสสัย ของแต่ละบุคคล

    องค์หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล นั้น

    ท่านจะเน้นที่ การภาวนา พุท-โธ พร้อมกับการดูลมหายใจ เข้า-ออก

    ท่านจะให้ภาวนาอยู่อย่างนั้น จนกว่า กำลังสติ กำลังสมาธิ จะเต็มก่อน
    ถ้ากำลังสติ กำลังสมาธิยังไม่เต็ม องค์ท่านจะไม่สอนอะไรต่อให้เลย


    องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    องค์ท่านจะสอนหลักการ ๓ ข้อ คือ


    ๑.กิเลสอยู่ที่ใจ ไม่ต้องไปตามหาที่ไหนอีก
    ๒.เรียนอะไรมา รู้อะไรมา ให้ลืมให้หมด
    ๓.อยากรู้อะไร ให้ภาวนาเอา


    ครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ของสายธรรมยุติในปัจจุบัน ท่านก็บอกเล่าด้วยความท้อแท้ว่า

    "คนในยุคปัจจุบัน หาคนที่สะสมบุญบารมีเอาไว้ดีแล้วในอดีตชาติยากมากๆ"
    "ก็เลยได้พระ ได้เณร อย่างที่เห็นในปัจจุบัน"
    "จะหาพระ จะหาเณร ที่มีสิทธิ์ ปฏิบัติ จนสำเร็จได้ ในยุคปัจจุบัน ยากมากๆ"


    ครูบาอาจารย์ในยุคปัจจุบันท่านจึง ฝึกฝนอบรม พระเณรด้วยความเข้มงวดในเรื่องพระธรรมวินัยเป็นหลัก
    เพื่อให้พระ ให้เณร ทั้งหลาย ได้นิสสัย ความเป็นพระก่อน
    เพื่อให้พระ ให้เณร ทั้งหลาย มีความรักในพรหมจรรย์ก่อน
    เมื่อมีความรักในพรหมจรรย์ของตน เมื่อมีความเม่นยำในพระธรรมวินัยดีแล้ว

    แล้วท่านจึงนำ ท่านจึงพา เร่งความเพียร ในช่วงที่ได้พรรษาสูงๆแล้วเท่านั้น


    เห็นมีผู้เคยบวชพระธรรมยุติ ระดับ ๕ พรรษา ในเว็บนี้
    เที่ยวตอบปัญหาธรรมไปทั่ว กับเขาเหมือนกัน
    แต่ท่านผู้นั้น ยังห่างไกล กับธรรมปฏิบัติ อย่างยิ่ง
    เพราะเห็นแต่ยกเอา ธรรมปริยัติ มาบอกมาเล่า

    เรื่อง
    การได้ นิสสัย ความเป็นพระ
    การมี ความรักในพรหมจรรย์
    การมี ความเม่นยำในพระธรรมวินัยดีแล้ว
    จึงไม่ต้องพูดถึง

    เพราะเท่าที่ผมติดตามสังเกตุดู พระธรรมยุติท่านได้ครบ ก็เลยพรรษาที่ ๑๕ แล้ว เป็นส่วนมาก

    การปฏิบัติแบบธรรมยุตินั้น สิ่งที่ได้ก่อนอย่างอื่นคือ ความอดทน

    เพราะการนั่งภาวนา
    วันแล้ว วันเล่า
    เดือนแล้ว เดือนเล่า
    ปีแล้ว ปีเล่า
    นั้น ถ้าไม่ได้ความอดทน แล้วจะได้อะไร

    เพราะครูบาอาจารย์บางท่านถึงกับ ถามพระรุ่นหลังๆว่า


    "ถ้าเก่งจริง ถ้าแน่จริง เอาให้ได้สิบกว่าพรรษาเท่าผมก่อนนะ"

    แล้วท่านก็แอบกระซิบว่า

    "ท่านไล่ผมมา ๑ พรรษา ผมก็หนีไป ๑ พรรษา ไล่จนตายก็ไม่ทันผมหรอก"

    แม้พระพุทธองค์ พระองค์ท่านก็ทรงตรัสว่า

    "อานนท์เราไม่เห็นว่ามีธรรมข้อไหน สำคัญกว่าความอดทนได้เลย"

    ผมเริ่มเข้าวัดธรรมยุติครั้งแรก เมื่อผมปฏิบัติมาได้แค่ ๗-๘ ปี
    หลวงปู่ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกว่า


    "ไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ ปฏิบัติเอง รู้เอง เห็นเอง แล้วมันมาถึงนี่ได้อย่างไร"
    "ปฏิบัติเองยังมาถึงนี่ได้ ก็ให้ปฏิบัติเองต่อไป ไม่ต้องไปถามใครอีก"
    "เมื่อปฏิบัติเองตั้งแต่เริ่มต้นจนมาถึงนี่ ถ้าปฏิบัติระดับนี้ต่อไป ชาตินี้มีสิทธิ์สำเร็จได้"


    ดังนั้น การที่มีผู้หนึ่งผู้ใด มายั่วยุใดๆ อย่าหวังว่า ผมจะลดตัวลงไปหาท่าน
    เพราะองค์หลวงตามหาบัว ท่านก็บอก ท่านก็สอนอย่างชัดเจนแล้วว่า


    "สำนักนี้ ไม่เคยสอนวิชา หมากัดกันให้ใคร"

    อะไรเป็นอะไร ท่านผู้มีบุญวาสนา มีความอดทน มีความเพียร
    หรือแม้แต่ท่านที่มี สัมมาทิฐิ แม้เพียงเล็กน้อย ย่อมจะเข้าใจได้

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา

     
  7. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เพราะยังคิดว่าตนเองดีกว่าผู้อื่น ต้องลดตนลงมาหาผู้อื่น

    สภาวะธรรม มันถึงจมแช่อยู่แค่นี้มานาน ไม่ขยับ

    ถ้าอยากก้าวหน้า ก็ละมันซะเถอะครับ ลุงมหา
     
  8. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    จะปฏิบัติให้ก้าวหน้าได้อย่างไร?

