กระทู้เผยแพร่การบำเพ็ญพุทธภูมิและปัจเจกภูมิ จากพระสังฆโตปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย เฮ้งตงเอี๊ยง, 14 พฤศจิกายน 2008.

  1. Sarikanon

    Sarikanon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +22
    ในห้วงศาสนา ของพระสมณะโคดม
    ย่อมมีธรรมของพระองค์ท่านอยู่ แค่คุณได้ยินว่า ละขัน 5 ละอวิชา เพื่อบรรลุอรหันต์
    ฯลฯ
    แล้วหลังจากนั้น คุณก็บรรลุอรหันต์ แค่นั้นคุณก็ได้กลายมาเป็น สาวกภูมิแล้ว
    ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ

    การบรรลุปัจเจกพุทธเจ้า ต้องไม่รู้ไม่เห็นธรรม ไม่รู้เลยหนทางที่จะดับทุกข์
    คิดเองเห็นเอง ทำเอง บรรลุเอง โดยที่ไม่มีใครมาเปิดทางให้ เค้าถึงบอกว่าถ้าสมัยของพระสมณะโคดม ยังไม่หมด จะเกิดปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะธรรมของพระองค์ท่านยังคงอยู่ ผู้ที่ต้องการหลุด ย่อมได้เห็น ธรรมย่อมเคยได้ยินได้เห็น ธรรมของพระองค์ แม้ว่าจะอยู่ในรูปแบบต่างนิกายก็ตาม มันก็เป็นธรรมของพระองค์ ดังนั้นจะเกิดปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้

    ส่วนยุคที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะตรัสรู้ ก็ไม่มีเลยธรรมของพระพุทธเจ้าองค์ใดเหลืออยู่เลย พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็หลีกทางเข้านิพพานหมด พระองค์ก็ตรัสรู้เองเห็นเอง คิดหนทางที่จะถ่ายทอดเอง ไม่มีใครมาบอก ว่าทำแบบนี้แล้วจะหลุดพ้นนะ


    สรุป สาวกภูมิ คือ บรรลุตามทางที่ พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้แล้ว แค่คำว่า ละอวิชาได้แล้ว ท่านก็เป็นสาวกภูมิแล้วหรือรู้ ว่าจริงๆแล้วโลกไม่ได้มี3โลกมีนิพพานอยู่จริง แค่นี้ก็สาวกภูมิแล้ว เพราะคำว่าหลุดพ้นจาก3โลก คำว่า นิพพานกล่าวโดยพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
    ส่วนสาวกนำมาถ่ายทอดต่อ ไม่ได้ตรัสรู้เอง
    พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรรลุธรรมด้วยตนเองไม่มีใครมาสั่งสอน ไม่เคยได้ยินธรรมจากใคร ไม่เคยได้เห็นธรรมจากใคร ในชาติที่ตรัสรู้

    ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ ที่จะมีพระปัจเจกพุทธเจ้า อยู่ในสมัยของพระพุทธเจ้า
    เพราะธรรมของตถาคตยังคงอยู่
     
  2. NikuSeed

    NikuSeed เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    336
    ค่าพลัง:
    +724
    สิ่งที่ท่าน จขกท กล่าวมา ท่านกำลังกล่าวว่าพระไตรปิฏกเป็นเท็จอยู่
    ขอให้รู้เอาไว้ด้วย
     
  3. ลมหายใจสุดท้าย

    ลมหายใจสุดท้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    419
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ชักจะเพี้ยนกันไปใหญ่แล้ว ... พระปัจเจกพุทธเจ้าจะลงมาตรัสรู้ตอนที่โลกว่างเว้นจากพุทธศาสนา ในช่วง อันตรายกัปป์ สุปกัปป์(ไม่รู้พิมพ์ผิดรึเปล่า) ช่วงนี้เป็นช่วงภัทรกัปป์มีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสแล้ว 4 พระองค์ เหลืออีก1 พระองค์ คือ พระศิอาร และช่วงนี้เบิ้ล 2 คือ มีภัทรกัปป์ 2 ช่วงติดกัน เลย มี 10 พระองค์ ครับ อย่านำคนอื่นหลงทางสิครับท่าน...
     
