กรณี Sriaraya5 VS iofeast โต้แย้งกัน... ขอลบออกทุกโพสต์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด, 28 กุมภาพันธ์ 2009.

?
  1. 1.ลบออกก่อน

    0 vote(s)
    0.0%
  2. 2.ไม่ต้องลบ

    0 vote(s)
    0.0%
  3. 3.ความเห็นอื่นๆ เชิญลงที่กระทู้นี้

    0 vote(s)
    0.0%
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815

    [​IMG]

    ฮ่าฮ่าฮ่า ตอบไม่ได้ ไปไม่เป็น มามุกเดิมๆอีกแล้วครับท่าน ฮ่าฮ่าฮ่า
     
  2. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ป.ล.1 อยากรู้จริงๆ ว่าเวลาท่านไปคอนเสร์ตน้องแคทเนี่ย ท่านไปกรี๊ดน้องแคท หรือ น้องแคทกรี๊ดแทบสิ้นสติเมื่อเห็นบ๊องหน้าแย้อย่างท่านเกาะอยู่ตามขอบเวทีอ่ะจ๊ะ ฮ่าฮ่าฮ่า

    ตอบ
    บางคนบางคู่ เห็นหน้ากันเพียงครั้งเดียวก็หลงรักกัน
    บางคนบางคู่รู้จักศึกษานิสัยใจคอกันพอสมควร จึงเกิดความรัก
    บางคนบางคู่ได้เกื้อหนุนจุนเจือกัน นานไปก็เกิดเป็นความรัก
    บางคนบางคู่สนิทสนมกลมเกลียวเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เด็กแต่น้อย แล้วจึงค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความรักเมื่อโตเป็นหนุ่มเป็นสาว
    บางคนบางคู่ ได้สมหวังในความรักขณะที่บางคู่กลับต้องเลิกรา
    บางคน ได้แต่หลงรักเขาข้างเดียวแต่เขาไม่เคยมีใจรักตอบ
    บางคน เขามาชอบ พยายามทอดสะพานให้เรา แต่กลับไม่สนใจ..
    ขณะที่บางคน ทั้งชีวิตกลับเงียบเหงา ไม่เคยมีลมรักพัดผ่านมาให้ชื่นใจเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว<O:p</O:p

    ป.ล.2 วันๆเข้าไปเล่นห้องโน้นบ้าง ห้องนี้บ้าง กรี๊ดน้องแคทบ้าง ไม่บำเพ็ญบารมีแล้วเร้อ ฮ่าฮ่าฮ๋า

    ตอบ การเรียนอย่างท่าน ต่อให้ถือใบดร.มาอวดเรา ก็ยังต้องทำบำเพ็ญบารมีต่อไป และ ก็ต้องทำให้มันถูกต้อง ไม่ใช่ทำเพราะเห็นว่าเป็นหน้าที่ ที่จะต้องทำ

    ต่างจากเรา เราทำด้วยใจรัก ไม่ใช่เพราะทำโดยหน้าที่ ที่รับมอบให้ทำ
     
  3. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815

    ฮ่าฮ่าฮ่า การเรียนอย่างท่าน ต่อให้ถือใบดร.มาอวดเรา .............เราก็ไม่เชื่อหรอก มีอย่างที่ไหนคนสติไม่ดีอย่างท่าน ลำพังอ่านออกเขียนได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ซ้ำวันๆยังเพ้อไปเรื่อยเปื่อย ............... ส่วนหน้าที่ของท่านนะ ก็โน้นเลย ไปรายงานตัวที่โรงบาลบ้าซะ ส่วนหน้าที่ของเรา เราจะสั่งสอนท่านแทนท่านจือเองก็แล้วยังนะจ๊ะ...............แต่หลังจากท่านรักษาอาการทางจิตประสาทให้หายก่อนนะจ๊ะ ฮ่าฮ่าฮ่า
     
  4. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    <CENTER>คาถาธรรมบท พาลวรรคที่ ๕</CENTER> [๑๕] ราตรียาวแก่คนผู้ตื่นอยู่ โยชน์ยาวแก่คนผู้เมื่อยล้า สงสาร
    ยาวแก่คนพาลผู้ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม ถ้าว่าบุคคลเมื่อเที่ยวไป
    ไม่พึงประสบสหายประเสริฐกว่าตน หรือสหายผู้เช่นด้วย
    ตนไซร้ บุคคลนั้นพึงทำการเที่ยวไปผู้เดียวให้มั่น เพราะว่า
    คุณเครื่องความเป็นสหาย ย่อมไม่มีในคนพาล คนพาล
    ย่อมเดือดร้อนว่า บุตรของเรามีอยู่ ทรัพย์ของเรามีอยู่ ดังนี้
    ตนนั่นแลย่อมไม่มีแก่ตน บุตรทั้งหลายแต่ที่ไหน ทรัพย์แต่
    ที่ไหน ผู้ใดเป็นพาลย่อมสำคัญความที่ตนเป็นพาลได้ ด้วย
    เหตุนั้น ผู้นั้นยังเป็นบัณฑิตได้บ้าง ส่วนผู้ใดเป็นพาลมีความ
    สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต ผู้นั้นแลเรากล่าวว่าเป็นพาล ถ้าคน
    พาลเข้าไปนั่งใกล้บัณฑิตแม้ตลอดชีวิต เขาย่อมไม่รู้แจ้งธรรม
    เหมือนทัพพีไม่รู้จักรสแกง ฉะนั้น ถ้าว่าวิญญูชนเข้าไปนั่ง
    ใกล้บัณฑิตแม้ครู่หนึ่ง ท่านย่อมรู้ธรรมได้ฉับพลัน เหมือน
    ลิ้นรู้รสแกงฉะนั้น คนพาลมีปัญญาทราม มีตนเหมือนข้าศึก
    เที่ยวทำบาปกรรมอันมีผลเผ็ดร้อน บุคคลทำกรรมใดแล้วย่อม
    เดือดร้อนในภายหลัง กรรมนั้นทำแล้วไม่ดี บุคคลมีหน้า
    ชุ่มด้วยน้ำตา ร้องไห้อยู่ ย่อมเสพผลของกรรมใด
    กรรมนั้นทำแล้วไม่ดี บุคคลทำกรรมใดแล้ว ย่อมไม่เดือดร้อน
    ในภายหลัง กรรมนั้นแลทำแล้วเป็นดี บุคคลอันปีติโสมนัส
    เข้าถึงแล้ว [ด้วยกำลังแห่งปีติ] [ด้วยกำลังแห่งโสมนัส]
    ย่อมเสพผลแห่งกรรมใด กรรมนั้นทำแล้วเป็นดี คนพาล
    ย่อมสำคัญบาปประดุจน้ำหวาน ตลอดกาลที่บาปยังไม่ให้ผล
    แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น คนพาล
    ถึงบริโภคโภชนะด้วยปลายหญ้าคาทุกเดือนๆ เขาย่อมไม่ถึง
    เสี้ยวที่ ๑๖ ซึ่งจำแนกออกไปแล้ว ๑๖ หน ของพระอริย
    บุคคลทั้งหลายผู้มีธรรมอันนับได้แล้ว ก็บาปกรรมบุคคล
    ทำแล้วยังไม่แปรไป เหมือนน้ำนมในวันนี้ยังไม่แปรไป
    ฉะนั้น บาปกรรมนั้นย่อมตามเผาคนพาล เหมือนไฟอันเถ้า
    ปกปิดแล้ว ฉะนั้น ความรู้นั้นย่อมเกิดแก่คนพาลเพื่อสิ่งมิใช่
    ประโยชน์อย่างเดียว ความรู้ ยังปัญญาชื่อว่ามุทธาของเขา
    ให้ฉิบหายตกไป ย่อมฆ่าส่วนแห่งธรรมขาวของคนพาลเสีย
    ภิกษุผู้เป็นพาล พึงปรารถนาความสรรเสริญอันไม่มีอยู่ ความ
    ห้อมล้อมในภิกษุทั้งหลาย ความเป็นใหญ่ในอาวาส และ
    การบูชาในสกุลของชนเหล่าอื่น ความดำริย่อมบังเกิดขึ้นแก่
    ภิกษุพาลว่า คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งสองฝ่าย จงสำคัญ
    กรรมที่บุคคลทำแล้วว่า เพราะอาศัยเราผู้เดียว คฤหัสถ์และ
    บรรพชิตเหล่านั้นจงเป็นไปในอำนาจของเราผู้เดียว ในบรรดา
    กิจน้อยและกิจใหญ่ทั้งหลาย กิจอะไรๆ อิจฉา [ความริษยา]
    มานะ [ความถือตัว] ย่อมเจริญแก่ภิกษุพาลนั้น ภิกษุ
    ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้ารู้ยิ่งแล้ว ซึ่งปฏิปทา ๒ อย่าง
    นี้ว่า ปฏิปทาอันเข้าอาศัยลาภเป็นอย่างหนึ่ง ปฏิปทาเครื่อง
    ให้ถึงนิพพานเป็นอย่างหนึ่ง ดังนี้แล้ว ไม่พึงเพลิดเพลิน
    สักการะ พึงพอกพูนวิเวกเนืองๆ ฯ

