***กสินใน 1 วัน / อรูปฌาน4 ใน 1 วัน***

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย GluayNewman, 18 ธันวาคม 2011.

  1. ครึ่งชีวิต

    ครึ่งชีวิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,178
    ค่าพลัง:
    +15,103
    อนุโมทนา สาธุ ขอรับ......
     
  2. magic_storm

    magic_storm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +3,053
    อนุโมทนาบุญด้วยนะครับพี่กล้วย ศิษย์มีอาจารย์ถูกทางอยู่แล้วครับ สู้ๆ ^^
     
  3. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ขออนุโมทนาครับ ผมว่าท่านนำมาเล่าเพื่อเป็นกำลังใจและวิทยาทานให้แก่ท่านอื่นๆนะครับ :)
     
  4. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    คำครู
    "สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อธรรมะ"

    หลายๆ ท่าน แสดงความเห็นในกระทู้นี้ แสดงให้เห็นถึงธรรมะในจิตใจได้จากสำเนียงที่กล่าว(พิมพ์) ออกมา
    แม้ว่าบางท่านอาจไม่เชื่อ ไม่เห็นด้วย แต่ก็แสดงความเห็นโดยธรรม
    มีพรหมวิหาร : เมตตา กรุณา มุธิตา อุเบกขา ในจิตใจ แสดงออกมาเป็นรูปธรรมอย่างเห็นได้ชัด....ขออนุโมทนาอีกครั้งหนึ่งครับ

    ส่วนบางท่านที่ได้สอนทางปฏิบัติให้ผม ผมก็ขอขอบคุณในความหวังดีเบื้องต้น
    แต่เมื่อเห็นถึงสำเนียงการแสดงออกแล้ว.... ผมขอปฏเสธที่จะปฏิบัติตามนะครับ
    ไม่ใช่ไม่เชื่อ....แต่กลัวครับ กลัวว่าปฏิบัติตามแล้ว จะกลายเป็นคนที่มีสำเนียงแบบนั้น
    ขอไปตามทางของผมดีกว่านะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2011
  5. smith999

    smith999 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +3
    เรืองการรักษาหรือพักผ่อนในฌาณนี่ก็ไม่ใช่ของใหม่ ผู้ที่เจริญฌาณสี่ได้สามารถทำได้อยู่แล้ว และก็มีตั้งแต่สมัยก่อนพระพุทธกาล แต่การเดินฌาณสี่หรืออรูปฌาณ ในขณะขับรถนี่ต้องบอกว่า เหลือเชื่อครับ เอาแค่ให้เป็นวสีก่อนในวันเดียวก็ยังไม่เชื่อเหมือนกัน
     
  6. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ขอแถลงครับ เวลาขับรถ หรือลืมตาอยู่นี่ ไม่ถึงฌาน 4 ครับ ผมไม่ทราบฌานไหน แต่ไม่ถึงฌาน 3 แน่นอน เพราะตั้งแต่ฌาน 3 ขึ้นไป จะ "ดิ่งและนิ่ง" มาก ต้องเข้าขณะหลับตาเท่านั้น (สำหรับผมนะครับ คนอื่นผมไม่ทราบ)

    ส่วนอรูปฌานก็เหมือนกัน ลืมตาเข้าได้ที่กำลังของฌานต้นๆ น่าจะเป็นกำลังแค่ฌาน 1 เท่านั้นครับ ...แค่นั้นจิตก็เริ่มไม่สนใจสิ่งแวดล้อมแล้ว เช่น เปิดเพลงอยู่ แต่จิตไม่สนใจฟังแล้ว จะมุ่งไปรับรู้กับอารมณ์ฌานอย่างเดียว...ต้องมีสติคอยระวังอย่างยิ่งในขณะขับรถ เพราะมันอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้
     
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ก็ไม่ได้พูดให้เชื่ออยู่แล้ว พูดให้ ฉุกคิด แล้ว นำไปพิจารณา
    เลยพูดให้ไม่รับในเบื้องต้น แล้ว ความเป็น อัตตา มันจะได้
    หงายออกมาไง ที่บอกว่า เห็นอนัตตาๆ แต่พอเจอธรรมกระ
    แทก อัตตามันก็หงายออกมา

    พออัตตาหงายออกมา ดูทันหรือเปล่า

    "ขอปฏิบัติตามทางของผมเองดีกว่าครับ" ก็พอฟังได้นะ

    แต่

    "ฌาณ3ของผมเป็นอย่างนี้" ฌาณ3ของคนอื่นเป็นอย่างไร
    ผมขอปักใจเชื่อฌาณ3ในแบบของผมเองดีกว่าครับ ....ตรงนี้แหละมันเริ่มผลิก