  4. cmhadtong

    cmhadtong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +2,034
    ความจริง เป็นได้ทั้งความเชื่อ และความจริง
    ความเชื่อ อาจเป็นความจริง หรือไม่จริงก็ได้
    โลกก็เป็นเช่นนี้แล เดินให้ถูกทางก็ไปนิพพานได้
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     
  5. สมภาพธรรม

    สมภาพธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +845
    ท่านอาจารย์กรได้เมตตาเล่าเรื่องของพระปัจจเจกพุทธเจ้าว่า..

    "...พระปัจเจกพุทธเจ้า มีหลายคนยังเข้าใจท่านผิดในเรื่องการสร้างบารมี การตรัสรู้ธรรม และการสั่งสอนสรรพสัตว์ ใครก็ตามที่ปรารถนาความเป็นพุทธะ ไม่ว่าจะเป็นอนุพุทธะหรือพระอรหันต์ ปัจเจกพุทธะ หรือ สัมมาสัมพุทธะ ล้วนมีจิตที่เหมือนกันคือความเมตตาเป็นพื้นฐาน บุคคลใดก็ตามที่ปรารถนานิพพานไม่ว่าจะนิพพานแบบไหนๆต้องมีเมตตากรุณาจิต จะมากน้อย ขึ้นอยู่กับความปรารถนาในจุดหมายที่จะไป พระปัจเจกท่านก็มีเมตตาต่อสรรพสัตว์นะ ท่านสอนเป็นบุคคลๆไป คำว่าปัจเจกะ แปลว่า เฉพาะบุคคล หรือ เฉพาะตน คำว่า พุทธะ นี้ ไม่ได้หมายความว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานเพียงอย่างเดียว พุทธะนี้มีความหมายที่ลึกซึ้ง สุขุมคัมภีรภาพ ครอบคลุมไปถึงการมีจิตที่มีเมตตากรุณาไม่มีประมาณด้วย ครอบคลุมถึงการสั่งสอน การนำพาสรรพสัตว์พ้นจากทุกข์ด้วย ถ้าเราภาวนา พุทโธ แล้วถึง พุทโธ จริงๆ มันมากว่าที่เขียนไว้ในตำราหลายล้านเท่า บรรยายอยู่ล้านปีก็ไม่หมด ผุ้ใดถึงความเป็นพุทธะนี้ มันไม่มีประมาณ

    ฉะนั้น พระปัจเจกท่านสอนเฉพาะคน ท่านเลือกสอน ไม่ได้สอนทุกๆคนอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    การตรัสรู้ธรรมของพระปัจเจก ก็ยังมีข้อสงสัยหลายอย่าง ในพระไตรปิฎกก็ยังคลุมเครืออยู่ ตามจริงแล้วผู้บำเพ็ญปัจเจกพุทธเจ้าสามารถตรัสรู้ธรรมได้ตลอดเวลา ยกเว้นเวลาเดียวคือเวลมหาโพธิสัตว์ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จะเกิดขึ้นพร้อมกันไม่ได้ เมื่อมหาโพธิสัตว์องค์ไหนตรัสรู้โพธิญาณแล้ว ผู้บำเพ็ญปัจเจกพุทธเจ้าสามารถตรัสรู้ต่อจากนั้นได้ทันที เมื่อสำเร็จปัจเจกโพธิธรรมแล้ว ก็หลีกหนีเข้าป่าเขาไป เพราะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอยู่ พระปัจเจกท่านจะอยู่รวมกันเป็นหมู่ เวลาออกบิณฑบาตจะแยกกันไปตามหมู่บ้านต่างทีละ 9-10องค์ แต่เวลาทำภัตกิจจะมารวมกัน