    ขออนุญาตครับ

    ขอนำคำตอบที่ผมได้ตอบเอาไว้แล้วในเว็บนี้มาบอกเล่าอีกที


    จะเห็นได้ว่า ลำดับการปฏิบัติสมาธิภาวนาคือ

    ๑. การสะสมกำลังสติ กำลังสมาธิให้เต็มก่อน

    ๒. การฝึกสติ จนสามารถมีสติอยู่ตลอดเวลา ก็คือ ที่ครูบาอาจารย์ท่านพาเรียกว่า

    "การรู้ตัวทุกอิริยาบถ" หรือ

    "มหาสติ" นั่นเอง

    ก็คือ การที่พระธุดงค์กรรมฐาน ท่านออกท่องเที่ยว เดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆ
    การเดินของท่านนั้น จะเป็นช่วงที่ท่านกำลังฝึก "มหาสติ" นั่นเอง

    ๓. การเดินทางด้านปัญญา

    เมื่อผ่านการฝึกทางด้าน "มหาสติ" จนครบถ้วน จนมี "สติรู้ตัวทุกอิริยาบถ"แล้ว
    จึงจะฝึกเดินทางด้านปัญญาได้

    การเดินทางด้านปัญญาคือ การน้อมนำหัวข้อธรรมที่สงสัย "ตั้งเป็นคำถามขึ้นมาในจิต"

    แล้วจะมี "คำตอบของปัญหานั้น ผุดขึ้นในจิต เป็นคำตอบของปัญหานั้น"

    และจะเกิดความต่อเนื่องของ "คำถาม" และ "คำตอบ" ผุดขึ้นตามมา
    เกิดขึ้นต่อเนื่องๆไป เหมือน "ลูกโซ่ ที่คล้องต่อกันไป ลูกแล้วลูกเล่า"

    "คำตอบทีผุดขึ้นมานี้" ก็คือ "ปัญญา" นั้นเอง

    พิจารณาจะมาก จะน้อย สะสมไป สะสมไป ก็จะเป็น "ผู้มีปัญญามาก" นั่นเอง

    เมื่อเห็นท่านผู้ใด ถามปัญหา ตอบปัญหา กันอยู่ในเว็บนี้
    ผมก็จะดูออกว่า ท่านนั้นๆ

    ท่านปฏิบัติมาได้เท่าไร
    กำลังสติ กำลังสมาธิ ท่านเต็มหรือยัง
    การรู้ตัวทุกอิริยาบถ ท่านเต็มหรือยัง
    ท่านเดินปัญญาได้หรือยัง
    ท่านสะสมคำตอบที่ผุดขึ้นมาในจิต ได้มากน้อย เท่าไร

    หรือแค่ท่าน เอาเรื่อง ธรรมกระดาษ ธรรมสัญญาความจำ มาตอบ มาบอก มาเล่า มาตั้งกระทู้

    เพราะท่านที่ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ท่านที่ปฏิบัติยังไม่ถึง

    การตั้งกระทู้ การตอบกระทู้ ก็บอกเล่าเรียงลำดับออกมาไม่ได้

    หรือต่อให้เรียงลำดับออกมาได้ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติแบบ "รู้จริง เห็นจริง"

    จะบอก จะเล่า ให้ตรงกับ "ปัญญา คือ คำตอบที่ผุดขึ้นมาในจิต" ได้อย่างไร

    ผู้ปฏิบัติไม่ถึง ผู้ปฏิบัติยังไม่ได้ บอกเล่าอะไร

    ก็จะขาดๆ แหว่งๆ กลับหน้า กลับหลัง ตกๆหล่นๆ

    ยิ่งกว่านั้น ยังจะหาญกล้า มาสั่งมาสอน ผู้รู้จริง ผู้เห็นจริง ซะอีก

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2013
  9. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ลุงมหา เห็นหรือเปล่า ว่าตัวไหน มันเป็นตัวที่ผุด "คำตอบ" ของ "ปัญหา" ที่ลุงมหา ไปตั้งไว้ในใจ?

