การปฏิบัติสมาธิเพื่อสุขภาพกายและจิตให้เหนือธรรมดาตามในทางพุทธศาสนา

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย visnu, 4 ตุลาคม 2010.

  1. หนูซ่า

    หนูซ่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    436
    ค่าพลัง:
    +1,213
    ส่งการบ้านค่ะ (23 ธ.ค.)

    บทที่ 3

    สมาธินิ่ง หายใจเบา ละเอียด มีอาการตึง ซ่าๆ ที่หน้าผากจนถึงกลางหัว
    (ซึ่งอาการนี้เป็นได้ 2-3 วันแล้วค่ะ) พิจารณาพรหมวิหาร 4 แล้วปัจจเวกณ์
    ขอคำแนะนำจากอาจารย์ด้วยค่ะ

    วันนี้ นั่งได้ 2 ชั่วโมง 15 นาทีค่ะ
    อ้อ ! ถ้าเทียนดับแล้ว ยังนั่งสมาธิต่อแบบมืดๆได้รึเปล่าคะ
     
  2. visnu

    visnu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +23,778

    นั่งไปเลื่อยๆ นั่งไม่ได้ก็สวดมนต์ครับ เดี๋ยวก็ดีเหตุผลเดี๋ยวเล่าให้ฟัง
     
  3. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    ของดการบ้าน 3-4 วันนะคะ อ่านอย่างเดียว
     
  4. ตัวกลมๆ

    ตัวกลมๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +5,941
    พี่พลังไฟได้รับดอกไม้สวรรค์แล้ว ยินดีด้วยค่ะ

    เหะๆ นึกว่ารู้สึกไปเองว่าจากวันหยุดที่ผ่านมา
    ความเพียร ความกระตือรือร้นหาย แถมมีอะไรต้องให้ทำ ขาดการนั่ง
    พอคิดได้ว่าไม่ดี เลยอาศัยเวลาเดิน ยืน นั่งทำงาน หายใจยาวๆเอาละเอียดแทนไปก่อน

    ดีนะที่พี่พลังไฟเล่าเรื่องมา เป็นการกระตุ้นต่อมขยันเจ้ากลม
    เพราะที่ตัวเองทำมานั้นไม่ได้สัก 1เปอร์เซ็นต์ของพี่พลังไฟกับอาจารย์บาสเล้ย
     
  5. พลังไฟ

    พลังไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +845
    เป็นอย่างที่อาจารย์บาส บอกจริงๆ
    เขาให้ทานข้าวในที่เดิม นั้งสมาธิในเบาะ ที่เขาจัดให้
    ห้าม เปลี่ยนที่ จนถึงวันสุดท้าย
    แต่สถานที่นี้ มีการนั้งปฎิบัติกันเกือบทั้งปี
    อย่างที่อาจารย์บาสบอก ผมเคยฝึกมาในสิ่งที่
    คล้ายๆ กับที่ท่านโกเอ็นก้าสอน มาในเรื่อง
    การฝึกกาย มันย่อมง่ายในความต่อเนื่อง

    แต่ก็ตั้งใจไว้ว่า จะพยายามปฎิบัติ สิ่งที่ท่านสอนอย่างเคร่งครัด
    ไม่เอาวิชาอื่นมาเสริม ในระหว่างฝึก
    ที่นี้เขาห้ามสวดมนต์ นับลูกประคำ ห้ามมีคำบริกรรมใดๆที้งสิ้น

    วันที่สาม ก็ไปนั้งในห้องกรรมฐานรวมเหมือนเดิม ตอนตีห้า
    ดูลมหายใจสักเมื่อได้ที่ ก็ลองถามว่าสถานที่นี้ มีใครมาปฎิบัติบ้าง
    สักพักก็มีเหมือน ร่มที่คล้ายตัวแมงกระพรุน สีส้มสวยงามมาก
    ลงมาคลุม บริเวณที่เรานั่งเป็นแบบชั้นที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม
    จนดูเหมือนมองเห็นไม่ชัดเจน แต่ก็รู้ว่าใครเป็นใคร
    เหมือนมีเจตนา ให้เราเห็นแค่ เท่านั้น
    เห็นผู้เคนมากมายที่ไม่ไช่พวกเรานั้งซ้อนอยู่เต็มไปหมด
    แต่งชุดขาว อย่างเรียบร้อย ผิดกับพวกเราที่แต่งกายหลากสี
    เพราะที่นี้ ไม่เน้นเรื่องเสื้อผ้า ห้ามนุ่งสั้น รัดรูป หรือเสื้อแขนกุดเท่านั้น