    ผมก็จะบอกอย่างเดิมว่า คุณรู้ไม่ถึงฐานของจิต ทำให้ไปคว้า สภาวะฌาณแบบฤาษี
    อธิบายธรรม ถ้ารู้ถึงฐาน สมาธิที่ฝึกจะยังคงเป็นสุญญาตาสมาธิ อย่างน้อยที่สุดต้อง
    ละตัณหา(สุญญตาสมาธิ) ตามด้วยละนิมิต(อนิมิตสมาธิ) แล้ว ตบด้วย สมาธิไร้ที่ตั้ง
    ของจิต(อัปณิหิตสมาธิ) ซึ่งทั้งหมด จะไม่มีการหลับตาเด็ดขาด ไม่มีการลงลึก
    จะมี สติและสัมปชาโนครบถ้วน ไม่วูบไม่ดับไม่ลับไม่หาย

    แล้วจะทำให้เข้าใจได้ด้วยว่า ทำไมพระป่า ท่านถึงบอกว่า สมาธิพุทธไม่ใช่ฌาณไม่ใช่
    แฌณ อย่าเอาฌาณแฌณไปพูดกับท่าน

    ก็ลองพิจารณาดูละกัน

    เรื่องขับรถทำสมาธิแล้วหยิบอารมณ์สมาธิแบบฤาษีมาทำนี่ ผมรถคว่ำมาแล้ว

    เลยมาเตือน วูบเดียวไปพรหมโลกนะคร้าบ ไม่ใช่เข้านิพพาน อย่าประมาทตรงนี้เสียหละ

    เสียดาย กระทู้ที่ลงรูปไว้ หายไปแล้ว เลยไม่มีหลักฐานให้ดู
     
  8. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    คุณเล่าปัง...

    ผมได้ฟังการสนธนาธรรมแบบนี้ ค่อยรู้สึกว่าเป็นการสนธนาธรรมที่ประกอบด้วยพรหมวิหารหน่อยนะครับ
    แต่ยังขอติงนิดนึงนะครับ กรุณาอย่าแต่งคำพูด ที่เสมือนคำพูดของผมขึ้นมาเอง เช่น

    "ฌาณ3ของผมเป็นอย่างนี้" ฌาณ3ของคนอื่นเป็นอย่างไร
    ผมขอปักใจเชื่อฌาณ3ในแบบของผมเองดีกว่าครับ ....ตรงนี้แหละมันเริ่มผลิก

    อันนี้เป็นประโยคที่คุณเขียนแต่งขึ้นจากความเข้าใจของคุณเองนะครับ
    ผมไม่ได้กล่าวแบบนี้ และผมไม่ได้หมายความอย่างนี้เลย

    สิ่งที่คุณอธิบายสมาธิมาทั้งหมด เป็นไปตามความเข้าใจของคุณ . ....
    ซึ่งผมอ่านดูแล้ว ไม่ตรงกับสิ่งที่ผมอธิบาย อาจจะมีบางส่วนที่ตรงกับที่ผมฝึกอยู่บ้าง ก็มี
    เพียงแต่ผมไม่สามารถหาศัพท์ทางบาลีมาอธิบายได้

    เอาเป็นว่า สั้นๆ เลยดีกว่าครับ ขณะที่ผมลืมตา ผม "เห็นฌาน" ไม่ได้ "เข้าฌาน"
    คำนี้อาจจะแปลกๆ อีกแล้ว เพราะไม่มีในตำหรับตำรา
    หมายถึง ฌานจะถูกควบคุมด้วยสติตลอดเวลา มีสติเป็นผู้รู้ ผู้เห็น ตลอด ด้วยสติผมไม่ขาดตอนจึงไม่มีทางจะเกิดอุบัติเหตุได้
    .....เพราะจิตไม่ไปจมลงในฌาน

    นี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำทุกๆ ท่านให้ฝึกสติเป็นบาทฐานก่อนจะไปฝึกสมาธิ เพราะมันจะเซฟกว่า
    และถ้าเดินทางถูก มีสัมมาสติ ฝึกสมาธิอย่างไรก็ไม่มีทางตกออกนอกทาง ไม่หลงไปสร้างอัตตาว่า กูเก่ง หรือไปเกลือกกลั้วฌานชาวบ้านๆ อย่างที่คุณเล่าปังกล่าวหรอกครับ

    สมาธิแบบนี้ แบบที่มีสติควบคุมอยู่ จะยิ่งสนับสนุนสติให้ไวต่อความคิดอารมณ์ พอมันจะปรุงแต่งเป็นกิเลสจะรู้ได้เร็ว
    และรู้เข้าไปลึกถึงฐานที่เกิดของกิเลส ไปเห็นจมมันดับไป ซึ่งเป็นการเข้าไปเห็นการเกิดดับได้ลึกซึ้งกว่าการเจริญสติธรรมดา

    ที่บอกว่าเห็นเกิดดับๆ ผู้ปฏิบัติส่วนมากก็จะไปติดอยู่กับการเห็นเพียงเ่ท่านี้ ...
    เค้าหารู้ไม่เลย ว่าหลังจาที่กิเลสดับ นั่นแหละครับ จะพบ "สิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ" เป็นลำดับต่อไป
    เมื่อทุกสิ่งดับ จจะพบ "นิพพานชิมลอง" ปรากฏอยู่ ถ้ารู้จักดูให้ค่อเนื่องอย่างเป็นสัมมา เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่ได้ไปไหนเลย
    แต่เราไม่เห็นกันเอง มัวแต่ไปอยู่กับความปรุงแต่ง เลยบังสภาวะที่มีอยู่เอง เป็นอยู่เองตามธรรมชาตินี้ไป เป็นสภาวะที่ไม่มีความทุกข์เลย....

