***กสินใน 1 วัน / อรูปฌาน4 ใน 1 วัน***

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย GluayNewman, 18 ธันวาคม 2011.

  1. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ต้องขอโทษคุณ Patoy ด้วยนะครับที่ตอบช้า

    เป็นเรื่องที่ดีมากที่คุณยกเอาข้อความเดิมของผมตรงนี้ขึ้นมาอีกทีนะครับ

    ช่วงนั้นผมยอมรับว่า การที่รู้สึกว่า จิตขาดจากความทุกข์ไป
    เป็นเพราะอิทธิพลของสมถะ ที่ทรงตัวอยู่เองได้ มาช่วยส่วนหนึ่งครับ

    ทำให้ผมเข้าใจผิดว่า จิตขาดจากความทุกข์ไปจริงๆ

    เรื่องนี้ ถ้าใครที่ติดตามอ่านผมมาแต่แรก

    *******************************

    ผมขออภัยอย่างที่สุด

    *******************************


    พอผมวางสมถะลง จึงพบความจริง....
    ทุกวันนี้ผมยังมีความทุกข์ที่เบียดเบียนจิตใจได้อยู่...แต่ก็น้อยนะครับ ไม่มาก

    สิ่งที่ผมปฏิบัติมา ไม่ใช่ผิดทาง เพียงแต่มันยังไม่ตรง 100%
    มันมีอิทธิพลของสมถะมาช่วยอยู่ ไม่ใช่ปัญญาล้วนๆ
    พบความจริงว่า สิ่งที่จะให้เกิดปัญญาล้วนๆ ปัญญาที่จะพาพ้นทุกข์ได้จริงๆ คือ ความรู้สึกตัว


    และทุกครั้งที่มีสติ รู้สึกตัว ความทุกข์ และปัญหาต่างๆ ภายในจิตมันจะถูกสลัดออกไปจากจิตได้ทันที...จิตใจกลับมาปกติ ว่างจากความทุกข์ได้เลยครับ
    เป็นกระบวนการที่เร็วมากครับ ...เหมือนกับว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันเกิดขึ้นในชั่วแว้บเดียว ....แค่รู้สึกตัวเท่านั้นเอง

    จิตหยุดคิดปรุงแต่งได้...
    เรียกว่า นิพพานชิมลอง (สามัญยิกนิพพาน) หรือจิตว่าง ...เป็นสภาวะที่อธิบายไม่ได้ แต่ไม่มีทุกข์เลยครับ ในขณะนั้น
    โพสระยะหลังนี้ ผมจึงมาเน้นเรื่องความรู้สึกตัว อย่างเดียวเลย

    ผมจึงขอย้ำถึงความรู้สึกตัว หรือที่คุณกอบชัย เรียกว่า สติบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ อีกครั้งหนึ่ง
    ขอโพสคลิ๊ปที่รวมการบรรยายเรื่องนี้ไว้ทั้งหมด อีกครั้งนะครับ


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Uol5-8_qWw8&list=PLB5E39DF4C24C0730&feature=view_all"]สติบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ01 - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2012
  2. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ตอบคุณ Patoy นะครับ

    การที่เราไม่รู้ไม่ชี้ หรือ ช่างมัน เป็นการใช้ ปัญญาในขั้น จินตามยปัญญา (คือใช้กำลังจิต) เพื่อให้พ้นจากทุกข์ เป็นวิธีที่ใช้ได้ชั่วคราวครับ

    ส่วนการมีสติ รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ นั้นเป็นสติ ที่ยังขาดสัมปชัญญะนะครับ (ขอโทษนะครับ ขอพูดตรงๆ เพื่อความเข้าใจแบบไม่อ้อมค้อม)
    สัมปชัญญะ แปลว่า ความรู้สึกตัว

    นั่นคือ ถ้ามีสติ ระลึกได้ ตื่นออกจากภวังค์แห่งความเผลอได้ ให้มีสัมปชัญญะ คือความรู้สึกตัว เพิ่มเข้าไป...
    แล้วความคิดปรุงแต่งทั้งหลาย จะดับหมดครับ จิตใจจะปกติ บริสุทธิ์ สบาย อิสระจากการครอบงำของอารมณ์ได้

    แต่การรู้สึกตัวนี้ ต้องเป็นการรู้สึกตัวแบบธรรมชาติ ที่บริสุทธิ์จริงๆ ไม่ได้มีความมั่นหมายใดๆ ในการรู้สึกตัว นี้เลย ตามคลิ๊ปที่คุณกอบช้ยกล่าวเอาไว้
    ถ้าพ้นจากความหมาย จิตจะไม่ทุกข์ครับ ได้เรียนรู้ธรรมไปโดยธรรมชาติ ด้วยจิตเองด้วย
    แต่ก็ยังสามารถคิด และใช้ชีวิตตามปกติได้

    การมีสติบริสุทธิ์ ตามธรรมชาติ มีกฏอยู่ 3 ข้อครับ ตามภาพเลย
    >>>>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    เรื่องความรู้สึกตัวนี้

    ผมอธิบายไว้แล้ว ในหวข้อที่ว่า "ทำไมต้อง รู้สึกตัว" ในหน้า 19
    ถ้าสงสัย รบกวนย้อนทวนกลับไปอ่านอีกครั้งนะครับ
     
  4. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    *****************************
    การปฏิบัติธรรม ..คือ การสร้างเหตุ และ รับรู้ผล


    ขออธิบายคำว่า ผล ก่อนนะครับ...
    ความรู้ในตำรา และสภาวะธรรม ต่างๆ โดยส่วนมากเป็น "ผล" ทั้งนั้นเลยครับ
    เช่น การมีปีติในธรรม.... การว่าง เบา สบาย โปร่ง ....
    ความคิดดับ ...ความโกรธดับ...ความไม่สบายใจ ความอยาก ดับ...
    การเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ...การแยกรูปแยกนาม ...
    การเฉยกับผัสสะที่มากระทบ....การเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ฯลฯ

    ทุกอย่งล้วนเป็นผล จากการที่เรา "สร้างเหตุให้ถึงพร้อม"

    ที่นี้ ความหายของคำว่า เหตุ
    ในแนวทางหลวงพ่อเทียน การสร้างเหตุ คือ **การรู้สึกตัว** ให้เป็น
    คือความรู้สึกตัวตามธรรมชาติๆ นี่แหละครับ...
    เมื่อเรารู้สึกตัวเป็นจริงๆ ถูกทางจริงๆ ...เราก็จะได้รับรู้ผล ตามที่กล่าวมาข้างต้นครับ


    เพราะฉะนั้น หน้าที่เราไม่มีอะไรเลย นอกจากสร้างเหตุ คือ รู้สึกตัวให้เป็น
    หลวงพ่อเทียนให้หมั่นเคลื่อนไหว เพื่อจะรู้สึกตัว รู้สึกตามธรรมชาตินี้ ให้ชัดเจนขึ้น
    = (ไม่ใช่ไปสร้างเหตุ คือไปสร้างความรู้สึกตัวนะครับ) =
    แล้วก็จะเกิดผลขึ้นเอง ตามควรแก่เหตุ ..
    เมื่อรับรู้ผลแล้ว ก็มาสร้างเหตุต่อไป ..ไม่ใช่มัวหลงไหลอยู่กับผล
    หรือไปจับผลมาปฏิบัติแทนเหตุ

    สร้างเหตุ> รับรู้ผล > สร้างเหตุ > รับรู้ผล> สร้างเหตุ........
    เคลื่อไหวรู้สึกตัว > ความคิดดับ จิตใจอิสระ >เคลื่อไหวรู้สึกตัว>...

