กรมหลวงชุมพรฯ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ๛อาภากร๛, 2 กันยายน 2010.

  1. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    [​IMG]

    ดวงพระชาตาของเสด็จเตี่ย
    ขันเงิน มีรูปอาร์มสลักพระนาม อาภากร
    เครื่องวัดแดด ของเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ มีจารึกพระนาม Abhakara
    ระฆังของเรือพระร่วงปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ จังหวัดสมุทรปราการ
    ฉลองพระองค์ ทรงใช้สวมเมื่อคราวทรงพระราชตามขบวนแห่พระศพ รัชการที่ 5
    ภาพจริงไว้จะหาโอกาสลงให้ครับ

    เพลงพระราชนิพนธ์ ของเสด็จเตี่ย เสด็จเตี่ยท่านมีความชํานาญงานนิพนธ์ ทรงใช้เวลาในการเขียนเพลงเป็นงานอดิเรกด้วย

    [music]http://palungjit.org/attachments/a.1172467/[/music]​
    ดาบของชาติ
    ดาบของชาติ เล่มนี้ คือชีวิตเรา
    ถึงจะคม อยู่ดี ลับไว้

    สำหรับสู้ ไพรี ให้ชาติ เรานา
    ให้มิตรให้ เมียให้ ลูกแล้ ชาติไทย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2010
  2. DMZ_ZONE

    DMZ_ZONE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +649


    อ่านแล้วของขึ้นครับ.....ซึ้ง
     
  3. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ประวัติอย่างย่อ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา
    พลโท พลเรือโท พลอากาศโท พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา (ประสูติ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2447 - สิ้นพระชนม์ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2489) ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงเป็นพระโอรสพระองค์แรกใน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ประสูติแต่ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์

    เมื่อประสูติ ทรงพระนามว่า หม่อมเจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เมื่อพระมารดาทรงน้อยพระทัยพระบิดา และปลงชีพพระองค์เอง เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับพระองค์ไปเลี้ยงดู ทรงเอ็นดูเป็นพิเศษและโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเป็น พระหลานเธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452

    พระองค์ทรงทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ร่วมกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอ๊อศคาร์นุทิศ กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์, เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม), พลเอกเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม อินทรโยธิน) และ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) และทรงลาออกเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2487 โดยในระหว่างที่ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น พระองค์ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา

    [​IMG]
    ประวัติอย่างย่อ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม นครปฐม
    ประวัติหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หรือ พระราชธรรมาภรณ์ จนฺทสุวณฺโณ
    ท่านเกิดเมื่อวันอังคารที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ.๒๔๓๓ ตรงกับวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีขาล ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

    หลวงพ่อเงิน ได้อุปสมบทเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2453 โดยมีเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม ในขณะนั้น เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายา “จนฺทสุวณฺโณ”

    หลวงพ่อเงิน ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม เมื่อปี พ.ศ.2466 และท่านได้ละสังขารด้วยอาการอันสงบ เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2520 ณ โรงพยาบาลรามาธิบดี

    ประชาชนใน ต.ดอนยายหอม ตลอดจนประชาชนที่มีจิตศรัทธาต่อวัดดอนยายหอม ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม ดังนี้
    1. จัดงานวันคล้ายวันมรณภาพหลวงพ่อเงิน ระหว่างวันที่ 9-13 มกราคม ของทุกปี เพื่อเป็นการระลึกถึงบุญบารมีของหลวงพ่อเงิน เพื่อให้ประชาชนใน ต.ดอนยายหอม และประชาชนทั่วไปที่มีจิตศรัทธาได้สักการะ โดยในช่วงงานจะมีพิธีบวชพราหมณ์ เพื่อเป็นการรักษาศีล ตลอดจนเป็นการสร้างความสามัคคีของชาว ต.ดอนยายหอม

    2.จัดงานปิด ทองกลางเดือน 4 ขึ้น 15 ค่ำ ของทุกปี เป็นงานประจำปีที่จัดขึ้นเพื่อให้ประชาชน ต.ดอนยายหอม และประชาชนทั่วไป ได้เข้ามาสักการะทำบุญ บำเพ็ญกุศลปิดทองรอยพระพุทธบาท รูปปั้นคุณยายหอม รูปจำลองหลวงพ่อเงิน ศิลาเสมาธรรมจักร ซึ่งขุดค้นพบที่เนินพระเจดีย์ ใกล้วัดดอนยายหอม

    3.จัดงานคล้ายวันมรณภาพหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม เจ้าอาวาสรูปต่อจากหลวงพ่อเงิน และเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้โด่งดังอีกท่านหนึ่ง ระหว่างวันที่ 9-13 ธันวาคม ของทุกปี เพื่อเป็นการระลึกถึงบุญบารมีของหลวงพ่อแช่ม ที่มีอุปการคุณต่อชาว ต.ดอนยายหอม ตลอดมา

    เดี๋ยวค่อยมาเล่าต่อนะครับ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2010
  4. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    คราวหนึ่ง มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แต่งตัวภูมิฐานแบบขุนนางสมัยเก่า เดินอย่างสง่าเข้าไปหาหลวงพ่อ เมื่อเชิญให้นั่ง เขาก็เอ่ยขึ้นมาว่า
    "นี่ท่านเป็นหมอด้วยหรือ เห็นมีหยูกยาเยอะแยะ ?"
    "อาตมาไม่ได้เป็นหมด ยาที่มีอยู่นี้ มีไว้ใช้เองยามป่วยไข้ แต่ถ้าชาวบ้านมาขออาตมาก็แจกไปเป็นทาน"
    "อ้าวก็เมื่อท่านไม่มีวิชาทางการแพทย์แล้ว จะแจกยาส่งเดชไปได้ยังไงคนไข้เอาไปกินผิดหยูกผิดยา เป็นอันตรายเกิดตายขึ้นมาจะไม่ผิดกฎหมายรึ ท่านทำนอกรีตแล้วละ"
    "ถึงแม้อาตมาจะทำนอกรีตนอกลู่นอกทางก็ไม่มีเจตนาทำร้ายใคร มีแต่เจตนาดีจะข่วยเขา จึงไม่ถือว่าผิดศีลธรรมผิดวินัย"
    "กฎหมายนั้นถึงจะวางบทไว้อย่างไร แต่ก็ไม่เคยช่วยคนไข้คนป่วยในตำบลนี้ เท่าที่อาตมาเคยช่วย
    นายแพทย์และยาหลวง ก็มีอยู่แต่ในเมือง ช่วยได้แต่คนในเมือง ส่วนคนในตำบลนี้ รัฐบาลก็ไม่เคยช่วย ไม่ได้ตั้งสุขศาลาขึ้น ไม่มียา ไม่มีแพทย์ คนที่ยากจนก็ต้องยอมตายอยู่กับบ้านกันทั้งนั้น

    อาตมาเห็นว่า เพื่อนมนุษย์ตาดำ ๆ ป่วยไข้ได้ทุกข์ต้องช่วยกันไปตามมีตามเกิด จะว่าอาตมาทำผิดกฎหมายก็ยอมละ แต่จะให้อาตมาผิดศีลผิดธรรมยอมนิ่งดูดาย ไม่ช่วยเหลือคนอื่นนั้นอาตมาทนอยู่ไม่ได้