    <CENTER>จบพาลวรรคที่ ๕</CENTER>
     
  5. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    คุณไม่คุ้นเคยกับกองลม คือพอจิตเริ่มปล่อยวางลมทิ้งไปแล้ว
    คุณกลับไปตามรู้ตามเห็น ระลึกตามสัญญาลมเก่ากลับขึ้นมาให้เป็นวิตกกังวลเครียด อึดอัด ทรมาน อยู่อย่าง<WBR>นั้น ลมหายใจละเอียดขึ้น จนแทบไม่มีลมหายใจ ก็เลยอยากจะหายใจ ต้องการออกซิเจนอย่างมาก

    ครั้นมาเริ่มจับลมหยาบขึ้นอีก ก็เหมือนมาเริ่มต้นสมาธิใหม่เหมือนไม่เคยนั่งสมาธิมาก่อนสับสนไปหมด รู้สึกอึดอัดขัดข้อง
    ไปหมดก็ต้องถามผู้รู้ที่เป็นแบบนี้มาก่อน

    พี่จะแนะนำเทคนิคให้จะได้กุศลด้วยกันเพราะสร้างคนให้เป็นพระแท้ มีกุศลผลมากกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น

    ละคำภาวนา ละลมหายใจ ละปีติ จิตก็จะเป็นอารมณ์เดียว

    อดทนทำต่อไป ให้ต่อเนื่อง
    แล้วก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ เอง ไม่ควรท้อถอย หรือหมดกำลังใจ


    การฝึกจิตเป็นการดี

     
  6. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815

    ฮ่าฮ่าฮ่า ดาก็ยังคงเพ้อเจ้อไปเรื่อยเปื่อย ดาไม่รู้หรือไง ว่าผู้เริ่มภวนาใหม่หลายๆคนเวลานั่งสมาธิเนี่ย จะมีน้ำลายเยอะออกตามกระพุ้งแก้มมากกว่าปกติจึงต้องกลืนน้ำลายบ่อยๆ แล้วไอ้การที่ยังนั่งไปไม่ถึงไหนจิตยังไม่รวมลงเป็นสมาธิ ต้องกลืนน้ำลายอยู่เรื่อยๆเนี่ย ลมมันจะละเอียดจนแทบจะไม่รู้สึกได้อย่างไร ตาบ๊องเอ๊ย เพ้อเจ้อไปเรื่อย ลมจะละเอียดหรือไม่ แค่ไหน มันสัมพันกันกับคุณภาพของจิตในขณะทำสมาธิ ยิ่งนิ่งลมยิ่งละเอียด เข้าใจ๋ ลมยิ่งละเอียด ออกซิเจนที่ว่าเนี่ยร่างกายมันได้รับอยู่มากกว่าปกติด้วยซ้ำไป ตอนเด็กๆดาได้เรียนหนังสือมาหรือเปล่าเนี่ย หรือวันๆอยู่แต่กับสัตว์ที่มีบุญคุณกับชาวนากันแน่เนี่ย โตขึ้นก็เอาแต่ลอกบทความของชาวบ้านมาตัดต่อสอดไส้ เข้ากูเกิ้ลก๊อปปี้มาสอนชาวบ้านมั่วไปหมด สมองดามันยหยุดการเจริญเติบโตตั้งแต่5ขวบ สติปัญญษจึงต่ำได้ถึงเพียงนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า

    ไอ้การที่เที่ยวบอกชาวบ้านให้ "ละคำภาวนา ละลมหายใจ ละปีติ จิตก็จะเป็นอารมณ์เดียว" ดาเองยังไม่เคยลงมือปฎิบัติจนเห็นผลด้วยซ้ำ วันๆจ้องแต่จะก๊อป จะลอก ความเพียรไม่ทำให้มาก เป็นคนสติไม่ดี เพ้อเจ้อปเรื่อยเปื่อย
    วันนี้เราอารมณ์ดี จะสั่งสอนดาแทนท่านจืออาจารย์ของท่านเอาบุญอีกสักครั้งก็แล้วกัน คำภวนาก็ดี ลมก็ดี เป็นอุบายที่จะทำให้จิตจรดแน่วแน่แนบแน่นเป็นอารมณ์เดียว ก็ด้วยธรรมชาติของจิต ย่อมต้องสอดส่าย ไปเรื่อยเปื่อย ไม่สามรถอยู่นิ่งๆเฉยๆ จรดจ่อแนบแน่นเป็นอารมณ์เดียวได้ จึงจำเป็นต้องมีอุบายในการฝึก จะบริกรรมก็ดีจะดูลมหายใจก็ดี เมื่อจิตรวมลงเป็นสมาธิแล้ว มันจะละคำภวนา ละการดูลมหายใจไปเองโดยอัตโนมัติ เป็นธรรมชาติของทุกคน ไม่จำเป็นต้องไปละโน้นละนี้ เมื่อจิตรวมลงเป็นสมาธิแล้วมันจะละไปเอง เข้าใจ๋ ( แต่สำหรับคนบ้าอย่างดา เราไม่แน่ใจอ่ะจ๊ะ ฮ่าฮ่าฮ่า) ส่วนเรื่องปิติเนี่ย เมื่อเค้าเข้าถึงแล้ว ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะต้อง ตื่นเต้นดีใจ เป็นธรรมดา เมื่อการลงแรงฝึกฝนจนเห็นผลในระดับหนึ่ง ได้สัมผัสถึงสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ถึงตอนนั้นก็ประครองอารมณ์สมาธิไว้ก่อนเป็นเบื้งต้น แต่มันยังอีกไกลกว่าเขาจะไปถึง ................... ตอนนี้กลับบอกให้เขาละทั้งคำภวนา ละทั้งลม ละทั้งปิติ ทั้งที่คำภวนา ฮ่าฮ่าฮ่า ที่ต้องละน่ะ ดาต้องละทิ้งโลกภายนอก แล้วไปอยู่โรงบาลบ้าซะไวๆ ด้วย................ คนเพี้ยน สัญญาวิปาส เพ้อเจ้อไปเรื่อยเปื่อยอย่างท่านมันจะไปรู้อะไร ไม่เคยผ่านตรงนี้ไปได้ ซ้ำไม่มีความเพียร ซ้ำยังเป็นบ้า วันๆเอาแต่ลอก แต่ก๊อปปี้ บทความชาวบ้านพระพุทธพจน์ก็ไม่เว้น มาตู่เป็นของตน เที่ยวสอนชาวบ้านมั่วๆไปเรื่อยเปื่อย ................... ดาควรจะสำเหนียกไว้ด้วยว่า สติปัญญาท่านมีแค่ไหน ที่ควรสอนได้มีแต่นกแก้วนกขุนทองแบบดา แล้วก็สัตว์ที่มับุญคุณกับชาวนา(แถมมีเขาด้วย) ที่สติปัญญาใกล้เคียงกับดาเท่านั้นแหละจ๊ะ เข้าใจ๋ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า

