การฆ่าคนในสนามรบ เป็นบาปผิดศีลหรือไม่

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย telwada, 13 ธันวาคม 2007.

  1. hack super fast

    hack super fast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    293
    ค่าพลัง:
    +560
    ผมรู้น้อย แต่ขอออกความเห็น การฆ่าที่ท่านได้กล่าวมายังไงเสียก็บาปและจะแปลงเป็นกรรมตามติดทุกชาติไป เหลือแค่จะเบาบางลงได้ซักเท่าไหร่ หรือกรรมนั้นตามทันเราเมื่อใด เรารู้วิธีแก่กรรม หรือวิธีไม่ให้กรรมนั้นตามเราทันหรือไม่ เพราะ ทุกสิ่งมีสมดุล.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 ธันวาคม 2007
  2. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ตอบคุณลูกพญานาค

    สภาวะธรรมที่ได้จากการปฏิบัตินั้น มันจะมีสภาพเหนือสมมติบัญญัติ

    ถ้อยคำที่เรียบเรียงออกมาจึงเป็นเพียงการเทียบเคียงกับสิ่งที่รู้สึกล้วนไม่ใช่ของจริง ไม่อาจตรงตามความเป็นจริงได้ตรงๆ นอกจากนี้ การสร้างคำพูดก็ขึ้นกับประสบการณ์ การศึกษาของผู้พูดด้วย เช่นคนทางเหนือเขาก็มีศัพท์แสดงอารมณ์ทางเหนือ คนใต้ก็พูดภาษาใต้ ดังนั้นบางครั้งความแตกต่างของคู่สนทนาก็เป็นปัจจัยด้วย

    พอมีการเทียบเคียงความรู้สึก ก็เป็นธรรมดาที่รูปความเป็นตัวบุคคลเข้าไปเกี่ยวด้วย ทำให้เหมือน ทะเลาะกัน

    แต่สำหรับบัณฑิตธรรมที่มีสัมมาทิฏฐิถูกต้อง จะเข้าใจข้อสำคัญประการหนึ่งว่า

    สิ่งที่กำลังเป็นประเด็นนั้น คือ สภาวะธรรม

    ดังนั้น บัณฑิตที่โต้วาทะกันจะไม่มองภาพใครเป็นใครในส่วนลึก เหตุนี้ เวลาสนทนาธรรมจึงสามารถคุยกับใครก็ได้

    แม้คุยกับคนที่เคยขัดแย้ง หรือ คนที่เห็นว่าผิดปรกติ เหตุนั้นเพราะเราคุยกันพ้นสภาวะตัวตน มีเป้าประสงค์จะวิจัยธรรม ซึ่งตรงนี้ คือ สภวะที่ทุกคนเท่าเทียมกัน และที่สำคัญ เราอาจมีสภาวะธรรมไม่เหมือนกัน เขาอาจสูงกว่า เราอาจสูงกว่า ดังนั้น จึงต้องสนทนากัน เพื่อแจ้งในสิ่งนั้น การพูดยิ่งลึกก็ยิ่งเข้าถึงทิฏฐิมานะมากขึ้น อันนี้ก็เป็นโดยธรรมชาติ อาการยึดมั่นถือมั่นจึงค่อยๆแสดงออกมา แต่ก็ทำให้รู้ว่า สภาวะธรรม ของแต่ละคนเป็นอย่างไรได้จากการสนทนาเหมือนกัน แต่ต้องลงลึกหน่อย ทะเลาะมากหน่อย แต่สำหรับบุคคลที่พ้น หรือ รู้เท่าทัน มานะ แล้ว ก็จะทิ้งอารมณ์ขุ่นมัวลงได้