    ท่านก็สอนนะ สอนพวกฤาษีชีไพรตามป่าเขา ถ้าคนๆนั้นมีบุพกรรมร่วมกับท่านมา ปัจเจกภูมินี่พิเศษกว่าสาวกภูมิและพุทธภูมิอย่างเดียวตรงที่ ปัจเจกโพธิสัตว์สามารถตรัสรู้ธรรมได้ตลอดเวลา ทุกยุคทุกสมัย แม้ในสมัยของพระสมณโคดมก็ยังมีพระปัจเจกเกิดขึ้นหลายพระองค์ ที่สำคัญถ้าช่วงเวลาไหนจะมีมหาโพธิสัตว์มาตรัสรู้โพธิญาณต้องรอให้มหาโพธิสัตว์องค์นั้นตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณก่อน ปัจเจกโพธิสัตว์จึงจะตรัสรู้ธรรมได้ ต้องรอก่อน จะมีพระองค์ก็ได้ เพราะอะไร บารมีของพระสัมมาสัมพุทะเจ้าไม่มีประมาณ แม้บารมีของปัจเจกพุทธเจ้าล้านล้านล้านล้านพระองค์ก็ยังไม่เท่าบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียว

    ความรู้เช่นนี้ต้องเกิดจากการภาวนาจริงๆนะ ปัจเจกพุทธเจ้าท่านอยู่ทุกที่ เรายังเคยพบเลย ท่านมาอนุโมทนากับการบำเพ็ญของเรา มากันมากนับไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าก็อุบัติขึ้นมานับไม่ถ้วนเช่นกัน ยิ่งพระอรหันต์นี่ไม่มีประมาณ อยู่ทุกๆที่ ที่เรียกว่าธรรมชาติ

    ถ้าอยากรู้ทุกอย่างตามเป็นจริง ไม่ใช่รู้ตามตำรา ที่เขียนที่เล่ามา ต้องปฏิบัติจิตภาวนาอย่างเดียว มีลูกศิษย์คนนึงให้ปฏิบัติมหาสติปัฏฐานสี่ ไม่เคยศึกษาเรื่องนี้มาเลย เราให้ภาวนา "กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ" คำเดียว ลูกศิษย์คนนั้นบอกว่า จิตเข้าไปรู้ลมหายใจก่อน แล้วไปรู้เรื่องกาย อาการ 32 รู้เรื่องอสุภะ 10 ประการ เรื่อง ธาตุทั้ง 4 และเวลาอยู่ในอิริยาบถต่างๆก็รู้ชัดทุกๆอิริยาบถ มีสัมปชัญญะเกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์

    พออาจารย์ ได้ฟังนะ อนุโมทนาเลย เพราะจิตรู้เองตามธรรมชาติ และตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าทุกประการโดยไม่ผิดเพี้ยน นี่เรียกว่า รู้จากการภาวนา ต้องทำให้ได้อย่างนี้ ....
     
  6. tee666

    tee666 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +14
    ความเห็นแบบเดาๆๆ