    และควรพึงสังวรไว้ด้วยว่า สติปัญญาเยี่ยงดาเนี่ย เที่ยวบะแบง ประกาศไปทั่วว่า ตน ตรัสรู้แล้ว ตน บรรลุธรรมแล้ว ตนรู้ทันพุทธวิสัย ตนคือพระศรีฯ เนี่ย มันเป็นที่ขบขัน เป็นตัวตลกประจำเว็ปให้ชาวบ้านได้ฮากระจายมากมายแค่ไหน ฮ่าฮ่าฮ่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2010
  7. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815

    ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านเขียนผิดไม่ตรงกับความจริงแล้ว มานี่เดี๋ยวจะแก้ไขให้ถูกต้องเอง

    " ลูกหลานขอตัวไปเข้ากูเกิ้ล ไปลอก ก๊อปปี้ มาตัดต่อสอดไส้ แล้วตู่เป็นของตนเยี่ยงขโมยก่อนนะจ๊ะ แล้วจะมาตอบคำถามข้างบนนะจ๊ะยาย "

    OK นะคะ นะคะ ฮ่าฮ่าฮ่า
     
  8. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    จะดันดารานอกจอแก้วอย่างเราทั้งที ไอโอเฟส ก็ไม่น่าต้องมาเล่นเองชงเอง

    เตะบอลเข้าโกตัวเอง
     
  9. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815
    ฮ่าฮ่าฮ่า เนี่ยแหละน๊า ข้อความใดๆที่ท่านแต่งเองเขียนเอง ท่านจะต้องสะกดผิดเป็นประจำตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว .............นี้ก็แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า ข้อความที่ท่านเที่ยวตัดต่อมาสอน มาโพสต์ตอบชาวบ้านโดนไม่มีเขียนผิดเลยสักคำเนี่ย เป็นการไปลอก ไปก๊อป จากทางหน้าเว็ปแทบทั้งสิ้น............ ฮ่าฮ่าฮ่า บรรลุธรรมแล้ว ตรัสรู้แล้ว รู้ทันพุทธวิสัยแล้ว เป็นพระศรีฯอีกตะหาก แต่จะตอบ จะโพสต์แต่ละที ต้องไปหาจากกูเกิ้ลบ้าง หน้าเว็ปบ้างมาตัดต่อ สอดไส้เป็นของตน ทำด้วยอาการเยี่ยงขโมยตลอดเวลา................ตื่นเถิดนะ อย่างหลงอีกเลย ฮ่าฮ่าฮ่า



    ฮ่าฮ่าฮ่า อ้าววววววว ไหนบอกว่าเป็นศิษย์หลวงปู่ใหญ่ ..............โม้ อีกตามฟอร์มซิท่า ฮ่าฮ่าฮ่า
    แต่ก็อย่างว่าอ่ะนะ ไม่มีอาจารย์คอยสั่งสอน ภึงได้บ้าไม่พอยาอย่างนี้ไง ฮ่าฮ่าฮ่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2010
  10. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    นึกๆไปเราก็อดสงสาร ไอโอเฟสไม่ได้ ที่ชอบเพ่งโทษคนอื่น ยกตนข่มคนอื่น
    เค้าก็ทำให้ห้องนี้มีสีสรรค์ขึ้นนะครับ ^_^
     
  11. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815

    ฮ่าฮ่าฮ่า ตรงไหนเหรอที่เรายกตนข่มคนอื่น เห็นมีแต่ดายกตนขึ้นมา เที่ยวประกาศไปทั่วว่า ดาตรัสรู้แล้ว บรรลุธรรมแล้ว รู้ทันพุทธวิสัย เป็นพระศรีฯอีกตะหาก เช่นตัวอย่างนี้

    (แต่ยังตามกรี๊ดน้องแคทไม่เลิกรา)

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ rawiphan [​IMG]
    มันจะไม่ง่ายกว่านี้หรือครับ
    ถ้ากระผมจะขอสารภาพว่า เราคือ
    พระศาสดายุคขาว พระศรีอาริยเมตไตรย
    กราบคารวะพระมารดา
    ถ้ากระผมจำไม่ผิดนะ หนังจีนเรื่องดาบวงพระจันทร์
    จะมีฝ่ายอธรรม ชอบเอาชื่อ จอมยุทธ บุรพาไม่แพ้ไปวางกล้ามกับพรรคเล็กพรรคน้อง ปรากฏว่าจอมยุทธบุรพาไม่แพ้ตัวจริงตามเช็ดตามล้าง
    ฆ่าบุรพาไม่แพ้ที่ลวงโลกตายหมด









    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ rawiphan [​IMG]
    เราคือพระศรีอริยะเมตไตรย
    แต่เป็นกายตรัสรู้ที่มีเลือดเนื้อแบบมนุษย์ธรรมดา









    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ rawiphan [​IMG]
    เรารับโองการสวรรค์มาโปรดชาวโลก โองการเบื้องบน ก็คือ พระอนุตตรธรรมเจ้า หรือ พระแม่องค์ธรรม หรือ เจ้าแห่งจักรวาลที่ชาวจีนเขาเรียกกันหมิงหมิงซั่งตี้ หมายถึงพระแม่องค์ธรรม









    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ rawiphan [​IMG]
    เราได้รับหมายสำคัญจากองค์ศิวะเทพ น้องแคทคือพระรัศมีมาเกิด
    พุทธพยากรณ์พุทธะโคดม น้องแคทเป็นพระนางจันทมุขี
    เราว่าเรารักนางมากกว่า รักแบบมั่นคงมาตลอดทุกภพทุกชาติ
    มาชาติสุดท้ายเราก็จะรับเธอเข้านิพพานพร้อมๆกับบริวาลของนาง









    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ rawiphan [​IMG]
    พระศรีอาริย์เกิดแล้วแน่นอน แต่กำลังผจญมารอยู่ มารกำลังขัดขวางการมาตรัสรู้ของพระศรีอาริย์อยู่ พระศรีอาริย์กำลังต่อสู้กับอาวุธนานับประการของมาร ที่จะทำลายพระศรีอาริย์์









    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ rawiphan [​IMG]
    ความลับสวรรค์ ห้ามแพ่งพาย
    คิดที่ผมคิดอยู่ตรงนี้ถูกแพ่งพายออกไปมันคงผิดแน่จริงใช่ไหม แต่ผมสัญญานะว่าจะเก็บมันไว้ภายในความ รู้สึกของผมเพียงคนเดียว ไม่ให้คนรอบข้างได้รับรู้แน่นอน ...