    อาตมานึกอยู่เสมอว่า ตำรายาของอาตมาไม่ใช่ตำรายาพิษ หากเป็นยาพิษ บรรพบุรุษของอาตมาคงไม่สืบอายุกันมาถึงอาตมาได้ คงตายกันหมดสิ้นไปแล้ว
    "อ้ายไข้ต่าง ๆ นี่ ท่านรู้หรือเปล่าว่า มันมีอยู่กี่ร้อยกี่พันชนิด ?"
    "มี 3 ชนิด"
    "เอ๊ะ โรคอะไรของท่านมี 3 ชนิด ?"
    "หนึ่งโรครักษาก็หาย ไม่รักษาก็หาย สองรักษาก็ตาย ไม่รักษาก็ตาย สามโรครักษาจึงหาย"
    ชายผู้นั้นนิ่งไปสักครู่ แล้วถามต่อไปอีก
    "ที่ท่านรดน้ำมนต์ไล่ผีนั้นน่ะ ท่านเชื่อหรือว่าผีมีจริง ?"
    "ผีมีจริง"
    "รู้ได้ยังไงว่าผีมีจริง ?"
    "พระพุทธเจ้าบัญญัติว่าภิกษุองค์ใดผีเข้าสิงไม่ต้องทำสังฆกรรม ผีเข้าสิงภิกษุเวลาสวดพระปาฏิโมกข์ให้หยุดสวดพระปาฏิโมกข์ได้ ก็ต้องเชื่อว่าผีมีจริง เหมือนที่เขาว่าพระพุทธเจ้ามีจริง"
    หลวงพ่อสำทับว่า
    "ถ้าเราไม่เชื่อพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนก็เท่ากับเราไม่เชื่อว่ามีพระพุทธเจ้า เท่ากับเราไม่มีศาสดา"

    ชายผู้นั้นเขาว่าเป็นเจ้าเมืองนครปฐมสมัยนั้น มีศักดิ์เป็นพระองค์เจ้ามีพระนามว่า พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา ภายหลังก็มาเป็นสานุศิษย์ของหลวงพ่อเงิน
    ลูกศิษย์หลวงพ่อเงิน จึงมีพระองค์เจ้าอาทิตย์ ทิพย์อาภา พระองค์หนึ่ง เป็นเจ้าเมืองนครปฐม.

    เรื่องของหลวงพ่อเงิน และ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพย์อาภา ยังมีต่อครับ
     
  5. นมสดปั่น

    นมสดปั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +1,623
    ได้ยินว่าพระองค์ไม่ได้แต่งขึ้นอ่ะครับ ข้อมูลจาก ห้องสมุด พันทิพย์
    มีคนที่ชื่นชมพระองค์ทรงแต่งไว้ ประมาณนี้แหละครับ ไม่รู้ข้อเท็จจริงอย่างไร
    อ้อ มีเรื่องย่าเหลด้วยนะครับ ที่เกี่ยวกับพระองค์
     
  6. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ขอบคุณครับ
    นาวาเอกหลวงสำรวจวิถีสมุทร (ฟุ้ง พร้อมสัมพันธ์) ซึ่งเป็นนักเรียนนายเรือสมัยเสด็จในกรมฯเล่าว่า " ครั้งหนึ่งโรงเรียนนายเรือจัดให้มีงานเนื่องในวันที่พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดโรงเรียนเวียนมาถึง คือวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ซึ่งนายทหารเรือถือว่าเป็นวันกองทัพเรือ โดยเชิญเสด็จสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ (ร.๖) เสด็จมาในงานด้วย ในระหว่างเวลารับประทานอาหารนั้น นักเรียนนายเรือผู้หนึ่ง ชื่อสนั่น ซึ่งเป็นมหาดเล็กของเสด็จในกรมฯด้วย ได้ลุกขึ้นและถอดมีดเหน็บออกจากฝักรำและร้องเพลงหน้าพระที่นั่ง
    เพลงที่นักเรียนนายเรือสนั่นร้องนั้นคือเพลงพระราชนิพนธ์ " ดาบของชาติ " เหตุนี้อาจจะเป็นอีกประการหนึ่งซึ่งทำให้เสด็จในกรมฯถูกปลดออกจากราชการทหารเรือ เพลงดังกล่าวนี้ไม่ค่อยมีใครนำมาร้องกันเนื่องจากไม่มีใครรู้จัก เป็นเพลงที่มีเนื้อร้องสั้นๆ ต่อมาใน ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ กองทัพเรือ ต้องการรวบรวมเพลงพระนิพนธ์ ของพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เช่นเพลง" ดอกประดู่ " และเพลง "เดินหน้า"
    นาวาเอก สำเร็จ นิยมเดช หัวหน้ากองดุริยางค์ทหารเรือได้ไปขอคำปรึกษากับหม่อมช้อย อาภากร ณ อยุธยา ซึ่งเป็นหม่อมมารดาของพลเรือเอกหม่อมเจ้าครรชิตพล อาภากร อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ เกี่ยวกับเรื่องเพลงของเสด็จในกรมฯ หม่อมช้อยท่านได้เล่าพร้อมทั้งร้องเพลง " ดาบของชาติ " ให้ฟังด้วยเสียงสั่นเครือ กองดุริยางค์ทหารเรือได้บันทึกเสียงของท่านไว้ แล้วนำมาเรียบเรียงเสียงประสานทำนองขึ้น บันทึกลงในแผ่นเสียงเพลงทหารเรือ จึงเป็นเพลง " ดาบของชาติ " ดังที่เราได้ฟังและร้องกันต่อมา


    ส่วนที่มีความเชื่อว่าเป็นเพลงแต่งในยุคหลังแล้วทางดุริยางค์ทหารเรือเอามาดัดแปลง ก็อีกเรื่องหนึ่งครับ เอาข้อมูลจากบันทึกหอสมุดดีกว่านะครับ ท่านว่าเป็นเพลงของสมเด็จท่าน

    ความจริงบทนี้เป็นกลอนสมเด็จท่านทรงประพันธ์ไว้ แต่ ดุริยางค์ทหารเรือนํามาขับร้องเป็นเพลงนะครับ เนื้อหาอาจจะมีการแก้ไขหรืออาจจะไม่มีการแก้ไข ก็อีกเรื่องหนึ่ง ข้อมูลจะเป็นแบบนี้มากกว่านะครับ
     
  7. นมสดปั่น

    นมสดปั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +1,623
    ร.6ไม่ถูกกับท่านก็เพราะเรื่องย่าเหล
    กับมีคนใส่ความพระองค์ว่าเป็นกบฎจะยึดครองราชบังลังค์
     
  8. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    คนเล่นของ และ วิชา เรียกของขึ้น
    ผมเรียกสัญญาเดิมประทับครับ เพราะเกิดนอกพระกรรมฐาน ไม่ได้ทําพิธีกรรม..ใครจะปลุกให้ลุกนั่ง...นอกจากพระองค์ท่าน...และองค์สมเด็จไทย...