    ข้อสรุปโดยย่อ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    (1.)จะเป็นพระพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญบารมี ให้ครบ (2.) ต้องมีการประชุมกันในชั้นเทวดาเลือกเทพบุตรที่สวรรค์ชั้นดุสิตต้องเปิดทางให้เทพบุตรลงมาเกิด (3.)พระโพธิสัตว์ได้ทรงพิจารณาดู 4 ประการคือ กาล 1 ทวีป 1 ประเทศ 1 ตระกูล 1 พระมารดา 1 (ถ้าเห็นว่ามีมีพระปัจเจกก็จะไม่ลงมาเกิดแน่นอนเพราะพระพุทธเจ้าอุบัติยากทุกอย่างต้องสมบูรณ์) (4.)พระพุทธองค์ตรัสว่า แผ่นดินไหวด้วยสาเหตุ 8 ประการ เป็นการประกาศพระโพธิสัตว์ประสูติ (5.) โลกธาตุหนึ่ง มีพระพุทธเจ้าเพียงองค์เดียว *๑ และคฤหัสถ์ผู้สำเร็จอรหันต์แล้ว ย่อมมีคติ ๒ ประการ คือบรรพชาในวันนั้น ๑ปรินิพพานในวันนั้น ๑ ไม่อาจเลยวันนั้นไปได้<o:p></o:p>
    (ตามข้อความที่ 5 ยังไงก็ไม่มีพระปัจเจกอยู่เช่นกันเพราะโลกรองรับพระพุทธเจ้าได้องค์เดียวและคฤหัสถ์ไม่มีกำลังมากพอที่จะรองรับพระอรหันต์) (6.)พระกัจจายะนะ ปรารถนาเป็นพระปัจเจกก็ต้องบำเพ็ญบารมีต่อ พระเทวทัตก็จะเป็นพระปัจเจกเช่นกัน (7.) พระธาตุของพระพุทธเจ้า และพระธรรมของพระพุทธเจ้ายังคงอยู่รัศมีของพุทธันดรยังคงแผ่กระจายไปทั่วจักรวาลเหล่าเทพเป็นพยานได้ (8.) การเกิดและตรัสรู้ของพระปัจเจกก็มีลักษณะคล้ายพระพุทธเจ้าเช่นกันแต่การบำเพ็ญบารมีไม่เท่าพระพุทธเจ้า (9.)ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วไม่มีช่องว่างให้พระปัจเจกลงมาเกิดได้เลย คือช่วงต้นมีการหาผู้บำเพ็ญบารมีครบ การประกาศการลงมาเกิด และการคงอยู่ของพุทธันดร (10.)ช่วยไปบอกอาจารย์ท่านด้วยว่าปัจจุบันนี้ไม่มีพระปัจเจกจริงๆๆ อย่าทำให้คนหลงเชื่อมันบาปนะ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ปล.หลักฐานยังมีอีกชุดใหญ่เลยแค่นี้เหอะ<o:p></o:p>
     
  7. kiatti1234

    kiatti1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,839
    ค่าพลัง:
    +811
    บางพูดเหมือนยิ่งหลงทาง ผมคิดว่านะครับ
     
  8. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    [​IMG]


    เราควรศึกษาในส่วนของความรู้ในส่วนตำรา
    พร้อมๆไปกับ ความรู้ที่มีอยู่นอกตำรา

    และ ควรจะเคารพความคิดของท่านอื่นด้วย
    การจะเป็นผู้นำจิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องยาก
    ต้องเปิดใจให้กว้าง
     
  9. ราศีสิงห์

    ราศีสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    815
    ค่าพลัง:
    +2,118
    พระปัจเจกพุทธเจ้าสามารถตรัสรู้เวลาในยุคๆเดียวกันหลายพระองค์ได้ อาจเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านพระองค์ก็ได้ แต่ถ้าอยู่ในช่วงที่มีพระพุทธเจ้า หรือมีพระศาสนา ท่านก็อาจลงมาบำเพ็ญเพียรบารมีเพิ่มเติมเท่านั้น (เหมือนพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีนั้นแหล่ะ)แต่บุคคลที่ปรารถนาเป็นพระปัจเจกก็คงมีเช่นกัน เช่นพระนักบวชบางองค์ ฤษีชีไพรก็ได้ แต่ไม่มีทางตรัสรู้ ท่านที่ปรารถนาเป็นพระปัจเจกนี่ท่านชอบสันโดษมักน้อยเทศนาไม่เก่งไม่ค่อยสุงสิงกะใครหรอกเป็นคนไม่ชอบวุ่นวาย แต่หาทางพ้นทุกข์โดยไม่พึ่งใครและไม่อยากให้ใครมาสอนหรือเป็นครู

    ถ้าตามแนวทางของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤษีท่านได้ตอบไว้คงเข้าใจมากขึ้น)