    และถ้าแจ้งในสภาวะธรรมว่าเขาสูงกว่าแล้ว เราก็จะศรัทธา อนุโมทนา เมื่อนั้นสภาวะธรรมของคู่สนทนาที่สูงกว่า ก็จะมีโอกาสไหลเขามาหาเราได้ แต่จุดๆนี้จะไม่เกิด จะเป็นโมฆะ สำหรับผู้ที่ยังไม่พบว่าตัวเองอยู่ต่ำกว่า ยังไม่น้อมตัวเองให้ต่ำกว่า หรือยังไม่ประจักษ์ว่าตัวเองอยู่ต่ำกว่า ดังนั้น ในระหว่างการสนทนา ต้องไม่ลืมโน้มตัวไว้ด้วย เพื่อความไม่ประมาท

    แน่นอนบางครั้งนั้นต้องเอ่ยชื่อของผู้พูด เพื่อประกอบการสมมติ เพื่อให้ทราบแหล่งที่มาของทิฏฐิ(ผู้พูด) แต่ต้องเข้าใจว่า ประเด็นของบุคคลนั้นไม่ใช่เนื้อหาสาระที่จะโต้เถียง เนื้อความตามธรรมที่พูดคุยอยู่เท่านั้นที่เป็นประเด็น เหตุนี้จึงเห็นว่าแม้จะขัดแย้งกัน แต่ก็ยังคุยกันได้เสมอ

    อย่างคุณใบไม้ ใช้สำนวน คุณเล่าปังครับ อันนี้คือการอ่อนน้อมที่เขาแสดงให้เห็นเป็นนัย แต่ถ้าเป็น คุณเล่าปัง ครับ ( มีเว้นก่อนครับ ) อันนี้ก็พอคาดได้ว่ามีอารมณ์หน่อยๆ หรือ มีความมั่นใจมากขึ้น

    ส่วนตัวเรา ถ้าดูดีๆ เราจะใช้สำนวนข่มเขาอยู่บ่อย อันนี้ก็เรียกว่าไม่ดี เป็นทิฏฐิของพุทธภูมิที่ไม่ดีเท่าไหร่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2007
  3. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    คุณใบไม้

    คำว่า ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง นั้นเทียบได้กับ No Element ไหม หรือ เทียบกับ ไม่มีองค์ประกอบไหม

    พูดแบบเด็กวิทยาศาสตร์คือไม่มีโมเลกุล ไม่มีสารประกอบ ไม่มีอะไรสร้างสิ่งนั้นได้ -- แล้วทั้งหมด -- ต่างจากคำว่าไม่มีธาตุไหมครับ

    แต่แทนที่จะพูดว่า ไม่มีองค์ประกอบ หรือ ไม่มีธาตุ มันไม่สื่อ เพราะในกรณีนี้เราพูดถึงภาวะนิพพาน ซึ่ง ความมุ่งหมายในการสื่อสาร คือ จะบอกว่า นิพพานนั้นไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ด้วยวิธีกรรมใดๆ จึงใช้คำว่า ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง
     
  4. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    อย่าเข้าใจผิด กระทู้นี้ ได้มีคนถามในเวบ อื่น ข้าพเจ้าเห็นว่าดี ก้เลยนำมาเขียนใหม่ ไม่ใช่เป็นการลองภูมิ

    ในเมื่อ ผู้ใช้ชื่อ 00000 ต้องการให้ข้าพเจ้าบอก ข้าพเจ้าก็จะบอกให้รู้ไว้ดังนี้

    ทุกท่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในกระทู้นี้ ข้าพเจ้าใคร่จะบอกให้ท่านทั้งหลายได้รู้เอาไว้ว่า
    การศรัทธาในศาสนา หรือการนับถือศาสนานั้น จะต้องรู้จักศาสนาให้ดีก่อนว่า
    ศาสนา ไม่ใช่กฎหมาย
    ศาสนา ไม่ใช่ข้อห้าม
    ศาสนา เป็นเพียงคำแนะนำ หรือข้อควรปฏิบัติ