    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ rawiphan [​IMG]
    เราที่เป็นโลกียชนคนธรรมดากล้าที่จะเปิดเผยได้อย่างไร









    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ rawiphan [​IMG]
    หยุดโปรดสัตว์ ๒ อาทิตย์









    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    นี้แค่ตัวอย่างเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น และหากไม่เข้าใจก็จะบอกดาเอาบุญอีกสักครั้งก็แล้วกันนะ เราไม่ได้เพ่งโทษดา แต่ดาตีตนเสมอผู้ควรกราบไหว้ ซ้ำยังแอบอ้าง พาดพิง อ้างอิง ปรามาส พระสงฆ์หลายๆท่านแบบมั่วนิ่ม นำพระพุทธพจน์ พระสูตร คำสอนของครูบาอารย์ต่างๆ ไบเบิ้ล นอสตราดามุสก็ไม่เว้น สามก๊กก็ไม่เว้น มาตัดต่อ สอดไส้ จนมั่วไปหมด คนไม่รู้ก็อาจเข้าใจผิด ในหลายๆครั้งก็สอนแบบมั่วไปเรื่อยเปื่อย ดาเบียดเบียนตนด้วยโลกแห่งจิตนาการจิตนาการที่ดาสร้างขึ้นมาเอง เช่นนี้แล้ว เมื่อมีคนรู้ทัน ถามอะไรแล้วดาตอบไม่ได้ พูดแทงใจดำ ดากลับบอกว่าผู้อื่นเพ่งโทษดา ผู้อื่นยกตนข่มดาเหรอจ๊ะ ............อย่าหลงอีกเลย ฮ่าฮ่าฮ่า

    ป.ล. ผู้ใช้ username sriaraya5 และ rawiphan เป็นคนๆเดียวกันนะจ๊ะ ท่านทั้งหลาย ฮ่าฮ่าฮ่า



    ฮ่าฮ่าฮ่า ตอนนี้เราเริ่มมองเห็นอีกอย่าง แต่ละย่อหน้า ที่ดาโพสต์ไว้ ล้วนมาจากการก๊อป ลอก มาจากทางหน้าเว็ปทั้งสิ้น แล้วตัดต่อตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย เซฟไว้ก่อน เมื่อดาจะโพสต์ดาก็ไปคัดลอก บทความต่างๆที่เก็บไว้ มาผสมกัน แล้วโพสต์ตอบ เช่นนี้เอง เวลาใครถามอะไร ดาจึงไม่สามารถตอบแบบเจาะจงลึกลงไปถึงสิ่งที่ถาม หลายๆครั้งดาจึงไม่สามารถตอบได้แบบตรงคำถาม พอมีใครถามลึกลงไปในรายละเอียด ดาเลยต้องบ่ายเบี่ยงไปเรื่อยเปื่อย ก็เพราะทุกสิ่งล้วนไม่ได้มาจากปัญญาของดาเอง คำถามที่ถูกถามแบบเจาะลึกลงไปต่างๆ หากดายังไม่ได้ตัดต่อจากทางหน้าเว็ปมาเซฟไว้ก่อน ก็ไม่สามารถตอบได้เลย เอาแต่บ่ายเบี่ยงถามเรื่องตอบอีกเรื่อง ตอบให้ชาวบ้านงงๆไว้ก่อนนั่นเอง .............. มิน่าถึงได้แต่แถ บ่ายเบี่ยงไปเรื่อย อย่าหลงอีกเลย..........ฮ่าฮ่าฮ่า
    เช่นนี้นี้เอง บทความที่ดาตัดต่อมาจึงไม่มีเขียนผิดสะกดผิดเลยสักตัว ส่วนบทความที่ดาเขียนเองแต่งเองถึงจะมีเขียนผิด สะกดผิด แม้แต่คำง่ายๆ ก็ผิดอยู่เป็นประจำ ฮ่าฮ่าฮ่า

    ปาราชิก เป็นชื่ออาบัติหนักที่ภิกษุต้องเข้าแล้วขาดจากความเป็นภิกษุ,เป็นชื่อบุคคลผู้ที่พ่ายแพ้ คือ ต้องอาบัติปาราชิกที่ทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุ, เป็นชื่อสิกขาบท ที่ปรับอาบัติหนักขั้นขาดจากความเป็นภิกษุมี๔ อย่าง คือ เสพเมถุน ลักของเขา ฆ่ามนุษย์, อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน
    พจนานุกรมพุทธศาสตร์
    ของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก


    พูดอวดอุตริมนุสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง

    ย่อมไม่ เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร เพราะฉะนั้น พระผู้มี-

    พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นปาราชิก.






    พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 451
    ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลเนื้อความนั้น ให้ทรงทราบแล้ว.
    ภ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คุณวิเศษของพวกเธอนั่น มีจริงหรือ.
    ภิ. ไม่มีจริง พระพุทธเจ้าข้า.
    ทรงติเตียน
    [๒๒๙] พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ
    ทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั้น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจ
    ของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึง
    ได้กล่าวชมอุตริมนุสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่ง
    ท้องเล่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ท้องอันพวกเธอคว้านแล้วด้วยมีดเชือดโค
    อันคม ยังดีกว่า อันพวกเธอกล่าวชมอุตริมนุสธรรมของกันและกันแก่พวก
    คฤหัสถ์เพราะเหตุแห่งท้อง ไม่ดีเลย ข้อที่เราว่าดีนั้น เพราะเหตุไร เพราะ
    บุคคลผู้คว้านท้องด้วยมีดเชือดโคอันคมนั้น พึงถึงความตาย หรือความทุกข์
    เพียงแค่ตาย ซึ่งมีการกระทำนั้นเป็นเหตุ และเพราะการกระทำนั้นเป็นปัจจัย
    เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป ไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วน
    บุคคลผู้กล่าวชมอุตริมนุสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์นั้น เบื้องหน้า
    แต่แตกกายตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ซึ่งมีการกระทำนี้แล
    เป็นเหตุ ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไป
    เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของ
    ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของพวกเธอนั่น เป็นไปเพื่อความ
    ไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของตนบาง
    พวกผู้เลื่อมใสแล้ว ครั้นแล้ว ทรงกระทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่า
    ดังนี้:-


    พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 452
    มหาโจร ๕ จำพวก
    [๒๓๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาโจร ๕ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ใน
    โลก มหาโจร ๕ จำพวกเป็นไฉน.
    ๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาโจรบางคนในโลกนี้ ย่อมปรารถนา
    อย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ เราจักเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อม
    แล้ว ท่องเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานีเบียดเบียนเอง ให้ผู้อื่นเบียดเบียน
    ตัดเอง ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง ให้ผู้อื่นเผาผลาญ สมัยต่อมา เขาเป็นผู้
    อันบุรุษร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่ง แวดล้อมแล้วเที่ยวไปในตามนิคมและราชธาน
    เบียดเบียนเอง ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเอง ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง ให้ผู้อื่น
    เผาผลาญฉันใด คุณก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้
    ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจักเป็นผู้
    อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและ
    ราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรพชิต สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง
    ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร สมัยต่อมา เธอ
    เป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เที่ยวจาริกไปในตามนิคม
    และราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรพชิตสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง
    แล้ว ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย เภสัชบริขารทั้งหลาย
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก.
    ๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรม
    วินัยนี้ เล่าเรียนธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว ย่อมยกตนขึ้น ดูก่อนภิกษุ
    ทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๒ มีปรากฏอยู่ในโลก.


    พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 453
    ๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรม
    วินัยนี้ ย่อมตามกำจัดเพื่อนพรหมจารี ผู้หมดจด ผู้ประพฤติพรหมจรรย์อัน
    บริสุทธิ์อยู่ด้วยธรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์อันหามูลมิได้ ดูก่อนภิกษุ
    ทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในโลก.
    ๔. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรม
    วินัยนี้ ย่อมสงเคราะห์เกลี้ยกล่อมคฤหัสถ์ทั้งหลาย ด้วยครุภัณฑ์ ครุบริขาร
    ของสงฆ์ คือ อาราม พื้นที่อาราม วิหาร พื้นที่วิหาร เตียง ตั่ง ฟูก หมอน
    หม้อโลหะ อ่างโลหะ กระถางโลหะ กระทะโลหะ มีด ขวาน ผึ่ง จอบ สว่าน
    เถาวัลย์ ไม้ไผ่ หญ้ามุงกระต่าย หญ้าปล้อง หญ้าสามัญ ดินเหนียว เครื่องไม้
    เครื่องดิน ดูก่อนภิกษุทั้งหาลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๔ มีปรากฏอยู่ในโลก.
    ๕. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้กล่าวอวดอุตริมนุสธรรม อันไม่มี
    อยู่ อันไม่เป็นจริง นี้จัดเป็นยอดมหาโจร ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก
    พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ข้อนั้น
    เพราะเหตุไร เพราะภิกษุนั้น ฉันก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ด้วยอาการ
    แห่งคนขโมย.
    นิคมคาถา
    ภิกษุใด ประกาศตนอันมีอยู่โดยอาการอื่น ด้วยอาการอย่าง
    อื่น โภชนะนั้น อันภิกษุนั้น ฉันแล้ว ด้วยอาการแห่งคนขโมย
    ดุจพรานนกลวงจับนก ฉะนั้น ภิกษุผู้เลวทรามเป็นอันมาก มีผ้า
    กาสาวะพันคอ มีธรรมทรามไม่สำรวมแล้ว ภิกษุผู้เลวทรามเหล่านั้น
    ย่อมเข้าถึงซึ่งนรก เพราะกรรมทั้งหลายที่เลวทราม ภิกษุผู้ทุศีล


    พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 454
    ผู้ไม่สำรวมแล้ว บริโภคก้อนเหล็กแดงดังเปลวไฟ ประเสริฐกว่า
    การฉันก้อนข้าวของชาวรัฏฐะ จะประเสริฐอะไร.
    ทรงบัญญัติปฐมบัญญัติ
    [๒๓๑] ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา
    โดยอเนกปริยายแล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคน บำรุง
    ยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความ
    เกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความ
    มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การ
    ไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมิกถาที่
    สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะ
    ภิกษุทั้งหลายว่า
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุ
    ทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
    เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่ง
    ภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อ
    กำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่
    เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่น
    แห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑.
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
    ว่าดังนี้:-


    พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 455
    พระปฐมบัญญัติ
    ๔. อนึ่ง ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ กล่าวอวดอุตริมนุสธรรม
    อันเป็นความรู้ ความเห็น อย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้า
    มาในตนว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ ครั้นสมัยอื่น
    แต่นั้น อันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอาตามก็ตาม เป็น
    อันต้องอาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่าน
    ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น
    ได้พูดพล่อย ๆ เป็นเท็จเปล่า ๆ แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาส
    มิได้.
    สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
    ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
    เรื่องภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุทุทา จบ
    เรื่องภิกษุสำคัญว่าได้บรรลุ
    [๒๓๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุเป็นอันมาก สำคัญมรรคผลอันตน
    ยังมิได้เห็นว่าได้เห็น สำคัญมรรคผลอันยังได้ถึงว่าได้ถึง สำคัญมรรคผล
    อันตนยังมิได้บรรลุว่าได้บรรลุ สำคัญมรรคผลอันตนยังมิได้ทำให้แจ้งว่าได้ทำ
    ให้แจ้ง จึงอวดอ้างมรรคผลตามที่สำคัญว่าได้บรรลุ ครั้นต่อมา จิตของ
    พวกเธอน้อมไปเพื่อความกำหนัดก็มี น้อมไปเพื่อความคัดเคืองก็มี น้อมไป
    เพื่อความหลงก็มี จึงมีความรังเกียจว่า สิกขาบทอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
    บัญญัติไว้แล้ว แต่พวกเราสำคัญมรรคผลที่คนยังมิได้เห็นว่าได้เห็น สำคัญ
    มรรคผลที่ตนยังมิได้ถึงว่าได้ถึง สำคัญมรรคผลที่ตนยังมิได้บรรลุว่าได้บรรลุ


    พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 456
    สำคัญมรรคผลที่ตนยังมิได้ทำให้แจ้งว่าได้ทำให้แจ้ง จึงอวดอ้างมรรคผลตามที่
    สำคัญว่าได้บรรลุ พวกเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ แล้วแจ้งเรื่องนั้น
    แก่ท่านพระอานนท์ ๆ กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า มี
    อยู่เหมือนกัน อานนท์ ข้อที่ภิกษุทั้งหลายสำคัญมรรคผลที่ตนยิ่งมิได้เห็นว่า
    ได้เห็น สำคัญมรรคผลที่ตนยังมิได้ถึงว่าได้ถึง สำคัญมรรคผลที่ตนยังมิได้
    บรรลุว่าได้บรรลุ สำคัญมรรคผลที่ตนยังได้ทำให้แจ้งว่าได้ทำให้แจ้ง จึง
    อวดอ้างมรรคผลคามที่สำคัญว่าได้บรรลุ แต่ข้อนั้นนั่นแล เป็นอัพโพหาริก
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุ
    เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน
    ภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
    พระอนุบัญญัติ
    ๔. อนึ่ง ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ กล่าวอวดอุตริมนุสธรรม
    อันเป็นความรู้ ความเห็น อย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้ามา
    ในตนว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น
    อันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอาตามก็ตาม เป็นอันต้อง
    อาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่าน ข้าพเจ้า
    ไม่รู้อย่างนั้น ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น ได้พูด
    พล่อย ๆ เป็นเท็จเปล่า ๆ เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ แม้ภิกษุนี้
    กีเป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.
    เรื่องภิกษุสำคัญว่าได้บรรลุ จบ






    <CENTER></CENTER><CENTER> </CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2010
  12. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815
    ใครก็ตามคิดว่าข้อความของเรา อ่านแล้วไม่สบายใจ อ่านแล้วทำให้ไม่อยากปฎิบัติ เบื่อในธรรม เมื่อเห็นรูปตัวแทนเราก็กรุณาข้ามไปเลย อย่าแวะอ่านนะเจ้าค่ะ .....................เราเตือนแล้วนะเจ้าค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า
     
  13. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815
    เมื่อมีมิจฉาทิฎฐิก็มีมิจฉาอื่นด้วย

    เมื่อรู้แจ้งชัดในสัมมาทิฎฐิก็จะรู้แจ้งชัดในมิจฉาทิฎฐิ เพราะทีความหมายตรงข้ามกัน เหมือน บุญกับ บาป

    มิจฉาทิฎฐิคือ อวิชชา หรือ โมหัง มีความเห็นผิดแล้วด้วยอวิชชา ที่ทำให้เกิดสังขาร (เจตสิกที่ปรุงแต่ง ให้ทำดี ทำชั่วตามตัณหาของตน)

    สังขารจึงทำให้เกิดวิญญาณ 6 (สื่อรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ )
    วิญญาณจึงทำให้เกิดนามรูป (กายโย)
    นามรูปจึงทำให้เกด ฉะฬะยะตะนะ ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่อาศัยกันกับ รูป เสียง กลิ้น รส สัมผัส ธัมมา ทำให้เกิดตัณหา)
    ฉะฬะยะตะนะ ทำให้เกด ผัสสะ ผัสโส (การถูกต้องทางกาย)
    ผัสโสทำให้เกิด เวทนา (สุข ทุกข์ หรือ เฉยๆ)
    เวทนาทำให้เกิด ตัณหา
    ตัณหาทำให้เกิด อุปทาน (ยึดถือ ยึดมั่น)
    อุปทานทำให้เกิด ภะโว ภะวะ หรือ ภูมิ
    ภะวะทำให้เกิด ชาติ
    และชาติทำให้เกิด ชรา ทุกขา มรณังทุกขัง และ ทุกขัง ทุกขา ทุกโข อื่นๆอีกมาก