    จาก หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา เล่ม ๔


    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านต้องบำเพ็ญบารมีนานไหมครับ จึงจะตรัสรู้ได้....?
    หลวงพ่อ : พระปัจเจกพระพุทธเจ้า ท่านบำเพ็ญบารมีเท่ากับพระอัครสาวก คือ 2 อสงไขยกับแสนกัป
    ผู้ถาม : ท่านตรัสรู้เองใช่ไหมครับ.....?
    หลวงพ่อ : ใช้ ลงคำว่า พุทธเจ้า ต้องตรัสรู้เอง คือไม่ต้องรับคำสอนจากคนอื่น
    ผู้ถาม : มีเฉพาะตอนที่มีพระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ....?
    หลวงพ่อ : เจ๊ง...พระปัจเจกพระพุทธเจ้าจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อวางจากพระพุทธเจ้า ไม่ใช้มีพร้อมพระพุทธเจ้า อย่างศาสนานี้สิ้นไป ในช่วงว่างก่อนจะถึงพระศรีอาริย์ ในช่วงนี้มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้า สมัยพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเวลานี้ก็ไม่มีสาวก ก็มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ทั้งหมด เพราะปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้บรรลุเพียงองค์เดียวอย่างพระพุทธเจ้า ก็มีได้เป็นหมื่นเป็นแสน แต่พระพุทธเจ้าจะต้องมีองค์เดียว มีซ้อนไม่ได้
    ผู้ถาม : แล้วทำไมพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเมื่อท่านตรัสรู้แล้วจึงไม่สอนเหมือนกับพระพุทธเจ้าครับ....?
    หลวงพ่อ : เกิดทันรึ...รู้เหรอว่าท่านไม่สอน เคยพบหรือเปล่า....?
    ผู้ถาม : ?....?....?
    หลวงพ่อ : ท่านสอน จะว่าไม่สอนเลยนั้นไม่ใช่ แต่ว่าไม่สอนถึงอริยสัจ ถ้าไปศึกษากับท่าน ท่านก็สอนแค่อภิญญาโลกีย์ ส่วนที่ตัดเข้าถึงมรรคผลนั้นเป็นเรื่องของบุคคลนั้นเอง ปัจเจก เขาแปลว่า รู้เฉพาะตน ความจริง คำว่า "เฉพาะ" ก็มีเฉพาะส่วนที่เป็นอริยสัจเท่านั้นเองนะ
    ผู้ถาม : ถ้าอย่างนั้นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าก็รู้หมดทุกอย่างใช่ไหมครับ....?
    หลวงพ่อ : รู้หมด....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซิ รู้ไม่หมด
    ผู้ถาม : อ้าว...ทำไมยังงั้นล่ะครับ
    หลวงพ่อ : ถ้าถามปัญหาพระพุทธเจ้า ท่านรู้ทุกอย่าง รูไม่หมดสักที พระปัจเจกพระพุทธเจ้าถามไปถามมา...หมด นี่เขา เรียกว่า รู้หมด
    ผู้ถาม : อ๋อ...แหมศัพท์ภาษาไทยนี่ไม่รู้เรื่อง อยู่ห่างวัดเป็นอย่างนี้
    หลวงพ่อ : เป็นอันว่าพระปัจเจกพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องสวรรค์ เรื่องพรหม แต่เรื่องนิพพานท่านไม่สอนใคร เพราะไม่ใช้หน้าที่ของท่าน
    ฉะนั้นพระถ้าเข้าถึงจุดหมายปลายทาง ท่านจะรู้หน้าที่ของท่าน อย่างพระที่ยังไม่เป็นอรหันต์ เป็นหมอดู เป็นหมอรักษาโรค เราใช้ได้ทุกอย่าง ท่านจะทำให้ทุกอย่าง พอถึงอรหันต์ปั๊บ ท่านรู้เลยว่าท่านเกิดมานี่เพื่อทำกิจอะไร.....อย่างอื่นที่ไม่ใช่ของท่าน ท่านจะไม่ทำ จะงดหมด ท่านทำเฉพาะกิจ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ท่านสอนเรื่องสวรรค์ เรื่องพรหม แต่เรื่องนิพพานท่านไม่สอน
     