    นี่เป็นเคล็ดลับที่คนมักจะมองข้ามไปด้วยความไม่รู้ ตั้งใจดูแต่เกิดดับๆๆ พอดับไปแล้วก็เลิกสนใจ ตั้งใจไปดูการเกิดดับในครั้งต่อๆ ไป ...
    ก็เห็นแต่สภาวะอนิจจัง แต่ไม่เห็นอนัตตา ....ไม่ได้สนใจว่าเวลากิเลสดับไปแล้ว จิตเป็นอย่างไร ....มันอยู่ใกล้กันแค่ปลายจมูกแค่นั้นเองครับ

    ถ้าเห็น "สภาวะที่ไม่เกิดไม่ดับ" ชัดๆ จริงๆ ก็จะพบเส้นทางแห่งความพ้นทุกข์ ณ ตรงนั้นเลยครับ...ไม่ต้องเชื่อก็ได้ แต่อยากให้ลองดูกัน

    ว่าแต่คุณเล่าปัง ....มาแนะนำผมหลายครั้งแล้ว ผมขอถามบ้าง....
    คุณมีสติจนต่อเนื่องเป็นสายเดียวได้ทั้งวันโดยไม่ขาดตอน ไม่หลงสติเลยได้ไม๊ครับ
    ตอบกันด้วยธรรมของผู้ปฏิบัติจริงๆ (และกรุณาอย่าแต่งคำพูดผมเองอีกนะครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2011
  9. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    รู้สึกไหมว่า คุณเป็นนักปฏิบัติธรรม ที่คุณรู้สึกว่า ภาวนาได้ดีเยี่ยม

    แต่กลับมาถามผมว่า มีสติต่อเนื่องเป็นสายไหม

    คำถามแบบนี้ เขาเรียกว่า คำถามแบบว่า ไม่รู้ตัวเองเจริญมาได้อย่างไร

    เวลาเราไม่รู้ว่าตัวเองเจริญมาได้อย่างไร ก็เลยทำให้ ลืมรากเง้าของตัว
    เองว่า ค่อยๆก้าวขึ้นมาได้อย่างไร และ ก้าวมาสู่ตำแหน่งนี้ ด้วยฐานะมนุษย์
    ธรรมดาๆ ขี้เหม็น หรือ มนุษย์สุดพิเศษกันแน่

    แต่ถ้า ผู้ภาวนารู้ชัดว่า ตัวเองก้าวขึ้นมาจากตำแหน่งอะไร คำถามประเภท
    ถามคนอื่นว่า "ทำได้แบบนี้ๆ ไหม" มันจะไม่เกิด ถึงจะเกิดก็ไม่ถามตรงๆ
    แต่จะต้องมีเทคนิคในการถาม เว้นเสียแต่ ประมาท เลินเล่อ ก็จะโพล่งคำถาม
    ออกมาอย่างคนภาวนาไม่เป็น

    * * *

    รู้ไหมว่า ทำไมนักภาวนามักตายในรถ เพราะว่า ธรรมชาติสภาพแวดล้อมของ
    คนขับรถ สติจะกล้า จิตจะมีความว่องไว บางทีไม่ต้องมองกระจกเลย แต่จะรู้
    ว่า รถรารอบตัววิ่งมาในทิศทางใด เรามีช่องจะไปหรือไม่ บางครั้ง รถข้างหลัง
    อยู่ไกลมาก แต่เราก็เหยียบเบรคได้ ในขณะที่รถข้างหลังเขาพุ่งล้ำหน้าเราขึ้นไป
    ชน นี่เกิดจาก จิตโปเกธรรมดาๆ ที่มันมีสภาพรู้ แล้ว พอเจอสภาวะบังคับ ไม่ใช่
    สภาวะจิตเสรี จิตมันก็รู้ได้ร้อยแปด แต่เป็นสภาวะรู้ภายใต้ ตัณหาเป็นอธิปัจจัยตา
    ( คือ พอปิดประตูรถ สาตร์ทเครื่อง ตัณหาก็เข้ากรุ้มรุมคนขับรถไว้ทุกด้านแล้ว )

    นักภาวนาไม่รู้ เลยชอบเอา สภาวะบังคับนี้มา ใส่ค่า ให้ราคาว่า ตัวเองภาวนาดี

    ก็เลยทำให้เกิดความหลงไปในการทำสมาธิ ขณะขับรถ ซึ่งเวลาจิตมันจะเข้าฌาณ
    อันเกิดจากวิบากผล จิตเขาเป็นอนัตตา พ้นการควบคุมจากเรา จิตเขาจะรวมก็รวม
    ลงไปเลย ดับวูบ โพล่อีกทีใส่ชุดขาวนั่งอยู่ในวิมาน บางมีรูป บ้างไม่มีรูป

    ดังนั้น อย่าถามไปเลยว่า สติตลอดสายมีไหม

    คุณน่าจะถามผมว่า ฐานของจิตคุณรู้ถึงฐานหรือยัง ซึ่งพอถามมาแล้ว
    ผมก็จะถามกลับว่า เอ้า ท่านเจ้าคุณ อ้ายกระผมอธิบาย การรู้จิตอยู่ที่ฐาน
    ไปตั้งมากมาย ท่านไม่ได้มีโยนิโสมนสิการ มีมุมมองของใจในเรื่องนี้บ้าง
    เจียวรึ!?