    ตามความเป็นจริงของสัจจธรรม เมื่อเกิดมิจฉาทิฎฐิ ก็ย่อมมี มิจฉาอื่นๆ ทั้ง8เกิดขึ้นพร้อมกัน




    หลวงพ่อเมธาวี ธัมมะทานโก<!-- google_ad_section_end -->



    ๑ปฏิบัติผิดวิธี
    ๑ความเพียรไม่ถึง
    ๑เป็นวิปลาส
     
  14. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ช่วงหักเหของการปฏิบัติ

    อาจไม่ตรงกัน เพราะมีหลายตำรา

    ตามดูช่วงที่ตรงกับเราที่สุด

    นะจ๊ะ แต่ละตำราไม่เหมือนกัน

    อิอิ

    หาก ไอโอเฟส จะถามว่า ทำไมผมถึงต้องอ่อนโน้มถ่อมตน
    ทั้งๆที่ผมรู้ถานะตนเองว่าเป็นญาณของพระศาสดาจารย์

    เพราะผมมาระลึกถึงหลวงปู่ใหญ่กัสสปะเถระเจ้า จึงแสดงอาการลิงโลดที่ได้พบพระธรรมบรมครูเทพโลกอุดร

    การที่ผมได้โน้มตนเข้าไปหาหลวงปู่เฌรนิรนาม ก็เสมือนว่าผมได้พบพระธรรมเทพโลกอุดร
     
  15. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    มาถึงขั้นนี้แล้วนะความจริงคงต้องเดินหน้าต่อไป
    กราบนมัสการครับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อเมธาวี ธัมมะทานโก<!-- google_ad_section_end --> ได้คุยกับข้าพเจ้าว่าท่านเห็นพระพุทธเจ้า ผมถามท่านว่าท่านเห็นอย่างไง ท่านเล่าว่าญาติโยมที่นี่เขาก็เห็นกัน ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว ผมก็เลยย้อนถามท่านว่าเห็นที่ไหนท่านตอบว่า เห็นที่วัดอาตมาเหาะลงมาจากอากาศ

    ผมก็บอกท่านว่าที่ว่าเห็นพระพุทธเจ้าเห็นที่ใจไม่ใช่หรอ
    ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา
    โยมไม่เชื่ออาตมาใช่ไหม ถ้างั้นโยมมาดูที่วัดอาตมาสิ
    ที่วัดอาตมามีพระพุทธเจ้า มาสิมาที่วัดอาตมา

    ผมก็เลยบอกท่านว่าแค่นี้ก่อนนะนมัสการลา
    บทสรุป การเห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระสาวก เป็นแต่เพียงคุณธรรมของท่าน จะยึดเอาเป็นตัวเป็นตนไปไม่ได้







    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=598 align=center border=0><TBODY><TR><TD width=580 bgColor=#ffffcc colSpan=2>มาฆบูชา


    </TD></TR><TR><TD width=18></TD><TD vAlign=top width=580 colSpan=2>มาฆบูชา เป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เป็นวันเกิดพระธรรม ถือว่าเป็นวันที่ พระพุทธเจ้า ได้ประกาศ หลักธรรม คำสั่งสอนของพระองค์ เพื่อให้พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่มาประชุมกันในวันนั้น นำไปเผยแผ่

    วั น"มาฆบูชา" เป็นวันบูชาพิเศษที่ต้องทำในวันเพ็ญเดือนมาฆะ หรือในวันที่พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์
    ( ซึ่งโดยปกติทำกันในกลางเดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ เดือนแปดสองแปด ก็เลื่อนไปกลางเดือน ๔ )
    ถือกันว่าเป็นวันสำคัญ เพราะวันนี้ เป็นวันคล้ายกับ วันประชุมกันเป็นพิเศษ แห่งพระอรหันตสาวก โดยมิได้มีการนัดหมาย ซึ่งเรียกว่า วันจาตุรงคสันนิบาต ซึ่งได้มีขึ้น ณ บริเวณเวฬุวันมหาวิหาร หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นเวลานับได้ ๙ เดือน วันนี้เอง ที่พระพุทธองค์แสดง "โอวาทปาฎิโมกข์" ซึ่งถือกันว่า เป็นหลักคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา


    </TD></TR><TR bgColor=#ffffcc><TD width=18></TD><TD vAlign=top width=580 colSpan=2>
    จาตุรงคสันนิบาต คือ การประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ คือ ๑. วันนั้น เป็นวันมาฆปูรณมี คือวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำกลางเดือนมาฆะ จึงเรียกว่า มาฆบูชา
    ๒. พระภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย (สาเหตุของการชุมนุม)
    ๓. พระภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ ประเภทฉฬภิญญา คือ ได้อภิญญา ๖
    ๔. พระภิกษุ เหล่านั้น ทั้งหมด ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง (เอหิภิกฺขุอุปสมฺปทา)
    [​IMG]




    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=18></TD><TD vAlign=top width=580 colSpan=2>โอวาทปาฏิโมกข์ เป็นหลักคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึง จุดหมาย หลักการ และวิธีการ ของพระพุทธศาสนาไว้อย่างครบถ้วน
    ๑. จุดหมายของพระพุทธศาสนา คือ พระนิพพาน (นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา)

    ๒. หลักการของพระพุทธศาสนา คือ ต้องมีความอดทน ในการฝึกตนเอง เพื่อบรรลุจุดหมาย (ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา) ต้องประกอบด้วย
    ก. ไม่ทำความชั่วโดยประการทั้งปวง ทั้งทางกาย วาจา และทางใจ (สพฺพปาปสฺส อรกณํ)
    ข. ทำความดีทั้งทางกาย วาจา และใจ (กุสลสฺสูปสมฺปทา) การไม่ทำความชั่วนั้น จะเรียกว่า เป็นคนดียังไม่ได้ การเป็นคนดี จะต้องทำความดี ทั้งทางกาย วาจา ใจ มิฉะนั้นแล้ว คนปัญญาอ่อน คนเป็นอัมพาต เป็นต้น ก็จะเป็นคนดีไปหมด
    ค. การชำระจิตใจให้สะอาด ผ่องใส สงบ (สจิตฺตปริโยทปนํ)

    ๓. วิธีการที่จะบรรลุจุดหมาย คือ ต้องฝึกอบรมตนแบบต่อเนื่อง ให้เกิดมรรคสามัคคี คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ รวมพลังกัน เหมือนเชือก ๘ เกลียว หรือให้มี ศีล สมาธิ และปัญญา รวมพลังกัน เหมือนเชือก ๓ เกลียว พัฒนากาย วาจา ใจ ให้พูดดี ทำดี คิดดี ไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ หรือ ราคะ โมสะ โมหะ ไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลส ตัณหา หรือความใคร่ ความอยากมี อยากเป็น แบบมืดบอด ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ที่มันเป็นไปไม่ได้ เช่น ไม่อยากเป็นคนเสื่อมลาภ, ยศ, สรรเสริญ, สุข เป็นต้น โดยอาศัยวิธีการดังต่อไปนี้.