    จนค่อยๆ ชำนาญขึ้น ....สร้างเหตุปุ๊ป รับรู้ผลปั๊ป...."รู้ปุ๊ป ดับปั๊ป"
    ...และก็สร้างเหตุต่อไปเรื่อยๆ ...จนในที่สุดเป็นเนื้อเดียวกันไป
    ไม่ต้องทำอะไร เป็นอัตโนมัติในตัวเอง เกิดการรู้เองโดยอัตโนมัติ
    ปราศจากการกระทำใดๆ ทางจิต ที่หลวงพ่อเทียนเรียกว่า ...รู้เฉยๆ

    นั่นคือ การที่รู้เอง เห็นเอง หนทางไปสู่การ ตรัสรู้ (คือรู้เอง ไม่ใช่ตั้งใจไปรู้)


    --------------------------------------------------------
    ขอยกตัวอย่าง ผู้ปฏิบัติบางท่าน เอาผลมาปฏิบัติ
    คือตั้งใจมองโลกให้เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    ตั้งใจทำให้ไม่คิด... ตั้งใจทำจิตว่าง ...ตั้งใจไปแยกรูปแยกนาม
    ** หรือแม้แต่ตั้งใจไปรู้สึกตัว**

    นั้นเป็นการกระทำทางจิต เป็นการปรุงแต่ง
    ที่เกิดจากอัตตา มีความคิด แอบแฝงเป็นผู้ตั้งใจไปกระทำ


    อย่างนี้ จึงปิดโอกาศที่จิตจะได้เป็นอิสระในการเรียนรู้เองตรงๆ
    เพราะโดนความคิดแอบแฝงผลักดันให้ไปกระทำแต่แรก

    ส่วนการสร้างเหตุโดยเคลื่อนไหวให้รู้จักว่า ความรู้สึกตัวเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว
    ไม่ได้ไปสร้างอะไรขึ้นมาใหม่ จึงไม่ได้มีการกระทำทางจิตใดๆ
    แถมจะเป็นการปลดปล่อยจิตให้เป็นอิสระจากความคิดที่ครอบงำอยู่
    เมื่อความคิดปรุงแต่งดับไป ...จิตอิสระได้เรียนรู้ ความจริง แบบ รู้เฉยๆ
    ไม่มีความคิด เข้ามาร่วมแจม

    นั่นคือการสร้างเหตุที่ถูกต้อง และจะได้ผลจริงๆ ที่สามารถพิสูจน์ได้

    มาก้มหน้าก้มตาเคลื่อนไหว สร้างเหตุให้ถูก และ แค่รับรู้ผล
    ...โดยแค่รับรู้ ไม่สนใจจะไปยุ่งอะไรกับผล กันเถิดครับ...

    ไม่นานครับ จะรู้ได้ด้วตัวเองว่าความทุกข์มันลดลงได้จริงๆ โดยไม่ต้องเชื่อ ตามใคร
    เชื่อตามผลที่ได้รับนั่นแหละครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2012
  5. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    *******************
    วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฏาคม 2555
    นี้
    ผู้ใดสนใจจะเข้าร่วมการเสวานาเชิงปฏิบัติ Back to the Basic
    เพื่อให้รู้จัก สติสัมปชัญญะ หรือความรู้สึกตัว ตัวจริง สิ่งที่จะพาพ้นทุกข์ได้อย่างเร็ว
    มีการฝึก ทดลองผลกันในเสวนาเลย

    เชิญได้เลยนะครับ ตามรายละเอียดนี้ ...ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ

    https://www.facebook.com/events/347831401954226/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2012
  6. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การไม่คิด

    บางคน (รวมถึงผมสมัยก่อน) เข้าใจว่าการปฏิบัติธรรม ต้อง ไม่คิด
    ไม่คิดแล้วจิตจะสงบ ไม่มีนิวรณ์มารบกวน มีความสุข

    ความคิดเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในทุกคน
    และก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วย
    ถ้าเราทำงานแล้วไม่คิดอะไรเลย จิตใจสงบนิ่ง เจ้านายจะว่ายังไงล่ะครับ
    และการดำเนินชีวิตที่ต้องการคิด วิเคราะห์ปัญหา ตัดสินใจ จิปาถะ
    ...ล้วนต้องใช้ความคิดทั้งนั้น...

    แม้ไม่มีเรื่องอะไรให้คิด ก็คิดฟุ้งซ่านไปเองก็ยังได้
    ผมเรียกว่า "ความคิดขยะ"
    สังเกตุไม๊ครับ วันๆ หนึ่ง เรามี "ความคิดขยะ" มากแค่ไหน

    ปัญหาที่สำคัญคือเราเป็นทาสความคิดโดยไม่รู้ตัวน่ะครับ
    ถูกสอนให้คิด แต่ไม่รู้จักความคิด จึงถูกอิทธิพลจากความคิดเข้าครอบงำ
    ความคิดมักจะพาเราไปทำอะไรๆ ตามที่มันจะปรุงแต่งไป
    เรื่องราวต่างๆ บนโลกนี้ เกิดจากความคิดทั้งนั้นเลย

    และคนส่วนมาจะเรียกเจ้าความปรุงแต่งแบบนี้ว่า เหตุผล
    ถ้าเราไม่รู้จักความคิดนี้ดีแล้ว หลงไปกับมัน
    เราจะไม่มีทางรู้เลยว่า เหตุผล ที่คิดออกมานั้น ประกอบด้วยเหตุปัจจัยอะไรบ้าง

    เราคิดเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า มีอารมณ์ หรืออคติใดๆ เข้ามาร่วมหรือเปล่า
    บางครั้งคนเราอยากได้อะไร หรือไม่ชอบอะไร มันก็จะมีเหตุผล(ที่เราคิดเอง) สนับสนุน เราอยู่เสมอ
    ซึ่งเหตุผลที่เราสร้างขึ้นมา กับความเป็นจริง จะตรงกันหรือเปล่า ...
    คำถามนี้ ถ้าเรายังอยู่ภยใต้อิทธิพลของความปรุงแต่งอยู่ เราจะไม่มีทางรู้เลยครับ
    และผมก็เห็นว่า ส่วนมาก คนเราใช้เหตุผลบนพื้นฐานของความเห็นของตัวเอง และอารมณ์เป็นส่วนใหญ่




    **********************************************
    ทีนี้ กลไก ตามธรรมชาติที่สำคัญ ที่หลวงพ่อเทียนท่านเข้าถึง และนำมาสอนเรา
    นั่นคือ การรู้สึกตัว ...เป็นกลไกธรรมชาติ ที่ทำให้จิตออกจากอิทธิพลของความคิด

    ซึ่งเมื่อจิตออกจากอิทธิพลการครอบงำของความคิด ก็จะมีผลเบื้องต้น คือ

    -- ความคิดขยะ (ความฟุ้งซ่าน) หมดความหมาย ดับไป
    -- อารมณ์ปรุงแต่งต่างๆ ทั้งยินดี ยินร้ายอะไร ดับไป หรือลดอิทธิพลลง
    -- ความคิดที่เราใช้ ทำอะไรต่อมิอะไร จะไม่ค่อยมีอารมณ์เข้ามาผสม
    ....ความคิดจะชัดเจนขึ้น ดีขึ้น เป็นประโยชน์มากขึ้น ไม่คิดเข้าข้างตัวเอง
    -- จิตใจก็ปกติ สบายขึ้น เบาขึ้น เพราะไม่ต้องแบกภาระอารมณ์
    -- รู้จักจิตใจที่ปราศจากทุกข์ได้ ใช้ชีวิตได้ตามปกติ