    สติตลอดสาย ทำไมบอดตาใสเช่นนั้นหละ ท่านเจ้าคุณ

    ( สมาธิของพุทธ เป็น สมาธิที่อยู่ท่ามกลางฌาณ4 ไม่ถึงอรูปฌาณ ดังนั้น
    คนที่ขึ้นอรูปฌาณได้ ก็ไม่น่าจะยากเย็นอะไรในการทำความเข้าใจ สุญญาตาสมาธิทั้ง3 )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2011
  10. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    [FONT=&quot]คุณเล่าปัง
    [/FONT]
    [FONT=&quot]เข้าใจที่คุณเล่ามานะครับ จิตจมไปอยู่ในฌาน ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ไปจมอยู่กับอารมณ์ฌาน จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุ [/FONT]
    [FONT=&quot]ขอแสดงความสียใจด้วย และก็ขอบคุณในความหวังดีที่เตือน เกรงว่าผู้อื่นจะได้รับอันตรายอย่างตน[/FONT]
    [FONT=&quot]ผมทราบเรื่องนี้ดี....ผมถึงกล่าวไว้แต่แรกว่า ต้องมีสติสำรวจดูตลอดว่า จิตเริ่มไม่สนใจสิ่งแวดล้อมหรือเปล่า [/FONT]
    [FONT=&quot]มันเริ่ม [/FONT][FONT=&quot]“ถลำ” จมเข้าไปในฌานหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นให้รับถอนตัว มีสติขึ้นมา[/FONT]

    [FONT=&quot]นี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำทุกๆ ท่านให้ฝึกสติเป็นบาทฐานก่อนจะไปฝึกสมาธิ เพราะมันจะเซฟกว่าเยอะ[/FONT]
    [FONT=&quot]มันจะไม่หลงฌาน สามารถคอนโทรลฌานได้ และก็ไม่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ...(จิตเผลอเข้าฌานเอง ขณะข้ามถนนก็มีสิทธิ์ตายได้เลยครับ)[/FONT]
    [FONT=&quot]การที่ตัณหาหรือความคิดครอบงำในขณะสตาร์ทรถ หรือขณะใดๆ ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะเมื่อตัณหาเกิดสติจะรู้[/FONT]
    เมื่อรู้แล้ว เห็นสภาวะการเกิดดับของตัณหา ตัณหาก็จะดับไปเอง และก็จะกลับไปเห็นสภาวะไม่เกิดไม่ดับอีกครั้ง (ถ้าเขารู้จักวิธีนะครับ)


    [FONT=&quot]เรื่องสติถึงฐานที่คุณแนะนำผมหลายครั้งแล้ว ผมไม่เข้าใจนะครับ ว่าหมายถึงอะไร[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ไม่ต้องอธิบายนะครับ ผมไม่ให้ความสนใจเรื่องนี้ จิตถึงฐานหรือไม่ ไม่ใช่ปํญหาของผม....[/FONT]
    [FONT=&quot]ในทางกลับกัน ผมพูดถึงการเห็นได้ซึ่งสภาวะไม่เกิดไม่ดับ หรือนิพพานชิมลอง คุณก็ไม่สนใจเหมือนกัน[/FONT]
    [FONT=&quot]นั่นคงอาจไม่ใช่ปัญหาของคุณใช่ไม๊ครับ ....ผมเดาเอานะ
    [/FONT]


    [FONT=&quot]ส่วนคำถามเรื่องสติที่ต่อเนื่องเป็นสายเดียว ถ้าคุณเล่าปังไม่สะดวกตอบคำถามก็ไม่เป็นไรครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]ผมเคยถามคำถามแบบนี้กับกับผู้ปฏิบัติหลายๆ คน ถ้าเขาไม่รู้จัก หรือไม่สนใจเรื่องนี้จริงๆ ก็มักจะไม่ตอบออกมาแบบนี้แหละครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]มักจะเลี่ยงไปตอบเรื่องอื่นๆ [/FONT]