    ลุงมหา ไม่รู้ตัวหรอกเหรอ ว่าไอ้ตัวนั้นแหละ หนึ่งในปัจจัยร่วมสร้างภพชาติ

    อย่าคิดเอง ปฏิบัติเอง ให้ลองไปถามครูบาอาจารย์เอา ว่าจริงหรือเปล่า ที่ผมบอก ว่าตัวนั้น คือตัวร่วมสร้างภพชาติ
     
  10. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    การอบรมสั่งสอนธรรม

    ขออนุญาตครับ

    ในการอบรมสั่งสอนธรรมนั้น

    พระพุทธองค์ พระองค์ท่านก็มีเหตุผลอย่างหนึู่้ง

    ครูบาอาจารย์ยุคหลังๆท่านก็มีเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง

    พระพุทธองค์ พระองค์ท่านมีเหตุผล มีสิ่งแวดล้อมว่า

    ในยุคพุทธกาล จำนวนมนุษย์ ผู้คนพลเมือง ไม่มากนัก
    แถมยังมีศาสนาพราห์ม เป็นศาสนาหลัก อบรมสั่งสอน ให้ผู้คนรู้จัก คุณงามความดี
    ให้ผู้คนรู้จัก การสะสมกำลังสติ กำลังสมาธิ
    หรือแม้แต่ การสะสมกำลังสติ การสะสมกำลังสมาธิ ไปจนถึงขั้น แสดงฤทธิ์ต่างๆได้

    เพียงแต่ พระพุทธองค์ พระองค์ท่าน เป็นผู้ค้นพบ ความจริง อันยิ่งใหญ่
    ความจริงที่ว่า การรู้ธรรม เห็นธรรม เห็น อริยะสัจ๔ นั้น
    ใช้แค่กำลังญาน๔ ก็พอแล้ว กำลังแค่นี้ ก็สามารถบรรลุธรรมได้แล้ว

    แม้กระนั้น พระพุทธองค์ก็ต้องทรงระมัดระวังอย่างสูงว่า

    การสอนธรรมของพระองค์ จะไม่ถูกผู้ไม่หวังดี แอบมาศึกษา แล้วตั้งลัทธิใหม่ขึ้นมาแข่งกับพระพุทธศาสนา

    การสอนของพระองค์จึงรวบรัด เรียบง่าย เพราะผู้เข้ามาบวช เข้ามาศึกษาธรรมในยุคนั้น

    ล้วนเป็นผู้มีบุญบารมี ล้วนเป็นผู้สะสมบุญบารมีมาดีแล้ว ตั้งแต่อดีตชาติ

    การสอนธรรมของพระองค์ จึงกระชับ เรียบง่าย ตรงจุด ผู้ฟังธรรมจากพระองค์จึง

    สามารถ รู้ธรรม ได้เร็ว
    สามารถ เข้าใจธรรม ได้เร็ว
    สามารถ บรรลุธรรม ได้เร็ว

    ทำให้เกิดผู้มีบุญบารมีเป็นจำนวนมาก สำเร็จธรรม ได้ในยุคพุทธกาล

    แม้พระพุทธองค์จะทรงระมัดระวังแล้วก็ตาม
    ก็ยังเกิดมีผู้ไม่หวังดี แอบเข้ามาบวช แอบเข้ามาศึกษาธรรม
    แล้วก็แอบสึกออกไป ไปตั้งทฤษฎีใหม่ ไปตั้งศาสนาใหม่ ไปเผยแผ่คำสอนของเขา
    จนเกิดเป็นศาสนาใหม่ เข้ามาแทนที่ศาสนาพุทธ ในเขตประเทศอินเดีย
    จนทำให้ศาสนาพุทธหดเล็กลง แทบจะไม่เหลือในประเทศอินเดียปัจจุบัน

    เดชะบุญที่คนรุ่นก่อนๆ ได้สร้าง พุทธศาสนสถาน จนกาลเวลา ไม่สามารถทำลายลงได้หมด

    ทำให้เหลือร่องรอย ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า

    พระพุทธองค์ ได้เคยมีตัวตนจริงๆ
    พระพุทธศาสนา ได้เคยเจริญรุ่งเรืองมาแล้วจริงๆ
    พระธรรมคำสอนที่ถ่ายทอดกันมา ก็ยังคงอยู่
    รอผู้มีบุญบารมีในยุคหลัง ได้มาศึกษา ได้มาปฏิบัติ ได้มาบรรลุธรรม สืบทอดต่อๆไป

    ส่วนการสอนธรรมของครูบาอาจารย์ในยุคหลังนั้น

    เนื่องจากบ้านเมืองเจริญก้าวหน้าไป ผู้คนพลเมืองมากขึ้นๆ ทรัพยากรน้อยลงๆ
    ผู้คนก็ต่างหลงใหลในกิเลสมากขึ้นๆ

    การทนุบำรุงพระศาสนาก็เลยยากลำบากขึ้น
    เพราะว่าเทคในโลยี่ ของการเรียนรู้ ของการสื่อสาร
    ทำให้การเผยแผ่ข่าวสารได้ง่ายขึ้น ได้เร็วขึ้น

    ผู้คนก็เลยพากันเชื่อว่า
    การจะรู้ธรรม การจะเห็นธรรม การจะเข้าใจธรรม การจะบรรลุธรรม
    นั้น เพียงแค่เข้ามาในเว็บ มาศึกษาเรียนรู้เอาที่นี่ก็ได้

    ก็เลยเกิดความเชื่อมั่น ว่าตนเองรู้ธรรม ตนเองเห็นธรรม ตนเองเข้าใจธรรม จริงๆ

    ทำให้เกิด การตั้งกระทู้ การตอบกระทู้ กันมากมาย

    ที่ร้ายกว่านั้น หลายๆท่าน ถึงกับยกพระพธรรมคำสอน
    ในระดับธรรมปรมัติ ธรรมของผู้ที่ใกล้จะหลุดพ้น มาเที่ยวบอก มาเที่ยวสอนคนอื่นๆ