    ผมรู้คุณก็ใช่เลือดไทยข้นกว่าทะเล และตัวคุณเองก็ทราบดี ถูกต้องนะครับ
     
  9. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ร.6 ประสูติ 1 มกราคม 2423
    กรมหลวงชุมพร ประสูติ 19 ธันวาคม 2423

    ในวัยเด็กทั้ง 2 พระองค์สนิทกันมากที่สุด เพราะทรงเป็นพระโอรสของร.5 เพียง 2 พระองค์ที่เรียนโรงเรียนนายเรือด้วยกันในวัยเด็ก ที่ประเทศอังกฤษ ทรงร่วมเรียนด้วยกัน

    กรมหลวงชุมพรกลับมารับราชการครั้งสุดท้าย ปี 2460 เพียงไม่กี่เดือนก็ลาออกจากราชการเพราะสุขภาพไม่ดี และอยู่ หาดทรายรี จ.ชุมพร และสิ้นพระชนม์ ปี 2466
    บั้นปลายชีวิตเสด็จเตี่ยอยู่หาดทรายรีตลอด ไม่ทรงเดินทาง ไปไหนเพราะสุขภาพไม่ดี


    ******ย่าเหลอยู่กับ ร.6 ในราวปี 2465 และอยู่เป็นสุนัขหลวง 5 ปี อาจจะเสียชีวิตหลังเสด็จเตี่ยด้วยซํา

    วิเคราห์จากวันเดือนปี การสิ้นพระชนม์ของเสด็จเตี่ย และปีการมาอยู่ในพระราชวังสนามจันทร์ของย่าเหลดูครับ มีคําตอบอยู่


    ข้อ 1 ย่าเหลเกิดในเรือนจำจังหวัดนครปฐมราว.. 2447 - 2448
    ข้อ 2 .. 2455โปรดให้นำเงินเดือนของย่าเหลที่สะสมไว้สมทบกับพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างกุฏิถวายเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์พระราชทานชื่อว่า "กุฎิย่าเหล" กุฎินี้ยังคงอยู่มาถึงปัจจุบัน
    ข้อ 3 พ.ศ. 2457 ย่าเหลให้เงินสมทบทุนเรื่ยไรซื้อเรือรบพระร่วง”๑๐๐บาท
    [SIZE=+0]ข้อ 4 ย่าเหลถูกยิงเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2458[/SIZE]
    [SIZE=+0]ข้อ 5 ย่าเหลน่าจะมีอายุถึง 10 ปีในการดูแลของหลวง[/SIZE]

    กรมหลวงชุมพรถูกพักราชการ 14 เมษายน..2454
    เสด็จเตี่ยถูกพักราชการ ด้วยเรื่องนี้ก็ ไม่จริง ช่วงนั้นย่าเหลยังไม่เสียชีวิตนะครับ

    ย่าเหลไม่ได้เสียชีวิตในเขตราชฐาน แต่อยู่ในนอกรั่ววัง ฝั่งวัดพระเชตุพน คาดว่า ปัจจุบันนี้บริเวณที่พบศพของ ย่าเหล ก็ยังมีอนุสรณ์สถานที่พบศพย่าเหลให้ได้ชม

    เวลาเสียชีวิตของย่าเหลส่วนมากลงความเห็นว่ากลางดึก แต่จากข้อมูลที่คัดมาจากข้างต้นแจ้งว่าตอนสายของวันหนึ่งเรื่องเวลา สายหรือคํายังขัดแย้งอยู่ แต่มีสิ่งให้น่าพิจรณาคือ เป็นช่วงเวลาทอดพระกฐิน ที่วัดพระเชตุพน ร.6 น่าจะทรงประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวังไม่ใช่สนามจันทร์

    ประเพณีหมอบกราบยกเลิกมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 แล้ว ยิ่งโดยเฉพาะเจ้านายชั้นสูงด้วยกัน

    ในจารึกของย่าเหล ร.6 ทรงราชนิพนธ์ ว่า หมายต้องการเอาชีวิตพระองค์ หรือหมายให้ กระทบกระเทือนพระราชหฤทัย แสดงว่า ผู้ยิง ร.6 ทรงทราบว่าจะวินิจฉัยได้ว่าคือผู้ใด แต่ทรงไม่สามารถนํามาดําเนินคดีได้ อาจจะเพราะว่า
    - หมาตายนําคนมารับโทษเห็นไม่ควรอยู่
    - อาจจะเป็นบุคคลชั้นสูง สายสกุลใหญ่ในราชสํานัก อาจจะกระทบกระเทือนความมั่นคงภายใน
    - ที่กล่าวว่าคนในของเสด็จในกรม รับโทษในครั้งนั้น เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ตรึงเครียด ซึ่งอาจจะรุกรามใหญ่โตขึ้น ทหารเรือ และผู้มีความเคารพกรมหลวงชุมพร ในสมัยนั้น คงจะทราบอยู่แล้วว่าพระองค์ทรงรัก และเคารพ เจ้านายอีกพระองค์เพียงไร จึงทรงออกมารับโทษ เพื่อไม่ให้กระทบกับกรมหลวงชุมพรด้วย เช่นกัน

    ส่วนนี้คาดว่าข้อมูลไม่น่าจะตรง
    ข้อ 1 ผมสรุปอย่างนี้นะครับตัวแดงครั้งยังดำรงพระยศเป็นพระบรมโอรสาธิราชฯหายไป
    ข้อ 2 ย่าเหลมีอายุราวปี พ.ศ.2465
    ข้อ 3 ย่าเหลมีอายุราว 5 ปีที่อยู่ในการดูแลของหลวง
    ข้อ 4.เรื่องของสถานที่ ทุกสํานักจะลงคือบริเวณวัดพระเชตุพน เพิ่งเคยอ่านว่าในเขตพระราชฐาน
    ข้อ 5 เรื่องของเวลา ส่วนมากจะบันทึกว่าเป็นเวลาคํา แต่โดยส่วนตัวยังเชื่อว่าเป็นเวลากลางวัน อาจจะตรงกับงานพระราชทานพระกฐินหลวง วัดพระเชตุพนหรือไม่ ไม่แน่ใจ แต่ผู้ยิง และหรือผู้สังยิงย่าเหล มีอานุภาพมากในสมัยนั้น เรื่องราวจึงจบแบบกํากวม ไม่มีใครกล้าจะวิพากวิจารณ์และนําตัวลงมารับโทษ
    ภาระทั้งหมดจึงตกมาอยู่กับ องค์บิดาราชนาวี<!-- google_ad_section_end -->


    สุนัข ของ ร.6 มี 3 รุ่น
    รุ่น 1 ย่าเหล ได้ครั้นดํารงพระยศสยามมกุฏ
    รุ่น 2 มี 2 ตัว
    รุ่น 3 ที 1 ตัว

    การวิวาทกับมหาดเล็ก ร.6 ใช้คําว่า ทร.1
    ทร. ทหารรักษาวัง
    ทร. ทหารรักษาพระองค์ ร.5
    ทร. ทหารเรือ
    ไม่มีตรงไหนบอกว่านักเรียนนายเรือ คํา ทร. เป็นคําที่กํากวม

    ร.6 ทรงเป็นกษัตริย์มีขัตติยะมานะ
    กรมหลวงชุมพรเป็นชาติทหารนักรบ

    ด้วยเหตุนี้ เหตุกระทบกระทั่งของทั้ง 2 พระองค์ก็คงมีอยู่บ้างเพราะทรงปกครองคนหมู่มากด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย และทั้งมหาดเล็กของร.6 และนักเรียนนายเรือ ก็ห้าวคะนองทั้งสิ้น