    อยู่ๆ ก็ไม่รู้มีสาวนางหนึ่งมาจากไหน มานั่งอยู่ ตรงหน้าเรา
    เป็นสาวที่จัดว่าสวยมาก ไม่แต่งหน้าเลย กล้าวผมเป็นมวยไปอยู่ด้านหลังศรีษะ
    ต่างคนต่างมองหน้ากัน พิจารณากัน ดูแล้วไม่เหมือนคนในสมัยนี้เลย


    สง่างามมาก แล้วเรา ก็บอกว่าไปเถอะ ภาพก็หายไป
    เออน่าจะถามนะเรื่องราวนะ
    อยากถามอาจารย์บาสเหมือนกันว่า มันเป็นกฎกติกา
    หรือผมเป็นเอง ถ้าไม่ถามก็ไม่มีคำตอบ
    ได้สติก็กลับมาอานาปาใหม่ กลัวผิดกติกา

    ตอนช่วงประมาณหกโมงเย็น ท่านเริ่มสอนให้ทำความรู้สึกไปอยู่ที่
    ปลายจมูก เพื่อจะดู ความรู้สึกที่เกิดที่บริเวณนั้น เช่น อาการคัน สั่น ร้อน เย็น
    เสียว อะไรก็ได้ ที่เป็นความรู้สึก แต่สิ่งที่ผู้สอน ต้องการให้ทุกคนได้
    ก็คือ อาการสั่นสะเทื่อนไปทั่งร่าง หรือที่ชี่อเรียกว่า ไวเบรชั่น
    เป็นชั้นที่ละเอียดของการฝึกกาย ที่จะก้าวไปสู่การฝึก
    อุเบกขาในชั้นที่ละเอียด ยิ่งขึ้นไป
    พอกลับมาถึงที่พัก พอเริ่มจะนอน ก็ลองทำความรู้สึกไปสามเหลี่ยม
    บริเวณริมฝีปาก ก็เกิด อาการเต้น เหมือนสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณนั้น
    แล้วก็มันก็ริ่ม แผ่มาบริเวณฟัน ฟันเหมือนเวลาเราหนาวมาก แล้วฟันมันกระทบกัน
    ควบคุมไม่ได้ เริ่มแผ่ ไปเรื่อยๆ จนเหมือนสั่นสะท้านไปทั่งร่าง
    พอหลับตาเท่านั่นเอง มองไม่เห็นตัวเราแล้ว ที่เป็นกายเนื้อ
    แต่สิ่งที่เห็นคือ การกระพริบของดวงไฟเล็กมาก มากมายมหาศาล
    ทุกดวงไฟเล็ก มีเส้นสายเหมือนสายไฟ เชื่อมต่อกันตลอด
    ใครที่เห็นวิชาฝังเข็ม เขาจะมีจุดแทงเข็ม หรือจุดลมปราณ
    ระโยงระยางไปทั่วร่างกาย ในวิชาฝังเข็ม นั่นมีเพียงแค่ สิบสองเส้น
    แต่ที่ผมเห็น แค่ที่บริเวณหัวเข่าลงไปที่ขา ก็น่าจะเกิน ห้าสิบเส้นแล้ว
    บริเวณที่ฝ่าเท้า ก็จะมีดวงไฟแบบนี้มากมาย
    มันมีความรู้สึกเย็น ซ่าๆ สบายมากๆ ไปทั่วร่างกาย
    มันช่างเป็นอะไรที่ น่าอัศจรรย์ ที่มีความรู้สึกทางกายก็มี ให้ปรากฎ
    แถมมีนิมิตประกอบ ว่าของจริงที่เรารู้สึกนั้น มันเป็นอย่างไร
    ที่เข้าเรียกว่า กาลปะ มันเป็นอย่างไร
    ในความหมายของเรื่องนี้ก็คือ
    เมื่อคนเรามาศึกษาธรรมะ สิ่งที่ ต้องรู้ก็คือ รูปและนาม
    กายก็เป็นส่วนหนึ่งของรูป อารมณ์ทั้งหลายก็เป็น นามทั้งหมด
    ที่เราฝึก อุเบกขาทั้งหมด ก็เพื่อลด อารมณ์ทั้งปวงที่เกิดขึ้น
    ก็ด้วย การ ตู รู้ ละวาง
    ที่สุด ของรูปนาม ก็เป็นเพียง ธาตุ สี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
    ที่สุด ที่เล็กลงไปอีก ก็คือ สภาพของอะตอม นิวเครียส
    ที่สึดที่เล็กลงไปอีก พระพุทธเจ้า เรียกมัน ว่า กาลปะ