    ก. ฝึกวาจา ระวังเสมอ มิให้กล่าวคำเท็จ คำหยาบ คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ (อนูปวาโท)
    ข. ฝึกกาย ระวังเสมอมิให้มีการฆ่า ทำลายชีวิต ตลอดจนถึงการเบียดเบียนทางกาย (อนูปฆาโต)
    ค. ละเว้นข้อที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสห้ามไว้ และทำตามข้อที่พระพุทธองค์อนุญาต (ปาฎิโมกฺเข จ สํวโร)
    ง. รู้จักประมาณในการบริโภค อาหาร ตลอดจน รู้จักประมาณในการใช้สอยปัจจัย ๔ (มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺสมึ)
    จ. ฝึกตนอย่างจริงจัง ในที่ที่สงัดจากสิ่งรบกวน (ปนฺตนฺ จ สยนาสนํ)
    ฉ. ภาวนาอยู่เสมอ คือ พัฒนาตนเองให้พ้นจากอำนาจของกิเลสตัณหา การภาวนา หมายถึง การใช้ทั้งสมาธิ และวิปัสสนา แก้ปัญหา หรือจัดการกับกิเลส (อธิจิตฺเต จ อาโยโค) เป็นการตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอ มิให้จิตใจเศร้าหมอง ให้จิตใจผ่องใสอยู่เสมอ (สจิตฺตปริโยทปนํ)

    จุดหมาย หลักการ และวิธีการ ที่พระพุทธเจ้าได้ประกาศไว้จะเป็นไปด้วยดี และบรรลุวัตถุประสงค์ที่พระพุทธเจ้าทรงมุ่งหมายไว้นั้น พระองค์ได้ย้ำเตือนไว้ว่า จะต้องปฏิบัติตนให้เป็นอย่างบรรพชิต และเป็นอย่างสมณะ คือ เว้นจากความชั่วทุกประการ และเป็นผู้ปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่าง เพื่อระงับบาปอกุศล ได้แก่ ผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อเป็นอริยบุคคล ทั้งไม่เบียดเบียนและไม่ก่อให้เกิดความเดือนร้อนแก่คนที่ประพฤติดี ปฏิบัติชอบทั้งหลาย (น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต)




    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=18 bgColor=#ffffcc height=252></TD><TD width=580 bgColor=#ffffcc colSpan=2 height=252>หมายเหตุ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=321 align=center border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่

    </TD></TR><TR><TD width=137>สัมมาทิฏฐิ</TD><TD width=184>ความเห็นชอบ </TD></TR><TR><TD width=137>สัมมาสังกัปปะ</TD><TD width=184>ความดำริชอบ</TD></TR><TR><TD width=137>สัมมาวาจา</TD><TD width=184>การพูดจาชอบ</TD></TR><TR><TD width=137>สัมมากัมมันตะ</TD><TD width=184>การทำงานชอบ</TD></TR><TR><TD width=137>สัมมาอาชีวะ</TD><TD width=184>การเลี้ยงชีวิตชอบ</TD></TR><TR><TD width=137>สัมมาวายามะ</TD><TD width=184>ความพากเพียรชอบ</TD></TR><TR><TD width=137>สัมมาสติ</TD><TD width=184>ความระลึกชอบ</TD></TR><TR><TD width=137>สัมมาสมาธิ</TD><TD width=184>ความตั้งใจมั่นชอบ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=463 align=center border=0><TBODY><TR><TD></TD><TD></TD></TR><TR><TD colSpan=2>อภิญญา ๖
    อภิญญา คือความรู้อันยอดยิ่งมี ๖ ประการได้แก่
    ๑.แสดงฤทธิ์ได้ (อิทธิวิธิ)
    ๒.หูทิพย์ (ทิพยโสต)
    ๓.รู้จักกำหนดใจผู้อื่น (เจโตปริยญาณ)
    ๔.ระลึกชาติได้ (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ)
    ๕.ตาทิพย์ (ทิพยจักษุ)
    ๖.ทำอาสวะกิเลสให้สิ้นไป-คือญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย (อาสวักขยญาณ)
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2></TD></TR><TR><TD colSpan=2>สาเหตุของการชุมนุม
    คงเนื่องมาจากภิกษุเหล่านั้นล้วนเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนและในวันเพ็ญเดือนมาฆะ
    เป็นวันที่ทางศาสนาพราณ์ได้ประกอบพิธีศิวาราตรี คือ การลอยบาปในแม่น้ำคงคา และประกอบพิธีสักการบูชาพระเป็นเจ้าในเทวสถาน เมื่อถึงวันนั้น พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าซึ่งเคยประกอบพิธีดังกล่าวจึงต่างพากันไปเฝ้าพระพุทธองค์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    [​IMG]
    ภาพพระฉายพุทธเจ้าโคดมที่เห็นในดวงจิต

    วันที่ข้าพเจ้าละเวทนาในจิตได้ เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา
    วันมาฆบูชา
    พระฉายที่เห็นใกล้เคียงกับภาพในดวงจิตที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา‏

    ผมติดนิมิตรูปพระพุทธเจ้า กับ คำว่า
    จิตวิมุตติแล้ว

    อยู่นานปี ในที่สุดผมก็พบความจริง
    ตัวตนไม่มีเป็นอนัตตา ภาพที่เห็นข้างหน้า
    เป็นแต่เพียงคุณธรรมของท่าน
    ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือ มั่นโดยความเป็นตัวเป็นตน

     
  16. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    อนุโมทนากับบทความนี้
    ครอบคลุมมาก สาธุ
     
  17. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815
    กรณี Sriaraya5 VS iofeast โต้แย้งกันได้ประโยชน์อะไรบ้างลบออกก่อนดีไหม

    ฮ่าฮ่าฮ่า เอาอีกแล้วเพ้ออีกแล้ว ญาณท่านไม่มีหรอก เท่าที่เห็นท่านมันมีแต่ยานโตงเตงเท่านนั้นแหละ และหากจะแอบอ้างหลวงปู่ให้ได้ จะเป็นพระศรีฯให้ได้ ก็เอ๊า

    1.หลวงปู่ท่านบอกว่า อะไรคือหนึ่ง ?

    2.ถึงปัจจุบันพระศรีฯท่านบำเพ็ญบารมีมากี่อสงไขยแล้ว ?

    ไม่ต้องเสียเวลาเข้ากูเกิ้ลหรอกนะ หากจะตอบก็กรุณาใช้สมองก่อน ใช้ทั้งสองซีกเลยนะจ๊ะ และอย่าตอบแบบคนเพ้อเจ้อนะจ๊ะ ฮ่าฮ๋าฮ่า

    ป.ล. เห็นมั้ยท่านทมั้งหลาย พอดาแต่งเองเขียนอง ก็มีสะกดผิดให้เห็นอีกแล้วเจ้าค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า





    [/

    ^
    ^
    ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ได้ดูตัวเองเลยยย .......สรุปแล้ว เที่ยวลอก เที่ยวก๊อปมาตัดต่อโพสต์ตอบชาวบ้านเพราะไม่มีปัญญาเป็นของตนเอง เป็นแต่เพียงคุณธรรมของดา ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือ มั่นโดยความเป็นตัวเป็นตน เป็นเพียงตัวตลกให้เป็นที่ขบขันของชาวเว็ปเท่านั้นแหละจ๊ะ ฮ่าฮ่าฮ่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2010
  18. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815
    ลูกหลาน สัญชัย เวลัฏฐบุตร มาเกิดแล้ว