    [FONT=&quot]คุณเล่าปังไม่สนใจไม่เป็นไร ...ผมขอบอกกล่าวกับเพื่อนผู้ปฏิบัติท่านอื่นๆ
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ที่ผมถามเรื่องนี้ เพราะสติต่อเนื่องเป็นสายเดียวนี้เป็นสิ่งสำคัญต่อการปฏิบัติ เป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งในการปฏิบัติ[/FONT]
    [FONT=&quot]สติธรรมบริสุทธิ์ชาติที่ต่อเนื่องได้เอง โดยไม่ได้เกิดจากการทรงฌาน จะเป็นดัชนีบอกความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมได้เป็นอย่างดี[/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าเจริญสติไม่ถูก ไม่ตรงทาง ไม่เป็นสัมมาสติ มันไม่มีทางต่อเนื่องเป็นสายเดียวได้[/FONT]
    [FONT=&quot]มันจะไม่เสถียร เกิดๆ ดับๆ บาวันก็มีมาก บางวันก็น้อย[/FONT]
    [FONT=&quot]บางท่านพยายามทรงฌานเพื่อให้สติต่อเนื่องกันตลอด.... นั่นยังไม่ใช่สัมมาสติ ยังมีการปรุงแต่งฌานอยู่[/FONT]
    [FONT=&quot]อาจทำได้ แต่ต้องทิ้งฌานในที่สุด จึงจะพบสติบริสุทธิ์ตามธรรมชาติจริงๆ[/FONT]
    [FONT=&quot]สติที่ปราศจากการปรุงแต่งเป็น "เรา" เป็นธรรมชาติเดิมล้วนๆ ที่เรียกว่าจิตเดิมแท้[/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วตอนนั้น ผู้ปฏิบัติจะได้พบกับความหมายของอนัตตาจริงๆ .....ว่างจากความเป็นเรา

    ผมเอง วนเวียนกับการที่มีสติแบบเกิดๆ ดับๆ นี้ 17-18 ปี ทำอย่างไรก็ไม่ต่อเนื่อง
    กว่าจะรู้จักสัมมาสติ ในเวลาไม่นาน (ประมาณ 2 ปี กว่าๆ ) สติก็ต่อเนื่องกันได้เอง จากการตื่นรู้ ไม่ใช่จากการบังคับ กำหนดให้มี
    [/FONT]

    [FONT=&quot]หลวงพ่อเทียน กล่าวถึงสติที่ต่อเนื่องเป็นสายนี้ไว้ว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]หากเจริญสติให้ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ไม่ขาดตอนแล้ว อย่างเร็ว 7 วัน อย่างกลาง 7 เดือน อย่างนาน 7 ปี[/FONT]
    [FONT=&quot]อานิสงค์ไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยก็จะบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี[/FONT]
    [FONT=&quot](รู้สึกว่าในพระไตรปิฏกก็มีกล่าวไว้เช่นนี้เหมือนกัน....ถ้าผิดพลาดประการใด ผมขออภัย และขออขมาต่อพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้าไว้ ณ ที่นี้)
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2011
  11. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    สำหรับเรื่องสติในการขับรถ มีประสบการณ์มาเล่าให้ฟังเหมือนกันครับ

    ผมไป ตจว เจอกับมอไซด์เมาเหล้า ขับสวนมาเลนพุ่งมาหาตรงๆ ราวกับจะฆ่าตัวตายเลย
    ผมมาด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 130 เนื่องจากถนนว่าง ....ต้องตวัดรถหลบลงไปในคูกลางถนน
    เป็นคูที่ลึกท่วมหัว ไม่มีน้ำ มีแต่ต้นไม้...ลงไป ขับหลบต้นไม้ไปมา จนกระทั่งตวัดรถขึ้นจากคูมาอีกครั้ง
    ระยะทางในคูร่วมๆ 100 เมตร ขึ้นมาหญ้าเต็มใต้ท้องรถเลย....
    กลับถึงกรุงเทพ ปรากฏว่าเพลากลางคต ต้องเปลี่ยน ดัดไม่ได้ ....แสดงว่าลงกระแทกแรงมาก

    แต่ไม่มีใครได้รับอันตรายเลยครับ ในขณะที่เกิดเหตุการณ์คับขัน สติอัตโนมัติจะทำงาน ตื่นโพลงขึ้นมาทันที
    ในตอนนั้น ผมยังฝึกสติอยู่ ยังไม่มีสติที่ต่อเนื่องเป็นสายเดียวได้ ...ยังมีสติแบบเกิดๆ ดับๆ
    แต่พอเหตุการณ์คับขัน สติมาเต็ม ตื่นตัวสุดๆ ขับรถลงไป จิตไม่มีความตกใจเลยครับ
    จิตนิ่ง ไม่หวั่นไหว แม้จนขึ้นจากคูแล้ว ก็ยังนิ่งอยู่ ไม่แสดงอาการใดๆ นอกจากรู้สึกตัวแบบเต็มๆ

    ด้วยความเร็วขนาดนั้น ความลาดเทของทางลงคู และต้นไม้ที่ขึ้นระเกะระกะในคู
    แต่สติและสมาธิในขณะนั้น ชักนำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด (potential) ในการตัดสินใจ และการบังคับรถไม่ให้พลิกคว่ำและชน