    ทหารเรือสมัยก่อนสุดๆหล่ะครับเรื่องความจริงจัง แต่ก็เป็นที่รักของประชาชนมากด้วย เพราะไม่ได้ข่มเหงประชาชน

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2010
  10. DMZ_ZONE

    DMZ_ZONE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +649
    อาจจะใช้คำผิดไปนิดนึงครับขออภัยครับ

    เรื่องเลือดไม่ต้องห่วงครับน้ำตาจะไหล คุณอาภากร รู้อยู่แล้วครับว่าผมเป็นอย่างไร


    ด้วยความเคารพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2010
  11. saturday_rainy

    saturday_rainy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +957
    ไปไหว้พระมิ่งมงคลนาคคีรี ภูเก็ตมาครับ มีรูปเสด็จเตี่ยมาฝาก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    [​IMG]

    ขอเล่าเรื่องหลองพ่อเงิน ต่อนะครับ
    เป็นธรรมดาของสังคม ย่อมจะมีคนดีคนชั่วปะปนกันอยู่ทั่วไปไม่เลือกกาลสถานที่ บรรดาคนที่มาหาหลวงพ่อเงินจึงย่อมจะมีคนชั่วคนพาลปะปนอยู่ด้วย ลูกศิษย์หลวงพ่อเงิน บางคนก็กลายเป็นอ้ายเสือร้ายไปเมื่อออกพ้นวัดไปแล้ว เช่น เสือชม เสือเชย ผู้ร้ายมีชื่อสมัยนั้นก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเงินด้วย หลวงพ่อเงินเป็นพระเกจิระดับประเทศ ว่ากันว่าโจรรุ่นหลังอย่างตี๋ใหญ่ นอกจากได้ของดีจากหลวงปู่สุดวัดกาหลงแล้ว ก็ยังใช้วัตถุมงคลจากหลวงพ่อเงินด้วยเช่นกัน

    จึงทำให้เจ้าเมืองนครปฐม ต้องเดินทางไปหาหลวงพ่อเงิน ครั้งหนึ่งพระองค์เจ้าอาทิตย์-ทิพยอาภา เจ้าเมืองนครปฐม ได้เสด็จไปหาหลวงพ่อเงินถึงวัดดอนยายหอม เพื่อจะไปขอร้องให้เลิกให้เครื่องรางของขลังเสีย แต่เมื่อเจ้านายเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่องค์นี้ได้เห็นบุคลิกลักษณะหลวงพ่อเงินเข้า ประกอบกับได้ทรงสนทนาโต้ตอบโอภาปราศรัย แลเห็นอัธยาศัยน้ำใจอันแท้จริงของหลวงพ่อเงิน พระองค์เจ้าอาทิตย์ก็ล้มเลิกความคิดที่จะขอร้อง ได้กลายเป็นแขกประจำของหลวงพ่อเงินไปด้วย ทุกวันอาทิตย์ พระองค์เจ้าอาทิตย์ จะต้องไปหาหลวงพ่อเงิน เป็นแขกประจำ

    ลองมาดูปฏิปทาของหลวงพ่อเงิน เทพเจ้าแห่งดอนยายหอม กันครับ
    เรื่องราวของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม นั้น เล่าสืบกันมาอย่างมากมาย ทุกอย่างล้วนเป็นความจริงที่มีหลักฐานพยานแน่นแฟ้น เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมในด้านต่าง ๆ ที่หลวงพ่อได้ผจญมาอย่างโชกโชน และในตอนนี้ก็เป็นอีกตอนหนึ่ง ที่หลวงพ่อได้แสดงให้เห็นว่า กรรมนั้นสามารถระงับได้ด้วยเมตตา

    วัดห้วยจรเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นอย่างที่ทำให้พุทธศาสนิกชนสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือพระรูปหนึ่งในวัด ลุแก่โทสะ ผลักศิษย์วัดตกจากกุฏิลงมาคอหักตาย

    เรื่องมีอยู่ว่าศิษย์คนนั้นมักจะแอบไปขโมยสตางค์ของพระองค์นั้นอยู่เสมอ แต่จับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็รอดตัวไป คราวนี้ไม่รอด เพราะจับได้คาหนังคาเขา ทำให้พระรูปนั้นเกิดโทสะอย่างรุนแรง หลังจากได้ลงไม้ลงมือกับศิษย์วัดพอสมควรแล้ว ก็ได้ผลักอย่างแรงเพื่อให้ลงจากกุฏิให้พ้นหูพ้นตา แต่เจ้ากรรม ศิษย์หล่นลงจากบันได้เอาคอทิ่มพื้น คอหักตายอยู่ที่ด้านล่างนั่นเอง

    พ่อแม่คนตายไปแจ้งตำรวจ ตำรวจมาถึงก็ล้อมกุฏิไว้ไม่ยอมให้พระรูปนั้นหนี เจ้าอาวาสขึ้นไปจะจับสึกก็เกิดเรื่อง

    “อย่ามายุ่งกับกู กูหมดหนทาทงแล้ว ถ้าใครมาสึกกู กูจะฟันให้คอขาด ด้วยมีดหัวตัดดายหญ้านี่แหละ”


    ว่าแล้ว พระรูปนั้นก็ควงมีด หมายสังหารเจ้าอาวาส ซึ่งวิ่งจีวรปลิวลงมาแทบไม่ทัน ตำรวจจะจัดการก็มิได้เพราะยังไม่ได้สึก ต้องรอให้สึกเสียก่อน ได้แต่ล้อมไว้อย่างนั้น​

    เจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดมาดูด้วยตนเองก็ส่ายหน้า ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร ที่สุดเจ้าคณะจังหวัดก็ให้คนถือจดหมายของท่านไปนมัสการหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ให้มาสึกพระรูปนั้น แต่ไม่ได้บอกให้รู้ว่า ทำไมต้องให้ไปสึก​

    พอไปถึงจึงรู้ว่า พระที่จะให้สึกนั้น กำลังถือมีดหัวตัดแกว่งไปมา ปากก็ร้องท้าทายว่า ใครแน่ก็ขึ้นมาสึก เทพเจ้าแห่งดอนยายหอม เพ่งมองดูพระรูปนั้นเป็นครู่ เหมือนจะค้นหาอะไรบางอย่าง ในที่สุดท่านก็ก้าวเท้าขึ้นบันไดไปทันที​

    ตำรวจและพระที่มุงดูอยู่ต่างหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะพระรูปนั้นถือมีดหัวตัดจังก้าอยู่บนหัวบันได ในขณะที่หลวงพ่อเงินเดินขึ้นไป เอาศีรษะเข้าใกล้คมมีดไปทุกขณะ จนได้ระยะพอเหมาะ สายตาของพระรูปนั้นกับหลวงพ่อเงินประสานกันพอดี​

    พระรูปนั้นเงื้อมีดหัวตัดขึ้นสูง หากฟาดลงมาแล้ว ศีรษะของหลวงพ่อเงินคงขาดกระเด็นเป็นแน่ ตำรวจที่เฝ้าอยู่เห็นอย่างนั้นก็ขยับปืนเตรียมจะยิง หากหลวงพ่อเงินจะเป็นอันตราย เพราะหลวงพ่อเงินเป็นที่เคารพของคนทั่วไปทั้งจังหวัดนครปฐม​