  10. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    สิ่งที่ผมยังไม่ปักใจเชื่อ มีคนยืนยันว่าเกจิบางองค์
    ท่านเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าไปก็หลายองค์แล้ว

    แม้แต่คนที่ยืนยันก็ตายไปแล้ว
    แต่ผมได้รับการฟังและเก็บบันทึกเอาไว้จน จกท.
    ได้เล่าว่าอาจารย์ของท่านเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า

    ดูไปก็มีมูลนะท่าน
     
  11. ราศีสิงห์

    ราศีสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    815
    ค่าพลัง:
    +2,118



    เราต้องเชื่อพระพุทธเจ้า เราต้องเชื่อพระไตรปิฏก และเราต้องเชื่อในพระอริยะเจ้า
    (ถ้าเราไม่เชื่อทั้ง 3 ประการ เราก็มีความเห็นแย้งกับพระพุทธเจ้า ตรงข้ามกับพระพุทธเจ้า กลับกลายเป็นว่าเราอาจปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่รู้ตัวมันคงไม่คุ้มกับชีวิตเราที่จะดิ่งลงเหวลึกแห่งอเวจีเป็นแน่แท้) การบำเพ็ญบารมีของผู้ปรารถนาพระปัจเจกก็เหมือนกันกับพระโพธิสัตว์ทั่วๆไป มี ทาน ศีล ภาวนา เหมือนกัน แต่อาจแตกต่างกันที่ว่า พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ในอนาคต ก็มี ทาน ศีล ภาวนา แต่ท่านจะเน้นไปในทางช่วยเหลือสังคมโดยส่วนรวมมากกว่าส่วนตน และเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าในยุคนั้น ๆ ส่วนผู้ที่ปรารถนาเป็นปัจเจกนั้นล้วนก็มี ทาน ศีล ภาวนา เช่นเดียวกันมี่ส่วนช่วยเหลือสังคมเช่นเดียวกัน แต่อาจน้อยถ้าเปรียบกับพระโพธิสัตว์ เพราะผู้ปรารถนาเป็นพระปัจเจกมุ่งสู่การบำเพ็ญเพื่อหลุดพ้นเพื่อตนเองก่อนนั่นเอง....แต่เมื่อท่านบรรลุธรรมเป็นพระปัจเจกแล้วท่านก็มความเมตตาสงเคราะห์สัตว์โลกเช่นกัน แล้วแต่จะมีมนุษย์คนไหนในยุคนั้นที่พอมีบุญบารมีพอที่จะบรรลุธรรมได้ แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านไม่ตั้งศาสนาหรือเผยแผ่คำสอนเท่านั้นเอง)
     
  12. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852


    ท่านใดที่สอนให้ผู้อื่นเชื่อโดยปราศจากความเป็นจริงที่มีประโยชน์ ย่อมขัดกับคำตรัสสอนของพระผู้มีพระภาคในเรื่องกาลามสูตร 10 ประการ ซึ่งในข้อ 10 พระพุทธองค์ตรัสไม่ให้เชื่อไม่ว่าจะเป็นครูอาจารย์ซึ่งรวมถึงพระพุทธองค์ด้วยเช่นกัน ยกเว้นแต่จะเห็นว่าเป็นประโยชน์ เป็นกุศลกรรมถึงค่อยนำไปยึดถือปฏิบัติ