    จริงๆ ก่อนจะตวัดรถลงไปในคู เมื่อตาเห็นภาพมอไซด์กำลังพุ่งเข้ามาหา
    ภาพหมาที่เคยชนจนติดหน้ารถไปก็ปรากฏขึ้น ทำให้ทราบได้ทันทีว่าถ้าชนไปล่ะก็ มอไซด์จะติดหน้ารถไปแบบนั้น
    จิตจึงพิจารณาหาทางไปออกที่ดีที่สุด และก็เลือกที่จะลงคู เพราะไปทางอื่นมีแต่จะชน
    ทั้งเห็นแล้วว่าทางลงคู ไม่มีอะไรขวาง จึงตัดสินใจตวัดรถลงไปครับ....
    เหตุการณ์ที่จิตพิจารณาทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงวินาที เป็นความอัศจรรย์มากครับ เหมือนเวลามันยาวกว่าปกติ
    จิตพิจารณาได้เร็วราวสายฟ้า เลือกทางรอดที่เหมาะสมที่สุดในขณะนั้น โดยประมวลจากสถานการณ์ และประสบการณ์ในจิต....

    ใครเคยประสบเหตุแบบนี้มาแล้ว จะทราบได้เลย

    การมีสติที่ถูกต้อง เป็นสัมมาสติ จะเกิดสมาธิตามธรรมชาติ และตื่นรู้ แก้ไขสถานการณ์คับขันได้อย่างน่าประหลาดใจ
    ต่างจากการฝึกสมาธิที่ขาดสติเป็นตัวควบคุม จิตเผลอจมลงในสมาธิ แม้ไม่มีเหตุการณ์คับขัน ก็อาจเกิดอุบัติเหตุเองได้ อย่างน่าประหลาดใจเหมือนกัน
    คงเหมือนกันสมาธิที่คุณเล่าปังฝึกจนเกิดอุบัติเหตุ อย่างนั้นละมังครับ
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขอบคุณ ที่มาแบ่งปันประสบการณ์ในการปฏิบัติค่ะ
    ได้ความรู้เปิดหูเปิดตาดีค่ะ
    ชอบคำว่า เห็นฌาณ ไม่หลงฌาณ
    ตัณหาหรือความคิดครอบงำก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะเมื่อตัณหาเกิดสติจะรู้
    เมื่อรู้แล้ว เห็นสภาวะการเกิดดับของตัณหา ตัณหาก็จะดับไปเอง และก็จะกลับไปเห็นสภาวะไม่เกิดไม่ดับอีกครั้ง

    สภาวะไม่เกิดไม่ดับ นี่โดยส่วนตัวนี่ไม่รู้จัก
    รู้จักแต่สภาวะจิตสงบจากภาวะเกิดดับชั่วคราว ทำให้มีสติมีปัญญามองเห็นอารมณ์ที่เกิดดับ
    พอดีว่า สมาธิน้อย สติน้อย ยังไม่ถึงขั้นมีสติเป็นสายน้ำ
    แต่พอเข้าใจที่คุณ จขกท.พูดบางเรื่อง เพราะสามีเราเขาก็พูดถึงเรื่องมีสติตลอดตอนที่ขับรถ
    ยิ่งขับรถเร็วมาก จะรู้สึกว่าเหตุการณ์ภายนอกรถมันช้าลง เห็นรายละเอียดมาก จิตสงบนิ่ง ไม่หวั่นไหว
    และสภาวะเห็นฌาณ นี่ก็คล้ายกับที่สามีเราเขาอธิบายให้ฟังอยู่เหมือนกัน
    พอดีตอนนี้สนใจเรื่องฌาณ เพราะสามีกำลังฝึกให้คล่องอยู่ค่ะ ฝึกใช้สมาธิรักษาตัวเอง
    ของสามีเมื่อก่อนเขาจะบังคับตัวเองให้มีสมาธิ ทำมากๆก็เหมือนทำร้ายตัวเองทำให้เครียด
    มีผลต่อร่างกายทำให้ไม่ค่อยสบาย ตอนนี้ฝึกแบบรู้สึกตัว ฝึกดูจิต ระลึกรู้ตัว รู้จิตสบาย
    รู้จิตรวม รู้จิตมันทำงานเอง รู้จิตมันเข้าออกฌาณแต่ไม่รู้ว่าเป็นฌาณระดับไหน ก็อาศัย
    เทียบจากอารมณ์ฌาณจากตำราของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เข้าใจเอาเองว่า ได้คล่องที่ระดับ1
    ในแบบที่ไม่บังคับ ให้จิตมันทำสมาธิเอง โดยใช้อธิษฐานจิตบอกให้จิตทำ
    ก็ประมาณนี้ค่ะ มีอะไรจะแนะนำก็ยินดีค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2011
  13. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    สนใจเรื่องขับรถแล้วฝึกสมาธิ ครับ
    เกือบ ๆ มาก็หลายครั้งครับ
    ด้วยความประมาท ของตัวเอง
    แล้วก็ชอบฟังธรรม ตอนขับรถด้วย
    ทีนี้ แรกๆมันก็ดีครับ มันนิ่ง รวมได้เร็ว
    แต่พอทำได้ มันวูบได้ครับ วูบจริงๆ
    แล้วบางทีอาการ จะเห็นรอบข้างช้าไปก็มี
    บางทีก็จะเห็นแบบทะลุทะลวงก็มี แบบว่า เยอะครับ
    จนตอนนี้ ทุกครั้งที่ขับรถ จะมีแค่ขับรถเท่านั้นจริงๆ
    พอไปคิด ไปทำอย่างอื่น มันจะวับ (เหมือนโดนตี)กลับมาที่ขับรถทันทีครับ
    ประมาทแล้วๆ
    เล่าสู่กันฟังครับผม
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คุณจิตตินนท์ วูบนั่นเขาเรียกว่าขาดสติ ไม่ใช่เข้าสมาธิ
    แต่เป็นจิตมันหลงทำฌาณแบบเข้าฌาณแล้วหลงขาดสติ หลงฌาณ ไม่เห็นฌาณ
    มันคนละอาการกับการมีสติขณะขับรถ แล้วจิตมันเผลอเข้าฌาณก็รู้ก็มีสติได้ทัน
    คนมีสติจริงๆ ไม่มีวูบและดิ่งแบบไม่รู้ตัวหรอก ถ้าวูบดิ่งแล้วไม่รู้เรียกว่าคนขาดสติคนหลับคนหลง
    จิตที่มันรู้การรู้งานเรียกว่าจิตมีสติสัมปชัญญะ จิตมีปัญญามันฉลาดแก้ไขปัญหาและสถานการณ์ได้
    แต่ว่า มันก็แล้วแต่ประสบการณ์ของแต่ละคน เอาประสบการณ์ของตนเองไปตัดสินคนอื่น
    มันอาจเข้าใจผิดพลาดได้