    ทุกข์เกิดจากความคิดปรุงแต่ง ความคิดปรุงแต่งดับ ทุกข์ก็ดับครับ

    แต่ความคิดที่ยังต้องคิด เพื่อทำหน้าที่ต่างๆ ก็ยังคิดได้ตามปกติ ...คิดแล้วไม่ปรุงแต่งกิเลส
    คิดบนฐานความรู้สึกตัว กับ คิดแบบไม่รู้สึกตัว ต่างกันเยอะครับ

    เน้นครับ....คิดด้วยใจปกติ กับ คิดด้วยใจที่ถูกกิเลสครอบงำ...ต่างกันมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2012
  7. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    อาทิตย์ที่ 1 กค. ที่ผ่านมา

    ได้พี่อัง มาเป็นวิทยากรที่งานเสวนา
    เป็นผู้ที่รู้สึกตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

    เค้าเริ่มจากการ รู้สึกตัวจากการนอน...ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า จะเป็นอริยาบทที่สามารถฝึกความรู้สึกตัวได้ดี อย่างน่าประหลาดใจ
    จนพี่อัง กล่าวว่า ช่างมีอานิสงค์แรงจริงๆ.....ความทุกข์ลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ
    จนซาบซึ้งว่า ** พระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบได้ยังไง **




    ผมเชื่อว่า คนส่วนมาก คิดว่า ถ้านอนก็หลับแน่ๆ ...แต่พี่อังว่าไม่หลับ
    ลองมาดู Clip และลองพิสูจน์กันครับ ว่า นอน...จะรู้สึกตัวได้อย่างไร โดยไม่หลับ
    ** และทำให้พ้นทุกข์ได้จริง **

    มี 2 Clip ก่อนนะครับ (ตั้งใจจะทำทั้งหมด 3 Clip)

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=h4Yc3B3NQMo&feature=autoplay&list=PL3247E639D9765406&playnext=1]ความรู้สึกตัว...ยังไง - YouTube[/ame]
     
  8. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    คนเรามีธรรมชาติมองออกนอกตัว

    เวลาใครมาทำอะไรให้เราไม่พอใจ
    เราก็จะเป็นไปกับเขา...
    เป็นไปตามการพูด การกระทำ ของเขา
    ก็คือ คิดปรุงแต่ง ...ยิ่งคิด ยิ่งปรุงความไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ
    นั่นคือธรรมชาติของคนเรา


    ถ้าเราย้อนกลับมามองตัวเอง
    โดยการแค่ "รู้สึกตัว"
    ก็จะรับรู้ได้เลยว่า จิตใจของเราตอนนี้มันเป็นยังไง
    มันยินร้าย หรือคิดอะไรอยู่
    รู้สึกตัวเฉยๆ แบบไม่วิพากษ์วิจารณ์
    ไม่ต้องสนใจกับความรู้สึกนึกคิดนั้น
    ผ่อนคลาย เคลื่อนไหว ไม่ต้องให้ความสำคัญกับความคิด
    ความรู้สึกอันนั้น มันก็จะคลาย หรือหายไปเอง
    เพราะจิตเราอยู่กับความรู้สึกตัว...ไม่ได้อยู่กับความคิด
    ความคิดมันก็หมดแรงไปเอง



    แล้วเราก็จะรู้ว่า อ๋อ...ที่แท้ สุขทุกข์ มันเกิดที่ไหน
    เกิดที่ใจเรา หรือที่การพูด การกระทำของคนอื่น
    ถ้าเรารู้สึกตัวอยู่ จิตไม่เอาอะไรเข้ามาสู่ใจแล้ว
    มันก็ไม่ทุกข์ ...มันทุกข์เพราะเราหลงความคิด
    ถูกความคิด ความยินร้ายครอบงำ


    ------------------------------------------
    ทีนี้ ใครจะพูดอะไร จะทำอะไร ก็เรื่องของเขา
    เราไม่เกี่ยว คือไม่ไหลไปตามการกระทำของเขา
    เขาก็เป็นอย่างนั้นของเขา

    แต่เราก็มีหน้าที่ของเรา มีอะไรต้องแก้ไข ต้องทำ ก็ทำไป
    ทำด้วยจิตที่ไม่โดนอิทธิพลของอะไรครอบงำ
    ก็เหลือแต่ความคิดที่จะจัดการกับเรื่องราวนั้นๆ จริงๆ ....
    ที่เป็นความคิดที่ไม่เจือด้วยอารมณ์
    เรียกว่า มีปัญญา ครับ
    และจะมีเมตตาตามมาด้วย เพราะความที่เราเข้าใจคนอื่น


    หมั่นรู้สึกตัวไว้....เราจะได้เรียนรู้ตัวเรา
    และเรียนรู้คนอื่นด้วย



    การไม่มองออกนอกตัว เรียกว่า ทวนกระแส
    มันจะไม่ค่อยทุกข์และ มีปัญญา จริงๆ ครับ....
     
  9. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    เสวนาเชิงปฏิบัติธรรม : ติดตั้ง...ระบบรู้สึกตัว

    กุญแจสำคัญของการดำเนินชีวิต เพื่อความพ้นทุกข์ คือ
    ความรู้สึกตัว
    ซึ่งความจริงทุกคนมีอยู่แล้ว แต่ไม่ได้พัฒนา
    เพราะอาจไม่รู้จัก ไม่รู้ว่ามีประโยชน์ (มหาศาล) เลยไม่ได้เน้น โดยติดตั้งเข้าสู่ชีวิตประจำวัน


    ถ้าใครยังไม่ติดตั้งระบบรู้สึกตัว เข้ากับชีวิตให้ได้แล้ว ....ยังติดอยู่กับระบบคิด

    ....ชีวิตจะไม่ปลอดภัยครับ....ความคิด ไม่บริสุทธิ์ เปลี่ยนแปลงตลอด
    ...แต่ความรู้สึกตัวนั้นบริสุทธิ์...
    เป็นควมบริสุทธิ์ ที่จะพาเราค่อยๆ พ้นจากอิทธิพของความคิดอันจะนำไปสู่ความทุกข์

    ------------------------------------------------------------

    หลังจากที่ ได้แนะการรู้สึกตัวในชีวิตประจำวัน... แบบที่ต้องเจอกันทุกๆ วันจริง
    คือชีวิตจริงๆ ของเรา ...(โดยเฉพาะ การนอน)
    เสวนาคราวนี้ ก็จะมาเน้นต่อ ..พยายามติดตั้งความรู้สึกตัว (ที่มีอยู่แล้ว) เข้าไปแนบแน่น ในชีวิตประจำวันจริงๆ

    ก็ขอเชิญเข้าร่วมกัน ...โดยการพิสูจน์ ทดลองรู้สึกตัว ทำ Workshop กันครับ


    ------------------------------------------------------------


    ** คราวนี้จัดวันเสาร์นะครับ ****
    เสาร์ที่ 14 กรกฎาคม 2555 เริ่ม 4 โมงเย็น ถึง 2 ทุ่ม
    แบ่งเป็น 2 รอบนะครับ
    รอบที่หนึ่ง 4 โมงถึง 6 เย็น
    รอบที่สอง 6 โมงครึ่งถึง 2 ทุ่ม
    (ใครเข้าร่วมได้ทั้ง 2 รอบ ก็ยิ่งดีครับ)


    รายละเอียด สถานที่ กำหนดการ ลงชื่อไป ที่


    http://www.facebook.com/events/198640563597407/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2012
  10. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    อัตตา ...ผลึกความคิด