    ศาสนา เป็นสิ่งที่แนะนำท่านทั้งหลายให้รู้จักการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน อย่างเป็นสุข
    ศาสนา เป็นสิ่งที่สอนให้ท่านทั้งหลาย ได้ขัดเกลากิเลส หรือขัดเกลา บังคับ ควบคุม สภาพสภาวะจิตใจในรูปแบบต่างๆมิให้เกิดความรูนแรง กันอาจเกิดเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น

    ศาสนา ไม่ใช่กฎหมาย ดังนั้น บรรดาข้อศีล ข้อธรรม ที่มีอยู่ สำหรับ ปุถุชนคนทั่วไปแล้ว ย่อมไม่มีผลว่าดีหรือไม่ดี คือ ไม่มีผลว่า ถ้าไม่ทำตามแล้วจะไม่ดีหรือบาป ถ้าทำตามแล้วจะดี คือบุญ
    แต่ในทางตรงกันข้าม ในการดำรงชีวิตของปุถุชนคนทั่วไปนั้น หากทำตามข้อศีล ก็ย่อมทำให้สังคมนั้น เกิดความสุขสงบ ทั้งตนเองและผู้อื่น ถ้าไม่ทำตามข้อศีล ก็ย่อมทำให้สังคมนั้น อาจจะ (ใช้คำว่าอาจจะ)เกิด ความไม่สงบสุข ทั้งตนเองและผู้อื่นก็เป็นได้
    แต่ยังมีข้อยกเว้น สำหรับ พระภิกษุสงฆ์ ฯ ที่มี พระวินัย 227 ข้อ ซึ่ง พระวินัย เหล่านั้น ก็เป็นเพียงข้อให้พระภิกษุสงฆ์ ได้ใช้เป็นข้อฝึกตนเพื่อความแข็งแกร่งทางจิตใจ เพื่อความละเอียด ในการคิด และอืนๆ หากพระภิกษุสงฆ์ รูปใด ไม่สามารถปฏิบัติตาม ในข้อที่ทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุ ก็ย่อมต้องอาบัติปาราชิก เพราะศาสนา สอนให้บุคคลเป็นผู้รู้ตน มีความรับผิดชอบ อันนี้ไม่อธิบายในรายละเอียดนะขอรับ นอกเหนือจากอาบัติปาราชิกแล้ว ก็เป็นเพียงอาบัติธรรมดา ที่สามารถปลง หรือเข้ากรรม ก็หมดสิ้น นั้นเป็นเพียงการฝึกตน สำหรับพระภิกษุสงฆ์ ฯ เท่านั้น
    มิได้หมายรวมถึง เหล่าฆราวาส หรือปุถุชนคนทั้งหลายที่ศรัทธา หรือนับถือ ศาสนาอยู่อย่างแน่นอน
    เพราะศาสดาแห่งศาสนาย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า มนุษย์นั้นเป็นอย่างไร มีความคิด และพฤติกรรมเป็นอย่างไร เพราะหากไม่รู้ ก็ไม่ใช่ศาสดาละนะ เมื่อรู้ธรรมชาติของมนุษย์แล้ว จึงได้สร้างศีล สำหรับ คฤหัสถ์
    ไว้เป็นลำดับขั้น คือ ศีล 5 ศีล 8
    ศีล 10 นั้น เป็นได้ทั้งศีลของคฤหัสถ์ และเป็นทั้งศีลของสามเณร เพราะศีล 10 นั้น สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ของบุคคลทั่วไปเหมือนกัน
    ศีล สำหรับ คฤหัสถ์ คือ ศีล 5 และศีล 8 นั้น เป็นเพียงข้อฝึกตน ละเว้นมิให้ปฏิบัติ เพื่อให้เกิดสภาพสภาวะจิตใจที่เรียกว่า ธรรมะในศาสนาขึ้น ซึ่งในทางที่เป็นจริง สภาพสภาวะจิตใจของเขาเหล่านั้น ก็มีอยู่เองตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ธรรมชาติของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตย่อมมีความโลภ มีความโกรธ มีควานหลง ดังนั้นศาสนาจึงได้สร้างข้อศีลขึ้นไว้เพื่อให้คฤหัสถ์ ฝึกตนโดยการยึดถือข้อศีล ทั้งหลายไว้
    แต่มิได้บัญญัติ ความผิด หากเกิดการไม่ปฏิบัติตามศีล แต่ความรู้สึกผิดหรือถูก จะเกิดขึ้นในใจของผู้นับถือ หรือยึดถือศีล นี้เป็นหลักความจริง หากความรู้สึกผิดหรือถูก เมื่อปฏิบัติตามศีล หรือไม่ปฏิบัติตามข้อศีลเกิดขี้นในใจของบุคคล เขาเหล่านั้นก็จะคิดว่า บาป คือความไม่ดี หากผิดศีล คิดว่า บุญ คือความดี หากปฏิบัติตามข้อศีล
    แต่ในความจริงแล้ว ไม่มีความผิดใดใด ไม่มีความถูกใดใด เกิดขึ้นเลย ไม่ว่าจะปฏิบัติตาม หรือไม่ปฏิบัติตามข้อศีล
    อธิบายมาพอสมควร แก่เวลา จบก่อนขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2007
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    คุณ hsf นี้เก่งนะ