    ที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนธรรมชั้นสูงนั้น ท่านก็รู้ว่า สอนไปแล้วยากจะหาคนเข้าใจได้ยาก

    แต่ที่ท่านต้องสอนก็เพราะว่า ท่านต้องการสืบทอด ท่านต้องการเผยแผ่ธรรมของพระพุทธองค์

    ไม่ให้ตกหล่นสูญหาย รอให้ผู้มีบุญบารมี ได้มาพบ ได้มาเจอ คำสอนนั้นๆ พระธรรมนั้นๆ
    เผื่อว่า ท่านเหล่านั้น จะได้รู้ธรรม จะได้เห็นธรรม จะได้เข้าใจธรรม
    หรือแม้แต่จะได้บรรลุธรรมได้ง่ายขึ้น

    ท่านไม่ได้มีเจตนา จะให้ผู้หนึ่งผู้ใด นำธรรมของท่าน

    ไปโอ้ ไปอวด ไปข่ม ผู้อื่น

    เพราะการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าผู้ใด ไม่ผ่าน

    การสะสมกำลังสติ การสะสมกำลังสมาธิ ให้เต็มเปี่ยม
    การฝึกสติ การฝึกมหาสติ ให้มีสติ รู้ตัว จนถึงระดับ การรู้ตัวทุกอิริยาบถ
    การฝึกการพิจารณาธรรม ให้เข้าใจเหตุ ให้เข้าใจผล สะสมไปๆ

    ต่อให้ท่าน เขียนธรรมใดๆ ออกมา ก็จะมองเห็นได้ว่า

    "กูเก่ง กูแน่ กว่ามึงโว้ย"

    จะอวดกันไปทำไม จะอ้างกันไปทำไม

    สู้มาบอก สู้มาเล่า เพื่อเป็นแนวทาง ให้ผู้อื่น รู้แนวทาง เห็นแนวทาง
    จะได้ปฏิบัติตามไป จะได้รู้ธรรม จะได้เห็นธรรม ได้เร็วขึ้น ไม่ดีกว่าหรือ

    เพราะผู้ปฏิบัติจริง เขาย่อมรู้ธรรม เขาย่อมเห็นธรรม ได้ละเอียด ได้ละออ
    สามารถบอกเล่ารายละเอียดได้ทุกขั้นตอน

    อย่างน้อยก็ในแนวทางที่เขาได้ปฏิบัติมาจริงๆ

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา

     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ได้ถามครูบาอาจารย์ มาหรือยังครับ?
     
  12. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ใครเป็นผู้ออกแบบประเทศไทย


    ขออนุญาตครับ

    เนื่องจากผมเป็นผู้ฝึกทางด้านปัญญา โดยไม่รู้ตัวมาตั้งแต่เด็ก
    โดยการเห็นอะไรก็เก็บเอามาคิด เอามาพิจารณา จนเป็นปรกติวิสัย

    พอมาเริ่มฝึกสมาธิอย่างจริงจัง จึงทำให้สามารถมองโลกในแง่มุมที่ผู้อื่นมองไม่เห็นได้

    เห็นนักเศรษฐศาตร์ นักต่อสู้ นักการเมือง แสดงความคิดเห็นให้เกลื่อนไปหมด
    ผมกลับมองเห็นในอีกแง่มุมหนึ่ง

    ใครเป็นผู้ออกแบบประเทศไทย ทำไมท่านผู้นี้ถึงได้เก่งกาจนักหนา

    ท่านผู้นี้ถึงกับใช้หลัก เทพศาสตร์ คือ คิดแบบเทพ โดยไม่ได้อ้างอิง
    กฏเกณฑ์ กฏหมาย มาตราใดๆเลย

    ผมถามผู้มีความรู้ หลายๆท่าน ที่ต้องเดินทางไปในหลายๆประเทศบ่อยๆว่า

    "ถ้าคุณดูศักยภาพของประเทศไทย โดยให้ดูที่"

    "ทรัพยากร ความสามารถในการผลิตอาหาร ความเป็นอยู่ของผู้คน"
    "มองรอบๆตัวคุณ ในทุกทีึ่ ในทุกสถาน แม้แต่ข่าวในจอทีวี"

    "แล้วบอกผมซิว่า บ้านนี้เมืองนี้ ค่าแรงขั้นต่ำควรจะเป็นเท่าไร?"

    แน่นอน ไม่มีใครกล้าตอบปัญหานี้ ด้วยความตกใจในตัวเลข ที่คิดออกมาได้

    ประเทศไทย อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ แม้แต่ ยูเนสโก้ ก็บอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร

    แต่ผมจะบอกให้ เพราะว่า ผู้ออกแบบ ประเทศไทย

    ท่านใช้หลัก "เทพศาสตร์" ออกแบบประเทศไทย

    หลักเทพศาสตร์ คือ อะไรหรือ?