    คนเราตราบใดยังไม่หมดกิเลส ย่อมมีข้อเสียด้วยกันทุกคน
    ข้อเสียที่สำคัญมากๆ อันหนึ่ง คือ "ความไม่ยอม"
    เพราะมันทำให้เรื่องเล็กๆ ขยายตัวออกไปได้เรื่อยๆ
    เจ้าความไม่ยอมนี่แหละ เป็นแบ้คอัพ อยู่เบื้องหลัง ปํญหาใหญ่ๆ...
    ที่กลายพันธุ์ จากเรื่องเล็กนิดเดียว เป็นปัญหาระดับครอบครัว
    ระดับบริษัท ระดับจังหวัด ระดับประเทศ มาเยอะแล้วครับ

    เจ้าความไม่ยอมนี้ สาเหตุมันเกิดจากสิ่งที่เรียกว่า ความคิดปรุงแต่ง
    ...ที่มันทั้งปรุง ทั้งแต่ง....
    คือ เฝ้าย้ำคิด ย้ำจำ ย้ำวิเคระห์ ย้ำเปรียบเทียบ
    ย้ำเข้าไปๆ จนเหนียว จนแน่น ตกผลึกเป็นอัตตา ...
    อัตตานี่มาคู่กับความไม่ยอมเลยครับ ...ซี้ปึ่กกันเลย

    ยิ่งใครตกผลึกอัตตามาก มันจะ Sensitive มาก
    บางคน บางเรื่อง แตะไม่ได้เลย เป็นเรื่องขึ้นมาทันทีเลย
    แล้วก็ไม่ฟังเหตุ ฟังผลกันแล้ว ...เถียงลูกเดียว
    หาเหตุผลมาหักล้างกัน แล้วก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ


    ยิ่งถ้า ต่างฝ่ายต่างมีอัตตา
    อัตตามาชนกันเมื่อไหร่ .... ยิ่งพังหนักไปเรื่อยๆ
    คนฉลาดแล้วมีอัตตามากยิ่งน่ากลัวนะครับ เพราะเหตุผลเค้าเยอะ
    ยกมาเถียงได้ ทุกแง่ ทุกมุม ...แถมมีลูกเล่นแพรวพราว ในการที่จะไม่ยอมซะอย่าง
    คงไม่ต้องยกตัวอย่างนะครับ...คิดว่าเคยเจอกันมาแล้วทุกคน


    ผลึกอัตตา อยู่คู่โลกนี้มายาวนาน......

    ***************************************
    ทีนี้ ...ถ้าเรารู้ว่า ความไม่ยอม มันไม่ดี
    ...ก็ยอมซะซิ....แค่นี้ก็จบ

    ***************************************


    ครับ คำพูดแบบนี้ มันดีนะครับ แต่มันเป็นปรัชญา...
    มันดีจริง แต่คงทำได้ยากถึงโคตะระยาก
    มันเกิดขบวนการควบแน่นจนตกผลึกทางความคิดแล้ว
    จะเอาความคิดแค่ว่า "ยอมๆ ไปเหอะ" ไปสะกิดผิวผลึกอัตตาสุดแน่น
    มันคงไม่สะเทือนเท่าไหร่หรอกครับ...

    ----------------------------------------------------------------------

    ถ้าผู้ใดเห็นโทษของมันแล้ว ...ตั้งใจจะทิ้งเจ้าความไม่ยอม ให้ได้จริงๆ
    เราจึงต้องมีวิธีการค่อยๆ ละลายเจ้าผลึกความคิด
    ** ด้วยการทวนขบวนการของมันกลับ **
    ที่เราเรียกว่า ...ทวนกระแส


    เรารู้แล้วว่า มันเกิดจากขบวนการไหลตามการปรุงแต่ง
    สะสมความคิด ตอกย้ำ วิเคราะห์ เปรียบเทียบ
    เราก็ทวนกลับ โดยการไม่ไหลตามมัน


    เท่ากับเราไม่ไปปรุง..ไปแต่ง..ไปเสริม..ไปเติม..ไปต่อ

    ----------------------------------------------------------------------

    นี่คือเหตุผลว่า ทำไมเราจึงต้องมีสติ...* รู้สึกตัว * ไว้
    เพราะตัวเรา หรือความรู้สึกที่กาย มันไม่มีความคิด
    เมื่อกระแสความคิดมันปรุง ...อยู่กับความรู้สึกที่กายไว้

    มันก็เปรียบเสมือน เรามีที่ยึดเกาะหลักไว้ ไม่ไหลตามกระแสการปรุง
    น้ำก็ยังไหลไป เราไม่ห้าม ไม่กั้นน้ำ แต่ไม่ไหลไปกับน้ำ
    มันจึงเป็นการทวนกระแส โดยอัตโนมัติ

    ที่ไม่ให้ไปกั้นน้ำ เพราะว่า นั้นคือการไปห้ามความคิด
    ใครเคยลองห้ามความคิด (โดยเฉพาะความคิดแรงๆ) จะรู้ว่ามันเป็นยังไง

    ----------------------------------------------------------------------

    ....อะไรที่เราไม่ตาม ไปปรุง ไม่ตอกย้ำ ไม่วิเคราะห์ เปรียบเทียบ
    มันก็จะค่อยๆ ละลายไป กร่อนไป

    เหมือนต้นไม้ขาดปุ๋ย
    เหมือนผลึกเกลือที่เอาไปทิ้งในน้ำ
    ไม่มีอะไรคงอยู่ได้ ถ้าขาดการไปบำรุง รักษามัน

    ----------------------------------------------------------------------

    ...อัตตาเราจะค่อยๆ ถูกทำลายไปเอง ด้วยการหมั่นรู้สึกตัว...
    การทวนกระแส จะเกิดการ "รู้เฉยๆ" ...
    คือ รู้ว่าคิดอะไร แต่ไม่ไหลตามกระแสความคิดปรุงแต่ง
    แค่รู้สึกตัวไว้ ...ไม่ใส่ใจความคิด มันอยากจะคิดปรุงอะไรก็คิดไป

    รู้สึกตัวไว้ รู้สึกที่กาย ความคิดมันจะหมดแรง มันจะค่อยๆ หมดอิทธิพล
    มันก็ค่อยๆ กร่อนผลึกอัตตาเอง



    ทีนี้ พอผลึกมันเริ่มกร่อนบ้างแล้ว ละลายแล้ว มันไม่ควบแน่นแล้ว
    มีปัญหา ใครมาบอกว่า "ยอมๆ ไปเหอะ"...จิตก็จะยอมได้ง่าย
    ปัญหาก็ลดลง ชีวตก็ดีขึ้น เบาขึ้น


    คนที่ไม่ค่อยยอมคน สังเกตุดู จะรู้ว่าความขีวิตมันหนักนะครับ
    เวลาชนะก็ผยองไป ...แต่แพ้นี่สุดแค้นเลย
    จริงๆ มันแย่นะครับ... ทั้งชนะ ทั้งแพ้

    =ทุกคน ไม่มีใครชอบให้คนอื่นมาข่มหรอกครับ=


    ----------------------------------------------------------------------

    มารู้จัก ความรู้สึกตัวกันเถิดครับ ...รู้สึกตัวเป็นแล้ว...อิทธิพลความคิดอ่อนลง
    ...ผลึกอัตตา ย่อมค่อยถูกละลายไปเอง
    ...

    ...........................................................
     