    นักวิทยาศาสตร์ ได้ส่องกล้องลงไป ในชิ้นเนื้อ เศษเล็ก เท่าเข็มหมุด
    ขยายเข้าไปเรื่อยๆ โดยไม่มีประมาณ ที่สุดในชั้นที่ละเอียดที่สุด
    ก็เป็น แค่ สีเจ็ดสี หรือแสง เท่านั้นที่ติดต่อกัน
    ไม่มีส่วนไหน ที่ เป็นตัวกูของกู
    เป็นกายเรา เป็นแค่สภาพไวเบรซั่น หรือการสภาพการสั่นสะเทื่อน หากันเท่านั้น
    เป็นสิ่งที่ผู้สอน ต้องการให้มีผู้ฝึกได้สัมผัสได้
    มันจะเป็นการเดินสู่ การทำอุเบกขาที่ยิ่งๆ ขึ้นต่อไป
     
  6. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    ขออนุโมทนา กับ พี่หมู อีกครั้งค่ะ เป็นประสบการณ์่ีที่ดีมาก อยากมีบ้างจัง... แต่ประเมินตัวเองแล้วก็ เฮ้อ...เรามีความเพียรไม่ถึงขั้นนั้นเล้ยยยยยย (นั่งสมาธิ 12 ชม.ต่อวัน) เตาะแตะต้วมเตี้ยม ไปตามประสาเต่าแล้วกัน...
     
  7. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    เสียดายเอย เสียดาย หนึ่งในจังหวะและโอกาสทองที่ผ่านพ้น

    ผู้นั่งสมาธิถึงจุดหนึ่ง ผู้นั่งจะรู้สึกคำภาวนาก็หาย ความรู้สึกที่ประคองไว้ก็หาย
    มารู้ตัวอีกที อ้าวหลับหรือเปล่าหว่า
    ตอนที่รู้สึกตัว ว่าสติสัมปชัญญะหายไปนะ คือตอนที่มีสติคืน
    นั่นคือมันหายไปพักหนึ่งแล้ว ที่รู้นะมันรู้สิ่งที่เกิดขึ้นและผ่านไปแล้ว

    การฝึกสมาธิก็เพื่อเฝ้ารู้ปัจจุบันขณะ คือรู้ตัวขณะที่สติมันกำลังหาย
    ความลับขอมันอยู่ที่ ช่วงต่อ ของสติสัมปชัญญะในช่วงรอยต่อ ระหว่างความหลับและตื่น(ขอใช้คำนี้นะ)
    ผู้เข้าใจในความลับนี้ เขาจะประคองจิต ให้อยู่กึ่งกลางระหวางความหลับและตื่น

    มีผู้นั่งสมาธิ ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอน นั่งมัน 7 วัน 7 คืน เขาใช้ช่วงสั้นๆในความหลับและตื่นนี้ในการพักผ่อนหลับนอน
    เพียงช่วงสั้นๆก็เพียงพอเแล้ว

    ที่ว่าน่าเสียดายก็คือ
    ผู้ที่เข้าคอสส์ฝึกสมาธิ และมีพื้นฐานดี พวกนี้จะมีนิมิตรมากมายมาให้ดูมาให้เล่น
    นิมิตรเหล่านี้ล้วนเป็นปริศนาธรรม ให้ผู้ฝึกตีความเพื่อลดละกิเลสในตนทั้งสิ้น