    แต่ขอท้วงการใช้คำว่า รู้วิธีแก้กรรม ล้างบาป อันนี้ไม่น่าจะใช้กล่าวได้ กรรมถูกแก้ไม่ได้

    แต่ทำให้ส่งผลไม่ทัน หรือ ไม่ถึง นี้ อันนี้ชอบแล้ว

    ไม่ทันคือ ไม่ทันกรรมดีที่อาจส่งผลให้ก่อน ยิ่งมีมากก็ยิ่งมีโอกาสมาก หรือ ถ้ามา ก็เบาบางกว่าส่วนที่ได้ดี จนแทบไม่รู้สึกว่าได้รับ เช่น ต้องอดทานข้าว ทานน้ำ เพราะต้องทำงานใช้เขา

    ไม่ถึง คือ เข้าสู่ภูมิที่สูงกว่ากรรมนั้นจะมีปัจจัยส่งได้ เช่น อยู่ในภูมิเทวดา ไฟนรกตามไปเผาไม่ถึง หรือ นิพพาน อันนี้ก็ไม่มีอะไรส่งถึงเลย
     
  6. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ขออภัยคุณเทวดานะครับ ที่ทำให้กระทู้มันผิดวัตถุประสงค์ท่าน
     
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    คุณใบไม้ และพยานาคาบุตร

    1. ศาสนาพุทธนั้นต้องเป็นเรื่องปฏิบัติ ไม่ใช่การศึกษาเอาจากปริยัติ หรือ คำสอนของพระองค์ไหนๆ จะเทียวยกคำสอนเหล่านั้นมาอ้างอิงโดยไม่แสดงความรู้ในชั้นภูมิธรรมที่ตัวเองมีนั้น เป็นเรื่องน่าติติง เหมือนเก็บงำสิ่งที่ตัวเองรู้ เหมือนไม่สามารถเทียบเคียงออกมาเป็นภาษาพูดเพื่อฌต้ตอบกับคู่สนทนาได้ เปรียบเหมือนคนที่พร่ำพูดแต่สิ่งที่ตัวเองจำมา ไม่ได้พูดเผยความเป็นจริง เพราะผู้ปฏิบัติทุกท่าน ไม่ว่าจะปฏิบัติได้แค่ไหนอย่างไร ย่อมปรากฏข้อเท็จและข้อจริงแก่ตัว ย่อมสามารถแสดงความคิดของตัวเองได้ สามารถพูดได้อย่างฟุ้งไปในหลายลักษณะ โดยไม่จำเป็นต้องยกสิ่งศักดิ์สิทธิมาเป็นบุคคลาอิงหลัง