  11. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    Clip # 3 ของพี่อังครับ

    พี่อังเน้นความรู้สึกตัว ในชีวิตประจำวัน
    การหยิบจับ ช้อปปิ้ง ทำงาน ทำครัว กวาดถูบ้าน ฯลฯ
    คือการปฏิบัติธรรมได้ตลอดเวลา

    รู้สึกตัว....ยังไง ตอน 3 - YouTube
     
  12. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    สมถะและวิปัสสนา ในความหมายของผม ...ตอนที่1


    เป็นศัพท์ที่คุ้นหูของผู้ปฏิบัติ และผมคิดว่าคงจะทราบคำแปลกันอยู่แล้ว
    ผมขออนุญาตเขียนเรื่องความหมายของสมถะและวิปัสสนา ตามประสบการณ์ตรงของผม
    ซึ่งอาจแตกต่างความหมายจากตำรานะครับ
    แต่ที่เขียน เพราะหวังให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์จากประสบการณ์ตรงครับ
    ...ตำรานั้น อาจหาอ่านได้ทั่วไป...
    ความหมายตามประสบการณ์จริงนี้ ช่วยให้ผมพ้นจากทุกข์ได้มากจริงๆ

    ______________________________________

    ก่อนอื่น ผมขอให้ความหมายของทั้ง 2 คำดังนี้นะครับ

    @ สมถะ คือ วิธีการเตรียมจิตให้พร้อม
    @ วิปัสสนา คือ การที่จิตเรียนรู้ความจริงตามธรรมชาติเอง

    * ผมขอเน้นคำว่า "เอง" เลยนะครับ ตรงนี้สำคัญมาก *


    การที่เราทำสมถวิปัสสนา ก็เพื่อให้พ้นจากความทุกข์
    ตามประสบการณ์ที่ผมปฏิบัติมา จะต้องมี 2 ขั้นตอนนี้
    จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
    ถ้าปฏิบัติถูก จะมี 2 สิ่งควบคู่กันอยู่แล้ว
    ______________________________________

    เท่าที่ทราบกันอยู่แล้ว ว่า ผมจะเน้นเรื่อง ความรู้สึกตัว
    ความรู้สึกตัวนี้ หากใครรู้จักแล้ว จะเป็นทั้ง 2 ขั้นตอนใน 1 เดียว : 2 in 1
    ทั้ง เตรียมจิตให้พร้อม และ ในที่สุดจิตก็จะเรียนรู้ความจริงตามธรรมชาติได้เอง

    คือ เมื่อรู้สึกตัว จิตจะพ้นจากอิทธิพลจากความคิดปรุงแต่ง
    ผลคือจิตจะไม่ค่อยเกาะเกี่ยวอารมณ์ เพราะอารมณ์เป็นผลจากความคิด
    จิตก็จะมีอาการประมาณปกติ เบา ผ่อนคลาย โปร่ง ค่อยๆ
    ปราศจากอารมณ์เจืออยู่ เป็นเอกเทศ ไม่ถูกปรุงแต่ง มีอิสระในการเรียนรู้
    นี่เป็นการเตรียมจิตให้พร้อม นั่นก็คือสมถะ ในความหมายของผม


    และเมื่อรู้สึกตัวไว้เรื่อยๆ จนเป็นนิสัย จนกลายเป็นเนื้อเดียวกับชีวิต
    คล้ายเราฝึกถีบจักรยาน มันจะกลายเป็นอัตโนมัติไปในที่สุด
    นั่นคือจิตจะมีอิสระ ในการเรียนรู้ความจริงตามธรรมชาติจริงๆ ด้วยตัวจิตเอง
    ไม่มีการแอบเจือจากความคิดปรุงแต่ง
    อันนั้นจะเป็นวิปัสสนาจริงๆ



    การเรียนรู้ความจริงตามธรรมชาติ เป็นหน้าที่ของจิตอยู่แล้ว
    นั่นคือ จิตเรียนรู้ "เอง"...ที่ผมเน้นว่า เอง นะครับ
    เพราะจิตมีหน้าที่ รู้ อยู่แล้ว...
    แต่ที่จิตไม่รู้ความจริง เพราะหลงไปกับความคิดปรุงแต่ง
    จึงบดบังความจริงแท้ไปหมด

    ______________________________________


    เมื่อเรียนรู้ถึงที่สุดแล้ว จิตจะเข้าใจเองว่าอะไรเป็นอะไร
    มีการพัฒนาตนเอง ไปสู่ความพ้นทุกข์ได้เอง จนถึงที่สุด
    ตามตำรา ตรัสรู้ จึงแปลว่า รู้เอง
    ทุกคน ทุกท่านที่เข้าถึงที่สุด เรียกว่า ตรัสรู้ คือรู้เอง หมดนะครับ
    ไม่ใช่เฉพาะพระพุทธเจ้า...

    พระพุทธเจ้าท่านสอนวิธีให้เวไนยสัตว์ "ตรัสรู้" เอง
    ไม่ใช่สอนให้เชื่อตามท่านนะครับ
    ______________________________________

    ทีนี้มาถึงปัญหาอยู่ 2 ประเด็น

    ข้อ 1 : ไม่รู้จักความรู้สึกตัว ที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้จริงๆ
    ข้อ 2 : บางครั้ง เจอเรื่องหนักๆ แล้วความรู้สึกตัว ช่วยไม่ได้


    นี่คือประเด็นที่ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้เลย
    การแก้ปัญหาข้อที่ 1 ก็พยายามศึกษาจากในกลุ่มหลวงพ่อสมบูรณ์
    เข้าสู่ระบบ | Facebook

    สามารถ โทรหาหลวงพ่อ หรือมาคุย สอบถามกับคุณกล้วยB2, พี่อัง, ผม
    และเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อฝึกฝนให้รู้จักตรงนี้ได้นะครับ...ยินดีเป็นอย่างยิ่ง


    ส่วนปัญหาข้อที่ 2
    อันนี้สำคัญ...
    ถ้ารู้สึกตัว ยังแก้ปัญหาไม่ได้ แก้อารมณ์ไม่ตก
    อันนี้แหละครับ ต้องมาเน้น การเตรียมจิตให้พร้อม...
    เราจึงต้องทำสมถะ สำหรับบางกรณี บางเหตุการณ์ และบางคนนะครับ

    การเตรียมจิตให้พร้อม หรือ สมถะ ที่ผมหมายถึง
    ไม่ใช่เฉพาะการทำสมาธิอย่างเดียว


    มีอะไรบ้าง .....จะมาเล่าต่อตอน 2 ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2012
  13. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    สมถะและวิปัสสนา ในความหมายของผม ...ตอนที่ 2


    ผมขออนุญาตเขียนเรื่องความหมายของสมถะและวิปัสสนา ตามประสบการณ์ตรงของผม
    ซึ่งอาจแตกต่างความหมายจากตำรานะครับ
    หวังให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์จากตรงนี้
    ความหมายตามประสบการณ์จริงนี้ ช่วยให้ผมพ้นจากทุกข์ได้มากจริงๆ ครับ


    ______________________________________

    ตอนที่ 2 นี้ ผมจะขอเน้นเรื่อง สมถะ ก่อนนะครับ
    ทบทวนก่อนว่า ผมให้ความหมาย สมถะว่า

    @ สมถะ คือ วิธีการเตรียมจิตให้พร้อม

    ถ้ารู้สึกตัวเป็น ก็จะเป็นการเตรียมจิตให้พร้อม ไปในตัวอยู่แล้ว
    แต่ปัญหา ก็คือ บางครั้ง บางเหตุการณ์ หรือบางคน...