    ในสมัยครั้งพุทธกาลมีภิกษุกลุ่มหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า มีความต้องการฟังธรรม เพื่อจะนำภาวนาปฏิบัติในสถานที่ต่างๆ พากันฟังด้วยความตั้งใจ เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้จดจำเอาหมวดธรรมนั้นๆ ใส่ใจเอาไว้เป็นอย่างดี แล้วกราบลาพระพุทธเจ้าเพื่ออกธุดงค์วิเวก หาสถานที่ภาวนาปฏิบัติต่อไป ในขณะที่เดินทางอยู่นั้น บังเอิญได้ไปพบพระสารีบุตร ทั้งสองฝ่ายก็ได้สนทนาธรรมซึ่งกันและกัน กลุ่มที่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้ามาก็ได้เล่าหมวดธรรมที่ได้ฟังจากพระพุทธเจ้าให้แก่พระสารีบุตรฟัง แล้วถามพระสารีบุตรว่า ธรรมที่ได้ฟังจากพระพุทธเจ้าสอนมาอย่างนี้ๆ พระสารีบุตรเชื่อหรือไม่ ท่านพระสารีบุตรก็ตอบทันทีว่า ข้าพเจ้ายังไม่เชื่อพระเหล่านั้นเมื่อได้ฟังพระสารีบุตรตอบว่าไม่เชื่อเท่านั้น ก็เกิดความโกรธภายในใจ พระเหล่านั้นจึงได้นำเรื่องนี้กลับไปกราบทูลพระพุทธเจ้า แล้วเล่าเหตุการณ์ที่ได้ไปสนทนาธรรม กับพระสารีบุตรในหมวดธรรมต่างๆ แต่พระสารีบุตรไม่เชื่อ

    เมื่อพระพุทธเจ้าได้รับฟังอย่างนี้ พระองค์ก็ให้พระเหล่านั้น ไปนิมนต์พระสารีบุตรเข้าเฝ้าทันที พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามพระสารีบุตรว่า ธรรมที่เราตถาคตได้อธิบายให้พระเหล่านี้ได้รับฟัง ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมที่เป็นของจริงทั้งนั้น ที่ว่าพระสารีบุตรไม่เชื่อนั้นจริงหรือไม่ พระสารีบุตรได้กราบทูลต่อพระพุทธเจ้าว่า จริงพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าถามต่อไปว่า ทำไมจึงไม่เชื่อในธรรมของเราตถาคตเล่า พระสารีบุตรได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ธรรมหมวดนั้นๆ ข้าพระองค์ยังไม่ได้พิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริงก่อน ข้าพระองค์จึงตอบพระเหล่านี้ว่า ยังไม่เชื่อในธรรมหมวดนั้นพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า นี้ภิกษุทั้งหลาย พระสารีบุตร เป็นนักปราชญ์ผู้ฉลาดในธรรม ไม่เชื่ออะไรง่ายดายเหมือนพวกเธอ พวกเธอทั้งหลายควรเอาแบบอย่างพระสารีบุตรผู้เป็นปราชญ์นี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2010
  13. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    [​IMG]

    ท่านผู้เจริญภาพนี้กระผมให้ชื่อว่าพระพิชิตมารท่านวสุธรรม

    ข้าแต่มหาบุรุษผู้สูงสุด ข้าพเจ้าขอนอบน้อม

    สรรเสริญพระองค์ทั้งโลกนี้ และ เทวโลก

    พระองค์จะขนสัตว์ที่ชาญฉลาดให้ข้ามพ้นวัฏฏสงสาร

    บรรลุนิพพานในครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน<!-- google_ad_section_end -->
     
  14. ราศีสิงห์

    ราศีสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    815
    ค่าพลัง:
    +2,118

    อนุโมทนาสาธุครับ
    ถูกต้องแล้วครับ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่อ้างอิงมาจากพระไตรปิฏกเราก็ย่อมเชื่อตามนั้น
    สิ่งใดไม่มีพระไตรปิฏกเราก็อย่าเชื่อ (เชื่อได้-ไม่เชื่อได้ แต่ให้พิจารณาด้วยสติปัญญา ไม่ใช่ถูลู่ถูกังเชื่อ ทุกอย่างย่อมมีเหตุและผล และยุติด้วยเหตุและผล