    แต่แล้วมีดหัวตัดนั้นก็ค้างอยู่กลางอากาศ เมื่อหลวงพ่อเงินชี้นิ้วมืออันเหี่ยวย่นด้วยความชรา ตรงไปยังข้อมือของพระรูปนั้น​

    “ฟังฉันสักนิดหนึ่งเถอะพ่อคุณผู้เจริญ ฉันก็สงฆ์ เธอก็สงฆ์ คงพูดกันรู้เรื่อง”

    “เปร๊ง”​

    มีดหัวตัดในมือของพระรูปนั้น ล่วงลงสู่พื้น หลวงพ่อเงินกรากเข้าถึงตัว คว้าข้อมือไว้แน่นแล้ว แทนที่จะออกแรงดึงหรือบีด กลับจูงไปนั่งลงตรงชานกุฏิ ท่ามกลางความโล่งอกของทุกคน

    “ฉันรู้เรื่องของเธอแล้ว เธอบวชเรียนถูกต้อง และมีวัตรปฏิบัติอันไม่บกพร่อง แต่เธอคงจะรู้ว่า บัดนี้กรรมเก่าได้ตามมาล้างเธอแล้ว แม้ผ้าเหลืองก็มิอาจจะสะกัดกั้นได้ เธอถูกโทสะจริตอันเกิดจากกรรมเข้ารอนทำให้เธอขาดสติ ผลักศิษย์ตกลงไปตายโดยไม่ได้ตั้งใจแต่พระธรรมวินัยได้บ่งชัดแล้วว่า แม้เธอจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เธอล่วงละเมิดชีวิตหนึ่งลงไปแล้ว เธอต้องปราชิกกรรมขาดจากภิกษุสภาวะ ฉันเข้าใจดีว่า เธอยังรักเพศสมณะ แต่เธอจงตัดใจเสียเถิด


    “ชาตินี้เธอบวชใหม่ไม่ได้แล้ว จงรับกรรมของเธอในทางโลก เมื่อสิ้นกรรมแล้ว เธอจงรักษาศีลภาวนาเอาไว้ เกิดชาติใดฉันใด ฉันขออธิษฐานว่า ฉันจะขอเกิดเป็นพระร่วมแผ่นดินกับเธอทุกชาติไป”

    สิ้นคำของเทพเจ้าแห่งดอนยายหอม พระองค์นั้นก็ร้องไห้โฮ หลับตานิ่งสนิท ทรวงอกสะท้อนด้วยแรงแห่งความเสียใจ มืออันเหี่ยวย่นของหลวงพ่อเอื้อมไปดึงสังฆาฏิออกจากกายของพระรูปนั้น พร้อมกับกล่าวคำว่า​

    “บัดนี้ เธอได้พ้นจากภิกษุสภาวะแล้ว”

    ตำรวจนำตัวพระที่สึกเป็นฆราวาสแล้วเดินออกจากประตูวัดห้วยจรเข้ไปแล้ว หลวงพ่อเงินมองตามไปด้วยสายตาอันฝ้าฟาง ท่านพึมพำกับตัวท่านเองอย่างเศร้าสร้อยว่า
    “ดีชั่วบอกได้ด้วยกรรม อนิจจาหนอกรรมแท้”​
     
  13. นมสดปั่น

    นมสดปั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +1,623
    เยี่ยมยอดที่สุด เห็นตรงทุกประการ ทหารเรือเป็นสุดยอดนักรบ ฆ่าข้าศึกเพื่อประเทศ ไม่ได้ฆ่าคนไทยด้วยกันเพื่อตนเอง
     
  14. นมสดปั่น

    นมสดปั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +1,623
    บันทึกจากคำบอกเล่าของคุณปู่ ...

    คุณปู่ของ ผม เป็นนายทหารเรือ รับราชการในสมัย ในหลวงรัชกาลที่ 6 คุณปู่ได้รับพระกรุณาธิคุณจากเจ้านายพระองค์หนึ่ง ให้เป็นข้ารับใช้ คอยติดตามรับใช้พระองค์ท่าน เจ้านายพระองค์นี้ ปัจจุบันมีชื่อเสียง และมีผู้คนเคารพนับถือเป็นจำนวนมาก และเป็นดำรงพระยศ เป็นพระอนุชาของ ในหลวงรัชกาลที่ 6 แต่ต่างพระมารดา .. ในบันทึกนี้ จะไม่ขอเอ่ยพระนามท่าน เพราะไม่ต้องการให้ท่านเสื่อมเสีย ตามประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของเมืองไทย แต่จะบอกพระประวัติคร่าวๆ บางส่วน เผื่อบางท่านที่พอจะทราบว่าพระองค์ท่านเป็นใคร ....

    เมื่อ คราวที่ฝรั่งเศษ ยกกองทัพเรือมาปิดอ่าวไทย ยิงถล่มหัวเมืองชายฝั่ง และขับเรือขึ้นมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 รศ.112 .. ในหลวงรัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งที่ดำรงพระอิศริยายศ " สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฏราชกุมาร " ได้ทรงเล็งเห็นว่า พระบรมมหาราชวัง อยู่ใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยา ฝรั่งเศษสามารถขับเรือมาตั้งกลางลำน้ำ และยิงถล่มได้ง่าย จึงทรงพิจารณา หาชัยภูมิแห่งใหม่ เพื่อเป็นเมืองหลวงแห่งที่สอง เพื่อรองรับในกรณีที่อาจถูกโจมตี เมื่อครั้งที่ ในหลวงรัชกาลที่ 5 ได้เสด็จออกประพาสเมืองนครปฐม สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ได้ตามเสด็จด้วย และทรงพอพระราชหฤทัยในชัยภูมิเมืองนครปฐม เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ จึงได้ทรงโปรดให้สร้างพระตำหนักขึ้นชั่วคราวในดงไผ่ จนเมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว จึงได้โปรดให้สร้างพระราชวังสนามจันทร์ขั้น และทรงให้พระราชวังสนามจันทร์ เป็นที่ตั้งกองลูกเสือป่า เพื่อให้ประชาชนพลเรือน สามารถเข้ารับการฝึก เพื่อเป็นกำลังสนับสนุน ในกรณีประเทศชาติมีภัย และเจ้านายของคุณปู่ ได้รับพระราชทานดำรงพระยศเป็น " นายหมู่เอก " ในกองเสือป่า

    ในคราว ในหลวงรัชกาลที่ 6 เสด็จไปประทับที่พระราชวังสนามจันทร์ เจ้านาย ข้าราชการฝ่ายต่างๆ และข้าหลวง ได้ตามเสด็จด้วย เนื่องจากพระองค์ท่าน ต้องการให้พระราชวังนี้ เป็นเมืองหลวงสำรอง จึงจะทรงออกว่าราชการ ณ ที่พระราชวังแห่งนี้ด้วย เมื่อพระองค์เสด็จเยี่ยมเรือนจำ มีสุนัขตัวหนึ่งเข้ามาพินอบพิเทา เป็นสุนัขพันธุ์ทางหางเป็นพวง สีขาวด่างดำ หูตก :ซึ่งเกิดในเรือนจำจังหวัดนครปฐม เป็นสุนัขของหลวงชัยอาญา ( โพธิ์ เคหะนันท์ ) ซึ่งเป็นพระธัมรง ( ผู้ควบคุมนักโทษ ) อยู่ในขณะนั้น พระองค์ก็ทรงโปรด จึงได้นำสุนัขตัวนั้นมาเลี้ยงไว้ และทรงตั้งชื่อว่า " ย่าเหล " ซึ่งก็ไม่ผิดแปลกอะไร ที่พระองค์ท่านจะทรงมีสัตว์เลี้ยง และพระองค์ก็ได้นำย่าเหล เข้ามาในพระนครด้วย ...