    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=tcat>โอวาทและอิทธินิหารหลวงปู่เทพโลกอุ </TD></TR><TR><TD class=alt2>การปฏิบัติธรรมทางด้านจิต จงเป็นผู้มีสติปัญญารู้เท่าทันความเคลื่อนไหวของจิตทุกลมหายใจเข้าออกและทุกอิริยบท เว้นเสียแต่หลับ เมื่อรู้ทันจิตแล้ว ต้องรู้จักรักษาจิต คุ้มครองจิต จงดูจิตเคลื่อนไหวเหมือนเราดูลิเกหรือละคร เราอย่าเข้าไปเล่นลิเกหรือละครด้วย เราเป็นเพียงผู้นั่งดู อย่าหวั่นไหวไปตามจิต จงดูจิตพฤติการณ์ของจิตเฉย ๆ ด้วยอุเบกขา จิตไม่มีตัวตน แต่สามารถกลิ้งกลอกล้อหรือยั่วเย้าให้เราหวั่นไหวดีใจและเสียใจได้ ฉะนั้นต้องนึกเสมอว่าจิตไม่มีตัวตน อย่ากลัวจิต อย่ากลัวอารมณ์ เราหรือสติสัมปชัญญะต้องเก่งกว่าจิต
    ความนึกคิดอารมณ์ต่าง ๆ เป็นอาการของจิต ไม่ใช่ตัวจิต แต่เราเข้าใจว่าเป็นตัวจิตธรรมชาติคือผู้รู้อารมณ์ คิดปรุงแต่งแยกแยะไปตามเรื่องของมัน แต่แล้วมันต้องดับไปเข้าหลักเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืนทนได้ยากเป็นทุกข์ และสลายไปไม่ใช่ตัวตน มันจะเกิดดับ ๆ อยู่ตามธรรมชาติ เมื่อเรารู้ความจริงของจิตเช่นนี้ เราก็จะสงบไม่วุ่นวาย เราในที่นี้หมายถึงสติปัญญา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรม สิ่งทั้งปวง เป็นอนัตตาคือไม่ใช่ตัวตน
    นิมิตที่เกิดขึ้นขณะนั่งสมาธิมีอยู่ ๒ ประการ คือ
    ๑ . เกิดขึ้นเพราะเทพบันดาล คือเทวดาหรือพรหมแสดงภาพนิมิตและเสียงให้รู้เห็น
    ๒ . นิมิตเกิดขึ้นเพราะอำนาจสมาธิเอง
    นิมิตจะเป็นประเภทใดก็ตาม ขอให้ผู้เจริญกรรมฐานจงเป็นผู้ใช้สติปัญญาให้รู้เท่าทันนิมิตที่เกิดขึ้นนั้นด้วยปัญญา อย่าเพิ่งหลงเชื่อทันทีจะเป็นความงมงาย ให้ปล่อยวางนิมิตนั้นไปเสียอย่าไปสนใจให้เอาจิตทำความจดจ่ออยู่เฉพาะจิต
    เมื่อจิตสงบรวมตัว จิตถอนตัวออกมารับรู้นิมิตนั้นอีก หากปรากฏนิมิตอย่างนี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ หลายครั้งแสดงว่านิมิตนั้นเป็นของจริงเชื่อถือได้ แต่อย่างไรก็ตามนิมิตที่มาปรากฏนี้อยู่ในขั้นโลกียสมาธิ นิมิตต่าง ๆ จึงเป็นความจริงน้อย แต่ไม่จริงเสียมาก จงมุ่งหน้าทำจิตให้สงบเป็นอัปนาสมาธิ อย่าสนใจนิมิต หากทำได้อย่างนี้ จิตจะสงบตั้งมั่น เข้าถึงระดับฌานจะเกิดผลคือสมาบัติสูงขึ้นตามลำดับ จิตจะมีพลังอำนาจอันมหาศาล ฤทธิ์เดชจะตามมาเองด้วยอำนาจของฌาน
    ธรรมะบางข้อของ บรมครูพระเทพโลกอุดร
    จึงได้ธรรมะของท่าน สรุปย่อ ๆ บางส่วนได้ดังนี้
    ๑. ธรรมะของท่านต้องเกิดจากการปฏิบัติเท่านั้น
    ๒. ต้องมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
    ๓. อยากรู้ธรรมะหรือคำสอนของท่านให้ดูจิตตนเอง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Sriaraya5 [​IMG]
    ช่วงหักเหของการปฏิบัติ

    อาจไม่ตรงกัน เพราะมีหลายตำรา

    ตามดูช่วงที่ตรงกับเราที่สุด

    นะจ๊ะ แต่ละตำราไม่เหมือนกัน

    อิอิ

    หาก ไอโอเฟส จะถามว่า ทำไมผมถึงต้องอ่อนโน้มถ่อมตน
    ทั้งๆที่ผมรู้ถานะตนเองว่าเป็นญาณของพระศาสดาจารย์

    เพราะผมมาระลึกถึงหลวงปู่ใหญ่กัสสปะเถระเจ้า จึงแสดงอาการลิงโลดที่ได้พบพระธรรมบรมครูเทพโลกอุดร

    การที่ผมได้โน้มตนเข้าไปหาหลวงปู่เฌรนิรนาม ก็เสมือนว่าผมได้พบพระธรรมเทพโลกอุดร






    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Sriaraya5 [​IMG]
    ปัจจุบันข้าพเจ้ารู้จักแต่บรมครูเทพโลกอุดรท่านเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า“ท่านสอนให้สิ้นการยึดมั่นถือมั่น”
    ผีจือข้าพเจ้าไม่รู้จัก

    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->






    </TD></TR></TBODY></TABLE>







    Buddhayan Sangthip's Site - ประวัติหลวงปู่ใหญ่พระครูเทพโลกอุดร Version ล่าสุด ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุด!!!!<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    ^
    ^
    ฮ่าฮ่าฮ่า ดายาน........นี่ไงแหล่งปัญญาของดา เพ้อเจ้อไปเรื่อยเปื่อย ............ดายาน ฮ่าฮ่าฮ่า ดายานโตงเตง......ฮ่าฮ่าฮ่า








    <CENTER>วาทะของศาสดาสญชัย เวลัฏฐบุตร</CENTER>[​IMG] [๗] อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้เข้าไปหาท่านสญชัย เวลัฏฐบุตร และถามปัญหานั้นกับท่าน ท่านได้ตอบว่า
    ถ้าถามปัญหาว่า ข้อนั้นเป็นอย่างนั้นหรือ หากหม่อมฉันเห็นว่าเป็นอย่างนั้น ก็จะตอบว่าเป็นอย่างนั้น แต่หม่อมฉันไม่มีความเห็นตายตัวเช่นนั้น หม่อมฉันมีความเห็นว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ไช่ก็มิใช่
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ท่านกลับตอบ ส่ายไปไม่ตายตัว เป็นการตอบคนละเรื่องกับที่ถาม หม่อมฉันเห็นว่า ในบรรดาสมณพราหมณ์เหล่านี้ ท่านสญชัย เวลัฏฐบุตร นี้โง่กว่าเขาทั้งหมด แม้หม่อมฉันจะไม่พอใจ ไม่เชื่อถือ ก็มิได้คัดค้าน เพราะเห็นว่าไม่ควรหักหาญสมณพราหมณ์ผู้อยู่ในราชอาณาเขต หม่อมฉันจึงกลับ และไม่ใส่ใจในคำตอบนั้น
    ที่มา: สามัญญผลสูตร ๙[๙๙]๕๔-๕๖ [​IMG]




    ฮ่าฮ่าฮ่า ปัจจุบัน ลูกหลานของท่านสัญญชัย ได้มาเกิดแล้ว บ้างก็แฝงตัวเข้ามาในพระศาสนา ขอท่านทั้งหลายจงระวังให้มากนะจ๊ะ ฮ่าฮ่าฮ่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2010
  19. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    [​IMG]
    ไอโอเพส หลวงพ่อทองทิพย์ท่านไม่ใช่พระศรีอาริย์
    แต่ท่านเป็นแค่พระภาคหนึ่งของพระศรีอารย์
     
  20. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    [​IMG]
    หลวงพ่อทองทิพย์ท่านไม่ใช่พระศรีอาริย์
    แต่ท่านเป็นแค่พระภาคหนึ่งของพระศรีอารย์
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...