    หลักเทพศาสตร์ข้อที่๑ "คนชั่วไม่มี ทุกคนเท่าเทียมกันหมด"


    ครูบาอาจารย์สายเทพของผม ท่านสอนผู้คนว่า

    "องคุลีมาล ฆ่าคนตายไป ๙๙๙ คน แล้วตัดเอานิ้วมือคนละ ๑ นิ้วมาห้อยคอเอาไว้"
    "แต่ละวันก็นั่งนับว่า นิ้วที่ห้อยคอว่ามีกี่นิ้ว เราฆ่าคนตายไปแล้วเท่าไร เราต้องฆ่าต่อไปอีกกี่คน"

    "พระพุทธองค์ ยังรับท่านเป็นพุทธบุตร รับท่านมาออกบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา"

    "คนที่เคยฆ่าคนตายตั้ง ๙๙๙ คน พระพุทธองค์ยังไม่เรียกว่าเป็นคนชั่ว"

    "พระองค์ยังให้อภัย พระองค์ยังรับเป็นพุทธบุตร"

    "แล้วคนอื่นๆรอบๆตัวเรา แล้วคนอื่นๆที่อยู่ในคุกในตะราง จะเรียกว่าเป็นคนชั่วได้อย่างไร?"

    "หรือมีใครเคยฆ่าคนมากกว่า องคุลีมาล หรือ ?"

    หลักเทพศาสตร์ข้อที่ ๒ คือ หมากทุกตัวในกระดานเป็นของเราทั้งหมด

    ยุทธศาตร์อันสูงสุดนี้ ยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ เพราะคนส่วนมากมักจะคุ้นเคยกับว่า

    คุณเดินหมากขาว ผมเดินหมากดำ มีคนแพ้ มีคนชนะ กติกาสากลก็เป็นแบบนี้

    แต่กลับมีผู้คิดค้น หมากทั้งกระดานเป็นของเราทั้งหมด ทั้งๆที่ผู้ที่เดินหมากฝ่ายตรงกันข้าม กำลังเข้าใจว่า เขากำลังเดินหมากของเขา

    ผู้ที่เก่งกล้าสามารถ จนคิดยุทธศาตร์นี้ออกมาได้ จะมีวันพ่ายแพ้ได้อย่างไร

    ที่น่าเห็นใจ ที่น่าเสียดาย กลับเป็นคนกลุ่มหนึ่ง ที่เป็นหมากดำในสายตาของคนทั่วไป
    ทั้งๆที่ท่านก็เป็นหมากขาว(เพราะมีผู้ที่เดินหมากขาว สามารถเดินหมากดำได้ด้วย) แต่คนทั่วไปกลับมองว่าท่านเป็นหมากดำ

    หลักเทพศาสตร์ข้อที่ ๓ คือ ทำให้เงินลงไปใต้ดิน แล้วกระจายไปให้ทั่วถึงทุกชนชั้น

    ครูบาอาจารย์สายเทพของผมท่านสอนว่า

    "ใครๆก็มอง คนที่เป็นโจรนั้น ชั่วช้า เที่ยวไปปล้น ไปชิงเอาของๆเขา"
    "แต่ความจริงเขาไม่ได้ชั่วช้าอะไรเลย เพราะเมื่อโจรนั้นไปปล้นชิงเอามาได้"
    "เขาก็นำทรัพย์สินเหล่านั้น ไปช่วยเหลือเจือจุน พ่อ แม่ พี่ น้อง บุตร ภรรยา สามี ทำให้ทรัพย์เหล่านั้น กลับมาหมุนเวียนในตลาดดังเดิม"
    "แล้วจะไปเรียกว่าเขาชั่วได้อย่างไร"
    "ถ้าเขาปล้นเงินทองแล้วเอามาเผา เอามาทำลายทิ้งจนสิ้นซาก แล้วค่อยเรียกเขาว่า ชั่วช้า"

    ด้วยเหตุนี้ ก็เลยเกิดการ ปล่อยเงินลงใต้ดิน แล้วค่อยปล่อยให้หมุนเวียนในตลาด ผ่านหลายๆรูปแบบ เช่น

    การฉ้อราษฐ์บังหลวง การฉ้อโกงในรูปแบบต่างๆ
    หวย บ่อน ซ่อง อาบอบนวด ยาเสพติด ค่านายหน้า สารพัดรูปแบบ
    การให้คนจนมีสิทธิ์ ทำมาหากินปลุกพืช ปลุกผัก ในเขตที่เป็นของรัฐรูปแบบต่างๆ ........

    คอยปรับคอยปรุง ให้ออกมาให้สมดุลย์อยู่เสมอ พลิกแพลงเปลี่ยนได้ไม่มีที่สิ้นสุด

    จึงได้ออกมาเป็นประเทศไทย
    ประเทศที่ อุดมสมบูรณ์มากที่สุดในโลก
    ประเทศที่ สบายอก สบายใจมากที่สุดในโลก
    ประเทศที่ มีอาหารการกินเหลือเฟือ
    ประเทศที ใครได้มาแล้วก็อยากมาอีก
    ประเทศที่ ใครก็เข้ามาอยู่ในประเทศนี้ได้

    บางท่านบอกมาว่า
    "ช่วงนี้ประเทศข้าวยากหมากแพง คนหาเงินยาก"

    ผมก็ถามกลับไปว่า
    "ให้ดูแต่ละครอบครัวในปัจจุบัน ว่ามีทรัพย์สินอยู่เท่าไร"
    "แต่ละครอบครัวใช้จ่ายเงินอย่างไร"
    "เงินเหล่านั้น มาอย่างไร มาจากไหน"
    "แต่ละครอบครัว จะอด จะออมเงินได้อย่างไร"
    "ตราบใดที่ค่าเช่าที่ดิน บ้านเรายังถูกอยู่อย่างนี้ คนขยันทำอะไรก็รวย"
    "ตอนผมอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ตารางเมตรเดียวเขาก็ทำนากันแล้ว"