    ย่า เหล เมื่อเข้ามาอยู่ในพระราชวัง ด้วยความที่เป็นสัตว์เดรฉาน ไม่ทราบถึงธรรมเนียมของมนุษย์ รู้แต่ว่า ในหลวงรัชกาลที่ 6 คือนายของมัน จึงติดตามไปทุกที่ คลอเคลียอยู่ใกล้ตลอดเวลา แม้ในตอนออกว่าราชการ ทำให้ทุกคนรู้สึกไม่พอใจ ที่จะกราบถวายบังคม แล้วมีหมามานั่งมองอยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่ากราบในหลวงหรือกราบหมา แม้แต่ในตอนที่ประทับ ย่าเหล ก็เข้าไปด้วย ไปนั่งอยู่บนม้านั่งที่ประทับกับในหลวง ข้าราชการ เสนาอำมาตย์ รู้สึกอึดอัด ที่มีหมานั่งอยู่สูงกว่า แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร แต่ท่านเจ้านายหลายๆพระองค์ ทรงรู้สึกไม่โปรดเอามากๆ เนื่องจาก เจ้านายสมัยก่อนนั้น ท่านจะถือยศถืออย่าง อย่างมาก โดยเฉพาะเจ้านายของคุณปู่ ซึ่งพระองค์ท่านนั้น "เล่นของ" ทรงศึกษาคาถาอาคมจากพระอาจารย์ต่างๆ และทรงสักยันต์เต็มพระวรกาย ท่านไม่โปรดเอามากๆ แต่ก็เก็บความรู้สึกไว้

    สาย วันหนึ่ง มีเสียงปืน ดังขึ้นในพระตำหนัก ... ทุกคนตกใจเป็นอันมาก เนื่องจากการยิงปืนในเขตพระราชฐานนั้น ต้องโทษตัดหัวสถานเดียว ... และเมื่อทุกคนทราบว่า เสียงปืนนัดนั้น ปลิดชีวิตเจ้าย่าเหล สุนัขตัวโปรดของในหลวงรัชกาลที่ 6 ทุกคนยิ่งตกตะลึงเป็นการใหญ่ ... ใครกันที่บังอาจถึงขนาดนั้น ..... จากการสอบสวน ได้ทราบว่า เจ้านายของคุณปู่ ท่านเสด็จมาที่ตำหนัก ย่าเหล มันรู้แต่ว่านายของมันคือ ในหลวงรัชกาลที่ 6 เมื่อมีคนอื่นที่ไม่ใช่นายของมันเข้ามา มันจึงเห่ากรรโชก

    อนิ จา.... หมาเดรฉาน เจ้านายสมัยก่อนนั้น แม้แต่คนยืนเสมอ ไม่หมอบลง ยังมีโทษหนักหนา แล้วนี่เป็นหมา ยืนขวางและเห่าใส่ จะตรงเข้ามากัดอีกด้วย เจ้านายของคุณปู่ ท่านเดินหนีออกไปข้างนอกแล้ว ยังตามไปเห่าใส่อีก ท่านจึงบันดาลโทสะเต็มที่ จึงชักปืนยิงใส่เข้าให้ ...

    จากกรณีเหตุดังกล่าว .. ทำให้ในหลวงรัชกาลที่ 6 ถึงกับ" ไม่กินเส้น " กับเจ้านายของคุณปู่ในตอนแรก ในหลวงท่านจะทรงเอาโทษตามกฏฆณเฑียรบาล แต่เจ้านายหลายๆ พระองค์ รวมถึงเสนาอำมาตย์ ต่างๆ ทูลคัดค้านไว้เนื่องจาก ผู้คนจะติฉินนินทาเอาว่า เจ้านายเอาโทษกันเพราะหมาตัวเดียว ซึ่งในความจริงแล้ว ท่านเจ้านาย และบรรดาเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย ต่างก็หมั่นใส้เจ้า ย่าเหล กันถ้วนหนาอยู่แล้ว จึงช่วยกันทูลขอ ..

    เมื่อ ในหลวงทรงเอาผิดไม่ได้ จึงประชดโดยการ สร้างอนุสาวรีย์ให้หมา และเขียนคำ เสียดสี จารึกลงไป โดยไม่ระบุชื่อ เขียนแต่ว่าว่าเป็นผู้ที่อิจฉาริษยา ย่าเหล ...( มีมหาดเล็กคนหนึ่ง ซึ่งเคารพเจ้านายของคุณปู่มาก อาสารับว่าเป็นคนยิงเอง ซึ่งบุคคลภายนอก ก็คิดว่าเป็นตามนั้นจริง แต่ในวงในแล้ว ทราบกันดีว่าเป็นคนออกรับแทน)

    หลังจากเหตุการณ์ นั้น เป็นชนวนบาดหมาง ระหว่าง ในหลวงรัชกาลที่ 6 กับ เจ้านายของคุณปู่ จนกระทั่งมีข่าวลือว่า เจ้านายของคุณปู่ คิดจะล้มล้างราชบัลลังค์ เปลี่ยนแปลงการปกครอง ในยุคสมัยที่นักเรียนทหารจากต่างประเทศ เข้ามากุมกำลังเพราะพระองค์ท่านก็เป็น นักเรียนนายเรืออังกฤษ ทำให้ทรงไม่สบายพระทัย และยังมีเรื่องข้าหลวงของพระตำหนัก ชกต่อยกับทหารเรือ ในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงเรียก เจ้านายของคุณปู่ ไปต่อว่า ว่าทหารเรือไม่มีวินัย ทำให้เจ้านายของคุณปู่ น้อยพระทัย และเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย จึงทูลลาออกจากราชการ เพื่อแสดงความรับผิดชอบ หลังจากลาออกแล้ว ก็ยังถูกตำรวจติดตามเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเกรงกันว่า พระองค์จะก่อการปฏิวัติเพราะพระองค์ท่าน ยังมีข้าราชการจำนวนมาก เคารพนับถืออยู่ ....

    จึงทรงเบื่อหน่าย หนีออกไปล่องเรือสำเภา ไปในอ่าวไทย แต่ก็ไปเจอมรสุมประสบเหตุคลื่นลม เกือบจบชีวิตกันทั้งหมด จึงทรงคิดได้ว่า ถ้ามามัวแต่น้อยอกน้อยใจ ก็ไม่บังเกิดผลดีอะไร จึงทรงได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ รักษาคนป่วยโดยไม่แสดงพระองค์ว่าเป็นใคร และรักษาโดยไม่คิดค่าตอบแทน จนได้ชื่อว่าเป็นคุณหมอใจบุญคนหนึ่ง...