    รู้สึกตัวแล้ว ยังแก้ปัญหาไม่ได้ แก้อารมณ์ไม่ตก
    เช่น เวลาเจอปัญหาหนักๆ ..ไม่สบายใจมากๆ...เครียด ..โกรธมากๆ
    ทุกข์ใจสุดๆ หรือแม้กระทั่งป่วยหนักๆ...
    ติดอารมณ์อยู่ ...รู้สึกตัว เป็น ชม. หรือเป็นวันแล้ว ....แก้อารมณ์ไม่ได้เลย

    อันนี้แหละครับ ต้องมาใช้ สมถะ ช่วย

    สมถะ ตามตำรา หมายถึงอุบายในการทำจิตให้สงบ
    ซึ่งเรามักจะมุ่งเน้นความหมายเฉพาะการทำสมาธิอย่างเดียว


    แต่จริงๆ แล้ว มีวิธีทำให้จิตสงบ หรือ ที่ผมให้เรียกว่า
    ...วิธีการเตรียมจิตให้พร้อม...นั้น มีหลายวิธีมากๆ ครับ

    ถ้าจิตเราสงบลง หรือพร้อม อารมณ์ไม่รุมเร้า ไม่บีบคั้นมากแล้ว
    การมารู้สึกตัวจะเป็นไปได้โดยไม่ยากเลย

    ______________________________________

    ผมจะลองประมวลดูนะครับ ว่าอะไรจะเป็นอุบายทำให้จิตพร้อมได้บ้าง

    -- ทำสมาธิ (ผมอยากจะเน้นว่า เป็นสมาธิที่รู้สึกสบายๆ ไม่ใช่สมาธิแบบเพ่งนะครับ)
    -- ใครเคยฝึกตามหลวงพ่อสมบูรณ์ ให้ "ดูความรู้สึก เฉยกับความรู้สึก" นะครับ
    -- การเอาใจเขามาใส่ใจเรา : เวลาหงุดหงิดกับใคร หรือไม่เป็นไปอย่าที่เราหวัง
    -- การแผ่เมตตา : โดยเฉพาะกับคนที่เรารู้สึกเคียดแค้นเขา
    -- คิดบวก : อันนี้ต้องพยายามฝึกเอาไว้นะครับ
    -- ฟังธรรม : ในเน็ตเยอะแยะเลยครับ
    -- สนทนาธรรม : เราควรมีครูบาอาจารย์ หรือกัลยาณมิตรดีๆ ไว้ครับ
    -- สวดมนต์ เป็นการเตรียมจิตที่ดีมากอย่างหนึ่ง
    -- คุยกับเพื่อนดีๆ หรือผู้ที่มีจิตใจดี (อย่าไปคุยกับคนช่างยุนะครับ)
    -- อ่านหนังสือดีๆ หนังสือธรรมะ หนังสือที่ให้แง่คิด
    -- ปลง ...
    -- ทำงานอดิเรกเบาๆ ที่เราชอบ
    -- ออกกำลังกาย (แบบผ่อนคลาย เช่น ไทเก็ก โยคะ ยิ่งดี)
    -- เดินเล่น นั่งจิบชา ในบรรยากาศธรรมชาติ
    -- ดูรายการดีๆ ที่ให้ข้อคิด
    -- นอน พักผ่อน ผ่อนคลาย วางสิ่งต่างๆ ออกจากใจ
    -- บิดเนื้อบิดตัว กระโดดโลดเต้น ให้ตื่นตัว ในกรณีหดหู่ เซื่องซึม
    -- ทำตัวให้กระฉับกระเฉง อย่าจมแช่อยู่กับอารมณ์
    -- ช่างมัน ทิ้งมันออกไปจากใจซะ
    -- ยอมๆ ไปเถอะ
    -- ให้อภัย
    -- อาบน้ำนานๆ
    -- ไปนวดผ่อนคลาย
    -- ป่วยก็รีบรักษา พยายามรักษาใจไว้ด้วยนะครับ
    ... ฯลฯ ...



    ทุกอย่างที่กล่าวมา(ซึ่งอาจมีมากกว่านี้) เป็นการปรับอารมณ์ ปรับจิต
    จากแบกอารมณ์อยู่ ต้องให้วางก่อน
    เตรียมจิต ให้มีความสบาย เหมาะสม


    ถ้าจิตยังวุ่นวาย ยังทุกข์ ยังไม่สบายใจมาก ยังฟุ้งซ่านอยู่
    ก็ต้องพยายามปรับจิตด้วยอุบายต่างๆ

    ผมเชื่อว่า คงเจอปัญหาแบบนี้กันมาทุกคน ไม่มากก็น้อย
    เราก็ต้องพยายามหาอะไรที่เหมาะกับตัวเรา
    คือทำแล้ว แก้อารมณ์ได้จริง แล้วควรรีบทำด้วยครับ
    ...มีอะไรไม่ดีในจิตปุ๊ป รีบแก้ไขปั๊ป ฝึกให้เป็นนิสัย...
    อย่าปล่อยให้อารมณ์เกาะกุมจิตใจนานๆ มันจะยิ่งแก้ยาก


    นี่ก็คือให้จิตพร้อม ...ถ้าไม่พร้อม ...จะไปฝึกจิตอะไร มันจะทำไม่ได้เลยครับ

    ______________________________________

    ส่วนปัญหาในขั้นนี้ คือความเพลิน ซึ่งทำให้การเตรียมจิตนั้นเกินพอดีไป
    กรณี ใช้อุบายต่างๆ ให้จิตรู้สึกดีขึ้น สงบลง ไม่จมความทุกข์แล้ว
    จิตก็อาจไปติดอยู่กับผลที่เกิดขึ้นในขั้นนี้ได้


    เมื่อจิตพร้อม อารมณ์สงบ จิตเป็นปกติแล้ว
    ต้องก้าวไปสู่วิปัสสนา (วิธีที่ผมปฏิบัติ = รู้สึกตัว) ต่อไปครับ
    ผมจะชี้แจงปัญหาตรงนี้ ในตอนต่อไปนะครับ
     
  14. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ขอเชิญร่วม....

    ปฏิบัติธรรมเชิงเสวนา – ทานบารมีกับวิถีอารยะ


    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
    ....คุณกล้วย B2 (กอบชัย)
    จะไปร่วมพูดคุยเสวนากับทุกๆ ท่าน... โดยมีเนื้อหา 2 ส่วน


    1 ทานอันประเสริฐ 3 ลำดับ 3 ส่วน และ สันติภาพ
    2 เทคนิคการทำทานผ่านจิต (ภาคปฏิบัติ)



    รายละเอียด / ลงชื่อเข้าร่วม / สอบถาม ได้ที่

    ปฏิบัติธรรมเชิงเสวนา – ทานบารมีกับวิถีอารยะ | Facebook
     
  15. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    การเล่าถึงประสบการณ์เข้าถึงธรรมชาติเดิมแท้ ของคุณกล้วย B2

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=29GsPWD1xdo]การเข้าถึงธรรมชาติเดิมแท้ - YouTube[/ame]
     
  16. Pompaka

    Pompaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +351
    ทำได้ภายในหนึ่งวัน...มันง่ายดายขนาดนั้นเลยเหรอครับเนี่ย
     
  17. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ไม่ใช่ของง่าย และไม่ใช่ของยากครับ

    ในคลิ๊ปกล่าวไว้ ไม่ใช่ 1 วันนะครับ คุณกอบชัย ใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์
    แต่ก็ยังนับว่าเร็วอยู่ดี ใช่ไมครับ...