    เขียนมาถึงตอนนี้ ผมจึงได้สบายใจว่า

    ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหน ประเทศไทย อยู่รอดปลอดภัยเสมอ

    น่าเห็นใจก็ท่านผู้เสียสละทั้งหลาย ที่ยอมเสียสละ เป็นหมากดำ ให้เขาเดิน

    ยอมให้ผู้ไม่เข้าใจก่นด่า ยอมเสียทั้งชื่อเสียง ทั้งวงศ์ตระกูล

    เพียงเพื่อ ให้ประเทศอยู่รอดปลอดภัย พลิกแพลงไปในทุกสถานการณ์

    ขอเชิดชูคณะทำงานผู้เสียสละ

    ยอมทำงานที่คนทั่วไปไม่เข้าใจ
    ท่านเหล่านั้นยอมมอบกายถวายชีวิต ยอมทำงานปิดทองหลังพระ
    ยอมเป็นฟันเฟืองเล็กๆเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปในทิศทาง และ ความเร็วที่เหมาะสม
    ท่านเหล่านั้นยอมทำงานเงียบๆ โดยไม่ได้รับเกรียติคุณใดๆเลย
    ทั้งๆที่ท่านเหล่านั้น ต่างก็มีสติปัญญาระดับสูงทั้งสิ้น

    สรุปคือ

    "ทำให้คนทั้งแผ่นดิน กินอิ่มนอนหลับ"
    "ทำให้คนหาเงินได้ ตามความขยันของตน โดยค่าแรงงานมาตรฐาน ไม่สูงมากนัก"
    "ไม่ว่าเงินจะใหลไปมาอย่างไร มันก็ยังคงหมุนเวียนอยู่ในตลาดนั่นเอง"


    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2013
  13. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320

    แน่ใจเหรอครับ ว่าครูบาอาจารย์สายเทพ? ส่งเสริมให้คนผิดศีล 5 บอกว่าการผิดศีล 5 นี้ดีทำให้ประเทศไทยเจริญ?

    คุณวิปลาสไปแล้วเหรอครับ?
     
  14. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ตามปกติสิ่งที่ยิ่งใหญ่ วิจิตรพิสดารมักก่อเกิดในช่วง
    ที่บ้านเมืองสงบ สันติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง
    ราบรื่น คล่องตัวดี

    จึงจะเอื้อต่อการสร้างสิ่งมหัศจรรย์ของโลก แต่สถานการณ์
    ปัจจุบันมันเป็นสถานการณ์วิกฤติทั้งโลก(แม้จักรวาลก็มีปัญหา
    เกี่ยวกับดาวหางจะเข้ามาแซกแซงโลก แต่เว้นไว้ไม่กล่าว)

    แต่กำลังมีการสร้างและกำลังจะสร้าง สิ่งมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้น
    ในประเทศ นั่นหมายความว่าอย่างไร???

    เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่นั้นอาจเกิดขึ้นเพื่อรองรับอนาคต
    เพื่อคนในอนาคต อาจถูกกำหนดให้เกิดขึ้นจากความหลงผิดครั้ง
    ยิ่งใหญ่ของโลกหรือของประเทศ โดยที่ผู้หลงผิดเหล่านั้นถูกบัญชา
    ให้ทุ่มเท ทำในสิ่งที่จะเกิดประโยชน์ในอนาคต (คนยุคถัดๆ ไป)

    หากเป็นเช่นนั้น ก็ชอบแล้วที่คนเหล่านั้นก็จะเดินหน้าลุย สุดชีวิต
    เพราะแรงหนุนของแบ็คที่มอง ไม่เห็นหนุนหลังอยู่
    แม้จะเหนื่อยแสนสาหัสก็ถูกกล่อมไปว่าเป็นการ
    "การเสียสละที่ยิ่งใหญ่"ของสิ่งที่มองไม่เห็นเช่นกัน

    ยก"สุวรรณภูมิเเอร์พอร์ท"เป็นตัวอย่าง
    หากไม่มีกลุ่มที่มองเห็น"เงินทอน"ก้อนมหึมาจากการสร้าง
    แแอร์พอร์ท แล้วจะมีแรงจูงใจอะไร ให้พวกเขามาเสี่ยง

    กับการเสียชื่อเสียง
    และอาญาสังคมต่างๆ แต่ที่พวกเขายอมสละทุกอย่างก็
    เพื่อส่วนต่างที่ได้รับมันคุ้มสำหรับพวกเขา ณ เวลาขณะนั้น
    แต่ประโยชน์ที่แท้จริงมันเกิดขึ้นสำหรับมหาชนรุ่นถัดๆ ไป
    ก็มหาศาลเช่นกัน
    แม้ไม่ได้มาตรฐานเต็มร้อยก็ซ่อมไปใช้ไป ดีกว่าไม่มีไม่เกิดขึ้น

    พิจารณาตรงนี้แล้วจะเห็นว่าไม่ควรไปกังวลให้จิตตก
    สิ่งใหญ่สิ่งมหัศจรรย์เกิดจากกลุ่มคนที่ทุ่มเทโดยมีแรง
    อะไรก็ตามมากระตุ้น ให้มีการขับเคลื่อน สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
    ถ้าเป็นประโยชน์สำหรับมหาชน จะต่อต้านคัดค้านเพื่ออะไร???