    หลังจากนั้น สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เกิดขึ้น มีการสู้รบกันขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด เนื่องจากทรงทราบว่า ประเทศชาติจะได้เปรียบ เมื่อชาติชนะสงคราม ในตอนแรก ทรงวางประเทศเป็นกลาง และเมื่อทราบว่าฝ่ายสัมพันธมิตร เป็นฝ่ายได้เปรียบ พระองค์จึงจัดส่งกองทหารอาสา ไปร่วมรบที่ฝรั่งเศส และทรงต้องการขุนพล ที่จะบัญชาการอย่างใกล้ชิด ในส่วนของทหารบกนั้น มีสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิจ เป็นหลักอยู่แล้ว ขาดแต่ทหารเรือ

    เจ้า นายพระองค์หนึ่ง จึงได้ทูลว่า ในเวลานี้ มีแต่เจ้านายของคุณปู่ พระองค์เดียวเท่านั้น ที่จะเป็นหลักได้ ในหลวงรัชกาลที่ 6 ได้รับฟังก็นิ่ง แต่ก็ไม่ได้กล่าวคัดค้านอะไร เนื่องจากในเวลานั้น ประเทศชาติกำลังวิกฤต เรื่องส่วนพระองค์ จึงต้องเก็บเอาไว้ก่อน เมื่อเจ้านายของคุณปู่ กลับเข้ามารับราชการอีกครั้ง ก็เร่งทนุบำรุงกิจการทหารเรือเป็นการใหญ่ แต่เนื่องจากพระวรกายไม่สู้ดีนัก เมื่อเสร็จสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงทูลลาออกจากราชการ เสด็จไปประทับพักผ่อน ยังพระตำหนักชายทะเลต่างจังหวัด จนกระทั่งพระองค์สิ้นพระชนม์
     
  15. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ยุทธนาวีรุ่น 1 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ยกพลนาวาจากจันทบูรณ์ กอบกู้กรุงศรี
    ราชนาวียุคพัฒนารุ่น 2 สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ยุคที่สยามมีตะวัน 2 ดวง
    ราชนาวีสถาปนารุ่น 3 กรมหลวงชุมพรฯ อวดธงช้างถึงยุโรป ทรงเป็นองค์บิดา

    หลังจากนั้นกิงทัพเรือก็ทําท่าจะใหญ่เกินกองทัพอื่นหลังสมเด็จท่านสิ้นพระชนม์ อํานาจทางทะเลของไทยก็ถูกรินรินอํานาจลง จนถึงปัจจุบันเมื่อเทียบกับทัพอื่น
    กองทัพเรือจะไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับรัฐบาล จะเกี่ยวข้องต่อเมื่อกระทบสถาบัน
    ในบรรดา 4 เหล่าทัพ ทัพเรือ รัฐบาลมีคนจากกองทัพเรือน้อยที่สุดกว่าทุกเหล่า

    [​IMG]
    ผมเรียงชื่อตามบุคคลเอง อาจจะมีผิดเพี้ยนเนื่องจากไม่ถนัดภาพวัยเด็ก
    และที่สําคัญภาพต้นฉบับมีความเล็ก ทําให้ยากแก่การแยกแยะที่ชัดเจน

    ด้วยเหตุผลที่ผมพิมพ์เรื่อง หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อสําเนียง และ พระองค์เจ้าอาทิต ทิพยอาภา ก็เนื่องจาก ทุกท่านเป็นบุคคลที่อยู่ใน นครปฐม อันเป็นพื้นเพของผมเอง และที่ยิ่งไปกว่านั้น ทางพ่อและแม่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเงิน เรียกว่าเห็นพ่อผมหลวงพ่อก็จําได้ แต่ตัวผมเองไม่ทันท่าน มาทันแค่หลวงพ่อแช่ม ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเงิน และหลวงพ่อแช่มก็คือเจ้าอาวาส วัดดอนยายหอมองค์ต่อจากหลวงพ่อเงิน ผมไปหาท่านบ่อย หลังมรณภาพ และตัวผมเองหลวงพ่อแช่มท่านเคยขอรับไว้เป็นลูกท่าน ตอนหลวงพ่อแช่มมรณะภาพผมก็ได้ไปรดนําพระราชทานศพ ก่อนหลวงพ่อจะมรณะภาพ ท่านขอให้ผมบวชให้ท่านด้วย ช่วงนั้นผมก็เรียนอยู่ แต่ก็ได้มีโอกาสบวชให้ท่าน 9 วัน เป็นการบวชแบบเฉพาะเจาะจงหลวงพ่อท่านเลย สาธุ ปาฏิหาริย์เกี่ยวกับหลวงพ่อแช่มและหลวงพ่อเงินที่เอมากับตัวก็มี และคิดว่า พ่อผมคงเคยจะเจอกับพระองค์เจ้าอาทิตทิพยอาภา ด้วย เช่นกัน

    ประวัติหลวงพ่อเงินมีมาก ลองหาข้อมูลของหลวงพ่ออ่านได้ครับ
     
  16. นมสดปั่น

    นมสดปั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +1,623
    ครับ ขนาดงบที่ได้ยังได้น้อยที่สุดเลย
    เรือรบก็ต่อได้เอง สุดยอดมากๆ
    ไม่มีข่าวเรื่องทุจริตเหมือนทัพอื่นเลย
    ทัพบกก็GT200 ทัพฟ้าก็กริฟเฟน
     
  17. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ต่อไปนี้ใครที่แม้แต่คิดจนถึงขั้นกระทำแล้วหรือเริ่มกระทำสิ่งใดๆที่ผิดกฏหมายของบ้านเมือง
    และผิดต่อสถาบันชาติ ศาสตร์ กษัตริย์ มันผู้นั้นมิอาจกล่าวได้ว่าเป็นคนไทย
    มันเป็นพวกอพยบทิ้งบ้านเกิด ไม่มีสำนึกรักในแหล่งกำเนิดดั้งเดิมและอนุสัยสันดานนั้นยังไม่เปลี่ยน มาอยู่บ้านนี้เมืองนี้ประเทศสยามนี้มันยังจะไม่คิดตอบแทนบุญคุณแผ่นดินแต่กลับทำในสิ่งที่ผิดศีลธรรมจริยธรรมผิดกฏหมายกฏเกณฑ์ของบ้านเมือง มันผู้นั้นไม่ใช่คนไทยมันเป็นคนไทยปลอม คนที่ทำเรื่องจัญไรต่อไปนี้สังคมจะเรียกขานมันว่า "ไม่ใช่คนไทย" หรือ "คนไทยปลอม" แผ่นดินนี้กว่าจะได้มาไม่ใช่การเดินไปประกาศแห่โทรโข่งขับไล่หรืออ้อนวอนขอใครมาเขาต้องสละชีพชีวิตและความสุขส่วนตัวเพื่อแลกมาในความไท
    ไอ้อีคนใดมักง่ายเห็นประโยชน์ส่ว่นตนและพวกพ้องมันผู้นั้นก็เป็นกบฏที่เกี่ยวข้องกันมาเป็นพันธชาติร่วมสมัยแต่สุดท้ายพวกมันก็จะแพ้พ่ายกลับลงนรกอีกรอบ