    เรื่องนี้คงดูเหลือเชื่อไปหน่อย

    ถ้าสะดวก อยากเชิญเข้าร่วมเสวนา ได้พูดคุยและสอบถามกับคุณกอบชัย (กล้วย B2) ได้โดยตรงเลย
    ตามวันเวลา และสถานที่ ที่โพสไว้แล้วนะครับ (5 สค 55)


    ทุกอย่าง รอการพิสูจน์ ไม่ใช่ให้เชื่อตามครับ
     
  18. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    สมถะและวิปัสสนา ในความหมายของผม ...ตอนที่ 3


    ผมขออนุญาตเขียนเรื่องความหมายของสมถะและวิปัสสนา
    ตามประสบการณ์ตรงของผม
    ซึ่งอาจแตกต่างความหมายจากตำรา นี่ก็เป็นตอนที่ 3 แล้ว
    หวังให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์จากตรงนี้
    ตามประสบการณ์จริงนี้ ช่วยให้ผมพ้นจากทุกข์ได้มากจริงๆ ครับ
    ตอนนี้ยาวหน่อยนะครับ.....ผมเชื่อว่าเป็นปัญหาสำคัญเลย

    ______________________________________

    สรุปความของทั้ง 2 ตอน คือ การปฏิบัติธรรมต้องประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ
    1 จิตต้องพร้อม
    2 เมื่อจิตพร้อม จะเกิดการเรียนรู้ธรรมชาติเอง

    _______________________________
    _______

    ความรู้สึกตัว จะเป็นคำตอบทั้ง 2 ขั้นตอน


    แต่ตามที่กล่าวไว้ในตอนที่ 2 บางคนอาจมีปัญหาหนัก
    ฝึกความรู้สึกตัวแล้ว ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้
    ต้องอาศัยอุบายต่างๆ ก่อน ดังที่กล่าวไปในตอนที่ 2


    ผมขอเน้นอีกที
    ถ้าจิตยังไม่พร้อม ยังจมความทุกข์มากๆ อยู่ ยังฟุ้งซ่าน
    ยังมีอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมดในจิตใจ
    หรือป่วยมากๆ ก็เป็นอุปสรรคเหมือนกัน
    การปฏิบัติธรรม (รู้สึกตัว) จะยาก
    หรือบางทีอาจรู้สึกไม่อยากปฏิบัติเลย ขี้เกียจไปเลย


    ตรงนี้ต้องแก้ไขจิตใจก่อนครับ
    จิตยังไม่พร้อม...จะรู้สึกตัว หรือเรียนรู้อะไรได้ยาก
    สำหรับผู้ที่ยังไม่ชำนาญ จิตไม่พร้อม ...ให้มารู้สึกตัวเลย
    บางที มันแก้ปัญหาไม่ได้ รู้สึกตัวเป็น ชม. ๆ ก็แล้วตาม
    ยังจมปัญหาอยู่....

    แต่สำหรับผู้ที่ชำนาญแล้ว ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรในจิตใจ
    รู้สึกตัว ก็จะทุเลา หรือหมดปัญหาไปได้
    ผู้ชำนาญมากๆ..จะเป็นอย่างที่หลวงพ่อเทียนกล่าว
    *** รู้ ปุ๊ ป..... ดั บ ปั๊ ป *** เลย

    ______________________________________

    แต่ละคนมีปัญหาไม่เหมือนกัน
    ดังนั้น จึงต้องหาอุบายที่เหมาะสมกับตัวเอง

    ลองดูในตอนที่ 2 หรือค้นหาอุบายให้ตัวเอง
    เพื่อให้จิตใจสงบจากปัญหาก่อน
    แล้วจึงค่อยๆ ปฏิบัติ ( รู้สึกตัว)
    แบบนี้ จะง่ายครับ


    ตรงนี้ ตามประสบการณ์ผม
    ขอเตือนด้วยความปรารถนาดีว่า
    = มีปัญหาอะไรให้รีบแก้ อย่าปล่อยให้มันเกาะกุมจิตใจนาน
    หากไม่พยายามแก้ไขแต่แรก นานไปมันจะแก้ยากขึ้นเรื่อยๆ ครับ=


    ต้องรีบลุกขึ้นสู้กับปัญหาเสียแต่ทีแรก
    มิฉะนั้น ถ้าเกิดความท้อแท้ เบื่อหน่าย ขี้เกียจแล้ว จะแก้ลำบาก
    ซึ่งตามประสบการณ์ผมเอง เคยเบื่อจนเลิกปฏิบัติไปเลย เป็นปีๆ
    คือหมดความใส่ใจ สนใจในการปฏิบัติไปเลย
    มาใช้ชีวิตตามกระแสโลกๆ...

    ซึ่งพอกลับมาปฏิบัติใหม่ในภายหลัง เพราะรู้สึกว่าโดนทุกข์บีบคั้นมากๆ แล้ว
    รู้สึกเสียดายเวลาเลยครับ....
    และที่สำคัญ เลิกไปแล้ว มาฝึกใหม่จะรู้สึกยาก
    เพราะเหมือนกับจะรู้สึกว่า....
    ของเคยทำได้ ทำไมคราวนี้ทำไม่ได้ (วะ)


    นั้นแหละครับ มีปัญหา ไม่รู้จักแก้ปัญหา
    ปล่อยให้ปัญหาครอบงำ จนเสียกระบวนท่า แล้วมาเสียดายทีหลัง


    ______________________________________


    ฉะนั้น เราจะต้องมีวิธีหรือ อุบายที่เหมาะสมกับตัวเองเอาไว้เรื่อยๆ
    ....มีปัญหาปุ๊ป ให้รีบแก้ปั๊ป....
    แก้ได้แล้ว จิตเริ่มสงบลง เริ่มพร้อม
    ให้ฝึกรู้สึกตัว ...ต่อเลย

    มันจะไปตามขั้นตอน 1 เตรียมจิตให้พร้อม
    2 ให้จิตเรียนรู้ความจริงเอง

    เมื่อจิตพร้อมแล้วรู้สึกตัวต่อ มันจะเกิดทั้ง 2 ขั้นตอน
    มันจะค่อยๆ ทำลายปัญหานั้นไปได้เรื่อยๆ ครับ
    คราวหลัง ปัญหาเดิมๆ จะเบาลงๆ
    แลัวอาการต่างๆ ก็จะลด ถอยลง
    การปฏิบัติก็จะง่ายขึ้นเรื่อยๆ
    และมีกำลังใจปฏิบัติได้เอง เรียกว่า ฉันทะ

    มันจะพัฒนา ไปจนกระทั่ง มันเข้าไปอยู่ในสำนึก
    ไม่มีการเบื่อ ขี้เกียจ ไม่เลิก ไม่ละจากการปฏิบัติเลย
    ผมเรียกว่า Point of no return ครับ
    ______________________________________


    เน้นนะครับ มีปัญหาให้รีบแก้
    ถ้าแก้ไม่ได้ ...รีบปรึกษาครูบาอาจารย์
    รีบปรึกษากัลยาณมิตร...ทันที
    อย่าปล่อยให้คาราคาซังไว้ (อย่างเด็ดขาด)


    คนส่วนมากมักจะปล่อยปัญหาไว้ ไม่รีบแก้ครับ
    เมื่อก่อนผมก็เป็น และก็เห็นว่าคนส่วนใหญ่ก็เป็น
    หรือไม่ บางคนก็มักติดกับวิธีเดิมๆ ...ที่แม้ไม่ค่อยได้ผล ก็ทนทำ
    เพราะเนื่องด้วยศรัทธา
    คิดว่าทางนี้ ยังไงก็ต้องถูก ทั้งๆ ที่ปฏิบัติไป ก็ทุกข์ๆ ไป อยู่อย่างนั้น
    เช่น โกรธลดลง แต่ไปทุกข์กับเรื่องอื่นแทน เช่น ทุกข์เพราะห่วงคนอื่น
    ทนทำไปเป็นปีๆ วนเวียนกับ ทุกข์ๆ สุขๆ
    ชีวตดีขึ้นมานิดนึง จิตใจชื่นบานขึ้นหน่อย ก็สรุปเหมาว่า ก้าวหน้าแล้ว