    ภาพที่ปรากฏ จะนำมาซึ่งความรู้สึกต่างๆ ทำให้เกิดอารมณ์ร่วมลึกๆในเหตุการณ์นั้นๆ
    อารมณ์ร่วมนั้นๆ มันแสดงระดับจิตในตัวเราผู้ดู
    อารมณ์ร่วมนั้นๆเกิดจาก ขันฑ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน ทั้งสิ้น

    รูป คือภาพ/สิ่งที่มากระทบ

    เวทนา คือความรู้สึกที่ได้เห็นภาพ

    สัญญา คือการนำเอาสิ่งที่จำได้หมายรู้ ในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว เข้าประกอบกับ รูปและเวทนา

    สังขาร คือ สิ่งที่ได้ถูกปรุงแต่งจาก รูป เวทนา และสัญญา เรียบร้อยแล้ว
    ทำให้สังขารธรรมที่เราเสวย แสดงอาการ ดีใจ เสียใจ ปิติ ฯ ในสิ่งที่ได้รับรู้นั้น
    และสังขารที่เกิดขึ้น ก็วนตั้งขึ้นเป็น รูป อีกครั้ง และดำเนินตามขั้นตอนใหม่ในเวทนา และสัญญา และเกิดสังขารตัวใหม่ขึ้น

    วิญญาน คือ มวลความรู้ที่เกิดขึ้น ในขบวนการสร้างขันฑ์ในระดับต่างๆ
    และเมื่อความรู้นั้นเสร็จสมบูรณ์แล้วก็จะถูกเก็บเข้าหน่วนความจำ เป็นสัญญาตัวใหม่

    สิ่งที่พลังไฟเห็นนั้น เป็นนิมิตร ที่จะแสดงธรรมข้อหนึ่ง ให้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของสรรพสิ่ง
    ผู้ดูย่อมเกิดอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งที่รู้ที่เห็นนั้น ดีใจ ปิติ ในความงาม
    และเมื่อสิ่งนันถูกทำลาย อารมณ์ร่วม ก็จะเกิดควมเศร้าสลด หดหู่ เศร้าหมอง

    อารมณ์ร่วมที่เกิด ล้วนมาจากรากเหง้าของกิเลสห้าอย่าง โมหะ โลภะ โทษ ราคะ ริษยาอาฆาตพยาบาทจองเวร ทั้งสิ้น

    ซึ่งกิเลสเหล่านี้ ล้วนมีรากเหง้าจากขบวนการของขันฑ์ห้าทั้งสิ้น

    เพียงเราเข้าใจขบวนการเกิดดับของขันห้า
    เราผู้ผ่านการฝึกอย่าดีแล้ว ย่อมีจิตที่ทรงไว้ซึ่งสติและสัมปชัญญะ เร็ว
    เมื่อรู้เห็นขบวนการการเกิดดับของขันห้าดังกล่าว
    ก็ย่อมใช้จิตที่ผ่านการฝึกดีแล้ว เข้าระงับการ เกิดดับของขันฑ์ห้าได้
    และผู้ที่เข้าใจในขบวนการดี ก็ย่อมสามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลง สัญญาที่เกิดซ้อนทับในขบวนการสุดท้ายได้
    และเราก็จะได้วิญญานธาตุตัวใหม่(ซึ่งไม่เหมือนเดิม)
     
  8. noolegza

    noolegza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,032
    ค่าพลัง:
    +3,844
    ขอบคุญและอนุโมทนา อาสุวิ และพี่หมู มากคับ
    ที่นำเรื่องดีๆมาเล่า และให้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ

    --- ฟังอาหมอเล่า แล้วก็นึกถึงตัวเอง เพราะกำลังหาจุดที่ว่า กึ่งหลับ กึ่งตื่น
    อยู่เหมือนกันคับ แต่จับยากมากๆ ( ถ้าง่ายเขาคงได้กันหมดแล้วเนาะ )
    ผมสงสัยอยู่ว่า การนั่ง ให้นั่งแบบมีสติรู้เต็มตลอดเวลา แล้วปล่อยไปตามธรรมชาติ
    ให้จิตมันไปของมันเอง หรือว่าเริ่มนั่งก็ให้ทำอารมณ์คล้ายๆตอนเราง่วงแล้วจะหลับ + เพิ่มสติไว้จับอารมณ์์์ คับ ( สติในช่วงนี้น่าจะเบาบางคล้ายๆเส้นใยเล็กๆ แทบจะขาด .. )
     
  9. chaivat chinkidjakar

    chaivat chinkidjakar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    1,601
    ค่าพลัง:
    +21,664
    ยินดีในบุญกับคุณพลังไฟด้วยครับ แล้วคุณแม่หายดีหรือยังครับ

    ผู้เข้าใจในความลับนี้ เขาจะประคองจิต ให้อยู่กึ่งกลางระหวางความหลับและตื่น

    ขอขอบพระคุณอาจารย์สุวิด้วยครับ ที่มาแนะนำให้ความรู้กับพวกเราครับ
    มาส่งการบ้านครับ
    สองวันนี้ก็นั่งตามปกติไม่มีอะไรจะรายงานครับ ผมก็ไม่รู้ว่าจะถามยังไง คือตอนนั่งก็ได้แต่นั่งเฉยๆไม่มีความสงสัยอะไร แล้วก็เลยไม่รู้จะเอาอะไรมาถามครับ
    ขอบพระคุณอาจารย์ บาสครับ
     
  10. Mhor Maow

    Mhor Maow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +836
    ขออนุโมทนากับพี่พลังไฟ อ.บาส อ.สุวิ ด้วยครับ ที่ได้ขยายรายละเอียดให้ฟัง

    การปฏิบัติของผมก็ไปเรื่อย ๆ ของผมอยู่ครับ ช่วงนี้นิมิตรต่าง ๆ ก็แทรกมาเรื่อย ๆ ส่วนมากจะเป็นหน้าคนโผล่มา และรู้สึกเหมือนจะมี จอ LCD โผล่มาแว็ปนึงทางมุมซ้ายบนบ้างและขวาบนบ้าง และ้ก็หายไป.. แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไร

    ก็ยังเน้นจับอารมณ์ตอนเปลี่ยนภาวนาเหมือนเดิม บทที่ 1 กับ 2 ก็ทำสลับกัน

    ก็มีแค่นี้อะครับ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมพัฒนาขึ้นกว่าเดิมหรือป่าว
     
  11. หนูซ่า

    หนูซ่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    436
    ค่าพลัง:
    +1,213
    ส่งการบ้านค่ะ(วันที่ 24 )

    บทที่ 3
    ลมหายใจยาว เบา นั่งไปได้ส้กพักใหญ่ๆเริ่มจับลมหายใจไม่ได้
    เหมือนกับไม่ได้หายใจ แต่ก็โล่งๆ เบาๆ แล้วก็คลายสลับกันไป
    ได้เวลาพอสมควรก็พิจารณาพรหมวิหาร 4 และปัจจเวกณ์

    วันนี้ นั่งได้ 1 ชั่วโมง 50 นาทีค่ะ
     
  12. black_star

    black_star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +384
    ส่งการบ้านเมื่อวานค่ะ
    พอดีน้องรูมเมทชวนไปนั่งสมาธิที่วัดปทุมวนาราม เลยได้นมัสการพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหัตธาตุด้วย และก็เดินเวียน 3 รอบจึงค่อยไปนั่งสมาธิ