    อนุโมทนาอีกครั้งครับสาธุ
     
  15. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    คำว่า เชื่อ นั้นมันมีหลายนัยยะ ผู้มีปัญญาทั้งหลายพิจารณาแล้วควรแล้วหรือ จะตัดใจว่าสิ่งนั้นดี หรือไม่ดี แต่ความศรัทธาและความเชื่อนั้น จะนำเราไปสู่การพิจารณา ประพฤติ ปฏิบัติตาม ที่พระศาสดาชี้ทาง จึงจะเกิดผลแห่งความเชื่อและศรัทธานั้น ดังนั้น เชื่อ อย่างเดียวจึงไม่ใช่สิ่งที่พระศาสดาพึงปราถนาจะให้เป็น แต่ดีแล้วที่มีความเชื่อ ความศรัทธา เป็นที่ตั้ง เพราะเชื่อแล้วก็ต้องประพฤติตาม เมื่อประพฤติตามแล้วได้ผลตามที่ควรจะเป็นแล้ว ก็จะยิ่งส่งผลให้ยิ่งเชื่อและศรัทธามากขึ้น ตามลำดับ เรื่องไร้สาระเพ้อเจ้อทั้งหลาย ที่สิ่งที่ไม่เป็นของๆตน เป็นเรื่องของผู้อื่น พึงละเสีย นี่ถึงเรียกว่า เชื่ออย่างมีเหตุผล ศรัทธาอย่างมีเหตุผล
    ยินดีด้วยกับท่าน ที่กลับมามีพระรัตนตรัยเป็นสรณะอีกครั้งหนึ่ง อย่าได้หลงไปอีกเลย พึงกระทำตนให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์จริงๆเสียทีเถอะ จะได้ไม่เสียเวลาเป็นหลายๆอสงไขย ซึ่งช้าและนานมากเกินกว่าจะบรรยาย
    อนุโมทนาครับ
     
  16. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ไม่แสดงความเห็น แต่เตือนด้วยความหวังดีว่า

    ถ้าใช่ ก็รอดตัว ตายไปก็เข้าพระนิพพาน

    ถ้าไม่ใช่ ก็รับกรรมไป ตายไปก็ลงอบายภูมิ

    เอวัง ด้วยประการฉะนี้
     
  17. pra_TopSecret

    pra_TopSecret เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +868
    อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม ครับผม
     
  18. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    รู้หรือไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมาหรือไม่มานั้นยังไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ คำว่า พระพุทธเจ้าหมายถึง ตรัสรู้ชอบได้ด้วยตนเอง หาได้ก๊อปใครมา หรืออยู่ใต้ร่มแห่งแนวทางของใคร นั่นหมายถึง ย่อมไม่มีคำว่าพระพุทธเจ้ามาก่อนเสียด้วยซ้ำในขณะก่อนจะมีพระพุทธเจ้า ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกก็เช่นเดียวกัน หากถามว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า มีทีเดียวหลาบองค์ได้ไหม ก็ตอบว่า ไม่มีใครบอกได้ รู้เพียงว่าขึนชือว่า พระพุทธเจ้าแล้ว จะซ้อนทับเหลื่อมล่ำกันด้วยทางใดๆนั้นย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะไม่เป็นพุทธประเพณี เช่นเดียวกันกับในเรื่องของลำดับการตรัสรู้ ทำไมพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ที่เป็นมหาโพธิสัตว์ บารมีเต็ม คิดว่ามีมากก็มากคิดว่ามีน้อยก็น้อยจึงไม่แซงกัน จึงให้เป็นไปตามเหตุตามลำดับ สิ่งที่ต่างกัน แต่ประเด็นจริงๆคือ การจะรักษาศาสนานั้นจะต้องเทิดทูน ศาสนาพุทธเป็นเอก คือ มีหนึ่งเดียวไม่ได้มีสองสามสี่ห้าหก แต่เห็นว่ามีหลายอันนั้น มันเป็นไปตามกรรม ที่เกิดขึ้นในแต่ละกาล หากมีพระพุทธเจ้าทีเดียวหลายพระองค์ ความสำคัญหรือความเป็นเอกก็จะไม่มี
     

แชร์หน้านี้

Loading...