    หากเราไม่เข้าไปเป็นไม่ค้ำยัน เราก็น่าวางเฉยและอนุโมทนา
    เพื่อให้สิ่งมหัศจรรย์ลุล่วงไปแต่โดยดี มีสวัสดิภาพ
     
  15. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ข้อเขียนของผม เขียนให้คนมีสติปัญญาอ่านครับ

    ขออนุญาตครับ

    พิจารณาให้ดีนะครับ
    ข้อเขียนของผมส่วนนี้

    ไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง กับพระใหญ่ชัยภูมิ
    ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ ท่าน อ.ทิพากร รินไธสงค์
    อย่าได้ลากโยงไปเกี่ยวกัน ให้เป็นบาปเป็นกรรม

    ผมก็ยังคงเป็นตัวผมเอง
    สิ่งที่ผมรู้ สิ่งที่ผมเห็น ผมก็เขียนในมุมมองของผมเอง

    ผมมองเห็นประเทศไทยเป็นแบบนี้ ผมก็มองในแง่มุมที่มันเป็นอยู่
    ประเทศไทย ก็เป็นแบบที่ประเทศไทยเป็น

    มุมมองที่ผมเขียนเพราะผมรู้ เพราะผมเห็น เพราะผมสัมผัสมา
    ผมจึงเขียนขึ้น ในสิ่งที่มันเป็นของมันอยู่แล้ว

    ผมไม่ได้แต่งเติมแต่อย่างใด
    สิ่งที่ผมเขียน มันมีเหตุ มันมีผลของมันเองอยู่แล้ว
    สิ่งที่ผมเขียน มันก็บอกอย่างชัดเจนเองอยู่แล้ว

    ใครจะรู้ ใครจะเข้าใจ หรือไม่ อย่างไร
    ก็แล้วแต่สติปัญญาของท่านจะพิจารณากันเอาเอง

    การที่ผมมองโลกในแง่ที่มันเป็นของมัน
    การที่ผมมองประเทศไทยในแง่ที่มันเป็นของมัน

    ก็แล้วแต่สติปัญญาของท่านจะพิจารณากันเอาเอง

    สรุปให้ดูอีกทีก็ได้ ยุทธศาสตร์นี้ มีผลให้

    "มีเงินหมุนเวียนมากมายมหาศาล โดยยังสามารถคงค่าแรงขั้นต่ำที่เหมาะสมเอาไว้ได้"

    เหนือชั้นไหมครับ มีประเทศไหนในโลก ที่มีเงินหมุนเวียนมากมายมหาศาล
    แต่สามารถปรับสมดุลเอาไว้เหมือนประเทศไทยได้บ้าง

    เสียดายที่ผมไม่สามารถบอกได้มากกว่านี้ ว่าสัดส่วนของเงินนั้นไปอยู่ที่ไหนกันบ้าง

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
  16. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    เมื่อครั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ ท่านได้เดินผ่านสวนแห่งหนึ่งแล้วได้ยินเสียงสามเณรกำลังเทศนาอบรมสั่งสอนชาวบ้านอยู่ พระองค์ได้ประทับและนั่งฟังพร้อมยกมือพนมฟังธรรมจากเณรน้อยจนเสร็จแล้วได้อนุโมทนา พระอานนท์ได้ผ่านมาเห็นเ้ข้าจึงได้กล่าวว่าเหตุไรพระองค์จึงต้องมานั่งตรงนี้แล้วพนมมือไหว้เณรตัวน้อย ๆ พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อานนท์เราหาได้ไหว้เณรน้อยองค์นั้นไม่ หากแต่เราพนมมือไหว้พระธรรมอันเณรน้อยนั้นได้แสดงอยู่ เพราะพระธรรมยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดทั้งปวง ..... (เ่ท่าที่จำได้ครับ) เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าไม่ว่าใครก็ก็ตามที่แสดงธรรมแม้แต่องค์พระพุทธเจ้าก็ยังทรงหยุดประทับฟังด้วยความน้อมน้อมเคารพ ธรรมของท่านที่แสดงมานั้น เราขอแสดงเคารพด้วยเศียรเกล้า ด้วยกาย วาจา ใจ อันสูงสุดหาประมาณมิได้ ด้วยผลานิสงค์นี้ขอให้ท่านมีดวงตาเห็นธรรม กิเลสมีทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ท่านโดนตัวใดพลางตาอยู่ครับ ขออนุโมทนา
     
  17. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ลุงมหาจะเห็นชอบและชื่อนชมกับการหมุนเวียนเงิน
    โดยฝีมือของท่านไหนก็ไม่ทราบได้เช่นกัน

    แต่เงินที่ที่นำมาหมุนเวียนนั้น อย่าอ้างสิทธิ์
    ว่าประชาชนไทย ว่าอนุมัติให้เอา
    ประเทศ และทรัพยากรในประเทศมาการันตี

    แล้วให้ประชาชนแบกหนี้ เพื่อให้ได้เงินกู้มาหมุนเวียน
    ใต้ดินบนดิน ท่านผู้ที่ทำหน้าที่ปล่อยเงินเข้าตลาด
    เป็นเจ้าของตลาดเงินด้วยหรือเปล่า