    -- ส่วนบุคคลใดอ้างว่าไม่อยากกล่าวธรรมทำสัทธรรมปฏิรูป เลยไม่กล่าวสิ่งที่ตัวเองพูดออกมา นั้นแปลว่า เขาเป็น เถรวาท แต่เถรวาทที่แท้นั้น จะกล่าวแต่ถ้อยคำใน ไตรปิฏกเท่านั้น ไม่กล่าวสิ่งนอกกำมือ หรือ นอกไตรปิฏก -- บุคคลที่กล่าวรังเกลียดการทำสัทธรรมปฏิรูป แต่ตัวเองกลับกล่าวแต่สิ่งที่อยู่นอกไตรปิฏก คนที่กล่าวตู่คนอื่นทำสัทธรรมปฏิรูปแต่กริยาเต็มไปด้วยการปฏิรูปอย่างผลิกฟ้าคว่ำไตรปิฏกแท้(ที่มีแต่พุทธพจน์)นั้น เปรียบเหมือนคนสอพลอ โกหก กล่าวมุสาวาทา โดยไร้สติ ปราศจากการมองเท้าตัวเองที่ย่ำเดิน ว่ามีร่องลอยอย่างไร เขากระทำสิ่งที่แย่กว่าเราที่พยายามเล่าถึงความในอันเป็นเศษฐานของภูมิธรรมที่ตัวเอง(เล่าปัง)มีแต่พร่องอยู่เสียอีก

    2. เราไม่ได้เข้าใจผิดในเรื่องของ ธรรมขันท์ ธรรมธาตุ กับ คำว่า นิพพาน หรอก ท่านต่างหากที่เข้าใจคลาดเคลื่อน ถ้าท่านคิดว่า นิพพาน ธาตุ เป็นธาตุที่มีอยู่แล้ว เป็นธรรมต้นธาตุ ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลง

    แล้วท่านคิดว่า มนุษย์ หรือ สรรพสัตว์ เกิดจาก ธรรมต้นธาตุ หรือ เกิดจากนิพพาน หรือ

    คนเรามีที่มาจาก นิพพาน หรือ ธรรมต้นธาตุ หรือไร

    เราแปรเปลี่ยนมาจาก ภาวะนิพพาน หรือกระไร

    พระเจ้าสร้างเราจากนิพพานหรือไร

    ท่านเองที่สับสนว่า นิพพาน นั้น เปลี่ยนแปรได้หรือไม่ได้ หยิบจับได้ ปรุงได้ หรือไม่ได้กันแน่

    ท่านไม่รู้ชัดในเหตุนี้เลย เหตุนั้นเพราะท่านยึดมั่นในพราหม์ ในพรหม ยึดในจิตแท้ทีประภัสสร(พรหม)อยู่ ยึดอยู่ในข่ายทิฏฐินอก