    ขอพี่น้องที่ชาวไทยที่เกิดมาเป็นคนไทยหรือย้ายถิ่นฐานมาจากที่อื่นหากมีสำนึกในความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ถ้าหากท่านทั้งหลายไม่คิดจะพัฒนาบ้านเมืองหรือคิดไม่เป็นก็ดี สิ่งที่พวกท่านจะทำได้และคาดว่าทุกคนทำได้อย่างแน่นอนนั่นก็คือ "จงอย่าทำลายชาติ"
    คนเราเกิดมามีหนึ่งจิต จิตนั้นเป็นนายเป็นต้นของสารธารและกระแสต่างๆของความคิดและปฏิบัติ ไม่ว่าท่านจะทำหรือไม่ทำอะไรใดๆนั้นล้วนมาจากจิต จิตนี้มีสิ่งหนึ่งที่คู่กันมาคือสำนึกของจิต สำนึกในหน้าที่ของบทบาทที่ได้เกิดมารับกรรม หน้าที่ของมนุษย์คือปกป้องช่วยเหลือคนในสังคมด้วยกัน เฝ้าระวังภัยที่มีต่อสังคมของเรา นี่เป็นหน้าทางโลก ส่วนหน้าที่ทางธรรมนั้นคือการขจัดกิเลส ขจัดสิ่งที่ไม่ดีเพื่อความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง หากใครทำสิ่งต่ำช้าคิดทำลายชาติและสถาบัน มันก็ไม่ต่างไปจากเดรัจฉานที่อาศัยในกายคน จงปฏิบัติให้เป็นคนที่สมบุรณ์กันเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2010
  18. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676

    เรื่อง GT200 นี่มันเกี่ยวกับสภาพจิตด้วยครับ

    อยากลองจะอนุโลมเป็นรายบุคคลครับ จะพาไปหาระเบิดจริงๆในสถานการณ์จริง :cool:
     
  19. นมสดปั่น

    นมสดปั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +1,623
    ฮ่าๆๆๆ ตอบเอาฮารึป่าวครับ
    ทดสอบทางวิทยาศาสตร์แล้วก็ใช้ไม่ได้ ก็สรุปว่าใช้ไม่ได้
    สภาพจิตมันเกี่ยวตรงไหนละเนี่ย
     
  20. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ข้อ 1 ย่าเหลเกิดในเรือนจำจังหวัดนครปฐมราว.. 2447 - 2448
    ข้อ 2 .. 2455โปรดให้นำเงินเดือนของย่าเหลที่สะสมไว้สมทบกับพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างกุฏิถวายเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์พระราชทานชื่อว่า "กุฎิย่าเหล" กุฎินี้ยังคงอยู่มาถึงปัจจุบัน
    ข้อ 3 พ.ศ. 2457 ย่าเหลให้เงินสมทบทุนเรื่ยไรซื้อเรือรบพระร่วง”๑๐๐บาท
    [SIZE=+0]ข้อ 4 ย่าเหลถูกยิงเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2458[/SIZE]
    [SIZE=+0]ข้อ 5 ย่าเหลน่าจะมีอายุถึง 10 ปีในการดูแลของหลวง[/SIZE]

    กรมหลวงชุมพรถูกพักราชการ 14 เมษายน..2454
    เสด็จเตี่ยถูกพักราชการ ด้วยเรื่องนี้ก็ ไม่จริง ช่วงนั้นย่าเหลยังไม่เสียชีวิตนะครับ

    ย่าเหลไม่ได้เสียชีวิตในเขตราชฐาน แต่อยู่ในนอกรั่ววัง ฝั่งวัดพระเชตุพน คาดว่า ปัจจุบันนี้บริเวณที่พบศพของ ย่าเหล ก็ยังมีอนุสรณ์สถานที่พบศพย่าเหลให้ได้ชม

    เวลาเสียชีวิตของย่าเหลส่วนมากลงความเห็นว่ากลางดึก แต่จากข้อมูลที่คัดมาจากข้างต้นแจ้งว่าตอนสายของวันหนึ่งเรื่องเวลา สายหรือคํายังขัดแย้งอยู่ แต่มีสิ่งให้น่าพิจรณาคือ เป็นช่วงเวลาทอดพระกฐิน ที่วัดพระเชตุพน ร.6 น่าจะทรงประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวังไม่ใช่สนามจันทร์

    ประเพณีหมอบกราบยกเลิกมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 แล้ว ยิ่งโดยเฉพาะเจ้านายชั้นสูงด้วยกัน

    ในจารึกของย่าเหล ร.6 ทรงราชนิพนธ์ ว่า หมายต้องการเอาชีวิตพระองค์ หรือหมายให้ กระทบกระเทือนพระราชหฤทัย แสดงว่า ผู้ยิง ร.6 ทรงทราบว่าจะวินิจฉัยได้ว่าคือผู้ใด แต่ทรงไม่สามารถนํามาดําเนินคดีได้ อาจจะเพราะว่า
    - หมาตายนําคนมารับโทษเห็นไม่ควรอยู่
    - อาจจะเป็นบุคคลชั้นสูง สายสกุลใหญ่ในราชสํานัก อาจจะกระทบกระเทือนความมั่นคงภายใน
    - ที่กล่าวว่าคนในของเสด็จในกรม รับโทษในครั้งนั้น เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ตรึงเครียด ซึ่งอาจจะรุกรามใหญ่โตขึ้น ทหารเรือ และผู้มีความเคารพกรมหลวงชุมพร ในสมัยนั้น คงจะทราบอยู่แล้วว่าพระองค์ทรงรัก และเคารพ เจ้านายอีกพระองค์เพียงไร จึงทรงออกมารับโทษ เพื่อไม่ให้กระทบกับกรมหลวงชุมพรด้วย เช่นกัน

    ส่วนนี้คาดว่าข้อมูลไม่น่าจะตรง
    ข้อ 1 ผมสรุปอย่างนี้นะครับตัวแดงครั้งยังดำรงพระยศเป็นพระบรมโอรสาธิราชฯหายไป
    ข้อ 2 ย่าเหลมีอายุราวปี พ.ศ.2465
    ข้อ 3 ย่าเหลมีอายุราว 5 ปีที่อยู่ในการดูแลของหลวง
    ข้อ 4.เรื่องของสถานที่ ทุกสํานักจะลงคือบริเวณวัดพระเชตุพน เพิ่งเคยอ่านว่าในเขตพระราชฐาน
    ข้อ 5 เรื่องของเวลา ส่วนมากจะบันทึกว่าเป็นเวลาคํา แต่โดยส่วนตัวยังเชื่อว่าเป็นเวลากลางวัน อาจจะตรงกับงานพระราชทานพระกฐินหลวง วัดพระเชตุพนหรือไม่ ไม่แน่ใจ แต่ผู้ยิง และหรือผู้สังยิงย่าเหล มีอานุภาพมากในสมัยนั้น เรื่องราวจึงจบแบบกํากวม ไม่มีใครกล้าจะวิพากวิจารณ์และนําตัวลงมารับโทษ
    ภาระทั้งหมดจึงตกมาอยู่กับ องค์บิดาราชนาวี

    สุนัข ของ ร.6 มี 3 รุ่น
    รุ่น 1 ย่าเหล ได้ครั้นดํารงพระยศสยามมกุฏ
    รุ่น 2 มี 2 ตัว
    รุ่น 3 ที 1 ตัว

    การวิวาทกับมหาดเล็ก ร.6 ใช้คําว่า ทร.1
    ทร. ทหารรักษาวัง
    ทร. ทหารรักษาพระองค์ ร.5
    ทร. ทหารเรือ
    ไม่มีตรงไหนบอกว่านักเรียนนายเรือ คํา ทร. เป็นคําที่กํากวม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...