    ดูเหมือนท่านไม่รู้จักหลักธรรมาภิบาลนะ
    ลุงมหาชอบหลักการบริหาร การปกครองแนวนี้
    หรือ?? ถึงแสดงตัวเป็นไม้ค้ำยันให้กับระบบนี้
    ทั้งที่มันเป็นนโยบายที่โฉเก เอามาสอนลูกหลาน
    ลูกหลาน ก็ไม่สามารถเดินร่วมทางกับคนดีได้

    เอาล่ะ ถือว่าเป็นการตัดทางสายใหม่ ต้องใช้
    คนงานและแรงงานหลายระดับ จะเกี่ยงงอน
    อยู่ก็ไม่ได้เส้นทางที่ลาดยางตีเส้นในอนาคต
    เพื่อประประโยชน์กับมหาชนในอนาคต
    จะกินหัวคิวค่าแรงจากคนงาน กันบ้างก็หยวนหยวน
    กันไป ขอให้ได้เส้นทางใหม่

    แต่คนยุคอนาคต จะมองย้อนกลับมามอง
    เห็นคุณค่าของคนทำทาง
    (ความจริงไม่มีใครมองประวัติศาสตร์กันแล้ว
    เพราะประวัติศาสตร์มันอัปยศ)

    เช่นเดียวกับที่
    เรามองทางรถไฟสายแม่น้ำแคว ที่เกิดขึ้น
    มาจากแรงงานเชลยสงคราม ถูกใช้เยี่ยงทาส
    สร้างที่เป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวในยุคต่อมา

    โดยไม่ได้ถูกกล่าวถึงในฐานะผู้สมควรได้รับการยก
    ย่อง เท่าที่ควร!!!
     
  18. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ท่านไม่ได้ยกมืออนุโมทนา
    ให้กับธรรมพิสดารของลุงมหานะคับ
    วันนี้แสดงธรรมแปลกประหลาดมาก

    เมื่อก่อนวิจิตรกว่านี้มาก ยกมือไหว้ได้เลย
    แต่ตอนนี้"เปี๊ยนไป่"เยอะแยะตาแป๊ะไก๋
     
  19. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่ทำบาปทั้งปวง
    กุสะลัสสูปะสัมปะทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม
    สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ
    เอตัง พุทธานะสาสะนัง ธรรม ๓ อย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    ลุงมหา จะรู้เท่าทัน หรือไม่รู้เท่าทันก็ตาม หยุดการกระทำที่จะบ่อนทำลายศาสนาพุทธเถอะ
     
  20. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    เมื่อไรจะรู้จักพิจารณาเสียที

    ขออนุญาตครับ

    ผมไม่ได้ส่งเสริมอบายมุข หรือ การคอรัปชั่นใดๆนะครับ

    ขอให้พิจารณาข้อเขียนของผมให้ดี
    ขอให้ใช้สติปัญญาของท่าน พิจารณาให้เต็มที่ ลองดูๆ

    ผมชื่นชม กลุ่มคนผู้ทำการออกแบบประเทศไทย
    ที่ท่านสามารถมองทะลุถึงแก่นแท้ ของสิ่งทีมีอยู่แต่เดิม
    แล้วท่านสามารถ

    "คอยปรับคอยปรุง ให้ออกมาให้สมดุลย์อยู่เสมอ
    พลิกแพลงเปลี่ยนได้ไม่มีที่สิ้นสุด"


    เคยคิดกันบ้างไหมว่า ถ้าเงินขึ้นมาอยู่บนดินทั้งหมดเมื่อไร

    บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร
    ค่าแรงขั้นต่ำจะเป็นเท่าไร
    ข้าวของจะซื้อขายกันราคาไหน
    ราคาที่ดิน ทั่วประเทศจะขึ้นไปเป็นเท่าไร
    คนจนที่ที่ดินหลุดมือไปแล้ว จะมีปัญญาที่ไหนไปซื้อคืนกลับมาอีก
    คนแก่ คนป่วยที่ทำงานไม่ได้ หาเงินไม่ได้ มิพากันอดตายหมดหรือ

    ใช้สติพิจารณาให้เต็มที่

    ผมเพียงแต่นำข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันมาให้ดู มาให้พิจารณาเท่านั้น

    ผมไม่ได้มีส่วนในการชักชวนให้ใครไปทำอะไร ที่ไหน อย่างไร

    เพราะสิ่งที่มันเกิด สิ่งที่มันเป็นของมันในปัจจุบัน มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น

    เข้าใจคำว่า ปัจจุบัน ไหม ถ้าเงิน 2.2 ล้านๆออกมาได้จริง ในอนาคต

    ผมก็จะตามดูว่าจะมีผลออกมาอย่างไรบ้าง ผมก็จะตามดูว่า

    "คอยปรับคอยปรุง ให้ออกมาให้สมดุลย์อยู่เสมอ
    พลิกแพลงเปลี่ยนได้ไม่มีที่สิ้นสุด"


    จะเกิดอะไรขึ้นบ้างในอนาคต

    ผมเพียงแต่ชี้ให้ดู ผมเพียงแต่ชี้ให้เห็นเท่านั้น

    ผมก็จะรอดูว่า ท่านที่เข้ามาอ่าน มีใครพอจะเข้าใจบ้าง

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา

     

แชร์หน้านี้

Loading...