    แต่ นิพพาน นั้นเป็นสิ่งที่เหนือกว่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2007
  8. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คุณทั้งสอง ทั้งคุณ เล่าปัง และคุณใบไม้
    สิ่งที่พวกคุณกล่าวมานั้น เป็นสิ่งที่เหมือนการอวดอุตริฯ คือเป็นสิ่งที่พวกคุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า บรรลุธรรมชั้นโสดาบ้น เป็นอย่างไร ดันกล่าวไปถึงนิพพาน
    และสิ่งที่พวกคุณกล่าวมา ไม่ถูกต้องสักอย่าง
    พวกคุณยังไม่เข้าใจแม้แต่คำว่า ปฏิบัติ
    พวกคุณคงคิดว่า การปฏิบัติ หมายถึงการ นั่งสมาธิ หรือวิปัสสนา
    แต่ความจริงแล้ว การปฏิบัติ หมายถึงการ ได้เรียนรู้หลักศีล หลักธรรม แล้วยึดถือตามข้อศีล ข้อธรรม ก็เป็นการปฏิบัติ
    ส่วนการปฏิบัติ ในทางนั่งสมาธิ จนไปถึงวิปัสสนานั้น เป็นการปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด(นี้เอาคำจากศาสนาพราหมณ์ ฮินดู) ในทางศาสนาพุทธแบ่งการหลุดพ้นเวียนว่ายตายเกิดเป็น 5 ระดับ ซึ่งจริงๆแล้ว
    ชื่อของระดับการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนั้น น่าจะเป็นศัพท์ภาษาที่มีอยู่เดิมในศาสนาพราหมณ์ฮินดู คือคำว่า โสดาบัน ปฏิมรรค ปฏิผล สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ และนิพพาน นั้น น่าจะเป็นคำศัพท์ที่มีในหรือใช้ในศาสนาพราหมณ์ฮินดูมาก่อนด้วยซ้ำ
    ที่กล่าวไปนี้เพียงข้อสันนิษฐาน อย่าถือเป็นจริงเป็นจังนะขอรับ
    อนึ่ง การจะกระทำสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นในหลักศาสนา หรือหลักวิชาการใดใด ล้วนต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง หรือปัจจัยประกอบทั้งสิ้น เพียงแต่ศัพท์ภาษาอาจจะไม่เรียกว่า ปัจจัยปรุงแต่ง อาจจะเรียกอย่างอื่น อันนี้ไม่ยกตัวอย่างนะขอรับ
    การเรียนพระไตรปิฏก นั้น ความจริงแล้วไม่มีความจำเป็นใดใดเลยก็ว่าได้ เพราะการจะหลุดพ้นจากกิเลสนั้น ก็อาศัยเพียง ข้อศีล ข้อธรรม ก็เป็นการเพียงพอแล้วขอรับ
     
  9. v.mut

    v.mut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2006
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +274
    อันที่จริง ข้องใจกับ หลายสิ่งที่ คุณ ใบไม่นอกกำมือกล่าวเอาไว้หลายความเห็นด้านบน
    นึกอยากเสวนาด้วย แต่บังเอิญมาเจอความเห็นของท่านพี่เทวดา#61เข้า
    อารมณ์พลิกเลย......ยังไงก็เกรงใจ เพราะเป็นกระทู้ที่ท่านพี่เทวดาตั่งขึ้นมา

    ข้อฝากไว้ให้คุณใบไม่นอกกำมือไว้พิจารณา

    ธรรมใดๆ ก็ตาม แม้นเป็นสิ่งพื้นๆไม่วิจิตรบรรเจิด แต่หากกล่าวแล้วมีสภาวะธาตุ รองรับ นับว่าเป็นธรรมอันประเสริฐ น่ายกย่องสรรเสริญ น่าชื่นชม และน่าอนุโมทนา

    แต่ธรรมใดแม้กล่าวดูประดุจวิจิตรพิสดาร แต่กลับเป็นอฐานะ หรือ มิมีสภาวะรองรับแล้วไซร์ มิอาจกล่าวได้ว่า เป็นสัจจธรรม
     
  10. aodbu

    aodbu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +456
    หลวงพ่อโตเคยเทศน์ที่สำนักปู่สวรรค์ครับ ผมจำไม่ค่อยได้
    คร่าวๆคือ เค้ามารุกรานเรา เรารบเพื่อป้องกันบ้านของเรา ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่บาป แต่ถ้าไปรุกรานเขาเราบาป
    โลกวิญญาณทรงไว้ด้วยความยุติธรรม

    คิดง่ายๆครับพม่าบุกอยุธยา ฉุดฆ่าเด็กสตรี เผาวัดทำลายพุทธศาสนา
    เราจับดาบต่อสู้ เอาเลือดเนื้อพิทักษ์ชีวิตพระ คนบริสุทธิ์ ปกป้องพระพุทธศาสนา ตายไปจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกครับ

    เรื่องกรรมก็คงมีบ้างแต่น้อยมากครับ ผมว่าได้บุญมากกว่า

    หรือใครกลัวบาปก็อยู่เฉยๆ ดูเค้าฆ่าคนบริสุทธิ์ ฆ่าพระ เผาวัด เหมือนภาคใต้ตอนนี้ครับ

    ใครคิดเหมือนผมบ้าง
     
  11. โปเต้ผู้ใฝ่ธรรม

    โปเต้ผู้ใฝ่ธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2007
    โพสต์:
    639
    ค่าพลัง:
    +573
    -*-คนเราย่อมมีหน้าที่ แต่ว่าสงบศึกหันหน้ามาเจรจากันจะดีกว่านะครับ
    เพราะในอนาคตเขาอาจใช้หุ่นยนต์รบกันโดยที่คนไม่ต้องไปรบเอง
     
  12. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คุณทั้งหลายที่ถกเถียงกันนั้น ต่อให้ถกเถียงกัน อีก 3 เดือน ก็ยังคงไม่จบ เพราะท่านทั้งหลายตีความในภาษาของพระไตรปิฏก ไปคนละอย่างกัน อันขึ้นอยู่กับความคิดความเข้าใจของท่านทั้งสอง
    ดังนั้น ควรได้มีบรรทัดฐานในการตีความพระไตรปิฏก ให้สอดคล้องกัน กล่าวคือ
    ควรได้ตีความหมาย ในภาษาพระไตรปิฏก ตามหลักการธรรมชาติ และหรือตามหลักเหตุหลักผล
    ไม่ใช่ต่างคนต่างคิดกันไปคนละอย่าง
    ดังนั้นข้าพเจ้าจึงนำข้อแสดงความคิดเห็นของข้าพเจ้ามาลงอีกครั้งหนึ่งเพื่อเตือนสติท่านทั้งหลายเอาไว้

     
  13. undeath13

    undeath13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +1,830
    ปกป้องชาติ ศาสนา กระมหากษัตริย์ และแผ่นดิน

    ถ้าสมมุติเทียบเปนคะแนน

    บุญ100
    บาป50


    จะเห็นได้ว่าบุญเยอะกว่าบาปดังนั้นจึงไปสวรรค์ แต่ถามว่ามีบาปมั้ยมันก้อมีมีเจ้ากรรมนายเวรเพิ่มมัน เพิ่มสิ สรุปมันได้ทั้ง2อย่างแต่ได้บุญมากกว่าแค่นั้นเอง
     
  14. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817

    ตอบ...
    ข้าพเจ้าว่า ได้บุญ 100 คะแนน เพียงอย่างเดียวนะ ไม่ว่าจะตายในสนามรบ หรือรอดชีวิตกลับมา
    ได้แต่บุญอย่างเดียว
    ถ้าตาย ญาติโก โหติกา ก็ได้รับส่วนบุญนั้นด้วย
    ถ้าไม่ตาย ก็ได้รับส่วนบุญโดยทั่วถึงทั้งครอบครัว
    ส่วนบาปนั้น ข้าพเจ้าว่าไม่ได้รับ
    เพราะเป็นความรู้สึกนึกคิด มันเป็นไปตามแนวทางค่านิยมทางศาสนา จะได้รับบาป เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถ้าบาปนั้นมีจริง
    แต่ทำดีย่อมได้ดี ตอบสนอง
    ทำชั่วย่อมได้ชั่วตอบสนอง
     
  15. gugob22

    gugob22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +179
    บาปสิ ยังไงก็บาป ถ้าคุณพูดแบบนั้นผมก็ยกตัวอย่างแบบนี้
    สมมุติมีคนโรคจิตอยากฆ่าคน ก็ไปสมัครเป็นทหารก็สบายสิไม่บาปด้วย คิดแปลกๆ ถ้าตามที่คุณพูดโจรใต้ก็ไม่บาปสิ ในเมื่อความคิดของเขาก็ทำเพื่อดินแดนบ้านเกิดของเขา แถมเป็นหน้าที่ด้วย มันอยู่ที่เจตนาต่างหาก