    อาการของคุณจิตตินนท์ที่เป็นตอนขับรถนับว่าอันตราย ถ้ารู้แล้วก็แก้ไขที่เหตุนั้น เรียกว่ารู้ตัวเอง
    เวลาขับรถก็ควรมีสติ ไม่ใช่ไปหลงไปเผลอทำอะไรแล้วไม่รู้ตัว มันอันตราย
    ที่เล่าของสามีให้ฟังขณะขับรถคือเขามีสติตลอดจริงๆ เห็นทุกช็อต รู้อันตราย รู้ตัวว่าไม่หลงไม่หลับ
    รู้ใกล้รู้ไกล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2011
  15. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ครับพี่ขวัญ
    มันขาดสติครับ คือพอเราดิ่งไป มันสว่างวาบบ้าง เห็นอะไรทั้งๆที่ขับรถอยู่บ้าง
    อันนี้ผมเรียกไม่ถูกนะครับ แต่ก็รู้ว่ามันไม่อยู่ในการควบคุมแล้ว
    นั่นก็อาการหนึ่ง
    อาการ นิ่งรู้ ทั่วพร้อม ก็มี
    มันหลากหลายครับ พาให้หลงได้ง่ายกว่า นั่งหลับตาครับ
    ทีนี้ จะบอกว่ารู้ตัวตลอด มันก็ไม่จริง มันวับๆ ไหวๆ ได้
    ผมเองลองพยายามอยู่ครับ
    ตอนนี้ฝึกเรื่อยๆ คือลองขับรถแล้วขับรถจริงๆ ว่าจะถึงที่ได้ปลอดภัยไหม
    ยังไม่ถึงที่สักครั้งครับ ตายระหว่างทางไปหลายรอบเลย
    ตรงนี้จึงทำให้รู้ เห็นอะไรได้ครับว่า
    ความประมาทอยู่กับเราตลอด
    ไม่มีหรอกที่ว่า มีสติอยู่ตลอดเวลา
    (ตรงนี้เป็นความเห็น ผมน่ะครับ)
    แล้วการพูดถึง สติ สัมปชัญญะบริบูรณ์ ตลอดสายล่ะ
    มีไหม หรือทำอย่างไร
    หลวงพ่อท่ากล่าวว่า มี ทำได้
    ทีนี้ก็จะเห็นความแย้งกันเอง ของผมว่า เดี๋ยวบอกว่าไม่มี เดี๋ยวบอกว่ามี
    ยังไงเนี่ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 ธันวาคม 2011
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรื่องมีสติตลอดสาย เนี่ย เราพูดในเชิงว่าเป็นการใช้งานในโลกนะ (อาจไม่ตรงกับ ท่าน จขกท.)
    ถ้าจะพูดว่า ต้องจิตระดับอรหันต์ถึงจะเรียกได้ว่ามีสติตลอดเวลา นั่นก็อีกกรณีหนึ่ง
    ถ้ายังเป็นปุถุชน ยังไม่พ้นทางโลกไม่มีทางที่จะมีสติตลอดสาย มันก็ใช่