    แต่ทุกข์ หรือ อัตตา อีกบานตะไท ทีไม่ลด ไม่เสื่อม กลับมองข้ามไป
    แบบนี้เป็นศรัทธาแบบงมงาย ไม่ใช่ศรัทธาที่เกิดจากปัญญาครับ


    ถ้าปฏิบัติได้ถูกจรอง ความทุกข์ ปัญหาต่างๆ ในขีวิต รวมทั้งอัตตา
    ....จะลดลงเร็วครับ.... 6 เดือนนี่ต้องเห็นผลชัดๆ แล้ว (ถ้าเป็นคนไม่เหยาะแหยะ)


    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
    ตอนที่ 3 นี้ว่าจะพูดถึงปัญหาเรื่องการเตรียมจิต
    แต่ผมว่า เน้น เรื่องนี้ก่อนดีกว่า

    *** มีปัญหา...ให้รีบแก้ อย่าจมแช่กับปัญหา ***


    ตอนที่ 4 ผมค่อยแจงปัญหาในขั้นตอน การเตรียมจิตให้พร้อม นี้นะครับ
     
  19. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747

    สมถะและวิปัสสนา ในความหมายของผม ...ตอนที่ 4



    ตอนนี้ จะกล่าวถึง "ปัญหา" การเตรียมจิตให้พร้อม
    ปัญหาที่อาจเกิดในขั้นนี้ คือ "ความเพลิน"
    ซึ่งทำให้การเตรียมจิต "เกินพอดี" ไป

    ยกตัวอย่างเ เช่น กรณี ใช้อุบายต่างๆ
    ให้จิตรู้สึกดีขึ้น สงบลง เช่น การทำสมาธิ
    ผู้ปฏิบัติก็อาจเพลินอยู่กับผลของสมาธิ เช่น สุข นิมิต หรือสงบ
    จิตก็ไปติดอยู่ตรงนั้น ....ไม่เขยิบมาในขั้นที่ 2
    ....คือการให้จิตเรียนรู้ความจริง....


    ตามประสบการณ์ผมที่ผ่านมา เห็นว่า ผู้ที่ติดอยู่กับสมาธิ เยอะมาก
    สมาธิ เป็นสิ่งที่ละเอียด เป็นเครื่องติด และ หลงได้ง่าย
    บางคนเกิดนิมิตต่างๆ หรือสภาวะแปลกๆ
    รู้สึกว่ากิเลสลดลง (เพราะทรงสมาธิได้ หรือสมาธิข่มไว้) ..
    แล้วก็นำสภาวะที่เกิดไปเทียบกับตำรา
    อาจเข้าใจว่า ก้าวหน้าในธรรม หรือบรรลุธรรมเลยก็มี
    ธรรมชาติคนเรา มักคิดเข้าข้างตัวเองอยู่แล้ว



    สมาธินี่ ทำให้เกิดสภาวะลึกซึ้งได้เกินคาดนะครับ
    และก็มีสภาวะหลากหลายมากๆ ..มากจริงๆ
    แต่ละคนแทบจะมีสภาวะไม่เหมือนกันเลย......
    อย่าได้ประมาทเชียว


    ไม่ใช่แค่สมาธิอย่างเดียว การคิดบวก /
    เอาใจเขามาใส่ใจเรา / การแผ่เมตตา / อ่านธรรมะ ฯลฯ
    ถ้าจิตดีแล้ว ไม่กลับมารู้สึกตัว
    ก็เป็นเหตุให้หลงคิดวนเวียน เพลินอยู่กับความคิดดีๆ นั้นได้
    เรื่องดีๆ มีความสุข นี่ก็เป็นเหตุให้ติดหลงง่ายมาก


    สรุป...เมื่อจิตพร้อม อารมณ์สงบ จิตเป็นปกติแล้ว
    ต้องก้าวไปสู่วิปัสสนา คือมารู้สึกตัว ต่อไปครับ


    --------------------------------------------------------------

    เมื่อจิตพร้อม มารู้สึกตัวแล้ว....
    คุณกล้วย B2 ได้ให้อุบายในการระวังการติดหลงเอาไว้
    ...ไม่ว่าสภาวะอะไรจะเกิดขึ้น...
    *** อย่าสรุป ***


    ความรู้สึกตัว ถ้าใครสัมผัสได้จริงแล้ว
    จะทราบว่าเป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ปราศจากความหมายใดๆ
    รู้สึกตัวไว้ มันจะไม่มีอะไร ไม่มีการมั่นหมายว่าได้อะไร
    ไม่มีการสรุปว่า / ดีขึ้น / ก้าวหน้า / ถอยหลัง / ดี / ร้าย ฯลฯ
    เป็นการ รู้เฉยๆ จริงๆ ...ไม่เข้าไปให้ค่าอะไรในสิ่งที่รู้


    แต่เชื่อเถิดครับ คนเรามักจะ สรุป / ให้ค่า / หรือตั้งความหวังอะไรไว้เสมอ
    เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด



    ปฏิบัติไปแล้ว จิตดี ก็ยินดี....ถ้าทุกข์ ก็ยินร้าย
    แล้วก็มักจะคอยสังเกตุว่า มันก้าวหน้าหรือเปล่า
    ถ้าก้าวหน้า ก็ยินดีอีก ...ถ้ารู้สึกแย่ ก็ยินร้าย

    มันเป็นผลมาจากการสรุป / ให้ค่า ทั้งนั้นเลย
    แบบนั้น จะเกิดการมั่นหมาย หรือ ยึดมั่น ทันที

    ถ้ารู้ซื่อๆ รู้เฉพาะปัจจุบัน
    ...ทุกข์ก็รู้สึกตัว สุขก็รู้สึกตัว...คิดก็รู้สึกตัว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็รู้สึกตัว
    มันจะไม่มีอะไร ไม่เกิดการสรุป ให้ค่าอะไร
    สุดท้ายมันจะ "รู้เฉยๆ "...
    แล้วนี่แหละครับ...จิตจะได้เรียนรู้ความจริงด้วยตัวจิตเอง
    ไม่มีความรู้สึก หรือควมคิดปรุงแต่งใดๆ มาผสมโรง



    มันจะค่อยๆ อยู่เหนือปัญหาได้ครับ...

    --------------------------------------------------------------

    เคยมีคนมาถามหลวงพ่อสมบูรณ์ว่า
    "หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ หรือเปล่าครับ"
    หลวงพ่อท่านตอบว่า.... "หลวงพ่อไม่ได้เป็นอะไรเลย"
     
  20. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    Clip ทานบารมีกับวิถีอารยะ ตอนที่ 1

    ตามที่เสวนาไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม 2555

    สรุปความว่า...ทุกชีวิต มีความสัมพันธ์กัน ทั้งเกื้อกูลและเบียดเบียน ...ในทุกๆ ความสัมพันธ์ ไม่มีเว้นเลย...จริงหรือไม่ ดูคลิ๊ปนี้ครับ

    ...คุณกล้วยB2 แสดงถึง การแผ่เมตตา ด้วยสมาธิ
    ที่ไม่แอบเจือไปด้วยความเบียดเบียนซ่อนอยู่เบื้องหลัง....

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=rdYDp3HrQZ8]ทานบารมีกับวิถีอารยะ_01 - YouTube[/ame]
     

แชร์หน้านี้

Loading...