    คำพูดหลวงพ่อเคยบอกว่า บาปสิ แต่จิตใจคนสมัยก่อนออกรบ สวดมนต์ สักยันต์ ลงยันต์ (มีกฏข้อห้ามปฏิบัติ ส่วนมากทำชั่วก็จะเสื่อม ก็ตั้งอยู่ในความดี) รดน้ำมนต์ก่อนออกรบ ทำให้จิตตั้งมั่นอยู่กับองค์พระ ไม่ได้คิดที่จะฆ่าเพื่อสนองความอยากของตนเอง แต่เป็นหน้าที่ทำให้บาปเบากว่าบุญ
     
  16. เสือเผ่นป่าราบ

    เสือเผ่นป่าราบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +1,493
    ไอ้เควี่ย มันบอกว่า "ข้าพเจ้าว่า ได้บุญ 100 คะแนน เพียงอย่างเดียวนะ "

    แสดงว่ามันยังไม่รู้เลย เพราะมันยังไม่แน่ใจ

    ไอ้เรื่องแบบนี้ ทำไมสีอานไปรู้ล่ะ อวดฉลาด แต่ที่แท้ก็โง่ นี่เอง 555
     
  17. hack super fast

    hack super fast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    293
    ค่าพลัง:
    +560
    ขออนุโมทนาทุกท่านด้วยนะครับ

    ถึงท่านเล่าปัง ขอบคุณในคำชม น้อมรับในคำติ
     
  18. hack super fast

    hack super fast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    293
    ค่าพลัง:
    +560
    undeath13 ยังเด็กอยู่เลย เข้าเว็บธรรมแล้ว อนุโมทนาด้วยนะครับ
    ขอจงตั้งมั่นทำความดี ขอจงยึดมั่นทำความดี ขอจงมีแรงใจทำความดี
    อนาคตชาติ บ้านเมือง ยังพอมีหวัง
     
  19. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
  20. phitsanulok-pityakom

    phitsanulok-pityakom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +212
    สิ่งไหนที่ทำแล้วเป็นบุญ จะทำให้จิตใจผ่องใส สิ่งไหนที่ทำแล้วเป็นบาป พาไปทุคติภูมิ สิ่งนั้นทำแล้วไม่ผ่องใส

    ต่อให้เป็นการฆ่าเพื่อปกป้องดินแดน ประชาชน พระราชาสรรเสริญคุณที่เป็นทหารกล้าฆ่าข้าศึกเป็นหมื่นปกป้องชาติ โอเคคุณรู้สึกดีที่ได้ทำเพื่อแผ่นดิน อันนี้เป้นบุญ เรพาะการทำศึกนั้นเจตนาเพื่อปกป้องชาติ เจตนาปกป้องเป็นเหตุแห่งการกระทำศึก นั่นคือเกิดบุญแล้ว


    แต่ คุณก็ปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมละ ว่าเวลาฆ่าข้าศึก เสียงโอดครวญ เสียงร้องขอชีวิต เลือด การดิ้นรนเอาชีวิตรอดที่คุณปลิดชีพเขามา มันทำให้คุณเศร้าหมองและฝังใจ

    หลังสงคราม ผู้ที่ผ่านศึกมาหนักหน่วง ไม่มีใครเลยที่จะไม่มีความทรงจำเลวร้ายเกี่ยวกับการสงครามนั้น ติดอยู่ในจิต นี่ละ เป็นบาปกรรม


    ดังนั้น การฆ่าคน ไม่ว่าจะเจตนาเพื่อสนุก สะใจหรือเพื่อปกป้องดินแดน ถ้าลงว่าฆ่า และมีเจตนา คือ เจตนาที่จะฆ่า(ฆ่าใครไม่รู้ละ แต่รู้ว่าเขามีชีวิตแล้วจะฆ่า ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์) ก็ล้วนเป็นบาปกรรมทั้งสิ้นครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...