    นั่งได้นานกว่าปกติคือได้ซักชั่วโมงเศษๆ ไม่มีอะไรพิเศษค่ะ
    ขอบพระคุณค่ะ

    วันนี้ไปบูทมาขอบคุณทุกคำแนะนำทั้งจากอาจารย์ทุกท่านและพี่ๆค่ะ
     
  13. noolegza

    noolegza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,032
    ค่าพลัง:
    +3,844
    มาส่งการบ้านคับ
    เมื่อช่วงค่ำได้ลองหาจุดกึ่งกลาง ของ หลับ กับ ตื่น
    รู้สึกว่ามีสติดีกว่าตอนนั่งปกติ ที่ปล่อยไปเรื่อยๆตามธรรมชาติ ที่ให้มันดับไปเอง
    แบบนั้นนี่คอยจะเคลิ้มตามมันไป กลายเป็นไม่รู้เนื้อรู้ตัวเอาซะเลย มารู้ตอนกลับมาแล้ว
    ผมก็สงสัยว่า ละมันจะใช้ประโยชน์ยังไง ในเมื่อเราไม่รู้ตัว..หรือไว้พักผ่อนกันเนาะ
    กับแบบหาจุดกึ่งกลางนี่ แปลกตรงที่มันน่าจะเคลิ้มๆ แต่ไหงกลายเป็นว่า
    มีสติกว่าตอนเราตั้งใจนั่งแบบปกติซะอีก . . .
     
  14. พลังไฟ

    พลังไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +845
    ขอขอบคุณอาจารย์สุวิ มากที่แนะนำ

    ในขบวนการของขันธ์ห้า ที่ได้กล่าวมา
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ที่นี้เขาเน้น เรื่อง เวทนา เป็นสำคัญ
    เพราะว่า ทุกเรื่อง ที่เกิด ไม่ว่า รูป หรือ นาม
    ย่อมมีเวทนา เป็นเหมือนประตูไปสู่ สังขาร
    และ การวางอุเบกขา เป็นที่สุดของการสอนที่นี้

    มันก็ตรงกับ ที่อาจารย์ บาส สอนเหล่าลูกศิษย์
    ที่ รวมลง มาที่ ดู รู้ และ ละวาง
    การ ดู รู้ มันก็เหมือน กับที่อาจารย์แนะนำ
    ก็คือการเกิดของ รูป + สัญญา เป็น เวทนา
    พอใจ ไม่พอใจ เฉยๆ
    โดยมี สังขาร เป็น ตัวสร้าง กรรม ดีและชั่ว

    ส่วนการวาง หรือ อุเบกขา มันก็ขึ้นอยู่ ที่ว่าเรา
    วางในช่วงใหน ของขันธ์ห้า
    ถ้าวางที่ ช่วง รูป หรือ สัญญา วิญญาน ก็สั้นสุด
    ถ้าวางที่ ช่วง เวทนา วิญญาน ก็ยาวหน่อย
    ถ้าวางที่ ช่วง สังขาร วิญญาน ก็ยาวมากขี้นไปอีก

    การ ดู รู้ ละวาง มัน มีนัยยะ ในตัวมันเอง มากมาย
    การวาง ในระดับ ดู รู้ แล้ว วาง
    การวาง ในระดับ ดู แล้ว วาง
    การวาง โดย ไม่รับรู้ กับ การ ดู หรือ รู้

    อุเบกขา หรือ การวาง ที่อาจารย์บาส สอนพวกเรานั้น
    มันมีตั้งแต่ ระดับหยาบไปหาละเอียด ถึงละเอียดอย่างยิ่ง
    การวางได้มากน้อยแค่ใหน ก็ขึ้นอยู่ที่ ระดับของจิตเรา
    เป็นสำคัญ
    เหมือนที่อาจารย์ให้เรามุ่งมั้น อดทน กับการนั่งที่เจ็บปวด ถ้าเราทนไม่ได้
    หรือไม่พยามทน ท้อแท้ มันยิ่งเห็น ความเนิ่นนานในเบื่องหน้า

    ผมขอยกตัวอย่างในสิ่งที่ผมได้ปฎิบัติมา ในวันที่หก
    ความเจ็บปวด ของกระดูกที่เกิดจากการนั่งสะสมทั้งวัน
    มันแสนจะทรมานมาก แต่ถ้าเราผ่านมันได้ มันก็แค่เป็นตัว
    ทดสอบในระดับแรกของความละเอียดของจิตเท่านั้น