    ทีนี้คำว่าสติตลอดสาย ที่พูดๆกันเนี่ย อาจหมายถึงมีสติเกิดมากพอขนาดที่อยู่ในโลกแล้ว
    มีสติทันการใช้งานได้ทันตลอดเวลา ความไวทางจิตของแต่ละคนมันก็ต่างกัน
    ปุถุชนคนธรรมดา บางคน เขาเห็นอะไรที่เดียวก็จำได้หมดเก็บรายละเอียดได้หมดก็มี
    อ่านหนังสือรอบเดียวจำได้ทั้งเล่มก็มี เป็นคนแบบที่มีสติมีสมาธิมากในระดับเป็นเลิศ
    เป็นคุณภาพของจิตนั้นๆ ที่ฝึกปฏิบัติมาจนมีคุณภาพเลิศเมื่ออยู่ในโลกก็มีผลงานแสดงออกที่ดี
    ซึ่งเราไม่ได้เป็นคนแบบนั้นเราก็ไม่รู้สภาวะในแบบนั้น คุณภาพจิตที่ดีเมื่อใช้งานทางธรรมก็ได้ผล
    เร็ว ในทางโลกก็จะเยี่ยมกว่าคนอื่น ถ้ารู้การเอาไปใช้ทางธรรมก็จะได้ผลสำเร็จเร็ว

    ส่วนคนที่มีสติทางธรรมเยี่ยมยอดระดับหนึ่งมันจะส่งผลให้สติที่ทำงานในโลกพิศดารมาก
    ความสามารถของจิตที่ฝึกได้คุณภาพมันก็ต่างกันไปในแต่ละคน
    จขกท. เขาถึงเน้นให้ฝึกเจริญสติให้มากก็จะเข้าใจในสิ่งที่เขาบอก
    กรรมฐานของหลวงพ่อเทียนก็เน้นฝึกความรู้สึกตัว ฝึกเจริญสติไปพร้อมๆกับการฝึกสมาธิ
    ก็เข้าหมวดเจริญสติปัฏฐาน4 ผลที่ได้ก็คือประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง

    ถ้าจะเอาคำพูดในตำราตามบัญญัติมาตัดสินเรื่องประสบการณ์ความรู้
    มันก็เข้าใจกันยาก แต่ถ้าเข้าใจตรงกันได้ มันก็ไม่ต้องมีสงสัย

    ปล.สติทางธรรม หมายถึงสติที่รู้ทันกิเลสตัณหาร้อยแปด สติที่รู้ทันโลกนะ ทำให้เกิดปัญญารู้ธรรม
    เป็นปัจจัยทำให้บรรลุธรรม เป็น มรรค1 ในมรรค8 คือการรู้จักใช้ รู้วิธีเอาไปใช้ในทางธรรม แต่ถ้าอยู่
    ในชีวิตประจำในโลก สติตัวนี้ก็ช่วยเราให้ทำการงานของโลกได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2011
  17. theerasp

    theerasp Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +36
    หลงอีกแล้วละผมนะ เพราะหาคำว่า โศกะ ปริเทวะ ทุกขโทมนัสสุปายาสาปิทุกขา ปิเยหิสัมปะโดยโคทุกโข ปิเหิวิปโยโคทุกโข ยัมปิฉังนะระภะติตัมปิทุกขังไม่เจอ เจอแต่ปิติ แล้วก็ยังเห็นทุกช์อยู่ดี สุขอยู่ที่ใหนละจ๊ะ
     
  18. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .............พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเอกนั้นมีอยู่ ซึ่งเมื่อบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำธรรมทั้ง4ให้บริบูรณ์ ครั้นธรรมทั้ง4 นั้นอันบุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้วย่อมทำธรรมทั้ง7ให้บริบูรณ์ ครั้นธรรมทั้ง7 นั้นอันบุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมทำธรรมทั้ง2ให้บริบูรณ์ได้.............ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติสมาธินี้แล เป้นธรรมอันเอกซึ่งเมื่อบุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมทำโพชฌงค์7ให้บริบูรณ์ โพชฌงค์7 อันบุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมทำให้ วิชชาและวิมุติให้บริบูรณ์ได้............... (อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:
     
  19. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ถ้าใครฟังธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัวบ่อยจะได้ยินคำว่า สติปัญญาอัตโนมัติ จากนั้นจึงจะก้าวสู่ขั้นมหาสติมหาปัญญาที่จำลึกล้ำกว่าขั้นสติปัญญาอัตโนมัติมากมายนัก อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้อีกครั้งครับที่ได้ก้าวไปสู่เส้นทางอริยะมรรค :)

    ส่วนผมยังลุ่มๆตอนๆอยู่ รบกวนท่านเจ้าของกระทู้แนะนำวิธีเจริญสัมมาสติที่ได้ทำมาด้วยครับ อาจจะเข้าได้กับจริตของผม :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2011
  20. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระพุทธวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย แม้เราเองเมื่อยังไม่ตรัสรู้ ก่อนการตรัสรู้ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นอันมาก ภิกษุทั้งหลายเมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นอันมาก กายก็ไม่ลำบาก ตาก้ไม่ลำบาก และจิตของเราก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน................ ภิกษุ ทั้งหลาย เพราะเหตุนี้ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุปรารภว่า กายของเราไม่ลำบาก ตาของเราไม่ลำบาก และจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ดังนี้แล้วไซร้ อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้นพึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี....................(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...