    ในขณะที่เราปฎิบัติไป เราก็จะเห็น ความแหลมคมของจิต
    เปรียบเหมือนความคมของ จอบ เสียม สิ่ว และใขควง
    ความแหลมคมของจอบ ก็ไม่สามารถทำในสิ่งที่ละเอียด
    ได้เท่า เสียม เช่น การพรวนดิน
    ความแหลมคมของเสียม ก็ไม่สามารถทำในสิ่งที่ละเอียด
    ได้เท่าสิว เช่น การถากไม้
    ความแหลมคมของ สิ่ว ก็ไม่สามารถทำในสิ่งที่ละเอียด
    ได้เท่า ไขควง เช่น การสกรู ตะปูควงให้แน่น

    จิตของเราก็เป็นเช่นนั้น ละเอียดเท่าไหร ก็วางหรืออุเบกขา
    ได้มากเท่านั้น
    เปรียบในมุมมองของ อุเบกขา
    เราดู ขบวนการกรองน้ำที่เรา เคยเรียนกันมา
    ในชั้น อิฐหัก หินหยาบ กรวดหยาบ ทรายหยาบ ทรายละเอียด
    น้ำกรองที่ผ่านชั้นทรายละเอียด จะใสสะอาดเปรียบได้กับจิตที่ใสสะอาด
    ในระดับอุเบกขาทียอดยิ่ง
    การวางอุเบกขาที่ดูการปวดร้าวของกระดูก และพิจารณา ว่าเป็น อนิจัง ทุกขัง อนัตตา
    มันก็เป็นแค่ ชั้นของอิฐหักเท่านั้น
    ถ้าเราไม่มุ่งมั้น คอยทำตามแต่ ความต้องการของสังขารของเรา
    พอใจก็ทำ ขี้เกียจก็ไม่ทำ
    แล้วเมื่อไหร่ เราจะมีทรายละเอียดเป็นเบื่องหน้า ให้เชยชม

    ผมขอเล่าประสบการในวันที่ห้าต่อ
    วันนั้นเมื่ออาจารย์ให้ทำความรู้สึกเข้าไปในกระดูกสันหลัง
    เมื่อผ่านที่ก้นกบ ผมเห็นงูสองตัวเลื้อยขึ้นเลื้อยลงสลับไปมา
    ผมถึงได้รู้ว่านี้หรือที่คนเข้าอยากได้กันหนักหนา
    กับพลังกุณฑาลิณื
    ผมทำความรู้สึกต่อ ผ่านมาที่เหนือสะดือ ผมก็มองเห็น
    พระทองคำที่กลางกาย แล้วก็พระซ้อนพระเข้าไปเรื่อยๆ
    นี้หรือวิชาธรรมกาย ที่เขาฝึกปรือกัน มันเป็นอย่างนี้เอง

    ผมก็ผ่านดูไปเรื่อยๆ
    จนมาถึงที่หัวใจ ผมถึงได้เห็นอะไรมากมาย

    แต่ขอเล่าสิ่งหนึ่ง ที่เป็นกุญแจสำคัญในการปฎิบัติใน
    เบื่องหน้าของผม ก็คือ ผมเห็นพระพุทธรูป
    นั้งอยู่ใต้ต้นโพธิ โดยไม่มีใบโพธิ สักใบเลย
    ผมถามว่าทำไมไม่มีใบโพธิเลย ภาพต้นโพธิ
    ที่ไม่มีใบ จากต้นเดียว เพิ่มเป็น ร้อยเป็นพันต้น
    เต็มพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล ช่างดูแห้ง
    เสียนี้กระไร มันดูเวิงว้างจริงๆ

    เราก็นั่งพิจารณาไป ว่าภาพนี้ต้องการสื่ออะไรกับเรา
    เรากำลังฝึกการวางอุเบกขา อยู่นี้
    ในแต่ละขั้นมันก็เหมือนเครื่องกรองน้ำ ดังที่ได้กล่าวมา
    แล้วมันเกี่ยวอะไรกับภาพที่เราเห็น
    แล้วทันใดปัญญาก็เกิดว่า
    การวางอุเบกขาของเราที่ทำอยู่ ยังไม่ถึงที่สุด
    บังเกิด นึกถึงต้นโพธิ ในสภาพ ใบที่เขียวขจีเต็มต้น
    เปรียบกับตัวเราที่พยาม วาง อุเบกขา กับผัสสะ
    ทั้งหลายที่มากระทบกับตัวเรา ในแต่ละวัน
    เปรียบได้กับ สภาวะของต้นโพธิ
    ที่มีใบโพธิ เต็มทั้งต้น เป็นผัสสะที่มากระทบตัวเรา
    ดูเหมือนวางจริงแต่ ไม่ไช่
    แต่ถ้าเราจะวางได้จริง มันต้องเป็นสภาวะ ที่เรีบกว่า ใบไม้ร่วง
    ในสภาวะอิฐหัก หินหยาบ มันก็เหมือน กับใบโพธิ
    ที่ยังติด กับต้นโพธิ ยังไม่วางอย่างแท้จริง
    ในระดับทรายละเอียด หรือในระดับอนุสัย ที่นองเนื่อง
    ที่ใบโพธิ เริ่มหลุดร่วง จากต้นโพธิที่ละใบ ที่ละใบ
    จนถึงสภาวะ ไม่เหลือใบโพธิ เหลือ อยู่กับต้นโพธิเลย
    สภาวะที่ยิ่ง ของการวาง หรืออุเบกขา ก็มาถึง
    ทันใดนั้นต้นโพธิ ที่ไร้ใบ ทั้งมวลก็เริ่ม ล้มลง
    สู่พื้นดิน สลายเป็นธาตุสี่ไป
    เป็นสภาวะที่ เพื่อนๆ และน้องๆ ควรจะได้รับรู้
    เพื่อ เป็นเป็นกำลังใจในการปฎิบัติ ต่อไป
     
  15. noolegza

    noolegza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,032
    ค่าพลัง:
    +3,844
    ขอบคุญสำหรับประสบการณ์ดีๆที่นำมาเล่าคับ
    คาดหวังว่าวันหนึ่ง คงเก่งแบบพี่ๆบ้าง อนุโมทนาด้วยคับ
     
  16. visnu

    visnu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +23,778
    สาธุ สภาวะจิตไปไกลกว่าผมแล้ว ขั้นตอนที่เหลื่อง่ายมากคือ มีมากกับปล่อยทิ้งเป็นไม่มี

    สิ่งใดที่มีก็ไม่นำพา นำตนสู่สภาวะไม่มี ไม่มีรูปสังขาร ไม่มีใดๆที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวในอารมณ์ในใจ

    ปัจุปันนัง ไปนำพาสิ่งที่มากระทบกายและจิต ก็จะถึง พระโสดาปฏิมรรคครับ
     
  17. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549
    ว้าวๆ พี่พลังไฟสู้ๆ เอาให้ถึงนะคะ

    สงสัยอะค่ะ
    โสดาปฏิมรรค กับโสดาปฏิผล ต่างกันยังงัยคะ
     
  18. law of karma

    law of karma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    251
    ค่าพลัง:
    +1,043
    วันนี้ได้มีโอกาสไปที่ร้านครั้งแรก น้องภูมิพูดให้ฟัง

    มีแต่ผู้ตั้งใจปฏิบัติทั้งนั้นเลย............สาธุด้วยนะคะ นับถือคะ เพราะบางทีเราก็ยังขี้เกียด อิอิ
     
  19. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ขอบคุณ คุณพลังไฟมากมายค่ะ ที่มาเล่าประสบการณื คิดว่าคงมีผลสำหรับหลายๆคน ให้หันมาพิจารณาตนเอง และมีความเพียรมากขึ้น ขอใ้ห้คุณความเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
     
  20. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    สาธุ...ยินดี และ ขอบคุณพี่พลังไฟ อีกครั้งค่ะ ที่เล่าประสบการณ์ดีๆ ให้ฟัง

    ************
    ส่งการบ้านยังไงล่ะ
    หายยยยยยยยยย ไปกันหมด... ทั้งลูกศิษย์ ทั้งอาจารย์ 555

    นั่งได้แป๊บเดียวก็เลิก เพราะมันฟุ้งซ่าน... ความคิดไม่ดี ปรามาสพระ มาอีกแล้ว ผีก็มา อะไรเนี่ย... หน้าคนโน้น คนนี้ก็มา... ลาไปนอนละกัน เฮ้อ

    ขอแก้ตัวใหม่วันหลังนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...